ฝันไปถึง เมืองบังบด เมืองผี แดนลับแล แล้วแต่จะเรียก

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย jarujun, 21 มกราคม 2015.

  1. jarujun

    jarujun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2013
    โพสต์:
    3,285
    ค่าพลัง:
    +11,833
    มีใครถูกหวยมั้ยคะ ป.ล. ไม่ถูกเพราะไม่ได้ซื้อใต้ดินค่ะ 555

    เลขสวย 52
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 มิถุนายน 2016
  2. jarujun

    jarujun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2013
    โพสต์:
    3,285
    ค่าพลัง:
    +11,833
    หากจะพิชิต อโยธยา ก็พิต้องพิชิตหัวเมืองเหนือก่อน ก็คือเมืองพิษณุโลก
    สองแคว แต่ด้วยความสัมพันธ์ทางสายเลือดของสองราชวงค์ อย่างไรเสียอโยธยา
    ก็ต้องยกทัพมาช่วยต้าน

    แต่การกลับไม่เป็นเช่นที่คิด ด้วยแสนยานุภาพของทัพหลวงของหงสา และยัง
    ทัพร่วมรบ หลังจากสืบข่าวศึก ทางอโยธยา เห็นว่าพิษณุโลกสองแควคงจัก
    ต้านไม่ไหว จึงให้พระมหาธรรมราชา พ่ออยู่หัวเมืองสองแคว ถอยร่นเข้ามาตั้งรับที่
    อโยธยา แต่พระมหาธรรมราชา กลับคิดว่านั่นเป็นการกลั่นแกล้งจะตัดหัวตน ด้วยตนเป็นกษัตริย์ต่างวงค์
    หากทิ้งเมืองไปเช่นนั้น และให้เหล่าขุนพล ทหาร สู้เพื่อตน ก็ไม่รู้จักเป็นราชาเพื่อการใด ดังนั้นจึงตัดสินใจ ตั้งรับ
    อโยธยาก็โกรธกริ้วนัก ที่เมืองสองแควมิได้ทำตามกลยุทธ์ ทำให้เสียกระบวนทัพ จึงไม่ออกมาช่วยรบ
    แต่ปกปักรักษาอโยธยาไว้ เดินหมากผิดตัวเดียว ล้มทั้งกระดาน ล่มเมือง

    เมื่อก่อน ไทยยังมิเป็นปึกแผ่นเช่นนี้
     
  3. jarujun

    jarujun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2013
    โพสต์:
    3,285
    ค่าพลัง:
    +11,833
    เมื่อพ่ออยู่หัว บุเรงนอง ซึ่งนั่งบนหลังช้างอยู่ไกลๆ ที่ทัพหลวง ได้ทราบความนั้น
    จึงเปลี่ยนกลยุทธ์ สั่งให้แต่งสารหย่าศึกทันใด แล้วแต่งองค์ พร้อมอุปราชนันทบุเรง
    เข้าไปเจรจากับพ่ออยู่หัวเมืองสองแควด้วยพระองค์เอง แล้วสั่งให้มีการจัดให้มีดนตรี
    ร่ายรำ ประหนึ่งว่าเสมือนมิตร ที่มิเคยประหัตประหารกันมาก่อน
     
  4. jarujun

    jarujun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2013
    โพสต์:
    3,285
    ค่าพลัง:
    +11,833
    ผลการเจรจา ก็ด้วยให้เหตุว่า เมื่ออโยธยา ไม่เป็นแผ่นดินเดียวกันกับสองแคว
    แล้วไซร้ ก็จักไม่ให้มีการสูญเสีย ทางหงสาไม่ต้องการสิ่งใด ขอบรรณาการ
    เช่นเดียวกับที่ส่งให้อโยธยา และเพื่อเป็นการประกัน ขอราชบุตรองค์โตไปชุบเลี้ยง
    เพื่อจักได้เรียนรู้ราชประเพณีหงสา เป็นเมืองพ่อเมืองลูก เมื่อราชบุตรของท่านมีวัย
    จักได้สืบราชบัลลังค์ ก็จักได้สืบบัลลังค์ต่อไป มิใช่ชาวหงสา แผ่นดินนี้ก็ยังเป็นไทยอยู่เช่นเดิม

    หาไม่แล้ว จะไม่รีรอ ยกทัพหลวงบดขยี้ให้ราบเป็นจุล แม้แต่อโยธยา
    ท่านเอง(พ่ออยู่หัวเมืองสองแคว) ก็เป็นแม่ทัพกรำศึก คงรู้ว่ากองทัพเรา
    เกรียงไกรและเข้มแข็งเพียงใด แต่เราไม่นิยมสงครามที่นองไปด้วยเลือดและน้ำตา
    เหยียบย่ำไปบนซากปรักหักพัง เรานั้นนิยม ศิลปวัฒนธรรม แลความแตกต่างโลกนี้
    จึงงามนัก อย่างไรเสีย เมืองสองแควก็ต้องอยู่ใต้พระราชอำนาจของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง
    แต่ตอนนี้ อโยธยาไม่นานก็จักแตกพ่าย ท่านจงใช้ปัญญาตรึกตรองดูเถิด

    พระมหาธรรมราชา ดั่งต้องมนต์(ก็มนต์จริงๆ) กลับไปตรึกตรอง แต่ไม่มีเวลาคิด
    จึงยอมตามพระประสงค์ ของพระเจ้าบุเรงนอง
     
  5. jarujun

    jarujun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2013
    โพสต์:
    3,285
    ค่าพลัง:
    +11,833
    เรื่องนี้ทำให้พระวิสุทธิกษัตริย์ อัครมเหสี เมื่อได้ทราบข่าว ให้กริ้วนัก
    ไหนพระสวามีตั้งตนเสมือนเป็นศตรูกับพระบิดาตน กษัตริย์แห่งอโยธยา
    มิพอ ยังยกราชบุตรองค์โต ให้เป็นตัวประกันหงสา ความแค้นนั้นแทบให้พระนาง
    อยากจักหนีกลับอโยธยา ติดที่ว่าเมืองสองแควนั้นโดนล้อมไว้ทุกด้าน
    ได้แต่กรรแสงอย่างน่าเวทนานัก

    ไม่เข้าใจเหตุผล ของพระมหาธรรมราชา ว่าต้องรักษาชีวิตไว้เพื่อกอบกู้วงค์วาน

    พระมหาธรรมราชาคิดว่า ต่อให้ถอยร่นไป ก็ไม่แน่ว่าจะตายหรือถึงอโยธยาก่อน

    ด้วยศึกที่คยพานพบมา ไม่เคยหนัก และกระบวนทัพที่เจอ ยังให้รู้สิ้นว่ามีแม่ทัพ
    และจอมทัพที่เก่งฉกาจ และด้วยกำลังพลแล้ว อโยธยา ก็ไม่แคล้ว คงจักยันศึกได้
    ไม่กี่เพลา

    นักปกครองย่อมคิดต่าง แต่ทุกคนก็ได้แต่คาดคะเนไปต่างๆนาๆ
     
  6. jarujun

    jarujun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2013
    โพสต์:
    3,285
    ค่าพลัง:
    +11,833
    ต่างจากประวัติศาสตร์ ตรงที่ว่า พ่ออยู่หัวบุเรงนองมิได้ขอองค์ขาว และ
    พระสุพรรณกัลยาไปแต่อย่างใด แต่พรหมท่านลิขิต บุพเพสันนิวาสนั้นไซร้
    ใครจะไปฝืนแรงบุญแรงกรรมได้
     
  7. jarujun

    jarujun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2013
    โพสต์:
    3,285
    ค่าพลัง:
    +11,833
    พระราชบุตรองค์โต แห่งเมืองสองแควนั้น ด้วยวัยเพียง 9 ขวบย่าง 10
    พระองค์ก็มีพระวรกายสูง บุคลิกท่าทาง เหมือนจะถือองค์ตลอดเวลา
    สมเป็นชาติเชื้อ หน่อเนื้อขัตยะวงค์ อีกทั้งไม่ช่างเจรจานัก จึงเหมือนหนุ่มน้อย
    มากกว่าเด็กคนหนึ่ง เมื่อได้ฟังพระราชบัญชา จากพระบิดาแล้ว ก็ให้น้อยใจนัก
    แต่ก็ทรงกล้ำกลืนฝืนพระอารมณ์ มิยอมเสียน้ำตา ให้เหล่าอริราชศตรูได้เห็น

    ทรงกราบพระบาทพระราชมารดา มิได้เปล่งวาจาใด เดินตามพระราชบิดาไปพบ
    พระเจ้าบุเรงนอง เพื่อถวายความเคารพ ในฐานะพระบิดา

    ในเพลานั้น พระพี่นาง ทรงแอบทอดพระเนตรเหตุการณ์ด้วยความเศร้า ไม่รู้จัก
    ช่วยน้องรักอย่างไร อีกทั้งทรงสงสารพระราชมารดาที่เอาแต่กรรแสง ปริ่มว่าจะขาดใจ

    ในสมัยโบราณนั้น หากมีเหตุการณ์อันคับขัน ราชธิดา ต้องเก็บพระองค์อยู่ในห้องชั้นใน
    และพระเจ้าบุเรงนอง ยังให้เกียรติสตรีชั้นใน มิได้เรียกให้อัครมเหสีต้องเข้าเฝ้า
    ด้วยรู้ว่า พระราชมารดาทุกพระองค์ คงมิยอมให้บุตรของตนง่ายๆ เป็นการตัดไฟแต่ต้นลม
    มิต้องฟังคำอ้อนวอนใด ทรงทราบว่า พระมหาธรรมราชามีพระราชธิดา แต่ยังเด็กนัก วัยเพียง 13
    จึงไม่ได้คิดนำไปเป็นสนม เพราะศึกก็ยังไม่สิ้น จักเป็นภาระต่อไป

    พระเจ้าบุเรงนอง ทรงมีรสนิยม ชอบหญิงงาม โตเป็นสาวสะพรั่ง
     
  8. jarujun

    jarujun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2013
    โพสต์:
    3,285
    ค่าพลัง:
    +11,833
    ส่วนพระราชบุตรองค์เล็ก แม้นอยู่ในวัยเพียงหกขวบ ยังไม่รู้ประสานัก
    แต่รู้ว่าเกิดเรื่องใหญ่ อันมิได้แน่แท้ พระมารดาก็ทรงเอาแต่กรรแสง
    พระพี่นาง ก็ทรงถูกเก็บในห้อชั้นใน ส่วนพระพี่ญา(พระองค์ดำ ก็ทรง
    เดินไปกับพระราชบิดา และทหารหน้าตาทมึงถึง อีกทั้งยังแต่งตัวประหลาดนัก
    มิหันมากล่าวอนใด สุดท้ายได้ความบีบคั้น จึงกรรแสงออกมาอีกพระองค์ วังสองแคว
    เต็มไปด้วยเสียงร้องไห้ ของเหล่านางกำนัล ต่อชะตาอันน่าเศร้า

    แต่เรื่องกลับยิ่งเลวร้ายไปอีก ด้วยสุดจะทานทนความกดดัน พระองค์ขาว
    จึงออกวิ่งไปที่ท้องพระโรง ด้วยรู้หนทางในวังเป็นอย่างดี เหล่านางสนมกำนัล
    ให้ตกใจ รีบวิ่งตามไป แต่มิทันจักได้จับพระวรกายไว้ทัน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 มิถุนายน 2016
  9. jarujun

    jarujun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2013
    โพสต์:
    3,285
    ค่าพลัง:
    +11,833
    เหล่านางกำนัล ก็มิกล้าเข้าไปในท้องพระโรง ด้วยเกรงพระราชอาญา
    บัดนี้ท้องพระโรงเต็มไปด้วยเหล่าแม่ทัพเมืองสองแคว และข้าราชบริพาร
    ที่โดยเสด็จของเมืองหงสา ที่กำลังเป็นพยานในการเข้าเฝ้าของพระองค์ดำ

    พระองค์ขาวด้วยความไม่ประสา จึงวิ่งเข้าไปกลางทางเดินท้องพระโรง โดยมิมีใคร
    ทันทัดทาน แล้วกลับชี้หน้าพระเจ้าบุเรงนอง

    "ท่านเป็นใคร บังอาจนัก นั่งพระที่เดียวกับพระราชบิดา ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง ข้าจักสั่งให้กุดหัวเจ้า "

    พระเจ้านันทบุเรงที่ยืนอยู่หลังพระบิดา ได้ฟังให้กริ้วนัก แม้เป็นเด็กก็จักไม่ทรงละเว้น เดินเข้ามาหาพระองค์ขาว พระองค์ขาวเห็นพระเจ้านันทบุเรง ก็ให้กลัวนัก วิ่งไปหลบ
    หลังพระองค์ดำ ตามที่เคยทำทุกครา

    พระมหาธรรมราชา จึงเอ่ยขอพระราชอภัยโทษ กับพระเจ้าบุเรงนอง
    พระเจ้าบุเรงนองไม่ตรัสใดๆ ยกมือห้ามพระเจ้านันทบุเรงไว้ แล้วทรงเงียบไป
    ไม่มีใครเดาพระอารมณ์ได้

    "ข้าคิดว่า ชาวพิษณุโลกสองแคว ยังอ่อนต่อราชประเพณี จึงอยากให้การอบรม
    จักขอราชบุตรองค์เล็กของท่าน ไปอบรมเลี้ยงดูที่หงสาวดี เป็นบุตรอีกคนหนึ่ง"

    สิ้นคำ พระมหาธรรมราชา ให้สะเทือนพระทัยนัก เสมือนน้ำท่วมปาก
    แล้วพระองค์ขาวก็ได้แต่มองพระเจ้านันทบุเรงให้กลัวนัก จึงทรงพระกรรแสง
    ออกมาอีก เสียงนั้นช่างสะเทือนพระอารมณ์นัก เหล่านางกำนัลที่อยู่หน้าท้องพระโรง
    เมื่อได้รู้ความอันน่าตระหนก ก็รีบวิ่งกลับไปกราบทูลพระวิสุทธิกษัตริย์
    เมื่อได้ฟัง พระองค์ก็สุดจะทานทน เป็นลมพับไปทันที

    เด็กวัยหกขวบ หากไปเดินทัพ กว่าจะถึงหงสาวดี คงไม่แคล้วต้องตายเป็นแน่แท้
     
  10. jarujun

    jarujun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2013
    โพสต์:
    3,285
    ค่าพลัง:
    +11,833
    ต่อพรุ่งนี้ ละกัน
     
  11. The eyes

    The eyes เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    968
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +2,638
    โห เมื่อไหร่พระพี่นางจิออกสักทีหนา แบบว่าลุ้นจะเหมือนในทีวีแบบมีslowmotion รึเปล่า
     
  12. jarujun

    jarujun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2013
    โพสต์:
    3,285
    ค่าพลัง:
    +11,833
    เพลานั้น เป็นเวลาที่พระกระยาหารถูกนำมาถวาย นางกำนัลของอโยธยา
    ต่างทำหน้าที่ มิให้เสื่อมพระเกียรติ เสียงดนตรีไทย จากข้างพระที่นั่งบรรเลงขึ้น

    มีนางรำ เป็นดรุณีน้อย มิได้เกล้ามวยผม ชุดที่รำก็แปลกประหลาดนัก
    มิได้นุ่งจุง หรือพอกหน้าให้ขาวเนียน เป็นที่สะดุดตา ชาวหงสา ตอนที่
    เดินเยื้องกรายอย่างละมุนละไม ราวกับนางกวางเยื้องย่าง ออกมา
    ถวายบังคมเพื่อเตรียมตัวร่ายรำ ดรุณีน้อย ก้มหน้าราวกับ
    จะหลบสายตาที่เมียงมองมา

    ดนตรีโหมโรงหยุดไป ทุกคนเหมือนจะหยุดหายใจ ดรุณีน้อยตั้งวงได้งดงาม
    แม้ยังไม่มีส่วนโค้งเว้าอย่างสตรีสาวสะพรั่ง แต่ดูอ้อนแอ้นอรชรนัก

    แล้วใบหน้าอันงดงาม ก็เงยขึ้นสบพระพักตร์ ของพระเจ้ากรุงหงสา
    ตานั้นมีแววหวานปนเศร้า กลมโต ล้อมด้วยกรอบขนตายาวงอน
    ใบหน้าจิ้มลิ้ม ปากรูปกระจับอิ่มงาม ใบหน้ารูปไข่ แก้มอิ่ม แต่
    ที่ดูงามเกินบรรยาย คือผิวพรรณของดรุณีน้อย ดั่งทองทา เมื่อ
    ต้องแสงเทียน ราวกับต้องละอองทอง ดวงตาที่สบพระเนตรของเจ้ากรุงหงสา
    นั้นมีแววเว้าวอน ใบหน้างามมิได้ยิ้ม แต่ดูเศร้าสร้อย ชวนให้สงสารนัก
     
  13. jarujun

    jarujun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2013
    โพสต์:
    3,285
    ค่าพลัง:
    +11,833
    แล้วเสียงดนตรี ก็บรรเลงขึ้น ท่วงทำนองแสนหวาน
    ราวกับพระสุบิน นิมิต ที่พระเจ้ากรุงหงสาเฝ้าเพ้อฝันถึง มาร่ายรำอยู่ตรงหน้า
    เพียงแต่ในพระสุบิณนิมิตนั้น เป็นสตรีโฉมสะคราญ แสนงาม วัยสาวสะพรั่ง
    แต่ท่วงท่าการรำมิได้ผิดเพี้ยน งดงาม อ่อนหวาน ละเมียดละไมนัก

    แม้แต่พระเจ้านันทบุเรงอุปราชเมืองหงสา ก็มองดรุณีน้อย ดั่งต้องมนตรา

    แต่พ่ออยู่หัวเมืองสองแควรู้สึกร้อนรุ่ม พระเสโทไหลท่วมพระวรกาย
    พระองค์ดำ ได้แต่นิ่งมอง เจ้าพี่ คิดการอันใดกันแน่ อันโบราณราชประเพณี
    พระธิดาจักมิรำถวายพระพรโดยมิได้มีการขานพระนาม ทั้งยังมิได้ทรงเครื่อง
    อย่างนางรำ ยังทรงเครื่องของพระธิดา แต่ก็ราวกับต้องมนตรา มิกล้าคัดค้าน

    จนเสียงดนตรีหยุดไป ทุกคนจึงตื่นจากภวังค์ มองไปที่นางที่หมอบกราบอยู่กลาง
    ท้องพระโรง

    พ่ออยู่หัวเมืองสองแคว ก็ทรงนิ่งงัน มิกล้าแนะนำพระธิดา
    แต่พระเจ้าบุเรงนองกลับตรัสขึ้นมาก่อนว่า

    "งามนัก เสียแต่นางยังเยาว์ แต่กระนั้นข้าก็พึงใจมาก ขอให้มารับใช้ข้าคืนนี้
    ข้าจักปูนบำเหน็จให้อย่างงาม ขอบพระทัยเจ้าอยู่หัวเมืองสองแคว"

    แล้วก็ทรงกวักพระหัตถ์เรียก นางรำ " จงเข้ามาไกล้ๆ ให้ข้าดูหน้าชัดๆ"

    นางกลับมิขยับ กลับหมอบกราบ แล้วกล่าวด้วยเสียงอันไพเราะและนอบน้อม

    "หม่อมชั้น มีนามว่า พระสุพรรณกัลยา เป็นพระราชธิดาองค์โตของพ่ออยู่หัวเมือง
    สองแคว ด้วยพระบารมีอันเกรียงไกรของพระองค์ หม่อมชั้นจึงอยากทำให้สำราญ
    พระราชหฤทัย จึงได้รำถวายพระพร ตามโบราณราชประเพณี เป็นการรำถวายหน้าพระที่
    ครั้งแรก หากทำให้ทรงไม่พอพระทัย ขอพระราชอภัยโทษเพคะ"

    พระเจ้าบุเรงนอง ได้แต่นิ่งฟัง เจ้าอยู่หัวเมืองสองแควก็มิกล้าตรัสการใด
    พระนางสุพรรณกัลยา จึงกล่าวสืบไปว่า

    "หากทรงพอพระราชหฤทัย ขอพระองค์ทรงเมตตา ประทานรางวัลเพื่อเป็นเครื่องระลึกถึงพระองค์ ตามราชประเพณีชาวสยาม เพคะ"

    ครานี้ พระเจ้าบุเรงนอง ตรัสด้วยพระสุรเสียงเรียบเฉย

    "เจ้าต้องการอันใด กันแน่ จงเร่งกล่าวมาเถิด"

    พระสุพรรณกัลยา รู้สึกกลัวและสั่นไปทั้งตัว พระสุรเสียงที่เปล่งออกมา
    จึงสั่นไปด้วย

    "หากพระองค์ ทรงมีเมตตา ขอพระราชทานอภัยโทษ ให้กับน้องเล็กของหม่อมชั้น
    หากต้องไปไกลถึงหงสาวดี เกรงจะไม่มีชีวิตรอด แม้ไปถึงคงจะว้าเหว่อย่างมาก
    อีกทั้งพระมารดา คงจะตรอมพระทัย"
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 มิถุนายน 2016
  14. jarujun

    jarujun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2013
    โพสต์:
    3,285
    ค่าพลัง:
    +11,833
    พระเจ้าบุเรงนอง ทรงมีพระพักตร์เรียบเฉย ไม่กล่าวการอันใด นิ่งเงียบ
    ไปทั้งท้องพระโรง แม้เข็มซักเล่มตกก็คงได้ยิน ดนตรีก็มิกล้าบรรเลง

    "อันเราเป็นกษัตริย์ ตรัสแล้วมิคืนคำ แต่เราก็พึงใจที่เจ้ามีน้ำใจต่อเรา
    หากเจ้าต้องการเพชรนิลจินดา อันของมีค่าอันใด เราจักประทานให้"

    พระนางสุพรรณกัลยา ด้วยความยังทรงพระเยาว์ พระนางเงยพระพักตร์
    สบพระเนตรกับพระเจ้าบุเรงนอง (อันเป็นกิริยาอันไม่สมควร ด้วยเป็นหญิง)

    "อันตัวหม่อมชั้น มิได้ต้องการเพชรนิลจินดา ด้วยเมืองสองแควก็มีมากล้น
    อันหม่อมชั้นก็เป็นหน่อเนื้อชาติเชื้อกษัตริย์ แม้นเมืองสองแควมิได้เมืองขึ้นมากมายอย่างพม่ารามัญ
    แต่ก็หยิ่งทรนง และแม้นเกิดเป็นหญิงก็รักผืนแผ่นดินมิได้น้อยกว่าชาย หากพระองค์มีเมตตา
    ก็ขอให้นำตัวหม่อมชั้นไปแทนเถิด เพคะ น้องหม่อมชั้น
    ยังเล็กมิประสา หม่อมชั้นขอถวายตัวเป็นข้าในพระองค์"

    นับว่าเป็นเรื่องผิดประเพณี สำหรับยุคนั้น และน่าอับอายมาก ที่หญิงจักขอถวายตัว
     
  15. jarujun

    jarujun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2013
    โพสต์:
    3,285
    ค่าพลัง:
    +11,833
    ตลอดเวลาที่ตรัสนั้น พระนางสุพรรณกัลยา สบสายพระเนตร
    กับพระเจ้าบุเรงนอง ด้วยสายตาเศร้าสร้อย แม้นความนัยในความ
    หมายที่ตรัสเหมือนกับจะต่อว่าต่อขาน แต่ก็แฝงไปด้วยความนัยว่า
    อันพิษณุโลกสองแคว ยินยอมให้พระองค์แล้ว อย่าได้หักหาญน้ำใจ
    อีกเลย อันการถวายตัวของพระนาง ที่มีชาติเชื้อกษัตริย์ แต่เอ่ยปากของ
    ถวายตน โดยมิต้องมีราชประเพณี หรือพิธีการใดๆ ก็แสดงถึงความ
    สวามิภักดิ์และจงรักภักดี หากพระเจ้าบุเรงนองจะนำเกียรติขึ้นมาอ้างจะ
    เอาโทษต่อพระองค์ขาว ก็มิอาจกล่าวได้อีก ด้วยเกียรติย่อมแลกด้วยเกียตริ

    พระเจ้าบุเรงนองนั้น ให้ฉงนพระทัย นางยังเยาว์นัก แต่วิธีการที่นางกระทำ
    ยิ่งกว่าการวางแผนของแม่ทัพในการรบเสียอีก

    พระเจ้าบุเรงนองคาดมิได้ผิด พระพี่นางสุพรรณกัลยา ได้รับการศึกษาทุกอย่าง
    เทียบเท่าพระองค์ดำ ยกเว้นเพียงการใช้ศาสตราวุธ ด้วยพระบิดาทรงโปรดปราน
    แต่ก็ยังทรงเป็นหญิงด้วยโบราณราชประเพณี

    ทรงเชี่ยวชาญ ตำราพิชัยสงคราม การพยากรณ์ และมนต์ต่างๆ ที่ถ่ายทอดมาจาก
    กรุงอโยธยาด้วย
     
  16. jarujun

    jarujun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2013
    โพสต์:
    3,285
    ค่าพลัง:
    +11,833
    แต่เหนือฟ้าก็ยังมีฟ้า แม้ราวกับกลยุทธ์นี้ จะหมดหนทางให้พระเจ้าบุเรงนอง
    ไม่มีโอกาสตอบโต้ หากแม้นยืนยันจักให้พระองค์ขาวไปหงสา ก็ราวกับผู้ลุแก่อำนาจ
    และจะสร้างความแคลงใจให้เมืองสองแคว ด้วยศักดิ์ศรีของกษัตริย์พ่ออยู่หัวเมือง
    สองแควคงมิอาจยอมได้อีก

    ทรงนิ่งเงียบไปนาน แล้วพระสรวลก้องไปทั้งท้องพระโรง

    "ข้าจะตอบกระไรได้ เมื่อพิษณุโลกเมืองสองแควมีน้ำใจถึงเพียงนี้
    สงครามครั้งนี้ ข้าเพียงต้องการช้างเผือกคู่บารมี แต่ข้ากลับได้ของอันหาค่ามิได้"

    พระสุพรรณกัลยา ทอดถอนใจ ด้วยความเศร้าสร้อยในชะตาของตน แต่ก็
    ดีพระทัยที่พระองค์ขาวจักรอดพระอาญา

    "ข้ามิอาจหักหาญน้ำใจเมืองสองแควได้ ข้าอภัยโทษให้กับน้องชายเจ้า
    แต่เมื่อเจ้าสองพี่น้องไปอยู่หงสา คงจักมิได้กลับมาเมืองสองแควอีกนาน
    น่าสงสารนักที่พี่น้องต้องพลัดพรากจากัน"

    ว่าแล้วทรงหันไปตรัสกับพระองค์ขาว ที่เอาแต่ร้องไห้กระซิกๆ อยู่หลังพระองค์ดำ

    "เจ้าหนูน้อย เจ้าจักอยู่ที่เมืองสองแควแต่ผู้เดียว หรือจักไปอยู่หงสากับข้า
    จักได้อยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตา ข้าจักประทานม้าให้เจ้า หรือเจ้าต้องการสิ่งใด
    ข้าจักประทานให้ได้ทุกอย่าง"

    พระองค์ขาวได้ฟังคำตรัสนั้น แม้ยังไม่ประสานัก แต่รู้สึกกลัวที่จะไม่ได้พบพี่ทั้งสองอีก
    "หม่อมชั้น ขอโดยเสด็จเจ้าพี่ทั้งสองเพคะ"

    พระสุพรรณกัลยาให้ตกพระทัยนัก ด้วยคิดมิทัน ราชาแห่งหงสา

    แล้วเสียงเย้ยหยัน ก็ลอยมาเหนือพระเศียร พระสุพรรณกัลยา

    "เมื่อทั้งสามพี่น้อง อยากอยู่ใต้พระบรมโพธิสมภารของข้า จักไปเรียนที่หงสา
    ข้าก็ถือเป็นเกียรตินัก บัดนี้หงสากับพิษณุโลกสองแคว เป็นแผ่นดินเดียวกัน
    คืนนี้ข้าไม่ต้องการเจรจาการใดอีก ขอลากลับทัพหลวง เพลารุ่งขอชาวพิษณุโลก
    สองแควจงจัดเตรียมไพร่พล ไปกับทัพเรา ให้มีนางกำนัล ติดตามพระสุพรรณกัลยา
    ได้เพียงห้าคนเท่านั้น ส่วนไพร่พลทหารมิให้โดยเสด็จ ด้วยทัพข้าก็เพียงพอ"

    แล้วทรงลุกขึ้นจากพระแท่น เดินผ่านพระสุพรรณกัลยา ไปอย่างรวดเร็ว
    จนแทบหลบไม่ทัน

    ในน้ำพระทัยของพระเจ้าบุเรงนองนั้น ถูกตาต้องใจดรุณีน้อยมาก
    แต่ต้องแสดงให้เหล่าข้าราชบริพาร และเมืองสองแควรู้ว่า
    มิมีสิทธิ์เหนือใจเจ้าเหนือหัวเมืองหงสา

    ส่วนพระนางสุพรรณกัลยา ให้เกลียดชังพระเจ้าบุเรงนอง ด้วยช่างใจดำ และเจ้าเล่ห์นัก
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 มิถุนายน 2016
  17. jarujun

    jarujun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2013
    โพสต์:
    3,285
    ค่าพลัง:
    +11,833
    ต่อพรุ่งนี้ พระมหาธรรมราชา จะอบรมพระราชโอรส และพระธิดา ก่อนไปเมืองหงสา
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 มิถุนายน 2016
  18. jarujun

    jarujun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2013
    โพสต์:
    3,285
    ค่าพลัง:
    +11,833
    พระสุพรรณกัลยา ทอดถอนพระปัสสาสะ รู้สึกยำเกรงพระเจ้าบุเรงนองนัก
    รู้สึกได้ถึงกระแสอำมหิตในพระอารมณ์ที่ซ่อนอยู่ ถึงแม้พระองค์จะพยายามยิ้มแย้ม
    แสร้งเป็นมิตร แลดูเหมือนสุขุมลุ่มลึก แท้จริงแล้วกระแสจิตดั่งไฟที่ร้อนรุ่ม
    เป็นอีกความสามารถพิเศษของพระนาง รับกระแสอารมณ์ กระแสจิตของผู้อื่นได้

    เมื่อกองทัพหงสาออกจากท้องพระโรงแล้ว พ่ออยู่หัวเมืองสองแคว ก็ไม่ทรงเก็บ
    พระอารมณ์กริ้วที่พยายามควบคุมไว้อีก

    "พระสุพรรณ เข้าตำหนักบัดเดี๋ยวนี้ ข้ามีการจะลงทัณฑ์เจ้า"

    พระสุพรรณกัลยา ก้มถวายบังคม มิเคยได้ยินพระบิดากริ้วเช่นนี้ มาก่อน
     
  19. jarujun

    jarujun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2013
    โพสต์:
    3,285
    ค่าพลัง:
    +11,833
    พระสุพรรณ รีบเข้าไปตำหนักส่วนพระองค์ ตามพระบัญชาของพระราชบิดา
    แล้วหมอบกราบรอ หน้าพระแท่น พระองค์ดำรีบยื้อยุดพระองค์ขาว ตามมา
    ด้วยเกรงพระอารมณ์ของพระบิดา ที่เป็นคนเยือกเย็น มิเคยเห็นพระบิดากริ้ว
    เช่นนี้มาก่อน

    พ่ออยู่หัวเมืองสองแคว ทรงพระราชดำเนิน มาประทับที่พระแท่น มิทรงตรัสการใด
    เป็นนาน แต่โบกมือให้เหล่านางกำนัลออกจากพระตำหนัก

    ท่ามกลางแสงเทียนที่วูบไหว จากลมที่พัดมา เหมือนพระอารมณ์ในขณะ
    "ลูกหญิง อันพ่อนั้นเป็นพ่ออยู่หัวเมืองสองแคว แม้เมืองของเรามิได้เป็นเมืองหลวง
    แห่งสยาม แต่พ่อนั้นก็เพียรเป็นพ่ออยู่หัวของเมือง ไพร่ฟ้าหน้าใส ต้องอยู่ร่มเย็นเป็นสุข
    เสด็จปู่พร่ำเพียรสอนพ่อเสมอว่า เป็นราชาที่ดีนั้นต้องคิดถึงไพร่ฟ้าก่อนตน พ่อมิใช่
    ราชาที่ชอบรณรงค์สงคราม พวกเจ้าอาจไม่เข้าใจ ใยพ่อทำการเหมือนอกตัญญูต่อ
    เสด็จตาของพวกเจ้า แท้แล้วพ่ออยู่หัวบุเรงนอง และชาวหงสานั้นแข็งแกร่งนักในเพลานี้
    หากจักหักหาญ ก็คงดั่งเอาไม้ซีกไปงัดไม้ซุง หากไม่มีชีวิตแล้วไซร้ การจะกอบกู้เมืองไว้นั้น
    ย่อมเป็นมิได้ การสงครามนั้นโหดร้ายนัก หากแข็งขืน คงต้องโดนประหาร
    เจ็ดชั่วโคตร เผ่าพันธ์วงวานว่านเครือ คงจักหมดไปในกาลนี้ "

    ทรงทอดถอนพระปัสสาสะ เนิ่นนาน

    "พ่ออยู่หัวบุเรงตามที่พ่อได้ข่าวมาแล้วนั้น หากทรงพิโรธ ช่างอำมหิตนัก
    เมืองสองแควคงไม่เหลือแม้แต่ซาก หากพ่อจะเอาเกียรติศักดิ์ศรีเป็นเดิมพัน
    กว่าเมืองสองแควจะแตกพ่าย เลือดคงไหลดั่งสายน้ำ คงจะเหลือเพียงชื่อเท่านั้น ในคราวที่พ่อ
    ไปช่วยพระเจ้าตาของลูกเมื่อครากบฏแม่ศรีสุดาจันทร์ แม้ฝ่ายเรามีชัย แต่ภาพความหายนะ
    ที่ทิ้งร่องรอยไว้ให้เมืองนั้น ช่างโหดเหี้ยมนัก มิรู้จักกี่หัวที่ทับถม เพื่อพระราชบัลลังค์
    นั้นแค่สงครามในสยามเอง แต่หากเป็นสงครามกับเมืองหงสาแล้วไซร้ เมืองสองแควคงเหลือเพียงเถ้าธุลี

    การเปลี่ยนผ่านราชบัลลังค์นั้น หากมิใช่เชื้อวงค์ ย่อมต้องมิพ้นนองเลือด"
     
  20. jarujun

    jarujun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2013
    โพสต์:
    3,285
    ค่าพลัง:
    +11,833
    "ในเพลาสงครามเข้าประชิดเมือง เด็กและสตรีนั้นไซร้ ช่างน่าสงสารนัก
    พ่อมิอยากเห็นแม่และลูกต้องกอดคอกันสิ้นชีพ ดั่งที่พ่อได้เคยพานพบ
    พ่อผิดนักหรือ ที่รักษาชีวิตลูกเมียไว้ และชีวิตของไพร่ฟ้า ที่พ่อก็รักดั่งลูกของตน"

    ทรงทอดพระเนตรมาสบพระเนตรกับพระสุพรรณกัลยา
    "ลูกหญิงของพ่อ จงขึ้นมานั่งกับพ่อเถิด"

    พระสุพรรณกัลยาถวายบังคม แล้วเข้านั่งเคียงพระบิดา
    "ลูกหญิง แม้พ่อมิเคยเอ่ยว่ารักเจ้าเพียงใด แต่ให้รู้ไว้เถิด
    พ่อรักเจ้ายิ่งกว่าชีวิต เมื่อเจ้าเลยวัยเด็กย่างเข้าสู่วัยสาวอันตัวพ่อ
    นั้นเฝ้าเพียรดูแลให้เจ้างามทั้งนอกและใน สมกับเป็นหญิงชาววัง
    ให้สมกับขัติยะนารี แต่พ่อมิเคยคิดยกเจ้าให้ราชาองค์ใด พ่อจักไม่ใช้
    ลูกสาวที่เป็นดั่งดวงใจของพ่อ เป็นบันไดไปสู่อำนาจ การแต่งงาน
    ของวงค์กษัตริย์นั้น มักทำเพื่อให้ราชบัลลังค์เป็นปึกแผ่น สตรีก็เป็นเพียง
    หมากในเกมนี้ หากเจ้าแต่งงานแล้วก็เป็นสิทธิ์ของพระสวามีโดยชอบ
    จะสุข จะทุกข์ แล้วเรื่องราวของฝ่ายในแต่ละวังก็มิต่างกันนัก แวดล้อมด้วย
    สนมกำนัล ชิงรักหักสวาท "
     

แชร์หน้านี้

Loading...