ขอเชิญท่านที่มีความจงรักภักดีและเทิดทูนในสมเด็จพระนเรศวรมหาราช

ในห้อง 'งานบุญอื่นๆ' ตั้งกระทู้โดย จงรักภักดี, 28 เมษายน 2009.

  1. ทางสายธาตุ

    ทางสายธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2009
    โพสต์:
    2,921
    ค่าพลัง:
    +6,434
    ท่านพระราชมนู สาธุค่ะ ดีใจกับภาพดวงธรรมที่ถ่ายรูปเก็บไว้ได้ ตั้งแต่หลวงพี่สาโรจน์ไปเสียแล้วจากวัดวรเชษฐ์ ก็ไม่มีใครพาปฎิบัติธรรมในโบสถ์ร้างอีกเลย อยากไปปฎิบัติธรรมในโบสถ์ร้างอีกค่ะ พอปฎิบัติธรรมเสร็จจะให้หลวงพี่สาโรจน์อธิษฐานจิตขอสมเด็จฯว่าลูกหลานจะขอถ่ายรูปเก็บไว้ มักจะติดดวงธรรมค่ะ หลวงพี่สาโรจน์ท่านไปอาจจะดีกว่าอยู่ก็ได้ ทุกอย่างก็แล้วแต่กรรมกำหนดค่ะ
     
  2. ทางสายธาตุ

    ทางสายธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2009
    โพสต์:
    2,921
    ค่าพลัง:
    +6,434
    <TABLE border=0 width="90%" align=center><TBODY><TR><TD><TABLE border=0 width="100%" height=36><TBODY><TR><TD vAlign=top width="80%">[​IMG] <B><BIG><BIG><!--Topic-->ภาพในหลวงทรงยิ้ม </BIG></BIG></B></TD><TD vAlign=top width="20%" noWrap align=right>[​IMG] <!--InformVote=0--><SCRIPT language=JavaScript>MsgStatus(Msv[0], 0);</SCRIPT>[​IMG][​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><!--VoteBody--><!--MsgIDBody=0-->

    <TABLE border=0 width="100%" align=center><TBODY><TR><TD width=40>[​IMG]</TD><TD style="MIN-WIDTH: 500px"><!-- Begin Message Box--><TABLE border=0 width="100%" height=36><TBODY><TR><TD vAlign=top width="80%" noWrap></TD><TD vAlign=top width="50%" noWrap align=right><!--InformVote=35--><SCRIPT language=JavaScript>MsgStatus(Msv[35], 35);</SCRIPT></TD></TR></TBODY></TABLE><!--MsgIDBody=35--><!--MsgFile=35--><CENTER><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0><TBODY><TR><TD><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" bgColor=#222244><TBODY><TR><TD>
    [​IMG]


    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></CENTER>
    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    มีเรื่องดีดีเกี่ยวกับ “ในหลวงของเรา” อยากเล่าสู่กันฟัง..


    นานมาแล้ว..ผมเคยดูรายการๆหนึ่งในทีวีช่องไหนจำไม่ได้..จำได้แค่ว่าเป็นรายการพาเที่ยวทั่วๆไป มีพิธีกรชายหญิงสองคนไปสัมภาษณ์ พี่น้องชาวลาวที่อาศัยอยู่แถบริมแม่น้ำโขง (ตรงข้ามกับจังหวัดหนองคาย) แวะไปบ้านโน้นทีบ้านนี้ทีพูดไปคุยไปอย่างเป็นกันเอง เพราะใช้ภาษาใกล้เคียงกันเข้าใจไม่ยาก แถมก็มีตัวหนังสือเป็น sub อยู่ข้างล่างให้อ่านด้วย...

    มีสิ่งหนึ่ง..ที่สะดุดตาพิธีกรชายหญิงและทีมงาน(รวมทั้งคนดูด้วย) ก็คือ

    มีพระบรมฉายาลักษณ์ “ในหลวง”ของเราติดอยู่แทบทุกบ้านด้วย !

    บางบ้านก็มีภาพในหลวงของเรา ติดคู่อยู่กับเจ้ามหาชีวิต ของเขาเหนือประตูทางเข้าห้องนอนเลยทีเดียว!....

    พิธีกรไม่ต้องถามอะไรมาก..พวกเขาก็มีคำตอบที่น่าชื่นใจให้ฟังว่า..

    คน(ลาว)แถวนี้ รักและเคารพในหลวงของเราไม่แพ้คนไทย เพราะโครงการพัฒนาลุ่มน้ำโขง โครงการฝนหลวง และโครงการดีดีต่างๆของพระองค์ที่ไปช่วยพี่น้องเกษตรกรชาวอีสานในอดีตนั้น ส่งผลให้คนลาวแถวริมแม่น้ำโขงก็ได้รับประโยชน์ไปด้วย ชีวิตความเป็นอยู่ของพวกเค้าก็ดีขึ้นมากๆ เพราะในหลวงของคนไทย..

    “...แล้วจะบ่ให้ฮักพระองค์ได้อย่างไร...”

    ....นั้นคือคำพูดทิ้งท้ายรายการของพี่น้องชาวลาวที่ให้สัมภาษณ์คนนั้น ก่อนที่กล้องจะแพนมาจับที่ใบหน้าเปื้อนยิ้มทั้งน้ำตาของพิธีกรหญิงอย่างไม่ต้องมีสคริปต์..! <!--MsgFile=0--><TABLE border=0 cellSpacing=1 width="100%"><TBODY><TR><TD vAlign=bottom width="10%">จากคุณ</TD><TD>: <!--MsgFrom=0-->nidjung inlove [​IMG] </TD></TR><TR><TD vAlign=bottom width="10%">เขียนเมื่อ</TD><TD vAlign=bottom>: <!--MsgTime=0-->29 ต.ค. 53 13:19:56 <!--MsgIP=0-->[​IMG] </TD></TR></TBODY></TABLE>


    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    เข้าไปอ่านเรื่อง K9839741 สายสกุลจีนของ เจ้าคุณจอมมารดาเอมในพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าฯ [​IMG] สนุกมาก ทีนี้ได้เจอพระรูปในหลวงทรงยิ้มรูปหนึ่ง ไม่เคยเห็นมาก่อนค่ะ ขออัญเชิญมาเพื่อให้ชมกันรูปด้านบนค่ะ

    ใครอยากดูพระรูปอื่นๆ โปรดกดลิงค์ตามนี้ http://www.pantip.com/cafe/library/topic/K9859629/K9859629.html
     
  3. of_bd

    of_bd เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    101
    ค่าพลัง:
    +304
    สวัสดีครับ พี่ทางสายธาตุ พี่โมเย พี่เหลืองหางขาว พี่จงรักภักดี และพี่ๆทุกคน
    ขอถามหน่อยครับ ที่วัดวรเชษฐ์น้ำท่วมไหมครับ ส่วนที่วัดตาลเอน น้ำท่วมแล้ว (ขอโทษครับ ห่างหายไปนาน)
     
  4. Tanunchapat

    Tanunchapat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    631
    ค่าพลัง:
    +3,191
    ^_^ ทางสายธาตุจะไม่เขียนอะไรให้ออกนอกร่องนอกรอยมากนัก ที่เขียนไปนั้นเพื่อตามหาเพื่อนร่วมทุกข์ร่วมสุขที่เคยเจอกันมาสมัยนั้น อย่างน้อยทางสายธาตุก็ไม่ได้เพ้ออยู่คนเดียวอย่างที่ผ่านมา
    ถ้าคุนคิดว่าตัวเองเพ้อเจ้อ มันก้อเพ้อกันทั้งเวปสิ่
    เราก้อเห็นในส่วนของเรา คนอื่นเค้าก้อเห็นในส่วนของเค้า
    แล้วคุนก้อแค่ เล่าสู่กันฟัง จากสิ่งที่คุนสัมผัสได้ ไม่ได้ไปเค้นคอ ให้ใครเค้าเชื่อสักหน่อย ชิมิ

    ที่มักจะบอกว่าตำหนักหลังนั้นเป็นเรือนไทยขนาดใหญ่ เป็นตำหนักที่มีกลิ่นหอมตลอดทั้งวัน และกลิ่นหอมอบอวลทั่วบริเวณยังมาจากไม้หอมรอบๆพระตำหนักอีกด้วย
    จำปี,จำปา,จำปูน,กระดังงา (มีทุกพันธุ์),พุทธชาด,พุดจีบ,ดอกแก้ว,ชมนาด,นมแมว ฯลฯ
    แต่ กุหลาบเมาะลำเลิง . . . . . . เอ อันนี้ไม่รู้สิ่ หุหุหุ

    พูดไปก็ไม่มีใครเห็นเหมือนเราในตอนโน้น แต่ตอนนี้อย่างน้อยก็อุ่นใจว่าเริ่มมีคนเห็นพระตำหนักหลังนี้แล้ว
    วิทยุสื่อสาร ถ้าปรับไปที่ความถี่เดียวกัน มันถึงจะรับกันได้ใช่ป่ะ จูนกันคนละคลื่น คนละความถี่ แล้วชาติไหนมันถึงจะสื่อกันได้ล่ะจ๊ะ คุนนาย


    อย่างน้อยที่วัดท่าใหม่อิได้จำลองเรือนไทยไว้แล้วเขียนว่า เรือนพระนางมณีจันทร์ตั้งอยู่ในอยุธยาไว้ที่ศาลาสักการะพระนางเธอ ก็พอเป็นกระสายในการแสดงออกถึงความดีใจที่ไม่ได้เพ้อเรื่องนี้อยู่คนเดียวค่ะ และขอยุติเรื่องที่รู้ได้ก็รู้ได้เฉพาะตนอันไปเกี่ยวเนื่องกับพระนางไว้แต่เพียงเท่านี้ค่ะ
    จริงดิ่

    ป.ล.ขอออกตัวนิดหนึ่งไว้ก่อนว่า ในอนาคตหากได้เจอผู้ที่จำได้เกี่ยวกับพระตำหนักหลังนี้ได้อีก ทางสายธาตุไม่รับปากว่าจะเงียบนะคะ เพราะมันดีใจเราไม่ได้เพ้อเจ้ออยู่คนเดียว ... โปรดใช้วิจารณญานในการอ่านค่ะ
    นั่นไง . . . . ยังไม่ทันขาดคำเรย 555++
    เฮ้อ . . . ก้อคนมันเป็นสาวมั่นนิ ไม่เปลี่ยนเลย ไม่ว่าจะผ่านมานานแสนนานเท่าไร
     
  5. ทางสายธาตุ

    ทางสายธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2009
    โพสต์:
    2,921
    ค่าพลัง:
    +6,434
    สวัสดีน้องอ๊อฟ พี่ไม่รู้เหมือนกันว่าวัดวรเชษฐ์นั้นน้ำท่วมหรือเปล่า

    สวัสดีคุณนายเจ๊โหน่ง คือหนูว่าเจ้าของกระทู้ท่านส่งสัญญานออกมาดังมากในใจว่า อย่าออกนอกลู่นอกทาง ทีนี้หนูรู้สึกรับรู้ได้เพราะหนูอาบน้ำหมากท่านผู้เฒ่ามาก่อน อิอิ หนูก็เลยรับรู้ได้ท่านผู้เฒ่าไม่อยากให้ออกนอกลู่นอกทางมาก เอาแต่พอหอมปากหอมคอ ไว้คุณนายเจ๊โหน่งอาบน้ำหมากมากพอจากกระทู้นี้แล้วน่าจะรับรู้ได้เหมือนหนู ท่านพี่จงรักภักดีไม่มีคุกขังพลเรือนใช่ไหม หนูล้อเล่นนะคะ ฮี่

    คุณนายเจ๊โหน่งรู้ไหมว่ากำลังสนุกกับความรู้แบบลึกลับของสถานที่แห่งหนึ่งในประเทศไทย

    ค้นพบสถานที่ใหม่ๆ ที่ไม่เคยมีในแผนที่กรมทหารมาก่อน อย่างสระสี่มุม เป็นหลุมหินปูนขนาดใหญ่มาก ถ้ามีใครหรือสัตว์ตกลงไปตายแน่นอน ปัจจุบันได้มีการเพิ่มสระสี่มุมลงไปในแผนที่ทหารแล้ว และอยู่ในความดูแลของทหาร ในบริเวณอำเภอไทรโยค"

    สระอะไรหนา ตกลงไปจะต้องตายด้วย จมน้ำตาย หรือว่าโดนพิษตาย แต่ว่ามันเป็นสระหินปูนนะ หรือว่าตกลงไปจะมีหินปูนเกาะ(ฟัน)จนตาย

    เอามาจาก แผนที่โบราณสยามประเทศ เป็นแผนที่เก่าแก่สมัยรัชกาลที่ ๑ ถึง ๓ ค้นพบที่ตำหนักพระองค์เจ้าอภันตรีในพระบรมมหาราชวังเมื่อปี ๒๕๓๙ ตอนนี้อยู่ในระหว่างศึกษารายละเอียด เมื่อวันที่ ๒๘ ตุลาคม ๒๕๕๓ สมเด็จพระเทพฯทรงเสด็จเข้าประชุมวิชาการเรื่องของแผนที่นี้ด้วย รายละเอียดในแผนที่จะน่าสนใจมาก

    ป.ล. เวลาพระนางทรงใช้ให้ไปธุระนอกเกาะเมื่อเสร็จงาน พระนางมักจะทรงให้เงินติ๊บเสมอ ไม่ใช่สาวมั่นหรอกคุณนายเจ๊โหน่ง แต่อิฉันเป็นสาวเห็นคุณค่าของเงินที่จะงอกเงย 5555

    อ้างอิงข้อมูลแผนที่โบราณสยามประเทศ
     
  6. ทางสายธาตุ

    ทางสายธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2009
    โพสต์:
    2,921
    ค่าพลัง:
    +6,434
    รับปากงานผ้าป่่าไปวัดชุมพลฯไว้ พอดีเจออาจารย์นักปฎิบัติธรรมชื่ออาจารย์หมูค่ะ เขาเคยไปปฎิบัติธรรมกับครูบาเจ้าพรหมาสมัยที่บวชเป็นพระภิกษุ ทางสายธาตุจึงรับปากว่าครั้งหน้าจะนำเพลงไหว้สาครูบาเจ้าพรหมาไปฝากค่ะ บอกน้องโมเยเพื่อขออนุญาตแล้วค่ะ

    คำสอนของครูบาเจ้าพรหมา พรหมจักโก

    คนโง่เอาใจไว้ที่ปาก คนฉลาดเอาปากไว้ที่ใจ
    <TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=3 width="100%" align=center><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE border=0 cellSpacing=2 cellPadding=2 width="95%"><TBODY><TR><TD class=A2 vAlign=top>คน…. โง่เอาใจไว้ที่ปาก คนฉลาดเอาปากไว้ที่ใจ, คนฉลาดเอาปากไว้ที่ใจจะปากหนัก(ไม่ค่อยจะพูดมาก) คนโง่เอาใจไว้ที่ปาก ใจมันไม่อยู่ที่ตัวใจมันไปอยู่ที่ปาก มันจึงพูดไปวันยังค่ำ คนฉลาดเอาปากไว้ที่ใจ ความสำคัญของตัวเองที่จะเข้าใจกันไว้

    ตัวของคนเราแต่ละคนมีความสำคัญ ๆ อย่างไร? สุดแท้แต่จะพิจารณา ความคิดพิจารณาต่างๆ กันตามทัศนะของใครของมัน ความสำคัญที่ตัวเอง……ส่วนมากผู้ที่ไม่ได้รับการศึกษา และอบรมมักจะสำคัญมั่นหมายตนเองว่า เป็นผู้รู้ เป็นผู้เก่งกว่าเขา เป็นผู้ที่มีมั่งมีกว่าเขา เป็นผู้ที่มียศถาบรรดาศักดิ์สูงกว่าเขา เห็นคนอื่นเป็นคนต่ำต้อยไปเสียหมดเห็นหน้าคน เป็นหน้าสัตว์ไปเสียหมด ! ความสำคัญอย่างนี้เป็นความสำคัญเข้าใจผิดๆ อย่างมากที่สุด

    เพราะเป็นเหตุให้เกิดมานะ จองหอง ทะนงตัว เป็นไฝฝ้า หรือเป็นรั้วปิดบังความดี จะทำความดีไม่ได้ แล้วก็จะไม่ได้ความร่วมมือจากใคร ๆ ก็ไม่สอนอีกแล้ว การทะนงตัวการมีทิฐิมานะ ใครเห็นแล้วรู้แล้วก็ปล่อยเลยตามเลย ตายก็ปล่อยให้ตายไป ภาษาธรรมะว่าเป็นไฝฝ้าปิดบังความดี ความจริงน่าจะได้ดีแต่ก็ดีไม่ได้ การมีทิฐิมานะ การทระนงตัว ความจองหองมันไปปิดบังเอาไว้หมด ถือตัวเป็นใหญ่ ว่าเป็นผู้รู้ มั่งมี ผู้ดี มียศสูงศักดิ์ กว่าเขา สำคัญว่าคนอื่นต่ำต้อยกว่า เป็นความสำคัญผิด เป็นเหตุให้เกิดมานะทิฐิ จองหอง เป็นไฝฝ้าปิดหูบังตาไม่ได้บรรลุความดี

    ผู้ใดเป็นดังนี้ คนทั้งหลายจะต้องตีตัวออกห่าง ใคร ๆ ก็ไม่อยากคบค้าสมาคมด้วย เรื่องนี้จึงอยากฝากให้ทุกคนจงคิดพิจารณาเห็นความสำคัญที่ตัวเอง ๆ ที่สำคัญว่าถ้าเราได้ดี ทำดี มันจะดีไปเสียทุกอย่าง ถ้าคิดผิดทาง สำคัญมั่นหมาย ตัวเรารู้ตัวเราดี ตัวเรามีอะไร ๆ ที่ยิ่งกว่าคนอื่น เห็นคนอื่นต่ำต้อยกว่า เป็นการสำคัญผิด เป็นเหตุให้เกิดมานะทิฐิจองหอง ไม่ยอมลดข้อให้ใครในที่สุดจะมีความได้อย่างไร

    ใครคนใดที่เป็นอย่างนี้ ยากที่ใครจะชอบ ใครอยู่ใกล้ก็จะตีตัวออกห่างและไม่คิดจะอยู่ใกล้ แล้วเขาจะกลายเป็นคนที่เป็นปัญหาของสังคม เป็นที่น่ารังเกียจ ไม่มีใครคบค้าสมาคมด้วย ภาษาธรรมะเรียกว่า
    "เป็นกิเลส
    เครื่องเศร้าหมองหมักดองอยู่ในสันดานของเขา คนดีสละละเสียซึ่งความมั่นหมาย"


    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE border=0 cellSpacing=2 cellPadding=2 width="95%"><TBODY><TR><TD class=A2 vAlign=top>ขอบคุณบทความจาก ลานธรรมจักร




    เพลงไหว้สาครูบาเจ้าพรหมา พรหมจักโก
    </TD></TR></TBODY></TABLE>เนื้อร้อง/ทำนอง /ขับร้องโดย กัญญนัทธ์ ศิริ

    สงวนลิขสิทธ์ ก.ค .2551<!-- google_ad_section_end --> </TD></TR></TBODY></TABLE>
    [MUSIC]http://palungjit.org/attachments/a.374156/[/MUSIC]​
     
  7. ทางสายธาตุ

    ทางสายธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2009
    โพสต์:
    2,921
    ค่าพลัง:
    +6,434
    แต่ตรงกันข้าม ถ้าใครมาเห็นความสำคัญที่ตัวเองด้วยการพินิจพิจารณาตามหลักที่ว่า

    "อัตตัญญุตา" คือ ความรู้จักตนเอง
    ว่ามาด้วยชาติ
    ว่ามาด้วยตระกูล ๆ ไหน ?
    สูงหรือต่ำอย่างไร ?
    ว่าด้วยยศศักดิ์ เรามียศ มีวิทยฐานะอย่างไร
    เป็นกำนันหรือผู้ใหญ่บ้าน เป็นครูบาอาจารย์ เป็นมหาเปรียญ เป็นเจ้าคุณ หรือพระครู หรือเป็นลูกวัดเขา เป็นลูกน้องเขา อะไรเหล่านี้เป็นต้น

    แล้วมาตั้งตัวตั้งตนอยู่ดี ตามฐานะของตน อยู่พอดิบพอดี กิริยาเป็นระเบียบเรียบร้อย ละมุนละไมมีศีลาจารวัตร งดงาม ใครเห็นก็น่าดูน่ารัก พูดจาปราศรัยออกมาใครได้ยินก็น่าฟัง น่าเอ็นดู พวกเด็ก ๆ ก็มีความเคารพ มิตร สหายก็มีความรักใคร่ ผู้หลักผู้ใหญ่มีความกรุณาเอ็นดู …….คนที่วางตัวอย่างนี้ สำคัญมั่นหมายตัวอย่างนี้นับว่าเป็นคนดี ไม่มีข้าศึกศัตรูที่ไหนมา เด็ก ๆ ก็มีความเคารพ

    มิตรสหายรุ่นเดียวกัน หรือต่างรุ่นก็รักใคร่ ผู้ใหญ่ก็ให้ความเอ็นดู เขาก็จะได้อยู่เย็นเป็นสุข ไม่อยู่ร้อนนอนทุกข์ เป็นคนดีมีชื่อเสียง ใครเขาก็สรรเสริญเยินยอด้วยความจริงใจ ?

     
  8. พชร (พสภัธ)

    พชร (พสภัธ) ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    5,746
    กระทู้เรื่องเด่น:
    10
    ค่าพลัง:
    +49,866
  9. ทางสายธาตุ

    ทางสายธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2009
    โพสต์:
    2,921
    ค่าพลัง:
    +6,434
    "อัตตัญญูตา" คือ ความรู้จักตน และก็ประพฤติปฏิบัติให้สมกับฐานะของตัว ว่าฐานะของเราเป็นอย่างไร? และวัด บ้าน โรงเรียน สถานที่ราชการ เราควรวางตัว ทำตัวอย่างไร มันมีคนพร้อมหมด เช่น พระเณร ก็มี ชาวบ้าน นักเรียนก็มี ทหารตำรวจ นายสิบนายพัน ปริญญาตรี โท เอก ก็มี นี่เป็นวิทยฐานะและใครก็ไม่ได้ถือตัวว่าเรามีวิทยฐานะอย่างไร อ้นนี้ขอฝากไว้เป็นข้อคิด อยู่พอเหมาะพอดีมีศีลาจารวัตรอันงดงาม สงบเสงี่ยมเจี่ยมตัว การพูดจาปราศัยก็พูดเฉพาะที่จำเป็น ที่ไม่จำเป็นก็ไม่ต้องพูด การที่จะพูดจาอะไรจะต้องนึกคิดพิจารณาเสียก่อน ใช้สติสัมปชัญญะไตร่ตรองให้รอบคอบเสียก่อนว่าสมควรหรือไม่ อย่างนี้เป็นการดี จะทำอะไร อย่าให้ขาดสติสัมปชัญญะ อย่าทำอะไรเหมือนคนตาบอด อย่าให้เข้าทำนองที่กล่าวว่า "คนโง่เอาใจไว้ที่ปาก" คือ คิดอะไรก็ไหลออกปากทันที จะไม่ดี
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 พฤศจิกายน 2010
  10. ทางสายธาตุ

    ทางสายธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2009
    โพสต์:
    2,921
    ค่าพลัง:
    +6,434
    สิ่งต่าง ๆ ที่มันเกิดขึ้น กับเราเป็นผลที่สืบเนื่องมาจากตัวของเรานี่เอง จงพยายามโทษที่ตัวเอง จงอย่าลืม "คนโง่เอาใจไว้ที่ปาก คนฉลาดเอาปากไว้ที่ใจ" จงพยายามฝึกหัดดัดสันดานตัวเองเข้าไว้ ให้เด็กเห็นเกิดความเคารพรัก ให้เพื่อน ๆ เห็นก็รักใคร่ ให้ผู้ใหญ่เห็นก็เอ็นดู นี้จึงนับว่าได้ทำตัวเองให้มีคุณค่าของความเป็นคนขึ้นมา………

    ………….สุภาษิต ท้ายบท…
    " โมกโข กัลยาณิยา สาธุ แปลว่า การเปล่ง/กล่าว วาจางาม ย่อมยังประโยชน์ให้สำเร็จ"


    ขอบคุณ..ลาน ธรรมจักร


    "มุตวา ตัปปติ ปาปิกัง แปลว่า คนใดพูดวาจาชั่ว ย่อมเดือดร้อน"
     
  11. พชร (พสภัธ)

    พชร (พสภัธ) ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    5,746
    กระทู้เรื่องเด่น:
    10
    ค่าพลัง:
    +49,866
  12. ทางสายธาตุ

    ทางสายธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2009
    โพสต์:
    2,921
    ค่าพลัง:
    +6,434
    [​IMG]




    วัดลามะนี้แต่เดิมเป็นที่พักของขันทีในสมัยราชวงศ์หมิง จากนั้นคังซีฮ่องเต้ กษัตริย์องค์ที่ 2 ของราชวงศ์ชิงได้สร้างให้เป็นตำหนักขององค์ชายสี่หรือหย่งเจิ้ง ในปี ค.ศ.1694 และตั้งชื่อว่า "เป้ยเล่อฝู่" ตามบรรดาศักดิ์ในขณะนั้น หลังจากที่องค์ชายสี่ได้ขึ้นครองราชย์เป็นจักรพรรดิ์องค์ที่ 3 ในปี ค.ศ 1723 จึงย้ายเข้าไปประทับในพระราชวังโบราณ ส่วนพระตำหนักนี้พื้นที่ครึ่งหนึ่งปรับเป็นที่พักผ่อนอิริยาบถนอกวังขององค์ชายสี่ และตั้งชื่อให้สมพระเกียรติว่า "ยงเหอกง" อีกครึ่งหนึ่งถวายพระลามะจังเจียฮูถูเค่อถู และตั้งแต่นั้นมาสถานที่แห่งนี้จึงกลายเป็นวัดลามะนิกายหมวกเหลืองของทิเบต



    หาข้อมูลก่อนค่อยเขียนดีกว่าค่ะ



     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 พฤศจิกายน 2010
  13. นารถะสุญญตา

    นารถะสุญญตา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    110
    ค่าพลัง:
    +676
    แหล่ประวัติศาสาตร์การเสียแผ่นดิน ฟังแล้วได้ความรู้ดีครับ อยากให้คนไทยได้ฟังและจดจำการสูญเสียไว้ และอย่าให้สูญเสียไปมากกว่านี้เลยครับ เปิดดูไฟล์ แหล่ประวัติศาสตร์เสียแผ่นดิน.wmv
     
  14. ทางสายธาตุ

    ทางสายธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2009
    โพสต์:
    2,921
    ค่าพลัง:
    +6,434
    อู้ ฮู คุณน้องนารถะทันสมัยเสียจริงๆ เพิ่งเห็นพระรูปนี้ที่เพชบุ๊คของโมเยเมื่อวาน น้องนารถะนำมาเป็นรูปแทนตัวแล้ว

    เมื่อวานนะนั่งมองรูปแล้วโทรไปบอกโมเยว่า ทรงพระหล่อ ทรงพระเท่ห์ ทรงพระแมนมากเลย กรมศิลป์เก่งจริงๆ สวยๆๆ ชอบๆๆ

    แหล่ประวัติศาสตร์ชาติไทย เวอร์ชั่นที่ร้องใหม่ที่ รายการหมุนตามวัน อัดแจก ยังไม่ได้มานะ เวอร์ชั่นนั้นก็เพราะค่ะ ได้มาแล้วจะเอามาฝากค่ะ

    ยินดีต้อนรับค่ะทั้งสองท่าน
     
  15. โมเย

    โมเย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    876
    ค่าพลัง:
    +3,210
    อนุโมทนา

    ยินดีต้อนรับทั้งสองท่านค่ะ ^_^
     
  16. Tanunchapat

    Tanunchapat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    631
    ค่าพลัง:
    +3,191
    คนโง่เอาใจไว้ที่ปาก คนฉลาดเอาปากไว้ที่ใจ

    อ่านบทความอันนี้ แค่ขึ้นต้นก้อรู้สึกเหมือนโดนด่ายังไงม่ะรุ้ อิอิอิ



    ทรงพระman หุหุหุ

    เพลงเพราะมากมายค่ะ ฟังแล้วอย่าฟังผ่าน ฟังแล้วพิจารณาตามด้วย จะได้อะไรต่อมิอะไรเยอะเลย เอ๊ะ บอกใคร >>>>>เตือนตัวเองหน่ะ อิอิอิ
     
  17. ทางสายธาตุ

    ทางสายธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2009
    โพสต์:
    2,921
    ค่าพลัง:
    +6,434
    ไม่ใช่ว่าใครหนา คุณนายเจ๊โหน่ง เป็นคำสอนที่คนทั่วไปจะจำได้ว่าเป็นคำสอนของครูบาเจ้าพรหมาเน้อ

    วันนี้มีเรื่องดีใจ ได้พระกรุมาอีกองค์ กรุแตกเขาจึงแจกประธานผ้าป่าสามัคคีที่ไปช่วยกันสร้างโบสถ์วัด(จำชื่อวัดไม่ได้) จังหวัดนครสวรรค์ พระกรุรูปเหมือนหลวงพ่อเดิม พิมพ์นิยม

    บุญสัมพันธ์ ได้รับพระมาตั้งแต่วันเสาร์ ฐานเขียนว่า หลวงพ่อเดิม ทางสายธาตุไม่รู้จักว่าท่านเป็นใคร ก็บังเอิ๊ญไปแวะร้านหนังสือ เจอหนังสือปกชื่อ The Art of Siam ฉบับที่ 17 เป็นองค์พระหลวงพ่อเดิม

    แบบเดียวกับที่ได้มาเมื่อวันเสาร์เลย ดีใจ๊ ดีใจค่ะ พระกรุแตกยังมีสนิมเขียวติดองค์พระอยู่เลย พระแท้ดั้งเดิมแน่นอน เพราะฝังอยู่ในเจดีย์เก่าของวัดแล้วกรุุแตก พระท่านแจกเฉพาะญาติโยมที่เป็นประธานทำบุญ ได้พระองค์นี้มารู้สึก ดีใจ๊ ดีใจ ยิ้ม ๆ ๆ

    [​IMG]

    ไว้กลับบ้านแล้วจะลองถ่ายรูปองค์พระมาให้ดูค่ะ มีสนิมเขียวติดอยู่ด้วยค่ะ สาธุ บุญแท้ๆได้หลวงพ่อเดิมวัดหนองโพอีกองค์มาเป็นมงคลชีวิต
     
  18. ทางสายธาตุ

    ทางสายธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2009
    โพสต์:
    2,921
    ค่าพลัง:
    +6,434
    ตำราคชศาสตร์ หลวงพ่อเดิม วัดหนองโพ

    หลวงพ่อเดิมท่่านสอนวิชาคชศาสตร์ที่สืบทอดมาแต่โบราณให้หลวงพ่อจรัญ วัดอัมพวัน จังหวัดสิงห์บุรีเป็นศิษย์คนสุดท้าย ก่อนท่านจะละสังขาร 14 วัน หลวงพ่อจรัญท่านเขียนเล่าไว้อย่างนี้ค่ะ



    วันหนึ่งอาตมามากราบเรียนหลวงพ่อเดิมแล้วก้มลงกราบ กล่าวย้ำอีกว่า
    “ผมต้องการสึกครับ ผมจะไม่ครองผ้าต่อไป เพราะผมไม่ปรารถนาจะเป็นพระต่อไป” หลวงพ่อเดิมท่านก็หัวเราะหึ ๆ ส่ายหน้าช้า ๆ ไม่กล่าวอะไรต่อไปอีกเลย อาตมาก็คิดว่าวันนี้แหละสึกแน่ พอกราบลาหลวงพ่อมาแล้วก็เดินไปหาทายกไปบอกว่า “ทายก วันนี้ฉันจะสึกแล้ว เอ้านี่เงินสองบาท ไปจ้างเขารีดเสื้อผ้าให้หน่อยนะ”
    ตอนนั้นอาตมาจำได้ว่ามีกางเกงอย่างดี เสื้ออย่างดี นาฬิกายี่ห้อไวเลอร์หนึ่งเรือน ไม่เดินเสียด้วย เออโก้พิลึกล่ะ ตอนที่เป็นฆราวาสก่อนบวชนี้เปรี้ยวสมวัยในตอนนั้น เตรียมรีดเสื้อไว้แล้วก็พอดีค่ำจึงไปถวายการนวดเพื่อจะได้บอกหลวงพ่อเดิมว่า
    “ผมจะสึกพรุ่งนี้ล่ะขอรับ” แต่ยังไม่ทันจะบอกหลวงพ่อก็บอกกับอาตมาถึงสิ่งที่หลวงพ่อเดิมท่านไม่เคยได้บอกใคร ทำเอาอาตมานิ่งอึ้งเป็นครู่ ท่านพูดด้วยน้ำเสียงอันเรียบ ๆ ว่า
    “นี่แน่ะเธอ ฉันจะบอกอะไรให้นะ ฉันไม่เคยบอกใครเลย ฉันบอกเธอคนเดียว รู้แล้วนิ่งไว้อย่าแพร่งพราย เขาจะเสียขวัญกัน อีก ๑๔ วัน ฉันจะมรณภาพแล้ว ขอให้เธอจำคำฉันไว้ให้ดี ๆ”
    หลวงพ่อกล่าวจบแล้วก็หลับตาลงนิ่งไปเป็นครู่ ลมหายใจระบายออกเหมือนโล่งใจ ก่อนจะกล่าวกับอาตมาว่า
    “ฉันต้องการมอบวิชาการอย่างหนึ่งให้เธอไว้เป็นคนแรก และคนสุดท้าย ฉันเห็นว่าเธอนั้นเหมาะที่สุดแล้ว”
    อาตมาได้ยินก็ดีใจ เพราะคิดว่าเป็นคาถาเรียกพระเข้าตัวแน่ เพราะต้องการนัก แต่ผิดคาด หลวงพ่อเดิมท่านกล่าวว่า
    “วิชาที่หลวงพ่อจะมอบให้แก่เธอคือวิชาคชศาสตร์ การต่อช้างป่า การกำราบช้างตกน้ำมัน การดูแลช้าง วิชาคชศาสตร์ต้องคนมีวาสนาบารมีพอจึงจะเรียนได้ ฉันเห็นว่าเธอนี่แหละจะรับไว้ได้ ฉันจึงมอบให้”
    อาตมาได้ยินก็เลยตอบไปตรง ๆ ว่า
    “ไม่เอาล่ะครับหลวงพ่อ ผมไม่อยากได้เลยครับ ผมอยากได้คาถาเมตตามหานิยม และเรียกพระเข้าตัวครับ”
    หลวงพ่อเดิมท่านเปลี่ยนจากท่านอนให้นวด มานั่งตัวตรงประกายตาท่านที่ต้องกับแสงตะเกียงเป็นแววแห่งอำนาจอย่างเต็มเปี่ยม ท่านยกนิ้วมืออันเหี่ยวย่นตามวัยของท่าน ขึ้นชี้หน้าอาตมาแล้วกล่าวด้วยเสียงอันมีอำนาจสะท้านเข้าไปถึงหัวอกว่า
    “นี่แน่ะเธอ ฉันจะบอกให้ เธอยังเป็นเด็ก เป็นผู้อ่อนอาวุโส ผู้ใหญ่เขาให้อะไรก็รับไว้ซี ไปปฏิเสธทำไมกัน อย่าจองหองไม่เข้าเรื่องซี”
    อาตมาก็ว่า “ต่อทำไมครับ ช้างป่ามันอยู่ในป่าก็เรื่องของมัน มันตกน้ำมันก็ไม่เกี่ยวกับผมนี่ครับ แล้วเดี๋ยวนี้บ้านเมืองเจริญมากแล้ว ไม่ต้องใช้ช้างป่าแล้วล่ะครับหลวงพ่อ”
    หลวงพ่อเดิมท่านจึงใช้คำคมมาพูดกับอาตมา ซึ่งทำให้อาตมาถึงกับนิ่งอึ้ง เพราะท่านมาไม้สูงจริง ๆ ท่านถามว่า
    “นี่คุณ คุณมีเสื้อตัวเดียวกับมีเสื้อสิบตัว อย่างไหนดีกว่ากันล่ะ ลองบอกมาซิ”
    “สิบตัวก็ดีกว่าซีครับหลวงพ่อ”
    “ก็นั่นนะซิ ยังไม่ได้ใส่ก็รีดเก็บแขวนไว้ เวลาจะใช้ก็หยิบมาสวมง่ายไม่ต้องไปรีดให้เปลืองเวลา พ่อแม่ปู่ย่าตายายเขาให้อะไรก็เอาไว้ก่อนเลย อย่าไปจองหอง รับไว้ ของดีทั้งนั้นเลย แม้แต่ไม้แคะหูที่เขาให้ก็เก็บไว้ มันเป็นประโยชน์ในเวลาข้างหน้านะ”
    อาตมาก็ไม่ยอมท่าน เถียงต่อไปอีกเพราะไม่อยากได้ มีอย่างที่ไหนวิชาต่อช้าง บังคับช้าง ไม่เห็นเข้าท่าเลยจริง ๆ เลยบอกหลวงพ่อเดิมไปว่า
    “ผมไม่เรียนครับ ผมจะสึกอยู่วันนี้ พรุ่งนี้ แล้วเรียนไปทำไมกัน ผมจะสึกครับหลวงพ่อ”
    หลวงพ่อเดิมท่านถอนหายใจใหญ่แล้วกล่าวกับอาตมาว่า
    “เธอฟังหลวงพ่อให้ดีนะหลวงพ่อจะว่าให้ฟัง อันผู้ใหญ่น่ะเขาเห็นการณ์ไกลกว่าเด็กมาก ไม่ใช่เขาพูดอะไรส่งเดชก็หาไม่”
    อาตมาก็นิ่งไม่ตอบอะไร เพราะใจนั้นไม่อยากเรียน หลวงพ่อเดิมก็พูดต่อไปว่า
    “ที่หลวงพ่อมอบวิชาคชศาสตร์ให้นี้ เพื่อตอบแทนที่เธอมาช่วยปฏิบัติฉันมาเป็นเวลานาน ฉันไม่เคยให้ใครเลย คนหนองโพหรือคนที่อื่น ฉันไม่เคยสอนให้ใครมาก่อนเลย ต้องการให้เธอสืบวิชาไว้ไม่ให้ตายตามหลวงพ่อไปพร้อมกันเข้าใจหรือยังล่ะ”
    อาตมาได้แต่นิ่ง นั่นเท่ากับเป็นการยอมรับ หลวงพ่อเดิมท่านก็ว่า
    “เอาล่ะ ๆ คืนนี้เธอกลับไปนอนก่อน พรุ่งนี้หลวงพ่อจะเริ่มสอน”
    อาตมาจึงได้เรียนวิชาคชศาสตร์ เริ่มต้นด้วยการนั่งสมาธิตามที่ท่านสอน โดยท่านควบคุมเอง และยังได้สอนกสิณให้อีกด้วย หลวงพ่อเดิมท่านสอนกสิณอย่างละเอียดทีละขั้นตอน แล้วให้ทดลองทำ อาตมาก็ทำตามได้ความรู้ทางด้านการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน ทำกสิณอย่างเต็มที่พอได้ความรู้อย่างดีแล้ว หลวงพ่อเดิมท่านกล่าวว่า
    “เห็นไหมล่ะ ถ้าเธอไม่เรียนวิชาคชศาสตร์แล้ว เธอก็จะไม่ได้กสิณจากหลวงพ่อและไม่ได้อะไรเลย มามือเปล่าก็กลับไปมือเปล่า อย่าเป็นคนหยิ่งยะโสแมงป่องเลย ผู้ใหญ่เขารู้ว่าอะไรเป็นอะไร เขาไม่พูดเรื่อยเปื่อยไปหรอก”
    อาตมาซาบซึ้งใจเหลือเกิน ตั้งแต่นั้นมา พระเถระผู้ใหญ่ให้อะไร สอนอะไร ก็เอาไว้หมด ไม่เคยรังเกียจหรือถือดีว่าเคยได้ยินได้ฟังหรือเคยทำมาแล้ว ไม่ว่าท่านจะให้อะไรก็น้อมรับไว้หมดเลย ทำให้กลายเป็นคนว่านอนสอนง่าย และเข้ากับคนได้ดีจนทุกวันนี้ อาตมาก็ยังระลึกถึงพระคุณหลวงพ่อเดิมไม่หาย เพราะถ้าไม่ได้ท่าน อาตมาก็คงสึกไปเป็นฆราวาส ไม่ได้นุ่งเหลืองมาสั่งสอนธรรมะกับญาติโยมหรอก อันว่าของที่เขาให้มานั้นนะ ถ้าไม่ได้ใช้เองเห็นคนไหนสมควรก็ให้ไปใช้ ไม่เห็นจะเสียหายตรงไหนเลย มีของไว้มาก ๆ แจกเป็นทานก็ได้”
    การเรียนกสิณนั้น เรียนหลายอย่าง กสิณ ดิน น้ำ ลม ไฟ กสิณในวิชากสิณ หลวงพ่อเดิมท่านสอนให้หมดไม่ปิดบัง ทำให้อาตมาเพลินเรียนไม่รู้ว่าเอากำลังมาจากไหน รับไว้อย่างเต็มที่ ความคิดเรื่องสึกเริ่มเลือนหายไป คิดแต่ว่าเรียน ๆ ๆ ให้มากที่สุด พอได้ที่แล้ววันหนึ่งหลวงพ่อเดิมท่านก็เรียกอาตมาไปเรียนวิชาคชศาสตร์ง่าย ๆ ก่อนท่านสอนว่า
    “ช้างนั้นเขาว่ามีหูทิพย์จริงไหม” หลวงพ่อขอตอบว่า “จริง” “มีทุกตัวไหม” “ไม่ทุกตัว” แล้วรู้ได้อย่างไรว่าหูทิพย์
    อาตมาก็งงเลยถามหลวงพ่อเดิมท่านไปตามประสาคนไม่รู้เรื่องว่า “นั่นนะซีครับ ช้างก็เหมือนช้าง ไม่ผิดกันนี่ครับ” หลวงพ่อเดิมจึงได้ไขปัญหาต่อไป
    “ให้ดูที่เทวดารักษาตัวช้างอยู่ก็ด้วยกสิณที่เธอได้เรียนไปนั่นแหละ เป็นตัวกำหนดเอา”
    อาตมาจึงมารู้ตอนนี้เองว่า หลวงพ่อเดิมท่านต้องการให้เรียนกสิณก่อน เพราะกสิณคือหลักในการทำให้จิตแข็งแกร่งเป็นภูมิต้านทานเชื้อโรคสึกที่กำลังเกาะกินใจอาตมาจนกร่อนไปด้วยความเร่าร้อน กสิณดับได้เหมือนเอาน้ำเย็น ๆ สาดลงบนกองไฟอันร้อนรนให้มอดดับ
    “กำหนดเห็นแล้วทำอย่างไรครับจึงจะทำให้ช้างละพยศหายตกมันได้”
    “ไม่ยากแล้ว กำหนดเห็นเทวดารักษาช้าง แล้วก็แผ่เมตตาให้เทวดา เทวดารับแล้วเขาก็จะบังคับช้างให้เชื่องแล้วไม่ตกมันต่อไป พระที่ท่านมีกสิณท่านจึงแผ่เมตตาให้เทวดา ไม่ใช่แผ่ให้ช้าง แผ่ให้ช้างล่ะก็แบนเป็นกล้วยปิ้งหมด”
    อาตมาก็นิ่งฟังหลวงพ่อเดิมท่านว่าจะว่าอะไรต่อไปอีก ท่านก็เล่าความหลังเมื่อท่านเป็นเด็กว่า
    “ตอนที่หลวงพ่อตามโยมพ่อไปทำไร่ที่ท่าตะโก ที่นั่นช้างป่ามาก มันเข้ามากินของในไร่เสียหายมาก พวกชาวไร่พอเช้าขึ้นก็ด่าพ่อล่อแม่ช้างกันเป็นการใหญ่ เคียดแค้นที่ช้างมันเข้ามากินของในไร่ พอตกดึกไม่มากินเปล่า ๆ มาช่วยกันรื้อกระท่อมแล้วรื้อถูกด้วย กระท่อมไหนด่าว่าก็รื้อกระท่อมนั้น เจ้าของวิ่งหนีกันอย่างสุดชีวิต ทำไมจึงรู้เพราะเทวดาบอกเขานำมาเล่นงานเอา”
    อาตมาจึงเข้าใจในที่สุด ก็เรียนเรื่องช้างในวิชาคชศาสตร์ไปเรื่อย ๆ จนมาถึงการสยบช้างตกมัน หลวงพ่อเดิมท่านก็สอนว่า
    “ช้างตกมันนั้นมันดุและร้ายที่สุด จะสยบได้ต้องเพ่งเมตตาพระกรรมฐานให้มากที่สุด จะเผลอไม่ได้เลยต้องแน่วแน่อย่างที่สุด ไม่อย่างนั้นแล้วจะต้องเอาชีวิตไปสังเวยมัน มันไม่เห็นแล้วตอนนั้นว่าใครเป็นใคร เพราะมันตกมัน มันมืดบอดไปหมด เทวดาที่รักษาช้างเท่านั้น จะต้านช้างและเอาช้างนั้นไว้ได้ ถ้าเทวดาเขาไม่เอาด้วยล่ะก็ตาย”
    อาตมาจดจำไว้ หลวงพ่อเดิมท่านก็สอนต่อไปอีก ท่านสอนถึง การกำหนดจิตเพ่งกสิณและเจริญเมตตาพระกรรมฐาน ซึ่งการเพ่งกสิณและเจริญเมตตาพระกรรมฐานไปสยบช้างตกมันนั้น มันต้องเพ่งให้ได้ถึง ๘๐ เปอร์เซ็นต์ เป็นอย่างน้อย ต่ำกว่านั้นไม่ได้ ต้องรีบถอนหนี เพราะช้างเป็นสัตว์ร้ายมันเอาตายแน่ จะแผ่เมตตาจะปราบช้าง ต้องดูกาลเทศะด้วย ไม่ใช่แผ่ดะไป อันนี้ขอบอกขอเตือน พระธุดงค์มือหัดใหม่อย่าได้ริอ่านทำเข้า พลาดแล้วจะกลายเป็นเหยื่อช้างตกมันไปง่าย ๆ ควาญที่เคยเลี้ยงดูมันมา เวลามันตกมัน มันยังขยี้เสียยับเยิน นับประสาอะไรกับคนอื่น
    เทวดารักษาช้างนั้นสำคัญที่สุด ช้างบางตัวก็มีเทวดารักษา บางตัวก็ไม่มี ต้องกำหนดจิตให้เห็นจึงจะสามารถแผ่เมตตาให้กับเทวดารักษาช้างนั้นได้ ถ้าไม่แผ่เมตตาให้เทวดาแล้วล่ะก็เป็นอันตรายอย่างยิ่ง
    เมื่อได้เข้าป่าได้ผจญช้างตกมัน หรือช้างป่าที่ดุร้ายหมายชีวิตต้อนเจริญกสิณ ให้จิตหยั่งลงลึก ประมาณแปดสิบเปอร์เซ็นต์ให้จงได้ แล้วเพ่งดูเทวดาที่รักษาช้าง เมื่อเห็นแล้วก็ให้กำหนดจิตแผ่เมตตาออกไปให้เต็มที่ เพื่อให้เทวดารักษาช้างได้รับ และจัดการกำราบช้าง บทที่แผ่ออกไปว่าดังนี้
    “เมตตัญจะสัพพะโล กัสสะหมิง มานะสัมภาวะเย อปริมาณัง”
    ในจังหวะเดียวกันก็แผ่กระแสแห่งเมตตาธรรมออกไปให้กว้างใหญ่ไพศาล ไร้ขอบเขตเหมือนคำบาลีที่แผ่ออกไปว่า
    “เมตตัญจะ อปริมาณัง อันหมายความว่า เมตตานั้นไร้ขอบเขตจำกัดสรรพสัตว์ ตลอดจนอินทร์ พรหม ยม ยักษ์ ย่อมได้รับกระแสแห่งความเมตตานี้ได้ทั่วกัน กสิณคุมเอาไว้ให้มั่น นั่นแหละ คือ การกำราบช้าง”
    การคุมจิตในการแผ่เมตตานั้น หลวงพ่อเดิมท่านให้ใช้คาถาภาวนาในช่วงลมหายใจว่า
    “เมตตาคุณณัง อะระหังเมตตา”
    เจริญไว้ทุกลมหายใจอย่าให้ขาดตกหล่น เพราะเป็นช่วงสำคัญมาก เมื่อเทพยดาที่รักษาช้างได้รับเมตตานั้นแล้วก็จะบังคับช้างให้เบี่ยงเบนแล้วออกไปให้พ้นจากที่ ๆ ประจันหน้าอยู่ พูดง่าย ๆ ก็คือเหมือนกับนักเลงโต สั่งลูกน้องว่า คนนี้เขาเป็นคนดี อย่าได้ไปทำร้ายเขา ไปที่อื่นเสียอย่างนี้แหละ เมตตาหลวงพ่อเดิมท่านว่า เป็นสุดยอดแห่งคุณธรรม เป็นเครื่องค้ำจุนโลก จะพินาศหมดเพราะเข่นฆ่ากั้นจนไม่มีใครเหลือ
    อันนี้อาตมาขอแทรกไว้ตรงนี้ว่า เวลาไปมีเรื่องกับใครอย่าใช้ความโกรธ เราต้องดูว่าเขามีผู้ใหญ่คอยคุมอยู่ มีผู้บังคับบัญชา ต้องเข้าไปให้ถึงคนใหญ่ไปบอกเขา มีเรื่องกับลูกเขา เขามีพ่อมีแม่ก็ต้องบอกพ่อบอกแม่เขาให้รู้เอาไว้ จะได้ห้ามปรามไม่ให้มามีเรื่องอีก ต้องเข้าให้ถูกตามช่องจึงจะใช้ได้ ไม่อย่างนั้นแล้วเรื่องไม่จบ ช้างก็เหมือนกัน เราไม่บอกเทวดาที่รักษาช้าง เขาก็วางเฉย เอ็งจะทำอะไรก็ตามใจ ไม่วิ่งหนีให้ทัน ก็มีหวังแบนแต๋อยู่ใต้อุ้งเท้าช้างแน่
    นี่แหละหลวงพ่อเดิมท่านให้วิชาคชศาสตร์แก่อาตมา เพราะอาตมาปรารภจะสึกลูกเดียว ถ้าท่านสอนให้เรียนกสิณ ก็จะไม่สำเร็จเพราะไม่ต้องการได้ แต่ท่านวิชาคชศาสตร์โดยสอนว่า ถ้าจะปราบช้างให้เจริญกสิณแล้วจึงจะปราบช้างได้ เรียนกสิณแล้วใจก็ไม่คิดสึก เรียกว่าลืมเรื่องสึกไป ท่านจึงได้สองสองต่อคือ ต่อแรกทำให้อาตมาเป็นพระมาได้จนทุกวันนี้ ต่อที่สองคือ วิชาคชศาสตร์ไม่ตายแต่อาตมารับทอดเอาไว้จนได้ในที่สุด
    อาตมาจึงว่าเหลวงพ่อเดิมท่านไม่ใช่ธรรมดา แต่ท่านเป็นอัจฉริยะจริง ๆ อาตมายอมรับว่าหลวงพ่อเดิมท่านเป็นผู้รอบรู้หมดทุกด้านสมกับที่ได้รับการถ่ายทอดวิชามาจากยอดขุนศึกของพระเจ้ากรุงธนบุรีมหาราช อันเป็นปฐมสมภารของวัดหนองโพโดยแท้ และวิชานี้ได้ตกทอดมายังหลวงพ่อเดิม และถ่ายทอดมายังอาตมาให้สืบทอดเอาไว้จนทุกวันนี้ นอกจากนั้นแล้ว ยังทำให้อาตมาได้ดำรงสมณเพศมาจนวินาทีที่ได้เล่าให้โยมฟังด้วยบารมีท่าน”
    วิชาที่อาตมาได้รับการถ่ายทอดอีกอย่างหนึ่งก็คือ วิชาการกำหนดรู้สภาวะของผู้คน ยกตัวอย่างเช่น อาตมาเดินผ่านบ้านหลังหนึ่ง ต้นไม้เขียวสดชื่น ไม่ดอกก็งดงาม แต่เมื่อกำหนดจิตเข้าไปสิ่งที่กระทบคือ ความรู้สึก ซู่ ซู่ วาบ วาบ สลับกัน อย่างนี้ท่านว่าไม่นานนักจะมีคนตายในบ้านนั้น คนไข้หนักก็จักไม่รอดได้
    บางบ้านผ่านไป ต้นไม้ก็กรอบแห้ง ไม่น่าดูเสียเลย แต่ได้กำหนดจิตเข้าไปดู ปรากฏว่ามีสัมผัสว่า ซู่ซู่ ซู่ซู่ ติดต่อกัน ท่านว่าบ้านนั้นกำลังจะรวยและมีโชคมีลาภ
    อีกอย่างหนึ่งก็คือเมื่อตื่นจากที่นอนแล้วถ้าหมั่นสังเกตจะพบว่า ถ้าจิตเป็นอย่างนี้จะได้เงิน ถ้าจิตเป็นอย่างนี้จะเสียเงิน และจิตเป็นอย่างนี้จะเกิดอะไรขึ้นต่อไป อารมณ์ที่อยู่ในจิตจะบอกเหตุดีร้าย อาตมาก็เรียนเอาไว้ จดเอาไว้
     
  19. of_bd

    of_bd เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    101
    ค่าพลัง:
    +304
    พระบรมราชานุสาวรีย์พระนเรศ ที่มีพระสหายด้วย อยู่ที่ไหนหรอครับ
     
  20. ทางสายธาตุ

    ทางสายธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2009
    โพสต์:
    2,921
    ค่าพลัง:
    +6,434
    พระพิมพ์รูปเหมือน หลวงพ่อเดิม วัดหนองโพ จังหวัดนครสวรรค์

    [​IMG]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • IMG_0456.JPG
      IMG_0456.JPG
      ขนาดไฟล์:
      45.1 KB
      เปิดดู:
      297
    • IMG_0458.JPG
      IMG_0458.JPG
      ขนาดไฟล์:
      51.4 KB
      เปิดดู:
      80
    • IMG_0459.JPG
      IMG_0459.JPG
      ขนาดไฟล์:
      50.8 KB
      เปิดดู:
      54
    • IMG_0469.JPG
      IMG_0469.JPG
      ขนาดไฟล์:
      50.1 KB
      เปิดดู:
      51
    • IMG_0466.JPG
      IMG_0466.JPG
      ขนาดไฟล์:
      52.8 KB
      เปิดดู:
      59
    • IMG_0470.JPG
      IMG_0470.JPG
      ขนาดไฟล์:
      30 KB
      เปิดดู:
      2,840

แชร์หน้านี้

Loading...