ข้อความจาก กลุ่มประสานงานเพื่อการเตือนภัย(เขากะลา)(ปิดกระทู้)

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย สุดใจเขากะลา, 9 สิงหาคม 2007.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. fernezzo

    fernezzo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    361
    ค่าพลัง:
    +616
    ติดต่อกับชาวต่างดาวได้จริงๆน่ะเหรอ?
    เห็นมีคุยเรื่องภัยพิบัติปี2010-2012แต่ทำไมไม่เห็นพูดคุยเรื่องดาวนิบิรุ(Nibiru)กันเลยอะ? และชาวอนุนากิ(Anunaki)ด้วย ที่มาจากระบบของดาวซิริอุสAกะB อะ!!




    <marquee>แล้วแบบนี้ตกลงว่าติดต่อกับชาวต่างดาวกันได้จริงๆน่ะเหรอ? ^^</marquee>
     
  2. MOUNTAIN

    MOUNTAIN เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    15,035
    ค่าพลัง:
    +132,081
    บริเวณลานที่พวกเราเข้าไปนั่งสมาธิ
    ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากบริเวณปากทางเข้าเมืองลับแล
    บริเวณนี้ เป็นบริเวณที่เรียกกันว่า กองบัญชาการมนุษย์ต่างดาว
    เป็นมิติที่ทับซ้อนมิติโลกที่เราอาศัยอยู่

    การนั่งสมาธิ เพื่อกำหนดจิต เปิดตาที่สาม
    ขอเข้าชมกองบัญชาการฯ จำเป็นที่จะต้อง
    บอกกล่าวผู้ดูแล บริเวณดังกล่าวเช่นกัน

    เมื่อพวกเรานั่งเข้าที่เข้าทางแล้ว
    ไม่นานจิตของเราก็เริ่มสงบ เป็นสมาธิ
    ผู้ดูแล เปิดทางให้เราผ่านเข้าไปเห็นเป็นภาพแรก คือ
    กองทัพมนุษย์ต่างดาว แต่งตัวเหมือนตัวละครในหนังเรื่อง Star War
    ในชุดสีเทาเข้ม ตัวใหญ่แต่หัวเล็ก เดินตบเท้าแบบสวนสนาม
    นับจำนวนไม่ถ้วน
    ดูลักษณะแล้ว เหมือนการเตรียมพร้อมที่จะปฏิบัติการ
    ในสถานการณ์ที่จะเกิดขึ้นในโลกมนุษย์ แต่ไม่ใช่การยึดครองโลก
    เหมือนในหนังที่เราเคยดู จนเกิดความหวาดหวั่นสั่นสยอง
    แต่เป็นการมาเพื่อช่วยเหลือมนุษย์เมื่อยามเกิดภัยพิบัติ
    ให้เหลือเชื้อพันธุ์ ในการสืบสานต่อพระพุทธศาสนาตราบถึง 5,000 ปี
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • P1020963.JPG
      P1020963.JPG
      ขนาดไฟล์:
      732.2 KB
      เปิดดู:
      171
    • P1020818.JPG
      P1020818.JPG
      ขนาดไฟล์:
      453.8 KB
      เปิดดู:
      229
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 พฤศจิกายน 2008
  3. MOUNTAIN

    MOUNTAIN เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    15,035
    ค่าพลัง:
    +132,081
    ภาพที่เห็นถัดไป คือ การนำชมจานบิน
    อุปกรณ์การเดินทาง จากดวงดาวสู่ดวงดาว
    เป็นอุปกรณ์ที่มนุษย์เอง ยังไม่สามารถคิดค้นขึ้นมาได้
    เพราะเทคโนโลยี่ทางกายภาพ และจิตภาพ ของเขาสูงว่งยิ่งนัก
    สิ่งที่มนุษย์อย่างเราๆท่านๆ ที่ทำกันได้ในปัจจุบัน
    เช่นอภิญญา ที่ทำได้ของบางท่าน ทางต่างดาวเขาถือว่าเป็นเพียงของเล่นเบื้องต้นเท่านั้น

    ลักษณะจานบินที่เห็น เป็นรูปทรงคล้ายค้างคาว
    ถ้าใครเคยดูหนังเรื่องมนุษย์ค้างคาว
    เวลาจะเรียกมนุษย์ค้างคาวออกมาช่วยมนุษย์
    จะมีการฉายลำแสงสัญญลักษณ์รูปค้างคาวบนท้องฟ้า
    สัญญลักษณ์ที่ว่านี้ เหมือนกับรูปทรงจานบิน ไม่มีผิด
    เขานำมาให้ชมอย่างใกล้ชิด ลำใหญ่มาก

    จบจากภาพนี้แล้ว
    เป็นภาพอาคารที่ถูกก่อสร้างขึ้นเป็นลักษณะตึกทรงสูง
    แต่ที่เห็นสูงมาก มีอยู่ 2 ตึก มองไกลๆคล้ายตึกใบหยก
    บนอาคารทั้งหลายเหล่านั้น มีแสงสีพาดผ่านตัดกัน
    เหมือนแสงเลเซอร์ ที่ป้องกันการบุกรุกจากผู้ไม่ประสงค์ดีภายนอก

    เส้นแสงที่เห็น ไม่เพียงแต่จะป้องกันการบุกรุกเท่านั้น
    มนุษย์ต่างดาวยังใช้เทคโนโลยี่เส้นแสงเพื่อการเดินทาง
    จากดวงดาวสู่ดวงดาว เพียงชั่วพริบตา เท่านั้น ก็ไปมาหาสู่กันได้
    โดยไม่ต้องเสียเวลาๆนับเดือน นับปี

    เมื่อได้เวลาพอสมควรแล้ว
    จึงกำหนดจิต ขอลาออกมาจากกองบัญชาการฯ
    และก็ไม่ลืมที่จะกล่าวคำขอบคุณ ต่อท่านผู้เมตตา เป็นไกด์พาชมกองบัญชาการมนุษย์ต่างดาว

    หากไม่มีข้อผิดพลาด ในวันที่ 29-30 พ.ย. 2551
    อาจได้เดินทาง ไปเพื่อเยี่ยมเยียนอีกครั้ง

    ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามอ่าน
    เรื่องนี้เป็นเรื่องแรกที่ผมนำมาเปิดเผย
    เพราะปกติ จะไม่ค่อยนำอะไรมาเผยต่อสาธาณชน
    หากพอจะเป็นประโยชน์บ้าง
    ก็ขอให้ประโยชน์นี้ กลับสู่ทุกท่านที่ได้อ่าน
    พบแสงสว่างทางธรรม นำพาชีวิตให้พ้นจากทุกข์ ได้โดยรวดเร็ว
    สาธุครับ
    <!-- / message --><!-- sig -->
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • P1020820.JPG
      P1020820.JPG
      ขนาดไฟล์:
      386.7 KB
      เปิดดู:
      157
    • P1020823.JPG
      P1020823.JPG
      ขนาดไฟล์:
      456.8 KB
      เปิดดู:
      166
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 พฤศจิกายน 2008
  4. apichan

    apichan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    825
    ค่าพลัง:
    +4,424
    ต้องไปสนใจด้วยหรือครับว่าจะต้องติดต่อชาวต่างดาวที่มาจากดาวดวงไหน?
     
  5. สุดใจเขากะลา

    สุดใจเขากะลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    2,083
    ค่าพลัง:
    +11,451
    ขออนุโมทนากับอาจารย์ MOUNTAIN เป็นอย่างยิ่งค่ะ

    กับสิ่งที่ได้พบเจอ และนำมาเล่าให้เพื่อน ๆ ได้รับฟังด้วย

    ก่อนที่จะเล่าเรื่องนี้ออกสู่สาธารณะ อาจารย์เม้าท์ก็ต้องผ่านขั้นตอนของการกระทบกับ ความกลัว .. ในอัตตา ... ตัวตน หลายอย่าง

    คนเขาจะหาว่าเราเพี้ยนไปหรือไม่

    คนจะหาว่าเราโม้หรือไม่

    คนเขาจะหาว่าเราโอ้อวดหรือไม่

    คนเขาจะหาว่าเรายึดติดในฤทธิ์ในเดชหรือไม่

    คนเขาจะหาว่าเราหลงทางหรือไม่

    คนเราจะหาว่า.... ?


    ซึ่งบุคคลทั่ว ๆ ไป ก็จะรู้สึกอย่างนี้เช่นกัน เพียงแต่ใครจะกล้าฟันฝ่า....ความกลัวออกมาได้เท่านั้น

    ต้องขออนุโมทนาด้วยอย่างยิ่ง..



    โดยปกติแล้ว บุคคลทั่ว ๆ ไป ในทุกความคิด ทุกการตัดสินใจ จะพัลวัลอยู่ด้วยคำว่า...มีเรา ...มีเขา ... อยู่ตลอดเวลา

    เมื่อมีเรา ก็ต้องมีเขา เป็นเรื่องธรรมดา

    แม้บางครั้ง มีการปฏิบัติธรรม เข้าใจในธรรมชาติจนแทบจะไม่เหลือตัวเราให้ยึดเกาะแล้วก็ตาม แต่การมองบุคคลอื่น ๆ รอบ ๆ ตัวเรา ก็ยังคงเห็นเป็นตัวเขา ยังเห็นเป็นตัวตนของเขาอยู่ ก็จึงยังคงต้องปะทะกับโลกธรรม 8 อยู่นั่นเอง

    .....ยังมีการ

    ห่วงลาภ ห่วงยศ ห่วงสรรเสริญ ห่วงสุข

    ไม่อยากเสื่อมภาพ ไม่อยากเสื่อมยศ ไม่อยากให้คนนินทา ไม่อยากทุกข์

    การที่จะอยู่เหนือโลกธรรม 8 ได้นั้น ต้องใช้ปัญญา ต้องใช้การพิจารณาอย่างยิ่ง ต้องปฏิบัติให้เห็นจริงด้วย

    ความกลัว ... เป็นอีกปัจจัยหนึ่ง ที่ขังเราไว้ในวัฏฏสงสาร จะเป็นตัวตีกรอบ ให้ต้องอยู่ในวังวนของสังสารวัฏอันยาวนาน อันจะหาทางออกไม่ได้

    เรามาลองสังเกตุ....ความกลัว...ให้ดี จะเห็นว่า มันเป็นตัวการโอบล้อมให้เราอยู่แต่ในกรอบที่มันตีไว้ให้

    จะทำอย่างนี้ กลัวเขาว่าอย่างนั้น

    จะทำอย่างนั้น กลัวเขาว่าอย่างนี้

    ความกลัวก็มีหลายระดับ ในขั้นหยาบ ๆ ก็คือห่วงรูปขันธ์

    จะไปท่องเที่ยว กลัวรถคว่ำ

    จะไปซื้อของ กลัวโดนวิ่งราว

    จะนั่งแท๊กซี่ กลัวโดนจี้

    จะไปถอนเงิน กลัวโดนปล้น

    จะทำอะไร ก็กลัวอันตรายแทบทั้งสิ้น

    หรือกลัวจะเจ็บ กลัวจะแก่ กลัวจะตาย กลัวสิ่งที่รักจะจากไป กลัวสิ่งนี้จะหาย สิ่งนั้นจะเสีย สิ่งนี้จะผุพัง แตกสลาย

    จิตย่อมหวั่นไหว ขึ้นลงอยู่กับความหวาดระแวงนั้น ๆ

    ในระดับหยาบ ๆ หลายท่านก็ผ่านกันได้แล้ว ไม่สนใจในรูปขันธ์ หากลึกลงไปอีก ก็ยังคงถูกความกลัวกักขังไว้อีกชั้นหนึ่ง

    กลัวเขาจะว่า กลัวเขาจะนินทา กลัวเขาจะเข้าใจผิด กลัวเขาจะเกลียด กลัวเขาจะไม่รัก กลัวเขาจะหาว่าเพี้ยน กลัวเขาจะ.......

    ไม่ว่าจะอีกสักกี่กลัว นั่นคือการมองออกไปกระทบกับภายนอกทั้งสิ้น

    จึงมองไม่เห็นว่า ... กำลังเกิดอะไรขึ้นภายใน กำลังคิดอะไร กำลังรู้สึกอะไร

    จะทำอย่างนี้ เดี๋ยวคนนั้นว่า จะทำอย่างนั้น เดี๋ยวคนนี้บ่น ทำอย่างนี้คนนั้นชม ทำอย่างนั้นคนโน้นนินทา

    จะไปหาเพื่อนคนนี้ เดี๋ยวเพื่อนคนนั้นไม่ชอบ จะไปหาเพื่อนคนนั้น เดี๋ยวเพื่อนคนนี้ต่อว่า เพราะไม่ถูกกัน

    จะไปที่นี่ เดี๋ยวที่โน่นว่า จะไปแต่ที่โน่น เดี๋ยวที่นี่ไม่พอใจ จะทำอะไรก็เกรงใจทางโน้น ห่วงใยทางนี้ เบื่อทางนั้นอยู่ตลอดเวลา

    สารพัดปัญหา สารพันเรื่องราว จึงมีแต่ความสับสน ความวุ่นวายที่อัดแน่นอยู่ข้างใน แล้วจะแก้ไขอย่างไรดี?

    ไม่ต้องไปแก้ไขที่ไหน มันอยู่ใกล้ ๆ กับเรานี่เอง

    อยู่ที่ว่า.... เรามองเห็นมันหรือไม่เท่านั้น

    เมื่อมองยังไม่เห็น เราก็ยังอยู่ในโลกธรรม ยังขึ้นลงอยู่กับสภาวะอารมณ์ ที่ยังอิงอยู่กับ ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข เสื่อมลาภ เสื่อมยศ นินทา ทุกข์ ยังออกกันไม่ได้

    ความสงบ ความว่าง ความเบาสบายจึงยังไม่มี ยังต้องขึ้นลงกับทุกข์สุข เพราะการมองที่ยังไม่เห็นความเป็นธรรมชาตินั่นเอง

    แต่ถ้ารู้เท่าทันอารมณ์ รู้เท่าทันความกลัว รู้เท่าทันขันธ์ห้า เราจะอยู่เหนือโลกธรรม 8 ได้

    ไม่ใช่สิ่งที่เหลือเชื่อเลย

    แค่เรารู้เท่าทันขันธ์ห้า เราก็สามารถรู้เท่าทันโลกทั้งโลก รู้เท่าทันธรรมชาติ รู้เท่าทันทั้งจักรวาล รู้เท่าทันวัฏฏสงสารได้

    สรุปลงมาเหลือนิดเดียว อยู่ใกล้นิดเดียว คือในขันธ์ห้าเท่านั้น ไม่ต้องไปเรียนรู้ให้หมดทุกสาขา ไม่ต้องไปเสาะหาสถานที่ทั่วโลก ไม่ต้องไปฝึกฝนวิชาให้มากมายจากที่ไหนเลย

    เพราะห้องเรียนอยู่ในขันธ์ห้า อยู่ด้วยกันนี่เอง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 พฤศจิกายน 2008
  6. สุดใจเขากะลา

    สุดใจเขากะลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    2,083
    ค่าพลัง:
    +11,451

    ความกลัว.... ไม่ใช่สิ่งที่น่ากลัว

    ความกลัว ก็คือความคิด ที่กำลังคิดว่า... กลัว...อยู่

    อย่าลืมว่ามันเป็นแค่....ความคิด

    ที่มันกำลังคิดว่ามัน...กลัว... อยู่

    มันไม่ได้มีความกลัวอยู่จริง

    แต่มันคิดว่า... กลัว

    เมื่อเราเห็นความคิด ก็เท่ากับเราเห็นความกลัว

    เมื่อเราปล่อยวางความคิด ก็เท่ากับเราปล่อยวางความกลัว

    เมื่อไม่มีความคิด ก็ไม่มีความกลัว

    เมื่อเรารู้เท่าทันความคิด เราก็รู้เท่าทันความกลัว

    เหมือนดังคำที่ระบบได้เคยกล่าวไว้ว่า....

    อย่าไปกลัว... ไอ้ความกลัวนั้น....

    คือ.... อย่าไปกลัว ไอ้ความคิด ที่มันกำลังคิดกลัว

    นั่นคือ...การซ้อนเข้าไปอีกชั้นหนึ่ง คือฉันไม่กลัว ไอ้ความกลัวที่แกคิดขึ้นมา

    ฉัน ตัวนี้ .... คือธาตุรู้ที่มีปัญญา ที่เฝ้าดูขันธ์ห้ามันทำงาน

    แก ตัวนั้น .... คือสังขารที่ปรุงแต่งความคิด ที่กำลังคิดว่ากลัว กลัวโน่น กลัวนี่ กลัวนั่นสารพัด

    เมื่อเราเห็นความคิดที่กำลังคิดกลัว เราก็จะยิ้มได้ว่า ...คิดกลัวอีกแล้ว คิดกลัวโน่นกลัวนี้ คิดห่วงโน่นห่วงนี่ คิดกังวลโน่นกังวลนี่ไปสารพัด

    แล้วหากปล่อยให้มันคิดนาน ไม่ตัดไฟแต่ต้นลม ความคิดกลัวนี้ ก็จะไปเร่งสารเคมีที่ทำให้เกิดอารมณ์หวาดกลัว หวาดหวั่น สะดุ้ง ผวา ขันธ์ห้าก็จะมีอาการใจเต้น หวาดระแวง หรือวิตกกังวลร้อนรุ่ม สะดุ้งสะเทือนไป เราก็เลยดูคล้ายคนกำลังกลัว กำลังทุกข์ นั่นเอง

    แต่แท้จริงแล้ว มันไม่มีอะไรหรอก แค่มันกำลัง....คิด คิด คิด ด้วยสัญญาที่เคยบันทึกไว้มานานแล้ว ว่า ... ถ้าเจอสิ่งนี้ ต้องคิดแบบนี้

    เช่น คนกลัวงู พอเห็นงูเลื้อยผ่านมา ความจำทำงานรู้ทันทีว่างู ความคิดกลัวก็เข้ามาทันที แล้วก็ปรุงแต่งต่อว่ามันจะมากัดเรา มันจะฉกเรา ทั้ง ๆที่อยู่ห่างตั้งมาก ความหวาดระแวง ความรู้สึกก็อ่อนแรง ก็ตามมาเพราะสารเคมี...ประเภททำให้เกิดอารมณ์ความกลัวหลั่ง หลั่งสารเคมีมากไป อาจเป็นลมไปเลยก็ได้

    ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร เพราะขันธ์ห้าเคยบันทึกไว้ มันก็ส่งออกมาอย่างนี้แหละอันดับแรก

    อันดับต่อไป ตั้งหลักให้ดี ... ต้องมีสติให้ทัน พอคิดว่ากลัว ใจสั่น เราก็ลองมองเข้าไปในความคิดว่า เรากลัวอะไร เรากลัวจริงหรือ ความกลัวมีสาเหตุมาจากอะไร

    อ้อ... มันกำลังคิดว่ากลัว กำลังปรุงแต่งกันใหญ่ พอมีสติหยุดมองก็จะเห็น ว่ามันกำลังเรียงต่อกันไปเป็นสายความคิดเลย ทุกอย่างเป็นแค่ความคิดเท่านั้น คิดออกมาจากหัวเดียวกันนี้ คิดดี คิดไม่ดี คิดกล้า คิดกลัว มันเท่ากัน เพราะมันเป็นแค่ความคิด และก็ออกมาจากหัวเดียวกันทั้งสิ้น ออกมาจากสมองเดียวกัน ที่ตั้งอยู่ในขันธ์ห้านี้ ไม่ได้มาจากไหนเลย

    ดังนั้น การที่จะดักจับความคิด ความกลัว ความกังวล ก็ต้องดักจับที่หัวของเรา ที่ความคิดของเรา ง่ายสุดแล้ว ไม่ต้องไปดักจากภายนอกเลย

    ถ้าคนเขาว่าเราบ้า ว่าเราเพี้ยน ว่าเราจิตหลอน

    ขั้นแรก ไม่ต้องไปจับที่ต้นเหตุคือ..เขา แต่ให้มองเข้าไปข้างในขันธ์ห้าของเรา

    อ้อ .. เราก็จะเห็นกลไกการทำงานของมันเริ่มขึ้น มันเริ่มคิด...แกมาว่าฉันทำไม มันกำลังปรุงแต่งว่า....แกมีสิทธิ์อะไร ... เดี๋ยวจะต้องไปจัดการ และเห็นว่ามันกำลังมีอารมณ์...ร้อนรน ... เริ่ม โกรธหน่อย ๆ แล้ว มันกำลังโมโหมากขึ้นแล้ว ... เมื่อเห็นแทนที่จะโกรธ กลับอาจจะขำด้วยซ้ำไป ... ที่เห็นว่า ....มันก็เป็นของมันอย่างนี้แหละมานานแล้ว

    เมื่อเห็น ก็จะสามารถจัดการกับอารมณ์นั้น ๆ ได้ เรียกว่ามีสติในการมองเห็นการทำงานของขันธ์ห้า จัดการกับความทุกข์ในขันธ์ห้าได้ ไม่ต้องไปชกหน้าไอ้คนที่ว่าเราเลย

    ทุกอย่างแก้ไขได้ ถ้ามีสติ มีปัญญา มีการพิจารณา แล้วก็ปล่อยวาง

    ดังคำที่ระบบได้เคยกล่าวไว้ว่า

    รู้ เข้าใจ ปล่อยวาง

    รู้.....ว่ามันกำลังเกิดเรื่องอะไรเข้ามากระทบในขณะนี้

    เข้าใจ....ถึงการทำงานของกลไกขันธ์ห้า ว่าเมื่อเกิดอย่างนั้น มันต้องปรุงแต่งอย่างนั้น อย่างนั้น เป็นธรรมดา

    ปล่อยวาง.... ให้เห็นว่ามันก็เป็นของมันอย่างนั้นแหละ เป็นเรื่องธรรมดา รู้เข้าใจในภาวะอารมณ์ที่เข้ามากระทบในขณะนั้น มันเกิดขึ้น มันอยู่ไม่นาน เดี๋ยวมันก็ต้องดับไปเป็นธรรมดา อย่าไปยึดมั่นถือมั่นว่ามีตัวเราเป็นผู้ทุกข์ ทุกข์เป็นของเรา เท่านั้นก็พอ


    ขออนุโมทนา กับอาจารย์เม้าท์อีกครั้ง ในสิ่งที่ได้ก้าวข้ามความกลัวเหล่านั้นออกมา เพราะเห็นว่า มันเป็นเพียง ความคิดที่กำลัง ... คิดกลัว เท่านั้น


    ถ้ารู้จริงแล้วไม่กลัว

    เราจะออกจากความคิด...ที่กำลังกลัว ...ได้อย่างไม่ยากเย็นเลย

    ก็เป็นอีกมุมมองหนึ่งของธรรมชาติ ที่นำมาฝากค่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 พฤศจิกายน 2008
  7. สุดใจเขากะลา

    สุดใจเขากะลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    2,083
    ค่าพลัง:
    +11,451


    ขอกล่าวถึงเรื่องราวของเมืองลับแล ที่อาจารย์ MOUNTAIN ได้นำมาเล่าสักเล็กน้อย เพราะในวันที่ 1 พย.51 ที่ผ่านมา มีผู้ได้เข้าไปเที่ยวชมเมืองลับแลด้วยกันหลายท่าน อาจารย์เม้าท์ อาจารย์จักษวัชร์ คุณดาริ่ง คุณเทพบุตรชาวดิน คุณแตง และท่านอื่น ๆ อีกจำนวนหนึ่ง

    ซึ่ง ณ สถานที่แห่งนี้ ได้เคยมีผู้เข้าไปเยือนมาแล้ว พร้อมพยานอ้างอิง ซึ่งเป็นบุคคลอื่น ที่เดินทางมาจากกรุงเทพฯ และได้เข้าไปเห็นในเมืองลับแลก่อนหน้านี้ เมื่อ 10 ปีที่ผ่านมา

    ในช่วงนั้น คุณพ่อเชิด ยังมีชีวิตอยู่ เมื่อช่วงกลางปี 2541 บนเขากะลาจะมีผู้คนจำนวนมากเดินทางขึ้นไปไหว้พระ ปฏิบัติธรรม ฟังธรรม และบางคนก็เพื่อไปดู UFO อยู่เสมอ ๆ ไม่เคยว่างเว้นแทบจะในทุกวันเสาร์

    มีอยู่วันหนึ่ง มีผู้เดินทางมาจำนวนมาก มีทั้งผู้ทำงานธนาคาร ทำงานบริษัทต่าง ๆ และมีบางท่านทำงานเกี่ยวกับนิตยาสารด้วย ได้เดินทางมาเป็นกลุ่ม ได้มานั่งสมาธิ ปฏิบัติธรรม และสนทนาธรรมกันในคืนนั้น

    รุ่งขึ้นตอนเช้า ได้มานั่งสนทนากันบนลานต่างดาว และมีบุคคลท่านหนึ่งเป็นผู้หญิง รู้สึกจะทำงานให้กับนิตยสารฉบับหนึ่ง เดินทางมากับคณะนี้ ไม่ได้เชื่อในเรื่องมนุษย์ต่างดาว ไม่ได้เชื่อในเรื่องต่าง ๆ เหล่านี้เลย แต่ต้องการมาดูว่าเขาทำอะไรกัน มาทำไมกันเท่านั้น

    พอตอนเช้า ขณะที่นั่งอยู่บนลานต่างดาวนั้น จู่ ๆ บุคคลท่านนี้ก็เกิดอาการตัวสั่นอย่างแรง และเขย่าโคลงไปมา และสักพักก็หยุดลง ทุกคนกำลังตกใจว่าเป็นอะไร พอถามขึ้น ก็กลับกลายเป็นเสียงคนมีอายุพูดออกมาแทน ทุกคนก็ตกใจยิ่งขึ้น ว่าเกิดอะไรขึ้นมา แต่มีบุคคลท่านหนึ่งรีบคว้าเครื่องบันทึกเสียงออกมา แล้วอัดเสียงที่พูดเอาไว้

    ข้อความที่กล่าวในวันนั้น กล่าวถึงเรื่องของภัยพิบัติ เรื่องของน้ำท่วม แผ่นดินไหว และอะไรอีกมากมายหลายอย่าง ซึ่งเทปดังกล่าวบุคคลผู้อัดเทปนั้น ได้นำกลับไปกรุงเทพฯด้วย

    ส่วนพี่สุดใจก็คว้ากล้องได้ ก็บันทึกภาพในช่วงนั้นเอาไว้ ก่อนจะรีบลงไปตามพ่อเชิดที่อยู่ด้านล่างให้ขึ้นมา

    เมื่อพ่อเชิดขึ้นมาแล้วก็ได้ถามท่าน ซึ่งปรากฏว่า...ท่านเป็นเจ้าเมืองลับแล...ที่ดูแลสถานที่นี้อยู่ และกล่าวว่า ที่นี่มีทั้งทวยเทพ ทั้งพลเมืองชาวลับแล และมนุษย์ต่างดาว รวมถึงจานบินที่อยู่ในมิติทับซ้อนกับเมืองลับแลด้วย

    ประมาณ 10 นาที คลื่นนั้นก็ถอนออกไป หญิงสาวท่านนั้นก็ล้มลงนอน จากนั้น คณะของท่านที่มาด้วยกันจากกรุงเทพฯ ก็เขย่าตัว เพื่อให้ลุกขึ้น

    ผู้หญิงท่านนั้น ก็ค่อย ๆ ลืมตาขึ้นมา และมองหน้าคนอื่น ๆ อย่างงง ๆ และพูดว่า เรียกทำไม กำลังเดินดูเพลิน ๆ เลย

    ก็เลยถามว่า เดินดูอะไรหรือ ?

    ก็กำลังเดินดูบ้านเรือนอยู่น่ะสิ บ้านเรือนสวยงามมากเลย เป็นทองทั้งหมด อยู่ในบริเวณนี้ทั้งหมดเลย

    เป็นบ้านเรือนสวยงามมาก มีป่าเขียวชอุ่ม และบ้านเรือนเป็นทองอร่ามทั้งหมดเลย สวยมาก ไม่เหมือนเรือนไทย ไม่เหมือนปราสาท แต่เป็นบ้านผสมผสานในยุคเก่าแก่มากเลย เป็นทองทั้งหมด บอกไม่ถูกว่ายุคไหน ไม่เคยเห็น

    ตอนที่เรียก ก็กำลังเดินอยู่ เดินดูบ้านเรือนของเขา แต่แปลกที่ไม่เห็นมีคนเลยสักคน เห็นแต่บ้านมากมายที่เป็นทองทั้งหมด เห็นต้นไม้เขียวชอุ่มไปหมด เห็นสระน้ำ แต่ไม่เห็นคน กำลังดูเพลินเลย มาเรียกทำไม

    เมื่อคนอื่น ๆ เล่าให้ฟังว่า เมื่อสักครู่มีผู้มาใช้ขันธ์เธอเพื่อบอกเรื่องของภัยพิบัติ แล้วให้เธอออกไปเที่ยวแทน เธอก็หัวเราะบอกไม่เชื่อหรอก

    แต่พอเอาเทปให้ฟัง และพยานยืนยันหลายคน เธอก็เลยต้องเชื่อ และบอกพี่สุดใจหลังจากนั้นว่า เธอไม่เคยเชื่อเรื่องอย่างนี้มาก่อน และตอนนี้แม้เกิดไปแล้ว แต่ก็ยังไม่เชื่ออยู่ดี ไม่น่าจะเป็นไปได้เลย

    และหลังจากนั้น บุคคลท่านนี้ ได้พบเจอยานอวกาศในกรุงเทพฯด้วยตนเอง ลำโตเกือบเท่ารถยนต์ ลอยอยู่เหนือไฟทางริมถนนขึ้นไปไม่สูงนัก ก็ตกใจและงง หลังจากเขาบินไปแล้ว ก็ได้โทรมาเล่าให้พี่สุดใจฟัง จากนั้นก็เจอจานบินอีกหลายครั้งที่กรุงเทพฯ และบอกตอนนี้เชื่อแล้วว่า จานบินมีจริง

    ซึ่งในเขาแห่งนี้ ตั้งแต่คนมาฝึกรุ่นก่อน ๆ ก็จะได้ยินเสียงดนตรีไทยไพเราะลองมาจากเขาด้านขวาอยู่เสมอ ได้เห็นภาพทะลุภูเขา เห็นที่จอดยานต่างดาว พี่สุดใจและกลุ่มที่ขึ้นมาเขากะลา ก็เคยเห็นแสงสีทองพุ่งออกมาจากกลางเขาตอนดึก ๆ เป็นแท่งสีทอง หลายครั้งเหมือนกัน

    เมื่อประมาณปี 2544 หรือ 2545 ในวันที่มีฝนดาวตก ในวันนั้นอาจารย์ sapa ท่านได้เดินทางมากับอาจารย์กัญจีราด้วย

    คืนนั้นอาจารย์กัญจีรา ท่านพาคณะเดินทางมาเขากะลาแห่งนี้ และประมาณ 02 นาฬิกา ท่านก็เข้าไปนั่งสมาธิในช่องสี่เหลี่ยมของเมืองลับแลแห่งนี้ด้วย และท่านก็กล่าวว่า ได้เข้าไปเที่ยวชมเมืองลับแลมาแล้ว

    ดังนั้น ที่อาจารย์เม้าท์ได้สัมผัส และนำมาบอกกล่าว กับอีกหลาย ๆ ท่านที่ได้ไปเห็นเมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน 2551 ได้สัมผัส ได้พบเจอ และได้มีโอกาสเข้าไปเที่ยวมานั้น ก็เป็นการเห็นที่คล้ายกันหลายคน แต่อาจจะมีลักษณะแตกต่างกันไปบ้าง ก็คงแล้วแต่เขาจะให้เห็นในมุมใดนั่นเอง

    ก็ถือว่าเจ้าเมืองลับแลท่านเปิดให้ผู้ร่วมงานในโครงการเดียวกันเข้าไปชม เพื่อทำความคุ้นเคย ทำความรู้จัก และยินดีต้อนรับบเป็นแขกของเมืองลับแลแห่งนี้ เพราะเป็นผู้ที่ต้องทำงานร่วมกัน .... แม้จะอยู่คนละมิติก็ตาม


    ก็เป็นอีกเหตุการณ์หนึ่ง ที่นำมาเล่าสู่กันฟัง พร้อมพยานที่มาจากกรุงเทพฯหลายท่านเป็นพยานยืนยันได้ และมีภาพถ่ายที่พี่สุดใจบันทึกไว้ได้ในวันนั้น

    [​IMG]

    [​IMG]

    ขณะบันทึกเทปเสียงของเจ้าเมืองลับแล ที่กล่าวถึงเรื่องของภัยพิบัติ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 พฤศจิกายน 2008
  8. สุดใจเขากะลา

    สุดใจเขากะลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    2,083
    ค่าพลัง:
    +11,451

    พี่สุดใจได้เคยกล่าวให้ฟังในหลาย ๆ ครั้งแล้วว่า

    กองบัญชาการมนุษย์ต่างดาวแห่งนี้ มีผู้คนจำนวนมากที่เดินทางมาแล้วเห็นกองบัญชาการที่ทับซ้อนอยู่

    บางท่าน เห็นมนุษย์ต่างดาวเดินสวนไปมา บนเขากะลาแห่งนี้ แต่อยู่คนละมิติกัน

    บางท่านก็เห็นยานอวกาศจอดเต็มไปหมด ทับซ้อนอยู่

    บางท่านก็เห็นภูเขาด้านข้าง มองทะลุภูเขาไปเป็นเมือง มียานจอดเต็มไปหมด มีการเตรียมการเป็นกองทัพมากมายเช่นกัน

    ซึ่งสอดคล้องกับหลาย ๆ ท่านที่เดินทางมาประมวลพลัง และมองเห็นในวันนั้น

    อย่างภาพที่อาจารย์เม้าท์ และท่านอื่น ๆ ที่เห็นภาพจานบินจอดเต็มไปหมด เห็นภาพมนุษย์ต่างดาวจำนวนมาก การเห็นที่เหมือนกัน ใกล้เคียงกันหลายท่านในวันนั้น อาจเป็นการเห็นผ่านอุปกรณ์สำหรับเชื่อมต่อระหว่างมิติ ที่ติดตั้งให้กับท่าน เพื่อใช้ประสานงานกับผู้ร่วมงานต่างมิติก็เป็นได้

    เพราะอาจารย์เม้าท์ท่านเล่าให้ฟังว่า ท่านเห็นแสงสีส้มจุดเล็ก ๆ จากที่ไกล ๆ แล้วค่อย ๆ ลอยเข้ามาใกล้ แล้วหายเข้าไปที่หน้าผากของท่าน จนท่านรู้สึกตึง ๆ ที่หน้าผาก นั่นอาจเป็นอุปกรณ์อีกชิ้นหนึ่งที่เพิ่มเข้าไปเพื่อให้สื่อสารกันได้ชัดมากขึ้นก็เป็นได้

    และการที่มนุษย์ต่างดาวมาเตรียมการเพื่อช่วยเหลือมนุษย์โลกนั้น มาหลายดวงดาว และในลักษณะที่เป็นรูปแบบกองทัพ คือมีระเบียบ มีการบังคับบัญชา และมีการสั่งการเพื่อให้การช่วยเหลือ

    ซึ่งก็เปรียบเสมือนสหประชาชาติของโลกมนุษย์ มีหลายประเทศเข้าร่วมเพื่อช่วยเหลือนานาประเทศที่เกิดวิกฤติต่าง ๆ และผู้ที่จะเข้าไปร่วมในสหประชาชาติได้ก็ต้องเป็นทหารเช่นกัน แต่ละชาติแม้ไม่รู้จักกัน แต่ก็ทำงานร่วมกันได้ เพราะมีการสั่งการ จากผู้รับผิดชอบโครงการของสหประชาติเป็นผู้สั่งการนั่นเอง

    ดวงดาวต่าง ๆ ที่มาช่วยเหลือโลกในยามวิกฤตินี้ ก็มาในลักษณะของกองทัพเช่นกัน เป็นสหพันธ์แห่งดวงดาว หรือกลุ่มสากลจักรวาล มีหลายดวงดาวมาทำงานร่วมกัน แต่ละหน้าที่ แต่อยู่ในโครงการเดียวกัน

    ดังนั้น การที่เราเข้าร่วมทำงานกับมนุษย์ต่างดาว ก็เท่ากับเราเป็นตัวแทนทหารของโลกใบนี้ เป็นผู้เข้าทำงานร่วมกับมนุษย์ต่างดาวในรูปแบบของทหาร เป็นตัวแทนของโลกใบนี้ และเข้าร่วมเป็นสมาชิกของสหพันธ์แห่งดวงดาว จึงต้องมีกฏระเบียบ คล้ายคลึงกับทหารจากต่างดวงดาวเช่นเดียวกัน

    ดังนั้น เมื่อ 10 ปีก่อน แม้เราจะไม่เข้าใจก็ตาม แต่ระบบจะสั่งให้ทำการสวนสนาม ในวันสำคัญของโลกมนุษย์

    นั่นหมายถึงว่า เพราะเราทำงานในกองทัพธรรมของโลกใบนี้ จึงต้องทำงานร่วมกับกองทัพจากจักรวาล เพื่อเตรียมการช่วยเหลือภัยพิบัตบนโลกของเรา ซึ่งมีหลายดวงดาวมาให้ความช่วยเหลือ

    จึงต้องมีการดำเนินการในรูปแบบทหาร ซึ่งแม้เราไม่เข้าใจ และดูเหมือนจะเพี้ยนไปในสายตาของมนุษย์โลก แต่มีนัยยะสำคัญสำหรับจักรวาลเลยทีเดียว

    ลองดูว่า รุ่นก่อน ๆ ที่เขากะลา มีการสวนสนามกันมาแล้วหลายครั้ง และดวงดาวต่าง ๆ เขาก็ได้มาร่วมสวนสนามพร้อมกับพวกเรา แม้จะมองไม่เห็นก็ตามที

    จึงดูเหมือนทำอะไรเพี้ยน ๆ ในสายตาคนทั่วไป ผู้ที่ทนอยู่ได้ ก็ต้องมีความเข้าใจในกลไกของระบบ ต้องมีการปล่อยวางอัตตาตัวตน และมีความอดทนต่อคำครหาในระดับหนึ่งด้วย

    แต่ทั้งหลายเหล่านี้ ใครจะเข้าใจหรือไม่เข้าใจ มันก็เป็นกลไกอย่างหนึ่งของการทำงานร่วมกันกับมนุษย์ต่างดาวที่เขากะลา

     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  9. สุดใจเขากะลา

    สุดใจเขากะลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    2,083
    ค่าพลัง:
    +11,451
    พี่สุดใจจัดเก็บข้อมูล แล้วพบข้อความที่น่าจะเป็นประโยชน์กับหลาย ๆ ท่าน

    จึงขอนำธรรมะในมุมมองของธรรมชาติมาให้อ่านกันอีกครั้งนะคะ

    จากโพสที่ # 1253, # 1255, และ #1256,


    <O:p</O:p
     
  10. สุดใจเขากะลา

    สุดใจเขากะลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    2,083
    ค่าพลัง:
    +11,451
    บางครั้ง การมองเห็นธรรมชาติตามความเป็นจริงนั้น ก็สามารถทำให้เราเข้าใจถึงกลไกของการธรรมชาติ และไม่อยากที่จะไปบังคับบัญชาให้ธรรมชาติเป็นไปอย่างที่เราต้องการ

    ธรรมชาติย่อมปรุงแต่งให้แต่ละบุคคล เป็นไปตามแต่ละเหตุปัจจัยนั้น ๆ ที่เขาได้สะสมมา ไม่ได้มีใครจะหยากเป็นหรือไม่อยากเป็นเช่นนั้น

    ดังนั้น การเกิดมาตามกรรม ก็เป็นสิ่งที่ถูกต้องตามกฏของธรรมชาติ เพราะเมื่อยังมีตัวตนของตนอยู่ สิ่งที่กระทำย่อมถูกเก็บไว้เพื่อประมวลผลต่อไป


    เหมือนเครื่องคอมพิวเตอร์ เมื่อตั้งโปรแกรมบวกเลขไว้ แล้วเราก็ใส่ตัวเลขไปเรื่อย ๆ +15 -28 +32 -16 +88 +90 -43 -2 +17 +343 -51 +8 .......... และบันทึกต่อไปเรื่อย ๆ เมื่อกดให้คำนวณยอดสุทธิของข้อมูล ตัวเลขที่ประมวลผลออกมาได้เท่าไร จะเป็นบวก หรือติดลบ เครื่องคอมพิวเตอร์ก็รายงานออกมาถูกต้องตามนั้น เราก็เช่นกัน เมื่อยังมีความเป็นตัวเรา ของเราอยู่ การบันทึกกุศล หรืออกุศลเข้าไว้ เมื่อประมวลผลออกมาอย่างไร กลไกของธรรมชาติก็ย่อมจัดสรรให้ไปอยู่ในแบบฟอร์มขันธ์ห้านั้น ๆ ตามการประมวลผลออกมานั่นเอง<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    แบบฟอร์มอะไร ? ทำไมต้องมีแบบฟอร์มขันธ์ห้า<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    แบบฟอร์มขันธ์ห้า เป็นภาษาเรียกที่อาจจะไม่คุ้นเคย แต่ระบบที่ได้มาอธิบายกลไกของธรรมชาติได้นำมากล่าวไว้ ซึ่งเมื่อฟังแล้วก็สามารถเข้าใจในกลไกของธรรมชาติในอีกรูปแบบหนึ่ง ก็ขอนำมาเล่าเพิ่มเติม เพื่อบางท่านที่ได้สนใจเรื่องของขันธ์ห้า จะได้นำไปเทียบเคียงกับธรรมะที่ว่า การเกิดมาตามกรรม นั่นเอง<O:p</O:p
     
  11. สุดใจเขากะลา

    สุดใจเขากะลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    2,083
    ค่าพลัง:
    +11,451
    แบบฟอร์มขันธ์ห้า<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    กลไกของธรรมชาติก็มีการจัดสรร กำหนดกฏเกณฑ์เป็นแบบฟอร์มขันธ์ห้าขึ้นมา แบบฟอร์มแต่ละแบบฟอร์มนั้น จะมีความเหมือนกันในแต่ละแบบฟอร์ม<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    อย่างเช่นแบบฟอร์มขันธ์ห้าของนกแก้ว แบบฟอร์มนี้มีสองขา มีปีก สีเขียว จะมีลักษณะบินได้ และพูดได้ถ้ามีการสอนให้พูด
    <O:p</O:p
    แบบฟอร์มของนกยูง มีปีกแต่บินไม่ได้ มีสีสันสดใส หางลำแพนสวยงาม ถึงจะสอนก็พูดไม่ได้
    <O:p</O:p
    แบบฟอร์มของปลาฉลาม จะมีลักษณะดุร้าย กินปลาเล็ก ๆ เป็นอาหาร
    <O:p</O:p
    แบบฟอร์มของปลาทู จะไม่ดุร้าย จะตกเป็นอาหารของปลาต่าง ๆ จึงมีการอยู่กันเป็นฝูงใหญ่ การว่าย การแสดงออกจะเหมือน ๆ กัน
    <O:p</O:p
    แบบฟอร์มของลิง ของแมว ของเต่า ของกระต่าย ของอะไรก็ตาม ก็จะมีลักษณะเฉพาะของแต่ละแบบฟอร์มแตกต่างกันไป<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    ดังนั้น เมื่อการประมวลผลของการบันทึกไว้ออกมาเป็นเช่นไร ถ้าผลของการประมวลผลออกมาไม่ถึงเกณฑ์ที่จะได้เกิดมาเป็นมนุษย์ แต่เข้าได้กับแบบฟอร์มไหน ก็จะต้องไปยังแบบฟอร์มนั้น
    <O:p</O:p</O:p
    สมมุติว่า สร้างอกุศลมากกว่า แล้วได้แบบฟอร์มปลาทู เมื่อเข้าไปอยู่ในแบบฟอร์มนั้นแล้ว ก็ต้องคิดรู้ทำไปตามแบบฟอร์มนั้นเลย เพราะมันมีแค่ชั้นเดียว คือมีแค่การทำตามสัญชาตญาณเท่านั้น เมื่อออกมาเป็นลูกปลา ก็ต้องเอาตัวรอดตามสัญชาตญาณ เมื่อโตขึ้นมาก็เข้าไปในฝูงแหวกว่ายไปหาอาหารตามกลุ่มของปลา เมื่อฉลามมาสัญชาตญาณเอาตัวรอดก็ว่ายหนี แล้วมารวมฝูงกันใหม่ ก็เป็นอยู่อย่างนี้ตามแบบฟอร์ม จะไม่มีการคิดได้ว่า จะรวมกันสู้ฉลาม จะฉลาดรู้เท่าทันไม่ว่ายไปเข้าอวนที่มนุษย์วางไว้ เพราะแบบฟอร์มนี้ไม่ได้มีไว้ให้คิดซับซ้อนได้ จึงมีการคิดได้แค่ชั้นเดียว คือเป็นไปตามสัญชาตญาณของแบบฟอร์มนั้น ๆ <O:p</O:p
    <O:p</O:p
    ดังนั้น ถ้าตอนเป็นมนุษย์ แม้คน ๆ นั้นจะเก่งกล้าสามารถ เป็นใหญ่เป็นโตไม่กลัวใคร สร้างสิ่งไม่ดีไว้มากมาย แต่ถ้าผลที่ส่งไปลงแบบฟอร์มของปลาทูแล้ว แบบฟอร์มนั้นคิดรู้ได้ตามแต่สัญชาตญาณเท่านั้น แบบฟอร์มปลาทูขี้กลัว เมื่อไปอยู่ในแบบฟอร์มนั้นก็ต้องขี้กลัวไปด้วยตามแบบฟอร์มที่ธรรมชาติออกแบบไว้แล้ว<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    มดที่เราเห็นเดินกันเป็นแถว ๆ นั้น เมื่อไปเกิดในแบบฟอร์มนั้น ก็ต้องเดินเป็นแถว ๆ ตามกันไป ไม่มีการที่จะคิดว่าฉันนอนดีกว่าจะเดินตามเขาไปทำไม จึงคิดรู้ได้ตามสัญชาตญาณของแบบฟอร์มเท่านั้น<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    แม้ก่อนตายจะเป็นคนรวดเร็วว่องไว ทำงานเก่ง แต่มีด้านอกุศลมากกว่า หากเมื่อละขันธ์มนุษย์ไป การประมวลผลส่งไปอยู่ในแบบฟอร์มของเต่า แบบฟอร์มนั้นเชื่องช้า คลานไปเรื่อย ๆ ต้วมเตี้ยม ๆ เขาก็ต้องต้วมเตี้ยมตามแบบฟอร์มนั้น ตามสัญชาตญาณของเต่านั่นเอง จะไม่มีการคิดได้ว่า ไม่เอาแล้ววิ่งดีกว่า เบื่อเดินช้า ๆ เบื่อนอนในน้ำ เบื่อ ฯลฯ ไม่สามารถคิดรู้ได้ ซึ่งก็เป็นไปตามแบบฟอร์มนั้นในส่วนมาก<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    แต่สำหรับมนุษย์ ก็เป็นแบบฟอร์มขันธ์ห้าเช่นกัน แต่แบบฟอร์มนี้มีลักษณะพิเศษมากกว่าแบบฟอร์มอื่น ๆ มีความซับซ้อน มีคุณสมบัติคิดรู้ได้เอง ดังนั้น จึงเรียกว่า สัตว์ประเสริฐ เพราะเป็นแบบฟอร์มที่นอกจากจะมีสัญชาตญาณตามธรรมชาติแล้ว ยังสามารถมีปัญญาคิดรู้ได้ ที่นอกเหนือไปจากแบบฟอร์มอื่น ๆ คือมีสติยั้งคิด มีการพิจารณา มีการไตร่ตรอง มีการควบคุมอารมณ์ที่เกิดตามสัญชาตญาณ ดังนั้น จึงสามารถที่จะพิจารณาธรรม และบรรลุธรรมได้
    <O:p</O:p
    <O:p</O:p
    ดังนั้น การที่จะเกิดมาได้แบบฟอร์มของมนุษย์นั้น จึงเป็นเรื่องที่ยากแสนยาก <O:p</O:p
    <O:p</O:p
    การมองให้เห็นกลไกตามธรรมชาตินั้น ก็ต้องมองให้รอบ มองให้เห็นความเป็นธรรมดาของกลไกของสัตว์เหล่านั้นด้วย จิ้งจกมันก็เกิดมาอยู่ในแบบฟอร์มของมัน มันต้องกินแมลง มันต้องอยู่ตามบ้านเราเพราะรอกินแมลง เรารำคาญอยากไล่มันเราก็ทำได้ แต่ถ้ามันมาอีกเราก็ไล่อีก มันมาอีก เราโมโห ความทุกข์ก็เป็นของเรา ความพยาบาทที่จะทำร้ายมันก็ถูกบันทึกไว้ ทั้ง ๆ ที่ยังไม่ได้ทำ ก็บันทึกไปเรียบร้อยแล้วตามเจตนา ตามความคิดที่เรายึดว่าเราเป็นผู้คิดนั่นเอง<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    แมลงเม่า เมื่อมีไฟที่ไหนมันก็พากันบินเข้าไป แล้วมันก็ตายกันเป็นฝูง ๆ เมื่อเรามองดูเราก็ปลงสังเวชที่มันพากันบินเข้าไปตาย แต่เมื่อมันอยู่ในแบบฟอร์มนั้น มันไม่สามารถคิดได้ว่าอย่าเข้าไปในไฟเลยเดี๋ยวตาย แต่แบบฟอร์มนั้นมันก็ทำตามสัญชาตญาณของแบบฟอร์มเท่านั้น เกิดปัญญาคิดรู้ไม่ได้<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    ดังนั้น การที่ไปเกิดเป็นสัตว์ต่าง ๆ นั้น ก็เป็นการเกิดมาใช้กรรม <O:p</O:p
    <O:p</O:p
    ที่ว่า เกิดมาใช้กรรม ก็เพราะ ไม่สามารถที่จะคิดรู้ พาตัวเองออกจากความทุกข์ได้ ก็ทำไปตามสัญชาตญาณเท่านั้น เป็นนก ออกจากไข่แล้ว ก็หัดบิน ออกไปหากิน มีสัญชาตญาณเอาตัวรอดจากภัย สืบพันธุ์ ออกไข่ เลี้ยงลูก แล้วก็ตาย
    <O:p</O:p
    ถ้าเกิดมาในแบบฟอร์มนกอีก ก็ออกจากไข่แล้ว ก็หัดบิน ออกไปหากิน มีสัญชาตญาณเอาตัวรอดจากภัย สืบพันธุ์ ออกไข่ เลี้ยงลูก ถูกคนยิง บาดเจ็บ แล้วก็ตาย
    <O:p</O:p
    วัฏฏะจักรของนกก็มีแค่นี้ เกิดมาแต่ละชาติก็เท่าเดิม ก็คือเกิดแค่ไหน ก็ตายแค่นั้น เพราะไม่มีความคิดซับซ้อนให้เกิดปัญญาได้ จนกว่าจะมีการเปลี่ยนแบบฟอร์มไปยังแบบฟอร์มอื่น ๆ ที่มีกลไกซับซ้อนมากขึ้นไปอีกเท่านั้น
    <O:p</O:p
    (หมายเหตุ ที่กล่าวมานี้เป็นแบบฟอร์มขันธ์ห้าของสัตว์ตามธรรมชาติที่เห็นกันทั่ว ๆ ไป มิได้กล่าวรวมถึงการอธิฐานจิตมาสร้างบารมีของพระโพธิสัตว์ในชาติภพที่ผ่านมา ที่ท่านมีปัญญาไตร่ตรองและคิดรู้ได้ตามการอธิฐานจิตนั้นๆ )<O:p</O:p
    <O:p
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 พฤศจิกายน 2008
  12. สุดใจเขากะลา

    สุดใจเขากะลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    2,083
    ค่าพลัง:
    +11,451
    ดังนั้น การที่จะมองเห็นธรรมชาติ แล้วปล่อยวางตามความเป็นจริงนั้น ต้องเข้าใจในหลาย ๆ เรื่อง และมองเห็นความเป็นเช่นนั้นเองของทุกสรรพสิ่ง<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    แบบฟอร์มของเสือ เกิดมาต้องดุร้าย กินสัตว์เป็นอาหาร เมื่อจิตที่เข้ามาอยู่ในแบบฟอร์มนี้ คิดอะไร ก็ทำไปตามนั้น เมื่อหิว สัญชาตญาณก็ต้องหาอาหาร ก็ต้องไปล่าสัตว์ เมื่อเห็นกวาง ก็ต้องคิดจะฆ่ากวางตามสัญชาตญาณ แล้วดำเนินการตามที่คิด นั่นคือสัญชาตญาณหากินตามธรรมชาติ

    <O:p</O:p
    แบบฟอร์มของมนุษย์ เมื่อหิว หันไปเห็นคนกำลังกินข้าวในร้าน อยากเข้าไปแย่งอาหารนั้น แต่มีสติยั้งคิด มีการไตร่ตรองก่อน ดังนั้น ความหิวจึงไม่สามารถผลักดันให้มนุษย์ทำในสิ่งที่เห็นว่าไม่ถูกต้องได้ เพราะมีความคิดอีกด้านหนึ่งที่ซับซ้อนกว่าสัญชาตญาณ มาคอยขวางกั้นการทำตามอารมณ์นั้น ๆ อีกชั้นหนึ่งนั่นเอง<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    แต่ไม่ใช่ไปมองว่าเสือผิด ที่คิดแล้วก็ไปล่ากวางกินเป็นอาหาร แต่เพราะเป็นสัญชาตญาณที่มีอยู่ในแบบฟอร์มนั้น กวางก็อยู่ในแบบฟอร์มที่ต้องคอยระวังตัว คอยหนีตลอดเวลา เมื่อแบบฟอร์มนั้นมีสัญชาตญาณหนีอย่างเดียว ตอนเป็นมนุษย์เคยกล้าไม่กลัวใคร ถ้าไปอยู่แบบฟอร์มกวางก็จำไม่ได้ ก็ต้องคิดไปตามกลไกของแบบฟอร์มนั้น <O:p</O:p
    <O:p</O:p
    ดังนั้น การมองเห็นว่าหมาน่ารัก แมวน่ากอด หนูน่าเกลียด จิ้งจกน่าเบื่อ งูน่ากลัว ไส้เดือนน่าขยะแขยง นั้น ก็เป็นการมองที่ไม่เข้าใจในความเป็นจริงของธรรมชาติ จึงมีความเห็นที่ไม่เท่าเทียมกัน<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    สัตว์ต่าง ๆ มันก็ไม่สามารถเลือกเองได้ มันไม่อยากเป็นหมา ไม่อยากเป็นแมว ไม่อยากเป็นหนู ไม่อยากเป็นกิ้งกือไส้เดือน แต่เมื่อวิบากส่งไปลงในแบบฟอร์มขันธ์ห้านั้นแล้ว เขาก็ต้องไปตามแบบฟอร์มนั้น <O:p</O:p
    <O:p</O:p
    แบบฟอร์มแมวน่ารัก ขี้ประจบ เขาก็เล่นไปตามกลไกของแบบฟอร์มนั้น แบบฟอร์มนั้นจึงมีขนสวย น่ารัก สะอาด ประจบเก่ง<O:p</O:p
    แบบฟอร์มหนู ชอบลักขโมย ชอบคุ้ยเศษอาหาร สกปรก เแบบฟอร์มนั้นจึงมีขนสีดำหรือทึม ๆ หางแหลมน่าเกลียด เพราะต้องอยู่ในท่อสกปรก เราเห็นก็รังเกียจเหมือนกันหมด
    <O:p</O:p
    มดชอบขึ้นอาหาร มดกี่ตัวกี่ตัวเดินเรียงแถว จะมารุมกินแต่เศษอาหารที่ทิ้งไว้ ก็เพราะแบบฟอร์มเขาเป็นอย่างนั้น จมูกได้กลิ่นไกลมากและมาเป็นขบวน ซึ่งเขาอยู่ในแบบฟอร์มนั้น ๆ ก็ไม่สามารถเลือกได้ ต้องเป็นไปตามกลไกของแบบฟอร์มนั้น
    <O:p</O:p
    <O:p</O:p
    แม้แต่มนุษย์ก็ไม่สามารถเลือกเองได้เช่นกัน ดังนั้น ทำไมจึงต้องสร้างกุศล สร้างบารมีไปเรื่อย ๆ เพราะในขั้นที่ไม่สามารถปล่อยวางขันธ์ห้าได้ ยังมีตัวตนของตนอยู่นั้น การที่จะบันทึกสิ่งใดเข้าไป ก็ควรที่จะบันทึกในสิ่งที่เป็นกุศลดีกว่า เพื่อป้องกันการไปอยู่ในแบบฟอร์มที่ไม่สามารถคิดรู้ได้เองเหล่านั้น
    <O:p</O:p
    <O:p</O:p
    <O:pความจริงทุกสิ่งมันก็เป็นของมันอย่างนั้นแหละตามกลไกของธรรมชาติ แต่เราก็เลือกที่จะอยู่กับสิ่งใด ๆ ก็ได้ แต่อย่าได้ไปยึดว่าสิ่งนี้ดีกว่าสิ่งนี้ เรารักแมวก็อยู่กับแมวไป แต่อย่างไปว่าคนที่เขารักสุนัข ถ้าสุนัขมันวิ่งไล่แมวเรา ก็ต้องรู้ว่าสัญชาตญาณของสุนัขมันเป็นอย่างนั้นเอง เราก็ช่วยแมวไปตามเรื่อง ตามความเมตตาเท่าที่ทำได้ แต่การที่จะไปขุ่นแค้น อาฆาต แล้วฆ่าสุนัขตัวนั้น ก็เพราะเราเห็นว่าสิ่งนี้เรารัก สิ่งนี้เราเกลียด เราต้องกำจัดสิ่งที่เราเกลียดไป แต่ถ้าแมวเราไปไล่จับหนูก็ต้องรู้ว่าสัญชาตญาณมันเป็นอย่างนั้นเอง เราก็ช่วยหนูไปตามเรื่องตามความเมตตาที่เรามี ไม่ใช่ไปโกรธแค้นแมวเราเพิ่มอีก หาว่าเราก็เลี้ยงอาหารอย่างดีแล้วก็ยังไปกินหนูอีก ซึ่งสิ่งนี้เป็นกลไกของแบบฟอร์มของมัน ซึ่งก็ไม่มีอะไรผิดอะไรถูกเช่นกัน เพราะมันเป็นธรรมชาติของแต่ละแบบฟอร์มนั่นเอง<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    นกต้องจิกกินหนอน ไก่ต้องกินไส้เดือน งูก็ต้องกินกบกินเขียด เราไม่สามารถไปช่วยสัตว์เหล่านั้นได้ทั้งโลก แต่ถ้าสิ่งนั้นเราสามารถช่วยเหลือได้ มาเกิดตรงหน้าเรา เรามองเห็น ก็ช่วยกันไปตามธรรมดา ตามความเมตตากรุณาที่มีอยู่ แต่บางสิ่งที่ไม่สามารถช่วยได้ ก็ต้องปล่อยวาง ต้องเห็นความเป็นไปของธรรมชาติ จิตจะได้ไม่ไปหดหู่เศร้าหมองกับธรรมชาติเหล่านั้น<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    <O:pก็เป็นมุมมองอีกมุมหนึ่งของการเห็นความเป็นเช่นนั้นเองของธรรมชาติ เราจะได้ไม่ไปมีอคติกับสิ่งใด ๆรอบตัว ที่อันนี้ชอบ อันนี้ไม่ชอบ รักแมว เกลียดหมา รักนก เกลียดหนู หรือมองเห็นสิ่งนี้ ดีกว่าสิ่งนี้ ทำให้จิตของเราโอนไหวไปตามความเห็นที่เอียงไปในด้านใดด้านหนึ่งนั่นเอง<O:p</O:p
     
  13. หนูน้อย

    หนูน้อย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 มิถุนายน 2006
    โพสต์:
    144
    ค่าพลัง:
    +1,038
    ถ้าเราดูอารมณ์ แล้วอารมณ์นั้นทำให้ชีวิตเราตกต่ำ อย่างเช่น อารมณ์ท้อแท้ ไม่อยากทำงาน เราจะปล่อยให้อารมณ์นี้พัดพาชีวิตเราตกต่ำ หรือเราจะฝืนใจทำงาน ซึ่งเป็นการเพิ่มกิเลสหรือเปล่าคะ กิเลสความอยากให้งานสำเร็จน่ะค่ะ
     
  14. p.apichart

    p.apichart เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    401
    ค่าพลัง:
    +4,041
    ไม่ใช่นะครับ การดูอารมณ์ในข่ายทุกข์ต่างๆ ที่จะทำให้เราถดถอยนั้น เท่ากับว่าในขณะนั้นเรามีสติในการตั้งหลักดูมันได้แล้ว เราก็ใส่ปัญญาลงไป เช่น พิจารณาไปในทันทีเลยว่าอารมณ์เหล่านั้นมันเกิดขึ้นในขันธ์ห้าเท่านั้น คือเกิดในสังขารขันธ์(ความคิด) แล้วก็ปรุงแต่งไปเป็นเวทนาขันธ์(สุข-ทุกข์) ส่วนตัวผู้ดูก็คือธาตุรู้ ที่รู้เห็นการเกิดขึ้นของอารมณ์นี้ตามความเป็นจริงเท่านั้นเอง อย่าใส่คำว่ามีตัวตนของเราเป็นผู้ดูผู้เห็น

    ส่วนการที่ต้องฝืนใจทำงาน ตั้งใจให้งานสำเร็จตามทางโลกนั้น เป็นกิจที่ทุกท่านต้องทำกันเป็นปกติอยู่แล้ว ไม่ใช่เป็นการเพิ่มกิเลสนะครับ
     
  15. MOUNTAIN

    MOUNTAIN เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    15,035
    ค่าพลัง:
    +132,081
    สืบเนื่องเรื่องต่อจากการเยี่ยมชมเมืองลับแล
    และกองบัญชาการมนุษย์ต่างดาว

    ผมลืมเล่าเรื่องก่อนหน้าที่จะเข้าไปสัมผัสสถานที่ทั้งสองดังกล่าว
    จึงขอนำมาเล่าสู่กันฟัง เพื่อให้ เรื่องจบโดยสมบูรณ์แบบ

    ก่อนหน้านั้น ในช่วงเวลา 21.11 - 23.11 น.
    จะมีการนั่งสมาธิรับคลื่นพลัง ในบริเวณกรอบสี่เหลี่ยมที่ตีด้วยสีน้ำมัน
    หน้าองค์พระประธานปางสมาธินาคปรก 7 เศียร บนเขากะลา

    จำนวนผู้ที่เข้าไปร่วมนั่งด้วย มีทั้งหมด 20 คน
    แต่ละคนจะทายากันยุงชนิดน้ำ มีบางคนที่แพ้ยาน้ำกันยุง
    ก็จะไม่ทา และผลที่ตามมาคือ ยุงพากันมาตอม
    ฝากตุ่มไว้ที่ผิวหนังเต็มไปหมด คันแสนคัน

    การนั่งสมาธิที่จุดนี้ เป็นการรับคลื่นพลังจากต่างดาว
    คลื่นพลังเหล่านี้จะมีแตกต่างกันออกไป
    ทุกคนจะได้รับไม่เหมือนกัน
    บางคนจะมีอาการโยกตัว โอนเอนไปมา
    บางคน หัวเราะขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผล
    บางคนเรอลมออกจากปาก แบบ non stop เป็นเวลานาน ฯลฯ

    อาการทั้งหมด เป็นผลจากพลังงานของคลื่นที่ส่งลงมากระทำ
    เพื่อให้ผู้ที่ได้รับ เกิดความรู้สึก และคอยดูเท่านั้น
    คอยดูและพิจารณาว่า สังขารที่เราคิดว่าเป็นของเรา
    นั้นจริงแล้ว ไม่ใช่ของเรา เพราะเราบังคับบัญชามันไม่ได้
    เราไม่ต้องไปร่วมทุกข์ร่วมสุขกับมัน
    ไม่นานมันก็ตายจากกลายเป็นซากเน่าเหม็น
    ไม่เห็นมีดีอะไรเลย ที่เราจะต้องเป็นเพื่อนร่วมทุกข์ร่วมสุขกับมัน

    ถอยดีกว่า ออกมาดูดีกว่า
    เหมือนดูหนังดูละคร ละครจบก็กลับบ้านนอน
    ใจ ก็จะปลอดโปร่ง โล่ง สบาย

    เวลาผ่านไปเกือบ 20 นาที
    มีบางสิ่งบางอย่างเกิดขึ้นกับผม
    สิ่งนั้น คืออะไร
    ขอบอกว่า เป็นสิ่งที่ทำให้ผมค้นพบอะไรบางอย่าง
    และเข้าใจในขันธ์ 5 ตลอดจนพลังงานที่เหนือมนุษย์
    ที่ไม่เคยทราบมาก่อน
    ในแนวทางที่กำลังจะเกิดขึ้น บน เขากะลา คืนนี้


    <!-- / message --><!-- attachments -->
    <FIELDSET class=fieldset><LEGEND>รูปขนาดเล็ก</LEGEND>[​IMG]

    </FIELDSET>
     
  16. ณ.

    ณ. เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 มกราคม 2006
    โพสต์:
    3,387
    ค่าพลัง:
    +9,080
    ขออนุญาตค่ะ...
    จากที่เคยได้รับการชี้แนะจากพี่สุดใจมาหลายครั้ง ในเรื่องขันธุ์5
    ดูอารมณ์ที่เกิดขึ้น ที่เรามีอารมณ์เพราะเราเอาเรา เอาตัวเรา
    เอาความเป็นเราเข้าไปยึดเกาะว่าเป็นเรา ของเรา
    แต่ถ้าเราถอยออกจากตัวเรามาดู ไม่ว่าอารมณ์อะไรจะเกิดก็ปล่อยมัน
    มันอยากเกิดก็ปล่อยมัน เราไม่เข้าไปเกาะ เพียงแค่ดูอยู่เฉยๆ
    ดูจนเกิดปัญญาว่ามันเป็นเช่นนั้นเพราะอะไร แล้วก็วางลงซะ
    เช่นอารมณ์ตกต่ำ อารมณ์ท้อแท้ อารมณ์ไม่อยากทำงาน
    ใครละที่เกิดอารมณ์เหล่านี้ เราใช่มั๊ย นั่นไงเอาตัวเราเข้าไปเกาะไปยึด
    ถอยออกมาดู เหมือนดูละคร ที่เราไม่ใช่ตัวแสดง เราเป็นเพียงผู้ดู
    เราจะเห็นและเข้าใจกับปัญหาที่เกิดขึ้น เพราะเราไม่ได้เอาเราเข้าไปรวมกับปัญหา
    ครูบาอาจารย์หลายท่านเคยกล่าวไว้ว่า ถ้าเราจมกับปัญหา เราก็จะหาทางออกไม่ได้
    แต่ถ้าเราอยู่บนที่สูงกว่าปัญหา เราจะมองหาทางออกที่ดีได้
     
  17. MOUNTAIN

    MOUNTAIN เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    15,035
    ค่าพลัง:
    +132,081
    หลังจากการนั่งสมาธินิ่งๆ ผ่านไปประมาณ 20 นาที
    มีจุดแสงสว่างเล็กๆเท่าปลายเข็ม สีออกส้มๆ สว่างจ้า
    ลอยตรงเข้ามาที่บริเวณหน้าผาก
    แล้ววูบหายเข้าไป

    ผมยังคงนั่งทำจิตสงบเป็นสมาธิ ต่อไป
    โดยไม่ได้ไปสนใจกับสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อสักครู่นี้

    การนั่งนานๆ หากเกิดการปวดเมื่อย คือมีทุกข์มาก
    เราก็สามารถ ทำให้เป็นทุกข์น้อยได้ ด้วยการขยับ
    ปรับเปลี่ยนอิริยาบท ไม่ต้องไปฝืนทนทุกข์
    เพราะเรากำหนดทางเลือกได้ แต่บังคับตัวตนขันธ์ห้า ไม่ได้

    หลับตานานๆ ชักเมื่อย ก็ลืมตาขึ้นมาดู เพื่อนๆรอบข้างบ้าง
    บางคนนอนแผ่สองสลึงรับคลื่นพลัง จนเคลิ้มหลับไป
    แถมเสียงกรน ประกอบบรรยากาศที่เงียบสงัด
    บางคนนอนตะแคง ยกแข้งยกขา ยกมือชี้ฟ้าบ้างเป็นระยะๆ
    บางคนลุกขึ้นมาเดินจงกรม

    สักครู่ เหตุการณ์ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้นกับตัวผม
    จนตั้งตัวไม่ติด จู่ๆ..................ผมก็......
    <!-- / message --><!-- attachments --><FIELDSET class=fieldset><LEGEND>รูปขนาดเล็ก</LEGEND>[​IMG]
    </FIELDSET>
     
  18. MOUNTAIN

    MOUNTAIN เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    15,035
    ค่าพลัง:
    +132,081

    [​IMG]

    สักครู่ เหตุการณ์ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้นกับตัวผม
    จนตั้งตัวไม่ติด จู่ๆ..................ผมก็ปล่อยก๊าก
    ออกมาแบบยับยั้งไว้ไม่ได้
    ทั้งๆที่พยายามกลั้นไว้แล้ว
    ก็กลั้นไม่อยู่ มันบังคับไม่ได้จริงๆ เห็นกันแบบชัดๆ

    การหัวเราะแบบบังคับไม่ได้นี้ มันหนักหนาสาหัสยิ่งนัก
    แถมยังมีผสมน้ำมูก น้ำตา บ้างพอเป็นกระสาย
    ขนาดดูตลก เด๋อ ดู๋ ดี๋ หรือแก๊งส์ 3 ช่า ยังไม่ฮาเท่านี้
    นี่นั่งเฉยๆเอง มันยังขำได้ขำดี ขำแบบต้องหัวเราะออกมา
    เป็นเสียงฟิมโฟนี่ จนคนข้างๆ ที่ผมเรียกแกว่าซือเฮีย
    คงคิดว่า มันอดอยากอดหัวเราะมาแต่ไหนกันเนี่ย
    ถึงได้ปล่อยแตกออกมาแบบไม่ยั้ง และไม่หยุด

    คลื่นชนิดนี้ เราเรียกว่า คลื่นหัวเราะ ครับ
    เพราะผู้ฝึกในยุคแรกๆ ก็เคยเจอแบบนี้มาเหมือนกัน
    คนที่เจอมาก่อน เรียบร้อยสุภาพ
    แต่พอมาเจอคลื่นหัวเราะ มันกลับเกิดอาการตรงกันข้ามกับบุคลิก

    ขณะที่ผมกำลังหัวเราะแบบ หัวแตกหัวแตน อยู่นั้น
    เจ้าคลื่นตัวนี้ ก็ยังแอบเข้าไปสิงสู่ น้องๆที่เป็นผู้หญิงอีก 3-4 คน
    ที่นั่งถัดไป เว้นซือเฮียผมไปได้ยังไงก็ไม่รู้(ถ้าซือเฮียผมหัวเราะแบบนี้ ผมว่าน่าแปลกมากกว่าใครทั้งสิ้น เพราะปกติ หน้าแกเฉยมากๆ)

    เมื่อคลื่นหัวเราะ ส่งผ่านไปยังน้องหญิง ดังกล่าว
    วงมโหรี ฮาสะบัด ฮาระเบิดระเบ้อ ก็เกิดขึ้น
    ฮ่า ๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
    เหนื่อยก็แสนเหนื่อย แต่ มันหยุดไม่ได้จริงๆ
    อยากจะฮากลิ้งด้วยซ้ำไป

    หลังจากคลื่นหัวเราะถูกสั่งเก็บ
    ทุกคนในวงมโหรี ก็ยุติอาการ เก็บเครื่องไม้เครื่องมือเข้าที่
    บ้างก็หยับผ้าเช็ดหน้ามาซับน้ำตา ซับน้ำมูก
    แล้วพากันนั่งสมาธิต่อ เพราะยังไม่หมดเวลา

    เวลาผ่านไปไม่เกิน 5 นาที
    ผมก็ถูกคลื่นใหม่ เข้ามารุมเร้า อีกแล้วครับทั่น
    คลื่นนี้ทำเอา ซือเฮีย ข้างๆผม แทบจะวิ่งออกไปเอากระโถนมาให้ มันคือคลื่นอะไร...โปรดติดตามตอนต่อไป....
    <!-- / message --><!-- attachments -->
    <!-- / message --><!-- sig -->
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 พฤศจิกายน 2008
  19. MOUNTAIN

    MOUNTAIN เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    15,035
    ค่าพลัง:
    +132,081
    (ต่อจากตอนที่แล้ว)

    คลื่นนี้ทำเอา ซือเฮีย ข้างๆผม แทบจะวิ่งออกไปเอากระโถนมาให้ มันคือคลื่นอะไร...

    คลื่นพลังที่ว่านี้ คือ คลื่นเรอ โอ๊กอ๊าก
    เป็นก้อนลมที่ขึ้นมาจากกระเพาะ ขึ้นมาเป็นระยะๆ
    แต่มีความถี่ในการขึ้นกระชั้นชิดกันมาก

    เสียงที่เรอออกมาดังฟังชัดมาก
    ถ้าเป็นหญิง เรอแบบนี้ เขาว่าแพ้ท้อง
    ถ้าไปเรอ หลังกินอาหารที่ญี่ปุ่น เจ้าภาพเขาจะพอใจมาก
    เพราะเท่ากับเป็นการชมว่า อาหารเขาสุดอร่อย

    แต่ที่ผมเรอ อยู่ข้างๆซือเฮีย ขณะนั้น
    จนทำให้ซือเฮียตกใจเล็กน้อย
    และสันนิษฐานว่า ผมต้องอ๊วกแตกแน่ๆ
    จึงหันรีหันขวางมองหาอะไรก็ได้ที่จะใช้แทนกระโถน
    มารองอ๊วกผม
    ที่แกเป็นห่วง อาจเป็นเพราะ กลัวผมทำสกปรก เรี่ยราด
    ไม่สมกับเป็นพี่ที่เคารพของน้องๆ ก็ได้
    หรืออีกนัยหนึ่ง แกอาจกลัว อ๊วก กระเด็นไปถูกแก
    ทำให้สมาธิแตก ก็เป็นได้

    คลื่นเรอ ผ่านไปได้เกือบ 10 นาที ก็ค่อยๆสงบลงๆ

    ผมสามารถกลับมานั่งสงบนิ่ง ได้อีกครั้ง
    แต่ก็ให้รู้สึกถึงอาการเหนื่อยทางกายภาพอยู่บ้างเหมือนกัน
    เพราะเราบังคับมันไม่ได้จริงๆ
    [​IMG]
    <!-- / message --><!-- sig -->
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 พฤศจิกายน 2008
  20. MOUNTAIN

    MOUNTAIN เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    15,035
    ค่าพลัง:
    +132,081
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...