ขอเชิญท่านที่มีความจงรักภักดีและเทิดทูนในสมเด็จพระนเรศวรมหาราช

ในห้อง 'งานบุญอื่นๆ' ตั้งกระทู้โดย จงรักภักดี, 28 เมษายน 2009.

  1. ไก่เหลืองหางขาว

    ไก่เหลืองหางขาว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มกราคม 2009
    โพสต์:
    246
    ค่าพลัง:
    +493
    สาธุ ขอกราบถวายบังคมแทบเบื้องพระบาทองค์สมเด็จพ่อพระนเรศเป็นเจ้าพระพุทธเจ้าข้า
     
  2. ศรัทธา_พิสุทธิ์

    ศรัทธา_พิสุทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    138
    ค่าพลัง:
    +205
    พระองค์เป็นผู้สร้างชาตินิยมให้แก่ชาติไทย รวมคนไทยให้สามัคคีกันเป็นปึกแผ่น ไม่แยกเป็นไทยเหนือไทยใต้ ไทยใหญ่หรือไทยน้อย เมื่อเป็นเชื้อชาติไทยเหมือนกันแล้ว พระองค์ก็ช่วยเหลือและให้ความคุ้มครองป้องกัน


    สาธุ ขออนุโมทนาค่ะ ขอบคุณคุณทางสายธาตุผู้เรียบเรียงรจนา มากนะคะ
     
  3. จงรักภักดี

    จงรักภักดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,229
    ค่าพลัง:
    +2,466
    ทุกท่านที่ได้อ่านข้อเขียนของคุณทางสายธาตุนอกจากจะได้มีโอกาสทบทวน

    ประวัติศาสตร์กันแล้วยังได้รับทราบพระราชประวัติและพระเกียรติคุณของ

    สมเด็จพระนเรศวร องค์มหาราชผู้ยิ่งใหญ่ในหลายๆแง่คิดและหลายๆมุมมอง

    จากบทประพันธ์ของคุณเอื้อ บุษปะเกศ หงสกุล ที่เราๆท่านๆ อาจจะยังไม่ทราบ

    หรืออาจจะหลงลืมกันไป พระองค์มีพระคุณต่อประเทศชาติ ประชาชนคนไทย ตลอดมาจนถึงปัจจุบัน ทรงกู้ชาติจากการอยู่ใต้อำนาจพม่าและทรงขยายอาณาเขตให้กว้างใหญ่กว่ายุคไหน ๆ ทิศเหนือถึงเมืองแสนหวี แคว้นไทยใหญ่ ทิศตะวันออกถึงเมืองหลวงพระบาง เวียงจันทร์และกัมพูชาทั้งประเทศ ทิศตะวันตกได้หัวเมืองมอญฝ่ายใต้ทั้งหมด ทิศใต้เกือบตลอดแหลมมะลายู

    ผมต้องกราบขอบพระคุณท่านผู้ประพันธ์ ไว้ ณ โอกาสนี้ด้วย และท่านที่มีส่วนสำคัญในการนำบทประพันธ์นี้มานำเสนออย่างมีอรรถรส ทำให้ต้องติดตามกันอย่างใกล้ชิดและเพลิดเพลิน แบบไม่ให้คลาดสายตา ต้องขอขอบคุณและปรบมือให้กับ คุณทางสายธาตุ ครับ
     
  4. จงรักภักดี

    จงรักภักดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,229
    ค่าพลัง:
    +2,466
    .....พระองค์เป็นเทพเจ้าแห่งความรักชาติของคนไทย แม้เมื่อพระองค์เสด็จสวรรคตแล้ว ดวงพระวิญญาณของพระองค์ก็ยังให้ความคุ้มครองป้องกันอยู่......


    ข้าพระพุทธเจ้าขอกราบถวายบังคมแทบฝ่าพระบาท ด้วยความจงรักภักดีและ
    สำนึกในพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้น ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อม ขอเดชะ
     
  5. ทางสายธาตุ

    ทางสายธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2009
    โพสต์:
    2,922
    ค่าพลัง:
    +6,434
    [SIZE=-1]เรื่องราวนี้เป็นเรื่อง เล่าจากประสบการณ์ของพระเดชพระคุณพระธรรมสิงหบุราจารย์ (จรัญ จิตธัมโท /หรือพระครูเจริญ จิตธัมโม) ซึ่งได้เจริญกรรมฐานจนได้อนิสงส์สามอย่างคือ ระลึกชาติได้เจ็ดชาติ เห็นกฏแห่งกรรม และเกิดปัญญาแก้ปัญหาได้

    "เรื่องจริง ของพระเจ้าตาก"

    สรุปข้อเท็จจริงเรื่องพระเจ้าตากสิ้นพระชนม์อย่างไร
    ข้อเท็จจริงตามประวัติศาสตร์ที่ว่าพระเจ้าตากนั้นเป็นผู้กู้เอกราชให้กับ ไทยนั้น พระองค์ทรงเป็นกษัตริย์นักรบที่เก่งกาจกล้าหาญ และเสียสละอย่างมาก อย่างที่ชนธรรมดามิได้ล่วงรู้.กมากมาย แต่เรื่องที่จะเล่า เกี่ยวกับพระเจ้าตากนั้นไม่ได้มีในประวัติศาสตร์ที่เราเคยเรียนกัน

    - พระเจ้าตากมิใช่เป็นลูกของคนจีนสามัญชนตามประวัติศาสตร์ แต่เป็นโอรสในสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศกับสนมลับชาวจีนชื่อไหฮอง แต่เนื่องจากสมัยอยุธยานั้นมีการแก่งแย่งชิงดีกันมาก มีการฆ่ากันเพื่อชิงราชสมบัติ พระมารดาของพระเจ้าตากเกรงจะเป็นอันตรายจึงได้ปิดเป็นความลับ และบอกว่าบิดาของพระเจ้าตากชื่อไหฮอง (ชื่อของนางเอง) และมารดาชื่อนางนกเ.้ยง (ชื่อที่แต่งขึ้นไม่มีตัวตนจริง) ประวัติศาสตร์นั้นได้ถูกบันทึกไปตามเหตุการณ์ที่ถูกทำให้เป็นว่าเป็นไป โดยที่หามีใครรู้ข้อเท็จจริงไม่(โดยส่วนตัวของข้าพเจ้าในสมัยที่เรียน ประวัติศาสตร์นั้น ก็มีความรู้สึกไม่ค่อยเชื่อว่าคนที่จะขึ้นมาเป็นระดับพระมหากษัตริย์นั้นจะ เกิดมาจากคนสามัญชนเพียงเท่านั้น เพราะผู้ที่จะเป็นพระมหากษัตริย์นั้นย่อมต้องมีบุญบารมีสูง ย่อมน่าจะสืบสายเลือดมาจากเชื้อพระวงค์)

    - พระเจ้าตากไม่ได้สติวิปลาสและถูกสำเร็จโทษด้วยท่อนจันทน์ ดังที่ได้บันทึกในประวัติศาสตร์ ความจริง เป็นพระประสงค์ของพระองค์เองที่จะสละความเป็นกษัตริย์เพื่อหันไปออกผนวช เป็นพระภิกษุ
    จึงได้ขอร้องให้พระสหายร่วมสาบานปราบดาภิเษกแทน (พระสหายนี้คือรัชกาลที่หนึ่งนั่นเอง) ความจริง พระสหายนั้นมีความซื่อสัตย์ภักดีต่อพระเจ้าตากเป็นมั่น มิได้มีความคิดที่จะก่อกบฏหรือหวังขึ้นตั้งตัวเป็น กษัตริย์ และก็ไม่ยอมทำตามพระประสงค์ของพระเจ้าตาก แต่ด้วยเหตุผลของพระเจ้าตากว่า พระองค์ เป็นกษัตริย์ที่ยากจนเข็ญใจ เงินในท้องพระคลังไม่มีเลย ไม่มีแม้แต่เบญจาชกกุณฑ์
    (เครื่องหมายแสดงความเป็นพระราชา มี ๕ ได้แก่ พระขรรค์ ธารพระกร อุณหิส ฉลองพระบาท และ
    วาลวิชนี) เนื่องจากผลของสงคราม ข้าวยากหมากแพง พระองค์ต้องช่วยเหลือราษฎรของพระองค์ จน ต้องเป็นหนี้กับจีนถึงหกหมื่นตำลึง ถ้าหากพระองค์จะค่อยๆ ผ่อนใช้ก็พอได้ แต่เมื่อรู้ว่าจีนคิดมิซื่อหวังยึด เอาไทยเป็นของตน ดังนั้นจึงมิอาจยอมได้ ทรงคิดว่าการผลัดแผ่นดินเป็นการล้างหนี้ที่ดีที่สุด พระองค์ทรงใช้กุศโลบายเพื่อรักษาเอกราชของชาติ โดยแสร้งทำตนว่าสติวิปลาส แล้วให้พระสหายขึ้น ปราบดาภิเษก ถึงตอนนั้นจีนก็ไม่สามารถยึดเอาไทยไปได้ เพราะผู้ที่ทำสัญญากับจีนนั้นเป็นพระเจ้าตาก เพียงผู้เดียวที่รับผิดชอบ

    ผู้ที่ถูกสังหารด้วยท่อนจันทน์ ไม่ใช่พระเจ้าตาก แต่เป็นสหาย.กคน (หลวงอาสาศึก) ที่หน้าตาท่าทาง
    คล้ายกับพระเจ้าตากเป็นอันมาก ยอมเสียสละชีวิตตนแทน ส่วนพระเจ้าตากนั้นพระสหายได้แอบพาหนีไปที่อื่นอย่างปลอดภัยนี่แสดงให้เห็น ถึงความเสียสละของพระเจ้าตาก กับความรักความสามัคคีและความซื่อสัตย์ที่พระสหายมีต่อพระเจ้าตากนั้นเป็น ที่สูงสุด และนี้จึงเป็นผลบุญให้พระสหายซึ่งต่อมาได้สืบพระราชวงค์ใหม่ ได้มีแต่ความเจริญยั่งยืนสืบยาวนานตลอดรัชกาล

    - พระเจ้าตากสิ้นพระชนม์ (ละสังขาร) อย่างไร
    เมื่อครั้งที่พระเจ้าตากได้ไปตั้งค่ายในป่า ได้พบกับพระรูปหนึ่งได้ให้กรรมฐานแก่พระเจ้าตาก จึงทรงมิ อยากครองราชต่อไป ทรงดำเนินแผนการว่า ทางอยุธยาเกิดเรื่อง จึงสั่งให้พระยาสวรรค์ยกกองทัพไปปราบ เสร็จแล้วให้กลับมายังกรุงธนบุรีและล้อมพระราชฐานไว้ แล้วจับพระองค์บวชเสีย
    [/SIZE]
    [SIZE=-1]
    แต่ปรากฏว่าพระยาสวรรค์เกิดลืมตัวอยากเป็นใหญ่ตั้งตนเป็นกษัตริย์ขึ้นมา จริงๆ สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก (รัชกาลที่หนึ่ง) จึงได้ยกทัพลงมาปราบส่วนพระเจ้าตากได้ไปเจริญวิปัสนากรรมฐานในถ้ำแห่งหนึ่ง ที่เพชรบุรี ในวันที่พระองค์บรรลุธรรมสูงสุดคือวันที่ท่านละสังขารขณะที่กำลังดูดดื่ม อยู่ในวิมุติสุข พระองค์ถูกชายสองคนใช้ไม้คมแฝกฟาดที่ศรีษะอย่างนับไม่ถ้วน ชายสองคนนั้นเป็นพวกกลุ่มคนที่ต้องการเอาความดีความชอบเมื่อรู้ว่าผู้ที่ ถูกสำเร็จโทษไม่ใช่พระเจ้าตากตัวจริงจึงสืบหาเพื่อตามสังหาร แต่กรรมตามทัน มีการกบฏซ้อนกบฎกันวุ่นวายพวกนั้นก็ฆ่ากันตายเองส่วนพระเจ้าตากได้สำเร็จ เป็นพระอรหันต์กลายเป็นวิสุทธิเทพในที่สุด

    หนังสืออ้างอิง
    ความหลงในสงสาร, (สุทัสสา อ่อนค้อม), ๒๕๔๙


    - เรื่องราวนี้เป็นเรื่อง เล่าจากประสบการณ์ของพระเดชพระคุณพระธรรมสิงหบุราจารย์ (จรัญ จิตธัมโท /หรือพระครูเจริญ จิตธัมโม) ซึ่งได้เจริญกรรมฐานจนได้อนิสงส์สามอย่างคือ ระลึกชาติได้เจ็ดชาติ เห็นกฏแห่งกรรม และเกิดปัญญาแก้ปัญหาได้ ท่านได้พบกับพระเจ้าตากซึ่งเป็นพระวิสุทธิเทพแล้วเมื่อยี่สิบกว่าปีก่อน พระเจ้าตากได้เล่าเรื่องราวต่างๆให้ฟังด้วยต้องการให้นำไปเผยแพร่ข้อเท็จ จริง เพราะท่านเห็นว่าคนไทยเราต่างมีความขัดแย้งกันมากมาย ที่สำคัญคือท่านไม่ต้องการให้สถาบันกษัตริย์เสื่อมเสียเพราะจากความเข้าใจ ผิดและความมิชฉาทิฐิ- ท่านที่ได้อ่านจะเชื่อหรือไม่ก็แล้วแต่ปัญญาและสัมมาทิฐิของแต่ละบุคคล แต่โดยส่วนตัวของข้าพเจ้ามิได้มีอำนาจอิทธิฤทธิ์ใดๆ ที่จะเห็นได้ว่าเรื่องที่เล่านั้นจริงหรือไม่ เพียงแต่อ่านแล้วรู้สึกเกิดแรงบันดาลใจที่จะเล่าต่อต่อให้แก่กัน โดยหวังว่าอานิสงค์นี้จะช่วยก่อให้เกิคผลแก่ประเทศชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ให้ประชาชนได้เกิดความสามัคคี อย่าได้มีความขัดแย้งแตกแยกกัน จงเกิดปัญญาและสัมมาทิฐิ รู้ข้อเท็จจริงด้วยปัญญาของตนเอง มิใช่จากการฟังเสียงลือเสียงเล่าอ้างแล้วมิได้ไตร่ตรองจนทำให้เกิดความ ทะเลาะเบาะแว้ง

    [/SIZE]
    [SIZE=-1]ทางสายธาตุเชื่อตามที่หลวงพ่อจรัญท่านโปรดเล่าให้ลูกศิษย์ลูกหาฟังค่ะ เอามาจาก link นี้ค่ะ[/SIZE]

    [SIZE=-1]http://palungjit.org/threads/เรื่องจริงของพระเจ้าตาก.206018/
    [/SIZE]<!-- google_ad_section_end -->
     
  6. ทางสายธาตุ

    ทางสายธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2009
    โพสต์:
    2,922
    ค่าพลัง:
    +6,434
    อยากให้คนไทย สามัคคีกัน อย่าเอาประเด็นที่คนรุ่นหลังอย่างเราท่านไม่รู้ข้อเท็จจริงว่าเป็นมาอย่างไร มาเป็นประเด็นของการแตกความสามัคคีในชาวไทยด้วยกันค่ะ


    ประเทศจะเข้มแข็ง คนไทยต้องสามัคคีกัน ขออานุภาพบารมีแห่งองค์สมเด็จพระนเรศวรมหาราชได้โปรดเมตตาคนไทย ให้รักสามัคคีกันมากๆค่ะ

    แผนความแตกแยกนี้เคยใช้กันมาแล้วตอนเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ 1 เรียกว่า แผนวัสสกาณพรามหณ์ คนไทยต้องตั้งมั่นในความสามัคคีของชาตินะคะ สู้ๆ ค่ะ พวกเรา
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 กันยายน 2009
  7. จงรักภักดี

    จงรักภักดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,229
    ค่าพลัง:
    +2,466
    อนุโมทนา ครับ ถ้าพอมีเวลาจะคั่นด้วยเรื่องของวัสสการพราหมณ์บ้าง

    ก็น่าจะดีนะครับ นานๆกาลเวลาผ่านไปอาจจะลืมเนื้อหาสาระกันไปหมดแล้ว

    กระมังครับ จะได้เป็นคติเตือนใจกัน
     
  8. ไก่เหลืองหางขาว

    ไก่เหลืองหางขาว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มกราคม 2009
    โพสต์:
    246
    ค่าพลัง:
    +493
    วัสสการพราหมณ์นี่คือคนของพระเจ้าอชาตศัตรูที่แฝงตัวไปเป็นราชครูของฝั่งลิจฉวีครับ แล้วเขาก็ยุให้บรรดากษัตริย์ลิจฉวีแตกสามัคคีกันโดยเริ่มจากที่บรรดาโอรสของกษัตริย์เหล่านั้น จนบรรดากษัตริย์ลิจฉวีแพ้แก่พระเจ้าอชาตศัตรูครับ แผนวัสสการพราหมณ์นี่ก็คงประมาณว่ายุให้แตกกันสินะครับ แล้วรายละเอียดในการนำแผนนี้มาปรับใช้ตอนเสียกรุงฯครั้งที่ 1 เป็นอย่างไรเหรอครับ อยากรู้จัง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 กันยายน 2009
  9. ทางสายธาตุ

    ทางสายธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2009
    โพสต์:
    2,922
    ค่าพลัง:
    +6,434
    อยากตอบ เพิ่งออกจากห้องประชุมมา เห็นความเห็นคุณไก่แล้วอยากตอบ
    ว่าจะคุยเรื่องดาบไทยต่อเอาไว้ตอนดึกๆนะคะ เรื่องดาบไทย
    อาวุธที่ใช้ฝ่าฝันเอาอิสระภาพมาจากพม่า

    เรื่องแผนวัสสการพราหณ์ นี้เกิดขึ้นตอนพระเจ้าบุเรงนองมาล้อมกรุงศรี
    ยังไงๆ ก็ตีไม่ได้ ล้อมกันเป็นปีๆ ชัยภูมิของกรุงศรีฯนี้ดีมาก
    พระเจ้าบุเรงนองจึงคิดว่าต้องให้ไทยแตกความสามัคคี
    เริ่มจากให้พระมหาธรรมราชากับพระมหาจักรพรรดิผิดใจกัน

    หรือจะตอนขอช้างเผือกแล้ว ขุนนางไทยก็แตกเป็นสองฝ่าย
    ฝ่ายจะยอมให้ช้าง กับฝ่ายไม่ยอมให้ช้าง ขอช้างนี่ก็เป็นเรื่องที่จะยั่วยุไทยนั่นเอง

    แบบนี้แหละคะ กรุงศรีอยุธยาสูญเสียความเข้มแข็งไปเลย สุดท้ายก็ต้องเสียกรุงฯ
     
  10. ศรัทธา_พิสุทธิ์

    ศรัทธา_พิสุทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    138
    ค่าพลัง:
    +205
    เห็นคุณจงรักภักดี ใช้ภาพสุนัขทรงเลี้ยงของรัชกาลที่ ๖ ที่ชื่อ ย่าเหล

    ก็เลยไปค้นหาและได้ทราบเรื่องราวจากกูเกิ้ล เห็นสมควรนำมาเผื่อแผ่

    กันค่ะ

    ประวัติของย่าเหล
    [​IMG]
    ย่าเหล สุนัขทรงเลี้ยงในพระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 6) เป็นสุนัขเพศผู้พันทาง (ลูกผสม) พ่อพันธุ์จู แม่พันธุ์ไทย มีลักษณะขนยาวปุย คางดำ ขนที่หน้าสีขาวครึ่งหัว ดำครึ่งหัว สองหูดำและหูตก ขนที่หลังดำเหมือนอานม้า สี่เท้าด่างสีดำปรก มีลักษณะพิเศษคือ ขนที่คอและหางเป็นพวงพอกเหมือนสิงโต คนทั่วไปเรียกว่าหมาฝรั่ง อาจมีเลือดสแปเนียลผสมอยู่บ้าง

    เกิดในเรือนจำจังหวัดนครปฐม ประมาณ พ.ศ. 2447–2448 มีสองตัวในครอกเดียวกัน ย่าเหลเป็นตัวพี่ ตัวน้องเป็นเพศผู้เช่นกัน แต่มีขนสีน้ำตาล ต่อมาภายหลังได้รับพระราชทานชื่อว่า ปอล และเสียชีวิตในเรือนจำดังกล่าว สุนัขทั้งสองตัวเป็นของหลวงไชยราษฎร์รักษา มีตำแหน่งเป็นพะทำมะรงเรือนจำหรือผู้คุมนักโทษเรือนจำ จังหวัดนครปฐม

    อย่างไรก็ตาม เมื่อพระบาทสมเด็จพระมงกุฎกล้าเจ้าอยู่หัว ยังดำรงพระอิสริยยศเป็นสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช สยามมงกุฎราชกุมาร ได้เสด็จพระราชดำเนินมาศึกษาค้นคว้าโบราณสถานและตรวจราชการที่เรือนจำจังหวัดนครปฐม ทอดพระเนตรเห็นลูกสุนัขนอนดูดนมอยู่ที่เชิงบันไดครัวเรือนจำจึงทรงดีดพระหัตถ์เรียกลูกสุนัข ลูกสุนัขวิ่งเข้ามาประจบประแจง พระองค์ก้มลงลูบหัวและพอพระราชหฤทัยมาก

    เมื่อพระองค์เสด็จกลับจากเรือนจำแล้ว มีรับสั่งให้ข้าราชบริพารขอสุนัขจากหลวงไชยราษฎร์รักษา หลวงไชยราษฎร์รักษา ได้นำทูลเกล้าฯ ถวาย พร้อมสุนัขตัวแม่เพราะยังไม่อดนม ลูกสุนัขเมื่อเข้ามาอยู่ในพระบรมมหาราชวัง ได้รับพระราชทานชื่อว่า “ย่าเหล” ตามตัวละครเอก คือ เอมิล ยาร์เลต์ (Emile Jarlet) ซึ่งเป็นผู้เสียสละชีวิตเพื่อลูกและเพื่อน ในบทละครภาษาอังกฤษเรื่อง “My Friend Jarlet” บทประพันธ์ของ Arnold Golsworthy และ E.B.Norman ต่อมา

    พระองค์ได้ทรงแปลบทละครเรื่องนี้เป็นภาษาไทย มีชื่อว่า “มิตรแท้” และยังทรงบทพระราชนิพนธ์ละครพูดเรื่อง “เพื่อนตาย” ตามเค้าโครงบทละครภาษาอังกฤษดังกล่าวเมื่อ ย่าเหล เข้ามาอยู่ในเขตพระราชฐาน มีมหาดเล็กดูแลเลี้ยงดู มีหน้าที่อาบน้ำ ฟอกสบู่ ใส่แป้งฝุ่นหอม และนำย่าเหล เข้าเฝ้าทุกเช้าในเวลาตื่นพระบรรทม ย่าเหล จะนอนหมอบอยู่แทบพระบาท ตามเสด็จใกล้ชิดพระยุคลบาททุกครั้งที่เสด็จพระราชดำเนินไปเขตพระบรมมหาราชวัง หรือในเขตพระราชวัง ถ้าเห็นอะไรผิดปกติแปลกประหลาดเกิดขึ้น หรือแม้แต่ผู้ที่ถวายความเคารพผิด ย่าเหล จะตรงเข้ากัดทันที

    ย่าเหล เป็นสุนัขหลวงที่โปรดปรานเป็นพิเศษ จึงโปรดเกล้าฯ ให้ทำแผ่นทองคำลงยาเขียนข้อความว่า “ฉันชื่อย่าเหล ฉันเป็นหมาของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว” นำมาแขวนไว้ที่คอ เพื่อแสดงว่านี่คือสุนัขหลวง ไปเที่ยวไหนจะได้ไม่เป็นอันตราย” เนื่องจากย่าเหล เป็นสุนัขแสนรู้ มีความเฉลียวฉลาดและกตัญญูจงรักภักดีอย่างสูง จึงโปรดปรานเป็นอย่างยิ่ง จากการศึกษาพบว่า “ย่าเหล มีเงินเดือนในฐานะมหาดเล็กหลวงเดือนละ 50 บาท” และได้รับพระราชทานสิ่งของต่าง ๆ ดังนี้


    [​IMG]



    -ยังมีต่อค่ะ
     
  11. ศรัทธา_พิสุทธิ์

    ศรัทธา_พิสุทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    138
    ค่าพลัง:
    +205
    การเสียชีวิตของย่าเหล

    <HR>[​IMG]
    ย่าเหล เข้าวังรับราชการเป็นสุนัขหลวงอยู่ประมาณ 5 ปี ก็ถูกยิงตาย มีผู้พบร่างย่าเหล นอนตายใต้ต้นก้ามปู หลังกรมทหารมหาดเล็กรักษาพระองค์ ตั้งอยู่หน้าวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม ย่าเหล ถูกกระสุนปืนถึงแก่ความตายจริง แต่การสังหารย่าเหล มีความเห็นแตกต่างกัน กล่าวคือ ฝ่ายแรกเห็นว่าการตายของย่าเหล เกี่ยวกับความพยายามยกเลิกสนธิสัญญาเบาริง และเชื่อมโยงกับตระกูลเจ้านายในสมัยนั้น

    ส่วนฝ่ายหลังตระกูล ณ นคร มีหลักฐานระบุว่า พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงทราบว่าใครเป็นผู้ฆ่าย่าเหล แต่ไม่อาจเปิดเผยได้ เพราะพาดพิงถึงบุคคลสำคัญ แต่ที่แน่ ๆ ผู้สังหารย่าเหล คงไม่ใช่มหาดเล็กหลวง ผู้สังหารต้องเป็นเจ้านายชั้นเจ้าพระยาพานทอง หรือเจ้านายพระองค์ใดพระองค์หนึ่ง

    การตายของย่าเหลนำความโทมนัสมาสู่พระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 6 อย่างมากจึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้จัดงานศพอย่างดี มีหีบใส่ศพ มีมหาดเล็กแต่งตัวเป็นสัตว์นานาชนิดเข้าร่วมขบวนแห่ด้วย ของชำร่วยที่แจกในงานศพคือผ้าเช็ดหน้าพิมพ์รูปย่าเหล มีตราวชิระที่มุมด้านขวา พร้อมกันนี้ก็ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้สร้างอนุสาวรีย์ขึ้น หล่อด้วยทองแดง ประดิษฐ์ไว้หน้าพระตำหนักชาลีมงคลอาสน์ในพระราชวังสนามจันทร์ จังหวัดนครปฐม

    นอกจากนี้ พระองค์ยังโปรดเกล้าฯ ให้สร้างอนุสาวรีย์ย่าเหล หล่อด้วยโลหะรมดำยืนอยู่บนแท่นประดิษฐ์ไว้หน้าพระตำหนักชาลีมงคลอาสน์ ในพระราชวังสนามจันทร์ จังหวัดนครปฐม และโปรดเกล้าฯ พระราชนิพนธ์คำไว้อาลัยแก่ย่าเหล ลงบนแผ่นโลหะรมดำ ประดับไว้ที่ฐานอนุสาวรีย์ แผ่นโลหะที่จารึกบทกลอนพระราชนิพนธ์ มี 2 ด้าน คือ ด้านทิศเหนือและทิศตะวันตก

    ส่วนด้านทิศตะวันออกและทิศใต้ เป็นโลหะรมดำ ไม่มีคำจารึกมีแต่ลวดลาย สำหรับบทกลอนพระราชนิพนธ์มีความหมายลึกซึ้งให้อารมณ์สะเทือนใจ แสดงความอาลัยรักย่าเหล สุนัขแสนรู้และให้ข้อคิดที่คมคาย จึงขอนำมาแสดงไว้โดยคงตัวสะกดตามที่ปรากฏในคำจารึก ดังนี้


    โอ้อาไลยใจจู่อยู่ไม่วาย กูเจ็บคล้ายศรศักดิ์ปักอุรา
    ยากที่ใครเขาจะเห็นหัวอกกู เพราะเขาดูเพื่อนเห็นแต่เป็นหมา
    เขาดูแต่เปลือกนอกแห่งกายา ไม่เห็นฦกตรึกตราถึงดวงใจ
    เพื่อนเป็นมิตร์ชิดกูอยู่เนืองนิตย์ จะหามิตร์เหมือนเจ้าที่ไหนได้
    ทุกทิวาราตรีไม่มีไกล กูไปไหนเจ้าเคยเป็นเพื่อนทาง
    ช่างจงรักภักดีไม่มีหย่อน จะนั่งนอนยืนเดินไม่เหินห่าง
    ถึงยามกินเคยกินกับกูพลาง ถึงยามนอน ๆ ข้างไม่ห่างไกล
    อันตัวเพื่อนเหมือนมนุษสุจริต จะผิดอยู่แต่เพียงพูดไม่ได้
    แต่เมื่อกูใคร่รู้ความในใจ กูมองดูรู้ได้ในดวงตา
    โอ้อกกูดูเพื่อนอยู่หรัด ๆ เพื่อนมาพลัดพรากไปไม่เห็นหน้า
    กูเผลอ ๆ ก็เชง้อเผื่อเพื่อนมา เสียงกุกกักก็ผวาตั้งตามอง
    อันความตายเป็นธรรมดาโลก กู้อยากตัดความโศรกกระมลหมอง
    นี่เพื่อนตายเพราะผู้ร้ายมันมุ่งปอง เอาปืนจ้องสังหารผลาญชีวี
    เพื่อนมอดม้วยด้วยมือทุรชน เอารูปคนสรวมใส่คลุมใจผี
    เป็นคนจริงฤาจะปราศซึ่งปรานี นี่รากษสอัปปรีปราศเมตตา
    มันยิงเพื่อนเหมือนกูพลอยถูกด้วย แทบจะม้วยชีวังสิ้นสังขาร์
    จะหาเพื่อนเหมือนเจ้าที่ไหนมา ช้ำอุราอาไลยไม่วายวัน
    เมื่อยามมีชีวิตร์สนิทใจ ยามบรรไลยลับล่วงดวงใจสั่น
    ด้วยอำนาจจงรักภักดีนั้น ขอให้เพื่อนขึ้นสวรรค์สำราญรมย์
    ถึงจะมีหมาอื่นมาแทนที่ กูก็รักเพื่อนนี้เป็นปฐม
    ที่ไหนเล่าจะสนิทและชิดชม ที่ไหนเล่าจะนิยมเท่าเพื่อนรัก
    ถึงแม้จะไม่มีรูปนี้ไว้ รูปเพื่อนฝังดวงใจกูตระหนัก
    แต่รูปนี้ไว้เป็นพยานรัก ให้ประจักษ์แก่คนผู้ไมตรี
    เพื่อนเป็นเยี่ยงอย่างมิตร์สนิทยิ่ง ภักดีจริงต่อกูอยู่เต็มที่
    แม้คนใดเป็นได้อย่างเพื่อนนี้ ก็ควรนับว่าดีที่สุดเอย​


    [​IMG]



    -นับว่าเป็นเยี่ยงอย่างแห่งความจงรักภักดี ได้เป็นอย่างดีทีเดียวนะคะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 กันยายน 2009
  12. ไก่เหลืองหางขาว

    ไก่เหลืองหางขาว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มกราคม 2009
    โพสต์:
    246
    ค่าพลัง:
    +493
    อืม....ครับ

    น่าเศร้าจริงๆที่เราเสียรู้ ไม่รู้ทัน:'(
     
  13. จงรักภักดี

    จงรักภักดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,229
    ค่าพลัง:
    +2,466
    .......................................................
    เพื่อนเป็นมิตร์ชิดกูอยู่เนืองนิตย์ จะหามิตร์เหมือนเจ้าที่ไหนได้
    ทุกทิวาราตรีไม่มีไกล กูไปไหนเจ้าเคยเป็นเพื่อนทาง
    ช่างจงรักภักดีไม่มีหย่อน จะนั่งนอนยืนเดินไม่เหินห่าง
    ถึงยามกินเคยกินกับกูพลาง ถึงยามนอน ๆ ข้างไม่ห่างไกล
    ..........................................................

    แต่รูปนี้ไว้เป็นพยานรัก ให้ประจักษ์แก่คนผู้ไมตรี
    เพื่อนเป็นเยี่ยงอย่างมิตร์สนิทยิ่ง ภักดีจริงต่อกูอยู่เต็มที่
    แม้คนใดเป็นได้อย่างเพื่อนนี้ ก็ควรนับว่าดีที่สุดเอย


    ต้องขอขอบพระคุณคุณ ศรัทธา_พิสุทธิ์ มากครับ ผมเคยได้รับ
    การสอบถามถึงเรื่องรูปสุนัขที่ผมเอามาลงไว้ ก็ยังผัดผ่อนเรื่อย
    มา ยังไม่ได้อธิบายให้กระจ่าง ก็พอดีคุณศรัทธา_พิสุทธิ์ได้
    กรุณานำมาโพสต์ให้แล้วในวันนี้ ผมชอบและชื่นชมในความ
    จงรักภักดีของย่าเหลครับ " แม้จะเป็นเพียงสุนัข แต่จิตใจช่าง
    เลอเลิศประเสริฐนัก "
     
  14. จงรักภักดี

    จงรักภักดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,229
    ค่าพลัง:
    +2,466
    รู้จักวัสสการพราหมณ์ จากสามัคคีเภทคำฉันท์


    พระเจ้าอชาตศัตรูแห่งแคว้นมคธมีพระประสงค์จะขยายอาณาจักรให้กว้างขวางแคว้นที่หมายตาคือแควันวัชชีของเหล่ากษัตริย์ลิจฉวีเป็นแคว้นขนาดใหญ่และเจริญกว่าแคว้นใดในสมัยนั้นผู้ใดครอบครองได้ย่อมแสดงความยิ่งใหญ่ของกษัตริย์พระองค์นั้น
    เหล่ากษัตริย์ลิจฉวีแห่งแคว้นวัชชีร่วมกันปกครองแคว้นโดยสมัคคีธรรมกษัตริย์แต่พระองค์มีพระโอรสบริวารตลอดจนดินแดนของพระองค์ทรงมีฐานะเสมอกันทรงยกย่องให้เกียรติกันไม่ว่าจะทำกิจใด ๆ ก็ทรงปรึกษาหารือกันที่สำคัญคือทรงยึดมั่นในอปริหานิยธรรมซึ่งเน้นความสามัคคีธรรมเป็นหลักหากถูกโจมตีเหล่ากษัตริย์ลิจฉวีก็จะทรงร่วมกันต่อสู้จนฝ่ายศัตรูพ่ายแพ้ไปการทำสงครามกับแคว้นวัชชีจึงไม่ใช่เรื่องง่ายต้องใช้ปัญญาไม่ใช้กำลังพระเจ้าอชาตศัตรูทรงมีปุโรหิตที่ปรึกษาชื่อวัสสการพราหมณ์เป็นผู้รอบรู้ศิลปศาสตร์และมีสติปัญญาเฉียบแหลมวัสสการพราหมณ์กราบทูลให้ทรงใช้อุบายในการตีแคว้นวัชชีโดยอาสาเป็นไส้ศึกไปยุ่งยงเหล่ากษัตริย์ลิจฉวีให้ทรงแตกความสามัคคี
    พระเจ้าอชาตศัตรูเห็นชอบวัสสการพราหมณ์จึงเริ่มใช้แผนการโดยการทูลคัดค้านการไปตีแคว้นวัชชีพระเจ้าอชาตศัตรูแสร้งกริ้วทรงสั่งให้ลงโทษวัสสการพราหมณ์อย่างหนักและเนรเทศไป วัสสการพราหมณ์มุ่งหน้าไปเมืองเวสาลีเพื่อขอรับราชการด้วยความเป็นผู้มีวาทศิลป์รู้จักใช้เหตุผลโน้มน้าวใจทำให้เหล่ากษัตริย์ลิจฉวีหลงเชื่อรับวัสสการพราหมณ์ไว้ในพระราชสำนักให้ทำที่พิจารณาคดีความและถวายพระอักษรเหล่าพระกุมารเมื่อทำหน้าที่เต็มความสามารถให้เป็นที่ไว้วางใจแล้ว วัสสการพราหมณ์เริ่มสร้างความแคลงใจในเหล่าพระกุมารโดยออกอุบายให้พระกุมารเข้าใจผิดว่าพระกุมารพระองค์อื่นนำปมด้อยของตนไปเหล่าให้ผู้อื่นทราบทำให้เสียชื่อ เหล่าพระกุมารนำความไปกราบทูลพระบิดาต่างก็เชื่อพระโอรสของพระองค์ทำให้เกิดความขุ่นเคืองกันทั่วไปในหมู่กษัตริย์ลิจฉวี เมื่อเวลาผ่านไป 3 ปี สามัคคีพราหมณ์ในหมู่กษัตริย์ลิจฉวีก็สูญสิ้นไป
    วัสสการพราหมณ์ทดสอบด้วยการตีกลองนัดประชุมก็ไม่ปรากฎว่ามีกษัตริย์ลิจฉวีเข้าร่วมประชุมวัสสการพราหมณ์เห็นว่าแผนการเป็นผลสำเร็จจึงลอบส่งข่าวไปกราบทูลพระเจ้าอชาตศัตรูให้ทรงยกทัพมาตีแคว้นวัชชี ชาวเมืองวัชชีต่างตื่นตระหนกเมื่อทราบข่าวศึก
    แต่เหล่ากษัตริย์ลิจฉวีต่างทรงถือทิฐิไม่มีผู้ใดวางแผนป้องกันภัยดังนั้นเมื่อกองทัพของแคว้นมคธถึงเมืองสาลีจึงยกทัพเข้าเมืองได้ง่ายใดและผู้ที่เปิดประตูเมืองให้กองทัพมคธก็คือวัสสการพราหมณ์นั่นเอง
    สามัคคีเภทคำฉันท์เป็นนิทานสุภาษิตสอนใจให้เห็นโทษของการแตกความสามัคคีที่ไม่ได้มีผลกระทบต่อบุคคลเท่านั้นแต่ยังส่งผลถึงสังคมส่วนรวมด้วย นอกจากนี้ยังแสดงให้เห็นความสำคัญของการใช้สติปัญญาให้เกิดผลโดยไม่ต้องใช้กำลังอีกด้วย
    แก่นเรื่อง[​IMG]
    1. โทษของการแตกสามัคคี
    2. การใช้สติปัญญาเอาชนะฝ่ายศัตรู
    3. การใช้วิจารณญานก่อนที่จะตัดสินใจทำสิ่งใดย่อมเป็นการดี
    4. การถือความคิดของตนเป็นใหญ่และทะนงตนว่าดีกว่าผู้อื่น ย่อมทำให้เกิดความเสียหายต่อส่วนรวม

    [​IMG]วิเคราะห์ตัวละคร [​IMG]
    วัสสการพราหมณ์กับกษัตริย์ลิจฉวี
    วัสสการพราหมณ์เป็นตัวละครที่มีบทบาทสำคัญที่สุดในการดำเนินเรื่อง เป็นผู้ออกอุบายวางแผนและดำเนินการยุยงจนเหล่ากษัตริย์แตกความสามัคคีทำให้อชาตศัตรูเข้าครอบครองแคว้นวัชชีได้สำเร็จ วัสสการพราหมณ์เป็นพราหมณ์อาวุโสผู้มีความสามารถสติปัญญาดี รอบรู้ศิลป์วิทยาการและมีวาทศิลป์เป็นที่ไว้วางใจจากฝ่ายศัตรูและสามารถโน้มน้าวเปลี่ยนความคิดของฝ่ายตรงข้ามให้เป็นไปตามแผนที่วางไว้สำเร็จ บางทรรศนะอาจเห็นว่าวัสสการพราหมณ์เป็นคนที่ขาดคุณธรรมใช้อุบายล่อลวงผู้อื่นเพื่อประโยชน์ฝ่ายตน แต่อีกมุมหนึ่งวัสสการพราหมณ์มีคุณสมบัติที่น่ายกย่องกล่าวคือมีความจงรักภักดีต่อพระเจ้าอชาตศัตรูและบ้านเมืองเป็นอย่างมากยอมเสียสละความสุขส่วนตน ยอมลำบากเจ็บตัว ยอมเสี่ยงไปอยู่ในหมู่ศัตรูต้องใช้ความอดทดสูงและรู้จักรักษาความลับได้ดีเพื่อให้อุบายสำเร็จ ส่วนเหล่ากษัตริย์ลิจฉวีขาดวิจารญาณ(ญาณพิจารณ์ตรอง) จนในที่สุดทำให้แตกความสามัคคีจนเป็นเหตุให้แคว้นวัชชีตกเป็นของแคว้นมคธ
    เกร็ดน่ารู้[​IMG]
    อปริหานิยธรรม คือ ธรรมอันไม่เป็นที่ตั้งแห่งความเสี่ยงเป็นไปด้วยความเจริญสำหรับหมู่ชนหรือผู้บริหารบ้านเมือง พระพุทธเจ้าตรัส
    แสดงแก่เจ้าวัชชีทั้งหลายที่ปกครองรัฐโดยระบบสามัคคีธรรม ซึ่งรัฐคู่อริยอมรับว่าเมื่อชาววัชชียังปฏิบัติธรรมหลักธรรมนี้ จะเอาชนะด้วยการรบไม่ได้
    นอกจากจะใช้การเกลี้ยกล่อมหรือยุแยกให้แตกสามัคคี
    อปริหานิยมธรรมมี 7 ประการคือ
    1.มั่นประชุมกันเนืองนิตย์
    2.พร้อมเพรียงกันประชุม พร้อมเพรียงกันทำกิจที่พึงทำ
    3.ไม่บัญญัติสิ่งที่มิได้บัญญัติเอาไว้(ขัดต่อหลักการเดิม) ไม่ล้มล้างสิ่งที่บัญญัติไว้
    (ตามหลักการเดิม)
    4.ท่านเหล่าใดเป็นผู้ใหญ่ในชนชาววัชชี เคารพนับถือท่านเหล่านั้น เห็นถ้อยคำ
    ของท่านว่าเป็นสิ่งอันควรรับฟัง
    5.บรรดากุลสตรีกุลกุมารีทั้งหลายให้อยู่ดีมิให้ถูกข่มแหง
    6.เคารพสักการะบูชาเจดีย์ของวัชชีทั้งหลายไม่ปล่อยให้ธรรมมิกพลีที่เคยให้เคย
    ทำแก่เจดีย์เหล่านั้นเสื่อมทรามไป
    7.จัดการอารักขา คุ้มครอง ป้องกัน อันชอบทำแก่เหล่าพระอรหันต์ทั้งหลาย
    ตั้งใจว่าขอพระอรหันต์ทั้งหลายที่ยังไม่มาพึ่งมาสู่แว่นแคว้น ที่มาแล้วพึงอยู่ใน
    แว่นแคว้นโดยผาสุข


    - สามัคคีเภทคำฉันท์ [​IMG]
    ผู้แต่ง นาย ชิต บุรทัต
    วัตถุประสงค์
    เพื่อมุ่งชี้ความสำคัญของการรวมเป็นหมู่คณะ เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันเพื่อป้องกันรักษาบ้านเมืองให้มีความเป็นปึกแผ่น
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 กันยายน 2009
  15. ทางสายธาตุ

    ทางสายธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2009
    โพสต์:
    2,922
    ค่าพลัง:
    +6,434
    สามัคคีเภทคำฉันท์เป็นนิทานสุภาษิตสอนใจให้เห็นโทษของการแตกความสามัคคีที่ไม่ได้มีผลกระทบต่อบุคคลเท่านั้นแต่ยังส่งผลถึงสังคมส่วนรวมด้วย นอกจากนี้ยังแสดงให้เห็นความสำคัญของการใช้สติปัญญาให้เกิดผลโดยไม่ต้องใช้กำลังอีกด้วย
    แก่นเรื่อง[​IMG]
    1. โทษของการแตกสามัคคี
    2. การใช้สติปัญญาเอาชนะฝ่ายศัตรู
    3. การใช้วิจารณญานก่อนที่จะตัดสินใจทำสิ่งใดย่อมเป็นการดี
    4. การถือความคิดของตนเป็นใหญ่และทะนงตนว่าดีกว่าผู้อื่น ย่อมทำให้เกิดความเสียหายต่อส่วนรวม

    โทษของการแตกความสามัคคีในชาตินี้ร้ายแรงนัก
     
  16. ทางสายธาตุ

    ทางสายธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2009
    โพสต์:
    2,922
    ค่าพลัง:
    +6,434
    <TABLE width="100%"><TBODY><TR><TD vAlign=top width="95%" colSpan=2></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=right width="5%"></TD><TD vAlign=top align=middle width="45%">[​IMG]</TD><TD vAlign=top width="50%">วัดปรางค์หลวง
    สร้างในสมัยของพระรามาธิบดีที่ 1 (พระเจ้าอู่ทอง) แห่งกรุงศรีอยุธยาตอนต้น ประมาณปี พ.ศ.1904 เดิมชื่อ "วัดหลวง" ต่อมาในสมัยสมเด็จพระมหาสมณเจ้ากรมพระยาวชิรญาณวโรรส ได้เห็นองค์พระปรางค์ที่ได้สร้างขึ้นไว้พร้อมกับการสร้างวัด จึงได้เปลี่ยนนามวัดนี้ว่า "วัดปรางค์หลวง" อันมีสัญลักษณ์ของพระปรางค์นั่นเอง ปัจจุบันองค์พระปรางค์ซึ่งมีสภาพเก่าแก่ผุพังมาก ฐานเป็นอิฐ ส่วนที่เป็นเรือนธาตุทั้งสี่ด้าน แต่ละด้านเป็นพระปูนนูนสูง นักโบราณคดีได้ค้นหาหลักฐานอันเป็นจุดเด่นของโครงสร้าง เป็นฝีมือของช่างในสมัยอยุธยาตอนต้น
    </TD></TR></TBODY></TABLE>


    ชาวบ้านเรียกวัดนี้ว่า วัดพี่


    <TABLE width="100%"><TBODY><TR><TD vAlign=top align=right width="5%"></TD><TD vAlign=top width="95%" colSpan=2>วัดอัมพวัน
    ในสมัยพระเจ้าปราสาททองได้อพยพไพร่พล หนีโรคระบาดมาพักไพร่พลและสร้างวัดบางม่วงขึ้น เพราะตั้งอยู่ในตำบลบางม่วง ต่อมาได้เปลี่ยนเป็นชื่อ "วัดอัมพวัน" มีปูชนียวัตถุ คือ มณฑป สร้างในสมัยอยุธยาตอนปลาย เป็นศิลปกรรมพม่า (ชเวดากอง) มีลักษณะเป็นอาคารก่ออิฐถือปูน 2 ชั้น ตัวมณฑปมีประตูทางด้านทิศเหนือและใต้ด้านละบาน ส่วนอีก 2 ด้านเป็นผนังทึบ เครื่องบนหลังคา ทรงมณฑปซ้อน 4 ชั้น หลังคามุงกระเบื้องเกล็ดเต่าดินเผาไม่เคลือบ หางหงส์เป็นเศียร พื้นมณฑปแลละเฉลียงปูหินอ่อนแผ่นสี่เหลี่ยมจัตุรัสสีขาว
    </TD><TR><TD colSpan=3></TD></TR><TR><TD colSpan=2></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=right colSpan=3></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=right width="5%"></TD><TD vAlign=top width="95%" colSpan=2>วัดอัมพวัน
    หอไตร สร้างขึ้นในสมัยอยุธยา เป็นอาคารไม้ ตั้งอยู่ในสระน้ำขนาดเล็ก ตัวหอเป็น 2 ชั้น ชั้นล่างปล่อยโล่ง ชั้นบนเป็นตัวหอขนาด 2 ห้อง ยกพื้นสูงกว่าเฉลียงรอบเล็กน้อย บานประตูเข้าในหอไตรเป็นบานไม้ลงรักปิดทองลายพุ่มข้าวบิณฑ์

    หอไตรนี้ทาสี ชมพู ฟ้า สีแปลกตามากเลยค่ะ ชาวบ้านเรียกวัดนี้ว่า วัดน้อง


    ถ้าวัดพี่ แปลว่า วัดของเจ้าแม่วัดดุสิตสร้าง แล้ววัดน้องแปลว่า วัดของพระเจ้าปราสาททองสร้าง ก็เป็นไปได้นะคะ

    พระปรางค์ที่วัดปรางค์หลวง อาจจะสร้างในสมัยของสมเด็จพระเจ้าปราสาททอง ครั้งนั้นคงพาสมเด็จพระพี่นางเสด็จหนีโรคระบาดลงมาประทับอยู่นนทบุรีชั่วคราว อันนี้เป็นการคิดนอกกรอบของทางสายธาตุเองค่ะ
    ไปเดินเที่ยววัดทั้งสองมาแล้ว เขตวัดติดต่อกันเลย บริเวณวัดทั้งสองร่มรื่นมาก ศาลาริมน้ำเหมาะที่จะถ่ายทำหนังเรื่องเช่นฉากแม่นาคนั่งรอพี่มากที่ศาลาริมน้ำ ที่นี่ก็เหมาะอยู่นะคะ บรรยากาศครึ้มด้วยไม้ใหญ่ รู้สึกวังเวงดี ^^
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 กันยายน 2009
  17. ทางสายธาตุ

    ทางสายธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2009
    โพสต์:
    2,922
    ค่าพลัง:
    +6,434
    " ดาบไทย " อาวุธกู้ชาติ

    ประวัติ ศาสตร์ของชนเผ่าไทที่ต่อสู้กับผู้รุกรานและเคลื่อนย้ายเข้าสู่ตอนเหนือของ ดินแดนสุวรรณภูมิเป็นประวัติศาสตร์ของการต่อสู้มาโดยตลอด กว่าจะได้มาซึ่งผืนแผ่นดินที่เรียกว่าแผ่นดินไทยให้ลูกหลานได้อาศัยอยู่เย็น เป็นสุขตราบจนถึงวันนี้บรรพบุรุษไทยเราได้เข้าแลกมาด้วยชีวิตและเลือด เนื้อที่ทับถมกันลงไปสุดจะคณาได้จนแม้เมื่อได้ตั้งหลักปักฐานเป็นดินแดนที่ เรียกว่าล้านนา สุโขทัย อยุธยา ธนบุรี รัตนโกสินทร์ แล้วก็ตาม การต่อสู้กับข้าศึกก็ยังเกิดขึ้นอยู่เสมอมาตลอดระยะเวลาอันยาวนานหลายศตวรรษ นี้ชนเผ่าไทได้ใช้ "ดาบ"เป็นอาวุธหลักมาโดยตลอด ประวัติศาสตร์ของชนเผ่าไทและประวัติของดาบจึงไม่เคยแยกจากกัน

    ด้วยประสบการณ์ในสนามรบและสงครามที่สั่งสมขึ้น จากมีดขนาดไม่ยาวนักที่ใช้กันมาในสมัยก่อนประวัติศาสตร์ ประกอบเข้าด้วยภูมิปัญญาช่างตีดาบไทย ได้ปรับปรุงให้ใบดาบยาวขึ้น มีคมเพียงด้านเดียว ด้วยความหนาที่สันแล้วลาดลงมาเป็นรูปลิ่มสู่คมดาบ ทำให้ดาบแข็งแรงมีประสิทธิภาพในการฟันสูง จากดาบที่มีลักษณะตรงไม่ยาวนัก ใช้เสียบเอวหรือเหน็บหลังในสมัยสุโขทัยนั้น การประจัญบานด้วยดาบของทหารราบเดินเท้าซึ่งเป็นกำลังหลักของกองทัพให้ช่างตี ดาบได้พัฒนาทั้งลักษณะ รูปแบบและคุณภาพใบดาบให้ดีขึ้นอยู่ตลอดเวลาจนได้รูปแบบที่มีความหนาที่โคน แล้วลาดแบนไปทางปลายพร้อมทั้งค่อยๆขยายขนาดและความโค้งขึ้นเล็กน้อยที่ปลาย ดาบ ทำให้ใบดาบสามารถรับงานสมบุกสมบันได้เป็นอย่างดี เพื่อให้นักรบสามารถถอดดาบออกจากฝักได้รวดเร็ว ส่งผลให้ในการฟันจากด้านบนลงล่างรุนแรงขึ้น ช่างตีดาบได้ออกแบบให้สันดาบแอ่นงอขึ้นเล็กน้อยจนทำให้ได้ลักษณะที่โค้งงอ ที่สวยงาม นอกจากนี้ยังไม่ลืมที่จะเพิ่มเนื้อเหล็กลงไปให้ใบดาบซึ่งกว้างประมาณ3-4 ซ.ม. หนาดูบึกบึนสมลักษณะห้าวหาญของนักรบอีกด้วย

    [​IMG]

    ลักษณะใบดาบที่ชายไทยนิยมกันในสมัย อยุธยามีอยู่ 4 ชนิด ได้แก่ ดาบหัวปลาหลด ดาบหัวปลาซิว ดาบหัวตัด และดาบหัวบัว ดาบหัวปลาซิวมีปลายดาบแหลมและอาจงอนขึ้นเล็กน้อย ส่วนดาบหัวปลาหลดมีลักษณะปลายดาบคล้ายมีดโต้ เป็นลักษณะที่นิยมกันมากที่สุด ดาบหัวบัวก็มีลักษณะปลายดาบคล้ายดอกบัว โดยมีลักษณะเป็นใบดาบตรงมา ในสมัยรัตนโกสินทร์นี้กลับนิยมดาบหัวปลาซิว ซึ่งมีปลายแหลมงอนขึ้นเล็กน้อย
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • s1.jpg
      s1.jpg
      ขนาดไฟล์:
      101.6 KB
      เปิดดู:
      4,243
  18. ทางสายธาตุ

    ทางสายธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2009
    โพสต์:
    2,922
    ค่าพลัง:
    +6,434
    [​IMG]


    ในด้านความยาวนั้น ด้วยรูปแบบวิธีขัดดาบสะพักบ่าที่ด้านหลังของนักรบไทยแล้วปล่อยให้ปลายด้าน โผล่ยาวเหนือไหล่ขึ้นมานั้นเมื่อต้องการถอดดาบออกจากฝัก นักรบจะต้องจับด้ามตรงกระบังดาบดึงขึ้นไปด้านบนจนสุดช่องแขนแล้ว ตวัดปลายดาบขึ้นพร้อมที่จะหวดใบดาบลงไปนี้ การขัดดาบสะพายแล่งจึงต้องชักดาบด้วยวิธีนี้ จึงเป็นการกำหนดความยาวของของใบดาบไปโดยธรรมชาติว่าจะต้องยาวไม่เกินช่วงแขน ของเจ้าของดาบ เฉลี่ยแล้วใบดาบไทยจึงยาวประมาณ 51 ซ.ม. ในขณะที่ด้ามดาบนั้นยาวตั้งแต่ 20 ซ.ม. ขึ้นไปจนถึงหนึ่งศอก มีขนาดใหญ่พอกำ ทำให้น้ำหนักของด้ามถ่วงน้ำหนักกับใบดาบได้ตามควรแล้วด้ามที่ยาวยังใช้เป็น เครื่องป้องกันช่วงแขนของเจ้าของดาบในสถานการณ์ฉุกละหุกขณะประจัญบานในสนาม รบอีกด้วย

    [​IMG]


    ดาบที่ดีย่อมต้องสามารถรวมคุณสมบัติที่ ดีแต่ขัดกันเข้าด้วยกันให้ได้ดาบที่แข็งแกร่งอย่างเดียวย่อมให้ผลการฟาดฟัน เป็นที่น่าพอใจ แต่ดาบที่แข็งแกร่งย่อมหักง่ายเมื่อกระแทกกับโล่แขน ดั่ง หรือกระบังดาบของข้าศึก ในขณะที่ดาบที่ทำจากเหล็กอ่อนไม่หักแต่จะคดโค้ง บิดเบี้ยวงอ เสียรูปทรงทั้งยังยับย่นยู่ เมื่อฟาดไปกระทบกับเครื่องป้องกันตัว ดาบดีจึงต้องแข็งแกร่งทนแรงฟาดได้โดยไม่หัก ไม่งอไม่บิดโค้ง ช่างตีดาบที่ต้องเฉาะแหวะลงไปนั้น เป็นเหล็กกล้าที่แข็งแกร่งในขณะที่ส่วนที่เป็นสันดาบเป็นเหล็กที่อ่อนกว่า ดาบจงมีความยืดหยุ่นในใบดาบพอควร นักรบไทยจึงสามารถใช้ประโยชน์อย่างเต็มที่จากใบดาบและสันดาบที่มีคุณภาพ เหล็กต่างกัน

    [​IMG]


    การตีดาบที่ดีจึงเป็นงานที่ยุ่งยากนับ ตั้งแต่รวบรวมเหล็กจากแหล่งต่างๆ เท่าที่จะหาได้เข้าด้วยกัน เหล็กที่ได้จึงมีหลายชนิดปนกันที่จะต้องนำมาถลุงให้ได้เนื้อเหล็กที่มีความ บริสุทธิ์มากที่สุดก่อนแล้วจึงนำไปตีทำเป็นแท่งเหล็กต่อไป แหล่งแร่ที่สำคัญนั้นมาจากลพบุรี สระบุรีและอุตรดิตถ์ โดยเฉพาะจังหวัดอุตรดิตถ์ ที่ชื่อว่าเหล็กบ่อน้ำพี้ มีความบริสุทธิ์ของเนื้อเหล็กโดยธรรมชาติสูง จึงนิยมนำมาทำเครื่องใช้กันมาตั้งแต่สมัยโบราณแล้ว จนในสมัยอยุธยาความต้องการเหล็กตีไปทำดาบมีอยู่สูงมากจึงได้มีหมายกำหนดให้ สงวนเหล็กบ่อนี้ไว้ใช้ในราชการเท่านั้น ดาบที่ตีขึ้นจากเหล็กบ่อนี้เป็นที่นิยมกันว่าเป็นดาบดี เรียกติดปากว่า ดาบน้ำพี้มาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาแล้ว

    [​IMG]
    ในกระบวนการการตีดาบ กันแล้ว ชาวไทยรู้จักดาบฟ้าฟื้นของขุนแผนในวรรณคดีไทยหันแทบทุกคนว่ามีวิธีการสลับ ซับซ้อนมากเริ่มตั้งแต่การเอาโลหะนานาชนิดมาสุมตีไฟรวมกันเป็นดาบโดยอธิบาย ว่า

    เอาเหล็กยอดพระเจดีย์มหาธาตุ ยอดปราสาททวารมาสม

    เหล็กขนับผีพลายตายทั้งกลม เหล็กตรึงโลงตรึงปั้นลมสลักเพชร

    หอกสัมฤทธิ์กริชทองแดงพระแสงหัก เหล็กบ้านพร้อมเสร็จทุกสิ่งแท้

    เอาเหล็กบ้านไหลเหล็กหล่อบ่อพระแสง เหล็กกำแพงน้ำพี้ทั้งแร่เหล็ก

    ทองคำสัมฤทธิ์นากอแจ เงินที่แท้ชาติเหล็กทองแดงดง

    การเอาโลหะหลายชนิดมารวมกันตีใบดาบนั้น คงประสงค์จะให้ดาบฟ้าฟื้นมีศักดิ์สิทธิ์ หรือที่เรียกประสิทธิภาพตามความเชื่อทางไสยศาสตร์มากกว่าจะเป็นเพราะหาแร่ เหล็กดีๆไม่ได้ เมื่อรวบรวมเหล็กได้มากพอแล้ว ช่างดาบจะนำมาหลอมรวมกันแล้วีเป็นแท่ง เพื่อให้เหล็กแข็งขึ้นช่างตีดาบจะพับแท่งเหล็กตามยาวนำไปเผาและตีทบให้แบน เช่นนี้หลายครั้ง เนื้อเหล็กที่ถูกพับและตีทบกันลงไปหลายครั้งนี้นอกจากจะทำให้เนื้อเหล็กแข็ง และเหนียวขึ้นแล้วยังทำให้เนื้อเหล็กเกิดลายเส้นเล็กๆ เรียงกันอยู่ในเนื้อเหล็ก ลายพวกนี้เรียกกันว่า"ลายน้ำ" ซึ่งจะปรากฏอยู่ในเนื้อเหล็กชั้นดี เช่น ใบดาบดามัสกัด ใบกระบี่ของเมืองโทเลโดในสเปนและใบดาบของญี่ปุ่น เมื่อตีจนได้ที่แล้วจึงเผาให้แดงตีแท่งเหล็กขึ้นรูปใบดาบหรือโกลนดาบ การขึ้นรูปแบบนี้เรียกตามภาษานักตีดาบว่า"หลาบเหล็ก"




     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • s4.jpg
      s4.jpg
      ขนาดไฟล์:
      125 KB
      เปิดดู:
      3,940
    • s5.jpg
      s5.jpg
      ขนาดไฟล์:
      93.1 KB
      เปิดดู:
      4,114
  19. ทางสายธาตุ

    ทางสายธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2009
    โพสต์:
    2,922
    ค่าพลัง:
    +6,434
    [​IMG]



    เมื่อได้ลักษณะที่ต้องการแล้วจึงเป็นการ ตกแต่งใบดาบให้เรียบโดยใช้ค้อนตีเรียกว่า"เมือกเหล็ก" หลังจากนั้นจึงเผาใบดาบเพื่อตกแต่งไปจนกว่าจะได้รูปที่พอใจเรียกว่า "กูนมีด" การเผาและตีใบดาบตกแต่งครั้งสุดท้ายเรียกว่า "ฟอกเหล็ก" เมื่อใบดาบเย็นลงแล้วจึงเอาค้อนตีเค้นใบดาบอีกครั้งให้เหล็กเป็นมันเรียกว่า "ล้ำเรียบ" จากนั้นจึงขูดทำคมดาบแทงด้วยตะไบ จนเป็นใบดาบแล้วจึงเอา "ขี้ตมเกลือ" มาเคลือบใบดาบจากนั้นจึงนำไปเผาครั้งสุดท้ายโดยวางคมดาบอยู่บนก้อนถ่านไฟ เมื่อได้โหมไปจนเหล็กแดงเปลี่ยนเป็นเขียวสีปีกแมลงทับแล้ว ช่างตีดาบจึงนำใบดาบไปชุบน้ำเรียกว่า "ชุบดาบ" ซึ่งเป็นขั้นตอนที่สำคัญมาก เพราะการทำให้เหล็กร้อนจัดแล้วเย็นลงอย่างรวดเร็วเป็นการชุบให้เหล็กแข็ง แกร่ง โดยที่ด้านคมร้อนกว่าด้านสั้น คมดาบจึงแกร่งกว่า เหมาะสำหรับใช้ฟันผ่าลงไปโดยไม่บุบสลายในขณะที่สันดาบเป็นเหล็กอ่อนกว่าช่วย ให้ใบดาบยืดหยุ่น จากนั้นจึงเป็นการลับใบดาบด้วยหินลับมีด ซึ่งมีความละเอียดหยาบต่างกันจนคมตามต้องการจึงนำไปเข้าด้ามและทำฝักดาบด้วย ไม้ต่อไป ถ้าเป็นดาบออกสงครามแล้วด้ามและฝักดาบจะต้องทำด้วยไม้มงคลเท่านั้น เช่น ไม้สรรพระงับยา ไม้ชัยพฤกษ์ ไม้ราชพฤกษ์ เป็นต้น​


    [​IMG]



    ในรัชกาลของสมเด็จพระนเรศวรมหาราชจากยุทธวิธีการสงครามแบบเดิมที่ตั้งมั่นอยู่ในกรุง ปล่อยให้ข้าศึกยกทัพมาล้อมและให้ธรรมชาติอันได้น้ำหลากเข้าท่วมจนข้าศึกต้อง ถอยทัพกลับไปนั้น พระองค์ได้เปลี่ยนยุทธวิธีใหม่เป็นการยกทัพสกัดข้าศึกในบริเวณ ที่ชัยภูมิได้เปรียบ สงครามขนาดใหญ่และย่อยหลายครั้งทำให้มีความต้องการดาบที่ดีทั้งขนาดและน้ำหนัก ที่ต้องทนทานและคล่องตัว เมื่อตีขึ้นแล้วยังมีโอกาสที่จะได้ทดลองดาบนั้นก็มีอยู่เสมอ นักตีดาบฝีมือดีจึงเกิดขึ้นเป็นจำนวนมาก


    [​IMG]


    การได้รับความรู้จากชาวต่างประเทศที่เช้ามาทำราชการเป็นกองทหารอาสาทั้งชาว ยุโรป และชาวเอเชีย มีชาวญี่ปุ่น เป็นต้น ได้ทำให้วิธีการตีดาบและคุณภาพดาบพัฒนาไปอย่างรวดเร็ว วีรบุรุษเกิดจากสงครามฉันใด ดาบดีย่อมเกิดจากสงครามฉันนั้น ในยุคของกรุงศรีอยุธยาที่มีชาวต่างประเทศเข้ามาติดต่อนี้ทำให้ช่างตีดาบมี โอกาสได้เหล็กกล้าที่ถลุงและตีเป็นแท่งจนเหนียวจากยุโรปง่ายขึ้น พร้อมทั้งได้เทคนิคการตีดาบที่มีคุณภาพสูง ช่างตีดาบไทยได้ใช้วิธีเผาแท่งเหล็กด้านที่จะตีคมดาบและฝังเหล็กกล้าลงไป ตลอดแนวจากนั้นจึงตีเหล็กให้ประสานกันก่อนนำไปเผาให้ร้อนจัดและตีแต่งเหล็ก ให้เนื้อเหล็กรวมเข้าด้วยกันเป็นชิ้นเดียวกัน ด้วยวิธีนี้นักตีดาบไทยสามารถผลิตดาบที่มีคุณภาพสูงออกมาเป็นจำนวนมากควบคู่ ไปกับวิธีการผลิตใบดาบแบบเดิม ในยุคนั้นดาบของกรุงศรีอยุธยาจึงมีคุณภาพสูงนับว่าเป็นยุคทองของดาบไทยโดย แท้ ช่างตีดาบไทยได้พัฒนาทั้งรูปลักษณะและการตีดาบให้ดีขึ้นมากถึงจุดสูงสุดเช่น กัน นับเป็นความภาคภูมิใจของช่างตีดาบเองและชาวไทยทั้งหมด ความภาคภูมิใจนี้ได้มาถึงจุดสูงสุดเมื่อพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช พระมหากษัตริย์นักรบได้ทรงตีพระสงดาบด้วยพระองค์เอง

    [​IMG]


    ดาบจึงเป็นสัญลักษณ์แห่งอำนาจและหน้าที่ปกป้องอันยิ่งใหญ่ของชาติตลอดระยะ เวลาอันยาวนานหลายศตวรรษการค้นพบดินปืนและนำไปสู่การสร้างปืนเล็กปืนใหญ่ ขึ้นและได้เริ่มเข้ามามีบทบาทในสงครามที่ละน้อยนั้น แม้จะทำให้ความโดดเด่นของดาบพร่ามัวลงบ้างก็ตาม แต่ดาบก็ยังคงเป็นอาวุธหลักของกองทัพไทย่อมาจนถึงสมัยรัตนโกสินทร์ และในที่สุดก็มีการนำดาบกลับเข้ามาใช้ในสงครามอีกในรูปของดาบปลายปืนในฐานะ ที่เป็นอาวุธที่ดีและสมบูรณ์ที่สุดในการประจัญบานประชิดตัว


    [​IMG]


    " ในความคิดผมดาบซามูไรดูเป็นที่นิยมแล้วชาวต่างชาติรู้จักมากอาจเป็นเพราะลักษณะดาบที่ตรงสวย เงางาม และลายน้ำถึงดาบไทยลักษณะอาจสวยงามไม่โดนใจหลายๆคนแบบดาบซามูไร แต่สำหรับผมแล้ว ดาบไทยเป็นดาบที่ยิ่งใหญ่มากๆเลยครับ "

    ลองดูดาบน้ำพี้ ของพี่ไทยเราซะก่อน รูปแบบคงเดิมแต่ขัดเงามัน และทำรูปแบบสวยงาม

    [​IMG]


    ขอขอบคุณข้อมูล ท่าน อ.นวรัตน์ เลขะกุล ผู้เชี่ยวชาญด้านอาวุธ<WBR>โบราณ จากเวปไซด์ www.sartrayuth.org
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • s6.jpg
      s6.jpg
      ขนาดไฟล์:
      87.6 KB
      เปิดดู:
      3,734
    • s7.jpg
      s7.jpg
      ขนาดไฟล์:
      149 KB
      เปิดดู:
      4,661
    • s8.jpg
      s8.jpg
      ขนาดไฟล์:
      99.4 KB
      เปิดดู:
      3,730
    • s9.jpg
      s9.jpg
      ขนาดไฟล์:
      43.8 KB
      เปิดดู:
      3,574
    • s10.jpg
      s10.jpg
      ขนาดไฟล์:
      67 KB
      เปิดดู:
      3,846
    • 21-sword-1.jpg
      21-sword-1.jpg
      ขนาดไฟล์:
      57.5 KB
      เปิดดู:
      17,160
  20. ทางสายธาตุ

    ทางสายธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2009
    โพสต์:
    2,922
    ค่าพลัง:
    +6,434
    บ่อเหล็กน้ำพี้

    บ่อเหล็กน้ำพี้

    จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี


    <!-- start content -->[​IMG]

    ภายในศาลเจ้าพ่อบ่อเหล็กน้ำพี้ตั้งรูปเจ้าพ่อ 3 ตน เชื่อว่าเป็นผู้พิทักษ์รักษาเหล็กน้ำพี้มาตั้งแต่โบราณ


    บ่อเหล็กน้ำพี้ เป็นแหล่งสินแร่เหล็กตามธรรมชาติ ตั้งอยู่ที่บ้านน้ำพี้ หมู่ 1 ตำบลน้ำพี้ อำเภอทองแสนขัน จังหวัดอุตรดิตถ์ ห่างจากตัวจังหวัดอุตรดิตถ์ประมาณ 56 กิโลเมตร โดยเป็นบ่อเหล็กกล้า<SUP class=reference id=cite_ref-.E0.B8.81.E0.B8.A3.E0.B8.A1.E0.B8.97.E0.B8.A3.E0.B8.B1.E0.B8.9E.E0.B8.A2.E0.B8.B2.E0.B8.81.E0.B8.A3.E0.B8.98.E0.B8.A3.E0.B8.93.E0.B8.B5_0-0>[1]</SUP> มีอยู่ด้วยกันหลายบ่อ และปรากฏเตาถลุงเหล็กโบราณนับพัน ๆ แห่งในพื้นที่หลายตารางกิโลเมตร แต่บ่อที่สำคัญและสงวนใช้สำหรับพระมหากษัตริย์ มีอยู่ 2 บ่อ คือ บ่อพระแสง และ บ่อพระขรรค์ มีการนำแร่เหล็กจากบ่อเหล็กน้ำพี้ไปถลุงทำอาวุธเพื่อใช้ในการศึกสงครามมาตั้งแต่สมัยโบราณ ดังปรากฏหลักฐานทางประวัติศาตร์มากมายถึงความสำคัญของเหล็กน้ำพี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งมีความเชื่อมาแต่โบราณว่าเหล็กจากแหล่งแร่เหล็กน้ำพี้มีความแข็งแกร่ง ความศักดิ์สิทธิ์และอาถรรพ์ในตัว<SUP class=reference id=cite_ref-.E0.B8.9A.E0.B8.B1.E0.B8.99.E0.B8.97.E0.B8.B6.E0.B8.81.E0.B8.81.E0.B8.B2.E0.B8.A3.E0.B9.80.E0.B8.94.E0.B8.B4.E0.B8.99.E0.B8.97.E0.B8.B2.E0.B8.87.E0.B8.AA.E0.B8.B9.E0.B9.88.E0.B9.81.E0.B8.A1.E0.B9.88.E0.B8.99.E0.B9.89.E0.B8.B3.E0.B9.82.E0.B8.82.E0.B8.87.E0.B8.95.E0.B8.AD.E0.B8.99.E0.B8.9A.E0.B8.99.E0.B8.9B.E0.B8.A3.E0.B8.B0.E0.B9.80.E0.B8.97.E0.B8.A8.E0.B8.AA.E0.B8.A2.E0.B8.B2.E0.B8.A1_1-0>[2]</SUP> โดยจัดให้เหล็กน้ำพี้อยู่ในโลหะธาตุตระกูลเดียวกับ เหล็กไหล<SUP class=reference id=cite_ref-2>[3]</SUP>
    ปัจจุบันบ่อเหล็กน้ำพี้ได้รับงบประมาณจากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจัดสร้างอาคารและปรับภูมิทัศน์ โดยจัดตั้งเป็นพิพิธภัณฑ์พื้นบ้านบ่อเหล็กน้ำพี้

    นิรุกติศาสตร์

    คำว่า น้ำพี้ มีที่มาจากสาเหตุใดไม่ปรากฏชัด แต่เชื่อว่า ชื่อเดิมของบ้านน้ำพี้ คือ น้ำลี้ เพราะหมู่บ้านแห่งนี้ในสมัยก่อนมีความแห้งแล้ง น้ำลี้ (หนีหาย) จึงเป็นชื่อที่ใช้เรียกหมู่บ้านนี้สืบมา และต่อมาจึงได้เพี้ยนเป็น "น้ำพี้" จนปัจจุบัน
    อีกเหตุผลหนึ่ง มีคำบอกเล่าที่สืบต่อกันมาจนเป็นตำนานของชาวหมู่บ้านน้ำพี้ ว่าในสมัยสุโขทัย พระร่วงเจ้าได้เสด็จมายังหมู่บ้านแห่งนี้เพื่อขอด้ายไปทำสายป่านว่าว (แต่บางคนก็เล่าว่า พระร่วงขอด้ายเอาไปมัดไก่ เพื่อต่อไก่ชนที่หมู่บ้านแสนขัน ซึ่งเป็นหมู่บ้านที่อยู่ใกล้ๆ กัน) โดยขณะที่พระร่วงกำลังรอด้ายนั้น ชาวบ้านก็รีบจัดหาให้ แต่ช้าไม่ทันใจ พระร่วงจึงเกิดความไม่พอใจ และคิดว่าหมู่บ้านนี้เป็นหมู่บ้านแล้งน้ำใจ จึงได้สาปให้หมู่บ้านนี้มีน้ำแห้งแล้ง หรือเรียกว่า "น้ำลี้" ซึ่งแปลว่า น้ำหนีหายไปหมด ต่อมาจึงเรียกเพี้ยนเป็น "น้ำพี้" มาจนปัจจุบัน<SUP class=reference id=cite_ref-3>[4]</SUP>

    ประวัติ


    แร่เหล็กจาก บ่อเหล็กน้ำพี้ มีลักษณะพิเศษที่โดดเด่นมาเป็นระยะเวลานาน นับแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาจวบจนปัจจุบัน โดยมีหลักฐานอ้างอิงจากเอกสารทางประวัติศาสตร์ จดหมายเหตุ และวรรณคดี ซึ่งแสดงให้เห็นว่า บรรพบุรุษของไทยในอดีตได้รู้จักวิธีการนำแร่เหล็กน้ำพี้ มาถลุงให้เป็นเครื่องมือเครื่องใช้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการนำแร่เหล็กน้ำพี้มาถลุงเป็นศาสตราวุธ เพื่อใช้ประโยชน์ในการสงคราม ดังปรากฏหลักฐานการนำเหล็กน้ำพี้มาใช้เป็นศาสตราวุธสำหรับการทหารและชนชั้นปกครอง เช่น
    ในสมัยรัตนโกสินทร์มีหลักฐานว่า ในวโรกาสที่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ขึ้นเถลิงถวัลย์ราชสมบัติ หลวงจรุงราษฎร์เจริญ (สุข) นายอำเภอตรอน ในสมัยนั้น ได้นำเหล็กน้ำพี้มอบให้พระยาวิเศษฤๅไชย ข้าหลวงประจำจังหวัดอุตรดิตถ์ (พ.ศ. 2469-2471) นำพระแสงดาบขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายเป็นพระแสงศาสตราวุธ มาจนทุกวันนี้<SUP class=reference id=cite_ref-4>[5]</SUP>
    <SUP></SUP>

    เหล็กน้ำพี้

    [​IMG]
    แร่เหล็กน้ำพี้


    ความเชื่อเรื่องอำนาจศักดิ์สิทธิ์

    เหล็กจากบ่อเหล็กน้ำพี้เป็นเหล็กที่มีความแกร่ง มีความเหนียวและเกิดสนิมยาก จากตำราพิชัยสงครามได้กล่าวไว้ว่า เหล็กน้ำพี้เป็นโลหะมหัศจรรย์อานุภาพ มีพลังในตัว มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์สถิตอยู่ทุก ๆ อณูสามารถป้องกันคุณไสยและสิ่งเลวร้ายที่มองไม่เห็นด้วยตาดำได้ ปัจจุบันแร่เหล็กน้ำพี้ ถือว่าเป็นวัตถุมงคล โดยเชื่อกันมาแต่โบราณว่าเหล็กน้ำพี้อยู่ในตระกูลเดียวกันกับเหล็กไหล เมื่อจะนำไปใช้งานต้องตั้งศาลบวงสรวงขออนุญาตจากเจ้าพ่อที่ดูแลปกปักษ์รักษาเสียก่อน จึงจะทำการขุดหรือตัดเหล็กไปใช้งานได้

    ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ชาวน้ำพี้และผู้ศรัทธาต่างเชื่อถือกันมาโดยตลอดด้วยความศรัทธาว่า เหล็กน้ำพี้มีเจ้าพ่อปกปักษ์รักษาดูแลอยู่ หากผู้ใดจักนำสินแร่เหล็กน้ำพี้ไปใช้ ต้องทำการตั้งศาลบรวงสรวงสักการะและเปล่งวาจาขอต่ออำนาจศักดิ์สิทธิ์ก่อน<SUP class=reference id=cite_ref-.E0.B8.9A.E0.B8.B1.E0.B8.99.E0.B8.97.E0.B8.B6.E0.B8.81.E0.B8.81.E0.B8.B2.E0.B8.A3.E0.B9.80.E0.B8.94.E0.B8.B4.E0.B8.99.E0.B8.97.E0.B8.B2.E0.B8.87.E0.B8.AA.E0.B8.B9.E0.B9.88.E0.B9.81.E0.B8.A1.E0.B9.88.E0.B8.99.E0.B9.89.E0.B8.B3.E0.B9.82.E0.B8.82.E0.B8.87.E0.B8.95.E0.B8.AD.E0.B8.99.E0.B8.9A.E0.B8.99.E0.B8.9B.E0.B8.A3.E0.B8.B0.E0.B9.80.E0.B8.97.E0.B8.A8.E0.B8.AA.E0.B8.A2.E0.B8.B2.E0.B8.A1_1-1>[2]</SUP>
    <SUP></SUP>
    คุณสมบัติทางวิทยาศาสตร์

    แร่เหล็กที่ได้จากบ่อเหล็กน้ำพี้นั้น เป็นแร่เหล็กกล้าที่มีโครงสร้างระดับโมเลกุลที่ประกอบด้วยธาตุคาร์บอนหลากหลาย ทำให้เมื่อนำมาเผาและตีทำมีดจะได้มีดที่แข็งแกร่งทนทานกว่าที่ทำจากแร่เหล็กทั่ว ๆ ไป<SUP class=reference id=cite_ref-.E0.B8.81.E0.B8.A3.E0.B8.A1.E0.B8.97.E0.B8.A3.E0.B8.B1.E0.B8.9E.E0.B8.A2.E0.B8.B2.E0.B8.81.E0.B8.A3.E0.B8.98.E0.B8.A3.E0.B8.93.E0.B8.B5_0-1>[1]</SUP>
    <SUP></SUP>
    ภาควิชาวิศวกรรมโลหการ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีแห่งประเทศไทย กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และกรมวิทยาศาสตร์ทหารบก ได้เคยนำตัวอย่างสินแร่จากจากบ่อพระแสงและบ่อพระขรรค์ไปทำการทดลองเพื่อวิเคราะห์หาคุณสมบัติต่าง ๆ ด้วยเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ พบว่าแร่เหล็กน้ำพี้มีองค์ประกอบของแร่ธาตุที่หาได้ยาก เป็นแร่เหล็กที่มีคุณสมบัติพิเศษเฉพาะตัว มีความแข็งและเหนียวเป็นพิเศษ มีคุณลักษณะอ่อนในแข็งนอก และยืนยันว่าแหล่งแร่เหล็กที่ตำบลน้ำพี้ อำเภอทองแสนขัน จังหวัดอุตรดิตถ์ เป็นแหล่งแร่เหล็กที่มีคุณภาพดีที่สุดของประเทศไทย อีกทั้งยังมีคุณสมบัติดีเยี่ยมไม่แพ้เหล็กกล้าชั้นดีของต่างประเทศ <SUP class=reference id=cite_ref-5>[6]</SUP>
    <SUP></SUP>
    สถานที่ท่องเที่ยวบริเวณบ่อเหล็กน้ำพี้

    บ่อพระแสงและบ่อพระขรรค์

    [​IMG]
    (บ่อแรก) บ่อพระแสง และ (บ่อถัดไป) บ่อพระขรรค์


    • บ่อพระแสง เป็นบ่อดินขนาดใหญ่ ลึก 10 เมตร มีเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 20 เมตร เป็นบ่อที่มีคุณภาพของสินแร่ดีกว่าบ่ออื่นๆ ในบริเวณแหล่งแร่น้ำพี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งบ่อนี้สงวนไว้สำหรับทำพระแสงดาบถวายสำหรับพระมหากษัตริย์เท่านั้น จึงได้ชื่อว่า "บ่อพระแสง"
    • บ่อพระขรรค์ เป็นบ่อดินขนาดย่อมกว่าบ่อพระแสง มีความลึกประมาณ 7 เมตร และมีเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 12 เมตร บรรพบุรุษได้สงวนบ่อนี้ไว้เพื่อนำเอาเหล็กจากบ่อนี้ไปถลุงทำพระขรรค์ถวายพระมหากษัตริย์เท่านั้น จึงเรียกกันมาแต่โบราว่า "บ่อพระขรรค์"
    บ่อขุดสินแร่เหล็กทั้งสองบ่อนี้ เป็นบ่อเหล็กที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในบริเวณแหล่งแร่เหล็กน้ำพี้ และเชื่อกันว่ามีความศักดิ์สิทธิ์ที่สุด และเป็นบ่อเหล็กที่มีคุณภาพดีที่สุดในประเทศไทย


    พิพิธภัณฑ์พื้นบ้านบ่อเหล็กน้ำพี้

    ในปี พ.ศ. 2541 นายชัยพร รัตนนาคะ ผู้ว่าราชการจังหวัดอุตรดิตถ์ในขณะนั้น ได้เห็นว่า บ่อเหล็กน้ำพี้เป็นแหล่งแร่เหล็กทางธรรมชาติที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ของชาติ และเป็นสถานที่สำคัญยิ่งแห่งหนึ่งของจังหวัดอุตรดิตถ์ ควรส่งเสริมให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวและศึกษาประวัติศาสตร์สำหรับผู้สนใจ จึงได้อนุมัติงบประมาณเพื่อจัดสร้างพิพิธภัณฑ์พื้นบ้านบ่อเหล็กน้ำพี้ โดยทำการเปิดเมื่อ วันที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2542 โดยทำการบูรณะปรับปรุงภูมิทัศน์โดยรอบบริเวณบ่อเหล็กน้ำพี้ และได้จัดสร้างพิพิธภัณฑ์พื้นบ้านบ่อเหล็กน้ำพี้ สำหรับนักท่องเที่ยวและผู้สนใจได้เข้าศึกษาถึงภูมิปัญญาพื้นบ้านแบบโบราณ โดยเฉพาะอย่างยิ่งได้มีการจัดแสดงเครื่องมือเครื่องใช้โบราณและจัดแสดงหุ่นการถลุงเหล็กแบบโบราณ<SUP class=reference id=cite_ref-6>[7]</SUP>
    <SUP></SUP>
    ศาลเจ้าพ่อบ่อเหล็กน้ำพี้

    [​IMG]
    ศาลเจ้าพ่อบ่อเหล็กน้ำพี้


    บริเวณทิศเหนือของบ่อพระแสงและบ่อพระขรรค์ มีศาลเจ้าพ่อบ่อเหล็กน้ำพี้ตั้งอยู่ ซึ่งมีเรื่องเล่าเป็นตำนานของชาวน้ำพี้สืบมาว่าบ่อเหล็กน้ำพี้ มีปู่ธรรมราชที่เป็นเจ้าพ่อบ่อพระแสงสถิตย์อยู่ในศาลนี้เพื่อคอยปกปักษ์รักษาบ่อเหล็กสำคัญ คือ บ่อพระแสงและบ่อพระขรรค์
    ศาลนี้เป็นสร้างที่สร้างขึ้นใหม่มีลักษณะทรงไทยสีขาว พื้นปูด้วยหินอ่อน ภายในตั้งรูปเจ้าพ่อ 3 ตน หล่อด้วยเหล็กน้ำพี้ทั้งองค์ สร้างด้วยงบประมาณจากการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยเมื่อปี พ.ศ. 2534 เพื่อเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจของชาวน้ำพี้และเป็นศูนย์รวมสักการะสำหรับผู้ศรัทธา
     

แชร์หน้านี้

Loading...