คุณไสยมนต์ดำ

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย tsukino2012, 17 ธันวาคม 2018.

  1. tsukino2012

    tsukino2012 หยุดจึงพบ สงบจึงเกิด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    1,311
    ค่าพลัง:
    +3,090
    - คุณไสยมนต์ดำ -

    ขึ้นชื่อว่าคุณไสยมนต์ดำแล้วไม่ใช่ของดี แต่มีบุคคลในโลกเข้าไปข้องแวะอยู่มาก ทั้งที่ตั้งใจเข้าไปข้องเกี่ยวและไม่ตั้งใจจะข้องเกี่ยว แต่เป็นไปเพราะวิบากกรรม เรื่องของคุณไสยมนต์ดำเริ่มต้นจากความเชื่อ เริ่มจากพิธีกรรมที่เป็นเพียงความคิด ความมุ่งมั่นของบุคคลที่กระทำการใด ๆ ที่ขาดความสมเหตุสมผล เพื่อให้สนองต่อตัณหาและความต้องการของตน แต่... เมื่อทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดต้องมีปัจจัยและปัจจัยเหตุนั้นต้องสัมพันธ์กับผล ทำไมคุณไสยมนต์ดำถึงยังได้ผล แม้อาจจะแค่บางครั้ง แค่บางกลุ่ม หรือแค่บางคนก็ตาม เหตุปัจจัยใดที่ทำให้สิ่งที่ไม่สมเหตุสมผล จึงสามารถเป็นผลได้ หรือ... มันไม่เคยเป็นผลแต่แรกแล้ว??? สิ่งที่ไม่สมเหตุสมผลคือ พิธีกรรม แน่นอนว่าพิธีกรรมต่าง ๆ เช่น การทำสเน่ ก็ไม่ได้มีผลจากพิธีกรรมที่กระทำ แต่สิ่งที่ทำให้เป็นไปตามที่ประสงค์นั้นมีอยู่ สิ่งนั้นคือ "ความเชื่อ"

    ความเชื่อมีผลต่อเราอย่างไร?
    ความเชื่อนั้นมีผลต่อจิตใจของเราโดยตรง และจิตใจของเราก็มีผลส่งไปถึงร่างกายเช่นกัน ยกตัวอย่าง เมื่อเราได้เข้าใจไปว่าแฟนของตนเองไปมีคนอื่น เชื่อว่าแฟนของเรานอกใจ ความเชื่อนี้มีผลต่ออารมณ์และทำให้จิตใจขุ่นมัว จังหวะหัวใจเต้นผิดปรกติ ส่งผลไปถึงสุขภาพกาย ทั้ง ๆ ที่ในความเป็นจริงเราอาจจะแค่เข้าใจผิด หรือกรณีที่แฟนของเราได้นอกใจจริงมีคนอื่นจริง แต่เราเชื่อมั่นและไว้ใจ ก็ย่อมไม่เกิดความคิดแย่ ๆ ไม่เกิดอารมณ์ที่ไม่ดี ผลที่ไม่ดีต่อสุขภาพก็ไม่เกิด จากสองตัวอย่าง เป็นกรณีที่เราก่อกำเนิดเหตุปัจจัยทางอารมณ์ให้กับตัวเอง แต่เรื่องของคุณไสยมนต์ดำ เป็นเรื่องของความมุ่งมั่นแรงกล้าในความคาดหวังสิ่งหนึ่งจากอีกบุคคลหนึ่ง

    การที่บุคคลใด ๆ จะกระทำพิธีกรรมทางไสยศาสตร์ขึ้นมานั้น บุคคลนั้นย่อมต้องมีความเชื่อ มีความมุ่งมั่น มีความต้องการที่แรงกล้า กำลังจิตแบบนั้นเป็นพลังที่จะส่งไปสู่เป้าหมาย เมื่อจิตสื่อจิต ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าจะไม่มีผลเสียเลย ระบบการทำงานของคุณไสยไม่ใช่การทำพิธีกรรมให้สำเร็จ แต่เป็นกำลังจิตของผู้กระทำที่แรงกล้าส่วนหนึ่ง และความเชื่อของผู้ถูกกระทำส่วนหนึ่ง เมื่อบุคคลผู้ถูกกระทำนั่นเชื่อว่าคุณไสยมีอยู่จริง เชื่อว่าสิ่งนั้นมีพลังอำนาจเหนือเรา จึงเป็นปัจจัยให้กระแสความต้องการของผู้ทำพิธีกรรม สามารถหลั่งไหลเข้ามาสู่จิตใจของผู้ถูกกระทำได้ และเมื่อมีผลต่อจิตใจ ย่อมมีผลต่อร่างกายตามมาด้วย

    บุคคลที่ปกป้องตัวเองจากคุณไสยได้มี ๒ ประเภท

    ประเภทแรก คือ ผู้ที่ไม่เชื่อเรื่องลี้ลับ คุณไสยมนต์ดำ เมื่อจิตไม่รับ ต่อให้ผู้ทำพิธีกรรมจะมีความมุ่งมั่นแค่ไหนก็ไร้ผล บุคคลประเภทนี้ มักจะไม่เชื่อในเรื่องบาปบุญ ไม่เชื่อเรื่องเวรกรรม ไม่มีนรก ไม่มีสวรรค์ ไม่เชื่อในสิ่งที่มองไม่เห็นหรือจับต้องไม่ได้ หรือเป็นบุคคลประเภทที่เข้าถึงแก่นแท้ของธรรมชาติแล้ว เชื่อมั่นในหลักความสมเหตุสมผล แต่ไม่งมงาย

    ประเภทที่สอง คือ ผู้ที่มีความเชื่อ มีความมุ่งมั่นว่า สิ่งเหล่านั้นไม่สามารถมีอำนาจเหนือเราได้ คือ เชื่อมั่นว่าคุณไสยทำอะไรเราไม่ได้ บุคคลประเภทนี้ มักจะเป็นผู้ที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ เป็นบุคคลที่มีศีล เป็นบุคคลที่เชื่อมั่นในความดี มั่นใจว่าศีลจะปกปักรักษาเราได้นั่นเอง ส่วนมากจะเป็นบุคคลทั่วไปที่หาสิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจไว้ เช่น ห้อยพระเครื่อง และมีศรัทธาในวัตถุนั้น หรือไปทำพิธีการต่าง ๆ ที่มีความเชื่อว่าทำแล้วจะป้องกันได้ ใช้ความเชื่อหักล้างด้วยความเชื่อนั่นเอง

    ฉะนั้น ระบบมันเป็นอย่างนี้ เมื่อรู้แล้ว การรับมือกับสิ่งที่มองไม่เห็น จึงไม่ใช่เรื่องยาก ไม่ต้องไปเสียเงินเสียทอง ให้เขาหลอกว่าเป็นการทำพิธีถอนคุณไสยเสียให้วุ่นวาย เราทั้งหลายใช้เพียงความเชื่อมั่น ใช้ความดี ใช้สติ ใช้ปัญญา ก็เพียงพอแล้ว

    - วิริยะ โสดาปัตติผล -
     
  2. แผ่บุญ

    แผ่บุญ ชอบ~ศรัทธา 40 อสงไขย

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 มกราคม 2018
    โพสต์:
    355
    ค่าพลัง:
    +308
    "ประเภทที่สอง คือ ผู้ที่มีความเชื่อ มีความมุ่งมั่นว่า สิ่งเหล่านั้นไม่สามารถมีอำนาจเหนือเราได้ คือ เชื่อมั่นว่าคุณไสยทำอะไรเราไม่ได้ บุคคลประเภทนี้ มักจะเป็นผู้ที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ เป็นบุคคลที่มีศีล เป็นบุคคลที่เชื่อมั่นในความดี มั่นใจว่าศีลจะปกปักรักษาเราได้นั่นเอง ส่วนมากจะเป็นบุคคลทั่วไปที่หาสิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจไว้ เช่น ห้อยพระเครื่อง และมีศรัทธาในวัตถุนั้น หรือไปทำพิธีการต่าง ๆ ที่มีความเชื่อว่าทำแล้วจะป้องกันได้ ใช้ความเชื่อหักล้างด้วยความเชื่อนั่นเอง"

    ตรงส่วนนี้หลวงตาโพธิบารมีมากท่านก็พูดไว้คล้ายๆกันครับ ท่านว่า ถ้าเราสวดมนต์ภาวนานึกถึงครูบาอาจารย์(ท่านเป็นโพธิสัตว์ท่านก็พูดถึงผู้มีบารมีเต็มสายโพธิ) กระแสความดีบารมีรวมของท่านก็มาที่เรา เมื่อจิตเรามีแต่สิ่งดีมีกระแสบุญของพระอยู่กับเราแล้ว สิ่งไม่ดีก็เข้ามาไม่ได้ ถึงพยายามจะเข้ามาก็ถูกผลักออกไปที่เดิม ท่านจึงแนะนำให้นึกสวดมนต์ภาวนาฝากดวงจิตไว้กับครูบาอาจารย์ขอบารมีท่านดูแลช่วยเหลือเกื้อกูลในการดำรงชีวิตและปฏิบัติ ศีล ปฏิบัติธรรมสร้างบุญบารมีตลอดไป ตราบถึงฝั่งพระนิพพาน
     
  3. tsukino2012

    tsukino2012 หยุดจึงพบ สงบจึงเกิด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    1,311
    ค่าพลัง:
    +3,090
    ครับผม เรื่องของสิ่งที่เหนือสามัญสำนึกคนทั่วไป ที่ไม่เกี่ยวเนื่องด้วยประสาทสัมผัสทั้ง ๕ ก็คือ จิต หรือ ใจ กายนั้นเป็นบ่าว แค่ตื่นเต้นหวาดกลัวก็ทำให้หัวใจเต้นรัวได้แล้ว ฉะนั้น ข้าสึกศัตรูผู้รู้วิชชาก็อาศัยจิตของเป้าหมาย เล่นงานตัวเป้าหมายเอง หากมีการฝึกจิต อบรมสติ สร้างสมาธิ ดับความหวาดกลัว ปัญญาสูงกว่าความเขลา ก็เหมือนมีภูมิต้านทานต่อวิชชาของข้าสึกศัตรู แต่หนทางการฝึกฝนจิตใจนั้น แตกแยกออกไปตามแต่พื้นเพทางความเชื่อและศาสนา แต่ยังคงให้ผลในทางเดียวกัน คือ ป้องกัน
     
  4. pattcmt

    pattcmt เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2010
    โพสต์:
    121
    ค่าพลัง:
    +202
    ยากอยู่นะสำหรับคนทั่วไป มันมีการเรียกจิตวิญญานผีมาช่วยด้วย เสมือนคนไม่เคยว่ายน้ำแล้วโดนถีบตกน้ำ
    จะมีกี่คน ที่รอด ส่วนใหญ่ไม่รอด เคยอ่านหนังสือหลวงพ่อฤาษีตเจอสมัยหลวงพ่อปาน ลืมห้อยพระยังโดนทำคุณไสยเกือบไม่รอด
     
  5. แนน จันทบุรี

    แนน จันทบุรี Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 พฤษภาคม 2018
    โพสต์:
    141
    ค่าพลัง:
    +82
    ยังไงขออนุโมทนากับผู้ตั้งกระทู้นี้ก่อนนะครับคุณไสยย์ อำนาจสมาธิชนิดหนึ่งบวกกับคาถาคำบริกรรมที่ใช้ กำลังสมาธิชนิดนี้ช่วงหลังได้เปลี่ยนมาใช้ ทั้งทางการดำรงค์ชีวิต และจิตวิญญาณ ขอยกตัวอย่าง นายค. มีกำลังจิต มีสมาธิ สามารถส่งกระแสแห่งความคิดให้ผู้อื่นได้ โดยการเพ่งไปถึงผู้นั้นพร้อมทั้งยังมีอำนาจภายนอก คือ รู้จักผู้คนมากเช่นนักเลงขี้เมา เมื่อนายค.ต้องการทำอะไรตามใจตน ก็ใช้อำนาจทางเพ่งจิตนั้นส่งกระแสความคิด ให้บุคคลที่ตกเป็นเหยื่อทำความชั่ว เมื่อ เค้าไม่ทำตามคือเค้ามีสติอยู่บ้าง ก็คอยให้นักเลงขี้เมา ด่า ว่า สร้างปัญหาให้กับเหยื่อจนกลัวต้องทำตามนายค.สั่งทางจิตแล้วจึงให้นักเลงหยุด จนนายค.ทำแบบนี้จนคนยอมรับนับถือ แบบนั้น ฉะนั้น คอยระวัง ให้มีสติ สัมปะชัญญะ คือ มีเสียงกระแสความรู้เกิดขึ้นมา คือเรารับรู้ต้องใช้สติจดจ้องพิจารณาให้ดีเสียก่อนจึงกระทำ ถ้าเป็นเรื่องภายนอก ให้วางเฉย อดทนมัน แล้ว นายค.มันจะทำอะไรๆเราได้ยากขึ้น คือไม่ตกเป็นเหยื่อ ในการหาลาภยศให้นายค. ซึ่ง ประมาณนี้แหละที่คนในสังคมชาวบ้านเด็กวัยรุ่น กลัวและไม่กล้าปริปาก เพราะรู้อยู่ในใจแต่ไม่กล้า ต้องเป็นเบี้ยให้นายค.เพราะแบบนั้น จึงควรเตือนสติตนให้เสมอๆ หรือถ้าจะปล่อยวางไว้ที่มันอย่างนั้นก็ได้ เพียงกระแสจิต ความคิดที่เป็นกิเลส เท่านั้นไว้ที่มัน ช่างมัน เราเป็นพยานตัวเราได้ สติแข็งแรงอย่างนี้แล้วคนอย่างนายค.จะมาบังคับเรียกใช้เราไม่ได้(คนอย่างนายค.มีผลกรรมเสมอคือจะเข้าสู่ธรรมได้ยาก เข้าใจยากติดตัวตน แห่งกิเลส ฉาบเปลือกนอก อันตรายต่อตนเอง คือจิตใจเค้านำทุกข์สู่เค้าเอง)
     
  6. ไม่ใช่ตัวตน

    ไม่ใช่ตัวตน Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2018
    โพสต์:
    397
    ค่าพลัง:
    +175
    คุณต้องไปหา god dragon มังกรสู้ผี
     
  7. เทพบุตรลั้ลลาลั้ลลั้ลลาาา

    เทพบุตรลั้ลลาลั้ลลั้ลลาาา เพื่อมวลมนุษย์แลสรรพสัตว์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤศจิกายน 2014
    โพสต์:
    872
    ค่าพลัง:
    +1,936
    แล้วก๊อดดรากอนอยู่ที่ใหนเอ่ย ติ๊กต่อกๆๆๆ
     
  8. ไม่ใช่ตัวตน

    ไม่ใช่ตัวตน Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2018
    โพสต์:
    397
    ค่าพลัง:
    +175
    ทางyoutube ครับและในfacebook พี่แก เจ็บซ้ำสายดำมาเยอะ แกคงต้องมีความรู้ทางด้านนี้มาบ้าง
     
  9. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,425
    ค่าพลัง:
    +35,040
    กำลังสมาธิระดับปฐมฌานใช้งานได้
    ก็ป้องกันตนเองได้แล้วครับ
    หรือการไม่เชื่อเลย เพราะจะไม่มีสัญญา
    ในเรื่องนี้ก็ช่วยได้
    หรือการเคารพพระรัตนตรัย การสร้างความดีต่างๆ
    ก็ช่วยได้ครับ
    บางท่านอาจจะต้องใช้วัตถุมงคลเพื่อเป็นสื่อ
    กลางก็ช่วยได้ครับ.....

    ส่วนในกรณีนักปฏิบัติ ถ้าจิตเราไม่มีความ
    สามารถอะไร พวกหมอผี หมอธรรม
    เค้าไม่มาสนใจเราให้เสียเวลาหรอกครับ
    เหมือนคุณไม่มีรถแต่งไว้แข่ง
    เค้าไม่มามองหรือเสียเวลากับคุณหรอก
    เค้าแค่อยากจะลองว่า รถคุณแรงแค่ไหน
    พอนึกภาพออกไหมครับ

    เหมือนๆกับ พวกภูติที่แปลงกายได้
    ก็ไม่เข้ามาทดสอบ
    ความสามารถพวกนักปฏิบัติสายปัญญาหรอกครับ
    ถ้าจิตเราทำอะไร
    พิเศษไม่ได้นั่นหละครับ.....
    มันเสียเวลาเค้าครับ...

    ไม่ต้องห่วงอะไรครับ
    แม้เค้าเข้ามาทดสอบ
    ถ้าเราแน่จริง เค้าก็เลิกยุ่งกับเราเอง
    และจะมองเราเป็นมิตรครับ.....


    ส่วนกรณีที่เป็นวิบากเฉพาะ
    หรือที่สืบๆกันมา
    หรือเราถูกหลอก หรือไปสร้างเหตุเอง
    หรือเผลอรับสิ่งนั้นเข้าตัวจากการได้รับประทาน
    ยังไงก็โดนบ้างครับ ต่อให้เก่งแค่ไหนก็ตาม
     

แชร์หน้านี้

Loading...