พระแก้วกรุฮอด

ลองติชมครับ

 

ชอบทุกองค์

 

สวยดีนะ ต้องส่องด้วยตัวเองถึงพอแยกได้ แต่ก้อสวยดีน่ะ

 

เรื่องพระแก้วกรุฮอด พูดไปอาจจะทำให้หลายๆคนเสียใจ อยากบอกว่าจุ้ยเจียของแท้ๆเป็นแสนครับ ลองพิจรณาดูศิลปการแกะ ของกรุฮอดดูซิครับ ว่ามันใช่ของเก่าแบบจุ้ยเจียหรือเปล่า เนื้อหามันไม่ใช่แก้วแบบอัญมณีนะครับ มันหล่อหลอมขึ้นมาใหม่ หลากหลายสี การแกะการเจียร มันก็ทำด้วยเครื่องครับ ของแท้ดั้งเดิมเค้าใช้เครื่องมือโบราณแกะครับ พวกกรุฮอด หลังๆมาแบบเดียวกับลูกแก้วพญานาคที่แอบไปถ่ายรูปตามถ้ำ แบบมีรังหินอะไรแบบนั้น มีขายเยอะแยะที่ฝั่งลาว หรือทางอีสาน กรุฮอดที่เล่นๆกัน ถ้าเดินเข้าไปท่าพระจันทร์ก่อนถึงริมน้ำ จะเจอร้านที่ขายพวกนี้อยู่ อยากให้พิจรณาดูเรื่องศิลปการแกะนะครับ ดูกระทู้ลูกแก้วพญานาค นั่นมันคนทำชัดๆแต่ด้วยความโลภ ถึงพยายามจะบอกว่าเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ โลกนี้ยังมีเรื่องที่ต้องเรียนรู้อีกเยอะครับ
"แล้วสอนว่าอย่าไว้ใจมนุษย์
มันแสนสุดลึกล้ำเหลือกำหนด
ถึงเถาวัลย์พันเกี่ยวที่เลี้ยวลด
ก้ไม่คดเหมือนหนึ่งในน้ำใจคน

มนุษย์นี้ที่รักอยู่สองสถาน
บิดามารดารักมักเป็นผล
ที่พึ่งหนึ่งพึ่งได้แต่กายตน
เกิดเป็นคนคิดเห็นจึงเจรจา"

 

อืมเรื่องนี้เห็นด้วยครับ

 

แต่ผมชอบนะสวยดี ถึงเก๊ผมก็เอานะเพราะดูที่เนื้องาน แต่แพงก็ไม่ไหวเพราะถ้าเก๊นี้ ของแท้แพงมากมีน้อย หินจุยเจียก็มีมากทำขึ้นใหม่มาก แต่ก็เป็นการสร้างอาชีพ มีคนเกาะเป็นศิลปะดีครับ เอาไว้บูชาคงไม่เสียหายอะไรมั้งครับ

 

ครับ

ถ้าขายกันแบบว่าเป็นงานศิลป แล้วบอกว่าเป็นงานแกะใหม่ ผมสนับสนุนด้วยครับ แต่ถ้าเอามาบอกว่าเป็นของกรุ ผมว่าไม่ดีครับ เพราะจะทำให้คนสับสน และตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพๆได้ครับ

 

ตามความคิดเห็นผมนะครับ ศิลปะยังไม่ได้ ความเก่ายังไม่มีครับ เพราะทั้งหมดที่นำมาลงไม่มีหินจุ้ยเจียเลย มีบุษราคัม (สีเหลือง) โกเมน(สีแดง)มั้งเพราะไม่มั้นใจ ซึ่งของกรุฮอดจริงๆ เนื้อแก้วเหล่านี้จะสึกครับ เพราะเนื้อจะอ่อนกว่าหินจุ้ยเจียหรือเขี้ยวหนุมานหรืออันเดียวกันกับโป่งข่าม ที่เป็นโป่งข่ามน้ำหายครับ
ทำให้เนื้อจะขรุขระ มองไม่ค่อยเห็นว่าเรียบแบบนี้ครับ เนื้อหินจะออกด้านๆ ไม่เงาครับ ยกเว้นจุ้ยเจียสีใสๆ นะครับ เพราะตัวนั้นแข็งมากครับ

ถ้าไม่ได้จับองค์จริงผมยังคิดว่าเป็นเรซินหล่อเลยครับ เพราะที่ฐานที่ดูเห็นมีรอยฟองอากาศเยอะครับ ถ้าตาไม่ฝาดเพราะเป็นภาพถ่าย

อันนี้เป็นความเห็นผมนะครับ ใช้การวิเคราะห์จากรูปเอาครับผม อาจจะไม่ใช่ก็ได้ครับผม

อีกอย่างหนึ่ง ถ้าเป็นกรุฮอดจริงๆ ร่องรอยการแกะจะไม่ลึกขนาดนี้ครับ เป็นเหมือนรอยขูดเส้นเล็กๆ ครับ

ลองดูองค์นี้นะครับ บุษศ์น้ำแตง ถ้าจำไม่ผิด

ที่มา http://www.krusiam.com/shop/phayawan/product/image/P0028453-PIC1.jpg

อีกองค์ครับ

 

พระที่นำมาโชว์นี้ท่านลองถามเจ้าอาวาสวัดพระเจ้าโท้ดูครับว่าแท้เปล่า พระที่นำมาโชว์นี้ได้นำมาทำความสะอาดแล้วและองค์พระจะมีน้ำหนักเหมือนลูกเหล็กครับ ตามที่รู้มาว่า พระแม่เจ้าจามเทวีท่านนำช่างหลวงมาด้วยไม่ใช่หรือครับแล้วพระที่เจ้าแม่จามเทวีนำมาจากลพบุรีเป็นไงใครสร้างสวยจังครับ พระแบบที่พี่ผญาวันนำมาให้ดูผมก็พอมีครับ อย่าลืมสอบถามท่านครูบาต้อมเจ้าอาวาสพระเจ้าโท้ดูนะครับว่า พระแก้วนี้ใครเป็นคนขุดได้ครับ บอกให้ก็ได้(ลุงท่านเอง)

 

ตุ๊ต้อมเพิ่งมาอยู่เมืองฮอดไม่กี่ปีนี่เอง และไม่ใช่คนฮอดโดยกำเนิดแล้วท่านจะไปเอาพระแก้วที่ไหนมา ผมก็เคยบวชอยู่ที่พระเจ้าโท้ เจ้าอาวาสองค์เก่าท่านตุ๊รัตน์ ท่านยังไม่มีเลย

 

โดนจังๆ..เข้าแสกหน้า

 

กรุฮอดยังเป็นปริศนาอยู่จนทุกวันนี้ ว่ามีจริงหรือไม่ ใครสร้าง สร้างยุคใด ? ข้อมูลที่แท้จริงจากตรงไหน ที่พอจะเชื่อถือได้บ้างครับ

 

ท่านรู้จักลุงพันหรือเปล่าพี่หนาน ที่อยู่หางบ้านหรือก่อนถึงวัดพระเจ้าโท้ ถ้าไม่ทราบลองถามคนแถวนั้นดูนะครับว่า ท่านขุดได้จริงไหมตอนที่กรมศิลป แค่นี้ครับ พี่หนานครับ

 

ชอบครับ

สวยดี

 

ขอคน ฮอด มาช่วยตอบน่าจะดีนะครับ ว่าจริง ๆ แล้ว กรุฮอด เป็นไงกันแน่ จะได้ไม่ต้องมาเถียงกัน

 

ดีครับ ถ้าท่านที่รู้จริง

 

จะเล่นกรุฮอด ให้ศึกษาให้ดีก่อน ตั้งแต่การแกะให้แยกแยะให้ออกจากการหล่อแล้วมาแกะซ้ำ ศึกษาหินกึ่งอัญมณีให้รู้จริง ศิลปในยุคที่สร้าง คราบกรุ พวกเคยพาไปดูอยู่บ้านหนึ่งเป็นร้อยชิ้น โหะๆ ปลอมยกบ้านเลย

 

ขอบคุณครับที่แน่นำ สิ่งที่ดีและเป็นประโยชน์ครับพี่

 

ตามตำนานของเมืองฮอดนั้น เจ้าแม่จามเทวีได้มาสร้างและบูรณะวัดไว้รวม 99 วัด (ที่จริงน่าจะเป็นเจดีย์นะครับ) ซึ่งแต่ละวัดจะมีพระกรุมากน้อยแตกต่างกันไป ตามศรัทธาของชาวบ้านและพลทหารที่มาด้วย วัดใดใหญ่ก็สันนิษฐานว่าเป็นวัดที่เสนาอำมาตย์เป็นผู้สานต่อเจตนารมณ์ของเจ้าแม่ วัดใดเล็กลงมาก็เป็นชนชั้นนายทหารเป็นผู้สานต่อ แต่ที่เป็นวัดใหญ่ๆ ในเมืองฮอด(เก่า)สมัยนั้น ก็ได้แก่ วัดหลวงฮอด วัดเจดีย์สูง และก่อนที่กรมศิลป์จะมาสำรวจ (ราวๆปี 2501-2503) นั้นชาวบ้านก็ได้ขุดเอาของเก่าที่เจดีย์แล้ว ส่วนมากจะเอาแต่ของที่เป็นทองคำหรือเงิน ส่วนพระกรุจะไม่นิยมนำมาเก็ยรักษาไวเนื่องจากยังเกรงอาถรรพ์อยู่ วัดที่ถือว่าสมบูรณ์จริงๆ จนถึงปัจจุบัน คือ วัดหลวงฮอด เพราะมีพระภิกษุจำพรรษาอยู่ตั้งแต่ครั้งอดีต และเจดีย์ก็ยังไม่ถูกทำลาย สามารถไปชมดูพระแก้วเขียวซึ่งถือว่าเป็นของเก่าตั้งแต่อดีตคู่บ้านคู่เมืองได้ เอาเป็นว่าประวัติต่างๆนั้นถ้ามีเวลาผมจะทยอยลงมานำเสนอให้นะครับ

 

การดูพระแก้วนั้น หลักใหญ่ๆก็ไม่น่าจะแตกต่างจากพระกรุมากนัก คือ 1.พิมพ์ถูก (ในที่นี้หมายความว่าการแกะพิมพ์ของพระแก้วนั้นแม้จะใช้มือแกะ แต่รูปร่างลักษณะพิมพ์ทรงก็ต้องคล้ายกัน มีรร่องรอยในการพิจารณาเหมือนกัน) 2.น้ำหนักใช่ (น้ำหนักของพระแก้วเอาขนาดเล็กประมาณ 1 - 1.5 ซม.นะครับ น้ำหนักจะต้องตึงมือ หมายความว่าเวลาเอาพระมาวางไว้บนมือจะต้องรู้สึกถึงน้ำหนักขององค์พระนะครับ) ถ้าองค์พระมีขนาดใหญ่กว่านี้ก็ควรจะหนักตามขนาดขององค์พระ ผมเคยพบพระแก้วหน้าตัก 9 นิ้วเป็นของชาวบ้านบ้านท่าหิน (บ้านท่าหินเป็นหมู่บ้านๆหนึ่งในเขตน้ำท่วมของอ.ฮอด)น้ำหนักองค์พระ 9 กิโลกรัมเพราะมีพยานไปพิสูจน์กันหลายคน เซียนพระที่ท่ารถเมล์อ.ฮอดเป็นผู้ได้ไปนำพิสูจน์ โดยการชั่งกิโล และก็เอาไม้บรรทัดวัด เสียดายผมไม่ได้ถ่ายรูปไว้ (พยานในวันนั้นมี ลุงยอดช่างนาฬิกา,พี่สามารถอัดกรอบพระ,ครูบอยอนุบาลเรือนคำ และอีกหลายท่านที่ผมจำไม่ได้) 3.ลักษณะขององค์พระ จำแนกออกเป็นพิมพ์พระพุทธและพิมพ์พระสังกัจจายน์ (ในส่วนของตลับบรรจุธาตุและภาชนะอื่นที่ทำจากแก้วจุ้ยเจียนั้นไม่ขอกล่าวถึงนะครับ) ซึ่งก็สามารถแยกได้อีกว่าพิมพ์พระพุทธปางสมาธิ,ปางมารวิชัย,ปางไสยาสน์,ปางประทานพร ส่วนปางอื่นนั้นไม่แน่ใจว่ามีหรือไม่.....แล้วจะอธิบายวิธีดูต่อนะครับ