ข้อความจาก กลุ่มประสานงานเพื่อการเตือนภัย(เขากะลา)(ปิดกระทู้)

กำลังชั่งใจดูครับว่า จะเชียร์ฝ่ายเล่นของ หรือเล่นกลดี
เอิ๊กๆ

เล่นกล ยังพอพิสูจน์ได้ คงต้องเอาพระของอาจารย์บุญหนา มาวิเคราะห์ว่ามีผลของ กรด กับด่าง ออกมาเป็นเกลือ หรือไม่

อย่างไรเสีย หรือไม่เสีย ฝากวานอาจารย์กัลยา แจ้งผลพิสูจน์ด้วยนะครับ

 

ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ no.9
มัน ก็แปลกมากเลยนะครับอาจารย์pkanlaya ผมลองมาทำเองที่บ้านดู ก็สามารถเปลี่ยนน้ำที่ผสมเบตาดีนจากสีน้ำตาลเข้ม เป็นน้ำสีใสได้เหมือนกันเลย ก็ยังอยากจะพิสูจน์ว่าในองค์พระมีสารเคมีชนิดใดที่สามารถจะเปลี่ยนสีเบตาดี นให้เป็นสีขาวตามหลักวิทยาศาสตร์ได้จริงๆ หรือเปล่าน่ะครับ

มีธาตุทางเคมีสามารถเปลี่ยนสีน้ำได้จริง
แต่น้ำที่เปลี่ยนสียังมีสารที่ตกค้างอยู่หรือไม่ ต้องพิสูจน์ครับ

ว่าแต่ว่า อาจารย์กัลยามีองค์พระที่จะพิสูจน์หรือยังครับ ถ้าไม่มี พี่ no.9 สามารถฝากผมไปให้ใน 12-13 ธ.ค.52 นี้ได้

คงต้องรบกวนอาจารย์กัลยาอีกหลายๆครั้งละครับ...555

 

สวัสดีครับขอแทรกเรื่องเปลี่ยนสีน้ำเบตาดีนครับ

พอดีเข้ามาอ่านเห็นสงสัยกัน



"การหยดเบตาดีนลงน้ำแล้วทำน้ำให้ใส"

เป็นวิธีที่บริษัทขายตรงมักนำมาอ้างถึงบ่อย ๆ เพราะทำได้ง่าย และ ดูไม่น่าเชื่อว่าทำได้จริง
เบตาดีน ก็คือ Povidine-Iodine โดยที่ ไอโอดีน ( I– ) เป็นธาตุหมู่ 7 ตามตารางธาตุ
ซึ่งคุณสมบัติของธาตุหมู่นี้ คือ ไวต่อการทำปฏิกิริยา ดังนั้น หากองค์พระมีสาร anti-oxidant
ซึ่งสามารถพบได้ทั่วไป องค์พระจะสามารถปฏิกิริยาให้น้ำเปลี่ยนสีได้เพราะเป็นสาร anti-oxidant
ซึ่งจะไปจับกับ ไอโอดีน แล้วเกิดปฏิกิริยา หากใช้สาร anti-oxidant อื่นๆทดลอง
ก็สามารถทำให้น้ำเบตาดีนเปลี่ยนเป็นสีขาวใสได้เหมือนกัน เช่น วิตามินซี วิตามินอี
เบต้า-แคโรทีน ฯลฯ ไม่เพียงแค่ anti-oxidant เท่านั้นที่ทำให้น้ำเบตาดีนเปลี่ยนสีได้
ผงชูรส ก็สามารถทำให้น้ำเบตาดีนเปลี่ยนสีเป็นใสได้เหมือนกัน ลองทดสอบดูนะครับ

ผงชูรส หรือ Monosodium-glutamate (C5H8NNaO4) ดูจากชื่อก็จะเห็นว่ามี
sodium (Na+) เป็นส่วนประกอบซึ่งจะทำปฏิกิริยากับ ไอโอดีน (I-) จะได้สารประกอบ NaI
จึงทำให้น้ำเบตาดีนเปลี่ยนสีเป็นขาวใสขึ้นได้ นั่นแสดงว่าไม่เพียงแค่ผงชูรส
แต่สารอื่นๆที่มีธาตุประจุบวกอันได้แก่ ธาตุหมู่ 1 2 3 และ 4 ก็จะทำให้น้ำเบตาดีน
เปลี่ยนสีเป็นขาวใสได้เหมือนกัน ลองทดสอบดูครับหากหยดเบตาดีนน้อยก็จะใช้ผงชูรส
ปริมาณน้อย แต่หากหยดเบตาดีนมากหยดก็จะใช้ผงชูรสปริมาณมาก ตามสัดส่วนครับ

หากสังเกตุข้อความที่พิมพ์ไว้ด้านบนนะครับจะเห็นว่ามีธาตุหลายหมู่เลยที่เป็นประจุบวก
ซึ่งในแต่ละหมู่เองก็จะมีธาตุหลายตัวครับ ผมยกตัวอย่างเช่น
ธาตุหมู่ 1A เป็นพวกโลหะอัลคาไลน์ (Alkali metals) ได้แก่ Li (ลิเธียม) , Na (โซเดียม) ,
K (โพแทสเซียม) , Rb (รูบิเดียม) , Cs (ซีเซียม) , Fr (ฟรนเซียม)
ซึ่งธาตุหมู่ 1 ทุกตัวจะมีเวเลนซ์อิเล็กตรอน 1 มีประจุไฟฟ้า +1 (ออกซิเดชันในสารประกอบ +1)
ซึ่งจะเห็นว่าแค่ธาตุหมู่ 1A ยังมีมากขนาดนี้ ถ้าองค์พระมีสารประกอบในหมู่นี้หรือหมู่อื่น ๆ
ก็จะสามารถทำให้น้ำเบตาดีนกลับมาเป็นสีใสได้ครับ

ตอบแบบวิทยาศาสตร์คลายข้อสงสัยครับ ไม่ได้มาโต้แย้งแต่ประการใด

คิดถึงทุก ๆ คนครับ ช่วงนี้งานเยอะ ไม่ค่อยมีเวลามาเล่นเท่าไหร่
แถมไม่ค่อยได้เข้าพลังจิตด้วย

ว่าง ๆ เข้าไปบ้านหลังน้อยกันได้ครับที่


http://www.ufoatkaokala11.com


ไปละครับเตรียมทำงานแล้ว



-'แม๊คคาฟอซ ผู้นำสาร'-

555

 

อาจารย์ครับคลื่น แรงมากที่นี่ไม่มีทะเลครับ
คือว่าคลื่นความคิดของอาจารย์no.9

ปกติผมจะเลิกอ่านข้อความจาก กลุ่มประสานงานเพื่อการเตือนภัย(เขากะลา)[.2/SIZE] อ่านแล้วปวดหัว มีคลื่นรังษีแม่เหล็กที่
แรงมาก รู้สึกไม่สบายตัว อย่างที่ผมบอกอาจารย์

การติดต่อจากเขามาในรูปของคลื่นวิทยุ ทำให้เรารับรู้ได้
เฉพาะตัว ว่านี่มนุษย์ต่างดาวกำลังพูดอยู่นะ

 

<TABLE cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: 1px inset; BORDER-TOP: 1px inset; BORDER-LEFT: 1px inset; BORDER-BOTTOM: 1px inset">ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ NANA JITTANG
ทำไม จิต ของท่านจึงร้อนรนกระวนกระวายเช่นนี้
เคยเตือนแล้วใช่ไหมว่า เรื่องของผู้ใหญ่ ก็ให้ผู้ใหญ่เขาคุยกันเอง
เป็นเด็กก็อยู่ส่วนเด็ก เด็กดีเขาว่านอนสอนง่ายนะ อย่าดื้อนักเลย
โตขึ้นจะได้เป็นพลเมืองดีของชาติต่อไป

แล้วประโยคที่ว่า พวกเราไม่ได้โง่นะคะ
ก็แสดงว่าจับกันเป็นกลุ่ม เป็นพรรคเป็นพวก คอยไล่ถล่มกลุ่มเขากะลา เพื่อประโยชน์อันใดของพวกท่านฤๅ ถึงไล่ตามจิกการทำงานของพวกเขาอยู่ตลอดเวลา

ไม่ชอบใจพวกเขา ก็ถอยออกมาซิ มีทางเดินให้เลือกเดินออกมากมาย ใช้เส้นทางเดินร่วมกันไม่ได้ก็ถอยไป ใช้เส้นทางสายอื่น ที่ถูกกับจริตของพวกคุณไม่ดีกว่าหรือ จะได้ไม่ต้องมาเสียเวลาคอยนั่งจับผิดผู้อื่นเขา เอาเวลาที่มีค่าไปทำงานที่พวกคุณทำแล้วสร้างสรรให้กับสังคมประเทศชาติจะดีกว่า การจ้องทำลายกัน เพื่อก่อให้เกิดการแตกแยก ร้าวฉาน

ภัยพิบัติใดใด ไม่น่ากลัวเท่าภัยพิบัติในใจคน

เป็นคำพูดที่สามารถเตือนสติท่านได้หรือไม่ ก็จะขอติดตามดูกันต่อไป




</TD></TR></TBODY></TABLE>({) ออนุญาต ฟังดูพาดพิงกลาย ๆ คำว่าพวกเรา นะ ผมคิดว่า เราที่เป็นชาวพุทธทั้งหมดนะครับ คงไม่ต้องอาศัยชมรมขนหัวลุก หรือก๊วนอะไร มาตั้งขึ้น เพราะต่างก็ยังไม่รู้จักไม่เคยพบหน้าตากัน นอกจากบน web เหมือนกัน แต่มีสิ่งที่ไปด้วยกันคือธำรงรักษาพระพุทธศาสนาเหมือนกัน เป็นพี่น้องกัน ก็ต้องออกตัวกันว่า ชาวพุทธนะเยออออะครับ ไม่ใช่สิบยี่สิบเพราะนับเวลาก็สองพันกว่าปี คิดว่ามีไม่น้อยนะ ลองไปนับดูสิครับ เห็นอะไร อ่านติดตามอะไรมาหากไม่ชอบมาพากล ก็คงมีบ้างที่ท้วงติงแรงบ้าง เบาบ้าง เสนอแนะบ้าง ก็เหมือนกับทางกลุ่มคุณนะแหละ :boo:ก็มีทั้งหัวหมู่ทะลวงหน้า web ก็มีมาแล้วมิใช่เหรอครับ แต่คงไม่ได้สร้างความแตกแยกอะไร นอกจากให้ความจริง ทั้งสองด้าน สุดแต่ใครจะรับไปพิจารณาอย่างกว้างขวาง ไม่คับแคบ เพราะหากติดตามกันนานพอสมควร ก็น่าจะแยกแยะได้เอง ถ้าแตกแยกก็เป็นเพราะคิดได้ ระลึกได้ว่าอะไรถูกผิด ตะหาก นะครับ ถ้าเป็นเช่นนั้น ก็อาจต้องอนุโมทนากลับมาปฏิบัติให้ถูกต้อง และเราที่ว่าก็ไม่ใช้วิธีอี่นหรอกครับ น้องมือใหม่ไฟอาจแรง (ที่เรียกน้อง เพราะผมคิดว่าเขาคงอายุน้อยกว่าผมแน่ คุณก็ไม่ต่างกัน) คงไม่ใช่พวกเช่นที่คุณกำลังเข้าใจ เพื่อทราบนะครับ

เข้ามาอ่านแล้วก็ขำ ๆ เหมือนเรากำลังดูละคร
ฉากหนึ่ง ที่พอนำความจริงมาเปิดเผย
ก็มีคนฟูมฟายว่า ไปรังแกเขาทำไม<O</O
ไปโจมตีเขาทำไม ต่างคนต่างเดินคนละทางซิ
แหม ทีตอนทำคนอื่นเขา ด้วยความมันส์ใน
อารมณ์ ด้วยความสาแก่ใจ ด้วยความสะใจ
แล้วเห็นเขาเฉย ๆ นึกว่าเขาจำนนต่อหลักฐาน
เห็นเขายอมถอยให้ ก็นึกว่าตัวเองเป็นผู้ชนะ
<O</O
เอาสื่อมาเล่น เอาสื่อมาทำร้ายผู้บริสุทธิ์
โดยไม่ใส่ใจว่าเขาจะได้รับความเดือดร้อน
หรือไม่ แต่พอโดนโต้กลับด้วยข้อเท็จจริง
กลับตีโพยตีพาย หาว่าโดนรังแก คนเรานี่หนอ
ต่อให้แฝงตัวเอาธรรมะบังหน้าแค่ไหน
ผลสุดท้ายก็ไม่พ้นคำที่ว่า<O</O
“ฝนตกขี้หมูไหล” เลยจริง ๆ <O</O

 

การที่ไอยออกมาเขียนเรื่องราวทั้งหมด
เขียนด้วยข้อเท็จจริง อันมีพยานยืนยัน
หลักฐานอย่างชัดเจน ซึ่งเป็นการเขียน
<O</O
ตามที่กลุ่มเขากะลา เรียกร้องมาตลอดว่า
ให้เปิดเผยข้อเท็จจริง แล้วไฉน ตัวเอง
กลับปิดบังข้อมูลที่แท้จริงเองเสียเล่า<O</O
หรือจะให้ยกข้อความที่เขียนไว้ในกระทู้
มายืนยันอีกไหมว่าเขียนไว้อย่างไรบ้าง
ไม่จำเป็นต้องมาเบี่ยงประเด็น หรือเอา
เรื่องนั้น เรื่องนี้มากลบเกลื่อน เพราะเป็น
คนพูดมาว่าเอาความจริงมาพูดกันดีกว่า
เพราะฉะนั้น ตอนนี้ไอยและหลาย ๆ คน
ก็อยากรู้ความจริง
<O</O

 

สำหรับเรื่องราวที่ไอยมาเปิดเผยนั้น ไอยไม่ต้อง
การที่จะมาทำร้ายใคร เขียนขึ้นมาด้วย
ความจริงล้วน ๆ ตลอดเวลา 2 เดือนที่ผ่านมา
<O</O
ไอยโดนพรรคพวกเพื่อนฝูงต่อว่ามาตลอด
ว่าในเมื่อตัวเองรู้ความจริงมีหลักฐาน
ทำไมไม่ยอมเปิดเผย อมพะนำไว้ทำไม
ไม่มีจริง ๆ นะซิ ดีแต่พูดท่านั้นท่านี้
ถ้ามีจริงก็เปิดเผยไปนานแล้ว
<O</O
<O</O
การทีไอยไม่เปิดเผย อย่างที่เขียน เพราะ
ไอยต้องการปกป้องพี่ ๆ หลาย ๆคน<O</O
เพราะไอยรู้ดีว่า เขาตกเป็นเหยื่อด้วยความรู้
เท่าไม่ถึงการณ์ ด้วยความเมตตาธรรม<O</O
ที่ผู้ปฏิบัติธรรมส่วนใหญ่มีกันทุกคน พวกเขา
โดนหลอกใช้ เพราะไอยรู้ดีว่า เขาเป็น
ผู้บริสุทธิ์ที่ไม่ทันเล่ห์เหลี่ยมกลโกง
โดยใช้ธรรมะมาบังหน้า<O</O

 

เพราะฉะนั้น ไอยเลือกที่จะถอย เลือกที่จะเก็บ
ข้อมูลต่าง ๆ เหล่านี้ไว้คนเดียว แม้กระทั้ง
จารโม่ก็ยังไม่ทราบ แต่นับวัน ๆ ทางเขาก็ยิ่ง
จะหนักข้อขึ้นมาเรื่อย ๆ กับการโจมตีคนนั้น
คนนี้ ซึ่งเห็นว่าคนไหนที่ไม่ใช่พวกเขา
<O</O
คนไหนที่เขาคิดว่าเป็นปรปักษ์กับเขา
<O</O
เขาโจมตี ทำร้ายหมดทุก ๆ คน<O</O
ที่ขวางผลประโยชน์ ที่มาขวางทางทำมาหากิน
ของพวกเขาซึ่งเหตุนี้เอง ไอยจึงต้องออกมา
เปิดเผยความจริง ให้หลาย ๆ คนทราบ
เพื่อคนบริสุทธิ์ จะต้องไม่โดนรังแกอีกต่อไป
<O</O</O

 

หลาย ๆ คน ที่ติดตามอ่านคงจะทราบดีว่า
อาจารย์นีโม่ อาจารย์วรรณ อาจารย์จอห์นนี่
โดนกระทำอย่างไรบ้างในกระทู้นี้ แต่หลาย ๆคน<O</O
ที่อยู่วงนอก อาจจะไม่ทราบความจริง
วันนี้ไอยจะเอาความจริงมาเปิดเผย<O</O
ไอยจะขอบอกเลยว่า งานนี้คนที่น่าเห็นใจที่สุด
น่าจะเป็นจารโม่ เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมา
จารโม่ได้ให้ความเมตตา กับพวกเขามาตลอด
<O</O
ทั้ง ๆ ที่ตอนแรกไม่แน่ใจว่าตกลงเขาเป็น
อย่างไร แต่ด้วยจิตเมตตากับผู้ตกทุกข์ได้ยาก
เห็นเขาไม่มีเงินทอง จารโม่เป็นคนให้เงินกับ
พวกเขา<O</Oทุก ๆ เดือน ตั้งแต่รู้จักกับเขามา
รวมทั้งยังให้เขามาพักอยู่กับจารโม่นับเป็นปี ๆ
โดนเขาล้างสมอง โดยเอาทฤษฎีระบบ
ค่อย ๆ พูด ค่อย ๆ โน้มน้าว ค่อย ๆ แทรกซึม
จารโม่ อยู่ตลอดเวลา

 

เพราะอยู่ด้วยกันมาตลอดไปไหนมาไหน
ก็ไปด้วยกัน เพราะทำหน้าที่ขับรถให้จารโม่
พูดง่าย ๆ <O</Oอยู่กันเกือบตลอด 24 ชั่วโมง
ไม่ใครก็ใครก็ต้องคล้อยตามบ้างล่ะ <O</O
จนกระทั่งจารโม่มาทำงานให้กับเขาเต็มตัว
แรก ๆ จารโม่กับมีรายได้จากการทำงาน
มีเงินเดือนเป็นแสน แต่ตอนหลังได้ถูกลากตั้ง
ประกาศเป็นการภายในว่าเป็น ( ...............) <O</O
ไม่อยากพูดนะค่ะ มันบาปปากเอาเป็นว่ามากกว่า
จารวรรณก็แล้วกัน
<O</O

 

ช่วงแรก ๆ ของเขากะลานั้น ทางกลุ่มไม่มี
ปัจจัยใด ๆ เลย เวลาจัดกิจกรรม ก็มีจารโม่
จารวิจิตร และจารวรรณ ช่วยกันสนับสนุน
ปัจจัยกันตลอดมา โดยเฉพาะจารโม่
เป็นคน support ค่าใช้จ่ายทุก ๆ วัน
จนตอนหลัง ๆ <O</Oมีกิจกรรมมากขึ้น
ตัวจารโม่ออกทั้งนั้น จนกระทั่ง ไอยเอา
เรื่องราวต่าง ๆ เหล่านี้ออกหน้าเวป
จึงมีญาติธรรมท่านอื่น ๆ ทราบ จึงได้เข้ามา
ร่วมช่วยกัน มากบ้างน้อยบ้างตามกำลังของ
แต่ละท่าน จารโม่เองเมื่อได้รับการแต่งตั้ง<O</O
เป็นการภายใน และต้องการปล่อยวาง
ท่านจึงได้ลาออกจากงาน เพื่อต้องการ
ปฏิบัติธรรมเต็มที่ เพราะคำลวงที่ว่า
ถ้าระบบให้ทำ เดี๋ยวระบบก็เอาเงินมาให้เอง
เดี๋ยวระบบเลี้ยงเอง "ระบบจัดให้" <O</O

 

ซึ่งจารโม่เองก็ต้องการพิสูจน์เรื่องราวต่าง ๆ
เหล่านี้ด้วยแต่พอถามเรื่องนี้กับจารโม่
ว่าในเมื่อรู้แน่ชัดแล้วว่าเรื่องราวของกลุ่มนี้<O</O
เป็นอย่างไร เพราะสาเหตุนี้ทำให้จารโม่
ออกจากงาน เสียใจมั้ย จารโม่พูดกับไอย
ว่าอย่างไร จารโม่บอกว่า ผมไม่เคยเสียใจ
ผมโดนหลอกมาเยอะแล้ว ช่วยเพื่อน ๆ
มาก็เยอะแล้ว หมดเงินหมดทองไปเป็นล้าน ๆ <O</O
ผมก็ไม่เคยทวงใครสักบาท ต่อให้โดนเขากะลา
ลวงจนหมดตัว ผมไม่เสียใจเพราะผู้ปฏิบัติธรรม
อย่างแท้จริง ต้องยินดีกับคำว่า ละวาง ปล่อยวาง
อย่างแท้จริงไม่ใช่ละวางตัวตนอันนี้ แต่ไปยึด
ตัวตนอีกอย่างแทน แล้วลวงจิตตัวเองด้วย
การคิดไปว่า เราคือผู้ละวาง ปล่อยวาง

 

ไม่ใช่เฉพาะเรื่องเงินเรื่องทองอย่างเดียวเท่านั้น
แม้กระทั่งญาณหยั่งรุ้ต่าง ๆ เขาก็ตีขลุมบอกว่า
เป็นของเขาไปหมด ถามจริง ๆ เถอะ ทุก ๆ คน
ที่เข้ามากลุ่มนี้ น่าจะรู้ดีกว่า พวกเขาเข้ามา<O</O
เพราะได้ฟังธรรมะ โดยนำทฤษฎีระบบมา
เทียบเคียงกับหลักธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า
โดยจารโม่ แต่เพราะถูกสอนมา ให้ละวาง
ไม่ให้ยึด จารโม่ก็เลยยกประโยชน์ตรงนี้
ให้กับกลุ่มฯ เขาทั้งหมดรวมทั้งการถ่ายทอด
วิถีญาณต่าง ๆ ให้กับอาจารย์ทุก ๆ ท่าน
จารโม่ก็ทำแต่เพียงผู้เดียว และไม่เคยออกหน้า
ว่าเป็นผู้ถ่ายทอด กลับยกประโยชน์ให้กับ<O</O
อาจารย์ทุก ๆ คน รวมทั้งยกย่องว่าเป็นอาจารย์
โดยไม่เคยบอกใครว่าพวกเขาเป็นลูกศิษย์ผม
มีแต่พูดว่า ผมมีลูกศิษย์เพียงคนเดียว คือ
ซินแซชาติชาย นอกนั้นเป็นอาจารย์ผมทุกคน

 

ใช่จริงอยู่ทุกคนอาจมีญาณต่าง ๆ เหล่านี้
มาก่อนบ้างแล้ว แต่จะปฏิเสธหรือไม่ว่า
ไม่ได้รับการถ่ายทอดผ่านจารโม่ ไม่ได้รับ<O</O
การเชื่อมระบบจากพระญาณบารมี
มนุษย์อันเป็นสัตว์ประเสริฐ แม้ได้รับการ
ถ่ายทอดวิชาเพียงแค่วันเดียว ย่อมต้อง
สำนึกในบุญคุญของผู้เป็นครูบาอาจารย์
ถึงแม้ว่าวัยวุฒิเขาจะน้อยกว่าเราก็ตาม
และยิ่งต้องน่าสำนึกในบุญคุญของผู้เป็น<O</O
ครูบาอาจารย์ที่ไม่เคยอวดอ้าง อวดตัวเอง
ว่าเป็นอาจารย์เลย คนที่เป็นอาจารย์ที่น่า
สมควรยกย่อง ไม่จำเป็นต้องอวดตัว
มีแต่คำว่าให้กับให้<O</Oเพียงอย่างเดียว

พิจารณาดูเอาเองกันนะค่ะ ตลอดเวลา
ที่ผ่านมา ใครอยากได้วิชาอะไร หรือ
ความรู้ใด ๆ ถ้าจารโม่ถ่ายทอดให้กับเขาได้
จารโม่ทำให้หมด ไม่เคยเรียกร้องเงินทอง
ซักบาทเดียว มีแต่คนที่ได้รับการถ่ายทอด
วิชาไป ไม่เคยรู้คุณค่าของวิชาที่จารโม่ให้
เพราะเห็นว่าเป็นของฟรี ทุก ๆ คนคิดเข้าข้าง
ตัวเองว่าเป็นของที่ข้ามีมาก่อน

 

นี่แหละหนา มนุษย์ผู้ได้ชื่อว่าเป็นผู้ปฏิบัติธรรม
<O</O
ผู้ได้โดนการลากตั้งว่าเป็น ............ เหลืออีก
กี่ชาติ กี่ชาติ เฉพาะแค่การลากตั้งนี้
ก็ถือว่ายกตนเสมอพระพุทธเจ้าแล้ว เพราะมี
แต่พระพุทธเจ้าพระองค์เดียวเท่านั้น
ที่จะทำนายได้ว่า บุคคลนั้นอยู่ในขั้นใด
ขนาดพระอรหันต์ด้วยกัน ท่านยังไม่พูดเลย
แล้วจะว่าไม่บิดเบือนพระสัทธรรมได้อย่างไร
<O</O
การอ้างว่านั้นคือ การหลอก หลอกตัวโง่แก
หึ...หึ... ไอยว่า หลอกตัวโง่เขากะลาเสียมากกว่า
เพราะยิ่งดิ้น มันยิ่งรัด ยิ่งมัด มันยิ่งแน่น
ยิ่งพูดออกมาเท่าไหร่ <O</Oก็แสดงตัวโง่ออก
มาเท่านั้น ตามคำระบบเขากะลาเลยมั้ยค่ะ
ไอยแค่ย้อนศร <O</Oเอาคำที่เขาชอบพูดกัน
มาใช้ก็เท่านั้น <O</O

 

มาพูดถึงเรื่องจารวรรณกันดีกว่า จารวรรณ
หมดเงิน หมดทองไปเป็นล้านๆ เพื่อซื้อที่ดิน
และค่าก่อสร้างสถานธรรม แถมเงินค่า
ผาติกรรมอีกต่างหาก เงินที่จารวรรณช่วย
พวกเขาก็เกิดจากการทำงานเป็น พนง. เสริฟ
ที่เมืองนอก คิดดูซิว่า เหนื่อยแค่ไหน
สามีเลี้ยงดูก็สุขสบายดีอยู่แล้ว แต่กลับไปเป็น
พนง.เสริฟ งานก็หนัก เหนื่อยก็เหนื่อย
เพื่อเอาเงินมาทำบุญ เอาเงินมาเลี้ยงพวกเขา
ก็เพราะด้วยความเมตตาต่อเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน
แต่พอเกิดเรื่องขึ้นกลับใส่ร้ายป้ายสีจารวรรณ
สารพัด ไม่เคยสำนึกในบุญคุญที่เขาช่วยเหลือ
จารวรรณไม่ได้ช่วยกลุ่มเขากะลาอย่างเดียว
ยังเผื่อแผ่ไปยังพี่น้องลูกหลานเขาด้วย

<O</O
ไอยขอแจงทีละเรื่องเลยนะค่ะ ญาติธรรม
ทั้งหลายจะได้รู้ความจริงเสียที
<O</O</O

 

1. ที่ดินสถานธรรม (เขากะลา) ที่จารวรรณ
ไปซื้อจากกรมบังคับคดีนั้น และถูกโอนไปให้
บริษัทรับซื้อหนี้เน่าของ bank นั้น <O</O
ตามที่รู้มาจริง ๆ คนที่รู้ข้อมูลนี้มีไม่กี่คน
เป็นเฉพาะวงในจริง ๆ แต่กลับคนอื่น ๆ <O</O
พวกเขาจะบอกว่า พวกเขาขายที่ดินตรงนี้
ให้กับจารวรรณ ไม่ใช่ที่ดินที่โดน Bank ยึด
จนเป็นหนี้เน่า แล้วต้องให้กรมบังคับคดี
บังคับคดีออกขายทอดตลาด ขายกี่รอบ
กี่รอบ ก็ไม่มีใครมาซื้อ

<O</Oหลาย ๆ คน อาจจะไม่ทราบขั้นตอน
เดี๋ยวไอยจะอธิบายให้ฟัง ถ้าเรื่องพวกนี้<O</O
ไอยจะทราบดีที่สุด เพราะไอยทำงานอยู่ใน
วงการนี้มาเป็นสิบปี เพราะฉะนั้น มาจับโกหก
มาดูการบิดเบือนของพวกเขากัน<O</O

 

การที่เขาอ้างว่า ที่ดินตรงนี้เป็นชื่อพวกเขา
ทั้งหมด แต่พี่สุดใจคนเดียวที่ไปทำเรื่อง<O</O
กู้หรือไปค้ำประกันใคร แล้วมีปัญหา ทำให้
ที่ดินโดนยึด แต่พวกเขาทั้งหมดไม่ได้โดนด้วย
การที่คุณไปกู้เงินเขา คุณจะกู้เงินโดยใช้
ชื่อคุณคนเดียว โดยไม่มีอะไรมาค้ำประกัน
<O</O
ไม่มีใครที่ไหนเขาทำกันหรอก โดยเฉพาะกับ
การไปกู้เงินกับ bank

ดังนั้นคุณจะต้องเอาหลักทรัพย์มาค้ำประกัน
อาจจะเป็นที่ดิน หรืออะไรก็ได้ แต่ถ้ากู้ bank แล้ว
ส่วนใหญ่จะใช้ที่ดิน เป็นหลักทรัพย์ค้ำประกัน
ซึ่งหลักทรัพย์นั้นถ้าเป็นชื่อ4 คน แต่ 1 ใน 4
เป็นผู้กู้ เพียงคนเดียว ก็ทำได้ แต่คนทั้ง 3
ที่มีชื่อในทีดินแปลงนั้น ต้องเซ็นต์ยินยอม
ถึงจะทำเรื่องได้ ถ้าคนเพียงคนเดียว มาทำเรื่อง
<O</OBank ไม่รับหรอกค่ะ เพราะผิดกฎหมาย

 

เพราะฉะนั้น จะมาอ้างว่า ทั้ง 3 คน ไม่ได้เกี่ยวข้อง
เป็นไปไม่ได้ค่ะ เพราะถือว่า เป็นผู้กู้ร่วม หรือ
เป็นผู้ค้ำประกัน โดยใช้ที่ดิน<O</Oของแต่ละคน
มาค้ำประกันให้แก่กันและกันค่ะ
<O</O
แต่ถ้ามีการแบ่งแยกโฉนดไปแล้ว นั่นอีก
เรื่องหนึ่ง แต่เรื่องนี้ ไม่มีการแบ่งแยกโฉนด
เพราะฉะนั้น ถือว่าที่ดินแปลงนี้ ทุกคนเป็นผู้กู้ร่วม<O</O
ผู้ค้ำประกัน โดยเอาหลักทรัพย์ของตัวเองมา
ค้ำประกันนั้นแหละค่ะ ไม่มี bank ไหนอยู่ดี ๆ
จะอนุมัติ โดยใช้ตัวเองมาเป็นหลักประกันค่ะ
ถ้าเป็นแบบนั้น คงต้องไปเกิดยุคสมัยก่อน
ที่เขายังใช้ระบบทาส กันอยู่ ก็คงจะได้นะค่ะ <O</O

 

เมื่อมีการกู้เงิน เอาเงินเขาไปใช้ พอถึงเวลาก็
ต้องใช้เงินเขา ถูกต้องมั้ยค่ะ แต่เมื่อไม่มี
การใช้เงินคืน bank ก็ต้องตามกับคนที่กู้ร่วม
หรือค้ำประกัน เพื่อเรียกร้องเอาเงินที่กู้ bank ไป
แต่เมื่อคนที่เหลือ ไม่มีความสามารถชดใช้<O</O
เป็นตัวเงินได้ bank ก็จะเอาหลักทรัพย์ คือ
ที่ดิน ที่มาค้ำประกัน ยึดไว้ <O</Oเพราะถือว่า
ผิดสัญญา แต่การยึด ไม่ใช่ยึดได้ง่าย ๆ
จะต้องขึ้นศาลกันก่อน ซึ่งการขึ้นศาลนั้น
จะต้องให้ศาลสั่งบังคับคดี เรียกร้องเงินทอง
ตามที่ผู้กู้ <O</Oและผู้ร่วมกู้ หรือผู้ค้ำ ซึ่งต้องขึ้นถึง
3 ศาล ใช้เวลาหลายปี กว่า bank จะนำ
หลักทรัพย์ออกมาขายได้