เชิญเข้าร่วมสนทนาพิเศษเรื่อง มิติ ความฝัน ชาติภพ จิตวิญญาณ โดย @โนวา อนาลัย@ [Writer]

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย mead, 8 สิงหาคม 2007.

  1. mead

    mead เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2005
    โพสต์:
    8,134
    ค่าพลัง:
    +62,441
    คำว่าพ้นทุกข์หรือหลุดพ้นจากทุกข์นี่ คิดว่าพระพุทธเจ้าท่านได้คำตอบจากทดลองมาแล้วครับว่า..การปฎิบัติสู่การพ้นทุกข์ไม่ว่าวิธีการใดๆก็ตามหากไม่ใช้สติปัญญาพิจารณาไม่อาจเข้าสู่เส้นทางแห่งการรู้จริง-รู้แจ้งได้เลย..เชื่อว่าหลักการของพระพุทธเจ้าคงเป็นการสำนึกรู้ในธรรมชาติของจิตวิญญาณ การอยู่เหนือกระแสโลก การระลึกรู้จากตัวตนภายในที่พร้อมไปด้วยประสบการณ์ (ในทศชาติชาดก) การเชื่อมโยงกันจากระบบเครือข่ายแห่งพุทธะ..พระพุทธเจ้าองค์ก่อนๆ ก็มาชี้แนะวิถีทางแห่งพุทธะให้ท่านเดินทางตรง..เน้นที่"ธรรมแห่งแก่นแท้"ครับ เรื่องอื่นๆจึงเป็นเปลือกไปหมด..

    เมื่อท่านค้นพบสิ่งดีๆบนแนวทางสายกลางนี้ ท่านก็นำมาแสดงให้เป็นที่ประจักษ์กับนักบวช และพุทธสานิกชนทั่วไป..แต่ในยุคนั้นมีนักบวชเยอะท่านจึงเน้นแนวทางที่เหมาะสมกับยุคสมัยนั้นๆ แต่เราที่เป็นฆราวาสในยุคนี้ก็ทำตามพระสงฆ์บ้าง..เลืยนแบบพระสงฆ์บ้าง ซึ่งอาจทำให้สับสนได้ จนหลายคนคิดว่าต้องทำตามแบบอย่างพระเท่านั้นจึงจะหลุดพ้นได้ เช่น ลดละเลิกสิ่งต่างๆทั้งหมดเพื่อข้ามพ้นทุกข์..สวดมนต์ยาวๆ..นั่งสมาธินานๆ..ปลีกวิเวก..หลบหนีปัญหาไปบวช ฯลฯ แต่ในขณะที่ฆราวาสอย่างเราต้องทำสิ่งอื่นๆเพื่อสร้างสรรค์และหาประสบการณ์ไปด้วย เวลาต้องอยู่ท่ามกลางปัญหา ผู้คน สถานการณ์ต่างๆกัน ต้องเน้นสติแบบลืมตาเป็นพิเศษเลยครับ ระหว่างนี้เราทุกคนก็ต้องเรียนรู้ไปด้วย โดยปรับรูปแบบให้เหมาะสมกับตัวเราที่สุด ความเชื่อทุกความเชื่อจะถูกพัฒนาไปเป็นความรู้ได้ทั้งหมด และเราก็ตั้งเป้าหมายสุดท้ายไว้ที่การหลุดพ้น หรือแปลงสภาวะไปสู่พลังงานต้นกำเนิดเช่นกันครับ
    กับคำถามนี้คุณซิปฯมีอะไรจะบอกเพื่อนๆรึเปล่าน้า?
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 ตุลาคม 2008
  2. mead

    mead เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2005
    โพสต์:
    8,134
    ค่าพลัง:
    +62,441
    ความรวยนี่น่าจะนึกถึงตัวเลขหลักล้าน และตู้เซฟใหญ่ๆแบบธนาคารที่มีแม่เหล็กดูดเงินนะครับคุณชยุต อิอิ
    หรือจินตนาการถึงที่พักแสนวิเศษ อาหารดีๆ สุขภาพที่แข็งแรง ความมั่งคั่งความสมบูรณ์พูนสุขที่ไม่มีขีดจำกัด รวมถึงความสัมพันธ์ที่ดีกับคนรอบข้างไปด้วยครับ คุณชยุตรวยแล้วก็มาช่วยเหลือคนอื่นๆสร้างองค์กรการกุศลด้วยล่ะครับ

    ในทางตรงกันข้ามก็ทำให้นึกถึงคนที่ปรารถนาที่จะไม่ปราถนาเหมือนกันนะ เพราะในทางศาสนาและความเชื่อเดิมก็สอนว่าให้ปลดปล่อยความปราถนา-อารมณ์-ความรู้สึกต่างๆ ออกไปให้หมด แต่ว่าไปมันก็เป็นเครื่องมือที่เราต้องรู้จักใช้ให้ถูกต้องด้วยนะครับ เพื่อนๆว่าไงครับ

    [​IMG] <<<< เอากุณแจเซฟมาฝากครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 ตุลาคม 2008
  3. sarissa

    sarissa เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    173
    ค่าพลัง:
    +631
    เอาเรื่องสัญลักษณ์มาฝากค่ะ ตอนที่พูดถึงสัญลักษณ์มากริศาก็สงสัย เลยถามคุณอวตารบอยแล้วนำมาดัดแปลงเพื่อลงบล็อกพี่เขา มีเรื่องที่พูดกันหลายหนเรื่องนี้

    คำว่า ความคิด/สัญลักษณ์ มันคืออะไรคะ? ฉันไม่เข้าใจ (หรือคนแปลอาจแปลมั่ว คุณน่าจะหาคนแปลที่เก่งกว่านี้เพราะแปลได้มั่วมาก)ความคิดหมายถึงว่า จินตนาการออกมาเป็นภาพ หรือ คิดออกมาเป็นคำพูด ตี๊ต่างว่า ฉันนี่เป็นผู้จัดการอยู่นะคะ แล้วทีนี้บริษัทก็มีอภิมหาโปรเจคต์ เขาก็กำลังคัดสรรหาคนที่จะดูโปรเจคต์นี้ แล้วฉันเองก็เป็นหนึ่งในผู้ที่เขามองไว้อยู่ ทีนี้ฉันควรจะคิดอย่างไรดีคะ

    ฉันควรจะคิดว่า...ฉันได้เป็นผู้ดูแลโปรเจคต์นี้แล้ว ในความคิดของฉัน ฉันน่าจะเห็นภาพตัวเองทำงานตำแหน่งนี้อยู่ หรือฉันควรจะคิดเป็นคำพูดออกมาว่า สมศรี(มันเป็นชื่อของฉันค่ะ)เป็นผู้ดูแลโปรเจคต์ แล้วก็พูดตอกย้ำกับตัวเองว่า สมศรีเป็นผู้ดูแลโปรเจคต์
    นี่ฉันซีเรียสนะคะ สับสนมากมาย เพราะเกรงว่าไอ้วิธีการที่ฉันคิด มันผิดวิธีกลายเป็นพวกฝันฟุ้งฝันกลางวันไปเสียก่อน เพราะฉันน่ะเป็นพวกฝันเฟ้อมาแต่ไหนแต่ไรแล้วค่ะ จนคุณแม่ฉันชอบว่า ฉันเป็นพวกนั่งฝันกลางวัน บางทีฉันก็นั่งฝันฟุ้งเป็นตุเป็นตะเป็นชั่วโมงๆเลย เช่นฉันจะจินตนาการว่า ฉันพูดกับคนนั้น คนนั้นเขาจะตอบอย่างนั้นอย่างนี้ บลาๆๆ พอคุณพูดว่า พวกฝันกลางวันนี่ฉันสะดุ้งโหยงเลย กลัวว่าฉันเป็นแบบนั้นละค่ะ

    <O:pทีนี้กลับมาเรื่องสัญลักษณ์อีกที ตี๊ต่างว่า ฉันน่ะฝันอยากจะมีบ้านงามๆสักหลัง ขนาดสัก 7 ห้องนอนเลยล่ะ (จริงๆแล้ว ฉันแค่อยากจะบอกว่า บ้านหลังใหญ่ๆ แต่กลัวคุณจินตนาการความใหญ่ไม่ได้ เลยบอก 7 ห้องนอน) ความคิดของฉันควรเป็นแบบไหนคะ ฉันควรคิดว่า...
    ฉันอยู่ในบ้านหลังนั้นแล้วพร้อมสาวรับใช้แล้ว (บ้านใหญ่ขนาดนั้น ฉันคงจะทำความสะอาดไม่ไหวแน่) หรือ คำว่า สัญลักษณ์ที่คุณพูดถึง หมายถึงว่า ฉันควรจะไปหารูปบ้านสวยในนิตยสารบ้านและสวนมาดู ดูจนติดตา

    สัญลักษณ์ที่ว่า มันคืออะไรคะ?
    หรืออย่างที่คุณveggie guyปรารถนาจะถูกล็อตเตอรี่รางวัลที่ 1 สัญลักษณ์ที่เขาควรจะเพ่งจดจ่อไปคือ ล็อตเตอรี่ ถึงแม้มันจะเป็นล็อตเตอรี่เก่าเมื่อปีที่แล้ว แต่เราถือว่า มันคือ สัญลักษณ์ที่เราจะเอาไว้เพ่งจดจ่อ
    ก่อนจบคำถาม ฉันขอบอกคุณเลยนะคะว่า บทความที่คุณเขียนมันสุดยอดมากๆสำหรับฉัน และมันมักจะมาเวลาที่ฉันกำลังต้องการคำตอบเสมอ ขอบคุณอีกครั้งนะคะสำหรับบทความยอดเยี่ยมนี้ ฉันชื่นชมข้อเขียนของคุณมากๆค่ะ
    สมศรี

    OK, THIS IS AN EXCELLENT QUESTION:)
    LET ME EXPLAIN...
    DEEPER IN MORE DETAILS.
    THERE ARE 3 WAYs OF MANIFESTATION AS I KNOW OF.<O:p></O:p>
    โอเค ตั้งแต่คุยกันมา ผมเพิ่งจะเห็นคำถามเข้าท่าก็คราวนี้ละ
    มา.. ผมจะอธิบายให้ฟังอย่างละเอียดขึ้นไปอีกว่า อย่างที่ผมรู้มา มันมี 3 แบบในเรื่องเจตนารมย์

    1) THE BASIC MANIFESTATION POWER
    THOUGHT/IMAGINATION + EMOTION = REALITY<O:p></O:p>
    1.พลังเจตนารมณ์ที่เป็นระดับพื้นฐาน
    ความคิด/จินตนาภาพ+ความรู้สึก = ความจริง

    This technique is from general self-help book such as...the secret, western positive thinking, etc...
    เทคนิคนี้ก็จะอยู่ตามหนังสือพวกจิตวิทยาทั่วไป เช่น เดอะซีเคร็ต การคิดเชิงบวก หรือฯลฯ
    This technique is about using IMAGINATION and EMOTION/FEELING (believe) that you already achieved your desire before it happen, then you will experience it in real life.<O:p></O:p>
    เทคนิคนี้จะเกี่ยวกับการจินตนาภาพและอารมณ์/ความรู้สึก(ความเชื่อ)ว่า คุณได้บรรลุสิ่งที่คุณปรารถนาแล้วก่อนที่มันจะเกิดขึ้น จากนั้นคุณก็จะได้รับประสบการณ์นั้นในชีวิตจริง<O:p
    <O:p


    This technique using creative details of imagination and EMOTION POWER.
    เทคนิคนี้ใช้รายละเอียดของการสร้างสรรค์จินตนาภาพ และพลังอำนาจแห่งอารมณ์
    YES!!! You could use this technique to manifest your goal.<O:p></O:p>
    แน่นอน!!! คุณจะใช้เทคนิคนี้ได้เพื่อเป้าหมายแห่งเจตนารมณ์ของคุณ

    This power use 4th chakra (Heart Power)
    I call this a HUMAN POWER:)<O:p></O:p>
    เทคนิคนี้ใช้จักระที่ 4 ( พลังแห่งหัวใจ) ผมขอเรียกมันว่า พลังแห่งมนุษยชน

    2) THE MEDUIM MANIFESTATION POWER
    WORD/AFFIRMATION POWER.
    2.พลังอำนาจแห่งเจตนารมณ์ระดับกลางคำพูด/พลังแห่งการตอกย้ำ
    This technique is about saying word such as I AM ALREADY BEEN/HAD/DONE.... millionsssss times until we feel like we are already been/had/done that.<O:p></O:p>
    เทคนิคนี้จะเกี่ยวข้องกับการพูดเช่น ฉันเป็น ฉันได้ ฉันมีเรียบร้อยแล้ว เป็นล้านๆครั้งจนกว่า คุณจะรู้สึกเชื่ออย่างสนิทใจว่า คุณได้เป็น/มี/ทำ เรียบร้อยแล้ว

    This technique is increasing vibration of our being into the same/match that word/desire of vibration.<O:p></O:p>
    เทคนิคนี้เพิ่มพลังการสั่นสะเทือนของคลื่นความสั่นสะเทือนของเราให้ตรง/เป็นคลื่นเดียวกันกับคำพูด/ความปรารถนานั้น

    This technique, using the 5th chakra (Throat/sound power)<O:p></O:p>
    เทคนิคนี้ เราใช้จักระที่ 5 (ลำคอ/พลังแห่งเสียง)

    3) THE ADVANCE MANIFESTATION POWER
    THIRD EYE MEDITATION (FOCUS/CONCENTRATION)
    3.พลังอำนาจแห่งเจตนารมณ์ในระดับสูง การปฏิบัติสมาธิที่ดวงตาที่สาม (จดจ่อ/เพ่ง)
    This technique is using the highest power of the 6th chakra.
    Spirit/Consciousness Power:)
    เทคนิคนี้ใช้ระดับพลังงานที่สูงที่สุดที่จักระที่ 6 พลังงานแห่งจิตวิญญาณ/จิตสำนึก
    This technique is different than 2 previous above.
    เทคนิคนี้แตกต่างจากสองแบบแรก
    This technique , we dont use EMOTION, WE FOCUS/CONCENTRATE (THOUGHT/SYMBOL) ONLY until your mind become ONE or KNOWING from deep within.
    เทคนิคนี้ เราไม่ใช้อารมณ์ เราเพ่ง/จดจ่อ(ความคิด/สัญลักษณ์)เท่านั้น จนกว่าภาวะจิตของคุณจะรวมเป็นหนึ่งเดียวกันหรือ รับรู้จากเบื้องลึกภายในตัวตน
    <O:p</O:p

    We do this by knowing what we want and then write one word to represent that desire and then translate that word into SYMBOL/PICTURE.
    เราทำสิ่งนี้โดยรู้ว่า สิ่งใดที่เราปรารถนาและจากนั้น เราก็เขียนคำๆหนึ่งลงไปเพื่อแทนความปรารถนานั้น และจากนั้นเราก็แปลงคำๆนั้นเป็นสัญลักษณ์/รูปภาพ
    Such as...
    if your desire were as above,
    so I can translate that many desire into each one word as....LOVE, MONEY, HOUSE, HEALTH, PROJECT MANAGER or LOTTERY WINNER.
    (this technique, we dont explain in deep details,
    just only one word for each desire:)
    เช่นว่า ถ้าคุณปรารถนาสิ่งที่คุณบอกข้างต้น ผมก็จะแปลงความปรารถนามากมายนั้นออกมาเป็นคำๆเดียว เช่น ความรัก เงิน บ้าน ผู้จัดการโครงการถูกล็อตเตอรี่รางวัลที่1
    Then translate each word into a SYMBOL, such as
    love = RED HEART SYMBOL
    money = DOLLAR/BATH $ SYMBOL
    house = HOUSE SYMBOL
    health = BODY SYMBOL
    project manager = DESK SYMBOL
    lottery winner = SMILE SYMBOL
    จากนั้นผมก็จะแปลงคำแต่ละคำให้เป็นสัญลักษณ์ เช่น<O:p></O:p>
    ความรัก = สัญลักษณ์เป็นรูปหัวใจสีแดง<O:p></O:p>
    เงิน = สัญลักษณ์เป็นดอลล่าร์ $ หรือ บาท ฿<O:p></O:p>
    บ้าน = สัญลักษณ์บ้าน<O:p></O:p>
    สุขภาพ = สัญลักษณ์ร่างกาย<O:p></O:p>
    ผู้จัดการโครงการ= สัญลักษณ์โต๊ะทำงาน<O:p></O:p>
    ถูกล็อตเตอรี่รางวัลที่ 1 = สัญลักษณ์ยิ้ม
    You can use any symbol
    to represent each word of your desire
    whatever you like,
    because Spirit/Consciousness within you ALREADY know what your symbol represent to your desire.
    คุณจะใช้สัญลักษณ์ใดๆก็ได้ที่แทนคำแต่ละคำในความปรารถนาของคุณ อะไรก็ได้ที่คุณชอบ เพราะจิตวิญญาณ/จิตสำนึกภายในของคุณเขารู้ดีอยู่แล้วว่า สัญลักษณ์อะไรแทนความปรารถนาของคุณ
    Then take a piece of small-white paper and draw that symbol on it.
    Such as for money symbol...
    $ Draw this symbol with any color on one piece of small white paper, then paste it around your house or infront of <O:p></O:p>
    computer and focus on it with eye open first.<O:p></O:p>
    จากนั้นก็หากระดาษขาวเล็กๆมาสักแผ่นแล้ววาดสัญลักษณ์นั้นลงไป เช่นสัญลักษณ์เงิน<O:p></O:p>
    คุณก็วาดรูป $(฿)ลงไป จะสีไหนก็ได้ในกระดาษเล็กๆสีขาวจากนั้นก็ติดมันให้ทั่วบ้านไปเลย หรือติดหน้าเครื่องคอมพิวเตอร์ และเพ่งจดจ่อไปที่มัน ตอนแรกก็ลืมตามองก่อนนะ

    Then try to remember, this symbol/picture in deep details and then close your eyes and try to see/imagine it in your mind and open your mind again and see it and close your mind UNTIL you can remember this symbol in your deep memory whether you close your eyes or open your eyes.
    จากนั้นคุณก็พยายามจดจำสัญลักษณ์นี้/รูปนี้ให้ลึกลงไปในรายละเอียดเลยทีเดียว จากนั้นหลับตาลงและพยายามให้เห็น/จินตนาภาพถึงมันในภาวะจิตของคุณ และเปิดตาของคุณอีกครั้งมองมันแล้วผนึกจิตลง (หลับตาลง)จนกระทั่งสัญลักษณ์นี้แนบแน่นในความทรงจำของคุณ คุณจดจำได้ไม่ว่าจะลืมตา หลับตา
    Then in your meditation (might be in the morning and night time),
    you close your eyes and focus and concentrate on that symbol in your mind eyes around forehead, keep focusing for 30 mins to 1 hr and keep doing it like this until you manifest it in reality. (You will know when it happen, might take 1 month, 3 month or a year, depend on your ability)
    จากนั้นในการปฏิบัติสมาธิของคุณ (ซึ่งอาจจะเป็นตอนเช้าและก่อนนอน) หลับตาลง เพ่งและจดจ่อที่สัญลักษณ์นั้นในดวงตาแห่งภาวะจิตของคุณffice:smarttags" /><?xml:namespace prefix = st1 ns = "urn:schemas-microsoft-com[​IMG]บริเวณหน้าผาก คงภาพจดจ่อไว้สัก</st1:personName> 30 นาทีถึง 1 ชั่วโมง แล้วหมั่นทำแบบนี้จนกว่า เจตนารมณ์ของคุณจะเป็นจริง (คุณจะรับรู้เองเมื่อมันเกิดขึ้น บางทีอาจจะสักเดือน 3 เดือน หรือหนึ่งปี ขึ้นอยู่กับความสามารถคุณเอง)
    And in day time while you are working, you could keep looking at that symbol on that white paper very often.
    และในยามกลางวันขณะที่ทำงานอยู่ คุณอาจจะมองไปที่สัญลักษณ์ที่อยู่บนกระดาษขาวนั้นได้บ่อยๆ
    This is basic technique,
    HOWEVER if you are an advanced, you could DRAW all 6 symbol in ONE small white paper,
    and you could focus on them at the same time all 6 symbol,
    if your mind is strong and can hold all 6 at one time.
    นี่คือเทคนิคพื้นฐาน แต่ยังไงนะถ้าคุณก้าวหน้าขึ้นมาอีก คุณก็วาดสัญลักษณ์ 6 อย่างนั้นลงบนกระดาษขาวแผ่นเล็กๆเพียงแผ่นเดียวก็ได้ และถ้าคุณสามารถที่จะจดจ่อในเวลาเดียวกันทั้ง 6 สัญลักษณ์นะ ถ้าภาวะจิตของคุณแข็งแกร่งเพียงพอและสามารถยึดเอาภาพทั้ง 6 ภาพไว้ในคราวเดียวได้
    Or you might start as 1 or 2 - 3 symbol at a time first, if you need urgently.
    หรือคุณอาจจะเริ่มที่ 1 หรือ 2-3 สัญลักษณ์ในครั้งแรกก่อน ถ้าคุณมีความจำเป็นเร่งด่วนที่จะได้<O:p></O:p>

    When you do this technique,
    you dont use EMOTION or BELIEVE,
    and dont worry when or how will it happen or whatever,
    ONLY focus and live in the NOW.
    ใช้เทคนิคนี้แล้ว คุณไม่ต้องใช้อารมณ์หรือความเชื่อ และอย่าไปกังวลว่า เมื่อไหร่จะได้ หรือ มันจะมาวิธีไหน หรืออะไรก็แล้วแต่ ขอเพียงแต่เพ่งจดจ่อ และอยู่ในปัจจุบันขณะนี้เท่านั้น
    Just focus your symbol into DEEPER mind within.
    Thats all what you need to do with this technique.
    ขอแค่เพ่งจดจ่อสัญลักษณ์ของคุณให้ลึกลงไปในภาวะจิตเบื้องลึก แค่นี้เท่านั้นที่คุณจะต้องทำในการใช้เทคนิคนี้
    The result will show up by itself and if not showing yet,
    then keep practicing it again and again each day and morning UNTIL you get what you want in your physicality.
    ผลที่ได้รับมันจะแสดงออกมาให้เห็นเอง และถ้ามันยังไม่เห็นผล คุณก็ฝึกต่อไปเรื่อยๆ ฝึกอีก และอีกในทุกๆวันและทุกๆเช้าจนกว่าคุณจะได้ในสิ่งที่คุณต้องการในทางกายภาพ
    There are many way for your desire to show up,
    it might be from your inspiration or from other people or whatever,
    so dont worry, because this is not your job to figure it out,
    your job is to focus your desire until your WHOLE mind obsession with it and lost your mind into it deeply UNTIL YOU BECOME ONE with your SYMBOL.
    มีหลายหนทางที่ความปรารถนาของคุณจะเห็นผล มันอาจจะมาจากแรงบันดาลใจจากตัวคุณเองหรือจากผู้อื่นหรืออะไรก็แล้วแต่ ดังนั้นอย่ากังวล เพราะไม่ใช่หน้าที่ที่คุณจะไปกำหนดว่ามันจะมาแบบไหน หน้าที่ของคุณก็คือ เพ่งจดจ่อไปที่ความปรารถนาของคุณจนกระทั่งครอบงำภาวะจิตของคุณทั้งหมดและหลงลืมจิตดิ่งเข้าไปสู่มันอย่างลึกล้ำ จนกว่าที่คุณจะเป็นหนึ่งเดียวกับสัญลักษณ์ของคุณ
    UNTIL you dont remember who you are any more, because you lost yourself into that desire.
    จนกว่าที่คุณจะจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่า คุณเป็นใครเพราะคุณได้สูญเสียตัวตนไปในความปรารถนานั้นเสียแล้ว
    REMEMBER : Live in the nOW and YOU lost yourself and become ONE with your SYMBOL:)
    ระลึกไว้นะว่า อยู่ในปัจจุบันขณะนี้ และคุณได้ได้สูญเสียตัวตนไปเป็นหนึ่งเดียวกับความปรารถนานั้น
    This is a sign that you success in doing it and the result will show by itself naturally.
    นี่เป็นเครื่องหมายบ่งบอกว่า คุณประสบความสำเร็จในการปฏิบัติและผลลัพธ์จะเผยให้เห็นเองอย่างเป็นธรรมชาติ
    PS: You are not the oNLY one who confuse about what is thought/symbol, may be I have to write a new article about what is thought or mind or symbol in the future.
    ปล.ไม่ใช่คุณคนเดียวหรอกน่าที่จะสับสนเกี่ยวกับเรื่องความคิด/สัญลักษณ์บางทีผมอาจจะเขียนบทความใหม่สักบทเกี่ยวกับว่า อะไรคือความคิดหรือภาวะจิตหรือสัญลักษณ์ในอนาคตข้างหน้านี่
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 ตุลาคม 2008
  4. zipper

    zipper เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กันยายน 2004
    โพสต์:
    5,226
    ค่าพลัง:
    +10,590
    ขอบคุณคุณ sasissa ที่นำบทความนั้นลงมา ทำให้เข้าใจเรื่องสัญลักษณ์มากขึ้น (แถมเวลาโพสก็สวยซะด้วยสิ)

    พออ่านไปก็มีคำถามต่อไปว่า แล้วทีนี้ทั้ง 3 เทคนิคนี้มีข้อได้เปรียบเสียเปรียบยังไง เช่นวิธีนี้จะดึงดูดมาได้เร็วกว่านะ
     
  5. zipper

    zipper เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กันยายน 2004
    โพสต์:
    5,226
    ค่าพลัง:
    +10,590
    ทีคิดคำถามนี้ได้ ก็เพราะว่าได้คิดถึงตอนที่พระพุทธเจ้าได้ลองปฏิบัติตามวิถีทางต่างๆ เพื่อหาหนทางหลุดพ้น ซึ่งหลังจากปฏิบัติไปก็รู้ว่าวิถีทางเหล่านั้นไม่ใช่ทางที่จะหลุดพ้นได้ เช่นการอดอาหารทรมาณกาย

    จากตรงนี้เลยคิดสงสัยว่า พระพุทธเจ้าท่านรู้ได้อย่างไร คิดได้ยังไง ที่อ่านๆ มาก็จะมีเขียนแค่ประมาณว่าพระพุทธเจ้าได้ลองปฏิบัติตามอย่างที่ทำกันในสมัยนั้นคืออดอาหาร หลังจากปฏิบัติมาหลายปี ก็รู้ว่าไม่ใช่

    ก็มีเขียนประมาณนี้ แต่ไม่มีเขียนเลยว่า ทำไมพระพุทธเจ้าถึงรู้ได้ ทำไมล่ะ ในเมื่อก็มีคนปฏิบัติกันเยอะ แล้วทำไมพระพุทธเจ้าท่านถึงได้คิดว่ามันไม่ใช่ พิจารณายังไง

    อาจจะเขียนไปทางพุทธศาสนาหน่อย แต่คิดว่ามันเป็นประโยชน์เหมือนกันนะ กับการใช้วิเคราะห์ บางครั้งคนเราก็หาว่าสิ่งนั้นมันไม่ใช่เพราะไม่ได้มีเขียนถึง แต่ถ้าลองวิเคราะห์กันก็อาจจะใช่ก็ได้ แต่ทักษะการวิเคราะห์ ก็เป็นสิ่งที่ไม่ค่อยทำกันเท่าไหร่ อยากให้เอาอย่างพระพุทธเจ้าในการวิเคราะห์ถึงความเชื่อในเรื่องต่างๆ แต่ก็ไม่ค่อยมีเขียนถึงเท่าไหร่ว่าพระพุทธเจ้าท่านใช้หลักยังไง

    เขียนไปเขียนมา จะเหมือนเป็นการพายเรือในอ่างหรือเปล่าครับเนี่ย ชักงง แล้ว

    เอาง่ายๆ ก็คือ มีใครตอบได้หรือเปล่าว่าเหตุใดการปฏิบัติการทรมาณตนอย่างที่ทำกันสมัยนั้นจึงไม่ใช่เส้นทางพ้นทุกข์ได้
     
  6. sarissa

    sarissa เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    173
    ค่าพลัง:
    +631
    ตายจริงรู้สึกว่าหมู่นี้ชักจะเป็นคนช่างพูดขึ้นมาซะงั้น อ่านทำนายดวงก็แม่นนะคะเขาว่าจะถกเรื่องจิตวิญญาณกับมิตรสหายที่รู้ใจ หุหุ อย่าเพิ่งเบื่อนะคะจะพยายามไม่มาชวนคุยบ่อยๆ

    ตามที่คุยกับคุณอวตารบอยเขาบอกว่า
    วิธีที่ 1-2 ก็ระดับเบสิคแบบที่สอนๆกัน
    ขั้นแอดว็นซ์นี่เป็นท่าไม้ตายแล้วละคะ ถ้าเปรียบเทียบก็พลังระดับ10ของโงคุนเลยเชียว

    มีอีกตอนหนึ่งที่พูดถึงเรื่องสัญลักษณ์อีกครั้ง ไว้จะเอามาลงให้ค่ะ
     
  7. นาย เอ

    นาย เอ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    258
    ค่าพลัง:
    +535
    ถ้าหากฝันว่าเพื่อนที่ตายไปแล้วมาจับมือแล้วมาขอให้ทำบุญไปให้ บอกว่าขอเสื้อผ้าด้วยน๊ะไม่มีใครทำบุญให้เลย ภาพขัดมากเหมือนในทีวีควรทำอย่างไรครับ
     
  8. mead

    mead เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2005
    โพสต์:
    8,134
    ค่าพลัง:
    +62,441

    กรณีนี้..เป็นไปได้ว่าจิตวิญญาณส่งกระแสถึงกันผ่านช่องทางความฝันได้ เป็นความรู้สึกผูกพันระหว่างเพื่อนจนทำให้เราจูนภาพนั้นได้อย่างคมชัด ทำบุญตามที่เค้าขอมาก็ได้ครับเพื่อความสบายใจ แต่จริงๆแล้วสิ่งของพวกนั้นไม่ได้มีความหมายกับจิตวิญญาณเลยแม้แต่น้อย เป็นไปเพราะความหลงมิติและความเคยชินครับ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องกิน-เสื้อผ้า-ที่อยู่อาศัย เป็นต้น เกิดจากสภาวะจิตที่จินตนาการขึ้นมาจากความกลัวและความเชื่อ (เช่นกลัวความเปลือยเปล่า ไม่มีเพื่อนฯ) จิตวิญญาณที่เข้าใจแล้วจะไม่ขอสิ่งเหล่านี้ หากจินตนาการไว้ล่วงหน้าแล้วว่าโลกของจิตวิญญาณของเราจะมีพร้อมบริบูรณ์ บางคนมีขบวนแห่มารับด้วยครับไม่เหงาแน่

    สิ่งที่ควรจะทำมากกว่าก็คือการส่งกระแสความรัก ความเมตตา แสงสว่างทางปัญญาไปให้เค้าไม่ต้องห่วงหรือผูกพันกับมิติโลกจนเกินไป บอกให้เค้าหาประสบการณ์ในโลกของจิตวิญญาณไปตามที่ควรจะเป็นและดำรงอยู่กับประสบการณ์นั้นให้ได้ตามปกติ ด้วยการกำหนดนึกด้วยคำพูดจากความรู้สึกอันแท้จริงที่มีต่อเขา หรือจะผ่านพระสงฆ์,นักบวชทำหน้าที่นี้ก็ได้ครับ
    เรื่องนี้เพื่อนๆน่าจะมาช่วยกันขยายความเกี่ยวกับโลกของจิตวิญญาณนะครับ ถึงเวลาจะได้ไม่กลัวกันครับ
    [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 ตุลาคม 2008
  9. นาย เอ

    นาย เอ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    258
    ค่าพลัง:
    +535
    ขอบคุณมากๆครับที่อธิบาย แต่ที่สงสัยคือเขาตายไปตั้ง7-8 ปีแล้วโดยที่เราไม่เคยเกี่ยวข้องหรือนึกถึงเขาเลยถ้าไม่ฝันก็อาจจะจำไม่ได้ด้วยซ้ำ เขาบอว่าไม่มีไครทำบุญให้เขาเลย แถมตอนจับมียังรู้สึกอุ่นด้วย ขอโทษน๊ะครับที่ถามแปลกๆแต่กก็คงเป็นประสบกาณ์ที่มาเล่าให้ฟังครับ ขอบคุณมากครับ
     
  10. mead

    mead เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2005
    โพสต์:
    8,134
    ค่าพลัง:
    +62,441
    เป็นคำถามที่คุยกันในชมรมน่าสนใจดี
    เอามาลงหน้าห้องดีกว่าครับ (ขออนุญาติจิ๊กข้อความเพื่อนๆด้วยครับ อิอิ)

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 ตุลาคม 2008
  11. เซลล์

    เซลล์ ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 เมษายน 2008
    โพสต์:
    661
    ค่าพลัง:
    +310
    ยินดีต้อนรับ คุณ นาย เอ นะครับ (เรียกติดกัน เกรงว่าจะไม่เหมาะสม อิอิ) ;welcome2

    อ.อนาลัย และพี่นักเขียน กล่าวไว้เสมอๆว่า เวลาเป็นเครื่องพราง แท้จริงแล้วเวลาไม่มีจริง

    ดังนั้น อดีต ปัจจุบัน กับอนาคต จึงอยู่พร้อมกันหมด

    ในโลกหลากมิติ เราจะไปพบเจออดีต หรืออนาคต ได้ในปัจจุบัน เพียงแต่เราเปลี่ยนวิถีการจดจ่อในปัจจุบัน

    การพบเจอกันในความฝันนั้น เกิดขึ้นได้เสมอ เนื่องจากไม่มีเวลาเป็นตัวกั้นขวางครับ

    คุณ นาย เอ ลองอ่านหนังสือเรื่อง ธรรมชาติของชาตภพ ในเว๊ปไซต์พี่นักเขียนดูนะครับ แล้วจะเริ่มเข้าใจเกี่ยวกับธรรมชาติของจิตวิญญาณภายในครับ

    แล้วเราจะพบว่า โดยธรรมชาติที่แท้จริงแล้ว เราพบเจอกันอยู่เสมอๆ ในเส้นทางใดเส้นทางหนึ่ง จากหลากหลายเส้นทางครับ ;aa22
     
  12. kung

    kung เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กุมภาพันธ์ 2005
    โพสต์:
    247
    ค่าพลัง:
    +770
    ทุกเรื่องราวล้วนเป็นเป็นกุญแจไขให้เราเข้าไปสู่ความรู้ความเข้าใจใหม่ๆนะครับ
    ผมพอจะสังเกตุได้ว่า ความฝันชนิดใดเกิดจากการเก็บอารมณ์ขณะตื่น
    ที่ยังคงค้างคาอยู่เอาไปฝัน และความฝันชนิดไหนเป็นแบบที่เราจดจ่อ
    ต้องการรู้ครับ บางครั้งมันก็เอามาปนกัน บางครั้งมันก็เป็นเรื่องต่อเนื่อง
    กันนะครับ ไม่รู้ว่าเป็นอย่างนี้หรือเปล่าครับ
     
  13. mead

    mead เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2005
    โพสต์:
    8,134
    ค่าพลัง:
    +62,441
    ถูกครับคุณกุ้งที่ว่าการสังเกตของเราจะแยกแยะความฝันได้ครับ

    กับความฝันที่เป็นเรื่องพิเศษสังเกตว่ามันเหมือนจริงมากๆ ความรู้สึกนั้นจะคงอยู่แม้ตอนที่เราตื่นขึ้นมาด้วยครับ..ถ้าฝันเช่นเห็นครูบาอาจารย์หรือจิตวิญญาณใดๆ หรือไปในสถานที่บางแห่งจะรู้สึกปิติสุขเป็นพิเศษจะเหมือนที่เรียกว่า "นิมิตร"เลยครับ
    แต่การเก็บประสบการณ์ยามตื่นเข้าไปในความฝันก็มีบ่อยๆครับ จินตนาการ-อารมณ์-ความรู้สึกนึกคิดจะสะท้อนออกมาเป็นสัญลักษณ์ให้เราเรียนรู้ได้หลายรูปแบบ (ถ้าเราใส่ใจ) การเลือกที่จะฝันได้นั้นต้องมีสติที่ถูกฝึกฝนมาเป็นอย่างดีและนำเข้าไปในฝันด้วย ส่วนเรื่องราวและสถานการณ์ที่ปรากฎในฝันอาจถูกคลุมทับจากความเชื่อและความรู้ของผู้ฝันอีกด้วย ต้องถอดสัญลักษณ์ที่เรารู้สึกออกมาครับ ดูเหมือนไม่ง่ายและไม่ยากลองฝึกฝนไปเรื่อยๆนะครับคุณกุ้ง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 ตุลาคม 2008
  14. นาย เอ

    นาย เอ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    258
    ค่าพลัง:
    +535
    ขอบคุณมากครับ;aa20
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 00093_215.jpg
      00093_215.jpg
      ขนาดไฟล์:
      35.9 KB
      เปิดดู:
      59
  15. ธรรมจิตต์

    ธรรมจิตต์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    197
    ค่าพลัง:
    +419
    เพื่อนๆเคยได้คุยเกี่ยวกับเรื่องจิตวิญญาณกับคนรู้จักหรือคนใกล้ชิดกันบ้างหรือเปล่าครับ?

    จากการที่ข้าพเจ้าลองคุยดู หลายๆคนไม่สนใจในเรื่องนี้เลยและไม่พยายามเข้าใจหรือรับฟังด้วย บางคนคิดว่าเป็นเรื่องไร้สาระ บางคนคิดว่าเป็นเรื่องลี้ลับยากแก่การเข้าใจ พวกเขายังคงเหนี่ยวแน่นในความเชื่อทางกายภาพและจะไม่ยอมเปลี่ยนความเชื่อนั้นแม้เราจะพยายามอธิบายก็ตาม แต่ก็มีบางคนที่สนใจซึ่งไม่ว่าจะด้วยสาเหตุใดคนที่สนใจเหล่านี้ส่วนมากจะเป็นคนที่ทำสมาธิอยู่หรือเคยฝึกทำสมาธิมาก่อน ใช่ว่าข้าพเจ้าจะนำเรื่องเกี่ยวกับการทำสมาธิมาโยงเข้ากับเรื่องของจิตวิญญาณ แต่ที่ประสบมามันเป็นแบบนี้จริงๆ และตามความเข้าใจของข้าพเจ้านั้น คนทีทำสมาธิจะมีพื้นฐานของความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องจิตวิญญาณอยู่บ้างแล้วไม่มากก็น้อย

    ฉะนั้นการเปลี่ยนแปลงความเชื่อให้เป็นความรู้จะต้องขึ้นอยู่กับตัวบุคคลด้วยว่าพร้อมที่จะเปิดใจเรียนรู้และยินดีที่จะเปลี่ยนแปลงความเชื่อต่างๆที่มีอยู่เดิมด้วยหรือไม่ ถ้าไม่เปิดใจก็คงเป็นการยากที่จะเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องของจิตวิญญาณ
     
  16. เซลล์

    เซลล์ ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 เมษายน 2008
    โพสต์:
    661
    ค่าพลัง:
    +310
    ผมเชื่อว่า เราต่างก็เคยประสบเหตุการณ์ในเรื่องนี้มาไม่มากก็น้อย
    พอเราได้พบเจอสิ่งที่ปฎิบัติและได้ผล ก็ต้องการบอกต่อกันเป็นเรื่องธรรมดา
    คนบางคนสนใจที่จะฟัง แต่ไม่ปฎิบัติ
    คนบางคนสนใจที่จะฟัง และปฎิบัติ
    คนบางคนไม่สนใจ เพราะไม่ถูกใจ เนื่องจากมีวิธีปฎิบัติของเค้าอยู่แล้ว
    คนบางคนไม่สนใจ ไม่รับฟังในเรื่องเหล่านี้เพราะเห็นเป็นเรื่องไกลตัว และพิสูจน์ จับต้องไม่ได้
    ซึ่งทุกอย่างเป็นองค์ประกอบที่ดีนะครับ หากเราเหมือนกันหมด คงไม่สนุก อิอิ
    เพราะความแตกต่างเราจึงได้สอนซึ่งกันและกัน
    บางคนไม่มีความรู้เรื่องจิตวิญญาณอย่างที่เราคาดหวัง แต่การดำเนินชีวิต วิธีคิด ต่างแสดงให้เห็นถึงความเข้าใจอย่างลุ่มลึก
    เรื่องหนึ่งเรื่อง เราอธิบายได้หลากหลายมุมมอง หลากหลายภาษา
    หากเราอธิบายในมุมของเค้า และแทรกเข้าไปว่ามันเป็นเรื่องธรรมชาติ เป็นเรื่องภายใน เป็นเรื่องปกติในชีวิตประจำวัน แต่เราไม่เคยสังเกต ไม่ให้ความใส่ใจ และคิดว่าบังเอิญ เค้าอาจจะเปิดใจรับฟังเรามากขึ้นก็ได้นะครับ
    ขนาดเราคุยกันในกลุ่มเพื่อน ในครอบครัว เรายังต้องเลือกเรื่องคุยเลย และดูว่า เค้าสนใจอะไร ไม่สนใจอะไร คนไหนคอเดียวกัน พูดภาษาเดียวกัน อิอิ
    ทุกวันนี้ ในกลุ่มเพื่อนที่สนิทบางกลุ่ม ยังไม่รู้เลยว่า เราสนใจ และให้ความสำคัญในการศึกษาเรื่องของจิตวิญญาณ อิอิ
    แต่ผมเชื่อมั่นว่า หากมีความสนใจ และเริ่มเปิดใจศึกษา เราจะดึงดูดมาหากันเอง ตามกฎของจักรวาลครับ
     
  17. kindred

    kindred เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    1,753
    ค่าพลัง:
    +5,897
    ค่ะ....เดรดว่า ความแตกต่างของเรื่องราวทั้งหมด เป็นความเชื่อ ของแต่ละบุคคล
    การจะเปิดใจยอมรับฟัง ความเห็นอื่นๆ ต้องปิดประตูความเชื่อของเราก่อน
    ไม่ได้ ให้เชื่อทุกเรื่องที่ได้รับ แต่เป็นการรับไว้เฉยๆ ไม่ได้ให้รับเอามาเป็นสรณะ
    ตราบใดที่เราขังตัวเอง อยู่ในความเชื่อส่วนตัว และเหนียวแน่นกับมัน แถมหวงแหน
    โดยไม่ได้พิจารณาความเชื่อนั้นๆ ว่ามันส่งผลอย่างไรบ้าง ทั้งยังไม่ให้ใครก็เข้ามาแตะต้อง
    เดรดว่า เราได้สูญเสียโอกาสบางอย่างในการเรียนรู้ไป ทุกอย่างเป็นแค่การเรียนรู้เท่านั้น
    การแลกเปลี่ยนความเห็น พึงมองอย่างไม่ตัดสินในทันทีทันใด
    จะทำให้เราสามารถเปิดกว้างและรับฟังอะไรได้อย่างเป็นกลางที่สุด
    แต่ถ้าทันที ที่เราเริ่มตัดสินอะไร เราจะเริ่มมีอคติเข้ามา
    เพราะความเชื่อดั้งเดิมที่เรามีอยู่ มันจะทำงานโดยอัตโนมัติจริงๆนา...อิอิrabbit_
     
  18. mead

    mead เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2005
    โพสต์:
    8,134
    ค่าพลัง:
    +62,441
    มนุษย์ทุกคนล้วนมีธรรมะอยู่กับตัวแล้วครับ บางคนดูเหมือนไม่สนใจเรื่องจิตวิญญาณแต่ถ้อยคำที่พูดออกมา ก็แสดงออกว่ารู้และเข้าใจเรื่องนี้ดีมากๆด้วยประสบการณ์ส่วนตัวที่สอนเค้าเองครับ ความรู้อยู่ในจิตวิญญาณของทุกคนครับ แต่การแลกเปลื่ยนสนทนากันก็เป็นการขยายมุมมองออกไปให้กว้างยิ่งขึ้น ทุกๆคนก็มีเส้นทางเฉพาะที่เลือกเดินและความเป็นตัวตนของตัวเองที่เป็นเอกลักษณ์ การโน้มน้าวจิตใจจึงเป็นไปได้ระดับหนึ่งหากเค้าไม่สนใจก็ให้ปล่อยวางครับ ความเชื่อเป็นเหมือนเข็มทิศของแต่ละคนครับ

    พวกเราที่มาเจอกันตรงนี้เพราะต่างก็สนใจเนื้อหาที่เป็นสากล เปิดใจกว้าง เพื่อขยายมุมมองความรู้และประสบการณ์ให้กันอย่างโปร่งใสกันทุกคน เพื่อนๆห้องนี้น่ารักจริงๆครับ อิอิ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 ตุลาคม 2008
  19. ธรรมจิตต์

    ธรรมจิตต์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    197
    ค่าพลัง:
    +419
    ขอบคุณ คุณเซลล์ คุณเดรด และคุณMeadที่ร่วมกันแสดงแสดงความคิดเห็นครับ

    เห็นด้วยกับทุกท่านขอรับ...ดีใจที่มีเพื่อนๆน่ารักทุกคน

    การที่เราสนใจในเรื่องเดียวกันทำให้เราได้มารู้จักกันและแลกเปลี่ยนประสบการณ์+ความรู้ซึ่งกันและกัน...บางครั้งเราก็ยากแบ่งปันไปให้คนอื่นได้รับรู้บ้าง แต่ก็ไม่ได้คาดหวังอะไรมากหรอกครับ เพราะแม้แต่ตัวเราเองแต่ก่อนก็ไม่ได้สนใจในเรื่องนี้ ทุกสิ่งทุกอย่างจะเป็นไปตามที่จิตวิญญาณต้องการหรืออิสระแห่งความปรารถนา...ใช่มั้ยครับ
     
  20. aydaree

    aydaree สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2008
    โพสต์:
    15
    ค่าพลัง:
    +1
    สวัสดีค่ะ พี่ๆ เพื่อนๆ ทุกคน
    อดใจไม่ไหวขอร่วมเป็นหนึ่งในผู้ที่สนใจเรื่องจิตวิญญาณด้วยคนค่ะ
    จริงๆแล้ว แอบอ่านข้อความทุกวัน และมีเรื่องจะสารภาพว่า ก็เป็น 1 ในผู้ที่เป็นลูกศิษย์
    ของท่าน อ.อนาลัย และ แม่อาจารย์ (ดิฉันเรียกเอง) หรือพี่นักเขียนที่ทุกท่านเรียกขาน เคยคิดไว้ว่าจะยังไม่ประสงค์ที่จะร่วมสนทนากับทุกท่าน เพียงเพราะยังรู้สึกว่าเราเป็นแค่คนตัวเล็ก ไม่สามารถที่จะไปเทียบกับ พี่ๆ หรือเพื่อนๆ ที่ตัวใหญ่กว่า (หมายถึง ความรู้และประสบการณ์ที่ทุกท่านได้ทำและปรากฏเจอ) แม่อาจารย์หรือพี่นักเขียนก็ยังกรุณาให้ความรู้กับดิฉันซึ่งเปรียบเหมือนคนที่ปัญญาน้อย เป็นการส่วนตัว ขอบคุณมากค่ะ แล้วโอกาสหน้าขออนุญาติแม่อาจารย์ (กลางอากาศ) เลยนะคะ ถ้าจะนำคำตอบบางข้อมาเปิดเผยให้ทุกท่านเพื่อเป็นประโยชน์บ้าง ไม่แน่บางคนอาจจะมีปัญหาหรือข้อสงสัยเหมือนดิฉันก็ได้....
    ขอฝากตัวกับทุกท่านด้วยค่ะ
    aydaree
     

แชร์หน้านี้

Loading...