พุทธทำนายปลอม ? (หรือเปล่า)

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย karan20, 21 มีนาคม 2011.

  1. karan20

    karan20 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2010
    โพสต์:
    1,297
    ค่าพลัง:
    +2,379
    ...พุทธทำนายปลอม ? (หรือเปล่า)

    คำถาม : พุทธทำนาย คือ คำทำนายของพระพุทธเจ้า หรือเปล่า ????
    ถ้าใช่....อยากทราบว่าเอาข้อมูลมาจากไหน

    ถ้อยคำของพระพุทธเจ้า อยู่ในพระไตรปิฎก ในส่วนที่เป็น "พุทธวัจนะ" เท่านั้น ซึ่งมีอยู่ในหลายส่วนในพระไตรปิฎก และในพระไตรปิฎกก็มีทั้งส่วนที่ สาวกมาขยายความเพิ่มเติมภายหลัง หรือมีผู้เชี่ยวชาญบาลี มาเพิ่มเติมภายหลัง ไม่ใช่คำที่แท้จริงของพระพุทธเจ้าทั้งหมด

    ดังนั้นเมื่อบอกว่าเป็น พุทธทำนาย ก็น่าจะหมายถึง คำของพระพุทธเจ้า ที่เรียกว่า พุทธวัจนะ เท่านั้น
    ไม่ใช่ส่วนที่มีการขยายความ เพราะส่วนนั้นเป็นการแต่งเติม

    จึงขอทราบว่ามีพุทธวจนะของพระองค์ที่ว่าด้วยเรื่องนี้ อยู่ตรงส่วนไหน และมีว่าอย่างไร ?



    ติดตามทาง Facebook กาขาว

    [FONT=&quot]--------------------------------------------------------------------------------------------[/FONT]


    [FONT=&quot]ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับที่มาของการเกิดภัยพิบัติและการเตรียมการ

    [/FONT]
    คลิกที่นี่...สารคดี 2011 : 100 วันแห่งความหายนะ

    คลิกที่นี่...สติและการตัดสินใจแก้ปัญหาในยามเกิดภัยพิบัติ

    [/COLOR]คลิกที่นี่...การเตรียม 'ใจ' รับภัยพิบัติ (ในวัฏฏะอันน่าสงสาร)

    คลิกที่นี่...ทำไมผู้รอดจากภัยพิบัติจึงเรียกว่าเป็นผู้มีความดี

    คลิกที่นี่...ปากกาตรวจสอบกระแสไฟฟ้ารั่วในบริเวณที่น้ำท่วม[/B][/SIZE]

    คลิกที่นี่...มาม่าเกลี้ยง น้ำดื่มขาด มีเงินก็ซื้อไม่ได้ยามเกิดภัยพิบัติ

    คลิกที่นี่...ภัยพิบัติกับคนดีชื่อ 'ตัน' และพระโสดาบันชื่อ 'อนาถบิณฑิกะ'

    คลิกที่นี่...รอดพ้นภัยพิบัติ "เร่งลัดบรรลุโสดาบัน" หลักสูตร 30 ชั่วโมง


     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 31 ตุลาคม 2011
  2. karan20

    karan20 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2010
    โพสต์:
    1,297
    ค่าพลัง:
    +2,379
    คำถามเด็ดที่เป็นเหมือนหมัดที่ชกมาหวังจะน๊อคเอ๊าท์เลยทีเดียวก็คือ
    แล้วรู้ได้อย่างไรว่าเป็นพุทธทำนายจริง
    หรือพูดง่ายๆว่า พุทธทำนายเป็นของปลอมหรือเปล่า ?

    คำถามที่ว่ารู้ได้อย่างไรว่า "พุทธทำนายเป็นของจริง ?"
    อาจตอบยากพอๆกับคำถามที่ว่าแล้วรู้ได้อย่างไรว่า "พุทธทำนายเป็นของปลอม ?"

    ลองมารับฟังคุณดังตฤณ ตอบคำถามนี้ไว้อย่างน่ารับฟัง
    ท่านเป็นนักเขียนชื่อดังที่เป็นแรงบันดาลใจในการศึกษาธรรมะของคนรุ่นใหม่หลายคน
    รวมถึงผมเองด้วยซึ่งมีความประทับใจในงานเขียนของคุณดังตฤณเป็นอย่างยิ่ง
    พูดง่ายๆว่าคุณดังตฤณเป็นไอดอล (Idol) เป็นแบบอย่างที่นิยมและนับถือของผม


    *****************************************************


    คัดลอกจาก http://dungtrin.com/prepare/archieve/prepare075.htm


    ถาม - มีพุทธทำนายว่ากึ่งพุทธกาล (พ.ศ.๒๕๐๐) สัตว์โลกจะพบแต่ความยากลำบากทุกชาติทุกศาสนา ตามธรรมชาติอันหมุนเวียนของโลกที่หมุนไปใกล้ความแตกสลาย ยักษ์หินที่ถูกสาปเป็นเวลานานจะตื่นขึ้นมาอาละวาด พระธรรมจะเริ่มเปล่งแสงรัศมีฉายแสงส่องโลกอีกวาระหนึ่งก็ต่อเมื่อมีธรรมิกราชโพธิญาณบังเกิดขึ้น อยู่ในความอุปถัมภ์ของพระเถระผู้ทรงฤทธิ์ทั้งสองพระองค์สถิต ณ เบื้องตะวันออกของมัชฌิมประเทศ จะเสด็จมาเสริมสร้างศาสนาของตถาคตให้รุ่งเรืองสืบไปถึงห้าพันปี คำทำนายนี้จะทำให้ผู้สดับได้ตั้งอยู่ในความไม่ประมาท ผู้ใดรู้แล้วไม่เชื่อนับว่าเป็นกรรมของสัตว์ที่ต้องสิ้นสุดไปตามกรรมชั่วของตน อยากทราบว่าคุณดังตฤณมีความเห็นอย่างไร พุทธทำนายนี้มีที่มาที่ไปอย่างไร เชื่อถือได้มากน้อยแค่ไหน?

    (คุณดังตฤณตอบว่า....)
    เป็นเรื่องน่าช่วยจดจำกันครับ ว่าพระพุทธเจ้าจะทรงทำนายสิ่งใดๆก็ตาม ท่านต้องมีเหตุผลกำกับไปด้วยทุกครั้ง เช่นหากใครสงสัยว่าเมื่อใดพระอรหันต์จะหมดจากโลก ท่านจะไม่ระบุเวลา แต่จะชี้ให้เห็นเป็นเงื่อนไขว่าตราบใดยังมีภิกษุปฏิบัติธรรมตามที่พระองค์สอนสั่ง ตราบนั้นโลกจะไม่ว่างจากพระอรหันต์ หรือถ้าสงสัยว่าเมืองใดจะล่มสลาย พระองค์ก็จะตรัสเป็นเงื่อนไขว่าเมื่อใดเหล่าเจ้าผู้ครองนครเสียความสมัคร สมานสามัคคี เมื่อนั้นเมืองจะถึงกาลพินาศ

    เช่นกัน ตามพระไตรปิฎกซึ่งถือเป็นสมุดบันทึกอันเชื่อถือได้ของชาวพุทธนั้น จะเห็นว่ามิใช่พุทธลีลาที่จะทำนายอนาคตของศาสนาแบบฝากความหวังไว้กับใครคนใดคนหนึ่ง พระพุทธเจ้าทรงชี้ว่าถ้าพระองค์เสด็จดับขันธ์ปรินิพพานไป ศาสนาพุทธจะยังคงสืบทอดต่อได้อย่างมั่นคง เพราะพระองค์บัญญัติวินัยสงฆ์ไว้อย่างเป็นระเบียบดีแล้ว อีกทั้งพระองค์จัดตั้ง 'บริษัทพุทธ' ซึ่งมีผู้ร่วมดำเนินการอยู่ ๔ พวก ได้แก่ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก และอุบาสิกา (รวมกล่าวง่ายๆคือฝ่ายนักบวชและชาวบ้านหญิงชาย)

    แม้ที่เลื่องลือกันมากว่าพระพุทธเจ้าเคยทำนายสุบินนิมิต (ความฝัน) ของพระราชาองค์หนึ่ง ก็ไม่ปรากฏหลักฐานอยู่ในพระไตรปิฎก แต่จะอยู่ในหลักฐานชั้นรองๆลงมา สรุปว่าเรื่องเกี่ยวกับพุทธทำนายอนาคตแบบไม่มีเหตุผลประกอบนั้น เป็นเรื่องสมควรฟังหูไว้หูจะกระเดียดไปทางไม่เชื่อไว้ก่อนก็ไม่ผิดบาปอะไร เพราะโดยพุทธลีลาแล้ว แม้พระองค์ท่านมีญาณหยั่งรู้อนาคตจริง ก็จะตรัสถึงอนาคตอย่างมีเหตุผล มีที่มาที่ไป ซึ่งคนฟังจะได้รับประโยชน์ และเมื่อจะเชื่อก็ได้ชื่อว่าเชื่ออย่างมีเหตุผล มิใช่เชื่ออย่างงมงายหาคำอธิบายยาก

    กล่าวถึงคำทำนายที่คุณยกมาเป็นคำถามนี้ เท่าที่ทราบปรากฏขึ้นมาลอยๆหลังสงครามโลกครั้งที่ ๒ ครับ เขาถึงได้ทำนายถูกไงว่าจะเกิดสงครามใหญ่ จะเข้ายุคข้าวยากหมากแพง สำหรับที่มาของคำทำนายก็อ้างว่าได้มาจากเสาหินขนาดใหญ่ซึ่งเป็นศิลาจารึกของ พระเจ้าอโศกผู้มีพระชนม์ประมาณสองร้อยปีหลังพุทธกาล

    โปรดไถ่ถามกันดูเองเถิด มีใครเคยเห็นจารึกพุทธพยากรณ์ที่ว่านี้ด้วยตาตนเองหรือถ่ายรูปมาบ้าง และมีผู้เชี่ยวชาญภาษาโบราณท่านใดเป็นผู้แปลหรือให้การรับรองว่าแปลออกมา แล้วได้ใจความต่อเนื่องราบรื่นสละสลวยอย่างนี้ สำหรับเสาพระเจ้าอโศกนั้น ถ้าใครเคยไปอินเดียจะเห็นนะครับว่าข้อความบนเสาเลอะเลือนขาดหาย ไม่มีความต่อเนื่องนัก อย่างไรคงถอดความไม่ได้ชัดเจนเหมือนพุทธทำนายปลอมที่เขียนขึ้นใหม่นี้หรอก

    อีกประการหนึ่ง น่าสงสัยว่าพระเจ้าอโศกท่านไปคัดข้อความยาวๆแบบนี้มาจากไหน? เพราะแม้ในชั้นอรรถกถาซึ่งเป็นภาคขยายความพระไตรปิฎกก็ไม่มี

    อีกข้อสังเกตหนึ่ง พระเจ้าอโศกท่านเป็นคนในยุค ๒๐๐ ปีหลังพุทธกาล คงไม่ใช่ธุระของท่านหรือคนสมัยนั้นที่จะไปสนใจเหตุการณ์อันจะเกิดขึ้นในอีก สองพันปีต่อมา และหากกล่าวว่าเป็นเหตุการณ์สำคัญ ก็ต้องกล่าวว่าเหตุการณ์สำคัญกว่านั้นมีอยู่ เช่นที่พุทธศาสนาถูกรุกรานจนสาบสูญไปจากประเทศต้นกำเนิด และกระจัดกระจายไปเจริญตามแหล่งอารยธรรมต่างๆทั่วโลก เป็นต้น

    และที่จะลืมไม่ได้เป็นอันขาด คือองค์พระเจ้าอโศกเอง ท่านเป็นผู้อุปถัมภ์ศาสนาพุทธเจ้าใหญ่ที่สุด เพราะถ้าไม่มีท่านส่งคนไปเผยแผ่พระสัทธรรมนอกอินเดีย ป่านนี้พุทธศาสนาก็ล่มสลายหายสูญจากโลกนี้ไปแล้ว ฉะนั้นถ้าพระพุทธเจ้าจะทรงตรัสทำนายเพื่อเชิดชูบุคคลสำคัญของศาสนา ท่านก็น่าจะไม่ลืมตรัสถึงพระเจ้าอโศกเป็นแน่แท้ พระเจ้าอโศกอยู่ใกล้พุทธกาลเพียงสองร้อยปีเศษ แต่ 'ธรรมิกราช' ในพุทธทำนายปลอมอยู่ห่างมาถึงสองพันปี กลับได้รับการเชิดชูขึ้นมาเฉยๆ

    สรุปคือเป็นพุทธทำนายปลอมร้อยเปอร์เซ็นต์ครับ ตัวคำทำนายจะจริงหรือไม่จริงขอให้ยกไว้ อย่างไรก็ไม่สมควรนำมาอ้างอิงกันอย่างเด็ดขาดว่านี่เป็นสิ่งที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ เป็นธรรมดาที่มนุษย์ทั้งหลายจะแสวงหาและปั้นแต่งฮีโร่ขึ้นมารับผิดชอบโลก แต่ความจริงก็คือพระพุทธเจ้าไม่สรรเสริญ ไม่สนับสนุน และไม่ยกใครขึ้นมาเชิดชูแล้วอนุญาตให้พวกเราฝากพระพุทธศาสนาไว้ในมือคนๆนั้น มีแต่จะทรงให้ร่วมมือร่วมใจกัน ช่วยกันสืบทอดและเผยแผ่ตามกำลังของแต่ละคน การเสาะหาฮีโร่เพียงคนเดียวมาเป็นศูนย์กลางของทุกสิ่งนั้น นอกจากจะทำให้แนวคิดร่วมมือร่วมใจลดลงแล้ว ยังเป็นการเปิดโอกาสให้มนุษย์เจ้าเล่ห์ทั้งหลายกุเรื่องขึ้นมาตามใจชอบอีกด้วย

    - จบข้อความที่คัดลอกมา -


    *****************************************************

    นี่แปลว่าเราไม่ควรเชื่อว่าพุทธทำนายที่ยกมาเป็นของจริง ?
    นี่แปลว่าคำทำนายจะไม่เป็นจริง ?
    นี่แปลว่าจะไม่มีภัยพิบัติใดใดเกิดขึ้น ?
    นี่แปลว่า....... ?

    คัดลอกจาก http://www.payakorn.com/webboard_ans.php?q_id=34732&myflag=1&mypage=2
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 มีนาคม 2011
  3. karan20

    karan20 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2010
    โพสต์:
    1,297
    ค่าพลัง:
    +2,379
    เรื่องพุทธทำนายนั้น....ทุกท่านมีสิทธิ์ที่จะเชื่อหรือไม่เชื่อ
    ส่วนผมมีความเชื่อ เกี่ยวกับความเชื่อและความไม่เชื่อในเรื่องนี้ว่า.....

    ถ้าจะไม่เชื่อก็ควรว่า 'ไม่เชื่อว่าจะมีพุทธทำนายอย่างนั้น'

    ไม่ใช่ว่า 'ไม่มีพุทธทำนายอย่างนั้น' (เพราะหากพลาดพลั้งไปจะกลายเป็นปรามาสพระพุทธเจ้า)

    ถ้าจะเชื่อก็ควรว่า 'มีความเชื่อว่ามีพุทธทำนายอย่างนั้น'

    ไม่ใช่ว่า 'มีพุทธทำนายไว้อย่างนั้น' (เพราะหากพลาดพลั้งไปจะกลายเป็นแอบอ้างพุทธพจน์)



    **************************************************


    อนึ่งผู้เขียนขอแสดงเจตนาและชักชวนทุกท่านขอขมาต่อพระรัตนตรัย

    นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
    นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
    นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ

    สัพพัง อะปะราธัง ขะมะถะ เม ภันเต อุกาสะ ทวารัตตะเยนะ กะตัง
    สัพพัง อะปะราธัง ขะมะถะ เม ภันเต อุกาสะ ขะมามิ ภันเต ฯ

    หากข้าพระพุทธเจ้า ได้เคยประมาทพลาดพลั้งล่วงเกินต่อพระรัตนตรัย อันมีพระพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์
    พระปัจเจกพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ พระธรรม และพระอริยสงฆ์ทั้งหลาย ในชาติก่อนก็ดี ชาตินี้ก็ดี
    ด้วยทางกายหรือวาจาก็ดี และด้วยเจตนาหรือไม่มีเจตนาก็ดี รู้เท่าไม่ถึงการณ์ก็ดี
    ขอองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ พระธรรม พระอริยสงฆ์ทั้งหลาย
    และผู้มีพระคุณทุกท่าน ได้โปรดอดโทษให้แก่ข้าพระพุทธเจ้าตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป
    ตราบเท่าเข้าสู่พระนิพพานด้วยเทอญ ฯ




     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 เมษายน 2011
  4. karan20

    karan20 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2010
    โพสต์:
    1,297
    ค่าพลัง:
    +2,379
    ข้อมูลส่วนที่สนับสนุนความเห็นที่ว่า 'มีความเชื่อว่ามีพุทธทำนายอย่างนั้น' คือ


    วิธีที่ดีที่จะพิสูจน์ว่ามี 'พุทธทำนาย' หรือ 'พุทธพยากรณ์' ไว้หรือไม่นั้นก็คือ
    ถามเอาโดยตรงจากพระพุทธเจ้า เพราะนั่นย่อมจะเป็นคำตอบที่ยืนยันชัดเจนที่สุด
    แต่ก็เป็นเรื่องเหลือวิสัยสำหรับปุถุชนอย่างพวกเรา

    ดังนั้นการถามเอาจากสาวกของพระองค์ซึ่งเป็นพระอริยะจึงเป็นวิธีที่เป็นไปได้มากกว่า

    ขอย้ำว่าต้องเป็นพระอริยะเจ้าที่ท่านมีความรู้เป็นต้นว่า ญาณอภิญญา
    หรือมีฤทธิ์ทางใจที่เรียกว่า 'มโนมยิทธิ' คือต้องเป็นอริยะสาวกที่มีความรู้อย่างใดอย่างหนึ่งตามที่กล่าวมาข้างต้น

    เชื่อว่าหลายๆท่านคงรู้จักหรือเคยได้ยินชื่อ หลวงพ่อพระราชพรหมยาน
    หรือที่ลูกศิษย์นิยมเรียกท่านว่า 'หลวงพ่อฤาษีลิงดำ'

    เนื่องจากมีคำทำนายที่ไม่ปรากฏหลักฐานที่พอน่าเชื่อถือว่าเป็นคำพูดของหลวงพ่อฤาษีลิงดำเผยแพร่ออกมา
    พูดง่ายๆ ว่าอาจจะมีการแอบอ้าง ดังนั้นเพื่อความถูกต้อง เราจึงต้องใช้ข้อมูลจากแหล่งที่เชื่อถือได้ที่สุด
    นั่นคือจากเว็บไซต์ของวัดท่าซุง วัดที่หลวงพ่อฤาษีลิงดำท่านเคยเป็นเจ้าอาวาสและจำพรรษาจนกระทั่งท่านมรณะภาพ


    ข้อความส่วนที่ปรากฏต่อไปนี้ย่อมแสดงให้เห็นว่า
    'พุทธทำนาย 'หรือ 'พุทธพยากรณ์' นั้นอาจมีอยู่จริง

    **************************************************

    อ้างอิงจาก http://www.watthasung.com/wat/viewthread.php?tid=897


    พุทธพยากรณ์ โดย..หลวงพ่อฤาษีลิงดำ
    บันทึกเทปไว้เมื่อ วันที่ ๘ ตุลาคม ๒๕๓๓

    พุทธพยากรณ์โลก

    ท่านสาธุชนพุทธบริษัททั้งหลาย วันนี้เป็นวันที่ ๘ ตุลาคม ๒๕๓๓ เป็นอันว่า ในระหว่างนี้ บรรดาท่านพุทธบริษัท คงจะทราบว่าตะวันออกกลาง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง อ่าวเปอร์เซีย กำลังจะเกิดสงครามจากอิรักกับหลายประเทศร่วมกัน คือ "อิรัก" ฝ่ายหนึ่ง กับหลายประเทศฝ่ายหนึ่ง ถ้าจะเปรียบเทียบกัน คล้ายๆ กับสงครามโลกครั้งที่ ๒ คือ เยอรมัน กับอิตาลี ญี่ปุ่นฝ่าย หนึ่ง อเมริกา อังกฤษ และฝรั่งเศส อีกหลายประเทศร่วมกัน

    แต่ทว่าสงครามนี้จะเกิดหรือไม่เกิด อันนี้ก็ทราบไม่ได้เหมือนกัน เพราะว่า ต่างคนต่างก็ตั้งท่า ต่างคนต่างก็เตรียมพร้อม ที่จะลงมือซึ่งกันและกันและคำพยากรณ์ ก็จะไม่พยากรณ์ว่าจะ มีสงครามหรือไม่ แต่ทว่ามีหนังสือเล่มหนึ่ง เขาให้ชื่อว่า นอสตราดามุส เขาพยากรณ์ไว้ล่วงหน้า ถึง ๒,๐๐๐ ปี

    โดยเฉพาะ อย่างยิ่งปีนี้ ค.ศ.๑๙๙๐ จะเป็นปีเกิดสงครามโลกครั้งที่ ๓ แล้วสงครามโลกครั้งที่ ๓ นี่จะเป็นสงครามที่มีความร้ายแรงมาก แต่ความจริงหนังสือนี่อาตมาก็ไม่ได้อ่าน เขาให้มาเหมือนกัน อ่านผ่านไปนิดเดียว แล้วก็เขาบอกว่าประเทศอเมริกา อาจจะถูกระเบิดนิวเคลียร์ แล้วก็จะมีเหตุการณ์ร้ายต่างๆ เกิดขึ้น

    รวมความแล้ว เป็นสงครามทำลายศาสนา ในระหว่างศาสนากับศาสนาคือ ศาสนาคริสต์กับศาสนาอิสลาม เขาว่าอย่างนั้นนะ ตามที่หนังสือว่า หรือ ตามที่คนบอก อาตมาก็ไม่ได้อ่านชัด ทีนี้เรื่องของ "ดามุส" ดามุสเขาพูดไว้จะแน่นอนขนาดไหน ก็เป็นเรื่องของเขา สำหรับพวกเราบรรดาท่านพุทธบริษัท ในฐานะที่เป็น ศากยบุตรพุทธชิโนรส เป็นลูกของพระพุทธเจ้าเราก็มา ดูคำพยากรณ์ของพระพุทธเจ้าบ้าง


    อานันทะ..ดูก่อนอานนท์ จะมีความร้ายแรงมากกว่าก่อนกึ่งพุทธกาลมาก ยักษ์นอกศาสนาจะรบราฆ่าฟันซึ่งกันและกัน ยักษ์นอกพุทธศาสนานั่นหมายถึง คนที่ไม่ได้เคารพพระพุทธศาสนา จะรบราฆ่าฟัน ซึ่งกันและกัน ต่างฝ่ายจะล้มตาย ฝ่ายละมากๆ สมณะ ชี พราหมณ์จะล้มตาย จะตายไปฝ่ายละครึ่ง จึงจะเลิกรากัน สำหรับประเทศที่นับถือพุทธศาสนาจะมีภัยเหมือนกัน แต่ไม่ร้ายแรงนัก นี่เป็นคำพยากรณ์ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

    เป็นอันว่า ท่านดามุสคนนี้ ก็พยากรณ์ไว้ตรง แต่เขาบอกว่า ค.ศ.๒๐๐๐ โลกจะสลาย แต่ว่าพระพุทธเจ้าของเราบอกว่า โลกยังไม่สลาย พระพุทธศาสนา จะทรงอยู่ได้ตลอด ๕,๐๐๐ ปี โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ทรงพยากรณ์ไว้ที่พระธาตุดอยกิตติ ครั้งหนึ่งทรงตรัสว่า

    "ชี้ว่าเขตประเทศนี้ ต่อไปจะเป็นประเทศที่มีความเจริญรุ่งเรืองมาก จะสามารถทรงพระพุทธศาสนาครบ ๕,๐๐๐ ปี" นี่หมาย ถึงประเทศไทย


    - จบส่วนที่คัดลอกมา -




    ข้อความส่วนที่ปรากฏตามที่ได้อ้างอิงไว้แล้วนั้นย่อมแสดงให้เห็นว่า
    'พุทธทำนาย 'หรือ 'พุทธพยากรณ์' นั้นอาจมีอยู่จริง



    อ่านข้อความทั้งหมดที่ครบถ้วนถูกต้องได้ที่
    http://www.watthasung.com/wat/viewthread.php?tid=897

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 เมษายน 2011
  5. karan20

    karan20 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2010
    โพสต์:
    1,297
    ค่าพลัง:
    +2,379
    ฟังบันทึกเสียงของหลวงพ่อฤาษีลิงดำ

    "พุทธพยากรณ์" ตอนที่ 1 (บันทึกเมื่อ 7 มิ.ย. 2533 )
    http://tamroiphrabuddhabat.com/xmb/viewthread.php?tid=370


    "พุทธพยากรณ์" ตอนที่ 2 (บันทึกเมื่อ 8 ต.ค.2533 )
    http://tamroiphrabuddhabat.com/xmb/viewthread.php?tid=371


    ใน "พุทธพยากรณ์" ตอนที่ 1 (บันทึกเมื่อ 7 มิ.ย. 2533 )
    ยังหาที่มีคนถอดความจากบันทึกเสียงมาเป็นข้อความไม่เจอ
    ผู้เขียนที่ใช้นามแฝงว่า กาขาว จึงนำมาเล่าเพียงสั้นๆว่า....

    หลวงพ่อฤาษีลิงดำท่านว่าพุทธพยากรณ์ที่นำมาเล่าให้ฟังนี้
    ไม่ใช่พุทธพยากรณ์ที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ตั้งแต่เมื่อครั้งก่อนปรินิพพาน
    แต่เป็นพุทธพยากรณ์ที่พระพุทธเจ้าตรัสเมื่อปี พ.ศ. 2528

    ท่านที่สงสัยว่าเป็นไปได้อย่างไรในเมื่อพระพุทธเจ้านิพพานไปแล้ว
    หลวงพ่อไปพบพระพุทธเจ้าได้อย่างไร
    ขอท่านอย่าเพิ่งประมาทเพราะจะเป็นการปรามาสพระอริยะเจ้า
    เชิญฟังบันทึกเสียงที่หลวงพ่อเล่าไว้ใน "พุทธพยากรณ์" ตอนที่ 1

    เมื่อฟังแล้วขอให้ผู้อ่านระลึกถึงสิ่งที่เรียกว่าอจินไตย 4
    คือสิ่งที่ไม่ใช่วิสัยที่ปุถุชนจะรู้ เช่น วิสัยของพระพุทธเจ้า
    และวิสัยของผู้ได้ณาน เป็นต้นนั้น จัดว่าเป็นสิ่งที่ปุถุชนไม่อาจรู้ ไม่ควรคิด
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 มีนาคม 2011
  6. karan20

    karan20 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2010
    โพสต์:
    1,297
    ค่าพลัง:
    +2,379
    สำหรับคนที่ไม่เชื่อนั้น ถ้าเป็นคำพูดแบบฟังง่ายๆคือ
    "ไหน ไม่เห็นมีเขียนไว้ในตำราเลย ไม่จริงๆ"
    "ถ้าไม่มีเขียนไว้ในตำรา แสดงว่าไม่จริง เชื่อถือไม่ได้"

    ในทางกลับกันที่ท่านกล่าวมาว่าถ้อยคำของพระพุทธเจ้าอยู่ในพระไตรปิฎก ในส่วนที่เป็น "พุทธวัจนะ" เท่านั้น
    ผมขอหลักฐานหรือข้อมูลยืนยันจากท่านว่า
    มีตรงไหนที่ได้ระบุยืนยันไว้ว่าพระไตรปิฎกได้บันทึก "พุทธวัจนะ" ไว้ครบถ้วนทุกคำ ไม่มีตกหล่น
    และในการสังคายนาพระไตรปิฎกหลายๆครั้งนั้นไม่เคยมีการตัดทอนใดๆเลย

    และขอหลักฐานหรือข้อมูลยืนยันด้วยว่า
    หลังจากที่ได้มีการสร้างพระไตรปิฎกและหลังจากปรินิพานแล้ว
    พระพุทธเจ้าท่านไม่เคยกล่าวถ้อยคำใดๆอีกเลย

    แต่จากข้อมูลที่ผมศึกษาคือหลังจากปรินิพพานแล้ว
    มีพระอริยะสงฆ์อีกหลายท่านที่ได้มีโอกาสเข้าเฝ้าและสนทนากับพระพุทธเจ้า
    เช่น หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต หลวงพ่อพระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ)
    นั่นแสดงว่าย่อมต้องมี พุทธวัจนะ เพิ่มเติมที่พระไตรปิฎกไม่ได้บันทึกไว้

    สรุปง่ายๆว่า พระไตรปิฎกนั้นอาจได้บันทึกพุทธวัจนะไว้จริง
    แต่อาจไม่ได้บันทึกไว้ทั้งหมด
    อาจมีส่วนที่ตกหล่นหรือถูกตัดทอน
    นอกจากนี้ยังไม่ได้มีการบันทึกพุทธวัจนะที่เกิดขึ้นหลังจากพระพุทธเจ้าทรงปรินิพาน

    ผมไม่อาจยืนยันว่าเป็นพุทธทำนายจริง
    ได้แต่เชื่อว่าอาจเป็นพุทธทำนายจริง
    โดยอ้างอิงข้อมูลจากพระอริยะสงฆ์ที่ท่านเล่าให้ฟัง

    ข้อมูลสนับสนุนว่าอาจมีพระพุทธทำนายอยู่จริง

    ข้อมูลจาก http://www.watthasung.com/wat/viewthread.php?tid=680

    อนาคตของประเทศชาติ
    บรรยายโดย..พระมหาวีระ ถาวโร (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ)
    เมื่อวันพุธที่ ๒๓ ธันวาคม ๒๕๑๘
    (อ้างอิงจาก "หนังสือธัมมวิโมกข์" ปีที่ ๒๙ ฉบับที่ ๓๒๐
    ประจำเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๕๐ หน้า ๔๓-๕๒ "ธรรมกถา")


    คำทำนายของพระพุทธโฆษาจารย์

    ในประการแรก อาตมาได้พบและได้อ่านหนังสือเล่มหนึ่งเป็น สมุดข่อย ซึ่งพระอรหันต์ในอดีตนามว่า พระพุทธโฆษาจารย์ (ลำใย) เขียนไว้ ทำนายชะตาบ้านเมืองก่อนที่กรุงศรีอยุธยาจะแตกเสียอิสรภาพแก่พม่า ก่อนที่กรุงเทพฯ ยังไม่ปรากฏ

    โดยท่านได้เขียนทำนายไว้ว่า
    “กรุงศรีอยุธยาจะต้องถูกข้าศึกตีแตก แจ่จะเสียอิสรภาพไม่นานนัก จะมีคนดีของกรุงศรี
    อยุธยามากู้ชาติ แต่เมื่อกู้ชาติได้แล้วจะต้องไปตั้งเมืองหลวงอยู่ใหม่”

    และเหตุการณ์ต่างๆ ของกรุงศรีอยุธยาก็ได้เป็นจริงตามคำทำนายทุกอย่าง



    ทำนายเหตุการณ์ล่วงหน้าทั้ง ๑๐ รัชกาล

    ในสมุดข่อยเล่มเดียวกันนี้ พระพุทธโฆษาจารย์ได้กล่าวทำนายเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นแก่กรุงเทพมหานคร เมืองหลวงใหม่ ในวันข้างหน้า ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นแต่ละรัชกาลดังนี้

    รัชกาลที่ ๑. ทำนายว่า มหากาฬผ่านมหายักษ์
    รัชกาลที่ ๒. ทำนายว่า รู้จักธรรม
    รัชกาลที่ ๓. ทำนายว่า จำต้องคิด
    รัชกาลที่ ๔. ทำนายว่า สนิทธรรม
    รัชกาลที่ ๕. ทำนายว่า จำแขนขาด
    รัชกาลที่ ๖. ทำนายว่า ราษฎร์ราชาโจร
    รัชกาลที่ ๗. ทำนายว่า นั่งทนทุกข์
    รัชกาลที่ ๘. ทำนายว่า ยุคทมิฬ
    รัชกาลที่ ๙. ทำนายว่า ถิ่นกาขาว
    รัชกาลที่ ๑๐. ทำนายว่า ชาววิไล





    - ข้อมูลในตอนหนึ่ง.....หลวงพ่อเล่าถึงเรื่องพุทธทำนาย -

    พระพุทธทำนายเหตุการณ์ของโลก


    ประการที่ ๒. ที่ยืนยันว่าประเทศไทยจักไม่ตกเป็นทาสของใครๆ นั้นคือ
    พระพุทธทำนายเหตุการณ์ของโลก พระพุทธทำนายนี้ก็มีปรากฏในสมุดข่อยของพระพุทธโฆษาจารย์เช่นเดียวกัน ซึ่งมีข้อความปรากฏโดยสังเขปดังนี้

    “อานันทะ..ดูก่อน อานนท์ โลกต่อไปจะเต็มไปด้วยความเร่าร้อน ก่อนกึ่งพุทธกาล ๑๕ ปี (ประมาณ พ.ศ.๒๔๘๕) จะมีฝนเหล็กตกจากอากาศ จะมีไฟลุกจากอากาศ เหล็กกล้าจะผุดจากน้ำมาทำลายมนุษย์ มนุษย์และสมณะชีพราหมณ์จะตายกันมาก

    แต่ว่า..อานนท์ ความเร่าร้อนก่อนกึ่งพุทธกาลนั้น ยังมีความเร่าร้อนน้อยกว่า ความเร่าร้อนหลังกึ่งพุทธกาล

    หลังกึ่งพุทธกาลจะมีความร้ายแรงยิ่งไปกว่านั้น ยักษ์หินที่ถูกสาปจะลุกขึ้นมาอาละวาดสมณะชีพราหมณ์จะล้มตาย ยักษ์นอกพระพุทธศาสนาทั้งหลายจะฆ่าฟันกันและกัน จะตายกันไปคนละครึ่ง จึงจะหยุดยั้งเลิกรบกัน

    แต่ทว่าประเทศที่นับถือพระพุทธศาสนาอย่างแน่นแฟ้น จะมีภัยเช่นนี้เหมือนกัน แต่ไม่มากนัก”

    ความแม่นยำของพุทธทำนาย

    จากพระพุทธเจ้าทำนายนี้เราก็จะเห็นได้ชัดเจนว่าเป็นความจริงทุกอย่าง ก่อนพุทธกาลได้เกิด สงครามโลกครั้งที่ ๒. ลูกระเบิดต่างๆ ซึ่งเป็นเหล็กเป็นไฟได้หลั่งไหลลงมาจากอากาศพิฆาตมนุษย์

    หลังกึ่งพุทธกาลได้เกิดสงครามลัทธิคือพวกยักษ์นอกศาสนา เพิ่งจะเลิกรากันไป แต่เมืองไทย ก็ยังได้รับผลกระทบกระเทือนมาจนกระทั่งบัดนี้

    มีเพียงไทยที่นับถือพุทธอย่างมั่นคง

    ตามพระพุทธทำนายนั้นได้บ่งชี้ชัดว่าประเทศที่นับถือพระพุทธศาสนาจะมีภัยบ้าง แต่ไม่มากนัก หากเราพิจารณาให้ดีๆ ก็จะเห็นเด่นชัดว่า ประเทศไทยนี้เท่านั้นที่นับถือพระพุทธศาสนาอย่างมั่นคง และเป็นประเทศสุดท้ายที่พระพุทธศาสนายังเหลืออยู่ในท้องถิ่นบริเวณนี้

    ประเทศอื่นๆ รอบบ้านเราก็กลายเป็นพวกเดียรถีย์นอกศาสนาพุทธไปเกือบหมดแล้ว เพราะฉะนั้น ประเทศไทยจึงเป็นเมืองสุดท้ายที่พระพุทธศาสนาจะสถิตสถาพรอยู่ได้ตลอดไป

    พระเจ้าอังครัฐตั้งจิตขอพบพระอรหันต์

    ในพระพุทธทำนายซึ่งปรากฏในตำนานบางแห่งได้เล่าไว้ว่า
    พระเจ้าอังครัฐ เจ้าเมืองอังครัฐ ซึ่งเป็นเมืองที่ประดิษฐาน พระธาตุจอมทอง อยู่ในขณะนี้ ได้ทรงตั้งจิตอธิษฐานขอให้พระองค์ได้พบพระอรหันต์ ขอให้พระอรหันต์เสด็จมาโปรด พระพุทธองค์ทรงทราบวาระจิตของพระเจ้าอังครัฐ จึงทรงส่งพระโมคคัลลาน์ พร้อมด้วยพระเถระรวม ๔ รูป เดินทางมาเผยแพร่พระพุทธศาสนาที่เมืองอังครัฐก่อน

    ศาสนาจะอยู่ในเมืองไทยครบ ๕,๐๐๐ ปี

    ส่วนพระองค์ได้เสด็จมาภายหลัง เมื่อเสด็จมาถึงเมืองนั้น ได้ทรงพยากรณ์เกี่ยวกับความเป็นไปในอนาคตของพระพุทธศาสนาไว้ว่า
    “พระพุทธศาสนาจะเจริญรุ่งเรืองตั้งมั่นอยู่ในท้องถิ่นนี้ถึง ๕,๐๐๐ ปี”

    เมื่อพระพุทธศาสนายังตั้งมั่นอยู่ได้ในผืนแผ่น ดินไทยตามพระพุทธทำนาย ก็หมายความว่าเมืองไทยจะต้องไม่ตกเป็นทาสของใครๆ เพราะความมั่นคงของชาติและพระพุทธศาสนาเป็นของคู่กันมาแต่บรรพกาล เมืองไทยจะไม่ตกเป็นทาสของใคร

    จากคำพยากรณ์ของพระพุทธโฆษาจารย์ก็ดี คำบอกเล่าของพระเถระผู้ได้ฌานสมาบัติก็ดี และจากพระพุทธทำนายก็ดี เป็นหลักชี้ชัดให้เรามั่นใจได้ว่า

    “เมืองไทยเรานี้จะต้องเป็นปึกแผ่นมั่นคงตลอดไป ไม่ตกเป็นทาสของใครๆ พวกนอกศาสนาจะไม่สามารถย่ำยีเมืองไทยได้ แต่ข้อสำคัญนั้น เราทุกคนอย่าประมาท ต้องรักกัน สามัคคีกันไว้ ไม่แตกแยกกันและไม่ลุ่มหลงไปกับคำยุแหย่ของบุคคลผู้มุ่งร้ายต่อชาติบ้าน เมือง”

    ดูข้อมูลที่ครบถ้วนได้ที่...
    http://www.watthasung.com/wat/viewthread.php?tid=680

    ตามที่หลวงพ่อฤาษีลิงดำเล่าว่า
    "อาตมาได้พบและได้อ่านหนังสือเล่มหนึ่งเป็นสมุดข่อย ซึ่งพระอรหันต์ในอดีตนามว่า พระพุทธโฆษาจารย์ (ลำใย) เขียนไว้
    ทำนายชะตาบ้านเมืองก่อนที่กรุงศรีอยุธยาจะแตกเสียอิสรภาพแก่พม่า ก่อนที่กรุงเทพฯ ยังไม่ปรากฏ"

    และตามที่หลวงพ่อฤาษีลิงดำเล่าว่า
    "พระพุทธทำนายเหตุการณ์ของโลก พระพุทธทำนายนี้ก็มีปรากฏในสมุดข่อยของพระพุทธโฆษาจารย์เช่นเดียวกัน "

    แสดงว่าอาจมีพุทธทำนายไว้นานแล้ว อย่างน้อยก็ก่อนที่กรุงศรีอยุทธยาจะแตก
    และก่อนที่จะมีกรุงเทพเป็นเมืองหลวง คือมีพุทธทำนายมาก่อนที่จะมีสงครามโลก
    และยังยืนยันว่าโลกจะไม่แตกสลายก่อนพระพุทธศาสนาจะมีอายุครบ 5,000 ปี


    ข้อความส่วนที่ปรากฏตามที่ได้อ้างอิงไว้แล้วนั้นย่อมแสดงให้เห็นว่า
    'พุทธทำนาย 'หรือ 'พุทธพยากรณ์' นั้นอาจมีอยู่จริง


     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 เมษายน 2011
  7. karan20

    karan20 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2010
    โพสต์:
    1,297
    ค่าพลัง:
    +2,379
    หากมีคำถามว่า ความเชื่อนี้อันใดเป็นจริงหรืออันใดไม่จริง

    ถ้าเชื่อว่า พระพุทธเจ้าตรัสว่า "พระศาสนาจะมีอายุ 5,000 ปี" เป็นจริง
    ก็จะกลายเป็นที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า "ตราบใดยังมีภิกษุปฏิบัติธรรมตามที่พระองค์สอนสั่ง ตราบนั้นโลกจะไม่ว่างจากพระอรหันต์" นั้นเป็นเท็จ

    หรือในทางกลับกันถ้าเชื่อว่าคำตรัสอย่างหลังเป็นจริง
    ก็แสดงว่าที่ตรัสว่า "พระศาสนาจะมีอายุ 5,000 ปี" เป็นเท็จ

    ข้อสงสัยเช่นนี้เคยเกิดมีมาก่อนแล้ว
    เมื่อ 'พระเจ้ามิลินท์' ตรัสถามกับพระนาคเสน
    ปรากฏอยู่ใน คัมภีร์ 'มิลิทปัญหา'
    โคตมีวัตถทานปัญหา ที่ ๓ ปรารภเมณฑกปัญหา
    ปฐมวรรค สัทธัมมอันตธานปัญหา ที่ ๗
    ถามเรื่องอายุพระพุทธศาสนา ๕,๐๐๐ ปี


    อ้างอิงข้อมูลจาก http://84000.org/tipitaka/milin/milin.php?i=101


    ขอนำมาเล่าสรุปความว่า
    ไม่มีประโยคใดผิด ถูกต้องทั้งสองประโยค ไม่ขัดกัน

    อย่างไรก็ตามบางท่านมักจะตั้งแง่ว่า คัมภีร์ระดับอรรถกถา นั้นไม่ใช่พระพุทธพจน์
    ไม่น่าเชื่อถือ อาจมีการดัดแปลงให้เข้ากับความเชื่อส่วนตัว

    หากต้องการอ่าน 'มิลินทปัญหา' ตามข้อมูลที่ยกมาอ้างอิง
    ในรูปแบบภาษาสมัยปัจจุบันที่อ่านง่ายๆ เข้าใจง่าย (ไม่มีภาษาบาลี)
    อ่านได้ที่ http://www.dharma-gateway.com/dhamma/dhamma-25-10-03.htm

    เนื้อความตอนหนึ่ง พระนาคเสนได้กล่าวว่า
    "....เมื่อสมเด็จพระจอมไตรจะทรงกำหนดพระศาสนาที่หมดไป ก็ได้ทรงแสดงส่วนที่ยังเหลืออยู่ในท่ามกลางเทพยดามนุษย์ทั้งหลายว่า บัดนี้พระสัทธรรมจักตั้งอยู่เพียง ๕,๐๐๐ ปีเท่านั้น คำว่า พระสัทธรรมจักตั้งอยู่เพียง ๕,๐๐๐ ปีเท่านั้นเป็น สาสนปริจเฉท คือเป็นการกำหนดพระศาสนา ส่วนคำที่ตรัสไว้ในเวลาจะปรินิพพานว่า “ ถ้าภิกษุเหล่านี้ยังปฏิบัติชอบอยู่ โลกก็จักไม่ว่างจากพระอรหันต์ทั้งหลาย ” ดังนี้นั้นเป็น ปฏิปัตติปริทีปนา คือเป็นการแสดงซึ่งปฏิบัติ"


    ผุ้เขียนเข้าใจเอาเองง่ายๆว่า 'กำหนด 5,000 ปี' นั้นกำหนดโดยระยะเวลา
    ส่วน 'ถ้าภิกษุเหล่านี้ยังปฏิบัติชอบอยู่...โลกก็จักไม่ว่างจากพระอรหันต์' นั้นกำหนดโดยเหตุปัจจัย

    อาจเป็นไปได้ว่าเมื่อใกล้ครบกำหนด 5,000 ปี เหล่าพุทธบริษัทคงจะไม่ได้ปฏิบัติชอบ
    และพระศาสนาก็ค่อยๆอันตรธานไปในที่สุดเมื่อครบ 5,000 ปี

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 เมษายน 2011
  8. karan20

    karan20 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2010
    โพสต์:
    1,297
    ค่าพลัง:
    +2,379
    คำทำนายนั้นย่อมผิดพลาดได้
    แต่ไม่เคยปรากฏว่าิสิ่งที่พระพุทธเจ้าตรัสหรือพยากรณ์แล้วไม่เป็นความจริง

    บางท่านอาจเคยได้ยินว่า มีพระนักวิปัสนาหรือผู้ทรงญาณ
    ได้เห็นนิมิตเหตุการณ์ภัยพิบัติ
    แต่พอถึงเวลาจริงๆก็คลาดเคลื่อนหรือไม่เกิดขึ้นจริง

    แม้พระอริยะเจ้าก็อาจทำนายผิดพลาดคลาดเคลื่อนได้
    เรื่องนี้ขอยกตัวอย่างพระอริยะเจ้าที่ทำนายผิดพลาดมาเป็นตัวอย่าง
    ทั้งนี้มิใช่เพื่อปรามาส แต่เพื่อเชิดชูธรรมะ
    เรื่องของกฏแห่งกรรมในพระพุทธศาสนานั้นมิใช่สอนให้ปล่อยไปตามยถากรรม


    1. ในยุคพุทธกาล พระสารีบุตร
    ในครั้งพุทธกาล พระสารีบุตรได้เล็งเห็นว่า เณรบวชใหม่คนหนึ่งจะมรณะในอีก 7 วัน ท่านจึงอนุญาตให้เณรกลับไปเยี่ยมบ้าน เพื่อโปรดบิดามารดาและญาติโยมทางบ้านเป็นครั้งสุดท้าย

    เมื่อผ่านไปเจ็ดวัน เณรได้กลับมายังวัดเหมือนเดิม พระสารีบุตรแปลกใจว่าเพราะเหตุใดเณรไม่ตาย ท่านจึงได้สอบถามเณร เณรได้เล่าว่า ระหว่างทางที่ไปได้พบปลาจำนวนหนึ่งในหนองน้ำที่ใกล้แห้งจึงได้ช้อนปลาไป ปล่อยในแหล่งน้ำที่ใกล้ๆ

    ด้วยญาณแห่งพระสารีบุตรจึงทราบได้ว่า ปลาเหล่านั้น คืออดีตเจ้ากรรมนายเวรของเณร และเมื่อเณรได้นำปลาไปปล่อยให้รอดชีวิต เท่ากับว่าได้ทำบุญต่ออายุให้กับตัวเอง เจ้ากรรมนายเวรนั้นได้อโหสิกรรม


    2. ในยุคปัจจุบัน หลวงพ่อจรัญ ฐิตธัมโม
    หลวงพ่อจรัญทำนายว่า.....อาตมาจะมรณภาพวันที่ 14 ตุลาคม 2521 เวลาเที่ยง 12.45 น. ด้วยอุบัติเหตุรถคว่ำคอหักตาย

    เมื่อถึงเวลานั้น หลวงพ่อจรัญท่านก็เกิดอุบัติเหตุรถคว่ำ คอหักจริงๆ แต่ท่านไม่ตาย ด้วยเหตุที่หลวงพ่อจรัญได้สำนึกบาปที่ฆ่าหักคอไก่จำนวนมาก และแผ่เมตตาให้ไก่เหล่านั้น ไก่เหล่านั้นให้อภัย ท่านจึงแค่คอหัก แต่ไม่ตาย


    มีแต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่านั้น ที่สามารถเห็นอนาคตที่ไม่เปลี่ยนแปลง
    ยังไม่เคยปรากฏว่าิสิ่งที่พระพุทธเจ้าตรัสหรือพยากรณ์แล้วไม่เป็นความจริง

    ในโอกาสนี้ขอชักชวนท่านที่ไม่ประมาทต่อภัยพิบัติใหญ่ที่อาจเกิดขึ้นในวันข้างหน้า
    ทำบุญด้วยการปล่อยปลา ปล่อยชีวิตสัตว์ บริจาคโลหิต เป็นประจำสม่ำเสมอ
    เร่งปฏิบัติธรรม มีศีล 5 กรรมบถ 10 พรหมวิหาร 4 โดยบริบูรณ์ สวดมนต์ เจริญสติปัฏฐาน
    ขออโหสิกรรมและอุทิศบุญให้แก่เจ้ากรรมนายเวรเวร

    ขอให้ทุกท่านไม่ประมาท เร่งสร้างกรรมใหม่เพื่อเอาชนะกรรมเก่า
    หรือสูงสุดคือหลุดพ้นไปจากกรรมเก่าและกรรมใหม่ พ้นจากวัฏสงสาร
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 มีนาคม 2011
  9. karan20

    karan20 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2010
    โพสต์:
    1,297
    ค่าพลัง:
    +2,379
    เรื่องพุทธศาสนาจะมีอายุ 5,000 ปี
    อาจไม่ได้หมายถึงว่าพระศาสนาจะมีอายุเพียง 5,000 ปีเท่านั้น
    แต่อย่างน้อยพระศาสนาก็จะไม่หมดสิ้นไปก่อน 5,000 ปีแน่นอน
    และหากตราบใดพวกเราชาวพุทธยังปฏิบัติธรรมตามที่พระพุทธองค์สั่งสอน
    พระศาสนาก็อาจยิ่งมีอายุยาวนานไปมากกว่า 5,000 ปี

    ต่อไปเราจะมาดูข้อมูลเกี่ยวกับ 'ธรรมิกราช' ว่าหมายถึงอะไร
    และ 'ธรรมิกราช' ที่ปรากฏในพุทธทำนายนั้นพอจะมีเค้าเป็นจริงหรือไม่

    เรื่องนี้หลวงพ่อฤาษีลิงดำท่านเคยพูดถึง 'ธรรมิกราช' ไว้

    หลวงพ่อท่านเรียกว่า พระเจ้าธรรมิกราช


    อ้างอิงข้อมูลจาก
    http://www.watthasung.com/wat/viewthread.php?tid=1067

    ในการสร้างพระอุโบสถหลังใหม่ของวัดท่าซุง ท่านได้ให้จารึกไว้ในแผ่นทองบรรจุใต้แท่นพระประธาน เมื่อพ.ศ. ๒๕๑๙ ว่า

    เราพระมหาวีระ มีพระราชานามว่า ภูมิพล เป็นผู้อุปถัมภ์
    ร่วมด้วยพุทธสานิกชนส่วนใหญ่ สร้างวัดนี้เป็นพุทธบูชา
    เมื่อศักราชล่วงไปแล้ว ๒,๗๐๐ ปีปลาย จะมีพระเจ้าธรรมิกราช
    นามว่าศิริธรรมราชา สืบเชื้อสายมาจากเชียงแสนและสุโขทัย ร่วมกับพระอรหันต์
    จะมาบูรณะวัดนี้ สืบพระศาสนาต่อไป
    คณะของเราขอโมทนา แต่อยู่ช่วยไม่ได้ เพราะไปพระนิพพานหมดแล้ว



    หากพิจารณาจากข้อมูลก็พบว่า 'ธรรมิกราช' หรือ 'พระเจ้าธรรมมิกราช' นั้นอาจพอมีเค้าที่จะเป็นจริง
    การที่หลวงพ่อฤาษีลิงดำท่านจารึกแผ่นทองไว้ใต้พระประธานก็เหมือนเป็นจารึกคำ พยากรณ์ของหลวงพ่อที่ให้ไว้ล่วงหน้า เป็นการบันทึกไว้เป็นลายลักษณ์อักษรไม่ใช่แต่เพียงพูดลอยๆ เพียงแต่ว่าคนในสมัยที่ขุดพบนั้นอาจจะมีบางคนที่คิดว่าเป็นคำพยากรณ์ปลอม หรือใครมาเล่นตลกแกล้งทำไว้ก็เป็นได้

    หลวงพ่อทำนายไว้ว่าจะมีพระเจ้าธรรมิกราชนามว่า ศิริธรรมราชา มาบูรณะวัด
    หากเราพิจารณาจะเห็นว่า'พระเจ้าธรรมมิกราช'
    หรืออาจเรียกสั้นๆว่า 'ธรรมิกราช' นั้นไม่ใช่ชื่อคน แต่เป็นคล้ายๆตำแหน่ง เช่น ที่เราเรียก พระอินทร์ พระโพธิสัตว์ พระจักรพรรดิ เป็นต้น

    'ธรรมิกราช' หมายถึงอะไร
    หลวงพ่อฤาษีลิงดำท่านเล่าไว้ในหนังสือ 'มโนมยิมทธิและประวัติของฉัน'
    เนื้อหาในตอนนี้นอกจากจะอธิบายว่า 'ธรรมิกราช' คืออะไรแล้ว
    ยังมีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับในหลวงของเรา หลวงพ่อท่านยกย่องว่าในหลวงนั้นเป็น ธรรมิกราช อีกพระองค์หนึ่ง (ธรรมิกราช มีหลายพระองค์)


    'มโนมยิมทธิและประวัติของฉัน' ตอนที่ 9 ชื่อตอนว่า ผมบ้า
    ......รวมความแล้ว ว่าวันนั้นผมจะต้องเฝ้าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเป็นวาระแรก ที่เสด็จมาถึงวัดท่าซุง ก่อนนี้ก็ไม่เคยเฝ้า ถ้าผมจำไม่ผิด ผมไม่ได้จดไว้นะ อาจจะเป็นวันที่ ๒๐ เมษายน ก็ได้ ก็รวมความว่าก่อนที่จะเข้าพบกับพระองค์ผมทำอย่างไร อันนี้กำลังใจด้านแรก ขอแนะนำแก่บรรดาเพื่อนภิกษุสามเณรที่มีกำลังใจไม่เข้มแข็งอย่างผม ผมก็ทราบว่าถ้าพบพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวตามลำพัง ทว่าตามลำพังหมายความว่าไม่ใช่กลุ่มคนมาก ไม่ใช่อยู่องค์เดียว แต่ว่าเป็นส่วนน้อย ตอนนั้นก็ต้องคิดว่าพระองค์เป็นใคร สำหรับกำลังใจของผมมีความรู้สึกเหมือนกับนิยายที่เขาเขียนกัน เขาว่า
    "ประเทศเมื่อถึงคราวทุกข์ยากลำบากยากแค้น จะต้องมีพระราชาทรงธรรม ที่เรียกว่า ธรรมมิกราช หรือ ธรรมมิกราชา มาสงเคราะห์"

    ความจริง "ธรรมมิกราช" ก็ดี "ธรรมมิกราชา" ก็ดี ไม่มีอะไร ถ้าแปลเป็นภาษาไทย เขาจริง "พระราชาผู้ทรงธรรม" ถ้าเรียกธรรมมิกราชขึ้นมา โอ้โฮ..ใหญ่โตเหลือเกิน ความจริงก็ใหญ่ คนที่ทรงไว้ซึ่งความดีเราจะถือว่าเล็กไม่ได้ เขาจะมีฐานะเช่นใดก็ตาม ถ้ามีความดีเราก็ต้องบูชาความดีของท่านผู้นั้น

    สำหรับ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวนี่ผมไม่สงสัย ที่ไม่สงสัยใครจะว่าอย่างไรก็ช่าง เพราะในยุคนั้นเขาหาว่าผมเป็นคนบ้าอยู่แล้วนี่ ผมก็ต้องบ้าคิดตามอารมณ์ของผม ผมคิดว่า
    วันนี้เราจะไปพบกับพระราชาผู้ทรงธรรม หรือเรียกตามภาษาบาลีว่า "ธรรมมิกราช" และถ้อยคำของพระองค์ที่ตรัสออกมาต้องประกอบไปด้วยธรรม และ สำหรับผมเองก็ไม่ได้เฟื่องฟูในธรรม ไม่ใช่เป็นผู้มีความรู้รอบคอบทุกสิ่งทุกอย่างที่บรรดาท่านมีความรู้อยู่ผมจะ ทำอย่างไร ถ้าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงถามอะไรขึ้นมาแล้ว ผมตอบไม่ได้ คำว่าผมตอบไม่ได้ผมเองก็ไม่ได้อายพระองค์ เพราะว่าผมเองก็ไม่ใช่สัพพัญญู ไม่รู้ทั้งหมด ผมสามารถจะตอบได้ก็ได้ ไม่ได้ก็ได้ แต่ก็คิดในใจว่าถ้าอะไรบ้างที่ไม่เกินความสามารถของเราและก็ไม่เกินความ สามารถ ของผู้สงเคราะห์ผมอยู่นะ (ท่านผู้สงเคราะห์ผมอยู่นี่เป็นท่านที่พวกท่านเคยเห็น แต่ก็ไม่ปรากฏเป็นร่างเนื้อหรือหนังให้ปรากฏ) ผมคิดว่าผมควรจะตอบได้ทุกอย่างที่พระองค์ตรัสถาม ทั้งนี้ผมจะไม่ใช้เฉพาะปัญญาของผม ผมจะขอพึ่งบารมีท่านผู้ทรงคุณวิเศษ ฉะนั้นเวลาที่จะเข้าเฝ้าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในพระอุโบสถ ในโบสถ์วัดท่าซุงก็ได้อาราธนาบารมีของทุก ๆ พระองค์ที่สงเคราะห์ "ถ้าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงถามอะไรขึ้นมา ก็ขอให้ตอบได้ตรงตามความเป็นจริง"
    วัน นั้นมีโอกาสอยู่กับท่าน คือท่านสนทนาด้วยตามเวลาที่เจ้าหน้าที่เขาบอกมา เขาบอกว่าพระองค์ทรงใช้เวลา ๔๕ นาที ซึ่งมีใครเขาบอกมาก็ไม่ทราบว่า พระองค์จะทรงพบได้แค่ ๑๕ นาที ผมคิดว่าคนอย่างผมนี่มีวาสนาบารมีต่ำต้องอย่างนี้ ถ้าจะมีโอกาสอยู่กับพระเจ้าอยู่หัวเพียงแค่ครึ่งวินาทีนี่ผมก็ชื่นใจ ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวองค์เดียวของประเทศไทย คือประเทศไทยมีพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวครั้งละ ๑ องค์ และคนไทยเวลานั้นถึง ๔๕ ล้านคน ก็ยากที่จะเข้าไปใกล้ แต่ว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวองค์นี้แปลกกว่าองค์อื่นทั้งหมด ซึ่งมีประชาชนได้มีโอกาสเข้าใกล้พระองค์ได้มากที่สุด ในดินแดนต่าง ๆ ที่พระองค์เสด็จและเสด็จไปเข้านั่งใกล้คน มีโอกาสจะพูดโอภาปราศรัย พูดด้วยเสมอ อันนี้เป็นของหายาก แต่ถึงกระนั้นก็ดีคนทุกคนก็จะทำอย่างนั้นได้ยาก ถ้าจะหาทุกคนไม่ได้ตั้ง ๔๕ ล้านคน เวลานั้นและถ้าผมมีโอกาสสักครึ่งวินาทีผมก็จะชื่นใจว่าใน ๔๕ ล้านคน
    ผมก็คนหนึ่งที่มีโอกาสได้เข้าเฝ้าพระราชาผู้ทรงธรรมคำว่าพระราชาผู้ทรงธรรม อย่าคิดว่าผมยกย่องพระองค์เกินความเป็นจริงนะ ผมบอกแล้วนี่ อันดับต้น สังคหวัตถุ ๔ ของพระองค์ครบถ้วน ขั้นสุดท้ายกำลังใจสูงส่งในด้านสมถะวิปัสสนาและขันติ กำลังใจเมตตาของพระองค์ทรงดีมาก ใครว่าอะไรก็ตาม นินทาอะไรก็ตาม ไม่ทรงโต้ตอบ และก็ไม่เคยตำหนิใครว่าชั่ว อันนี้หาได้ยาก ถ้ามากไปกว่านี้ ผมคิดว่าเทปอีกสัก ๑๐๐ ม้วน ผมพูดเรื่องของท่านไม่จบ

    ก็รวมความว่าวันนั้นเข้าไป พระองค์ทรงแสดงชัดไม่เคยถือพระองค์ และผมเองก็เป็นพระป่าพระดง ราชาศัพท์ผมก็ใช้กับเขาไม่เป็น ไม่รู้ว่าพระเขาพูดกับพระเจ้าแผ่นดินว่าอย่างไร ผมก็เล่นลูกทุ่งตามปกติของผม ท่านถามมาผมก็ตอบไป ท่านถามมาผมก็ตอบไป ผมจำไม่ได้ว่าท่านถามเรื่องอะไรบ้าง มาในช่วงหลังพอจะนึกออก ท่านถามถึงภาวะความเป็นไปของชาติและประชาชนในชาติ
    เห็น ไหมบรรดาเพื่อนภิกษุสามเณรและญาติโยมพุทธบริษัท ท่านไม่ได้ถามว่าพระองค์จะมีความสุข พระองค์เองจะร่ำรวยขนาดไหน ไม่ได้เคยปรารภถึงพระองค์เองเลย ทรงปรารภเฉพาะว่าเวลานี้บ้านเมืองมันเต็มไปด้วยความคับแคบ บรรดาประชาชนอดอยากยากจนกันมาก ฝืดเคืองมาก ท่านถามว่า
    "ต่อไปชาติเราจะเจริญรุ่งเรืองขนาดไหน และจะมีความอุดมสมบูรณ์ขนาดไหน?"



    อ่านเนื้อหาที่สมบูรณ์ของ
    'มโนมยิมทธิและประวัติของฉัน' ตอนที่ 9 ชื่อตอนว่า ผมบ้า
    ตามลิงค์นี้ http://www.watpanonvivek.com/index.php?option=com_content&view=article&id=301%3A-m-m-s&catid=37%3A2010-03-02-03-52-18&Itemid=2

    หรือที่ http://www.luangporruesi.com/143.html


     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 เมษายน 2011
  10. karan20

    karan20 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2010
    โพสต์:
    1,297
    ค่าพลัง:
    +2,379
    จากข้อมูลที่ได้นำเสนอไปบางส่วนนั้นหากท่านจะเชื่อหรือไม่เชื่อนั้นก็เป็นสิทธิ
    อาจจะฟังหูไว้หู แต่ผู้เขียนเห็นว่าถ้าจะฟังหูไว้หูแต่กระเดียดไปทางเชื่อไว้ก่อนก็น่าจะดีกว่า
    เพราะจากข้อมูลบางส่วนที่นำเสนอไปแล้วนั้นล้วนอ้างอิงจากพระที่ท่านมีศีลและปฏิบัติเคร่งครัด ไม่ใช่คำพูดของเด็กๆที่พูดเล่นเลื่อนลอย

    หากเรานำสิ่งที่พระพุทธเจ้าสอนเรื่องลักษณะตัดสินธรรมวินัยมาใช้คือ
    ลักษณะตัดสินธรรมวินัย ๘ ประการนี้ มีมาใน โคตมีสูตร อังคุตตรนิกาย
    อ้างอิงจาก http://www.buddhadasa.com/rightstudydham/dhamanalysis.html

    ลักษณะตัดสินธรรมวินัย ๘ ประการ
    เมื่อมีปัญหาเกิดขึ้นว่า การปฏิบัติอย่างใด จะเป็นไปถูกต้องตาม
    หลักแห่งการดับทุกข์ หรือไม่ ก็ควรใช้หลักเกณฑ์เหล่านี้ เป็นเครื่องตัดสินได้โดย
    เด็ดขาด ฉะนั้นจึงเป็นหลักที่แสดงถึง ใจความสำคัญแห่งพระพุทธศาสนาอยู่ในตัว หลักเหล่านั้น คือ

    ถ้า ธรรม (การปฏิบัติ) เหล่าใด
    ๑. เป็นไปเพื่อความกำหนัดย้อมใจ
    ๒. เป็นไปเพื่อความประกอบทุกข์ (คือทำให้ลำบาก)
    ๓. เป็นไปเพื่อสะสมกองกิเลส
    ๔. เป็นไปเพื่อความอยากใหญ่ (คือไม่เป็นการมักน้อย)
    ๕. เป็นไปเพื่อความไม่สันโดษ
    ๖. เป็นไปเพื่อความคลุกคลี
    ๗. เป็นไปเพื่อความเกียจคร้าน
    ๘. เป็นไปเพื่อความเลี้ยงยาก

    พึงรู้ว่า ธรรมเหล่านั้น ไม่ใช่ธรรม ไม่ใช่วินัย ไม่ใช่ สัตถุศาสน์ (กล่าวคือคำสอน
    ของพระศาสดา) แต่ถ้าเป็นไปตรงกันข้าม จึงจะเป็นธรรมเป็นวินัยเป็นสัตถุศาสน์


    - จบส่วนที่นำมาอ้างอิง -

    หากพิจารณาจากพุทธทำนายที่ยกมาอ้างแล้วจะพบว่าเป็นการเตือนภัยเพื่อให้สัตว์โลกตั้งอยู่ในความไม่ประมาท ให้รักษาศีลและเคารพบิดา มารดา ผู้มีพระคุณ และเจริญภาวนา ก็เห็นควรอนุโลมว่าเป็นไปตาม 'ลักษณะตัดสินธรรมวินัย ๘ ประการ' ดังนั้นแม้นจะไม่เชื่อว่าเป็นพุทธทำนายของจริงก็ควรเป็นไปในลักษณะฟังหูไว้หูกระเดียดไปทางเชื่อไว้บ้าง โดยไม่ประมาท ไม่ด่วนปฏิเสธไปทั้งหมดเสียก่อน


    ในพุทธทำนายตอนท้ายระบุว่า

    "....ดูกรอานนท์ อาตมาสงสารสัตว์ เวลานั้นพลโลกยังเหลือน้อยเต็มที
    คำทำนายของอาตมานี้ยังให้สัตว์ตั้งอยู่ในความไม่ประมาท ผู้ใดรู้แล้วเชื่อ
    หรือไม่เชื่อ ไม่บอกเล่าให้ผู้ใดรู้กันต่อ ๆ ไปนับว่าเป็นกรรมแห่งสัตว์ต่าง
    สิ้นสุดกันตามกาลเวลา ผู้ใดปรารถนาจะได้เห็นหรือทันมีบุญ ให้รักษาศีลห้า
    ประการหนึ่งยำเกรงบิดา มารดา รู้จักบุญคุณท่านผู้มีคุณ หนึ่งให้เจริญ
    ภาวนา....."


    นอกจากนี้ยังมี “พุทธทำนาย” อันหนึ่งซึ่งเป็นที่รู้จักและมักถูกกล่าวถึงคือ
    พุทธทำนายที่ปรากฏอยู่ในอรรถกถาพระไตรปิฎก
    มหาสุบินนิมิตชาดก เอกนิบาตชาดก ขุททกนิกาย
    ซึ่งเป็นเรื่องเล่าถึงสมัยที่พระพุทธเจ้า ได้ทรงทำนายพระสุบิน(ความฝัน)
    ให้พระเจ้าปเสนทิโกศล มีจำนวน 16 ข้อ



    พุทธทำนายตรงนี้บางท่านอาจตั้งแง่ว่าไม่ใช่ 'พุทธพจน์' หรือไม่ใช่ 'พุทธวัจนะ'
    และตั้งแง่ว่าถ้าไม่ใช่พุทธพจน์ก็เป็นอันว่าเชื่อถือไม่ได้


    ขอยกข้อความบางตอนจาก มรว.เสริม ศุขสวัสดิ์ (เจ้าของบ้าน ซอยสายลม)
    พระไตรปิฏกมีการแต่งเติมจริงหรือ(ค้นคว้าโดยมรว.เสริม ศุขสวัสดิ์)
    http://www.watkoh.com/forum/index.php?topic=3497.0;wap2
    เว็บบอร์ดพลังจิต : พระไตรปิฏกมีการแต่งเติมจริงหรือ(ค้นคว้าโดยมรว.เสริม ศุขสวัสดิ์)


    คำถาม : พระไตรปิฎกมีการแต่งเติม ?
    คำตอบ : นั่นเป็นเรื่อง ที่คนรุ่นหลังสันนิษฐานเอาเอง ไม่ใช่ว่ารู้มาจริง ๆ ว่าเป็นเช่นนั้น
    ถ้ารู้จริง จะต้องตอบได้ว่า ตรงไหนแต่งใหม่ ใครเป็นคนแต่ง แต่งตั้งแต่เมื่อใด เช่นนี้ เป็นต้น
    พระ พุทธศานาในเมืองไทยเป็นลัทธิเถรวาท หรือหีนยาน ยึดมั่นตามคำสั่งสอนดั้งเดิมของพระพุทธเจ้า

    การแก้พระบัญญัติ หมายถึง ล้มเลิกไป ไม่ใช่บัญญัติ ขึ้นใหม่
    การบัญญัติขึ้นใหม่ หรือ การแต่งขึ้นใหม่นี้ ค้านกับ "วิญญาณ" ของลัทธิหีนยาน
    นอกจากนั้นยังเป็นการผิดที่เรียกว่า "กล่าวตู่พระพุทธเจ้า" ด้วย
    การกล่าวตู่นี้ย่อมร่วมไปถึง อธรรมวาที ซึ่งจะยกเฉพาะที่สำคัญมากล่าว คือ

    พระพุทธเจ้าไม่ได้ตรัสไว้ นำมากล่าวว่า ตรัสไว้
    พระพุทธเจ้าตรัสไว้ นำมากล่าวว่า ไม่ได้ตรัสไว้
    พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติไว้ นำมากล่าวว่า ไม่ได้บัญญัติไว้
    พระพุทธเจ้าไม่ได้ทรงบัญญัติไว้ นำมากล่าวว่า ทรงบัญญัติไว้

    กรรมนี้ใครทำเข้าในพระไตรปิฎกฉบับหลวง เล่ม 5 หน้า 312 ฝ่ายอธรรมวาที
    เล่ม 6 หน้า 371 กล่าวว่า เป็นเหตุ แห่งการวิวาท และเป็นรากแห่งอกุศล
    เล่ม 7 หน้า 171 กล่าวว่า เป็นเหตุแห่งสังฆเภท (โทษของการสังฆเภท คือ ปาราชิก)
    เล่ม 12 หน้า 216 "เธอกล่าวตู่เรา ขุดตนเอง และประสบบาป มิใช่บุญ เป็นอันมากด้วย
    ทิฐิอันลามก อันตนถือเอาชั่ว แล้วกรรมนั้นแลจักมีแก่เธอ เพื่อไม่เป็นประโยชน์ เพื่อทุกข์สิ้นกาลนาน"

    พูดง่าย ๆ คือ ตกนรก
    พระที่ท่านบวชตลอดชีวิต ด้วยความเลื่อมใส (ในสมัยโบราณ) ท่านหวังพระนิพพาน
    ท่านย่อมไม่อยากตกนรกแน่นอน โดยเฉพาะในลัทธิหีนยานด้วย พูดตามภาษาปัจจุบันแล้ว
    การที่พระภิกษุเหล่านี้จะมีเจตนาดัดแปลงแต่งเติมพระไตรปิฎกนั้นไม่มีทาง
    (นอกจากเราจะคิดลงโทษท่านไปเอง)

    เรื่องหญ้าปากคอกที่น่าจะมองเห็นเพิ่มเติม จากที่กล่าวมาแล้วก็คือ
    การตกแต่ง ดัดแปลง พระไตรปิฎก นั้นคือ การพูดโกหกผิดศีลข้อ 5 (มุสาวาทาเวรมณี) อย่างตรงเป๋ง

    ลองคิดดูต่อไปการแก้พระไตรปิฎกนั้นไม่ใช่ใครอยากจะแก้ ก็แก้เอาตามใจ
    แต่ต้องแก้ในการทำสังคายนา ซึ่งมีพระภิกษุชั้นเยี่ยมนับร้อยรูปประชุมกัน
    ทำและเห็นพ้องต้องกันเป็นเอกฉันท์ เมื่อเป็นเช่นนี้เราก็จะเห็นได้ชัดว่า
    การที่พระชั้นดีมายอมร่วมกัน ทำผิดศีล มุสาวาท
    โดยไม่มีองค์ไหนค้านเลย แม้แต่องค์เดียวนั้นเป็นสิ่งที่เหลือเชื่อทีเดียว

    เหตุผลประการที่สำคัญที่เรามักจะหาว่าพวกพระแก้ไขดัดแปลงพระไตรปิฎก
    ก็คงจะมีว่าแก้เพื่อผลประโยชน์ของพวกพระเอง
    ซึ่งศัพท์ทางพระท่านเรียกว่า "เพื่อลาภสักการะ" นั่นเอง
    ข้อนี้ก็เป็นความเห็นที่ เอาโทษไปใส่ให้ท่านอีกเช่นกัน
    เพราะพระชั้นสูง (ขนาดที่ได้รับนิมนต์ ไปทำสังคายนา) นั้นย่อมมีความรู้ว่า
    พระบัญญัติบทปาราชิก (ขาดจากความเป็นพระ) สองข้อ (ใน 4 ข้อ )
    คือ อวดอุตริมนุสธรรมที่ไม่มีอยู่จริง และการลักขโมยนั้นมีฐานมาจากการกระทำ
    เพื่อเหตุแห่งท้องทั้งสิ้น ทรงสรัสว่า เหตุใดพวกเธอจึง... เพื่อสาเหตุแห่งท้องเล่า

    และทรงประณามว่า การกระทำ เพื่อสาเหตุแห่งท้องนั้น มีค่าเท่ากับเป็นมหาโจรปล้นชาวบ้าน
    การที่พระชั้นสูงจำนวนเป็นร้อย ๆ รูป ทั้ง ๆ ที่รู้อยู่แก่ใจจะทำการแก้ไขแต่งเติมพระไตรปิฎก
    เพื่อเห็นแก่ลาภสักการะ (สาเหตุที่ทรงบัญญัติให้เป็นปราชิก) โดยพร้อมเพรียงกันนั้น
    เราย่อมทราบอยู่เองว่า น่าจะเป็นไปได้ หรือน่าจะเป็นไปไม่ได้

    คำถาม : ถึงไม่มีการแก้ไขดัดแปลงโดยเจตนา
    ความคลาดเคลื่อนโดยธรรมชาติก็ควรจะมีอยู่เพราะมนุษย์ย่อมไม่สามารถจำได้ถี่ถ้วนเช่นนั้น

    คำตอบ : ยอมรับว่าความคลาดเคลื่อนย่อมมีอยู่บ้างแต่ไม่ควรจะคลาดเคลื่อนในใจความหรือหลักสำคัญ

    ข้อสันนิษฐาน อย่างหนึ่งที่ว่าต้องสืบต่อคำสอนของพระพุทธเจ้า ด้วยการทรงจำก็คือ "สมัยนั้น ยังไม่มีตัวหนังสือใช้"
    ข้อสันนิษฐานนี้ เป็นไปได้อย่างมากในความคิดของนักปราชญ์สมัยนี้
    แต่ก็เป็นข้อสันนิษฐานที่ผิด เพราะความจริงในสมัยนั้น มีตัวหนังสือใช้อยู่แล้ว

    เล่ม 9 หน้า 95 " สมัยนั้นแล อัมพัฏฐมานพศิษย์ของพราหมณ์ โปกขรสาติ เป็นผู้เล่าเรียน ทรงจำมนต์ รู้จบไตรเพท
    พร้อมทั้งคัมภีร์นิฆัณฑุ คัมภีร์เกตุภะ พร้อมทั้งประเภท อักษร มีคัมภีร์อิติหาสเป็นที่ 5 "
    เล่ม 3 หน้า 247 "เรียนหนังสือ 1 เรียนวิชาท่องจำ 1 เรียนวิชา เพื่อประสงค์คุ้มครองตัว 1 ไม่ต้องอาบัติ"

    ดังนั้นจึงควรสรุปได้ว่า สมัยนั้นคนท่องจำได้เก่งกว่าสมัยนี้มาก
    ซึ่งตรงกับหลายแห่งในพระไตรปิฎก ซึ่งพระพุทธเจ้าทรงกำชับให้จำพระธรรมไว้เสมอ
    และทรงสรรเสริญ ผู้สามารถทรงจำพระธรรมด้วย
    เล่ม 11 หน้า 328 "เธอได้สดับแล้วมาก ทรงไว้แล้วคล่องปาก ตามเพ่งด้วยใจ แทงตลอดดี ด้วยความเห็น"
    เล่ม 13 หน้า 422 "จงทรงจำธรรมเจดีย์ไว้" เช่นนี้มีอยู่ตลอดทาง
    เล่ม 7 หน้า 245 "ดูกร อุบาลี อนึ่ง ภิกษุผู้เป็นโจทก์ ปรารถนาจะโจษผู้อื่นพึงพิจารณาอย่างนี้ว่า
    เราเป็นพหูสูตทรงสุตะเป็นที่สั่งสมสุตะหรือหนอธรรมเหล่าใดนั้น ไพเราะในเบื้องต้น ไพเราะในท่ามกลาง ไพเราะในที่สุด
    ประกาศพรหมจรรย์ พร้อมทั้งอรรถ ทั้งพยัญชนะบริสุทธิ์ บริบูรณ์สิ้นเชิง
    ธรรมเห็นปานนั้น เป็นธรรมอันเราสดับมาก ทรงไว้คล่องปากขึ้นใจ แทงตลอดดีแล้วด้วยปัญญา ธรรมนี้มีแก่เราหรือไม่"

    พยานบุคคลในเรื่องความจำนี้ คือ ท่านพระอานนท์ จำได้หมด 84,000 พระธรรมขันธ์
    (และองค์อื่นที่ไม่ได้บ่งไว้ ก็คงจะจำได้เป็นธรรมดา)

    เล่ม 5 หน้า 30 กล่าวถึงพระโสณะสวดพระสูตรทั้งหลาย อันมีอยู่ในอัฏฐวรรค จนหมดสิ้นในคืนเดียว
    พระพุทธเจ้าตรัสถามว่า บวชมาได้กี่พรรษา
    ทูลตอบว่า บวชพระมาพรรษาเดียว ดังนี้เป็นต้น

    เมื่อกล่าวเช่นนี้แล้ว ก็ควรจะนึกออกถึงความจริงที่เห็นได้ชัดแจ้งข้อหนึ่งว่า
    พระสูตรที่ท่องจำกันนี้ ไม่ใช่มารวบรวมจารึกลงใหม่ในภายหลัง อันนั้นเป็นผลจากการค้นคว้า
    สอบสวนหากแต่ได้มีอยู่แล้ว ตั้งแต่สมัยพระพุทธเจ้ายังทรงพระชนม์อยู่

    เล่ม 19 หน้า 461 "ดูกรธรรมทินนะ เพราะฉะนั้นแหละ ท่านทั้งหลายพึงศึกษาอย่างนี้ว่า
    พระสูตรเหล่าใด ที่พระตถาคต ตรัสไว้ แล้วอันลึกซึ้ง มีเนื้อความอันลึกเป็นโลกุตตระ
    ประกอบด้วยความว่าง เราจักเข้าถึง พระสูตร เหล่านั้นตลอดกาลเป็นนิตย์อยู่"

    เล่ม 21 หน้า 53 "เราได้กล่าวแล้วใน ปุณณกปัญหาปรายนวรรค"
    ข้อนี้ทำให้ตีความ ได้ต่อไปว่า เมื่อพระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมแล้ว
    ก็จะมีผู้ทำหน้าที่ร้อยกรองขึ้นเป็นพระสูตรร้อยกรองเสร็จแล้ว จึงบรรยายถวายต่อพระพุทธเจ้า (เพื่อทรงตรวจสอบ ? )
    ซึ่งเมื่อทรงฟังแล้วก็อาจทรงเปล่ง พระอุทาน คือ พระคาถาสรุปอีกทีหนึ่ง เช่นตัวอย่าง
    เล่ม 25 หน้า 171 ตอนจบของอุปาทานสูตร (เช่นเดียวกับในอีกหลายพระสูตร)

    " ลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาคทรงทราบเนื้อความนั้นแล้ว ทรงเปล่งอุทานในขณะนั้นว่า......"
    นอกจากนั้นยังมีการตั้งชื่อด้วย

    เล่ม 14 หน้า 153 พระอานนท์ทูลถามว่า ธรรมบรรยายนี้ชื่อไรพุทธเจ้าข้า
    พระผู้มีพระภาคตรัสว่า "เพราะเหตุนั้นแล เธอจงจำธรรมบรรยายนี้ไว้ว่าชื่อ พหุธาตุกบ้าง จตุปริวัฏฏบ้าง
    ว่าชื่อ ธรรมทาสบ้าง ว่าชื่อ อมตทุนทุภีบ้าง ว่าชื่อ อนุตตรสังคามวิชัยบ้าง"


    คำถาม : เขากล่าวว่า พระไตรปิฎก ไม่ใช่พุทธวัจนะทั้งหมด
    คำตอบ : ข้อนี้เป็นความจริง เพราะเขียนไว้เป็นทำนองบันทึกเหตุการณ์ เทวดาพูดก็มี พราหมณ์พูดก็มี
    พระเจ้าแผ่นดินพูดก็มี จะว่าไม่ใช่พระพุทธเจ้าตรัสทั้งหมดก็ถูก
    แต่เป็นการพูดชนิดเล่นคำ คือ จงใจพูดเช่นนั้นเพื่อให้เกิดความรู้สึกว่า ธรรมะที่เราเรียนกันนี้ ไม่ใช่พระพุทธเจ้าสอน
    ซึ่งไม่ตรงกับความเป็นจริง ความจริงในพระไตรปิฎกบ่งชัดว่า คำพูดอันไหน ใครเป็นคนพูด
    สำหรับด้านพระธรรมแล้ว พระพุทธเจ้าตรัสเองทั้งหมด ยกเว้นบางกรณีทรงสั่งให้ ท่านพระสารีบุตรบ้าง ท่านมหากัจจายนะบ้าง
    เป็นผู้แสดงธรรม หรือในบางสูตร พระสาวกเป็นผู้แสดงธรรมให้ภิกษุอื่นฟังก็มี
    (ซึ่งจะเอาไปพูดว่า พระพุทธเจ้าไม่ได้แสดงเองก็พูดไม่ผิด แต่เรียกว่า พูดอย่างโกง ๆ)

    - จบส่วนที่คัดลอกมา -



    พุทธทำนายบางส่วนที่ไม่ปรากฎในพระไตรปิฎก อาจมีเหตุผลที่เป็นไปได้คือ

    1. เพราะมันไม่ใช่พุทธทำนาย หรือไม่มีพุทธทำนายไว้อย่างนั้น จึงปรากฎเพียงบางส่วนคือ
    พุทธทำนายที่ปรากฏอยู่ในอรรถกถาพระไตรปิฎก มหาสุบินนิมิตชาดก เอกนิบาตชาดก ขุททกนิกาย
    ซึ่งเป็นเรื่องเล่าถึงสมัยที่พระพุทธเจ้า ได้ทรงทำนายพระสุบิน (ความฝัน) ให้พระเจ้าปเสนทิโกศล มีจำนวน 16 ข้อ


    2. เพราะ 'พระไตรปิฎก' ไม่ได้มีหน้าที่สำหรับบึนทึกคำทำนาย
    แต่มีหน้าที่เพื่อบันทึกพระธรรมเพื่อมุ่งสู่พระนิพพาน
    เหมือนกับเราพยายามค้นหารหัสไปรษณีย์จากในสมุดจดเบอร์โทรศัพท์
    (ย่อมไม่พบรหัสไปรษณีย์ในสมุดจดเบอร์โทรศัพท์ หรือเจอเล็กน้อยเพียงบางส่วน)

    3. อาจมีบางส่วนที่ตรัสไว้หลังจากมีพระไตรปิฎกแล้ว
    (กรุณาย้อนกลับไปข้อความที่อ้างอิงเรื่อง 'พุทธทำนาย' จากที่หลวงพ่อฤาษีลิงดำเล่าไว้)
    หลวงพ่อฤาษีลิงดำท่านว่าพุทธพยากรณ์ที่นำมาเล่าให้ฟังนี้
    ไม่ใช่พุทธพยากรณ์ที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ตั้งแต่เมื่อครั้งก่อนปรินิพพาน
    แต่เป็นพุทธพยากรณ์ที่พระพุทธเจ้าตรัสเมื่อปี พ.ศ. 2528


    4. "พระไตรปิฎก" เป็นบันทึกที่สำคัญที่สุด....แต่ไม่ใช่คำตอบสำหรับทุกสิ่ง
    พระไตรปิฎกไม่ได้บันทึกความจริงไว้ทุกสิ่งอย่าง แต่บันทึกเฉพาะความจริงบางอย่าง
    อาจเป็นบันทึกส่วนใหญ่ของ 'ใบไม้ในกำมือ'
    อาจมีบางส่วนที่พระองค์ตรัสเป็นพุทธทำนายไว้แล้วไม่ได้อยู่ในบันทึก
    อาจมีบางส่วนที่ถูกเรียกว่า 'ใบไม้ในป่า' หรือใบไม้นอกกำมือ

    'ไม่มีในพระไตรปิฎก' ไม่ได้แปลว่า 'ไม่มีอยู่จริง'
    ตัวอย่าง เช่น วิชาการสร้างบารมีของพระโพธิสัตว์

    ".....เนื่องจากวิชาการสร้างบารมีของพระโพธิสัตว์นี้ต้องเรียนกับพระโพธิสัตว์ด้วยกันเท่านั้น
    เป็นใบไม้นอกกำมือ เป็นวิชาที่สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามิได้แสดงไว้ หากแต่มีอยู่จริง..."


    ข้อความ 2 บรรทัดบนนี้ คัดลอกจากบางตอนของหนังสือ "ไตรรัตนญาณจักรพรรดิเปิดโลก"
    โดย พระวรงคต วิริยะธโร (หลวงตาม้า)
    วัดพุทธพรหมปัญโญ (วัดถ้ำเมืองนะ) ต.เมืองนะ อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่





    [SIZE=+2]ใบไม้ในกำมือ
    [/SIZE]
    สีสปาสูตร
    เปรียบสิ่งที่ตรัสรู้มีมากเหมือนใบไม้บนต้น

    เล่มที่ ๑๙
    [๑๗๑๒] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ สีสปาวัน ใกล้เมืองโกสัมพี ครั้งนั้นพระผู้มีพระภาคทรงถือใบประดู่ลาย ๒-๓ ใบด้วยฝ่าพระหัตถ์ แล้วตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายมา แล้วตรัสถามว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน ใบประดู่ลาย ๒-๓ ใบที่เราถือด้วยฝ่ามือกับใบที่บนต้น ไหนจะมากกว่ากัน?
    ภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ใบประดู่ลาย ๒-๓ ใบ ที่พระผู้มีพระภาคทรงถือด้วยฝ่าพระหัตถ์มีประมาณน้อย ที่บนต้นมากกว่า พระเจ้าข้า.
    พ. อย่างนั้นเหมือนกัน ภิกษุทั้งหลาย สิ่งที่เรารู้แล้วมิได้บอกเธอทั้งหลายมีมาก ก็เพราะเหตุไรเราจึงไม่บอก
    เพราะสิ่งนั้นไม่ประกอบด้วยประโยชน์ มิใช่พรหมจรรย์เบื้องต้น ย่อมไม่เป็นไปเพื่อความหน่าย ความคลายกำหนัด ความดับ ความสงบ ความรู้ยิ่ง ความตรัสรู้ นิพพาน เพราะเหตุนั้น เราจึงไม่บอก.

    [๑๗๑๓] ดูกรภิกษุทั้งหลาย สิ่งอะไรเราได้บอกแล้ว
    เราได้บอกแล้วว่า นี้ทุกข์ ... นี้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา
    ก็เพราะเหตุไรเราจึงบอก เพราะสิ่งนั้นประกอบด้วยประโยชน์ เป็นพรหมจรรย์เบื้องต้น ย่อมเป็นไปเพื่อความหน่าย ... นิพพาน เพราะฉะนั้น เราจึงบอก
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย เพราะฉะนั้นแหละ เธอทั้งหลายพึงกระทำความเพียรเพื่อรู้ตามความเป็นจริงว่า
    นี้ทุกข์ ฯลฯ นี้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา.
    จบสูตรที่ ๑
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 เมษายน 2011
  11. karan20

    karan20 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2010
    โพสต์:
    1,297
    ค่าพลัง:
    +2,379
    อีกหนึ่งคำถามเด็ด คือ ถ้าเตือนแล้วภัยพิบัติไม่เกิดขึ้น คนเตือนจะรับผิดชอบยังไง

    อันนี้เป็นคำถามที่ตอบได้ยากพอๆกับคำถามที่ว่า
    คนที่เคยคัดค้าน ดร.สมิทธ จะรับผิดชอบอย่างไรกับสึนามิที่เกิดขึ้นเมื่อปี 2547
    หรืออย่างที่ญี่ปุ่นนี่ก็เตือนกันมานานเหลือเกินว่าตรงนั้นมันเป็นรอยเลื่อน
    แม้เตือนนักเตือนหนา บางทีแทบจะอ้อนวอนกันก็ไม่เชื่อ
    พอเกิดภัยพิบัติขึ้นมาจริงๆก็กลายเป็นเรื่องเศร้าสลด คนที่ห้ามไม่ให้เตือนนั้นจะรับผิดชอบอย่างไร

    ประเด็นสำคัญอาจไม่ใช่ว่าภัยพิบัติจะเกิดขึ้นหรือไม่
    เพราะในความเป็นจริง ภัยพิบัติอาจจะกำลังเกิดขึ้นแล้ว และอาจรุนแรงขึ้นเีื่รื่อยๆ

    หลายๆคนที่ติดตามสถานการณ์ข่าวสารจะเห็นความป่วยผิดปกติของโลกในขณะนี้
    และเห็นความเดือดร้อนของผู้ประสบภัยที่ขยายเป็นวงกว้าง
    คำถามคาใจสำหรับคนเหล่านั้นอาจไม่ใช่ภัยพิบัติจะเกิดขึ้นหรือไม่
    แต่อาจเป็นคำถามที่ว่ามันจะรุนแรงถึงขนาดต้องอพยพกันเมื่อไหร่

    ประเด็นที่ว่า 'เกิดเมื่อไหร่' จึงอาจสำคัญกว่าประเด็นที่ว่า 'เกิดหรือไม่'
    เช่นแต่ก่อนเมื่อ ดร.สมิทธ เตือนเรื่อง สึนามิ ก็เถียงกันว่า 'จะเกิดหรือไม่'
    แต่ตอนนี้เลิกเถียงกันไปแล้ว ประเด็นใหม่ที่เถียงกันคือว่า 'จะเกิดเมื่อไหร่'

    และประเด็นที่สำคัญที่สุดจริงๆยิ่งกว่า 'จะเกิดเมื่อไหร่' คือ 'พร้อมหรือไม่'



    ติดตามทาง Facebook กาขาว

    [FONT=&quot]--------------------------------------------------------------------------------------------[/FONT]


    [FONT=&quot]ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับที่มาของการเกิดภัยพิบัติและการเตรียมการ

    [/FONT]
    [FONT=&quot]คลิกที่นี่...สารคดี 2011 : 100 วันแห่งความหายนะ

    คลิกที่นี่...สติและการตัดสินใจแก้ปัญหาในยามเกิดภัยพิบัติ

    [/B]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 กันยายน 2011
  12. sug552

    sug552 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    563
    ค่าพลัง:
    +250

    เมื่อเย็นดูข่าว เห็นเค้าถามเรื่องที่ว่า ในไทยจะมีแผ่นดินไหวมั้ย ? นักวิชาการก็บอกว่า ถ้าจะไหวในไทยนั้นเกิดได้ยากมาก (ต้องคอยดูกันต่อไป) ถ้าจะไหวจริง ๆ ก็ในป่านู่น (ตรงไหน ?)

    ประเด็น ที่จะถามกันอีกต่อไปก็คือ ภัยธรรมชาติมันจะเกิดตรงไหน ? (ต่อจากอันที่ระบายสีไว้)
     
  13. Navyaek

    Navyaek เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    162
    ค่าพลัง:
    +190
    สาธุ สาธุ สาธุ ขอบคุณสำหรับข้อมูล นะครับ พุทธทำนาย มิได้เป็นการ พยากรณ์ ที่งมงายนะครับ ถ้าพิจารณาให้ดีจะรู้เลย..เป็นความรู้อีกมุมมองหนึ่ง !!ที่ไม่ควรประมาทให้ถึงพร้อม!!


    พะระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๑ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๓ ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค ๖. ปาสาทิกสูตร


    ดูกรจุนทะ แม้หากว่า

    สิ่งที่เป็นอดีต เป็นของจริง เป็นของแท้ ประกอบด้วยประโยชน์ ตถาคตย่อมเป็นผู้รู้กาลในสิ่งนั้น เพื่อพยากรณ์ปัญหานั้น

    แม้หากว่าสิ่งที่เป็นอนาคต เป็นของจริง เป็นของแท้ ประกอบด้วยประโยชน์ ตถาคตย่อมเป็นผู้รู้กาลในสิ่งนั้น เพื่อพยากรณ์ปัญหานั้น

    สิ่งที่เป็นปัจจุบัน เป็นของจริง เป็นของแท้ ประกอบด้วยประโยชน์ ตถาคตย่อม เป็นผู้รู้กาลในสิ่งนั้น เพื่อพยากรณ์ปัญหานั้น

    ด้วยเหตุดังนี้แล จุนทะ ตถาคต เป็นกาลวาที เป็นสัจจวาที เป็นภูตวาที เป็นอัตถวาที เป็นธรรมวาที เป็นวินัยวาที ในธรรมทั้งหลายทั้งที่เป็นอดีต อนาคตและปัจจุบัน เพราะฉะนั้น ชาวโลก จึงเรียกว่าตถาคโต
     
  14. นาย บวร-foryou

    นาย บวร-foryou สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    64
    ค่าพลัง:
    +5
    สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ปล่อยว่าง วางเฉย

    :cool:สาธุๆครับ ผมขอเชื่อไว้ก่อนน่ะครับเรื่องนี้ ไม่ขอสงสัย ไม่รอข้อพิสูจน์ เพราะเป็นเหตุและเป็นปัจจัยอีกหนึ่งส่วน ที่ผู้คนพอได้ทราบ ก็ตะหนักถึงภัย และใส่ใจในการทำความดี สรุป โดยส่วนตัวน่ะครับ ผมชอบคำเตือนแนวนี้ ขอบคุณครับ
     
  15. kittikul

    kittikul สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    11
    ค่าพลัง:
    +3
    สุขอื่นใด..ยิ่งกว่าความสงบไม่มี..

    หมั่นทำความดีไว้เถอะ ทำดีต้องได้ดี ทำดีแล้วไม่ได้ดี เพราะความชั่วนั้นมากมี กรรมชั่วหมดเมื่อไหร่ กรรมดีถึงจะแสดงให้เห็นผลในภายภาคหน้า
     
  16. patratyon

    patratyon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    10,434
    ค่าพลัง:
    +6,293
    การเตรียมพร้อม

    จากคำทำนาย เรื่อง 2012 โลกจะเกิดภัยพิบัติ จริง หรือไม่ นั้น
    ไม่อาจมีใครล่วงรู้ได้
    เราจึงควรยึดหลัก ความจริง คือ ปัจจุบัน
    ซึ่งจากสถิติ มีการเกิดภัยพิบัติรุนแรงหลายครั้งด้วยกัน
    ซึ่ง ดิฉันก็เชื่อว่า ไทยก็อาจมีแนวโน้มที่จะต้องรับมือกับภัยที่อาจจะเกิดขึ้นในวันข้างหน้า
    อยากให้ศึกษาการเตรียมพร้อมมากกว่า ที่จะไปเสาะหาความจริงว่ามันจะเกิดหรือไม่เกิด เพราะไม่มีใครอาจรู้ได้หลอก
    ถ้ามันเกิดขึ้นมาจริงๆ
    เราควรจะหาวิธีเตรียมรับมือกับมัน
    หรือป้องกันอย่างไรเพื่อให้เราปลอดภัย
    แต่ถ้ามันไม่ได้เกิดขึ้น เราก็เองก็ไม่ได้เสียหายอะไร จริงไหมค่ะ...
     
  17. Sriaraya5

    Sriaraya5 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    3,079
    ค่าพลัง:
    +12,852

    มีแต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่านั้น ที่สามารถเห็นอนาคตที่ไม่เปลี่ยนแปลง
    ยังไม่เคยปรากฏว่าิสิ่งที่พระพุทธเจ้าตรัสหรือพยากรณ์แล้วไม่เป็นความจริง

    แต่เห็นความคลุมเครือ
    เนื่องจากทรงนิ่งไว้
    กลับเป็นอันตรายร้ายกว่า
    เพราะเป็นการบั่นทอนกำลังแรงใจ
    ต่อผู้ปฏิบัติแต่ต้นมือ

    [​IMG]
    เสี่ยงบารมีลอยถาด
    เมื่อเสวยมธุปายาสทั้ง ๔๙ ปั้นแล้ว พระบรมโพธิสัตว์ทรงถือถาดทองเสด็จไปสู่แม่น้ำเนรัญชรา ครั้นถึงหาดทรายชายน้ำพระองค์จึงประทับนั่งคุกพระชานุ คือ นั่งคุกเข่า พระหัตถ์ซ้ายยันที่พระเพลาเบื้องซ้ายเพื่อค้ำกายไว้มั่น พระหัตถ์ขวาทรงถือถาดยื่นออกไปข้างหน้าวางลงบนกระแสน้ำ ตั้งพระหฤทัยอธิษฐานเสี่ยงพระบารมีว่า
    “ถ้าจะได้ตรัสรู้อนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ ขอให้ถาดทองลอยทวนกระแสน้ำไปเถิด
    แม้นว่ามิได้สำเร็จสมประสงค์ขอให้ถาดลอยล่องไปตามกระแสน้ำ

    แล้วทรงปล่อยถาดทองให้หลุดจากพระหัตถ์ ปรากฏว่าถาดทองนั้นแล่นทวนกระแสน้ำไปอย่างรวดเร็วประดุจม้าฝีเท้าเร็ว และจมลง ณ บริเวณที่น้ำวน ถาดทองนั้นตกลงไปสู่ภพพญานาค ซ้อนทับกับทาดทองของพระพุทธเจ้าองค์ก่อน ๆ ที่อธิษฐานไว้อีก ๓ ใบ

    ถาดทองลงสู่นาคพิภพ
    ในบัดนั้นถาดทองก็ได้เลื่อนลอยทวนกระแสชลทีขึ้นไปไกลประมาณ ๘๐ ศอก แล้วจมลงสู่นาคพิภพ กระทบกับถาดอันเป็นพุทธบริโภคแห่งพระพุทธเจ้าทั้ง ๓ ในอดีต
    ซึ่งในภัทรกัป คือ กัปอันเจริญ ได้แก่กัปปัจจุบันจะมีพระพุทธเจ้ามาตรัสรู้รวม ๕ พระองค์ได้แก่
    ๑. พระกกุสันธพุทธเจ้า
    ๒. พระโกนาคมนพุทธเจ้า
    ๓. พระกัสสปพุทธเจ้า
    ๔. พระโคตมหรือพระสมณโคดมพุทธเจ้า (พระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน)
    ๕. พระศรีอาริยพุทธเจ้า หรือพระพุทธเจ้าที่จะมาตรัสรู้ในอนาคตกาล
    ฝ่ายพญานาคราช ครั้นได้ยินเสียงถาดกระทบกันก็ตื่นจากบรรทมเสด็จลุกขึ้นดำรัสว่า “วันวานนี้ พระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นในโลกพระองค์หนึ่ง บัดนี้ได้บังเกิดอีกพระองค์หนึ่งแล้ว” แปลความนัยได้ประการหนึ่งว่าเพิ่งจะมีพระพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมไปเมื่อไม่นานมานี้ หมายถึงพระกัสสปพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าองค์ที่ ๓ นี่กำลังจะมีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมเกิดขึ้นอีกแล้วหนอ ซึ่งหมายถึงพระสมณโคดมพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน
     
  18. Khun_ple

    Khun_ple เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    50
    ค่าพลัง:
    +102
    ขอบคุณสำหรับบทความดีๆค่ะ โมทนาด้วยค่ะ จะเกิดหรือไม่เกิดไม่สำคัญตัวเราอย่าประมาทเป็นพอ ทาน ศีล ภาวนา หมั่นทำเข้าไว้ๆๆ
     
  19. apple_lin

    apple_lin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    584
    ค่าพลัง:
    +704
    เป็นบทความที่ดีมากเลยค่ะ ขอบคุณนะคะ
     
  20. joni_buddhist

    joni_buddhist Legal returns ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2005
    โพสต์:
    13,555
    กระทู้เรื่องเด่น:
    203
    ค่าพลัง:
    +63,444
    พระพุทธทำนายมีจริง๑๖ประการมีในมหานิบาต เป้นสุบินนิมิตร ๑๖ข้อของพระเจ้าปเสนทิโกศล และในเรื่องเล่าจักพรรดิราชสูตร กล่าวถึงพระศรีอาริย์พระองค์ก็ทรงพุทธทำนายไว้ครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...