ขอเล่าเรื่องวัดพระธรรมกายบ้าง

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย ผ่านมา, 19 มกราคม 2005.

  1. ผ่านมา

    ผ่านมา บุคคลทั่วไป

    ค่าพลัง:
    +0
    สืบเนื่องจากกระทู้ "อยากทราบความเห็นของเพื่อนๆ เกี่ยวกับ วัดพระธรรมกาย ว่าคิดกันอย่างไร" http://www.palungjit.org/board/showthread.php?t=2972 ในห้องอภิญญา-กรรมฐาน

    ผมไม่ได้เป็นสมาชิก จึงไม่สามารถโพสตอบได้ ผมจึงขอมาเล่าในกระทู้นี้ครับ เพราะผมอ่านที่คุณอำนาจและคุณPrarahuเล่าแล้ว มีหลายสิ่งหลายอย่างไม่เหมือนที่ผมได้สัมผัสมา
     
  2. ผ่านมา

    ผ่านมา บุคคลทั่วไป

    ค่าพลัง:
    +0
    เริ่มเลยนะครับ

    ผมเคยอบรมธรรมทายาทที่วัดพระธรรมกายปี 2538 เป็นธรรมทายาทรุ่นที่ 23 ก่อนเล่าเรื่องธรรมทายาท ขอเล่าก่อนว่ามารู้จักวัดพระธรรมกายและเข้ามาอบรมได้อย่างไร

    เมื่อปี 2536 ผมได้เข้าศึกษาในระดับ ปวช.ของสถาบันการศึกษาแห่งหนึ่ง ผ่านไปหนึ่งปีเมื่อผมขึ้นชั้น ปวช.ปีที่ 2 ได้มีเพื่อนผมคนหนึ่ง ได้มาชวนผมใส่บาตร เนื่องจากที่สถาบันจะมีการจัดงานตักบาตรทุกวันพฤหัสฯทุกสัปดาห์ ผมไม่เคยสนใจและบ่ายเบี่ยงเรื่อยมา เนื่องจากผมมาจากครอบครัวเชื้อสายจีน ต้องบอกนะครับว่าเชื้อสายจีนจริงๆ ไม่มีเชื้อสายไทยเลย ปู่ย่าตายายมาจากเมืองจีนหมด ที่บ้านผมไม่เคยสอนเรื่องทำบุญตักบาตร รู้จักแต่การไหว้เจ้าเท่านั้น จะทำบุญเมื่อมีเหตุการณ์พิเศษเท่านั้นซึ่งไม่บ่อย ประกอบกับผมเรียนโรงเรียนคริสต์ ตั่งแต่อนุบาล-ม.3 เคยเข้าไปร้องเพลงในโบสถ์ตอนทำพิธีมิซาก็หลายครั้ง ผมจึงไม่ค่อยมีความรู้เกี่ยวกับศาสนาพุทธเท่าไหร่ แถมตอนเรียนสังคมเกี่ยวกับพุทธศาสนา มาสเซอร์ที่สอนดันเป็นอิสลามเสียอีก

    มาเข้าเรื่องต่อนะครับ เพื่อนผมที่ได้กล่าวมานี้ ชวนผมใส่บาตรทุกสัปดาห์เลยนะครับ ผมก็บ่ายเบี่ยงทุกสัปดาห์เหมือนกัน บางทีก็รู้สึกรำคาญเหมือนกัน นึกในใจว่าอะไรกันวะ คนไม่อยากไปก็มาชวนอยู่ได้ จนมาอยู่วันหนึ่ง จะด้วยบุญเก่าส่งผลหรืออะไรก็ตามแต่ เป็นวันเกิดอายุครบ 17 ปีของผม ซึ่งตรงกับวันพฤหัสฯพอดี ก็เลยนึกอยากทำบุญขึ้นมา เอาล่ะสิครับที่นี้ นึกถึงเพื่อนคนที่เรารำคาญเขาขึ้นมาทันที ทีนี้เลยโทรไปถามเขาเองเลยว่า วันรุ่งขึ้นเป็นวันเกิดอยากจะใส่บาตรต้องทำอะไรบ้าง เพราะไม่ค่อยมีความรู้เรื่องนี้เท่าไหร่ เพื่อนผมบอกให้เตรียมตัวกับเตรียมใจมาก็พอ ส่วนของใส่บาตรไม่ต้องไปลำบากเตรียม เพราะทางชมรมพุทธศาสตร์ได้มีการจัดเตรียมของใส่บาตร ไว้บริการอยู่แล้ว

    วันรุ่งขึ้นผมมาที่สถาบันแต่เช้า ประมาณ7.00น. ซึ่งสำหรับผมแล้วถือว่าเช้ามากเลย ผมเป็นคนนอนดึกตื่นสาย เรียน8โมงกว่าจะตื่นก็7โมง45 เนื่องจากหออยู่ใกล้กับสถาบัน มาถึงก็เจอเพื่อนผมรอรับอยู่ แล้วก็อธิบายว่าซื้อของตักบาตรอย่างไร ซื้อแล้วไปนั่งตรงไหน ซึ่งของใส่บาตรที่ทางชมรมพุทธฯได้จัดเตรียมไว้ก็จะเป็นพวก ข้าวสารอาหารแห้ง นมกล่อง น้ำเปล่า อะไรประมาณนี้ที่เก็บไว้ได้นานๆ เราก็ไปเลือกหยิบเอา แล้วก็จ่ายตัง จากนั้นก็ไปหาที่นั่งซึ่งเป็นเสื่อที่ปูกับพื้นนั่งตามสะดวก พอ7.30น. ก็จะเริ่มพิธี จะมีการอาราธนาศีล5 และก็คำกล่าวถวายภัตตาหารเป็นสังฆทาน ซึ่งตอนนั้นผมยังไม่รู้เรื่องอะไรหรอกครับก็ทำตามๆเขาไป พอใส่บาตรเสร็จผมรู้สึกแปลกๆ ที่ไม่เคยเป็นมาก่อนเลยในชีวิต รู้สึกเบิกบานใจอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน(มารู้ตอนหลังว่าเขาเรียกว่าปิติ) หลังจากใส่บาตรก็ได้คุยกับเพื่อนคนที่มาชวนใส่บาตร ก็ได้รู้ว่าวันนั้นเขาถือศีล8 เพราะเป็นวันพระ คือเขาจะถือศีล8 ทุกวันพระ ไม่รู้เป็นอย่างไรพอฟังเขาเล่ามาก็เลยบอกเขาว่า งั้นวันนี้เราขอถือศีล8ด้วย ตอนนั้นไม่รู้พูดออกไปได้อย่างไร เพราะตั้งแต่เล็กจนโต อย่าว่าแต่ศีล8เลย ศีล5ยังไม่เคยรักษาเลย รู้เพียงแต่ว่ามีอะไรบ้างจากวิชาพุทธศาสนาเท่านั้น แล้วก็เป็นเหมือนเด็กทั่วไปที่ชอบเอามาล้อเล่น เช่น หนึ่งห้ามฆ่าสัตว์ถ้ายุงกัดเราก็ตบ สองห้ามลักทรัพย์ถ้าเขาหลับเราก็หยิบ สี่ห้ามพูดปดถ้าเราตดบอกว่าเปล่า อะไรประมาณนี้ แต่วันนั้นหลังจากใส่บาตรเสร็จ รูสึกว่าใจมันเบิกบานแช่มชื่น ขนาดแค่เขาเล่าเฉยๆว่าเขาถือศีล8 ไม่ได้ชวนเราถือด้วยเลยด้วยซ้ำ แต่เรากลับขอเขาถือศีล8ด้วยเฉยเลย ตักบาตรเสร็จ8โมง ได้เวลาเรียนพอดีจึงได้ไปเข้าเรียน

    พิมพ์มาเหนื่อยมากเลยเพราะต้องจิ้มทีละตัวเหมือนคุณอำนาจ พักสักนิดเดี๋ยวมาเล่าต่อครับ
     
  3. นายฉิม

    นายฉิม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กันยายน 2004
    โพสต์:
    2,099
    ค่าพลัง:
    +2,696
    คุณผ่านมาก็ลองชี้แจงแถลงไข หน่อยสิครับว่าเรื่องราวที่คุณผ่านมาได้พบเจอเป็นอย่างไร
    อยากทราบความคิดเห็นหลายๆแง่ โดยที่ไม่มีอคติครับ
     
  4. ผ่านมา

    ผ่านมา บุคคลทั่วไป

    ค่าพลัง:
    +0
    ตอน2

    มาต่อตอน2 กันเลยนะครับจะได้ไม่เสียเวลา

    พอเรียนเสร็จช่วงเช้า วันนั้นจึงได้ไปนั่งกินข้าวเที่ยงกับเพื่อนผมคนนี้เป็นครั้งแรก เพราะก่อนหน้านั้นผมไม่ค่อยสนิทกับเพื่อนคนนี้เท่าไหร่ ที่ต้องไปนั่งกินข้าวกับเขา เพราะผมบอกไปแล้วว่าจะถือศีล8 ก็เลยต้องทำตัวติดเขาไว้เพราะไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไร ในขณะกินข้าวไป เพื่อนผมก็อธิบายไปว่า ศีล8มีอะไรบ้าง ต่างจากศีล5อย่างไร และจะถือศีล8อย่างไร ซี่งเพื่อนผมรู้ดีมากเลย อย่าลืมว่า เพื่อนผมและผมเพิ่งเรียนปวช.ปี2เองนะครับ ทำให้ผมแปลกใจมาก(มารู้ตอนหลังว่าเพื่อนผมอบรมธรรมทายาทรุ่นก่อนหน้าผม ตอนปิดเทอมซัมเมอร์ตอนปวช.ปีหนึ่ง)

    หลังจากกินข้าวเสร็จ เพื่อนผมชวนไปชมรมพุทธศาสตร์ ผมเลยตามเขาไป ครั้งแรกที่เข้าไป ทำเอาผมงง เนื่องจากมีรุ่นพี่นั่งอยู่ในชมรมก่อนแล้ว ที่งงคือพี่เขายกมือไหว้เราเฉยเลย ดูพี่เขาน่าจะเรียนระดับปริญญาตรีแล้ว แล้วดูเหมือนว่าจะไม่ใช่ปริญญาตรีปี1ด้วย เราก็งงเลย ยกมือไหว้พี่เขาตอบแทบไม่ทัน เพื่อนเราบอกว่าเป็นปกติของเด็กชมรมพุทธฯ คือเขาทักทายกันด้วยการไหว้เป็นปกติอยู่แล้ว รุ่นพี่ไหว้รุ่นน้องก่อนไม่แปลกอะไร หากเรารู้สึกเขินก็ต้องชิงไหว้พี่เขาก่อน ไม่เช่นนั้นพี่เขาจะไหว้เราก่อนทุกครั้ง

    หลังจากเพื่อนผมแนะนำผมให้ได้รู้จักกับรุ่นพี่แต่ละคน และพูดคุยทักทายกันพอสมควรแล้วพี่เขาก็ขอตัวไปทำธุระ จึงเหลือผมกับเพื่อนอยู่ในชมรมกันสองคน เพื่อนผมได้แนะนำหนังสือธรรมะให้ผมอ่าน ปกติผมจะเป็นคนชอบฟังเพลงมาก ผมจะมีวอล์คแมนอยู่เครื่องหนึ่งติดตัวประจำ ตอนพักเที่ยงก็จะนำออกมาฟังทุกครั้ง แต่วันนั้นถือศีล8 ฟังไม่ได้ เพื่อนผมเลยแนะนำหนังสือธรรมะให้ผมอ่าน ไม่ใช่สิถ้าให้ถูก ต้องบอกว่าเพื่อนแนะนำว่ามีหนังสืออะไรบ้างถึงจะถูก เพราะว่าผมเป็นคนเลือกหยิบมาอ่านเอง

    ปกติผมไม่เคยอ่านหนังสือธรรมะเลยนะ รู้สึกว่าน่าเบื่อ แต่วันนั้นได้อานิสงค์จากการใส่บาตร ใจแช่มชื่นตั่งแต่เช้ามาถึงเที่ยง ไม่อย่างนั้นไม่คิดจะหยิบมาอ่านหรอกหนังสือธรรมะเนี่ย(มาตอนนี้เลยเข้าใจที่เขาบอกว่าการตักบาตรหรือการให้ทานทำได้ง่าย และจะเป็นเบื้องต้นในการทำความดีอื่นๆ คือศีลและภาวนาต่อไป เพราะเจอกับตัวเองนี่แหละ)

    หนังสือเล่มแรกที่ผมหยิบมาอ่านเป็นนิตยสาร ชื่อกัลยาณมิตร ผมเห็นว่าชื่อมันแปลกดี(ตอนนั้นยังไม่รู้ว่าแปลว่าอะไร) และหน้าปกก็ทำสวยดีเลยหยิบมาอ่าน เปิดมาก็มาเจอหน้าที่เป็นกัณฑ์เทศน์ของหลวงปู่วัดปากน้ำ ซึ่งถอดความมาจากเทปเสียงเทศน์ของท่านที่ได้บันทึกไว้ ตอนนั้นยังไม่รู้จักหรอกว่าท่านเป็นใคร เปิดมาเจอก็อ่านไป แต่พออ่านไปเรื่อยๆ รู้สึกสนุก รู้สึกว่าสิ่งที่ท่านเทศน์ช่างชัดเจนแจ่มแจ้งและไม่น่าเบื่อ ทั้งที่ไม่เคยอ่านหนังสือธรรมะมาก่อนเลย ศึกษาก็ยังไม่เคยเลยด้วยซ้ำ แต่ก็เข้าใจที่ท่านเทศน์ได้อย่างไม่น่าเชื่อ และมีความรู้สึกลึกๆว่า นี่แหละสิ่งที่เราค้นหามานาน ก็เลยอ่านเพลินจนลืมเวลาเลย จนเพื่อนเราต้องสะกิดว่าใกล้บ่ายแล้ว ต้องไปเข้าเรียนช่วงบ่ายแล้ว แล้วก็ชวนผมว่า ตอนเย็นให้ไปสวดมนต์ทำวัตรเย็นแล้วก็นั่งสมาธิกันที่ชมรมด้านใน(ตอนนั้นห้องชมรมมี2ห้อง คือ ห้องที่ตึกกิจกรรม กับห้องที่อยู่ในสุดของสถาบันเป็นอาคารไม้ใกล้ๆกับตึกวิศวะ ซึ่งใช้เป็นที่สวดมนต์ทำวัตรและนั่งสมาธิ ห้องที่ผมเข้าไปตอนแรกเป็นห้องที่ตึกกิจกรรมซึ่งใช้เป็นที่เก็บของเสียมากกว่า) ผมก็รับปากเพื่อนว่าจะไปสวดมนต์นั่งสมาธิด้วย

    หลายๆคนอาจจะบ่นว่า ทำไมผมไม่เข้าเรื่องวัดพระธรรมกายเสียที พล่ามอะไรอยู่ได้ ผมต้องบอกว่า ให้ทนอ่านไปก่อนนะครับ แล้วจะเข้าใจว่าทำไมผมต้องเกริ่นนำก่อน เพราะว่าเดี๋ยวมันจะมีเรื่องที่เป็นสาเหตุให้ผมตัดสินใจ เข้าอบรมธรรมทายาท

    ขอพักหน่อยครับเดี๋ยวมาเล่าตอนต่อไป
     
  5. พรายแสง

    พรายแสง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กันยายน 2004
    โพสต์:
    833
    ค่าพลัง:
    +371
    รออ่านเช่นกัน แต่ฟังเรื่องของเอมไปพลาง ๆ ก่อนแล้วกันนิด ๆ หน่อย ๆ

    เอมก็เคยไปบวชที่วัดเช่นกัน แต่เป็นการบวชแบบทั่วไป คือ บวชอุบาสิกาแก้วรุ่นแรกของโลก และพอกลับมาก็ศรัทธาจนอยากบวชเป็นนักเรียนอภิญญาด้วย แต่ติดเรื่องอายุ เพราะเขาจะรับแต่เด็ก ๆ เลย เรามันแก่เกินแก่ไปแล้ว คิคิ เข้าเรื่องแล้วกัน ก็ในความรู้สึกวัดนั้นก็มีส่วนที่ดีเพราะสำหรับตัวเราเองนั้นวัดทำให้เราเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมไปมากพอควร เช่นการคนยิ้มยากก็ยิ้มแย้มและรู้สึกเป็นมิตรกับทุกคนดี มองทุกคนที่ทำไม่ดีกับเราด้วยใจที่ให้อภัย และคิดว่าคนเรานั้นแตกต่างกันจะให้เขาไปเหมือนเราคงจะไม่ได้ ใจเย็นขึ้นโกรธยากมาก คิดแล้วคิดอีกจะโกรธดีมั้ย จนแม่และพ่อบอกว่า เออนะ..เปลี่ยนไปเยอะเลย

    ส่วนเรื่องทำบุญมันก็มีบ้างแหละที่ขัดบ้างเล็ก ๆ ที่มักจะได้ยินแบบบอกว่าให้ทุ่มทำสุดฤทธิ์ แต่ส่วนเราแล้วบางทีก็ไม่ค่อยเห็นด้วย แต่ก็ไม่ได้คิดมากอะไร เพราะเราคิดว่าทางสายกลางคือ มีมากน้อยทำตามกำลัง แต่ที่เข้าใจคือ ทางวัดนั้นไม่ได้บอกหรอก แต่จะเป็นพวกผู้นำบุญมากกว่าที่มาสร้างแรงจูงใจให้ทุ่มทำบุญ เพราะหลวงพ่อมักจะพูดว่า ให้ทำแต่ห้ามยืมใครมาทำนะ ตามกำลังศรัทธา

    ไม่เคยยึดว่าแบบใด วัดใด เพราะสุดท้ายแล้วเป้าหมายก็เป็นเป้าหมายเดียวกันคือพระนิพพาน ที่สุดแห่งธรรม
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 19 มกราคม 2005
  6. ผ่านมา

    ผ่านมา บุคคลทั่วไป

    ค่าพลัง:
    +0
    ตอน3

    มาต่อตอน3กัน จริงๆแล้วไม่อยากพิมพ์เท่าไหร่เนื่องจากพิมพ์ช้ามากๆ แต่อยากจะเล่า เลยต้องทนพิมพ์ บ่นพอแล้วมาเล่าต่อกัน

    วันนั้นหลังเลิกเรียน ผมกับเพื่อนเลยเข้าไปที่ชมรมด้านใน เข้าไปก็เจอรุ่นพี่อีกกลุ่มหนึ่ง(คนละกลุ่มกับที่เจอตอนเที่ยง) พี่เขาก็ยกมือไหว้เราก่อนอีกแล้ว คือยกมือไหว้พี่เขาก่อนไม่ทันน่ะ แต่ไม่ตกใจแล้ว ก็ไหว้พี่เค้าตอบไป แล้วพี่เขาก็บอกให้เราไปกราบพระก่อน คือในชมรมด้านใน จะมีโต๊ะหมู่บูชาอยู่ เรากับเพื่อนก็เลยเข้าไปกราบพระ วันนั้นเลิกเรียน4โมงเย็น เดินเข้าไปถึงห้องชมรมด้านใน4โมงครึ่ง เนื่องจากตึกที่เรียนอยู่ไกลจากห้องชมรมพอสมควร พอกราบพระเสร็จ ก็คุยเรื่องสัพเพเหระกัน ระหว่างนั้นก็เริ่มมีรุ่นที่ท่านอื่นๆ ทยอยกันมาที่ชมรมรวมถึงพี่ที่เจอตอนเที่ยงด้วย จนถึงประมาณ5โมงเย็นจึงได้เริ่มสวดมนต์ทำวัตรเย็น เป็นการสวดมนต์เป็นครั้งแรกในชีวิต โดยจะมีรุ่นพี่นำสวด ซึ่งเขาจะกล่าวนำพวกบท หันธัมมะยัง พุทธัสสะ ภะคะวะโต อะไรประมาณนี้

    ตอนสวดมนต์ทำวัตรนี่ต้องบอกว่าทรมานมาก เนื่องจากต้องนั่งคุกเข่าอยู่บนส้นเท้า ซึ่งนานมากๆ ไอ้เราไม่เคยนั่งมาก่อนเลย ปวดนิ้วเท้าเป็นอย่างมาก หลังจากสวดมนต์ทำวัตรเสร็จ ก็จะมีการสมาทานศีล5 ศีล8 แล้วก็นั่งสมาธิ เป็นการนั่งสมาธิครั้งแรกอีกเช่นกัน โดยจะเปิดเทปการนำนั่งซี่งเป็นเสียงนำนั่งของหลวงพ่อธัมมชโย ท่านก็แนะนำฐานที่ตั้งของใจ 7 ฐาน และก็บอกวิธีการกำหนดบริกรรมนิมิตเป็นดวงแก้วใสและคำภาวนาว่า สัมมาอรหัง เราก็ทำตามท่านไป แรกๆก็ดีอยู่หรอก รู้สึกว่านิ่งสงบดี เป็นประสบการณ์ ที่แปลกใหม่ในชีวิตอีกแล้ว รู้สึกใจมันนิ่งๆ แต่แล้วผ่านไปไม่นาน 5-10นาทีได้ เริ่มเมื่อย เพราะไม่เคยนั่งมาก่อนจริงๆ เอาละซิทีนี้ เริ่มกระสับกระส่าย แล้วก็กระสับกระส่ายไปจนจบการนั่ง ซึ่งระหว่างนั้นรู้สึกยาวนานมากเหมือนเป็นชั่วโมงเลย ทั้งที่เปิดเทปนำนั่งจบหนึ่งหน้าก็เลิก ซึ่งก็แค่30นาทีเท่านั้น

    หลังจากนั่งสมาธิเสร็จก็มีการกล่าวคำอธิฐานประจำวันซึ่งเราว่าเนื้อหาดีมากเลย ขอนำมาแทรก ระหว่างการเล่าหน่อยละกัน มีเนื้อหาดังนี้
     
  7. prarahu

    prarahu เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ตุลาคม 2004
    โพสต์:
    842
    ค่าพลัง:
    +2,664
    ผมprarahuที่คุณว่าคุณมีความรู้สึกไม่เหมือนผมกับคุณอำนาจเกี่ยวกับวัดพระธรรมกายนั้น อย่าคิดไปในแบบอคตินะครับเพราะจะเป็นข้อถกเถียงที่ไม่สิ้นสุด ผมเองก็ได้ธรรมมะดีๆจากที่นี่เอาไว้คุณปฎิบัติจนได้ธรรมกายชั้นสูงแล้วคุณจะรู้อะไรเยอะแยะมากกว่าที่คุณคิด และสิ่งหนึ่งที่ผมไม่อยากให้เกิดคือความแตกสามัคคีและไม่อยากให้คิดว่าเราอยู่สำนักนี้ดีกว่าสำนักนั้นทั้งๆที่ธรรมมะยังไม่เกิดขึ้นในจิตในใจของเราจริง สิ่งที่เราสัมผัสมันเป็นเปลือกนอกครับความรู้สึกที่ศรัทธาจนเต็มเปี่ยมอาจทำให้เราลืมมองบางสิ่งไปก็ได้ครับ สำนักที่ปฎิบัติตามแนววิชชาธรรมกายมีหลายสำนักครับต้องศึกษาให้ดีครับ ผมเองเชื่อมั่นว่าวิธีการของพระพุทธองค์ทำให้เราบรรลุธรรมอันวิเศษได้ทั้งนั้นครับไม่ได้จำกัดเฉพาะวิธีใดวิธีหนึ่งขึ้นอยู่กับจริตของแต่ละบุคคล ปัญหาที่ต้องขบคิดคือวันเดือนปีผ่านไปกิเลสมันลดลงหรือไม่ การที่เราได้ลาภสักการะมีคนมายกมือไหว้เรามันทำให้เรากิเลสลดลงหรือทำให้หัวใจพองโตฟูฟ่องกลับมายึดความเป็นอัตตาเต็มเปี่ยมแบบไม่รู้สึกตัว ผมเองไม่อยากกล่าวเรื่องในเชิงลึกที่น้อยคนจะรู้มันจะเป็นการโต้เถียงที่ไม่มีวันจบ เอาเป็นว่าปฎิบัติให้ถึงธรรมกายแล้วจะได้ทราบวิธีการที่จะไปถึงพระนิพพานกันดีกว่าครับอย่าเสียเวลากับการโต้เถียงอันไร้จุดหมายเลยครับ ใครชอบที่ไหนปฎิบัติอย่างไรให้ถึงที่สุดของทุกข์ได้ผมว่านั่นคือสุดยอด
     
  8. ผ่านมา

    ผ่านมา บุคคลทั่วไป

    ค่าพลัง:
    +0
    ตอน4

    ขอบคุณคุณPraraและคุณอำนาจครับ ผมไม่ได้ต้องการโต้แย้งหรือทำให้แตกแยกอะไรครับ ผมเพียงแต่ต้องการเล่าประสบการณ์ที่ผมได้เจอมาและมุมมองที่ต่างไปจากพวกคุณเท่านั้นครับ ไม่ได้มีเจตนาไม่ดีอะไร ลองอ่านไปเรื่อยๆนะครับ แล้วจะรู้ว่าผมแค่เล่าเรื่องเฉยๆจริงๆ ขอบคุณที่เข้ามาอ่านนะครับ

    มาเริ่มตอนที่4 กันเลยครับ

    หลังจากกล่าวคำอธิฐานประจำวัน ก็จะมีการนั่งล้อมวงกันเล่าธรรมะ ก่อนเล่าจะมีการยกมือไหว้สวัสดีแนะนำตัวกันแต่ละคน เนื่องจากมีสมาชิกใหม่เข้ามา(ก็ผมนั่นแหละ) ซึ่งเราชอบช่วงนี้ที่สุดเลย เพราะสนุกมากและเป็นสิ่งที่เราไม่เคยได้ยินที่ไหนมาก่อนเลย โดยพี่ๆจะเอาชาดกบ้าง หัวข้อธรรมะต่างๆบ้าง ประสบการณ์ที่ไปเจอมาแต่ละวันแล้วสามารถเก็บเป็นข้อคิดได้บ้าง มาเล่าให้เราฟัง อ้อลืมบอกไป ในชมรมเรากับเพื่อนเด็กสุดคือเรียนอยู่ปวช.2เท่านั้น พี่ๆเขาเรียนปริญญาตรีไม่ก็ปวส.กันหมดแล้ว พี่ๆเขาก็จะผลัดกันเล่า และพอพี่แต่ละคนเล่าเสร็จ ก็จะมีการกล่าวอนุโมทนาสาธุกันทุกครั้ง นี่ก็เป็นประสบการณ์แปลกใหม่ที่เพิ่งเคยเจออีกเช่นกันรู้สึกแปลกดีว่า ทำไมต้องทำอย่างนั้นทุกครั้งด้วย(ตอนหลังถึงเข้าใจว่า การเล่าธรรมะเป็นบุญที่เกิดจากการแสดงธรรมที่เรียกว่าธัมมเทศนามัย เราเลยอนุโมทนาบุญกับเขาซึ่งเราก็จะได้บุญไปด้วยเรียกว่าปัตตานุโมทนามัย ซึ่งทั้งสองนี้อยู่ในบุญกริยาวัตถุ10ประการ นอกจากนี้ยังเป็นการให้กำลังใจแก่ผู้เล่าธรรมะด้วย)

    หลังจากเล่าธรรมะเสร็จ ก็จะเป็นช่วงที่เราชอบอีกเช่นกัน คือ พี่ๆจะนำน้ำปานะมาแจก เป็นนมบ้าง น้ำผลไม้บ้าง ซึ่งกินได้ทั้งศีล5และศีล8 เราเลยซัดซะเต็มคราบ ก็หิวนี่ครับ ไม่เคยถือศีล8เลย ถือเป็นครั้งแรก ไม่เคยถือศีล8ไม่เท่าไหร่ ปกติกินข้าวครบ3มื้อ บางวัน4มื้อด้วยซ้ำ ระหว่างกินก็คุยเรื่องต่างๆกันไป เพื่อนเราเลยเอาหนังสือธรรมะจากชั้นหนังสือมาให้เรากลับบ้านไปอ่าน ชื่อเดินไปสู่ความสุข เป็นเรื่องเกี่ยวกับ ประวัติของหลวงปู่วัดปากน้ำ ประวัติของคุณยายอาจารย์อุบาสิกาจันทร์ ขนนกยูง เรื่องของหลวงพ่อทัตตชีโว และหลวงพี่อีกหลายๆรูป ที่อยู่ในหมู่คณะยุคบุกเบิกรุ่นแรก ที่สร้างวัดพระธรรมกาย ซึ่งเราอ่านแล้วชอบทุกเรื่องเลย โดยเฉพาะเรื่องของหลวงพ่อทัตตะฯ ที่ท่านเล่าเรื่องของท่าน ตอนก่อนที่จะมาเจอหลวงพ่อธัมมะฯที่เป็นรุ่นน้องที่เกษตรศาสตร์ และมาเจอคุณยายอาจารย์ ขอเล่าแทรกนิดนึงนะครับเพราะผมชอบมาก เรื่องมีประมาณว่า

    ก่อนที่หลวงพ่อทัตตะฯจะมาเจอกับหลวงพ่อธัมมะฯและคุณยาย ท่านอยากเป็นขุนแผน คือท่านเป็นคนกาญจนบุรี และสนใจไสยศาสตร์ต่างๆ เลยอยากเป็นแบบขุนแผน ก็เลยเสาะหาอาจารย์ เพื่อเรียนไสยเวทย์ แล้วก็เรียนได้ดีเสียด้วยทำได้ตั้งหลายอย่าง สามารถเอามือจุ่มลงไปในกระทะกล้วยแขก หยิบกล้วยแขกร้อนๆขึ้นมากินได้ สามารถดูดปรอทมาใส่ไว้ในมือ หากไปแตะใครก็สามารถปล่อยเข้าไปสู่ตัวคนคนนั้นได้ คนที่โดนใส่ปรอท ก็จะมีอาการเหมือนแพ้พิษปรอทตาย แต่ท่านไม่เคยไปทดลองกับใครนะครับท่านเรียนมาจากอาจารย์เฉยๆ ต่อมามาเจอหลวงพ่อธัมมะซึ่งเป็นรุ่นน้องที่เกษตรฯ ถูกชะตาก็เลยจะถ่ายทอดวิชาให้ แต่หลวงพ่อธัมมะท่านไม่เอา(ตอนนั้นหลวงพ่อธัมมะท่านเรียนธรรมะกับคุณยายแล้ว แล้วได้ธรรมะแล้วด้วย) หลวงพ่อทัตตะท่านจึงจะโชว์วิชาท่านให้ดู ปรากฏว่าไม่สำเร็จครับ วิชาคุณไสยต่างๆ ที่เคยทำได้ ไม่สามารถใช้ได้เลย ก็เลยสงสัย ก็เลยถามหลวงพ่อธัมมะ หลวงพ่อธัมมะท่านก็เลยอธิบายให้ฟังว่า วิชาคุณไสยสู้วิชชาพระพุทธเจ้าไม่ได้หรอก วิชาคุณไสยเลยเสื่อม ตั้งแต่นั้นมาหลวงพ่อทัตตะท่านทิ้งวิชาคุณไสยโดยสิ้นเชิง หันมาศึกษาธรรมะของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอย่างจริงจัง จนได้มาเจอคุณยาย และได้มาร่วมสร้างวัด จนมาเป็นวัดพระธรรมกายที่ใหญ่โตเช่นทุกวันนี้

    ตอนนี้ขอจบไว้ที่เรื่องของหลวงพ่อทัตตชีโวท่านละกัน เดี๋ยวตอนต่อไปค่อยมาเล่าต่อว่าจะเกิดอะไรขึ้น

    โปรดติดตามตอนต่อไป
     
  9. ผ่านมา

    ผ่านมา บุคคลทั่วไป

    ค่าพลัง:
    +0
    ตอน5

    ขอบคุณคุณอำนาจที่เข้ามาอ่านครับ ที่ผมจำประวัติท่านได้ก็อย่างที่บอกแหละครับ เพราะผมชอบมากอ่านแล้วสนุกดี

    เริ่มตอนที่5กันเลยนะครับ

    ถึงไหนแล้วเนี่ย อ้อ หลังจากทานน้ำปานะเสร็จก็บูชาพระอีกครั้ง และก็ออกจากชมรม ระหว่างทางที่เดินออกมา ก้อคุยกันมาเรื่อยๆ เพราะกว่าจะถึงประตูทางออกก็ไกลมากเลย ตอนนั้นสถาบันมีประตูทางออกประตูเดียว คือประตูใหญ่ด้านหน้า แน่นอนเรื่องที่คุยกันก็มีแต่เรื่องธรรมะล้วนๆ จนผมอดแปลกใจไม่ได้ว่า ยังมีสังคมแบบนี้อยู่ในโลกอีกหรือ ต้องบอกก่อนว่า สถาบันที่ผมศึกษาอยู่เป็นสถาบันช่าง ซึ่งก็รู้ๆอยู่ว่าเป็นอย่างไร สุรานารีพาชีกีฬาบัตรครบ เข้ามาตอนปวช.ครั้งแรกตอนรับน้อง รุ่นพี่ก็ชวนกินเหล้าซะแล้ว อายุ15เองนะครับ

    พวกเราเดินทางถึงประตูทางออกต่างก็กล่าวอนุโมทนาบุญซึ่งกันและกันอีกครั้ง และก็แยกย้ายกันกลับ วันนั้นผมรู้สึกปลื้มปิติใจเป็นอย่างมาก มีโอกาสได้ทำทาน รักษาศีล และเจริญภาวนา กลับถึงหอด้วยความเบิกบานหลับอย่างเป็นสุขที่ไม่เคยพบมาก่อนเลยในชีวิต หลับสนิทจนกระทั่งรุ่งเช้า

    หลายๆคนอ่านถึงตอนนี้อาจจะนึกว่าตั้งแต่วันนั้นชีวิตผลก็เปลี่ยนเข้ามาสู่เส้นทางการสร้างความดีอย่างเต็มตัวใช่ไหมครับ... ไม่ใช่เลยครับ หลับไปตื่นขึ้นมา สายเหมือนเดิม ไปเรียนตามปกติ คบเพื่อนฝูงตามปกติ ศีล5ไม่ครบตามปกติ แต่ผมเริ่มมาตักบาตรทุกสัปดาห์เพราะทำแล้วรู้สึกดี เข้าไปที่ชมรมบ่อยขึ้นเพื่อหาหนังสือธรรมะอ่านก็แค่นั้น จนเวลาผ่านไปหลายเดือน พี่ๆได้ชวนผมไปวัดพระธรรมกาย ในโครงการน้องใหม่ไปวัด ที่ทางชมรมจัดขึ้น ผมก็เลยมีโอกาสไปวัดพระธรรมกายเป็นครั้งแรกตอนต้นปี 2538

    การไปวัดพระธรรมกายตอนแรกของผม พี่ๆพาเข้าไปในในเขตวัด 196 ไร่ ซึ่งสงบร่มเย็นมีแมกไม้เต็มไปหมด(ในตอนนั้นเนื้อที่ 2000 ไร่ ในปัจจุบันยังเป็นทุ่งนาฟ้าโล่ง ตอนนั้นหลวงพ่อธัมมะท่านเพิ่งมีดำริสร้างมหาธรรมกายเจดีย์เท่านั้น เพิ่งเริ่มปรับพื้นที่) พาเข้าไปที่โบสถ์ที่มีรูปทรงที่แปลกตา แต่ผมไม่ได้แปลกใจอะไร เหมือนที่ใครหลายๆคนเป็นนะครับ เพราะผมเป็นเด็กรุ่นใหม่พอสมควร เรียนสายวิทย์สายช่างมาตลอด ก็ดูว่าเป็นสิ่งก่อสร้างอย่างหนึ่งเท่านั้น พี่ๆอธิบายว่า ที่หลวงพ่อท่านสร้างโบสถ์ออกมาแบบนี้ไม่ได้ต้องการจะทำให้แปลกแยกอะไร เพียงแต่ตอนสร้างโบสถ์มีโจทย์ว่า ต้องเรียบง่ายและคงทนหากชำรุดก็ต้องซ่อมได้ง่ายๆ รูปแบบโบสถ์จึงออกมาเป็นอย่างนี้ ไม่ได้มีการตกแต่งให้วิจิตรพิสดารมีรูปฝาผนังเหมือนอย่างที่อื่น เพราะมองว่าการประดับด้วยกระจกสี หรืออะไรต่างๆ ล้วนสิ้นเปลืองและหากชำรุดก็ซ่อมยาก ปัจจุบันช่างทางนี้ก็หายากอยู่แล้วอนาคตไม่ต้องพูดถึง แล้วถ้าชำรุดซ่อมทีก็แพง ส่วนตกแต่งต่างๆก็ชำรุดได้ง่าย เพราะโจทย์ตอนแรกบอกว่าต้องคงทน คือ ต้องอยู่ได้ร้อยปีโดยไม่ต้องซ่อมหรืออย่างน้อยๆก็ต้องห้าสิบปี จากวันนั้นถึงวันนี้ เกือบ30ปีแล้วไม่มีการซ่อมโบสถ์เลย(วัดพระธรรมกายเริ่มสร้างมาถึงตอนนี้34ปีแล้ว แต่โบสถ์สร้างทีหลังจึงมีอายุเกือบ30ปี)

    การไปวัดพระธรรมกายครั้งแรกของผมไม่ได้ประทับใจอะไรเป็นพิเศษเพราะผมมองว่า ก็เหมือนวัดทั่วไป แต่มีสิ่งหนึ่งที่สะดุดใจผมคือ พระประธานในโบสถ์ที่เข้าไปกราบท่าน เนื่องด้วยตั้งแต่เล็กจนโต เห็นพระพุทธรูปมาเยอะ ขอโทษนะครับ ในความรู้สึกของผมดูว่าไม่น่าจะใช่คน คนอะไรหูยานขนาดนั้น นิ้วก็เท่ากันหมดอีก อันนี้ความรู้สึกตอนก่อนนั้นที่ยังไม่เคยรู้เรื่องอะไรนะครับ หากใครอ่านถึงตอนนี้แล้วรู้สึกขัดใจผมต้องขอโทษด้วย เพราะผมเล่าเรื่องนี้จากประสบการณ์ในชีวิตของผมจริงๆ แต่พระประธานในโบสถ์ที่วัดพระธรรมกายไม่เป็นอย่างนั้น ดูแล้วเห็นว่าเหมือนคนมากกว่า ดูเรียบง่ายไม่มีการตกแต่งให้วิจิตรพิสดารอะไร เหมือนตัวโบสถ์นั่นแหละ แต่ดูสง่างามสมส่วน และแฝงไปด้วยพลังอย่างน่าประหลาด หากใครยังไม่เคยเห็นเข้าไปพิสูจน์ได้นะครับ

    เล่ามาถึงตอนนี้ต้องขอชี้แจงเรื่องบางเรื่องเสียหน่อย ที่บอกว่าวัดพระธรรมกายลึกลับห้ามเข้า อันนี้ไม่จริงครับ ขนาดผมไปวัดครั้งแรกยังเข้าไปได้ทุกที่ จะมีส่วนทีไม่ให้เข้าจริงๆ ก็แค่ส่วนของสังฆาวาส(ที่พักของคณะสงฆ์) แต่ก็ห้ามเฉพาะผู้หญิงเท่านั้นผู้ชายไม่ได้ห้าม ตรงนี้ต้องมาทำความเข้าใจกันก่อน ทำไมให้ผู้หญิงเข้า เนื่องด้วยพระแต่ละท่านยังไม่หมดกิเลส หลายๆท่านยังเป็นปุถุชนที่กิเลสพร้อมจะฟุ้งได้เสมอ หากได้เจอกับข้าศึกของพรหมจรรย์บ่อยๆเดี๋ยวจะยุ่ง กันไว้ดีกว่าแก้ หลายๆท่านอาจจะสงสัยว่าต้องกันผู้หญิงขนาดนั้นเลยหรือ เนื่องด้วยพระภิกษุที่อยู่ประจำวัดพระธรรมกายนั้นตั้งใจบวชอุทิศชีวิตกันทั้งนั้น ดังนั้นอะไรที่เป็นข้าศึกแก่พรหมจรรย์ต้องกันไว้ก่อน แต่วันนั้นที่ไปไปกันเป็นหมู่คณะหลายๆคนมีทั้งผู้ชายและผู้หญิง ขออนุญาตชมวัด ทางวัดก็อนุญาตนะครับ แต่ต้องขออนุญาตก่อน เพราะเขตนี้ยังไงก็ไม่ให้ผู้หญิงเข้า ถ้าจะเข้าต้องขออนุญาต

    จะมีอีกที่ที่ไม่ให้เข้า แต่ก็ไม่ถึงกับห้าม คือ อาคารภาวนา ซึ่งเป็นที่ทำสมาธิของพระภิกษุสงฆ์ อันนี้ทั้งผู้ชายผู้หญิง ผู้หญิงไม่ต้องพูดเข้าไม่ได้อยู่แล้วเพราะอยู่ในเขตสังฆาวาส แต่ผู้ชายก็ควรเลี่ยง เพราะเกรงว่าจะไปรบกวนการทำสมาธิของพระภิกษุท่าน แต่หากจำเป็นต้องผ่านจริงๆก็ให้เงียบๆไม่ส่งเสียงดัง

    อ่านที่ผมเล่ามาแล้ว อาจจะดูมีกฎเกณฑ์เยอะไปหน่อย แต่ก็นั่นแหละ ทำให้วัดพระธรรมกายดูเป็นระเบียบเรียบร้อยมาถึงทุกวันนี้ หลังๆมานี้กฎเกณฑ์ต่างๆเหล่านี้ ผ่อนปรนลงมาเยอะ เนื่องด้วยมีคนมาวัดพระธรรมกายเยอะขึ้น และหลายๆคนไม่เข้าใจ ก็เอาไปพูดในทางเสียหาย อย่างที่หลายๆท่านเคยได้ยินมานั่นแหละ

    ตอนนี้รู้สึกจะยาวไปหน่อย เอาไว้แค่นี้ละกัน แล้วเจอกันตอนต่อไป
     
  10. ผ่านมา

    ผ่านมา บุคคลทั่วไป

    ค่าพลัง:
    +0
    ตอน6

    ตอนที่6แล้วนะครับ เริ่มเล่าเลยดีกว่าไม่อยากพล่ามนาน

    หลังจากที่ได้ไปวัดพระธรรมกายกลับมาแล้ว ก็เหมือนเดิมครับ ทำตัวเหมือนเดิม จนกระทั่งใกล้ๆ จะปลายเทอม2ของปวช.2 เพื่อนผมคนเดิมชวนบวชครับ ก็อบรมธรรมทายาทนั่นแหละครับ(อิๆ เข้าเรื่องธรรมทายาทจริงๆเสียที) เหมือนเดิมครับปฏิเสธครับ ยังมีความคิดแบบคนทั่วไปว่า จะบวชเมื่อไหร่ก็ได้ ไม่เห็นต้องรีบร้อน ไว้เรียนจบก่อนค่อยบวชก็ได้(หมายถึงจบปริญญาตรีนะครับ) ไอ้บวชน่ะบวชแน่ เพราะหลังจากที่ได้ไปตักบาตรวันนั้น จนถึงวันนี้ได้เรียนรู้อะไรเกี่ยวกับพระพุทธศาสนาหลายอย่าง จนกล้าพูดได้อย่างเต็มปากว่า ผมเลือกที่จะนับถือพระพุทธศาสนา เป็นชาวพุทธเพราะผมเลือกเอง ไม่ได้ได้มาโดยทะเบียนบ้าน ยังไงผมก็ต้องบวชเพื่อทดแทนพระคุณพ่อแม่ ให้ท่านได้บุญไปกับผม เพื่อนผมชวนบวชอยู่เรื่อยๆ ผมก็ปฏิเสธเรื่อยมา จนกระทั่งมีเหตุการณ์ 2 เหตุการณ์ ที่เป็นจุดเปลี่ยนของชีวิตผม อันที่จริงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่ได้เกี่ยวกับผมเลย แต่มันทำให้ผมคิดได้ จึงตัดสินใจบวช เหตุการณ์ที่ว่าคือ

    คุณพ่อของรุ่นพี่ที่ชมรมพุทธศาสตร์เสียชีวิต ซึ่งรุ่นพี่คนนี้เป็นคนที่ผมเคารพมาก ไม่ใช่เคารพเพราะพี่เขาแก่กว่า แต่เพราะคุณธรรมในตัวพี่เขาหลายๆอย่างที่ได้แสดงให้ผมเห็น ว่าฝึกตัวมาดีแล้ว ตามคำสั่งสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า(ตอนนี้พี่เขาเป็นอุบาสก ช่วยงานเผยแผ่พระศาสนาอยู่ที่ญี่ปุ่น) ผมได้ไปร่วมงานศพคุณพ่อของพี่เขา พี่เขาเล่าให้ฟังว่า ก่อนคุณพ่อเสียชีวิต พี่เขาได้ทำหน้าที่ลูกที่ดีจนกระทั่งจวบจนวาระสุดท้ายของคุณพ่อ คือ ก่อนที่ท่านจะเสียชีวิตนั้นท่านป่วยนอนอยู่ที่โรงพยาบาล พี่ผมคนนี้หลังจากเลิกเรียนแล้วก็แวะไปเยี่ยม ท่านก็บ่นกับพี่ผมว่านอนไม่หลับ พี่ผมก็เลยนำท่านทำสมาธิ โดยสอนตามที่ได้รับรู้มาจากครูบาอาจารย์นั่นแหละ คุณพ่อท่านก็ทำตาม จนกระทั่งท่านเริ่มนิ่งไป ลมหายใจก็แผ่วเบาลงเรื่อยๆ รุ่นพี่ผมก็ไม่ได้เอะใจอะไร เพราะเป็นอาการปกติของคนทำสมาธิ จนกระทั่งท่านนิ่งไป พี่ผมก็นั่งเฝ้าคุณพ่อต่อไป โดยคิดว่าคุณพ่อหลับ จนคุณหมอได้เข้ามาตรวจตามปกติ จึงได้บอกพี่ผมว่าคุณพ่อท่านเสียชีวิตแล้ว เท่านั้นแหละครับ พี่ผมเล่าว่า ปล่อยโฮเลย พี่ผมบอกว่า นี่ขนาดฝึกตัวมาเยอะนะ รู้ธรรมะก็เยอะ พ่อก็ป่วยมานาน ทำใจไว้แล้ว แต่ก็ยังอดร้องไห้ไม่ได้(ผมว่าไม่แปลกอะไรขนาดพระอานนท์เป็นถึงพระโสดาบันก็ยังร้องไห้ตอนพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรินิพาน) รุ่นพี่ผมบอกต่อไปว่านี่ดีนะ ที่ได้ตอบแทนคุณท่านจนถึงวินาทีสุดท้าย หลายๆคนคงทราบ ว่าหากตายอย่างสงบในขณะจิตเป็นสมาธิ รับรองไปสุคติแน่นอน เพราะการอบรมธรรมทายาทแท้ๆ เป็นจุดเริ่มต้นให้ได้เรียนรู้สิ่งต่างๆมากมาย และทำให้ท่านได้ตอบแทนคุณคุณพ่อได้อย่างแท้จริงคือ ปิดอบายให้ท่าน

    ผมได้ฟังถึงตอนนี้ผมอึ้งเลย ย้อนมาดูตัวเอง หากพ่อผมเป็นอะไรไปตอนนี้ ผมจะมีความสามารถที่จะช่วยพ่อได้เหมือนพี่เขาไหมนี่ พ่อผมอายุมากกว่าพ่อพี่เขาอีกเนื่องจากมีลูกตอนอายุมากแล้ว และผมเป็นคนสุดท้อง ตอนนั้นผมตอบตัวเองได้เลยว่าผมช่วยพ่อไม่ได้แน่ๆ ตัวเองความรู้งูๆปลาๆยังเอาตัวไม่รอด จะไปช่วยใครได้ หากจะหาความรู้มาช่วยคนอื่นได้ก็ต้องได้จากการบวชนี่แหละ เริ่มมีความคิดที่จะบวชแล้ว แต่ก็นั่นแหละนะยังคิดว่า พ่อเราแข็งแรงมาโดยตลอด ป่วยสักครั้งก็ไม่เคยเห็น เป็นอย่างมากก็แค่หวัด ไม่เป็นไรน่ะ รอเรียนจบอีแค่หกปีเอง หลังจากวันนั้นมาไม่ถึงอาทิตย์ ก็ได้มีเหตุการณ์อีกเหตุการณ์หนึ่งเกิดขึ้นทำให้ตัดสินใจบวชทันที เหตุการณ์ที่ว่าคือ

    รุ่นพี่ชมรมพุทธศาสตร์เกษตรศาสตร์เสียชีวิต ซึ่งผมไม่ได้รู้จักมักจี่อะไรพี่เขา เพียงแต่รุ่นพี่ผมรู้จัก ก็เลยมาเล่าให้ฟัง คนอื่นฟังก็คงเฉยๆ แต่สำหรับผมแล้วสะกิดใจอย่างแรง เรื่องมีดังนี้ พี่เขาเข้าไปช่วยงานที่วัดพระธรรมกาย โดยเป็นอาสาสมัครคอยอำนวยความสะดวกให้สาธุชนที่มาวัด เป็นจราจรคอยโบกรถให้วิ่งตามเส้นทาง และจัดจอดรถบัสที่พาสาธุชนมาวัดให้เป็นระเบียบ สาธุชนจะได้ไม่หลงและจะได้ไม่ตกรถ(วัดพระธรรมกายจัดรถบัสรับสาธุชนมาวัดตามจุดต่างฟรีโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆ) ขณะที่กำลังรับบุญช่วยงานอยู่นั้น พี่เขาโดนรถบัสถอยมาชนเสียชีวิต ที่ลานจอดรถบัสบริเวณพื้นที่2000ไร่ภายในวัด ผมฟังแล้วอึ้งอีกเช่นกัน ภายในวัดปกติอันตรายไม่ค่อยมี แล้วอีกอย่างพี่เขาก็ทำงานรับบุญอยู่ ก็ยังมาตายในวัด เอาละสิที่นี้ หันมาดูตัวเอง อยู่ข้างนอกอันตรายเพียบ แถมบุญอะไรก็ไม่มี ยังสำมะเรเทเมาอยู่เลย หากเราเกิดอุบัติเหตุตายขึ้นมาล่ะ เริ่มคิดถึงการบวชอีกแล้ว ตอนที่คุณพ่อของรุ่นพี่เสียชีวิต เราคิดว่าอีกแค่หกปีเอง มาถึงตอนนี้คิดใหม่ว่า จะแน่ใจได้อย่างไรว่าเราจะสามารถรักษาลมหายใจได้ถึงหกปี อุบัติเหตุไม่เข้าใครออกใคร รอถึงหกปีถ้าจะไม่ได้การเสียแล้ว หากตายก่อนไม่ได้บวชแน่ ก็เลยตัดสินใจบวชทันที

    มาถึงตอนนี้ ขอชี้แจงเรื่องบางเรื่องอีกเช่นเคย มีบางคนบอกว่า วัดพระธรรมกายสอนให้ลูกไม่เชื่อฟังพ่อแม่ อกตัญญูต่อพ่อแม่ ทุกท่านก็ลองอ่านเรื่องรุ่นพี่ของผมคนนี้ดูละกัน เป็นลูกที่กตัญญูอย่างเต็มเปี่ยม จนถึงวาระสุดท้ายของชีวิตพ่อ และเป็นการกตัญญูที่สูงมากด้วยคือปิดอบายให้ท่าน

    อีกเรื่องหนึ่งคือ คนไม่มีเงิน ไปวัดพระธรรมกายไม่ได้ อันนี้ก็ไม่จริง ผมไม่มีเงินผมไปวัดได้สบาย รถวัดก็จัดมารับขึ้นฟรี ไปถึงก็มีอาหารจัดไว้ไห้กินฟรีอีก หลายครั้งที่ผมไปวัดโดย ไม่มีเงินสักบาท ไปกินข้าวที่วัดเสร็จ แต่เวลามีผมก็ร่วมทำบุญคืนนะครับ ไม่ได้ไปเอาของวัดอย่างเดียว บาปแย่

    ตอนนี้ก็ยาวอีกเช่นเคย ตัดสินใจบวชแล้ว ตอนหน้าจะได้พูดถึงธรรมทายาทจริงๆเสียที อย่าลืมติดตามนะครับ
     
  11. ผ่านมา

    ผ่านมา บุคคลทั่วไป

    ค่าพลัง:
    +0
    ตอน7

    ตอนแรกที่โพส ไม่ได้กะจะเล่าอะไรยาวแบบนี้ เล่าไปเล่ามา มาถึงตอนที่7แล้ว เอาล่ะมาดูกัน

    เรื่องธรรมทายาท ผมคงไม่เล่าอะไรมากเนื่องจากจะคล้ายๆ กับที่คุณอำนาจได้โพสไว้ ผมจะเล่าในส่วนที่แตกต่างออกไปเท่านั้น ใครยังไม่ได้อ่านเรื่องธรรมทายาท ก็หาอ่านได้จากกระทู้นี้เลยครับ http://www.palungjit.org/board/showthread.php?t=2972

    เริ่มเล่าส่วนที่ต่างเลยนะครับ ตอนที่ผมอบรมธรรมทายาท ต้นปี2538 ช่วงปิดเทอมซัมเมอร์ เป็นธรรมทายาทรุ่นที่23 ซึ่งผมเป็นนักศึกษาระดับปวช.เท่านั้น ปกติจะต้องอบรมธรรมทายาทรุ่นมัชชิม(การอบรมธรรมทายาทจะแบ่งเป็น ยุวธรรมทายาท มัชชิมธรรมทายาท และธรรมทายาทอุดมศึกษา โดยแต่ละประเภทแบ่งตามเกณฑ์อายุและการศึกษา เพื่อจะได้จ้ดการอบรมให้เหมาะกับวัยวุฒิและคุณวุฒิ) แต่เนื่องจากสถาบันการศึกษาที่ผมได้ศึกษาอยู่สังกัดทบวงมหาวิทยาลัย จึงได้อบรมธรรมทายาทรุ่นอุดมศึกษาไปโดยปริยาย ซึ่งพอเข้าไปก็เป็นเด็กท้ายๆแถวเลยละครับ เพราะเขาเรียงตามอายุอย่างที่คุณอำนาจบอก

    เริ่มต้นการอบรมด้วยการปฐมนิเทศ ที่หอประชุมคณะวิศวะจุฬา พ่อแม่พี่น้องจะมาส่งลูกหลานที่นี่ แล้วเข้าฟังการปฐมนิเทศด้วยกัน หลังการปฐมนิเทศ ธรรมทายาททั้งหมดจะขึ้นรถบัสเพื่อไปฝึกภาคสนามที่ค่ายทหารแห่งหนึ่ง จุดประสงค์ก็เพื่อทดสอบความอดทนและระเบียบวินัย และได้ทำความรู้จักกัน ถามว่าทำไมต้องทดสอบความอดทน เพราะการบวชไม่ใช่เรื่องสบายแน่ๆ เพราะถ้าต้องการสบายต้องนอนอยู่บ้าน ไม่ใช่มาบวช และการฝึกระเบียบวินัยก็เพื่อให้ชินเข้าไว้ ระเบียบวินัยทางโลกเล็กๆน้อยๆยังทนไม่ได้ แล้วศีล227ข้อจะรักษาได้อย่างไร ก็ไปฝึกภาคสนามอยู่3วัน จากนั้นก็กลับเข้าวัดพระธรรมกาย

    อย่างที่บอกเมื่อกลับถึงวัด ธรรมทายาททุกคนตกใจมาก เพราะถึงวัดปุ๊ปโกนหัวปั๊บ ไม่มีใครรู้มาก่อนเลยแม้แต่ผมเอง บางคนสงสัยว่าก็ยังไม่ได้บวชอบรมก่อน ทำไมต้องโกนหัวด้วย หลวงพี่พระพี่เลี้ยงท่านตอบว่า ถึงยังไม่ได้บวช แต่ก็ถือศีลแปด ปฏิบัติธรรมเหมือนบวชแล้วนั่นแหละ แล้วผมนี่ตัวทำให้ฟุ้งเลย บางคนห่วงหล่อ ห่วงผมมาก คอยแต่จะส่องกระจก ดังนั้นแก้ง่ายๆ คือโกนมันทิ้งซะ จะได้เอาเวลาที่ห่วงหล่อ มาประพฤติปฏิบัติธรรม เตรียมตัวเป็นพระที่ดี เมื่อบวชแล้ว นอกจากนั้นยังเป็นกุศโลบายเล็กๆด้วย ถ้าใครเกิดอบรมไปกลางคันแล้วท้อ อยากจะเลิก จะได้เกิดแรงฮึดว่า เอาวะไหนๆก็โกนหัวแล้วทนอีกหน่อยจะเป็นไรไป

    หลังจากโกนหัวแล้ว ทุกคนก็เปลี่ยนมาอยู่ในชุดขาวที่เตรียมไป ทุกคนจะได้รับกลดซึ่งก็คือร่มคันใหญ่ๆกับมุ้งนั่นแหละ แล้วก็มีผ้าพลาสติกปูนอนพร้อมเสื่อ และก็ผ้าพลาสติกสำหรับคลุมกลดกันน้ำค้างอีกที เนื่องจากร่มกลดที่ทางวัดแจกให้กันน้ำไม่ได้ จากนั้นทุกคนก็ไปกางกลด กางเองนะครับ โดยจะมีพี่เลี้ยงซึ่งเป็นรุ่นพี่ชมรมพุทธฯคอยสอน จากนั้นหลวงพี่ท่านก็จะให้ ไปนำสำภาระที่จำเป็นที่เตรียมมา มาใส่ในกล่องพลาสติกกันน้ำที่ทางวัดจัดไว้ให้กับทุกคน ย้ำว่าจำเป็นจริงๆนะครับ เช่นพวกสบู่ แปรงสีฟัน ยาสีฟัน แชมพู เอ๊ยไม่มี โกนหัวแล้วลืมไป เห็นไหมครับข้อดีของการโกนหัว ลดขั้นตอนการอาบน้ำได้หนึ่งขั้นตอนทุ่นเวลาไปตัวเยอะ สำภาระจำเป็นที่เตรียมมา(ย้ำว่าจำเป็นจริงๆนะครับ อย่างอื่นโดนริบหมด ไม่ว่าเป็นอะไร) ก็จะถูกนำมาใส่กล่องเพื่อเก็บไว้ข้างกายภายในกลด ธรรมทายาทมีของใช้แค่นี้จริงๆครับ ไม่มีอะไรเลย ทำให้รู้สึกโล่งสบายจริงๆ

    ตอนนี้เอาไว้แค่นี้ก่อนละกัน เดี่ยวเจอกันตอนต่อไป
     
  12. ji

    ji เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 มกราคม 2005
    โพสต์:
    42
    ค่าพลัง:
    +391
    ji

    ไม่ต้องว่ากันหรอก ใครชอบอย่างไรก็ทำไป เอาธรรมะของพระพุทธเจ้าดีกว่า แต่อย่าเอาอย่างพวกประเภทที่ทุ่มทำบุญแล้วต้องลำบากครอบครัวและตัวเองก็ต้องมากลุ้มใจเพราะทรัพย์สินเอาไปทำบุญหมด เฮ้อ...แย่จัง
     
  13. mikky

    mikky เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    892
    ค่าพลัง:
    +577
    คุณพระราหู เขียนได้ดีมากครับ ผมอยากให้ชาวพุทธเป็นอย่างคุณให้หมด จะได้มีความสามัคคี คือพลัง ว่าง ๆมาเรื่องปราปมารให้ผมฟังบ้างสิ พักนี้ผมสนใจภาคปรามารขึ้นมาเฉย ๆ อยากศึกษามาก ๆ เลย
    อนุโมทนา ครับ
     
  14. mikky

    mikky เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    892
    ค่าพลัง:
    +577
    คุณผ่านมา ขยันเขียนจัง
    เดี๋ยวกลับมาอ่านต่อนะครับ
     
  15. นายฉิม

    นายฉิม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กันยายน 2004
    โพสต์:
    2,099
    ค่าพลัง:
    +2,696
    รออ่านอยู่เหมือนกัน
     
  16. piromsuparp

    piromsuparp เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    97
    ค่าพลัง:
    +2,754
    รออ่านครับ (smile)
     
  17. ผ่านมา

    ผ่านมา บุคคลทั่วไป

    ค่าพลัง:
    +0
    ตอน8

    ขอบคุณนายฉิมและpiromsuparp ที่สละเวลาเข้ามาอ่านครับ มาเริ่มตอนต่อไปกันเลยดีกว่า

    หลังจากที่ทุกคนได้เตรียมกลด เตรียมสำภาระของตัวเองเรียบร้อยแล้ว ก็เริ่มปฏิบัติธรรมกันเลยครับ เย็นนั้นมีการทำวัตรสวดมนต์ อาราธนาศีล8 และก็นั่งสมาธิกันเลยครับ ใครที่ยังสวดมนต์ทำวัตรไม่ได้ก็ไม่ต้องห่วงครับ มีหนังสือสวดมนต์แจกให้ ให้เลยนะครับให้ทุกคนเก็บไว้เลย เพราะสำคัญมากเปรียบเสมือนคู่มือในการอมรมครั้งนี้เลยทีเดียว ในนั้นจะมีบทสวดมนต์ทำวัตร บทขอบวช บทให้พระ ฯลฯ อีกมายมาย ซึ่งธรรมทายาทต้องใช้เวลา1เดือนของการอบรมท่องให้ได้ทุกบทก่อนบวช บางคนอาจจำไม่ได้ทุกบทไม่เป็นไร แต่บทที่ต้องจำให้ได้คือบทขอบวชและบทให้พร

    ในระหว่างการอบรมก็ได้มีเรื่องอะไรต่างๆ มากมายคล้ายๆที่คุณอำนาจได้เล่ามาแล้ว จนกระทั่งถึงวันบวช แต่ก่อนจะถึงตรงนั้นขอ นำสิ่งดีๆที่ได้จากการอบรมมานำเสนอนิดนึง ช่วงแรกของการอบรม เนื่องจากธรรมทายาท300-400คน มาจากคนละที่ทั่วประเทศ นิสัยแต่ละคนก็ไม่เหมือนกัน บ้างครั้งมีการกระทบกระทั่งกันบ้าง ซึ่งอาจทำให้ขุ่นข้องใจและเป็นปัญหาขึ้นมาได้ หลวงพี่ท่านเหมือนรู้(แหมไม่รู้ได้ไงจัดอบรมมาตั้งหลายรุ่นแล้ว) ท่านนำเรื่องหนื่งมาเทศน์ซึ่งดีมากๆ ผมจำมาถึงวันนี้ ท่านเอากระดาษขาวมาแผ่นหนึ่ง ตรงกลางกระดาษขาวมีจุดสีดำอยู่หนึ่งจุด ท่านเอามาถามเหล่าธรรมทายาทว่าเห็นอะไรบ้าง ธรรมทายาททุกคนจะตอบเป็นเสียงเดียวกันว่า
     
  18. ผ่านมา

    ผ่านมา บุคคลทั่วไป

    ค่าพลัง:
    +0
    ตอน9

    เล่าไปเล่ามาจะถึงสิบตอนแล้ว ตอนที่9นี้เรามาดูเหตุการณ์ในวันบวชกัน

    ก่อนจะเล่าเรื่องวันบวชและหลังบวชต่อไป ขอบอกเรื่องที่ไม่ตรงกับคุณอำนาจได้เล่ามาสักนิด ธรรมทายาทรุ่นที่ผมอบรมนั้นมีระยะเวลาการอบรมเพียง2เดือนไม่ใช่3เดือน ไม่ทราบว่าคุณอำนาจจำผิด หรือรุ่นที่คุณอำนาจอบรมอบรมกัน3เดือนจริงๆ เพราะเป็นรุ่นก่อนผมพอสมควร ที่อบรม2เดือนเพราะจัดลงล็อคกับเวลาช่วงปิดเทอมซัมเมอร์พอดี คือหยุดซัมเมอร์ประมาณ3เดือน เดือนแรกให้จัดการเรื่องสอบFinalและเรื่องเกรดให้เรียบร้อย จากนั้นที่เหลืออีก2เดือนจึงมาอบรม เวลาการอบรมจึงเป็น2เดือน

    มาถึงวันบวชเสียที สมัยนั้นยังจัดงานบวชที่วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนารามอยู่ ธรรมทายาททุกคนไปเตรียมตัวที่นั้นกันแต่เช้า แล้วก็ได้เจอหน้าพ่อแม่ญาติพี่น้องของตัวเองตอนขอขมาเพื่อลาบวช ตอนขอขมานี้ธรรมทายาทหลายๆคนร้องไห้ออกมาเลย ผมเองก็เป็นหนึ่งในนั้น เพราะบทขอขมามีเนื้อหาว่าขอขมาลาโทษ ในสิ่งที่ได้ผิดพลาดล่วงเกินซึ่งกันและกัน เพื่อความบริสุทธิ์ในเพศพรหมจรรย์ต่อไป ตอนผมขอขมานั้นสิ่งที่ผมได้ทำผิดพลาดล่วงเกินพ่อแม่นั้น ขึ้นมาในใจเป็นฉากๆเลย รวมถึงตอนก่อนบวชหลวงพี่ได้นำเรื่องพระคุณพ่อแม่มาเทศน์ ทำให้ระลึกถึงพระคุณท่านอย่างสุดซึ้ง รวมถึงผมได้มาบวชในครั้งนี้ ก็เพื่อตั้งใจจะมาศึกษาวิชาความรู้ในพระพุทธศานา เพื่อในเวลาฉุกเฉินจะได้ช่วยเหลือผู้ที่มีพระคุณของผมได้ เหมือนอย่างรุ่นพี่เขาดังที่ได้เล่ามาแล้ว ความรู้สึกทุกอย่างได้ท่วมท้นขึ้นมาจนผมไม่สามารถกั้นน้ำตาไว้ได้ คงกล่าวได้แต่เพียงคำว่าอุกาสะเท่านั้น นอกนั้นมีแต่เสียงสะอื้นไห้ และวันนั้นเองเป็นวันแรกที่ผมได้เห็นน้ำตาของพ่อผม ปกติพ่อผมเป็นคนเข้มแข็งมาก ผมไม่เคยเห็นน้ำตาท่านเลย ไม่ว่าที่บ้านจะเกิดเรื่องเลวร้ายอย่างไร แต่วันนี้ผมได้เห็นน้ำตาท่าน น้ำตาที่หลั่งออกมาไม่ใช่ด้วยความเสียใจ แต่เป็นความปิติใจที่ผมได้บวชทดแทนคุณท่าน ถึงแม้ว่าในขณะนั้นอายุของผมทำได้แค่บวชเณรเท่านั้น

    หลังจากขอขมาแล้ว นาคธรรมทายาททุกคนก็เดินกลับไป เพื่อตั้งแถวเตรีมเวียนประทักษิณเข้าโบสถ์เพื่อขอบรรพชาต่อไป ซึ่งขั้นตอนในการบรรพชาผมจะไม่ขอกล่าวถึงจะข้ามไป ตอนหลังจากบรรพชาแล้ว สามเณรธรรมทายาททุกรูป(บวชเป็นเณรก่อนทุกคน จากนั้นคนที่ครบเกณฑ์บวชพระได้จะทยอยบวชตามลำดับอายุต่อไป) ก็จะเข้ามารับอัฐบริขารและไทยธรรมจากโยมพ่อโยมแม่ แล้วก็ให้พร เป็นครั้งแรกที่ได้ให้พรโยมพ่อโยมแม่เป็นภาษบาลี สามเณรธรรมทายาทตั้งใจกันมากเนื่องจากมาบวชก็เพื่อการนี้ ได้ให้พอแม่ได้บุญไปกับเราด้วย ทุกรูปจะตั้งใจเปล่งเสียงสวดให้พรออกมาอย่างเต็มเสียง เนื่องด้วยบทให้พรจะต้องท่องได้ตั้งแต่ตอนอบรมช่วงเดือนแรกแล้ว ทุกรูปจึงไม่มีการขัดเขินตอนให้พร

    หลังจากเสร็จพิธีกรรมทุกอย่างแล้ว ก็จะปล่อยให้สามเถรธรรมทายาท ได้พูดคุยกับบรรดาโยมทั้งหลายซึ่งเป็นเวลาที่ฟรีแล้ว สามเถรที่ไม่มีกำหนดอุปสมบทวันนั้นก็จะไปนั่งคุยกับโยมพ่อโยมแม่และญาติๆ จนถึงเวลาอันควร ก็จะมีการเรียกรวมธรรมทายาทเพื่อถ่ายรูปหมู่ร่วมกันหน้าโบสถ์วัดเบญจฯ จากนั้นก็จะกลับมาจำวัดที่วัดพระธรรมกายต่อไป

    ขอเล่าเรื่องวันบวชเพียงเท่านี้ ผมไม่มีบรรยากาศตอนอุปสมบทมาเล่า เนื่องจากอายุขณะนั้นบวชได้แต่เณร

    ติดตามตอนหลังบวชต่อไปนะครับ
     
  19. R2D2

    R2D2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ตุลาคม 2004
    โพสต์:
    144
    ค่าพลัง:
    +133
    กลับมาต่อเร็วๆนะครับ
     
  20. ผ่านมา

    ผ่านมา บุคคลทั่วไป

    ค่าพลัง:
    +0
    ตอน10

    ในที่สุดก็ถึงตอนที่10 สวัสดีและขอบคุณทุกท่านที่ติดตามอ่านนะครับ อย่างที่ผมบอกตั้งแต่ต้น ที่ผมเล่าเรื่องนี้ขี้นมา ไม่ได้ต้องการโต้แย้งหรือว่ากล่าวผู้ใด หรือต้องการทำให้แตกแยกแต่อย่างใด ผมต้องการเล่าประสบการณ์ของผมที่ได้สัมผัสกับวัดพระธรรมกายมา เป็นเวลาเกือบสิบปี ที่แตกต่างจากประสบการณ์ของท่านอื่นๆ ซึ่งหลายคนอาจจะบอกว่าศิษย์วัดพระธรรมกายศรัทธาจนงมงาย ผมเลยอยากจะเล่าให้หลายๆท่านได้อ่าน อ่านแล้วลองตัดสินใจเอาเองนะครับ ว่าผมศรัทธาจนงมงายหรือไม่ ขอเริ่มเล่าตอนนี้เลยนะครับ

    หลังบวชแล้วทุกอย่างฟรีขึ้น ไม่เข้มข้นเหมือนตอนแรก ในช่วงเดือนแรกที่ยังไม่ได้บวชนั้นฝึกตัวเข้มขันมาก เข้มข้นแค่ไหนอ่านได้จากข้อความที่คุณอำนาจได้โพสไว้ นั่งสมาธิวันละแปดชั่วโมง ทุกอย่างเป็นขั้นตอนเป็นเวลาฟิกไปหมด แต่พอบวชแล้วสบายๆ ยังปฏิบัติธรรมเยอะเหมือนเดิม แต่ไม่เข้มข้นเท่าเดิม มีเวลาว่างให้ทำภารกิจส่วนตัว ใครอยากอ่านหนังสือธรรมะก็อ่านไป อยากจะไปนั่งสมาธิในกลดต่อก็ไปนั่ง ซึ่งเวลานี้จะเป็นช่วงฟรีซึ่งเป็นช่วงบ่าย ประมาณ4โมงเย็น ซึ่งหลังจากบวชแล้วโยมพ่อโยมแม่หรือญาติๆ เข้าเยี่ยมได้ตลอดนะครับไม่ได้ห้าม แต่ต้องเป็นช่วงเวลาที่หลวงพี่พระพี่เลี้ยงท่านฟรีให้นี่แหละ แต่ที่ห้ามคือห้ามเข้าไปเดินหาเอง ต้องติดต่อที่ส่วนกลางให้ประกาศเรียกจะได้ไม่เกิดความวุ่นวาย เพราะธรรมทายาทเยอะมาก300-400ร้อยรูป แถมเหมือนกันหมดอีก คือหัวโล้นเหมือนกันหมดครองผ้าแบบเดียวสีเดียวกันหมด หาเองเจอก็มห้ศจรรย์แล้ว และอีกอย่างโยมบางคนเป็นผู้หญิงให้เดินเข้าไปในเขตที่พักสงฆ์คงไม่เหมาะเช่นเดียวกับเขตสังฆาวาสในวัดที่ได้กล่าวไปแล้ว หลังจากประกาศเรียกแล้ว ธรรมทายาทก็จะมาพบโยม ที่ศาลาที่จัดไว้ให้ซึ่งเปิดโล่งทั้ง4ด้าน หากโยมที่มาเยี่ยมมีทั้งผู้ชายและผู้หญิงมาเป็นกลุ่ม พระพี่เลี้ยงท่านก็จะปล่อยให้คุยกันไป แต่ถ้าเป็นโยมผู้หญิงคนเดียวท่านจะนั่งอยู่ด้วย ทำตามพระวินัยทุกประการ ไม่งั้นอาบัติ

    ส่วนเรื่องจดหมาย ไม่ให้เขียนครับ เพราะตรวจสอบยาก ได้มีการตกลงกันก่อนตั้งแต่วันปฐมนิเทศก่อนอบรมแล้วโดยมีพ่อแม่เข้าไปนั่งร่วมฟังด้วย ส่วนเรื่องการตรวจสอบจดหมายหรือเซนเซอร์จดหมาย ไม่ได้ทำเพราะต้องการจำกัดข้อมูลข่าวสารที่จะให้ได้รับรู้อะไร เพียงแต่ไม่อยากให้มีเรื่องมารบกวนการ บำเพ็ญสมณธรรม ซึ่งมีเวลาเพียงหนึ่งเดือนที่เหลือซึ่งสั้นมากในการศึกษาความรู้ในพระพุทธศาสนา เพราะจดหมายอยู่กับตัวตลอด หยิบมาอ่านเมื่อไหร่ก็ได้ และส่วนใหญ่เป็นเรื่องทางโลก ไม่เหมือนการมาเยี่ยม มาเสร็จก็กลับจบกันไป จึงต้องมีการตรวจสอบจดหมายหรือตัดปัญหาโดยไม่ให้เขียนเลย จะได้ใช้เวลาที่เหลือเพียงน้อยนิดศึกษาธรรมวินัยอย่างเต็มที่

    อีกเหตุผลหนึ่งเพราะเคยมีปัญหา ธรรมทายาทเขียนจดหมายถึงโยมผู้หญิง เขียนถามสารทุกข์สุขดิบไม่เท่าไหร่ดันเขียนจีบกัน โดนจับได้ นั่นแหละการเซนเซอร์จดหมายจึงเกิดขึ้น แม้ในปัจจุบันวัดพระธรรมกายก็ยังมีการเซนเซอร์จดหมาย ที่จะเข้าและออกจากวัดอยู่ตลอด เนื่องด้วยภิกษุสามเณร อุบาสกอุบาสิกา ล้วนประพฤติพรหมจรรย์ทั้งสิ้น เรื่องใดที่เป็นข้าศึกต่อพรหมจรรย์ต้องกันไว้ก่อน ซึ่งเหตุผลต่างๆเหล่านี้ผมได้เรียนถามจากพระอาจารย์ท่าน ท่านก็ตอบให้ผมได้ทราบ

    ผมไม่รู้ว่าปัจจุบันหลักเกณฑ์ต่างๆเหล่านี้ยังเข้มข้นเหมือนเดิมหรือไม่ เพราะผมไม่ได้อยู่ในวัดและช่วงหลังคนไปวัดเยอะมากเป็นหลักแสน พระภิกษุสามเณร อุบาสกอุบาสิกาในวัดนี่หลายพัน แต่ในความรู้สึกผม ผมอยากให้คงความเข้มงวดอย่างเดิมไว้ แม้ว่าจะมีคนไม่เข้าใจ เอาไปพูดในทางไม่ดี แต่ก็เป็นประโยชน์ในเพศพรหมจรรย์อย่างยิ่ง

    ในรุ่นที่ผมอบรมนั้นมีอีกสิ่งหนึ่งที่แตกต่างจากที่คุณอำนาจเล่ามา คือ รุ่นผมไม่มีการเดินธุดงค์ครับ เป็นรุ่นแรกที่ยกเลิกการเดินธุดงค์ แต่ให้ขึ้นไปปฏิบัติธรรมที่อำเภอฮอด จังหวัดเชียงใหม่แทน ซึ่งข้างบนอากาศดีมากปฏิบัติธรรมดีขึ้นกันทุกรูป ผมเองผลการปฏิบัติธรรมไม่ได้ดีอะไรมาก แต่ก็ได้รู้ธรรมะดีๆหลายข้อ ซึ่งจะไม่ขอเล่าในที่นี้ อยู่ปฏิบัติธรรมที่เชียงใหม่จนกระทั่งจบการอบรม จึงกลับมาลาสิกขาที่วัดพระธรรมกาย ซึ่งธรรมทายาทแต่ละรูป ต่างรู้สึกเสียดายผ้าเหลืองกันอย่างมาก แต่ก็ต้องลาสิกขา เนื่องจากทางวัดไม่ให้อยู่ต่อ แต่ทำไมไม่ให้อยู่ต่อ ต้องติดตามตอนหน้า(อันนี้ก็ไม่ตรงกับที่คุณอำนาจเล่า)

    ตอนหน้าผมจะเล่าเรื่องหลังลาสิกขาออกมาแล้ว คอยติดตาม
     

แชร์หน้านี้

Loading...