โรคภัยไข้เจ็บ อันเกิดจากการนั่งสมาธิ / การฝึกจิต / การฝึกพลัง

อีกประการ ท่านที่กำลังฝึกอาบน้ำแข็งอยู่ และกำลังไปได้ดี ก็อย่าได้ชะงัก
ส่วนผู้ที่มีปัญหาความเจ็บไข้ลึกๆในกาย ก็ให้เหลือบดูรายละเอียดลึกๆ ในบทศึกษานี้

แต่เดิม เมื่อเริ่มมีการถ่ายทอดการอาบน้ำแข็งโดยคุณโอม
สุวิให้สงสัยมากในรายละเอียดของวิธีปฏิบัติ เช่นการใช้ยาเขียว ใบพลู นม และน้ำมะพร้าว(ผู้ที่ตามอ่านมาแต่ต้น จะรู้ว่าสุวิถามค้านเรื่องนี้แต่ต้น)

ที่สงสัยเป็นเพราะ สุวิก็ได้รับถ่ายทอดการอาบน้ำเย็น/น้ำแข็งมาเช่นกัน
วิธีการทำการปฏิบัตก็เป็นแฉกเช่นเดียวกัน
แต่ตัวยาทั้งหมดที่ได้รับถ่ายทอด ล้วนตรงกันข้ามกับที่คุณโอมได้บอกเล่าไว้ทั้งสิ้น เช่น
คุณโอม ใช้ยาเขียว(ยาเย็น) สุวิใช้ยาร้อน (ยาปลูกไฟธาตุ ยาอายุวัฒนะพระนารายณ์ กวาวเครืแดง)
คุณโอม ใช้ใบพลู (อุ่นร้อน) แต่สุวิใช้ใบบัวบก(เย็น)
แต่ นม/น้ำมะพร้าวใช้เหมือนกัน (น้ำมะพร้าวที่สุวิใช้ ท่านให้ใช้น้ำจากมะพร้าวไฟ แต่ของคุณโอมไม่เกี่ยง มะพร้าวอะไรก็ได้)

แต่แรก สุวิคิดว่า ไม่ของคุณโอมผิด ก็ของเราที่ได้รับถ่ายทอดมาผิด

แต่ผู้ที่ถ่ายทอดให้สุวิ ไม่เคยผิด แต่ท่านแกล้งถ่ายทอดให้สุวิขาดๆเกินๆตลอด
และสอนว่า สิ่งที่เรียนรู้ให้วางบทศึกษา ทดลองแล้วทดลองอีก ลองสิบครั้ง ต้องเกิดผลตามที่กำหนด ได้สิบครา
ถ้าไม่ได้ไม่เกิดผล ให้หาข้อผิดพลาดให้เจอ ว่าเป็นเพราะเหตุใด มีเหตุใหตุอะไรเป็นตัวชักนำให้ผลที่ได้ผิดไป (อย่างกะทดลองวิทยาศาตรเลยวุ้ย)
จนมั่นใจแล้ว หล่อหลอมจนเป็นความรู้ที่ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตนแล้ว จึงสอนต่อได้

ดังนั้นสิ่งที่คุณโอมถ่านทอดไว้ผิดหรือ

แต่หลังจากได้ศึกษาลึกๆแล้ว
สิ่งที่คุณโอม ได้ถ่ายทอดไว้ ไม่ผิด
ที่สุวิได้รับมา ก็ไม่ผิด

ผิดที่ความประมาทในการถ่ายทอด ดังที่สุวิได้เขียนไว่ว่า

แต่ละคนล้วนมีความแตกต่างในธาตุประกอบในกาย อาการเดียวกัน
แต่การแก้ใข/แนวทางเดินการฝึก ล้วนแตกต่างในรายละเอียด

เพียงพลาดในส่วนนี้ แทนที่จะเกิดประโยชน์ กลับกลายเป็นโทษอย่างมหันต์

 

ก่อนเข้าสู่เรื่องการอาบ น้ำร้อน-น้ำเย็น-น้ำแข็ง
ขอปูพื้นฐานเรื่องทั้งหมดก่อน

 

ปูเสื่อรอครับอ.สุวิ..
รอมานานมากแล้วฮะ.. จุ๊ยจะได้ฝึกแบบไม่ป่วยสักที..
กี่รอบๆมา.. ป่วยตลอด..
สาธุ

 

พลังคุณฑาลิณี จะฝึกแบบไหน หรือของใคร ก็ต้องรับผลของพลังทั้งนั้นแหล่ะ

จะเลี่ยงการเจ็บป่วยทางกาย ที่มันขึ้นมาทะลวง....คงยากส์................

อยู่ที่ว่า....ใจสู้แค่ไหน....จะเอาของดีที่สุด ในกายมนุษย์ แบบสบาย ๆ

เป็นไปไม่ได้หรอก...555555555555 อ่ะก๊าก!

 

จุ๊ยเอยอะไรที่มันทำให้เกิดทุขเวทนาต่อตนเอง ก็อย่าทำเลยแสดงว่ามันไม่เหมาะกับเราแล้ว
แหละ......5-5-5

 

น้องบาสเขาพูดไม่ผิด หุหุ ของที่ง่ายกว่านี้

มีอีกเยอะ 55555555555 แบบนี้เหมาะ

สำหรับพวกใจถึง ลุยแหลก! และไม่กลัว

สุดแท้แต่วาสนาบารมี ที่เคยทำ

 

ยินดี ที่หลากหลายความเห็น และ ท่านผู้มีความสามารถ รวมทั้ง ผู้สนใจ

เข้ามาแลกเปลี่ยนกัน



ธรรมดาของโลก ที่จะต่างประสพการณ์ ต่างความเห็น ...


ทุกคนมีสิทธิ์เลือก ทดลอง และ สรุปทางของตน


อย่างไรเสีย...........สุดท้าย ขอให้แต่ละท่านพ้นทุกข์ไปตามลำดับขั้น ก็น่าโมทนาแล้ว



โรคที่น่ากลัวที่สุด คือ โรคทางใจ ที่ทุกคนต้องรักษาตนเองให้ได้



.....................โมทนา ในทุกความปรารถนาดี และ ความพยายามเพื่อพ้นทุกข์...

 

บารมีแก่กล้า ดั่งเช่นเจ้าชายสิทธัตถะ พระชาติสุดท้ายแห่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน


ก่อนตรัสรู้ ท่านยังถ่อมตัว ที่จะไปเป็นศิษย์เรียนรู้ในทุกสำนักที่ว่าเยี่ยม


..โอ้ ตัวข้าพเจ้าหนอ ธุลีเล็กๆ ในจักรวาล ก็ต้องเรียนรู้ไปและพัฒนาไปอย่างไม่สิ้นสุด


หลายอย่างที่สื่อออกไปแล้ว แต่ตีความไปต่างๆนานา ตามเหตุปัจจัยที่ปรุงแต่ง
หลายอย่างที่อยากพูด แต่ไม่พูดดีกว่า


เวลา ก็ร่อยหรอไปทุกทีๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ


ขอทุกชีวีเป็นสุข ถ้วนหน้ากัน สาธุ สาธุ สาธุ

 

http://palungjit.org/showthread.php?t=149417

 

ช่วงนี้ออกหนาวแล้วกะว่าจะเริ่มอาบน้ำแข็งละ

ช่วงนี้เป็นหวัดยังไม่หายเลยค่ะ ครั้งแรกเป็นอยู่หลายอาทิตย์เหมือนกัน

พอหายแล้วเพื่อนดันเอาหวัดมาปล่อยอีก คิดดูสิเป็นีรอบสองตั้งแต่31มกราคม


เคยลองทานยาเขียวแล้วแต่ทานยังไงก็ไม่หาย ทานน้ำมนต์จักรพรรดิก็ไม่เชิงว่าหายอีก

แต่เวลาอากาศเย็นๆอาการกวัดไม่หลงเหลืออยู่เลย พอมาอยู่ที่ทีอากาศอุ่นๆหน่อยน้ำมูกเริ่มมาอีกแล้ว

 

จากที่ได้เล่ามา จะเห็นได้ว่าฟองแก้สเหล่านั้น ล้วนเป็นสิ่งแปลกปลอม ขนาดเล็กมากๆ แทรกเข้ามาอยู่ในร่างมนุษย์ สัตว์ และสิ่งของต่างๆ
เหล่าฟองแก้สล้วนมีเจสิก(ความนึกคิด)เฉพาะตน
บ้างเข้าเกาะกินสิ่งที่เกาะอาศัย เพื่อดำรงค์ชีพ
บ้างเข้าทำลายสิ่งที่เกาะเกี่ยวด้วยอาฆาต (พวกที่เริ่มมีพัฒนาการสูง)
บ้างขอเข้าอาศัยแบบเกื้อกูลกัน (แต่ยังมีผลตกค้างในการรบกวนความปกติสุข)

โดยปกติในมนุษย์ จะแยก กายได้เป็นสามส่วน

ส่วนที่ ๑.
ส่วนที่เป็นกายมนุษย์ ประกอบด้วยมหาภูติรูปสี่ คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ
กายมนุษย์ ส่วนนี้ มีสภาพดังหุ่นยนต์ ไม่อาจทำงานเลื่อนไหวได้
เจ้าฟองแก้สสิ่งแปลกปลอมที่กล่าวถึงล้วนเข้ามาแทรกกัดกินทำลาย กายส่วนนี้

ส่วนที่ ๒.
เป็นพลังงานในการขับเคลื่อนกายมนุย์ ประกอบด้วยพลังงานสามตัวคือ ปิตะ วาตะ และเสมหะ
พลังงานทั้งสามตัวนี้เรียก ตรีธาตุ

ปิตะธาตุ (ประกอบด้วย พัทธปิตะ,อพัทธปิตะ,กำเดา)
วาตะธาตุ (ประกอบด้วย สุมนาวาตะ,หทัยวาตะ,สัถกวาตะ)
เสมหะธาตุ (ประกอบด้วย ศอเสมหะ,อุระเสมหะ,คูถเสมหะ)
ปราณ(สุมนาวาตะ)เป็นใหญ่กว่าวาตะทั้งปวง เมื่อผ่านการฝึกที่ดี จะเข้าควบคุมตรีธาตุได้ เมื่อนั้นเราอาจควบคุมกายเนื้อให้ดำรงค์ชีวิตได้นานเท่านานตามปรารถนา

พลังงาน ตรีธาตุนี้มีลักษณะดัง เปลวไฟ สายลม และกระแสน้ำ ซึ่งอาจเข้าทำลาย สิ่งแปลกปลอม จากฟองแก้ส ดังกล่าวได้
พลังจาก ปิตะ มีจุดศูนย์มาจาก จักร ๑ เป็นพลังความร้อน เราเรียก งูไฟ หรือกุลฑาลินี หรือที่สุวิเรียกว่าพลังจากสุริยะรัตะมณี
พลังจากวาตะ (ส่วนที่เป็นพลังชีวิต) ที่เรียก สุมนาวาตะ มีจุดศูนย์อยู่ที่ จักร ๓(สะดือ)
แล้วกระจายไปหล่อเลี้ยงทั่วร่างกาย(ดูรายละเอียดในตำราเส้นสิบพิศดาร ที่ให้ไว้)
พลังจากเสมหะ จะมีจุดศูนย์กลางพลังอยู่ที่ จักร ๖ เรียก จันทรามณี

จักร๖ ทำงานร่วมกับ ๗ - จะเป็นตัวควบคุมการทำงานของจักร ๑ คืองูไฟ นี่คือความลับ ที่ทุกคนไม่กล่าวถึง

ดังนั้นสิ่งที่สามารถทำลายสิ่งแปลกปลอมได้ จึงมิได้มีเพียง งูไฟหรือกุลฑาลินีเท่านั้น
แต่จะประกอบพร้อมไปด้วย พลังจากงูไฟ(พลังจากสุริยะรัตมณี) กระแสน้ำ(เสมหะธาต-พลังจากจันทรามณี) และ สายลม(สุมนาวาตะ)
เพียงอย่างใดอย่างหนึ่ง หรือสองอย่างพร้อมกัน หรือทั้งสามอย่างพร้อมกัน สิ่งแปลกปลอม ก็ไม่อาจทนอยู่ได้

ส่วนที่ ๓.
เป็นเจสิก(จิต+ความปรารถนา)ที่เข้าควบคุมกายมนุษย์

ถ้าจะเทียบง่ายๆก็คือ
กาย/หุ่นยนต์มนุษย์ เทียบได้กับรถยนต์
พลังงานตรีธาตุ เทียบได้กับแบตเตอร์รี่ น้ำมันหล่อลื่น และน้ำมันเชื้อเพลิง
เจสิกที่เข้าขับเคลื่อนหุ่นมนุษย์ เทียบได้กับ คนขับรถ

 

ขอเป็นกำลังใจให้กับทุกท่าน ที่ร่วมวัฏฏะสงสาร]

ฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯ
ยา และ พลังภายนอก เป็นการอำนวยภาวะสะดวกในการซ่อมแซมกาย
แค่ชั่วระยะหนึ่ง เปิดโอกาสให้เราใช้ช่วงนั้นฟื้นฟูร่างกายในปัจจุบัน
และสร้างภูมิต้านทาน เพื่อรองรับสิ่งที่จะมารังควานกายในอนาคต

ถ้าเราเคยคะนอง ไปทำร้ายเค้าโดยทางตรงและทางอ้อม

คล้ายๆเรื่องทางโลก

ศาลอาจให้เจรจายอมความกัน และ เรียกปรับตามกฏหมาย

กรณี1 มีเงิน( บุญ ) จ่ายค่าปรับ แต่ คู่กรณี เจ็บใจ อาฆาต ไม่สนบุญ(เงิน) สนแต่ การเอาคืน ก็ต้องเพียรสำนึกจนกว่าเค้าใจอ่อน หรือ
หาผู้ที่เค้าเกรงใจอย่างยิ่งมาเป็นคนกลาง ( เช่น จิตที่มีอำนาจความดี มีตบะสูง )


กรณี2 คู่กรณียอมให้กัน ต่างคนต่างไป แต่....กฏหมายมีผลลงโทษยาวนาน ( ความแรงของกฏแห่งกรรม ) ก็ไม่พ้นที่ต้องอดทน


สรุปคือ ไม่ว่าอะไรก็ต้องทน

ขันธ์ห้า รวมในกาย ใจ มันก็ทุกข์อย่างนี้แหละ




แม้กายเนื้อ ของเจ้าชายสิทธัตถะยังต้องเจ็บป่วย
แต่ใจ จิต วิญญาณ ท่านอิสระ


บ่อยครั้ง ต้องมีสติสัมปชัญญะ
เราอาจบ่นเล่นๆ ด้วยยังมีอวิชชามากน้อยต่างกัน
แต่ไปจุดประกายมโนกรรมที่ไม่ดีของคนที่ได้อ่าน ก็สร้างลูกโซ่กรรมใหม่ขึ้นมาอีกแล้ว


เมื่อ กาย วาจา ใจ สะอาด มีกรรมขาวหรือกุศลเต็มรอบขี้น( ศีลมากขึ้น ตามธรรมชาติ )ธรรมภายในจะยิ่งสะอาด ละเอียด ลึกซึ้ง

เมื่อละเอียดมากขึ้น บารมีพระ และของสูง ที่จะมาเกื้อกูล เจรจาปรับปรุงโครงสร้างหนี้ กับบมจ.ธนาคารกรรม ก็ยิ่งมากขึ้น


พิจารณาช้าๆ......

 

มังกรเอ้ย...มังกร
ความลับที่กล่าวข้างบน มันซ่อนซ้อนไว้ใน เกสา โลมา ฯ
เคยบอกเป็นในๆ อยู่หลายครั้ง
แต่เปล่าประโยชน์จริง

หากรู้ความลับนี้ ก็ไม่ต้องไปทนทุกข์กับการปรากฏตัวของมังกรแดงแล้ว
ความจริง มังกรบูรพา ก็ได้ประสพ เสวนากับความลับนี้มาแล้วครั้งหนึ่ง

แต่ด้วยความประมาท ไม่รู้จักพอ ไม่รู้จักแยกแยะ จึงต้องเจ็บแบบที่ได้รับ
และยังโง่ต่อไป

 

เย.. อ.สุวิตอบไปแล้ว.. เราเลยไม่ต้องอวดฉลาด(น้อย)
คือผมไม่รู้อะไรหรอกครับ.. แต่แค่สันนิษฐานเอามั่วๆ
นั่งรอความรู้จากอ.สุวิต่อดีกว่า..
พูดไปสองไพเบี้ย นิ่งเสียตำลึงทอง

 

ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ suwi
จักร๖ ทำงานร่วมกับ ๗ - จะเป็นตัวควบคุมการทำงาน
ของจักร ๑ คืองูไฟ(มังกรแดง)
นี่คือความลับ ที่ทุกคนไม่กล่าวถึง

อาจารย์โพสท์ช้าไปแล้วครับ

จักร 6 ขึ้นรวม 7 กลางกระหม่อม คือเส้นจันทรานที พลังเย็นไหลจากบนลงล่าง

ตามแนวฝึกพลังจักรวาล

จักร 1พลังร้อน สุริยะรัตนที ไหลขึ้นจากฝีเย็บขึ้นกระหม่อม

ตามแนวฝึกอาบน้ำแข็ง

อาการครั้งสุดท้าย

ฝีเย็บกระตุกสั่นถี่รุนแรง ขนาดเบาะรองนั่งสะเทือน

แต่งูแดงและน้ำเงิน ไม่สามารถทำอันตรายได้

ก่อเกิดสนามพลังวงใหญ่ แนวตั้งฉากกับพื้นโลก

พลังหมุนออกนอก สัมพันธ์กับการหมุนของจักรวาล

สัมพันธ์กับการหมุนของลิ้นปี่

การเห็นสีของฐานจักกระ เห็นครบทุกสีครับ

 

โอวว อาบิ๊กทะลุโลกไปแล้ว..
สุดยอดครับ นับถือเลยฮะ ยินดีด้วยครับ ยินดี

 

แต่........ผมขอยืนยันโพสท์ข้างบนครับ

เนื่องจากต่างคนต่างกาย/ต่างฐาน/จักรต่างสภาพ

จะไม่ให้รับผลแห่งพลังคุณฑาลิณี โดยร่างกาย

ไม่รับผลกระทบใด เป็นไปไม่ได้หรอกครับ

นอกเสียจาก...ถูกคุมการฝึกอย่างใกล้ชิด

โดยไม่ห่าง...ใครล่ะครับ...ที่จะรับหน้าที่นั้น

ผมคงต้องให้อาจารย์ แนะนำการฝึก แบบที่ว่า

พลังคุณฑาลิณี เป็นของง่าย ของสบาย รออ่านครับ

 

เท่าที่ เพ่งดู
มังกรบูรพา ผ่านการขึ้นมาของ งูไฟ
ขึ้นมาแรงมาก..และตัวเองมีความชมชอบ ยิ่ง
ผลที่ ตามมา คือ ในตัว จะมีพลังร้อนระบายออกมา ตลอดเวลา
เหมือน คอนเดนเซ่อร์ ของ แอร์ คอยร้อน
ความร้อนที่ออกมา จะ แผ่ออก ไปรอบๆๆตัว..รัศมี เกินกว่า 5 เมตร
อยู่ที่ใด ถ้าไม่มีแอร์ ผู้คน จะอยู่ใกล้ไม่ได้ เพราะ เหมือน มาอยู่หน้า เตาไฟ
มีฤทธิ์ แต่ คนอยู่ใกล้ไม่ได้...ระยะยาวคงจะไม่ดีแน่..ปล่อย ตามธรรมชาติ ดีกว่า

 

ขอบพระคุณมากครับอาจารย์ เท่าที่สังเกตุร่างกาย จะเย็นและอุ่นเป็นช่วง ๆ

สลับไปมาทั้งวัน คิดว่าคงกำลังปรับสภาพข้างใน หากร่างกายไม่สามารถ

ระบายความร้อนออก คือจักรตัน ป่านนี้หงายท้องนานแล้วครับ ช่วงที่

อาจารย์เพ่งมา ความร้อนคงระบายออกอยู่ครับ ประเดี๋ยวร่างกายก็เย็นใหม่

ระยะนี้ผมคงแบ่งเวลาเข้าสายสมาธิแล้วครับ คือขอไปแบบสบาย ๆ มั่ง

เดี๋ยวไล่น้อง ๆ รุ่นหลังไม่ทัน

 

OOสิ่งที่นอกตำรา มีเยอะมาก OO

โมทนา ที่เข้าถึงและ เห็นคุณ เห็นโทษของมัน แล้วพ้นจากการครอบงำของ

การยึดติดในวิชาใดๆ จนสร้างทุกข์ใหม่

แค่อาศัยมันเพื่อพ้นทุกข์ ไปเป็นขั้นๆ ครับ







และ โมทนา ที่จะก้าวสู่ อิสระภาพทางจิตใจ

ที่กำลังจะเดินไปครับ