นู๋ฟ้า>ใหม่!แก้วขนเหล็ก,แก้วจอมขวัญ,แก้วโป่งข่ามเถินราคาถูกที่นี่ที่เดียว

ในห้อง 'พระเครื่อง วัตถุมงคล' ตั้งกระทู้โดย nu_fah, 23 มีนาคม 2009.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. ลูกแก้วแววตา

    ลูกแก้วแววตา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    886
    ค่าพลัง:
    +952
    ออ...น้องฟ้า แล้วพี่บอกไปอ๊ะยัง ว่าปีนี้ แม่พี่อายุ " 72 " แล้วนะจ๊ะ...

    เอากันเข้าไป สาวๆแถวนี้....ให้เลขกันเป็นว่าเล่นทีเดียวเชียว
     
  2. รักจันทร์

    รักจันทร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    554
    ค่าพลัง:
    +311
    พี่แก้ว...
    จัดไปครับ มีอะไรให้รับใช้บอกได้เลย ส่วนเรื่องตัวเลขก็ใบ้กันจัง!
    ซื้อกันบ้างนะครับ เดี๋ยวไม่ซื้อแล้วออกมาจะเสียใจ (ไม่เฮ ก็ โฮ! แหละงานนี้)

    คุณฟ้า...
    ผมพูดจากความรู้สึกครับ ก็อยากรู้จริงๆนี่หน่า! 555+
    ถ้าพูดถึงหนังแล้ว อยากดูเรื่องที่พี่ดาเล่ามากกว่าครับ ที่ผีมันแย็บปากตัวเองอ่ะ!
     
  3. ลูกแก้วแววตา

    ลูกแก้วแววตา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    886
    ค่าพลัง:
    +952
    ว่าไม่ได้น๊า น้องจันทร์ ไม่เชื่อถามน้องฟ้าดูดิ....คราวที่แล้วอ่ะ ออกเลขของพี่เป๊ะเลย....(ยอดที่อุดหนุนน้องฟ้าแหละ)
     
  4. ลูกแก้วแววตา

    ลูกแก้วแววตา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    886
    ค่าพลัง:
    +952
    ตื่นกันหรือยังน้อ

    :z3:z3:z3:z3:z2:z2:z2:z2:z2he llo _:z4:z4:z4:z4:z4:z4:z4:z4


    สวัสดีจ้า....แวะมารายงานตัวก่อนใครๆ แล้วก็หายไปแบบแว๊บไปแว๊บมาเป็นระยะ ระยะนะคร้าบ
     
  5. นาวิก

    นาวิก สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    22
    ค่าพลัง:
    +2
     
  6. นาวิก

    นาวิก สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    22
    ค่าพลัง:
    +2
    คุณฟ้าครับ
    คำว่า แก้วเข้าแร่ คือ อะไรครับ และคำว่าเข้าแก้ว คือความหมายเดียวกับ แก้วเข้าแก้วไหมครับ ขอบคุณครับ ออแต่ถ้ามีลายระเอียดตามที่บอกกับคุณไพโรจน์ไปว่าจะแนบข้อมูลเกี่ยวกับโป่งให้ด้วยแล้วนั้น ก็ไม่ต้องตอบก็ได้ครับ เดียวไปอ่านเองก็ได้ครับขอบคุณอีกครังครับ
     
  7. nu_fah

    nu_fah เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 มกราคม 2009
    โพสต์:
    1,268
    ค่าพลัง:
    +162
    สวัสดีค่ะคุณนาวิก ,
    ขอบคุณนะคะ ที่ติดตามคลับคนรักแก้วโป่งข่าม อย่างละเอียด...
    - ที่ถามมา แก้วเข้าแก้ว ก็ คือ แก้วที่มีผลึกแก้วอีกอันซ้อนกันอยู่ข้างในแก้วโป่งเม็ดนั้นอีกที่อ่ะค่ะ ลักษณะก็จะเป็นเหมือนก้อนน้ำแข็งใสๆ อยู่ข้างใน แต่อาจจะมีเหลี่ยมมุม แล้วแต่ผลึกแต่ละก้อน (ซึ่งก็จะไม่เหมือนกัน..ถือเป็นเอกลักษณ์)
    - ส่วนแก้วเข้าแร่ ก็จะลักษณะที่เป็นแก้วโป่งข่าม ที่มี สายแร่อื่นๆ อยู่ข้างใน อาจจะเป็นก้อน เป็น ผลึก ซึ่งแร่แต่ละชนิดก็จะมีสีที่แตกต่างกันไปค่ะ
    - นึกแล้วเชียว ว่า ต้องเป็น "สายลับ" ของคุณไพโรจน์แน่เลย..อิอิ ตอบมาแว้ว.... แต่ที่ส่งไปให้ ยังไม่ได้แนบเรื่องแก้วขนเหล็กไปให้เลยนะคะ กะว่าจะเอามาอัพให้อ่าน (จาได้ทั่วถึงกัน) แต่ขอเวลาไปค้นหาข้อมูล เอาแบบโดนๆ เลยดีกว่า
    - วันนี้ก็ส่งของให้คุณไพโรจน์ (ป่าตอง ภูเก็ต) แล้วค่ะ..EMS 6817 4504 8 TH
    - ฝนหยุดตกอะยังเอ่ย...อิอิ เชียงรายแดดจ้าแว้ว...(งานนี้ตัวดำแน่คร้าบ..บ..)

    - คุณ จิรภัทร (กฟผ. บางกรวย) ก็ส่งวันนี้นะคะ EMS 6817 4505 1 TH

    - happy happy na ka !! วันนี้ นู๋ฟ้าจาไปเที่ยว + ทำบุญแถวเชียงใหม่ก่อนน้า... วันจันทร์ รึไม่ก็ดึกๆ วันอาทิตย์ ก็จามาออนใหม่ค่ะ... (จาหอบบุญมาฝากจ้า)

    - ขอบคุณคุณรักจันทร์ พี่นาวิก และทุกท่านที่ติดตามและให้กำลังใจ "คลับคนรักแก้วโป่งข่าม" มากๆๆๆ เลยนะคะ
     
  8. nu_fah

    nu_fah เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 มกราคม 2009
    โพสต์:
    1,268
    ค่าพลัง:
    +162
    ขอเอาสาระเรื่องแก้วโป่งข่าม มาให้อ่าน สำหรับคนที่เริ่มสะสมแก้วค่ะ...

    [FONT=&quot]แก้วโป่งข่ามที่เราสามารถพบได้ไม่ยากนัก โดยจะใช้เป็นแนวทางในการพิจารณาเลือกซื้อหาได้ถูกชนิด และเข้าใจถึงคุณวิเศษของแก้วชนิดนั้น ๆ ที่เป็นความเชื่อมาแต่โบราณ ซึ่งพยายามจัดแบ่งให้สามารถศึกษาได้ง่ายที่สุดดังนี้[FONT=&quot]<o></o>[/FONT][/FONT]
    [FONT=&quot]แก้วทรายคำ[FONT=&quot]....[/FONT][/FONT]
    [FONT=&quot] หรือเราอาจจะเรียกกันอีกอย่างหนึ่งว่า แก้วมหานิลทรายคำ ลักษณะของแก้วทรายคำนั้นโดยปกติเมื่อเจียระไนมาทำหัวแหวนแล้วด้านบนแก้วจะมีลักษณะใส ด้านล่างหรือพื้นแก้วจะมีลักษณะของเม็ดทรายเรียงกันเป็นพื้น จัดอยู่ในลักษณะของแก้วที่ว่าด้วยลายประกอบพื้น เพราะโดยทั่วไปแล้วทรายคำที่เกิดขึ้นตรงก้นแก้วหรือพื้นแก้วนั้น จะเกิดจากผนังภายนอกของโครงของก้อนผลึกหินเขี้ยวหนุมาน ซึ่งพวกสารแร่ธาตุและทรายต่าง ๆ นี้จะอยู่ด้านนอกเป็นรูปร่างและสีต่าง ๆ ต่อมามีการตกผลึกของแก้วที่อยู่ด้านบนจึงทำให้เกิดเป็นเม็ดทรายที่อยู่ด้านล่างของก้นแก้ว แก้วมหานิลทรายคำนี้โดยปกติแล้วมีหลายสี เช่น [FONT=&quot]<o>

    </o>[/FONT]
    [/FONT] [FONT=&quot]“สีแดง”[FONT=&quot] เรียกกันว่าแก้วทรายแดงมีคุณทางด้านป้องกันโรคภัย ทำให้สุขภาพแข็งแรงสร้างความมีชีวิตชีวาและเพิ่มความกระตือรือร้นในชีวิต และยังส่งผลไปถึงความสำเร็จ ในหน้าที่การงานอีกด้วย<o></o>[/FONT][/FONT]

    [FONT=&quot]“สีส้ม”[FONT=&quot] ลักษณะคุณประโยชน์จะคล้ายกับสีแดง จะแตกต่างกันตรงที่ในสีส้มนั้นจะมีความนุ่มนวลอ่อนโยนอันเป็นพลังแห่งเพศของหญิง อยู่ด้วยในปริมาณที่เหมาะสม สีส้มยังมีคุณประโยชน์อีกด้านหนึ่งก็คือสามารถเพิ่มพูนสติปัญญาได้อีกด้วย<o>

    </o>[/FONT]
    [/FONT] [FONT=&quot]“สีทอง”[FONT=&quot] เป็นที่นิยมกันมากอันเนื่องมาจากจะส่งผลให้เกิดในเรื่องของเงินทองโชคลาภ ความมั่งมีศรีสุขและแคล้วคลาด<o>

    </o>[/FONT]
    [/FONT] [FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]แก้วปวก[FONT=&quot]....
    [/FONT]
    [/FONT]
    [FONT=&quot]คำว่าปวกเป็นภาษาเหนือ แปลว่าต่อมน้ำหรือฟองน้ำ ตามตำนานพระธาตุลำปางกล่าวถึงลักษณะดั้งเดิมของพระธาตุเจ้าลำปางมีสัณฐานดั่งปุ่มปวกน้ำ คือลักษณะครึ่งวงกลมเช่นผลส้มผ่าครึ่ง ตามแบบพระสถูปอินเดียสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช ซึ่งเผยแพร่พระพุทธศาสนาถึงสุวรรณภูมิ[FONT=&quot]<o></o>[/FONT][/FONT]
    [FONT=&quot]........ปวกต่าง ๆ ประเภทแร่สีและต่อมน้ำแก้วต่าง ๆ ทำให้เกิดชื่อปวกสี ปวกแก้วต่าง ๆ ปวกแร่สีที่ราบกับก้นแก้วเรียกว่า “ปวกทราย[FONT=&quot]แก้วปวกทรายคำตามสีสันและวาวสี แต่ถ้ามีลักษณะฟูขึ้นมาก็จะเรียกว่า [/FONT][FONT=&quot]“ปวกปุย[/FONT][FONT=&quot]ปวกสีต่าง ๆ ปวกเครือ ปวกลอย คราบปวก ที่กระจัดกระจายมีสีกระดำกระด่าง คนภาคกลางเรียกกันว่า [/FONT][FONT=&quot]“กาหลง[/FONT][FONT=&quot]ปวกกาหลง มิใช่ลักษณะแก้วชั้นดีของบ่อแก้วโป่งข่ามมักจะเป็นของที่นำมาจากที่อื่นลักษณะของแก้วปวกแต่ละชนิดจะมีชื่อตามลักษณะสี เช่นปวกเขียว ปวกแดง ปวกคำ (ทอง) ปวกเงิน ปวกแก้ว ฯลฯ และลักษณะที่เกิดขึ้นภายในเรือนแก้วได้แก่ ปวกไรแก้ว[/FONT][FONT=&quot], ปวกทราย, ปวกครั่ง, ปวกเครือ, ปวกลอย, ปวกปุย, ปวกสี, ปวกวรรณสาม (สามสี), ปวกเบญจรัตน์ (ห้าสี), ปวกสัตรัตน์ (เจ็ดสี), ปวกนวรัตน์ (เก้าสี) <o></o>[/FONT][/FONT]
    [FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot] แก้วประภาหมอกมุงเมือง....[/FONT]
    [FONT=&quot] ลักษณะของแก้วประเภทหมอกมุงเมืองโดยทั่วไปนั้นเราสามารถดูได้ง่าย ๆ คือภายในแก้วนั้นจะมีลักษณะเหมือนกับลายที่เกิดขึ้นในก้อนน้ำแข็งและลายผ้าที่เกิดขึ้นในก้อน โป่งข่ามจึงเรียกกันว่าหมอกมุงเมือง คือจะมีลักษณะลายสีขาว ๆ อาจจะมีทั้งขาวบาง ๆ หรืออาจจะขาวขุ่นหนาทึบเหมือนกับลักษณะของเมฆบนท้องฟ้าซึ่งก็แล้วแต่ละภูมิอากาศ ว่าบางวันอากาศดีเมฆไม่มากไม่น้อย หรือบางวันอากาศปิดฟ้ามืดทืบเมฆก็จะมาก หมอกมุงเมืองบางเม็ดอาจจะมีเพียงริ้วบาง ๆ และแทรกด้วยสีฟ้าอ่อน ๆ หรือบางเม็ดอาจจะมีลักษณะ เหมือนกับควันไฟก็ได้[FONT=&quot]<o></o>[/FONT][/FONT]
    [FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]........เชื่อกันว่าแก้วประภาหมอกมุงเมืองนั้นดีหากผู้ใดได้ครอบครองแล้ว จักทำให้เกิดความชุ่มเย็นกับผู้ครอบครองและสมาชิกในครอบครัวอีกทั้งจะบริบูรณ์ด้วยทรัพย์ สินเงินทองและข้ารับใช้ ส่วนอีกด้านหนึ่งนั้นเหมาะนักแลกับผู้ที่ฝึกสมาธิเพราะจะเพิ่มพูนส่งเสริมสมาธิให้กับผู้ใช้ ........ อีกทั้งแต่โบราณยังใช้แก้วประภาหมอกมุงเมืองเป็นเครื่องมือในการทำการเสี่ยงทาย หรือเพ่งดูภาพนรกสวรรค์ทางสมาธิ จึงนับได้ว่าแก้วประภาหมอกมุงเมืองมีคุณค่า อเนกอนันต์นักแล<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]........ผู้ที่เหมาะจะใช้แก้วประภาหมอกมุงเมืองหากดูตามวันที่เหมาะสมตรงตามกับโฉลกของผู้ใช้ คือผู้ที่เกิดวันอังคาร ไม่แต่เท่านั้นยังใช้กับวันอื่น ๆ ได้ด้วย โดยเฉพาะผู้ที่ต้อง การเสริมบารมีหรือต้องการนำไปส่งเสริมในการฝึกสมาธิ โดยไม่จำเป็นต้องดูวันเกิดว่าตรงหรือไม่ คำว่า “หมอกมุงเมือง[FONT=&quot]นั้นเป็นภาษาลานนา หมายถึง มีความร่มเย็นตลอดเวลา ดังหมอกมุงเมืองไว้ คือไม่มีความเดือดร้อนเลย จนนำมาเป็นชื่อแก้วโป่งข่ามชนิดนี้ และบางท่านที่หาแก้วชนิดนี้ไม่ได้คืออยู่ในดินแดนที่ห่างไกลออกจากแหล่งแก้วโป่งข่ามก็จะหา คาถาอาคมที่ศักดิ์สิทธิ์ที่ชื่อว่า [/FONT][FONT=&quot]“หมอกมุงเมือง[/FONT][FONT=&quot]เช่นกัน เรื่องนี้ท่านอาจารย์ปริญญา ณ เชียงใหม่ ผู้ที่ค้นคว้าเรื่องเลขยันต์เมืองเหนือที่จัดว่าเชี่ยวชาญท่านหนึ่งก็เคยเล่าให้ฟังว่ามี ตะกรุดที่ชื่อ [/FONT][FONT=&quot]“หมอกมุงเมือง[/FONT][FONT=&quot]เช่นกันและยังบอกว่าคำว่าหมอกมุงเมืองนี้นอกจากร่มเย็นมั่งคั่งแล้ว ยังเป็นข่ามคง สีหนาถ ด้วยจึงจัดว่าครบเครื่องครับ อีกประการ คำว่า [/FONT][FONT=&quot]“หมอกเมือง[/FONT][FONT=&quot]หรือ [/FONT][FONT=&quot]“เมฆเมือง[/FONT][FONT=&quot]ในตำราพิไชยสงครามโบราณยังให้ความหมายถึงบรรดาสิ่งศักดิ์สิทธิ์อย่าง เทพประจำเมือง (เจ้าพ่อหลักเมือง) ด้วยดังนั้น คำว่าหมอกมุงเมืองจึงมีนัยความหมายว่า เป็นแก้วที่มีเทพเจ้าศักดิ์สิทธิ์ในระดับเทพประจำเมืองคอยคุ้มครองทีเดียว (ดูคาถาหมอกมุงเมืองในบทความเชื่อและคาถาอาคมกับโป่งข่าม)[/FONT][FONT=&quot]<o>
    </o>[/FONT]
    [/FONT]<o></o>
    [FONT=&quot]แก้วพิรุณแสนห่า[FONT=&quot]....[/FONT][/FONT]
    [FONT=&quot] แก้วพิรุณแสนห่านั้นจะมีลักษณะคือ ลักษณะเส้นสายฝนจะพุ่งลงมาจากด้านบนลงสู่ด้านล่างซึ่งก็คล้ายกลับฝนที่ตกลงมาเป็นริ้ว ๆ เส้นแร่เหล่านี้จะเป็นเส้นเล็ก ๆ ไม่เกินเส้นผม อาจจะ[FONT=&quot]<o></o>[/FONT][/FONT]
    [FONT=&quot]ตกลงมาตรง ๆ หรืออาจจะทแยงข้างได้บ้างเล็กน้อยแต่ไม่ถึงกับเส้นนอนตามทางขวาง สีสันของเส้นฝนจะมีหลายสีเช่น สีดำที่เราเรียกกันว่าขนเหล็ก สีทองเรียกว่าไหมทอง สีเขียวเรียกกันว่าเข็มมรกต และที่หายากมากที่สุดและราคาแพงมากก็คือสีฟ้า แต่ลักษณะของเส้นขนสีฟ้าจะไม่เป็นเส้นขนใหญ่เหมือนเส้นขนแบบอื่น ๆ แต่จะเป็นริ้วบางเหมือน กับแพรด้ายบาง ๆ เบาที่แผ่ออกมาเป็นผืนสาย เรียกกันได้อีกอย่างหนึ่งว่าแก้วสีฟ้า (ฟ้าแรบางชนิดที่แรวิ่งเข้าตามตำราก็ได้) ดูแล้วเหมือนกับเวลาที่ฝนตกแดดออกเช่นนั้น แต่ต้องระวังนะครับอาจจะมีการนำเอาแก้วขนเหล็กบางลักษณะมาแอบอ้างได้ว่าเป็นแก้วพิรุณแสนห่าจึงต้องสังเกตให้ดี[FONT=&quot]<o></o>[/FONT][/FONT]
    [FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]...........แก้วอีกอย่างที่คล้ายกับ “แก้วพิรุณแสนห่า” ก็คือแก้วสีฟ้า แต่แก้วสีฟ้าแบบนี้จะต้องเป็นสีฟ้าที่เป็นสีฟ้าแรเท่านั้น แต่ลายเส้นที่ปรากฏจะไม่เหมือนกัน ลายเส้นจะเป็นเสี้ยนคล้ายเสี้ยนไม้ไผ่และจะเป็นตามแนวขวาง ยังมีความเชื่อกันอีกว่าแก้วพิรุณแสนห่านี้สามารถคุ้มครองผู้ที่เป็นเจ้าของ จะสามารถแคล้วคลาดจากภัยอันตรายทั้งปวง ทำให้ทรัพย์สินงอกเงยอีกทั้งทำให้เกิดความเจริญและสามารถพลิกฟื้นชะตาให้ดีขึ้นได้ เปรียบได้กับสายฝนที่สามารถให้ความชุ่มชื้นและพลิกผืนแผ่นดินให้เกิดความอุดมสมบูรณ์ เจริญงอกงามแก่สรรพสิ่งทั้งหลายได้ อีกยังบอกเหตุให้กับผู้ครอบครองได้โดยเมื่อหากมีเหตุการณ์เปลี่ยนแปลงหรือจะเกิดสิ่งที่ไม่ดี แก้วจะมีสีซีดลงและมักจะมีข่าวไม่ดีหรืออยู่ ในระยะกังวลใจอีกด้วย บางครั้งยังบ่งบอกถึงการมีปัญหาทางสุขภาพด้วย แก้วจึงเป็นของแปลกที่ธรรมชาติประทานให้มนุษย์ได้เรียนรู้ใช้ประโยชน์ เพราะเขาคล้ายกับมีจิตวิญญาณ ที่เป็นเพื่อนที่คอยบ่งบอกเรื่องราวต่าง ๆ โบราณจึงจัดเรื่องของอัญมณี หรือแก้วออกเป็นศาสตร์เฉพาะอีกแขนงหนึ่งนอกเหนือจากความเชื่อเรื่องเวทย์มนต์คาถา ซึ่งจะเห็นว่าความ เชื่อทั้งสองส่วนนั้นนำมาใช้ร่วมกันอย่างแก้วพิรุณแสนห่า ที่ว่านี้ “คาถาพิรุณแสนห่า” ใช้สวดสาธยายเพื่อความเป็นมงคล และกันภัยหรือใช้ประกอบกับหัวใจในบท - อิติปิโสแปดทิศที่ถอดจากอิติปิโสห้องพุทธคุณ 56 ห้องถอดได้เจ็ดคำภาวนาประจำ ทำเป็นสมาธิจะดีมากคือ “ติหังจะโตโรถินัง” ขอเท้าความคือตั้งแต่โบราณมาแล้วที่มีใช้คาถา พิรุณแสนห่าอย่าง เช่น คาถา อิติปิโส 8 ด้าน คาถาฝนแสนห่า หรือยันต์ฝนแสนห่า ส่วนทางเหนือเองยังได้ใช้คาถานี้ในการลงยันต์ตระกรุดและเทียนบูชาต่าง ๆ คาถานี้นับได้ว่าเป็นคาถาที่มีอานุภาพสูงสามารถใช้ได้พันช่องคือเรียกว่าทุกทางแบบครอบจักรวาล เหตุที่มีความสำคัญนั้นก็เพราะว่าเป็นคาถาที่ใช้ในด้านคุ้มครอง คงกระพันชาตรี หลีกพ้นเคราะห์ภัยเปรียบได้แม้อาวุธมาดังห่าฝนถึงแสนห่า (ห่าเป็นมาตราวัดปริมาณน้ำฝนของคนโบราณหนึ่งห่าเท่ากับปริมาณน้ำฝน 108 บาตรพระ) ก็มิอาจทำอันตรายให้แก่ ผู้ใช้ได้คาถาฝนแสนห่าเมื่อได้มีการนำมาใช้คู่กับ “แก้วพิรุณแสนห่า” ที่กำลังจะกล่าวถึงนี้ จะทำให้แก้วมีอานุภาพมากยิ่งขึ้น <o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]แก้วเข้าแก้ว[/FONT]
    [FONT=&quot]ตามตำนาน..... แก้วเข้าแก้วชนิดนี้เกิดจากแร่หลายชนิดโดยแร่ที่ต่างสกุลกันเรียกกันว่า [FONT=&quot]“แก้วสามกษัตริย์” ซึ่งมีคุณค่าอเนกอนันต์เนื่องจากเป็นแก้วที่รวบรวมเอาสิ่งที่เป็นมงคลหลาย ๆ อย่างมารวมกันจึงทำให้มีคุณวิเศษมากมายบริบูรณ์ทั้งรูปลักษณะและคุณประโยชน์แยกสรรได้มีลักษณะดังนี้<o></o>[/FONT][/FONT]
    [FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]แก้วมังคละจุฬามณี[FONT=&quot]....[/FONT][/FONT]
    [FONT=&quot]“แก้วมังคละจุฬามณี” แก้วชนิดนี้ถือได้ว่าเป็นแก้วที่เกิดจากรัตนะชาติ 3 มูลสหวรรณชาติ 4 คือ แก้วปัทมราค ถือเป็นขัตติยชาติหนึ่ง แก้วมหานิลถือเป็นศูทรหนึ่ง แก้วบุษบราค ถือเป็นวรรณชาติหนึ่งวรรณชาติที่ขาดไปอีกหนึ่งคือพรหมชาตินั้นย่อมเกิดแต่มูลชาติจากชาติใดชาติหนึ่งร่วมกับอีกชาติหนึ่งใน รัตนชาติ 3 ด้วยคติเปรียบเทียบเช่นศูทรชาติ อันเป็นวรรณะของสามัญชน หากพึงหวังพรหมชาติบารมีแล้วย่อมต้องละกิเลสมูลจากชาติกำเนิด บารมีที่สั่งสมไว้นั้นย่อมต้องละกิเลสมูลจาก ชาติกำเนิดบารมีที่สั่งสมไว้นั้นย่อมประหนึ่งการเข้าหาพรหมธรรม การเจริญด้วยพรหม<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]ชาติธรรมย่อมมีวรรณขึ้นถึงขัตติยสมบัติในทางธรรมบารมีนั้นได้ ดังที่เราจะเห็นว่าบุคคลใด ได้ละกิเลศมูลขั้นสามัญชนทั้งหลายอย่อมมีวรรณสูงขึ้น เปรียบเทียบกับลักษณะน้ำแก้วมหานิลน้ำที่ใสบริสุทธิ์ของมหานิลย่อมถือว่าเป็นพรหมชาติเมื่อสหชาติกับแก้วปัทมราคแล้ว วรรณชาติของปัทมราคถือเป็นขัตติยชาติโดยคติเปรียบเทียบ ศูทรชาติใดถือสหวรรณชาติกับวัยชาติหรือแพสชาติคือ น้ำมหานิลกับน้ำบุษบราครวมกัน กำเนิดเป็นสหวัยชาติขึ้น และแก้วลูกใดก็ตามที่มีลักษณะอันเป็นมงคลเช่นภายในบังเกิดเป็นรูปมงคลเช่นมีกาบเป็นดั่งต้นไม้ ใบโพธิ์ เรือ หรือเจดี เหล่านี้ก็ถือเป็นแก้วมังคละจุฬามณีเช่นกัน[FONT=&quot]<o></o>[/FONT][/FONT]
    [FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot] แก้วสุวรรณมณีคำ[FONT=&quot]....
    [/FONT]
    [/FONT]
    [FONT=&quot]เป็นแก้วเข้าเป๊กแมงเหนี่ยงงำรัง มีสลักแก้วหรือสลักปวกต่าง ๆ มีไรคำหรือสลักคำต่าง ๆ ฯลฯ มีการสหชาติกัน บางเม็ดอาจจะมีรัศมีในด้วย[FONT=&quot]<o></o>[/FONT][/FONT]
    [FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]แก้วมหาคละจุฬามณีสักรชาติรัศมีใน[/FONT]....
    [FONT=&quot] แก้วเข้าเป๊ก 1 แก้ว เข้าแก้ว 1 แก้ว เข้าปวกต่าง ๆ 1 มีขนเส้น หรือสลักต่าง ๆ และยังมีประกายภายในตามตำหรับวชิรเป๊กสูตร ซึ่งหากมีการสหชาติกันแล้วจะถือเป็นมงคลมากในตำราได้กล่าวไว้ว่า “แก้วลูกนี้มีค่าเหลือคณา ไพร่มิควรทรง” จะขอกล่าวอธิบายถึงลักษณะของแมงเหนี่ยงงำรัง โดยปกติแล้วลักษณะของแมงเหนี่ยงก็คือสีดำและสีน้ำตาลอมแดง แมงเหนี่ยงงำรังนี้เป็นแมลง 6 เท้า ชอบอาศัยอยู่ในน้ำ ปีกแข็งเท้าทุกคู่มีขนและว่ายน้ำเก่งมีชื่อฝรั่งว่า วอร์เตอร์บิตเติล (Water Bitter) และมีฉายาว่า วอเตอร์ไทเกอร์หรือเสือน้ำที่เขาเรียกกันว่าเสือก็เพราะว่ามันจะชอบกัดแมลงตัวอ่อนของพวกสกุลอื่น ๆ และปลาตัวเล็ก ๆ ตัวโตเท่าเหรียญห้าสิบสตางค์รุ่นเก่า ๆ ส่วนยาวเท่าเหรียญบาทตราครุฑ มองดูลักษณะแล้วคล้าย ๆ กับแมลงสาป แมงเหนี่ยงงำตัวผู้จะมีหลาวที่หน้าอกคือคลีบที่แข็งคมจาก ขอหน้าถึงขาคู่หลัง เวลามุดน้ำดำน้ำจะว่องไวมากและชอบตะแคงข้างมันจึงได้ชื่อ<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]ภาษาพื้นเมืองทางเหนืออีกชื่อหนึ่งว่า [FONT=&quot]“แมงเหงี่ยง” “เหงี่ยง” ในภาษาเหนือจะแปลว่าตะแคง ซึ่งคนทางเหนือจะเรียกคำว่าแมงเหนี่ยง และแมงเหงี่ยง แต่ในปัจจุบันนี้หาไม่เจอแล้วครับ<o></o>[/FONT][/FONT]
    [FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]แก้วนางขวัญ(จอมขวัญ)....[FONT=&quot]
    [/FONT]
    [/FONT]
    [FONT=&quot]เป็นแก้วโป่งข่ามที่หาได้ยากมากชนิดหนึ่ง หลายคนเข้าใจว่าเหมือนอเมทิสของทางประเทศแถบตะวันตก แต่เมื่อทดสอบดูปรากฏว่ามีความแข็งกว่ามากจัดเป็นโป่งข่ามเนื้อแข็ง ซึ่งขอบอกลักษณะคร่าว ๆ ดังนี้[FONT=&quot]<o></o>[/FONT][/FONT]
    [FONT=&quot]........สีพื้นจะเป็นสีม่วง จะมีทั้งสีม่วงอ่อนไปจนถึงสีม่วงเข้มหายากมาก ภายในบางเม็ดอาจจะมีสีม่วงเข้มและอาจจะมีรอยอยู่ภายในด้วย แต่บางเม็ดอาจจะใส บางเม็ดไม่มีตำหนิ เลยซึ่งหาได้ยากมาก สีม่วงนี้จะออกสีม่วงดอกตะแบกและม่วงไวโอเล็ต ในเนื้อแก้วโป่งข่ามที่ขุดได้ในแต่ละครั้งอาจไม่พบแก้วนางขวัญหรือแก้วจอมนางนี้เลยเนื่องจากพบน้อยมาก คุณวิเศษของแก้วนี้ดีไปในทางด้านปรับเปลี่ยนสภาวะและการเปลี่ยนแปลงสภาพ อีกทั้งยังสมารถช่วยยกระดับสภาวะทางจิตให้สูงขึ้นอีกด้วย ทั้งยังเหมาะกับผู้ที่ศึกษาและเรียนรู้เกี่ยว กับเรื่องของจิต และการนั่งสมาธิอีกด้วย อีกทั้งยังเสริมแรงบันดาลใจ<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]ได้อย่างดีเยี่ยมทำให้เกิดความเจริญรุ่งเรือง ชื่อเสียง เป็นยอดมหานิยมดีทางด้านเมตตา ส่งเสริมความรักและ วาสนาในสมัยโบราณ แก้วชนิดนี้ถือว่าสูงค่ามากเนื่องจากพบว่าเป็นหนึ่งในแก้วมณีที่กษัตริย์สมัยโบราณท่านถวายเป็นสักการะแก่พระบรมสารีริกธาตุในคราวบรรจุ พระธาตุเจดีย์ต่าง ๆ[FONT=&quot]<o></o>[/FONT][/FONT]
    [FONT=&quot]........อานุภาพของแก้วนางขวัญยังเชื่อถืออีกว่าผู้ครอบครองจะมีเสน่ห์รัดรึงใจคนเรียกว่า ละลายใจคนรอบข้างได้เลยทีเดียว และหากนำแก้วใส่ใต้หมอนแล้วอธิษฐานให้ พบคู่ครองก็จะบนดาลให้เกิดนิมิตรฝันถึงคู่สร้างคู่สมที่มีบุญผูกพันกันมาแต่อดีตชาติด้วย แก้วชนิดนี้จะถูกกับผู้หญิงเป็นกรณีพิเศษเนื่องจากยังมีความเชื่ออีกว่าหากผู้ใดมีแก้วชนิดนี้ ในครอบครองจะแคล้วคลาดจากอาถรรพ์วิทยาเสน่ห์มายาทั้งปวงเพราะ “ขวัญ” หรือจิตของผู้นั้นจะถูกอานุภาพของแก้วคุ้มครองไม่โดนอำนาจมนต์มายาใดใดสะกดเอาได้เลย<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]แก้วสีวิฑูรสีน้ำผึ้ง (หนาม เฮี้ยง)[FONT=&quot]....[/FONT][/FONT]
    [FONT=&quot] ลักษณะทั่วไป น้ำแก้วจะมีหลายลักษณะคือ ประเภทน้ำใส มีลักษณะสีเหลือง โดยปกติแล้ว จะมีน้อยมากที่จะพบกับสีเหลืองใสจริง ๆ มักจะมีสีขุ่นเหลืองเสียมากกว่า จะไม่ขุ่นมากนัก สีเหลืองขุ่นมีลาย ลักษณะลายประกอบอาจจะมีลายที่เกิดขึ้นเป็นริ้ว หรืออาจจะเป็นวง ๆ คล้าย ๆ กับแก้วตาเสือ อาจจะมีหลายสีภายในเม็ดเดียวกัน เช่น สีขาว[FONT=&quot], สีดำ, สีเหลือง ซึ่งเป็นลักษณะที่หายากมาก แก้วสีวิฑูรน้ำผึ้งเราจะเปรียบเทียบสี ได้จากสีของน้ำผึ้ง คือจะไม่ออกสีเหลืองมากนัก แต่จะออกสีเหลืองอมส้ม ผสมอยู่คุณวิเศษของแก้วสีวิฑูรน้ำผึ้ง หากผู้ใดที่ได้ครอบครองนำมาเป็นขวัญถุง หัวแหวนหรือจี้ เครื่องประดับต่าง ๆ จะทำให้เกิดโชคลาภทวีคูน เกิดความชุ่มเย็นมีชื่อเสียงและ อำนาจ <o></o>[/FONT][/FONT]
    [FONT=&quot]การค้าขาย การติดต่อ และยังแคล้วคลาดอีกเรียกว่าดีครบเครื่องทีเดียว[FONT=&quot]<o></o>[/FONT][/FONT]
    [FONT=&quot]<o>
    </o>
    [/FONT]
    [FONT=&quot]แก้วเข้าแก้ว[FONT=&quot] .....
    [/FONT]
    [/FONT]
    [FONT=&quot]หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าแก้วเจตสิกแบ่งเป็น [FONT=&quot]6 ชนิด<o></o>[/FONT][/FONT]
    [FONT=&quot]1. แก้วเข้าแก้วเง่า คือแก้วเข้าแก้วที่มีส่วนของการงอกจากด้านพื้นของแก้วหรือด้านของก้นแก้วด้านใดด้านหนึ่ง แต่ไม่เต็มทั้งลูก<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]2. แก้วเข้าแก้วโตน (แก้วโทนที่แปลว่าเดี่ยว) คือแก้วเข้าแก้วที่มีการงอกของหน่อโตนหรือหน่อเดี่ยว ๆ ขึ้นมาอยู่ตรงกลางของแก้วโดยไม่มีส่วนสัมผัสกับด้านผิวนอก ของแก้วหรือพื้นแก้วแต่อย่างใด<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]3. แก้วเข้าแก้วแฝด คือลักษณะที่เกิดแก้วเข้าแก้วโตนสองหน่อติดกันหรืออาจจะเกิดจากด้านพื้นแก้วด้านใดด้านหนึ่ง<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]4. แก้วเข้าแก้วซ้อนแก้ว (ก้าวสหชาติ) เป็นแก้วที่มีแก้วที่หายากมากที่สุดเพราะจะเกิดขึ้นจากแก้วโตนที่เข้าแก้วที่อยู่ในแก้วถึงสองชั้น<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]5. แก้วเข้าแก้วเข้าแร่ (ก้าวสหชาติต่างสกุล) เป็นแก้วที่มีแก้วเข้าแก้วแต่เป็นลักษณะของแก้วที่เป็นก้อนแร่อยู่ภายในซึ่งจะมีสีที่แตกต่างออกไป<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]6. แก้วเข้าแก้วสลัก (สลักช่อแก้ว) แก้วเข้าแก้วชนิดนี้จะแตกต่างจากแก้วเข้าแก้วชนิดอื่นคือ แก้วที่เกิดขึ้นภายในจะไม่ขึ้นเป็นแก้วใสแต่จะขึ้นเป็นแก้วช่อสีอื่น ๆ เช่นสีขาวขุ่น, ดำ หรือแดงน้ำตาลเป็นต้น<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot].....คุณประโยชน์<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]ประโยชน์ของ [FONT=&quot]“แก้วเข้าแก้ว” ที่โดดเด่นนั้นมีอยู่หลายด้านแต่ที่เด่นชัดที่สุดเห็นจะเป็นทางด้านเกี่ยวกับการติดต่อค้าขาย ความมีอำนาจวาสนา มีชื่อเสียงความร่ำรวยส่งเสริมความ สำเร็จในทุก ๆ ด้านทำให้เปลี่ยนโชคชะตาไปในทางที่ดีขึ้น อีกทั้งยังนำมาใช้ได้เกี่ยวกับ การบำบัดรักษาทางด้านจิตใจที่หดหู่ ช่วยลดอาการที่จิตใจเศร้าหมองสร้างความมั่นคง ให้กับจิตใจทำให้จิตใจเข้มแข็งและทำให้เป็นเกราะป้องกันไม่ให้สภาวะดังกล่าวกลับเข้ามายังผู้ครอบครองได้อีกด้วย<o></o>[/FONT][/FONT]

    [FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]แก้ว แร 4[FONT=&quot] ....[/FONT][/FONT]
    [FONT=&quot] อย่าง คำว่า [FONT=&quot]“แร” ในภาษาพื้นเมืองแปลว่า “แยง” ขึ้นตรงกับคำว่า “ดู” ในภาษาพื้นเมืองจะว่า “ผ่อ” คนเมืองเหนือจะมีคำว่า “แก้วแร” โดยเฉพาะใช้ประกอบคำลักษณ์วิเศษณ์ ในประโยคที่ว่า “แก้วแรในไหลหลิด ๆ” “แก้วแรกลิ้งใน” คำแปลอันไพเราะจากวลีที่ว่า “ไหลก็ดีกลิ้งในก็ดี ” ต่างมาจากประโยคที่เกี่ยวกันกับคำว่า “แร” ในการใช้แก้วโป่งข่าม โดยคำว่า “แร” ซึ่งเป็นคำอันไพเราะ ใช้กันอย่างแคบ ๆ ในวงจิตรกรกลับกลายเป็นคำที่ใช้กันแพร่หลายอย่างเข้าอกเข้าใจกันอย่างดีสำหรับคนทาง<o></o>[/FONT][/FONT]
    [FONT=&quot]เหนือ เพราะคนทางเหนือจะ ใช้คำว่า [FONT=&quot]“แร” นี้ กับความหมายที่ตรงกับคำว่า “แรเงา” เพียงอย่างเดียวแต่อาจจะมีคนไทยในอีกภูมิภาคอื่นอีกหลายล้านคนที่ไม่ต้องการถึงคำอธิบายโดยเข้าใจให้เป็นอันหนึ่งอันเดียว กันคำว่า “แร” อย่างที่มีอยู่ธรรมดาว่าและหลาย ๆ แบบ คำเรียกชื่อและแบบลวดลายต่าง ๆ นับเป็นสิ่งจำเป็นยิ่งที่จะต้องใช้ให้ถูกต้องและใกล้เคียงกับภาษาท้องถิ่นให้มากที่สุด<o></o>[/FONT][/FONT]
    [FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]แก้วแรสามารถแบ่งได้ 4 ประเภทคือ[FONT=&quot]<o></o>[/FONT][/FONT]
    [FONT=&quot]1. ประกายแร[FONT=&quot]<o></o>[/FONT][/FONT]
    [FONT=&quot]2. แรสาด [FONT=&quot]<o></o>[/FONT][/FONT]
    [FONT=&quot]3. แรใน[FONT=&quot]<o></o>[/FONT][/FONT]
    [FONT=&quot]4. แรเหลือบ[FONT=&quot]<o></o>[/FONT][/FONT]
    [FONT=&quot]1. ประกายแร[FONT=&quot] ถ้าในแก้วมีแสนแพรแก้ว ในลักษณะควันแพรแก้วมักจะพบในแก้วสีฟ้าควัน แพรแก้วตวัดม้วนอยู่ข้างในและมีประกายแรติดอยู่กับเส้นแพรแก้วด้วย ทำให้เกิดวาวแววเหลือบด้านใน ซึ่งเราจะเรียกว่า [/FONT][FONT=&quot]“แก้วแรใน”<o></o>[/FONT][/FONT]
    [FONT=&quot]2. แรสาด[FONT=&quot] อีกแบบหนึ่งที่เส้นแพรแก้วอยู่ในลักษณะโค้งเว้าลงก้นแก้วมีประกายแรกลิ้งใน วาวแรสาดกลิ้งไปบนแก้วได้ เรียกว่า [/FONT][FONT=&quot]“แรสาด”<o></o>[/FONT][/FONT]
    [FONT=&quot]3. แรใน[FONT=&quot] ยังมีแก้วแบบพิเศษอีกแบบหนึ่งคือมีวาวแรและวาวสีพิเศษในเนื้อแก้วมอง ๆ ดูเหมือนแก้วเนื้อใสธรรมดา บางทีก็เห็นเหลือบสีขึ้นมาโดยมองจากแต่ละมุม ไม่เหมือนกัน เป็นคุณสมบัติของ [/FONT][FONT=&quot]“น้ำแก้วแรใน” แบบ “น้ำแก้วน้ำใส” วาวแรที่สะท้อนกันเองในแก้วดั่งน้ำและน้ำมันรวมกัน สีที่เจือจางอยู่อย่างจางสุดจากมุมใดมุมหนึ่งของแก้ว สามารถทอสีขึ้นมาโดยวาวสีเล่นกับวาวแก้วจึงเรียกกันว่าแก้ว “แรใน”<o></o>[/FONT][/FONT]
    [FONT=&quot]4. แรเหลือบ[FONT=&quot] คือลักษณะของแก้วที่มีประกายแรเหลือบไปเหลือบมาได้เรียกว่า [/FONT][FONT=&quot]“พรายเหลือบ น้ำแก้วแรใน” หรือเราจะเรียกตามชื่อสีที่ปรากฏเช่น “แก้วพรายแรฟ้าเหลือบ” หรือ “เขียวเหลือบ” เป็นต้น โดยเรียกตามชื่อสีที่เหลือบขึ้นมาได้ โดยการเล่นหาแต่โบราณ แก้วชนิดนี้มีราคาดีมากเพราะเป็นการเล่นด้วยน้ำใสที่ มีผลต่างมาจากความใสและมีสีที่ประหลาดที่เหลือบได้มาจากข้างใดข้างหนึ่ง <o></o>[/FONT][/FONT]
    [FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot] แก้วขนเหล็ก[FONT=&quot]......
    [/FONT]
    [/FONT]
    [FONT=&quot]แก้วขนเหล็กมีความเชื่อกันมาแต่ช้านานแล้วว่าสามารถป้องกันคุณไสยภูตผีปีศาจสิ่งร้าย ๆ และกันตัวได้ อีกทั้งยังทำให้ผู้เป็นเจ้าของมีโชคลาภและเสริมบารมีให้เพิ่มขึ้น อีกด้วย แก้วขนเหล็กน้ำใสจะเป็นแก้วโป่งข่ามที่มีคนรู้จักกันมากที่สุด จนถึงกับมีผู้นำไปสร้างหนังจนโด่งดังคือเรื่องหนังแก้วขนเหล็ก ทำให้ผู้คนเข้าใจกันผิด ๆ ว่าแก้วขนเหล็กป้องภูตผีได้อย่างเดียว แต่กับชาวบ้านใน[FONT=&quot]<o></o>[/FONT][/FONT]
    [FONT=&quot]พื้นที่แล้ว แก้วขนเหล็กใสยังมีคุณประโยชน์นานับประการ โดยเฉพาะเรื่องโชคลาภแล้วนับว่าเป็นแก้วที่ยอดเยี่ยมนัก แก้วขนเหล็กนี้สามารถแบ่งได้ด้วยกัน 2 ชนิด คือ[FONT=&quot]<o></o>[/FONT][/FONT]
    [FONT=&quot]1. แก้วขนเหล็กใส[FONT=&quot]<o></o>[/FONT][/FONT]
    [FONT=&quot]2. แก้วขนเหล็กตัน[FONT=&quot]<o></o>[/FONT][/FONT]
    [FONT=&quot]<o></o>[FONT=&quot]1. แก้วขนเหล็กใส[/FONT][FONT=&quot] เนื้อแก้วจะเป็นแก้วที่น้ำใสภายในจะมีเส้นขนเป็นเส้นแร่ที่ปรากฏอยู่ในแก้วโป่งข่ามมักจะเป็นเส้นเล็กไม่เกินเส้นผม พบในแบบต่าง ๆ เช่นเส้นทแยงและเส้นขนหมูเป็นส่วนใหญ่ เส้นขนมีลักษณะสีดำซึ่งเรียกกันว่าเส้นเหล็กและขนเหล็ก เส้นเหล็กที่ปรากฏอยู่ในแก้วโป่งข่ามจัดอยู่ในประเภท แร่รูไทล์ ([/FONT][FONT=&quot]Rutile) ธาตุติตาเนียม (Titanium) เป็นแร่โลหะซึ่งถือว่าเป็นแร่ราคาแพงโดยกำเนิดของเส้นแร่ดังกล่าวจะปะปนอยู่ในเนื้อแก้วโป่งข่ามในรูปเข็มสีดำ<o></o>[/FONT][/FONT]
    [FONT=&quot]2. แก้วขนเหล็กตัน[FONT=&quot] ตามตำราโบราณได้กล่าวไว้ว่า [/FONT][FONT=&quot]“แก้วลูกใดมีวรรณดังน้ำข้าวมวกมีเส้นขนบ้งสอดเกี้ยวขึ้นในลูกแก้ว แก้วลูกนั้นมีค่านักแล” เส้นขนจะเป็นลักษณะเดียวกันกับแก้วขนเหล็กใส แตกต่างกันที่เนื้อแก้ว เพราะเนื้อแก้วจะเป็นสีขาวขุ่น เนื้อผิวเมื่อขัดแล้วจะไม่ค่อยมันจึงเรียกกันว่าขนเหล็กตัน สรรพคุณสามารถให้โชคลาภได้ เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องเดินทางติดต่อค้าขายและต้องการประสพความสำเร็จก้าวหน้าในหน้าที่การทำงาน<o>
    </o>[/FONT]
    [/FONT][FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]แก้วพรหมสามหน้า[FONT=&quot].....
    [/FONT]
    [/FONT]
    [FONT=&quot]เมื่อมีการสหวรรณชาติของวรรณะทั้งสามประการรวมกันโดยพรหมธรรมถึงกันแล้ว ภูมิใหม่ที่เกิดขึ้นก็คือ [FONT=&quot]“พรหมสามหน้า” แก้วพรหมสามหน้าก็คือแก้วที่มีสีเหลือบกัน สามสี หรือที่เรียกว่า “จ้าวสามสี” แต่ก็มีความเชื่ออยู่อีกกลุ่มหนึ่งซึ่งเชื่อกันว่าแก้วพรหมสามหน้าคือแก้วที่มีลักษณะภายในเป็นรูปสามเหลี่ยมคล้าย ๆ กับพีระมิดนั่นเอง<o></o>[/FONT][/FONT]
    [FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot].......การกำเนิดแก้วมังคละจุฬามณีนั้นกำเนิดขึ้นมาจากการรวมตัวของสิ่งประกอบหลาย ๆ สิ่งหลายวรรณะโดยจะเรียกกันว่า [FONT=&quot]“สหวรรณชาติ” เช่น<o>

    </o>[/FONT]
    [/FONT] [FONT=&quot] 1. แก้วขัตติยชาติมีวรรณทอง วรรณแดง เงินและขาวขุ่น เมื่อสหชาติกับแก้วศุทรชาติแล้วย่อมกำเนิดแก้วมานิลปตัมราคขึ้นเกิดแก้วนิลกัณฐีขึ้น เกิดแก้ววิตูลปตัมราคขึ้น ฯลฯ[FONT=&quot]<o></o>[/FONT][/FONT]
    [FONT=&quot]2. แก้วศุทรชาติ มีวรรณะขาวดำ ตะกั่วเทา ใส และน้ำเงิน[FONT=&quot] เมื่อสหชาติกับแก้วบุษบราคแล้ว วรรณะเหลืองก็ดี หรือเขียวก็ดีอันมีอยู่ แก้วบุษบราค ย่อมก่อกำเนิดแก้วประพาฬหรือแก้วหมวดประภาต่าง ๆ เช่น สังขประภา จันทรประภา ประภาชมชื่น ฯลฯ[/FONT][FONT=&quot]<o></o>[/FONT][/FONT]
    [FONT=&quot] 3. แก้วบุษบราค มีวรรณเหลืองและเขียว[FONT=&quot] เมื่อสหชาติกับแก้วปัทมราคแล้วย่อมก่อกำเนิดแก้วมหามธุรกัณฐี แก้วบุษราคัม ปัทมราคขึ้น ฯลฯ [/FONT][FONT=&quot]<o></o>[/FONT][/FONT]
    [FONT=&quot] 4. แก้วรัตนชาติ 3 คือ แก้วขัตติยชาติ แก้วศุทรชาติแก้วบุษบราค อันสหชาติกันแล้ว ย่อมกำเนิดแก้วพรหมสามหน้าหรือจ้าว 3 สี แก้วปตัมก่าน ภูมิบารมีที่บังเกิดขึ้นด้วยธนูก็ดี ไหมก็ดี รัศมีก็ดี เป็กก็ดี หรือแก้วเข้าเข้าแก้วลักษณะต่าง ๆ ก็ดีย่อมทำให้มูลสหชาติดังกล่าวเกิดภูมิบารมีแตกต่างกันออกไป และในการรวมตัวของธาตุกายสิทธิ์บางประเภทที่เราเรียกกันว่าเหล็กไหล ซึ่งปรากฏและก่อตัวอยู่ในเนื้อแก้วว่าจะปรากฏร่องรอยของสายแร่ต่างที่ซึมซับอยู่กับการก่อตัว ของแก้วจนแก้วโป่งข่ามบางส่วนมีลักษณะที่ผสมผสานระหว่าง แก้วและโลหะกายสิทธิ์คือมีสายแร่โลหะศักดิ์สิทธิ์ปรากฏอยู่ในเนื้อแก้ว ซึ่งนั่นก็คือการสหชาติของแก้วกับ ธาตุกายสิทธิ์นั่นเอง ความเหมือนอีกอย่างของแก้วและธาตุกายสิทธิ์ก็คือ สามารถเจริญเติบโตงอกงาม และสามารถรักษาตัวเองได้ [/FONT]“แก้วมังคละจุฬามณี” นี้มีความเชื่อกันว่าเป็นแก้วที่มีคุณวิเศษในทุก ๆ ด้านควรค่าแก่การเก็บรักษาเป็นมงคลอย่างยิ่ง;42[FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 พฤษภาคม 2009
  9. รักจันทร์

    รักจันทร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    554
    ค่าพลัง:
    +311

    - คุณนาวิก...

    2 บาทเยอะไปหรือเปล่าครับ? เกรงใจ 1.50 ก็พอ! 555+


    ป.ล. ดีใจนะเนี่ย ผมมีเพื่อนร่วมชั้นเรียนแล้วhello5


    - สวัสดีครับพี่แก้วคนสวย
    - คุณฟ้าเดินทางปลอดภัยนะครับ เอาบุญมาฝากด้วย
    - พี่ดา where are you?
     
  10. นาวิก

    นาวิก สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    22
    ค่าพลัง:
    +2
    คุณฟ้าถ้ามี
    1. แก้วขัตติยชาติ
    2. แก้วศุทรชาติ
    [FONT=&quot]3. แก้วบุษบราค [/FONT]
    [FONT=&quot]4. แก้วรัตนชาติ 3 [/FONT]
    ก็อย่าลืมกันอย่าแอบเก็บเงียบอยู่คนเดียวแล้วกันน่ะครับแค่เอามาให้ชมเป็นบุญตาก็ยังดีน่ะครับ
     
  11. นาวิก

    นาวิก สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    22
    ค่าพลัง:
    +2
    ป.ล. ดีใจนะเนี่ย ผมมีเพื่อนร่วมชั้นเรียนแล้วhello5
    5555555555555555 จะได้ไม่เหงาครับ
     
  12. นาวิก

    นาวิก สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    22
    ค่าพลัง:
    +2
    ก่อนอื่นต้องขอบคุณคุณฟ้ามากเลยๆ ที่ไม่รังเกียจผู้ที่ไม่มีความรู้อย่างผมเลยขอบคุณครับ
    ทีภูเก็ตฝนตกตั้งแต่เมื่อวานตอนเช้าแล้วหยุดตกตอนเทียงแล้วตกอีกครั้งตอน5โมงเย็นตกอีกจนตอนนี้ก็ยังตกอยู่ครับแต่จะตกไม่หนักพอที่จะเดินผ่านไม่เกินนาทีก็แค่พอชุ่มๆครับ
    คุณรักจันทร์ และทุกท่านรักคุณฟ้าทุกทุกคนครับ (โดยเฉพาะโป่งข่าม)เพราะถ้าไม่มีคุณฟ้าเวปนี้คงไม่มีและคงไม่มีของสวยๆ งามๆ อย่างนี้มาให้ชมกันจริงไหมครับทุกท่าน
     
  13. นาวิก

    นาวิก สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    22
    ค่าพลัง:
    +2
    ผมว่าถ้เชื่อคุณฟ้าเรื่องเลขน่ะได้กินแกลบแน่ๆเลย ดีน่ะที่งวดนี้ผมไม่เชื่อไม่งั้นไม่มีตั้งจ่ายคุณฟ้าแน่
     
  14. นาวิก

    นาวิก สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    22
    ค่าพลัง:
    +2
    มีท่านใดพอทราบไหมครับว่า สวัตว์หรืออสูรกายหรือผีดิบ (ประเภทกินของสดของคาวโดยเฉพาะเลือดเนื้อมนุษย์และเสพย์กามกับมนุษย์) คือประเภทไหน และโป่งข่ามพอที่จะป้องกันได้หรือไม่ถ้าได้ใช้ชนิดไหนจึงจะดี ขอบคุณทุกท่านล่างหน้าครับ
    และคำว่า กาฝากข่าว ครับ ถ้ามีท่านใดพอรู้ช่วยบอกทีครับ เรื่องมันยาวครับ
     
  15. รักจันทร์

    รักจันทร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    554
    ค่าพลัง:
    +311
    - คุณนาวิก... (เพื่อนร่วมชั้นเรียน 555+)

    ระวังอย่าไปตากฝนบ่อยๆนะครับ เดี๋ยวหวัดจะกินเอา ดีไม่ดีเดี๋ยวจะแตกตื่นกันใหญ่คิดว่าเป็นหวัดเม็กซิโกแล้วจะยุ่งนะครับ รักษาสุขภาพด้วย

    คุณฟ้ายินดีให้ความรู้กับทุกคนครับ...
    ถ้าอันไหนที่เธอไม่รู้ เธอจะบอกไม่รู้ (แต่ไม่ค่อยบ่อย)
    แต่เดี๋ยวไม่นานก็จะได้ข้อมูลกลับมาให้เราครับ

    เรื่องที่คุณนาวิกถาม...
    มันคือตัวอะไรครับ??? 555+ น่ากลัวจัง!
    แต่ก็ฟังดูคุ้นๆนะ เมื่อก่อน(โน้น) มีละครเรื่อง 'แก้วขนเหล็ก' ครับ
    ตัวร้ายเป็นผีดิบ กินเลือดสดๆ โดยจะกัดกินที่คอเหมือนแดร็กคูล่า
    ใครโดนกัดต้องเป็นทาสของมัน และมันก็ชอบนางเอก และพยามยามจะเข้าหาด้วย (อิอิ)
    ในขณะที่พระเอกมีแหวนแก้วขนเหล็ก แต่กว่าจะได้มาเลือดตาแทบกระเด็น....
    (ไม่เหมือนสมัยนี้ คุณฟ้าลงปุ๊บ โพสจองปั๊บ ออกไปโอน อีก 2 วันได้... ฮา)
    ก็ประมาณนี้ รายละเอียดจำไม่ได้ นานแล้ว

    สุดท้ายผีดิบก็ตายเพราะโดนพระเอกเอาแหวนแก้วขนเหล็กจี้ที่หน้าผาก ไหม้เลย...

    แต่ก็อย่างว่าครับ นั่นคือละคร คือจินตนาการที่อาจจะมีส่วนจริงอยู่บ้าง
    แต่ถ้าคุณนาวิกอยากเพิ่มพลังให้แก้วโป่งขาม นอกจากวิธีต่างๆที่คุณฟ้า, พี่ดา, พี่แก้ว
    นำมาลงในกระทู้นี้อย่างมากมายแล้ว คุณอาจจะนำไปให้พระที่คุณนับถือท่านสวดหรือประจุพลังเพิ่มให้อีกก็ได้ครับ

    ป.ล.วันนี้สาวๆหายไปไหนหมดหนอ?
    คุณฟ้าไปทำเที่ยว-ทำบุญ
    พี่ดาติดอะไรสักอย่างจำบ่ได้
    ส่วนพี่แก้ว ไม่เลี้ยงหลาน ไม่ต้อนรับญาติก็น่าจะเข้าเวร
     
  16. รักจันทร์

    รักจันทร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    554
    ค่าพลัง:
    +311
    ส่วน 'กาฝากข่าว' นี่คืออะไรครับ?

    ถ้าเป็นสำนวน ผมเคยได้ยินแต่ กาคาบข่าว ประมาณว่ามีข่าวมาถึงเราโดยใครสักคนนำมาบอก (เรียกคนๆนั้นว่า 'กา') มีทั้งจงใจฝากกามาบอก หรือ ไม่ตั้งใจให้เรารู้ แต่กาดันนำข่าวนี้มาบอกกับเราเองครับ

    ยังไงรอฟังความคิดเห็นท่านอื่นๆอีกทีครับ
     
  17. mssoda

    mssoda Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 มกราคม 2009
    โพสต์:
    1,182
    ค่าพลัง:
    +50
    แม่นไม่แม่นไม่รู้ แต่จากข้อมูลที่ศึกษามาคิดว่าเป็น
    ดูเรื่องแก้วขนเหล็กรึป่าว
    -สัตว์หรืออสูรกายหรือผีดิบ (ประเภทกินของสดของคาวโดยเฉพาะเลือดเนื้อมนุษย์และเสพย์กามกับมนุษย์) คือประเภทแวมไพร์ หรือ ผีดูดเลือด เคยดูเรื่องแก้วขนเหล็กรึป่าว


    แวมไพร์ หรือ ผีดูดเลือด
    <TABLE class=a4 cellSpacing=0 cellPadding=2 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#51402d><TABLE cellSpacing=2 cellPadding=2 width="95%" align=center border=0><TBODY>ผู้หญิงที่มาเลเซีย เชื่อกันว่า เสียชีวิต ในขณะ หรือหลังคลอดลูก จะกลายเป็นผีดูดเลือด

    ดูดเลือด หรือ แวมไพร์ (Vampire) เป็นมนุษย์อีกรูปแบบหนึ่งที่มีพลังปิศาจ แม้ว่า ผีดูดเลือด จะอยู่ในร่างของมนุษย์ มันก็ไม่มีความเป็นมนุษย์อยู่ มันคือคนที่ตายไปแล้วและลุกขึ้นมาจากโลงมีชีวิตใหม่โดยดูดเลือดเป็นอาหาร สังคมแทบทุกสังคมรู้จัก ผีดูดเลือด ผีดูดเลือดปรากฎครั้งแรกในอาณาจักร บาบิโลเนีย ในหีบศพที่ถูกปิดมานานกว่า 4,000 ปี มีตำนานเกี่ยวกับผีดุดเลือดมากมายใน อินเดีย จีน กรีก โรมัน มาเลเซีย และไทย ก็มีเรื่องราวเกี่ยวกับผีดูดเลือดเช่นกัน

    ในประเทศมาเลเซีย เชื่อกันว่า ผู้หญิงที่เสียชีวิต ในขณะ หรือหลังคลอดลูก จะกลายเป็นผีดูดเลือด และลูกที่ตายพร้อมกันก็จะเป็นผีดูดเลือดด้วย ส่วนของไทยก็เห็นจะเป็น กระสือ หรือปอบ ที่เรารู้จักกัน ประเพณีโบราณมักมีวิธีป้องกันผีพวกนี้และบางประพณีก็สืบทอดมาถึงปัจจุบัน ในแถบตะวันตก ผีดูดเลือด เป็นที่รู้จักกันในนามแวมไพร์ ปรากฏในอังกฤษครั้งแรก

    </B>
    </TD></TR>

    </TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=2 cellPadding=2 width="95%" align=center border=0><TBODY>ศพถูกขุดขึ้นมาและพบว่า มีรอยเลือดอยู่ที่ปาก

    ในปี พ.ศ.2275 ตามบันทึกว่าเป็น แวมไพร์ ชาวเซอร์เบีย (Serbian : แคว้นในยูโกสลาเวีย) ที่กลับมาจากหน้าที่ทางทหารใน กรีก ด้วยท่าทีที่แปลกไป เขาผู้นั้น คือ อาร์โนลด์ เปาเล (Arnold Paole) เปาเล ยอมรับกับภรรยาในเวลาต่อมาว่า เขาโดน แวมไพร์ ดูดเลือดในขณะเดินทางและได้กลายเป็น แวมไพร์ ไปด้วย เปาเล ประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตในเวลาต่อมา แต่เพื่อนบ้านยังคงเห็นเขาวนเวียนอยู่ ศพของเขาถูกขุดขึ้นมาและพบว่า มีรอยเลือดอยู่ที่ปาก การที่จะพิสูจน์ว่า เป็น แวมไพร์ หรือไม่นั้น ทำได้โดยตอกหมุดไม้ลงไปที่หัวใจ ศพของ เปาเล ถูกพิสูจน์และด้วยความประหลาดใจ

    </B>
    </TD></TR>

    </TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=2 cellPadding=2 width="95%" align=center border=0><TBODY>ขณะที่ตอกหมุดนั้นมีเลือดทะลักออกมาและมีเสียงกรีดร้องตามมาด้วย

    ในขณะที่ตอกหมุดนั้นมีเลือดทะลักออกมาและมีเสียงกรีดร้องตามมาด้วย ศพของ เปาเล ถูกเผาตามขั้นตอนของพิธีกรรมทางความเชื่อ หลายปีต่อมา ก็ยังมีกรณีของ แวมไพร์ ตัวอื่นอยู่ ซึ่งเชื่อว่า เป็นเหยื่อของ เปาเล จึงสรุปได้ว่า แวมไพร์ ถ่ายทอดได้โดยการถูกกัด

    บันทึกในปี พ.ศ.2306 ของนักเขียนชาวฝรั่งเศส ชื่อ ฌอง จาก รูสโซ (Jean-Jacques Rousseau) กล่าวว่า ในปีนั้นมีพยานหลายคนทั้งที่เป็นแพทย์ นักบวชและพนักงานปกครอง ได้พบเห็น แวมไพร์ เรื่องราวได้เริ่มถูกนำไปแต่งเป็นวรรณกรรม จนกระทั่งในต้นพุทธศตวรรษที่ 24 แวมไพร์ ก็เป็นที่ยอมรับว่ามีอยู่จริง มีทั้งสองเพศ แต่โดยมากจะเป็นเพศชาย มีเขี้ยวยาว ผิวซีดเซียว และมีดวงตาที่แข็งกร้าว มักออกหาเหยื่อในเวลากลางคืน และเหยื่อก็จะเป็นเพศตรงข้าม ป้องกันได้โดยใช้กระเทียม การเป็น แวมไพร์ นั้นเป็นไปโดยไม่ได้สมัครใจและก็ไม่ค่อยจะเกี่ยวข้องกับปิศาจหรือเวทมนตร์ แม่มดเท่าใดนัก แวมไพร์ มักเป็นคนบาปที่ดำเนินชีวิตอย่างชั่วร้าย ผู้บริสุทธิ์ก็เป็น แวมไพร์ ได้โดยตกเป็นเหยื่อของพวกมัน

    </B>
    </TD></TR>

    </TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=2 cellPadding=2 width="95%" align=center border=0><TBODY>แวมไพร์ มีจริงหรือ ?

    บุคคลที่มีความแตกต่างไปจากคนอื่นและมีการตายอย่างประหลาดนั้นมักถูกเชื่อว่า จะเป็นแวมไพร์ อย่าง แน่นอน บุคคลใดที่มีลักษณะคล้าย แวมไพร์ จะถูกกีดกันจากสังคมทันที การกำจัด แวมไพร์ นั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเพราะต้องทำเฉพาะเวลากลางวัน ตอนที่มันไม่มีอำนาจเท่านั้น เชื่อว่าหลุมศพใดมีโพรงอยู่แสดงว่าศพในหลุมนั้นเป็น แวมไพร์ โดยความเชื่อของ ชาวโรมัน ให้เทน้ำเดือดลงไปในโพรงเพื่อกำจัด แวมไพร์ หรือกำจัดได้โดยวิธีเดียวกับที่ทำกับ แวมไพร์ เปาเล


    ปลายพุทะศตวรรษที่ 19 นักเขียนชาว ไอริช เมื่อ บราม สโตกเกอร์ (Bram Stoker) ได้แต่งนิยายเรื่อง แดรกคูลา (Dracula) ซึ่งเป็นจุดกำเนิดของคำอีกคำหนึ่งที่แปลว่า ผีดูดเลือด แดรกคูลา เป็นลูกชายของ แดรกคูล (Dracul) กษัตริย์โรมันที่โหดร้าย ทารุณ แดรกคูล เป็นสมญานามที่แปลว่า ปิศาจ ซึ่งกษัตริย์ได้สมญานามมาจากการปกครองที่โหดร้าย กระหายเลือด และแดรกคูลา ก็แปลว่า ลูกชายของปิศาจ

    ในนิยาย แดรกคูลา เกิดในทรานซิลวาเนีย (Transylvania) และมีความโหดร้ายเช่นเดียวกับพระบิดา ทรงสร้างศัตรูมากมาย มีการตายอย่างลึกลับ ไม่มีใครพบเห็นศพและไม่ได้ถูกฝังตามพิธี จนปัจจุบันเรื่องราวของ แวมไพร์

    ก็ยังคงน่าหลงใหลและน่าหวาดกลัวมีผู้คนที่เชื่อว่า แวมไพร์ มีจริง ยิ่งกว่านั้น ยังมีศูนย์วิจัย แวมไพร์ ใน นิวยอร์ก ที่ศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับ แวมไพร์ ใน ยุโรป และ อเมริกา อีกด้วย


    </TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
    -โป่งข่ามพอที่จะป้องกันได้หรือไม่ถ้าได้ใช้ชนิดแก้วขนเหล็ก......ค่ะ จากอ้างอิงข้างล่างนะ

    แก้วขนเหล็กมีความเชื่อกันมาแต่ช้านานแล้วว่าสามารถป้องกันคุณไสยภูตผีปีศาจสิ่งร้าย ๆ และกันตัวได้ อีกทั้งยังทำให้ผู้เป็นเจ้าของมีโชคลาภและเสริมบารมีให้เพิ่มขึ้น อีกด้วย

    -กาฝากข่าวคือบุคคลที่ไม่ทำอะไรเลย อาศัย พึ่งพิง พึ่งพา...ข้อมูล ข้อเท็จจริง ความรู้ ความคิดเห็นของคนอื่น เพื่อเป็นประโยชน์แก่ตนเอง และยังสร้างความเสียหายให้กับผู้ที่ให้เขาอาศัยอีก....
    ;aa46
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 พฤษภาคม 2009
  18. mssoda

    mssoda Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 มกราคม 2009
    โพสต์:
    1,182
    ค่าพลัง:
    +50
    ต่างจากผีดิบนะ
    ซอมบี้คืออะไร ซอมบี้ ผีดิบหรือฝังทั้งเป็น
    ซอมบี้หรือเรียกว่า "ซัมบิ" (zumbi) เชื่อกันว่า ซอมบีเป็นศพที่เดินได้ เนื่องจากเป็นร่างไร้วิญญาณที่ถูกปลุกให้ฟื้นคืนชีพอีกครั้ง ด้วยอำนาจเวทมนตร์ของนักบวชในลัทธิวูดู ลักษณะการเดินของซอมบิดูคล้ายหุ่นยนต์ที่ไร้วิญญาณ ปราศจากแววตา และจะทำตามคำสั่งของนักบวช

    ซอมบี้นั้นในภาษาพื้นเมืองไฮติเขาเรียกกันอีกชื่อหนึ่งว่า "โบโกร์" (Bokor).. ซอมบี้เป็นทาสผีดิบของหมอผี หรือผู้ทรงไสยดำ ผู้ที่มีอำนาจ (เชื่อว่าเป็นอำนาจจากนรก) เรียกเอาคนตายกลับขึ้นมาจากหลุมศพ

    ซอมบี้เป็นเพียงศพที่เดินได้มันกินอาหารได้ อาหารที่กินเป็นอาหารพิเศษที่หมอผีจัดหามาให้ มันมีลมหายใจคล้ายคน มันต้องขับถ่าย มันพูดได้ แต่ส่วนมาไม่ได้พูดภาษาคน และมันสามารถได้ยินเสียงหรือรับรู้คำสั่งของหมอผีได้แสดงว่ามันมีชีวิต แต่มันเป็นสิ่งมีชีวิตที่ปราศจากความทรงจำใดๆ ทั้งสิ้น มันไม่รู้จักชีวิตของตัวมันเอง มันไม่มีความรำลึกของอดีตใดๆ เกี่ยวกับตัวมันเอง มันไม่เคยเข้าใจสภาพ หรือสถานภาพใดๆ เกี่ยวกับตัวมันเอง มันไม่รู้จักความเจ็บปวดหรือความกลัว พูดง่ายๆ ซอมบี้ เป็นเสมือนหุ่นยนต์ที่มีเลือดเนื้อ เหมือนเครื่องจักรชีวอย่างไงอย่างนั้นนั่นเอง

    ชนเผ่าชาไฮติแทบทุกคนรู้จักความชั่วร้ายแห่งไสยดำวูดูเป็นอย่างดี และพวกเขาก็รู้จักซอมบี้ว่ามันมีจริง มันเป็นศพคืนชีพ ทาสรับใช้ของหมอผีหรือผู้มีอำนาจทางไสยดำวูดู พวกชาวบ้านธรรมดาจะสามารถแยกซอมบี้ออกจากหมู่คนธรรมดาได้ทันทีที่ได้เห็น

    กล่าวกันว่า พวกซอมบี้มักจะมีท่าทางการเดินเหินไม่เหมือนคนธรรมดา การเดินของซอมบี้จะโยกเยกตัวไปมามากกว่าคนธรรมดา คล้ายกับว่ามันเป็นเครื่องจักรกลที่เดินได้ มันมีสายตาที่เหม่อลอย ดวงตา ที่ปราศจากแววของชีวิต และยังกล่าวกันว่า ซอมบี้มีเสียงหายใจที่ดัง และมีจังหวะการสูดลมหายใจเข้าออกช้าเร็วต่างกับคนธรรมดา

    ชาวบ้านธรรมดาในไฮติโดยทั่วไปไม่มีใครกลัวซอมบี้ เพราะไม่เคยปรากฏว่า ซอมบี้ทำอันตรายได้เลย แต่ก็ไม่มีใครกล้ายุ่งเกี่ยวข้องกับซอมบี้ ถ้าเผอิญ ไปเจอมันเข้า สิ่งที่พวกเข้าทุกคนกลัวที่สุดไม่ใช่ซอมบี้ แต่พวกเขากลัวเป็นซอมบี้ กลัวว่าญาติพี่น้อง เพื่อนฝูงคนที่รู้จัก และตัวเองเมื่อตายไปแล้วจะกลายเป็นซอมบี้ พวกเขาไม่กล้ารับหน้าหรือให้การต้อนรับซอมบี้ผู้มาเยือน ไม่ว่าซอมบี้นั้นจะเคยเป็นพ่อ แม่ พี่น้อง หรือ ใครที่เคยรู้จักสนิทสนมด้วยในตอนที่ยังมีชีวิตอยู่

    ในการทำพิธีฝังศพญาติพี่น้องของตน ชาวไฮติมีพิธีกรรมที่เรียกว่า "ทำให้ตายครั้งที่สอง" เพื่อป้องกันมิให้ศพกลับลุกขึ้นมาเป็นซอมบี้

    แม้แต่คนที่ยากจนไม่มีเงินจะทำพิธีศพญาติของตน ยังต้องไปนำก้อนหินขนาดใหญ่ๆ มาทับหลุมฝังศพเพื่อป้องกันมิให้ศพญาติที่ฝังไว้ลุกกลับขึ้นมา

    บางครั้งญาติผู้ตายต้องผลัดกันนั่งเฝ้าอยู่ปากหลุมศพ เฝ้ากัน 24 ชั่วโมง ทั้งวันทั้งคืนไม่ให้คลาดสายตา เป็นเวลานับเดือนๆ จนกว่าจะแน่ใจว่าศพในหลุมที่ฝังไว้นั้นเน่าสลายไปหมดแล้ว เพราะกลัวว่าศพอาจคืนชีพเป็นซอมบี้กลับขึ้นมาใหม่นั่นเอง

    ในพิธีฝังศพของผู้มีเงินหน่อย จะต้องนำสิ่งของต่างๆ เช่นลูกปัดหินหลากสี ด้ายสีต่างๆ หลายหลอด พร้อมกับเข็มเย็บผ้าหลายโหล และเมล็ดพืชเล็กๆ บางชนิดอีกหลายร้อยหลายพันเม็ดใส่ไว้ในโลงศพของผู้ตายด้วย สิ่งของต่างๆ ดังกล่าวจะต้องผ่านพิธีการปลุกเสกลงของเสียก่อนโดยผู้ทรงคุณทางไสยขาว (White Magic) วิชาลึกลับใช้เวทมนต์ในทางที่ดีทำเครื่องรางของขลังป้องกันภัยอันตรายหรือปลุกเสกเมตรามหานิยม ฯลฯ ก่อนการปิดปากโลงศพ และฝังกลบไว้ในป่าช้า เชื่อกันว่า ถ้าศพคืนชีพขึ้นมามันจะไม่ลุกออกมาจากโลง เพราะมัวแต่เล่นสิ่งของเหล่านั้นจนเพลินนั้นเอง

    บางครั้งมีการใส่มีดที่ลงของลงคาถาไว้ในโลงด้วยหลายเล่ม เพื่อว่าศพคืนชีพเกิดเซ็งขึ้นมาเพราะออกจากโลงไม่ได้ จะได้ฆ่าตัวตายเป็นครั้งที่สอง นอนตายอย่างสงบอยู่ในโลงนั้น พิธีกรรมที่หนักข้อขึ้นไปอีกก็ยังมี กล่าวคือ ก่อนปิดฝาโลง จะจัดการตัดคอศพแยกใส่หีบฝังต่างหาก หรือไม่ก็เอาหมุดลงคาถาตอกหน้าอกฝังไว้กับโลงเพื่อป้องกันศพคืนชีพเป็นซอมบี้ พวกไฮติไม่นิยมการเผาศพ แต่ก็มีการเผาศพอยู่เหมือนกัน เชื่อว่าการเผาศพมิได้ช่วยป้องกันซอมบี้แต่อย่างใด เพราะมีเรื่องเล่ากันว่า คนตายที่ถูกเผาไปแล้ว บางทียังกลายเป็นซอมบี้ได้ ขณะกำลังเผาๆ อยู่ดันลุกพรวดพราดออกมาจากโลงก็มี ไอ้ตัวซอมบี้แบบนี้น่ากลัวน่าสยดสยองกว่าซอมบี้ธรรมดา ร่างกายมันดำไหม้เฟอะ เป็นศพพิการแต่ยังเดินได้

    พวกหมอผีวูดู หรือ พวกจอมคาถาอาคมแห่งวูดู บางคนมีลูกสมุน (ซอมบี้) เป็นกองทัพเลยก็มี นับว่าเป็นทาสผีดิบที่สัตย์ซื่อมาก เรื่องราวต่างๆ เกี่ยวกับซอมบี้มีปรากฏอยู่ในบันทึกของชาวตะวันตกที่เดินทางไปอยู่ในแถบไฮติ นับตั้งแต่สมัยล่าอาณานิคมโน้น วิลเลียม ซีบรุ๊ก ผู้จัดการ ฝ่ายผลิตและส่งออกของบริษัท ผลิตน้ำตาลจากอ้อย (Hailian American Sugar Corporation เคยเขียนบันทึกไว้ว่า

    "มีพวกกรรมกรไร่อ้อยหลายร้อยคนเป็นคนงานอยู่ในความดูแลของหมอผีวูดู ซึ่งทำหน้าที่คุมคนงานและจัดหาคนงานมาเข้าทำงานอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย เหมือนมนุษย์จักรกล มีอยู่หลายสิบคนที่มีพวกญาติพี่น้องมาขอตัวกลับเพื่อนำไปฆ่าให้ตายเป็นครั้งที่สอง ทำให้เกิดปัญหามาก เพราะพวกญาติพี่น้องมาพบว่า คนงานบางคนเป็นญาติหรือ คนที่เขารู้จักดีซึ่งตายไปแล้ว และกลายเป็นซอมบี้อยู่ในอาณัติคาถาของหมอผีวูดู ใช้ให้มาทำงานเป็นทาสอยู่ในไร่อ้อย…"
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 พฤษภาคม 2009
  19. stranger2009

    stranger2009 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 เมษายน 2009
    โพสต์:
    27
    ค่าพลัง:
    +76
    ยังอยู่ไหมครับ ถ้าอยู่ขอจอง
    ชุดที่ ๘. รูปที่ 2.แก้วกาบทอง + ขนเหล็ก size 1.4x1.7 cm. 400 บาท
    ชุดที่ ๗. รูปที่ 66. แก้วปวกสามสี (สีน้ำตาล-เขียว-สีเงิน) และทรายเงินส่องประกาย
    ...size 2.5x3.2 cm. 600 บาท
    แล้วจะส่งเงินไปให้พรุ่งนี้
     
  20. mssoda

    mssoda Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 มกราคม 2009
    โพสต์:
    1,182
    ค่าพลัง:
    +50
    วันนี้พี่ฟ้าไปทำบุญ
    หากสนใจจองแก้วโป่งข่ามและร่วมทำบุญกับฟ้าเชิญแจ้งไว้ที่หน้าเวปเด๋วตอนดึก พี่ฟ้าจะติดต่อกลับค่ะหรือโทรติดต่อ083-323-0243หรือe-mail: nannyp2@gmail.com ตามสะดวก

    ปัจจัยส่วนหนึ่งฟ้าจะนำไปทำบุญที่วัดแม่คีหลวง อ.แม่จัน จ.เชียงราย


    ขอบคุณค่ะ
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...