เมาธรรม....หรือ ไม่เมา

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย สมาชิกที่ถูกแบน, 6 กรกฎาคม 2011.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. หนึ่งจิต

    หนึ่งจิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    2,928
    ค่าพลัง:
    +4,388
    ปลดปล่อย ตัวเองบ้าง บางเวลา
    หยุดวิ่งหา ทุกสิ่ง นิ่งบ้างหนอ
    หาสิ่งใด หาได้ แต่ไม่พอ
    หยุดได้หนอ เมื่อเรา เข้าใจตัว


     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 กรกฎาคม 2011
  2. suphattra

    suphattra สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    191
    ค่าพลัง:
    +19
    ใจเย็นๆๆพี่ๆๆน้องๆๆ เมาอระไรดีว้าเราเหล้าก็ไม่ดืม เเต่ก็เมาได้ทุกๆๆวัน อิอิ:cool:
     
  3. สมาชิกที่ถูกแบน

    สมาชิกที่ถูกแบน สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 เมษายน 2008
    โพสต์:
    191
    ค่าพลัง:
    +0
    ความจริง ที่ ออกค้นหา
    ............
    ปฐมบท มันมีอยู่ ตั้งแต่....มีพราหมณ์ ได้มาทำนาย เอาไว้ว่า...เด็กคนนี้ ถ้าบวชจะได้เป็นพระพุทธเจ้า ถ้าเป็นพระราชาจะได้เป็น จักรพรรดิ์ของราชาทั้งหลาย
    ............
    ต้นเหตุของปัญหา ก็มาจาก คำทำนายนี่แหล่ะ....พ่อแม่ ญาติ ก็อยากให้เป็นราชา เพราะจะได้เป็นจักรพรรดิ์ และ ญาติๆ จะได้ ชื่นชม และ มีหน้ามีตาตามไปด้วย..

    หญิงทั้งหลายก็มาหลงรัก อยากเป็น พระชายา ของ จักรพรรดิ์ในอนาคต(ไม่มีรักแท้เลย)
    ชายทั้งหลายก็อิจฉาในความหล่อ บุญญาธิการ และ ความเป็นเจ้าราชาในภายภาคหน้า

    พ่อก็เลย สร้าง ปราสาทสามฤดู นางสนม 2 หมื่นกว่า...สั่งสนมไว้ ว่า..อย่าได้ให้ เจ้าชาย ได้ออกนอกเขตประตู เป็นเด็ดขาด อย่าได้ให้ เจ้าชายออกนอกวังเป็นเด็ดขาด
    ดังนั้นจึงบำเรอความสุขทุกอย่าง เท่าที่จะทำได้ เพื่อ รักษาใจเจ้าชายให้หลง ในความสุข

    แต่ปัญหาจริงๆ ยังไม่เกิด ปัญหาจริงๆ เกิด เมื่อ พ่อจะหาเมียให้ลูก ...แต่บังเอิญ ว่าที่เมียมีน้องสาว ที่ อยากเป็นชายาเจ้าชายเหมือนกัน .. และว่าที่เมียก็มีพี่ชายที่หลงรัก น้องสาวด้วยเหมือนกัน..พี่ชายก็คือ..เทวทัต ตัวดี

    เพราะสมัยก่อน การแต่งงานต้องอยู่ในวรรณะเดียวกัน และถ้าหาดีไม่ได้ ก็ต้องแต่งกับญาติ หรือพี่น้องได้ เพื่อรักษาสายเลือด ให้บริสุทธิ์

    พอจะได้มาเป็นชายา ..เทวทัตไม่พอใจ ไม่ยอมก็เลย เสนอให้แข่งขัน ว่า ต้องเป็นผู้ชายที่เก่งจริงเท่านั้น ก็เลยมีการ แข่งขัน กันไงครับ
    ..
    เรื่องไม่จบแบบนี้ พอแต่งงาน....น้องสาวเมียก็มาคอยให้ท่า....เทวทัตก็อิจฉา หาเรื่องยุน้องให้แตกกับสามี เพื่อที่ตนเอง จะได้ครอบครอง...ยังมีอีก...สนมเป็น 2 หมื่นกว่า ที่เคย บำเรอเจ้าชาย ..พอเจ้าชายมีเมีย ..แล้วสนม จะทำไง
    ..
    นั่นเพราะ พอมีเมียก็รักเมียคนเดียว....เลิกสนมทุกคน ไม่สนน้องเมีย....แต่

    แต่..เมียจะเชื่อมั้ยเล่า......เมียจะเชื่อมั้ยเล่า.....เมียก็ระแวงน้องสาวตนเอง โดยมีพี่ชายเทวทัตคอยเป่าหู ทุกวัน
    ...
    ..
    ถามจริงๆ..ขอถามผู้ชายทั้งโลก ที่แต่งงานแล้ว ทุกคน..ว่า

    ว่าถ้าคุณมีเมีย แล้ว 1 คน.....ถ้าคนทั้งโลก ไม่เชื่อไม่ไว้ใจคุณ..คุณยังอยู่ได้ ถ้า เมียที่บ้าน เข้าใจและไว้ใจ ขอแค่คนเดียว คนสุดท้าย คือเมียที่บ้าน เข้าใจและไว้ใจ

    แต่ถ้า คนทั้งโลก เชื่อคุณ ไว้ใจคุณ...ยกเว้น เมียคนเดียวที่บ้าน ไม่ไว้ใจ ไม่เข้าใจ..โลกพังเลย

    ...
    นี่แหล่ะ ...เหตุที่ออกค้นหา ความจริง ของ ความคิด

    ว่าทำไม ...คนถึงไม่ไว้ใจกัน ไม่เชื่อใจกัน..เพราะอะไร เพราะเหตุใด
    ..
    ไอ้ สัจธรรม อริยสัจน่ะ....มันแค่ ผลพลอยได้ เท่านั้นเอง

    ไม่มีใคร สามารถ ทิ้ง ราชสมบัติ ทิ้งสนม ทิ้งปราสาทสามฤดู ทิ้งความสุข....มาได้หรอก ถ้าเมียที่บ้านเข้าใจ ไว้ใจ เชื่อไจ เมื่อครอบครัว มีความสุข
    ..
    แต่ถ้าเมียไม่ไว้ใจ ไม่เข้าใจ ไม่เชื่อใจ ครอบครัวไม่มีความสุข...(ทุกข์ใจ) ..มันก็ เตลิดทุกรายนั่นแหล่ะ ...มนุษย์เอ๋ย

    ..
    เมียก็เตลิดจากผัว จาก ครอบครัว
    ผัวก็เตลิดจากเมีย จาก ครอบครัว
    ..
    หาที่พึ่ง ทางใจ...ไงครับ ท่านผู้ชม<!-- google_ad_section_end --> .......<!-- google_ad_section_end -->


    เมื่อพุทธองค์ ตรัสรู้ธรรม ตรัสรู้ความจริง ถึง ความเป็นต้นเหตุของความคิด การทำงานของใจของมนุษย์ การเอาชนะความคิด การอยู่เหนือความคิด การใช้ความคิดให้ถูกต้องและดีงาม แล้ว พุทธองค์ก็นำมาสอน พุทธะบริษัท

    1.ไม่คิดชั่ว
    2.คิดแต่ดี
    3.ชำระจิตให้ พ้นจากทั้งดีและชั่ว(ไม่ไช่ไม่มี แต่สติอยู่เหนือทั้งดีและชั่ว ไม่หลงกับดีและขั่วอีกต่อไป)

    เช่นการทำทาน สังฆทานที่ไม่เจาะจง ผู้รับ ก็คือ ทำทานกับทุกคน ไม่กำหนด ไม่มีเงื่อนไข หลุดพ้นจากสมมุติใดๆ เรื่องผู้รับ และ ตนเองก็เข้าถึงความหลุดพ้นสมมุตินี้ด้วย

    โดยไม่รับ ไม่เอา ไม่อยาก สิ่งใดๆ ตอบแทน ให้ ฟรีๆ...สละด้วยจิตที่เมตตา และหวังดีต่อผู้อื่น จริงๆ...ไม่หวังอะไรเลย แม้ บุญ ใดๆ

    ว่าด้วยอารมณ์ของการหลุดพ้น

    การที่เราเสียสละ สิ่งที่เรารัก คิดว่าเป็นของเรา หวงแหน อยากให้อยู่กับเราตลอดไป ขาดไม่ได้ เสียดายเหลือเกิน แต่เมื่อใดที่เราเห็นว่า ของที่มันมีกับเรานั้น มันมีประโยชน์กับผู้อื่นมากกว่า อยู่กับเรา การตัดใจ การสละสิ่งนั้นแหล่ะ คือ การตัดขาดอารมณ์ของ ความเป็นเจ้าของ ทิ้งไป

    เมื่อเราเอาสิ่งนั้นให้คนอื่นที่ จะได้ประโยชน์มากกว่า และเมื่อเรายกให้เขาไป สละไปแล้ว...โดยไม่เสียดาย

    แต่ มันเหมือน ขาดบางอย่างไป ขาดของสำคัญไป....เหมือน อารมณ์ เศร้าๆ ที่ต้องจาก ที่ต้องหลุดจากบางสิ่งบางอย่างไป อารมณ์นี้นี่แหละ..คือ อารมณ์ของการหลุดพ้น จริงๆ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 กรกฎาคม 2011
  4. สมาชิกที่ถูกแบน

    สมาชิกที่ถูกแบน สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 เมษายน 2008
    โพสต์:
    191
    ค่าพลัง:
    +0
    หนังสือนิทานเวตาล ฉบับการ์ตูน

    ของมูลนิธิ เด็กตัวเล็ก ชุด ภารตะวรรณกรรม

    เป็นของ บริษัท สกายบุคส์ จำกัด www.skybook.co.th

    ทุกท่าน หาซื้อได้เลยนะครับ

    ราคา เล่มละ 155 บาทครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 กรกฎาคม 2011
  5. mngo

    mngo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 เมษายน 2010
    โพสต์:
    605
    ค่าพลัง:
    +1,335
    ตั้งใจมาอ่านกลอนนะเนี่ย อิอิ
     
  6. สมาชิกที่ถูกแบน

    สมาชิกที่ถูกแบน สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 เมษายน 2008
    โพสต์:
    191
    ค่าพลัง:
    +0
    เมื่อต้องการ เราก็ สนอง อิอิ
    ..................................

    สิ่งที่เห็น หาไช่เป็น สิ่งที่คิด
    ถูกหรือผิด หาไช่สมมุตินาม ตามคาดหวัง
    คนทุกคน คิดได้หลายอย่าง สนุกจัง
    ต่างคาดหวัง หวังที่คิด ให้สมใจ
    อยากมีสุข พบแต่สุข อย่าได้ขาด
    ไม่อยากพลาด ผิดหวังใจ ทั้งหลายนั่น
    อยากสมหวัง กันทุกคน คิดได้กันจัง
    แล้วคนอื่น ที่ไม่สมหวัง ต้องทำไง
    ถ้าตนเอง สมใจ ได้ดั่งหวัง
    ก็ต้องมี คนพัง ใจสลายได้
    นั่นก็เพราะ ของที่มีอยู่ ที่สนองใจ
    มันไม่ได้ มีมากมาย ตามใจปอง
    มันก็มี เท่าที่มี ในโลกนี้แหล่ะ
    ถึงจะแคะ ขุดสร้างมา เพื่อให้ฉัน
    แล้วคนอื่น อีกหมื่นแสน หรือไม่อยากได้กัน
    สิ่งดีนั้น เลิศนั้น เป็นของใคร
    ตามความจริง เรื่องความหิว เหมือนกันหมด
    ไม่ว่ามด หรือว่าช้าง ตัวใหญ่ใหญ่
    อันว่าอิ่ม รู้เหมือนกัน โดยทั่วไป
    ไม่ว่าใคร หรือสัตว์ใหญ่ สัตว์เล็กมี
    เรื่องความสุข ถึงสุขมาก หรือสุขน้อย
    สุขน้อยหน่อย หรือสุขที่สุด สุขเดียวนี้
    ใครทุกข์มาก ทุกข์ที่สุด ทุกข์ที่มี
    มันก็นี่แหล่ะ สุขทุกข์ เรียกเหมือนกัน
    อย่าได้คิด ว่าเขาดีกว่า หรือเลวกว่า
    เกิดขึ้นมา ก็เป็นคน เหมือนกันนั่น
    กินปี้ขี้นอน ตามประสา คนเช่นกัน
    อย่าต้องให้ ดีกว่าคนอื่นนั้น มาทำลวง
    หรือคิดว่า คนอื่นอื่น ดีกว่าหมด
    สวรรค์คด สวรรค์เบี่ยง ไม่เที่ยงหนอ
    อันความจริง มันก็เข้า และออกพอ
    อาหารหนอ ดีแค่ไหน ไหลเป็นขี้เอย(เพื่อความสุภาพ เปลี่ยนเป็น อุจจาระ ก็แล้วกัน เวลาอ่าน)..อิอิ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 กรกฎาคม 2011
  7. สมาชิกที่ถูกแบน

    สมาชิกที่ถูกแบน สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 เมษายน 2008
    โพสต์:
    191
    ค่าพลัง:
    +0
    พุทธองค์เมตตาชี้ แก่อาจารย์ทั้งสองของท่านว่า
    ..
    เมื่อนั่งเรือถึงฝั่งก็ต้องสละเรือ

    ว่า...ด้วย นิพพานัง ปรมัง วะทันติพุทธะ....ผู้รู้(พุทธะ)ทั้งหลาย กล่าว พระนิพพานว่า เป็นธรรมอันยิ่ง

    แล้ว การออกจากธรรม....อันเป็นที่สุดแห่งธรรม ...ก็เพราะ เมื่อถึงฝั่ง ถึงที่สุด...ก็ต้องสละเรือ สละธรรม ที่เป็นเสมือนเรือ เสมือนกระจกที่ส่องให้เห็นความจริงของตนเอง...เพื่อที่จะเหลือแต่ความจริง ของตนเอง เท่านั้น...ความเป็นมนุษย์ที่ มีชีวิตบนโลก มีครอบครัว มีญาติ มีเพื่อนร่วมโลก ที่ต้องกลับมา นำพาคนเหล่านี้ รู้จักดี ทำดีให้เป็น และ มีความสุขกับชีวิตให้ได้ มีความสุขในการอยู่ร่วมกัน ในการอยู่ร่วมโลกกันให้ได้

    เป็นการพิสูจน์ สิ่งดีดีในตน ที่ตนเองเรียนรู้มา ว่า มันดีจริงหรือ มันดีสำหรับตนเองจริงหรือ มันดีเพื่อคนอื่นได้หรือไม่ มันดีจริง เพื่อโลกได้หรือไม่

    เมื่อประโยชน์ตนหมดแล้ว...จงยังประโยชน์เพื่อผู้อื่นต่อไป....

    มีเรื่องหนึ่ง

    ตอนที่ พระมาโปรดที่ วัง....เมีย บอกกับลูกว่า...ให้ไปทวงถาม ราชสมบัติ กับพ่อที่เป็นพระ....นี่ก็แสดงให้เห็นถึง ความไร้สาระของเมีย

    1.หลาน คนเดียว อยู่กับ ปู่ย่า....พ่อออกบวช สละแล้ว ราชสมบัติ..เมียยัง คิดได้ไง ว่า ราชสมบัติ อยู่กับพ่อ...โตขึ้นมา ปู่ก็ยกให้อยู่แล้ว

    2.ถึงไม่อยู่กับเมีย แต่เมียก็ยังอยู่ในวัง อยู่ในราชสมบัติ จัดการแทนลูกได้...ทำไมต้อง สอนให้ลูก เป็นอย่างนี้...คิดได้ยังไง...พระผู้พ่อก็เลย เอาลูก มาบวชด้วยกันซะเลย ดัดนิสัยเมียตัวเอง

    เพื่อจะได้พ้นจาก ความอยาก ความงี่เง่า ของ แม่ตนเอง ...นี่ยังไง..เหลืออะไรล่ะทีนี้
    จริงๆ แล้ว เมีย เองตะหากที่ต้องการราชสมบัติ...พระผู้เคยเป็นสามี ก็เลยจัดให้ โดยการ เอาลูกออกมาให้พ้นทางเมีย เสียเลย

    ไม่มีใครเจ๋ง เท่า เจ้าชายสิทธัตถะ อีกแล้วล่ะครับ ท่านผู้ชม<!-- google_ad_section_end -->
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 กรกฎาคม 2011
  8. สมาชิกที่ถูกแบน

    สมาชิกที่ถูกแบน สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 เมษายน 2008
    โพสต์:
    191
    ค่าพลัง:
    +0
    แล้วสิ่งที่พุทธองค์ สอนก็คือ....ความเป็นมนุษย์ผู้ประเสริฐก็คือ

    ทำเป็นตัวอย่าง อันได้แก่

    1.ไม่มีราชสมบัติ ก็อยู่ได้ อยู่กับป่า อยู่กับธรรมชาติ เพื่อการเข้าถึง ธรรมชาติ(ไม่มีจิตใจที่ทุกข์ร้อน)

    2.ไม่มีวรรณะก็อยู่ได้

    3.ไม่มีเสื้อผ้าจากคนอื่น เอาจากผ้าห่อศพที่ไม่มีใครต้องการ จะได้ไม่มีอารมณ์ความอยาก ของคนอื่นเข้ามาเจือปน

    4.บิณฑบาตร....ไม่ไช่การขอ แต่ เป็นเดินไปเรื่อยๆ ไม่ขอใคร...คนอื่นให้ทานด้วย ความบริสุทธิ์ใจ อาหาร ที่เกินความจำเป็นในครอบครัวแล้ว ...เอามาทาน โดยไม่หวง จะได้ไม่มีอารมณ์ เจือปนมาด้วย คนทาน ก็ทานด้วย ไม่ต้องการสิ่งตอบแทน

    5.แต่พุทธองค์ก็ ให้ธรรมทานเป็นการ ตอบแทน แลกเปลี่ยนกัน...คนที่มาทำทาน แสดงถึง คนมีสัมมาทิฐิ ...ผู้มีใจประเสริฐ ...รู้จักเมตตาผู้อื่น ...สละ โดยไม่ต้องการผลตอบแทน

    ดังนั้นสงฆ์สาวก...ที่แท้จริง ก็ต้อง เป็นผู้เอาออก เป็นผู้เลี้ยงง่าย เป็นผู้ควรค่าแก่การให้ทาน ...และต้องเป็นเนื้อนาบุญที่ดี...ไม่มีหญ้ารก อันได้แก่ ความอยาก ความไม่อยากทั้งหลาย...เอาชนะใจตนเองได้ หลุดพ้นจากสมมุติได้แล้ว

    คนทำทาน คนให้ทาน ก็เหมือนเขา เอา เมล็ดพันธุ์แห่งความดี ความเมตตา มาปลูกลงในบาตร มาหว่านในนาที่ดี ...การสงเคราะห์ ของพระ ก็คือ

    พระคือผู้ทำนา...คือ หมั่นชำระจิตของตนให้ดี หมั่นตรวจสอบหญ้า ไม่ให้มันขึ้นในที่นา....ก็คือ บริสุทธิ์ทั้งกายและใจ

    แล้ว พระก็ตอบแทน คนที่เขา ให้ทานด้วย การ เทศนาสอนธรรมะ เพื่อเอาไปใฃ้ในชีวิตประจำวัน สู้ปัญหา แก้ปัญหา ทางโลกได้

    ไม่ไช่ อ้างแต่ เพื่อบุญ เพื่อสวรรค์ เพื่อชาติหน้า....อ้างทำไมกัน..ทีพระมาบิณฆบาตร ก็ยังต้องการอิ่มวันนี้ เพื่อวันนี้ ...ไม่ไช่เพื่อวันหน้า อิ่มวันหน้า

    ตัวเอง ยังต้องออกบิณฑบาตร เพื่อวันนี้...แล้วยังจะมีหน้า ไปสอน คนอื่นให้หวัง ใน วันหน้า ชาติหน้า อยู่อีกหรือ
    พุทธองค์ สอน สงฆ์สาวกให้เป็นเนื้อนาบุญของโลก..ไม่ไช่เนื้อนาบุญ ของ สวรรค์ เด้อ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 กรกฎาคม 2011
  9. สมาชิกที่ถูกแบน

    สมาชิกที่ถูกแบน สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 เมษายน 2008
    โพสต์:
    191
    ค่าพลัง:
    +0
    ถึงตอนเมา ต้องรู้บ้าง กำลังเมา
    จิตใจเฉา หดหู่ เหลืออยู่ไหมหนอ
    ตอนที่เมา ใจเราสุข หรือทุกข์คลอ
    ความทุกข์หนอ ขนาดเมา เอาไม่ลง
    ถ้าคนเมา ยังคิดถึง เรื่องที่ทุกข์อยู่
    เขาก็รู้ ถึงเมาไป ไม่พ้นทุกข์หนอ
    เลยต้องถึง เมาอย่างหนัก ดับจิตพอ
    ดับสติหนอ ไอ้ความคิด ถึงไม่มี
    การหลบจิต หนีเข้าไป ในความสงบ
    มันก็พบ แค่ความนิ่ง นิ่งจริงหนอ
    ปัญญาไม่เกิด อยู่แต่กับ ความสุขพอ
    ปัญญาหนอ รู้ทันความคิด เป็นไม่มี
    เข้าฌาณสี่ เข้าทำไม เข้าไปหลบ
    ไม่ยอมพบ อารมณ์กาย ใจเลยนี่
    หลบอย่างนั้น เหมือนกับเต่า ที่กระดองมี
    เอาไว้หนี ไว้หลบ เมื่อพบศรัตรู
    การที่หลบ จากกายใจ ในฌาณสี่
    ก็รู้ดี แค่ว่าหลบ จบไหมหนอ
    พอออกมา จากฌาณสี่ สมใจพอ
    ก็รู้หนอ โลกความจริง มันไม่นิ่งเลย
    เข้าฌาณสี่ ก็เหมือนกับ คนเมานั้น
    ที่อาศัย ความเมามัน หลบซักที่
    หลบซักครู่ ชั่วยาม ไม่ให้สติมี
    หลบแบบนี้ ก็หนีทุกข์ ได้ชั่วคราว
     
  10. สมาชิกที่ถูกแบน

    สมาชิกที่ถูกแบน สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 เมษายน 2008
    โพสต์:
    191
    ค่าพลัง:
    +0
    แล้วไอ้ ที่พากัน สอน กรรมฐาน ....โดยที่ตนเองยังไม่เข้าใจก็พากันสอน อยู่นั่นแหล่ะ
    ..
    โพธิปักขิยธรรม 37 เส้นทาง..สู่ ความจริงน่ะ
    ..
    เส้นทางที่สั้นที่สุด คือ สติปัฏฐาน สี่....นี่ไง เร็วสุด 7 วัน..ในนี้ มีใครเชื่อผมมั้ยเนี่ย
    ..
    มันรู้กันทุกคน กาย เวทนา จิต ธรรม.....แต่คนที่จะผ่านด่าน จิต นั้น ..ยาก
    ..
    1.สติดูกายดูมันทั้งกาย
    2.สติดูเวทนาสุขทุกข์รับรู้มันทุกอาการ
    3.สติดูจิต....(สติดูใจมันทำงาน เกิดขึ้น ตั้งอยู่ดับไปของแต่ละความคิด)
    4สติเห็นธรรม คือ เห็น ความจริง ของ สติ..เอง(สติคือผู้รู้ หรือ อัตตาตัวตนที่มองไม่เก็นแต่รู้ว่ามี เพราะมันยังมีก็เลยรู้ว่ามี)<!-- google_ad_section_end -->


    การดูทุกข์ การรู้ทุกข์ ต้องดูจิต
    ดูว่าคิด เกิดจากอะไร จากไหนบ้าง
    จากที่ดู จมูกได้ดม หูได้ฟัง
    หรือจากนั่ง จากนอน ของกายา
    หรือจากปาก จากลิ้น กลิ่นสดสด
    มีได้หมด ทุกช่องทาง ไม่ห่างหาย
    ใจมันคิด ใจเริ่มปรุง ได้อย่างไร
    ต้องดูให้ ให้มันทัน การเริ่มมี
    จากที่ว่าง แล้วมาเกิด เริ่มการเกิด
    การรับรู้เปิด มาที่ใจ แล้วไงหนอ
    ใจมันคิด ใจมันเริ่ม เราต้องรอ
    สติหนอ รอดูมัน ทุกวินาที
    ที่ผ่านมา ก็แค่รู้ ว่ามันเกิด
    เกิดมาแล้ว ดูไม่ทัน ทุกทีนี่
    อันความคิด ก่อนการเกิด ว่างมันมี
    ตั้งสติดี เฝ้ารอดู ทุกครู่ยาม
    ดูให้รู้ ดูจนเห็น ขั้นการเกิด
    ดูจนเปิด ดูจนหน่าย ทั้งสองข้าง
    คือตัวใจ ตัวสติ เป็นคนละทาง
    ใจคิดข้าง สติดูข้าง ข้างละตัว
    สติกับใจ ดูเข้าใจ ให้มันรู้
    อย่าเข้ารู้ ไปกับใจ ไหลตามนี่
    สติก็อีกฝั่ง ใจก็อีกฝั่ง รักษาดีดี
    มันต้องมี ต้องแยกฝั่ง แยกทางกัน
    ดูไปต่อ ด้วยอารมณ์ ที่สนุก
    ดูว่าใจ มันแอบซุก ความคิดนั่น
    มันไม่รู้ ว่าเราดู การทำงานของมัน
    ดูให้ทัน ให้มันรู้ ว่ามีเรา(สติ)
    พอใจรู้ มันมารู้ ว่าเราดูอยู่
    มันจะหดหู่ ละอาย ใจตัวเองนั่น
    เพราะมันรู้ ว่าเราดู ทุกวี่วัน
    เรารู้ทัน ทุกความคิด ของใจทำ
    มันจะเริ่ม ไม่อยากคิด ผิดปกติ
    เริ่มตำหนิ สติเรา เฝ้าดูนั่น
    ดูทำไม กลัวคิดชั่ว หรือไงกัน
    นี่แหล่ะมัน เริ่มระแวง เพราะมีเรา
    สติเรา ดูตลอด จนรอดฝั่ง
    ดูเหมือนนั่ง นั่งเพื่อดู ตลอดนั่น
    ดูจนใจ มันเริ่มนิ่ง หยุดทำงานพลัน
    เพราะมันนั้น เกิดละอาย คนคอยดู
    มันจะเริ่ม นิ่งสนิท ไม่คิดต่อ
    สติหนอ เห็นเหตุการณ์ ทุกอย่างนั่น
    สติบอก กับใจ ให้คิดพลัน
    แต่ใจนั้น กลับเมินเฉย ไม่เคยเป็น
    ใจมันจะ หยุดทุกอย่าง ที่ทำหมด
    บอกให้คิด มันก็หด หัวในกระดองนั่น
    เพราะมันยอม ยอมทุกอย่าง ยอมโดยพลัน
    เพราะว่ามัน ไม่กล้าคิด มีคนดู
    สุดท้ายใจ และสติ ก็เห็นเหตุ
    ไม่มีเลศนัย กัน ให้สงสัย
    ไอ้ตัวคิด ปล่อยมันคิด ทำงานไป
    ล้วนเป็นเรื่อง ของใจ ธรรมชาติมัน
    ตัวสติ ก็รู้ตัว มีสติ
    แค่สติ เอาไว้ดู รู้ เท่านั้น
    อยากควบคุม ใจไม่ให้คิด ได้ไงกัน
    ตัวใจนั้น ที่มันคิด มันทำงาน
    งานของใจ คือคิด รับรู้โลก
    เพื่อไม่โศก ไม่เศร้า สร้างสุขสันต์
    เพื่อปรุงแต่ง กามคุณ ห้า ของโลกนั้น
    เพื่อให้มัน สดชื่น และสวยงาม
    ยามจะกิน ก็ต้องกิน ให้อร่อย
    ยามจะคิด คิดสนุก อย่าท้อถอย
    ยามจะทำ ด้วยความสุข ความสุขคอย
    ยามจะนอน ก็ต้องปล่อย ให้สบาย
    ยามตื่น ก็ต้องตื่น โดยหน้าที่
    รู้ตัวดี ตื่นสู้โลก สดชื่นได้
    โลกความสุข มันต้องสุข ทุกวันไป
    ขอแค่ใจ ปรุงแต่งให้ โลกสวยงาม
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 กรกฎาคม 2011
  11. หนึ่งจิต

    หนึ่งจิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    2,928
    ค่าพลัง:
    +4,388
    น้อบน้อมเคารพ สักการะ

    คุณ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์
    พ่อแม่ ครู-อาจารย์

    เหนือยิ่ง สิ่งอื่นใด และจะใช้ประโยชน์จากสิ่งที่ได้มาให้คุ้มค่ามากที่สุด
    กับชีวิตที่เหลืออยู่
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 กรกฎาคม 2011
  12. สมาชิกที่ถูกแบน

    สมาชิกที่ถูกแบน สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 เมษายน 2008
    โพสต์:
    191
    ค่าพลัง:
    +0
    การดูจิต ต้องดู ให้เรื่อยเรื่อย
    อย่าพักเหนื่อย ขี้เกียจตาม อารมณ์หลง
    ดูไม่ต่อเนื่อง อารมณ์ขาด ขาดอารมณ์
    ต้องระทม ดูเริ่มต้นใหม่ ทุกทีไป
    อันว่าดู เจ็ดวัน นั้นเห็นผล
    ก็ต้องทน ดูอย่างนั้น อย่าสงสัย
    ดูที่กาย ความจริงกาย ปล่อยผ่านไป
    รับรู้กาย รับรู้เวทนา ทุกอารมณ์
    จนสงบ ปล่อยผ่านกาย เวทนาหมด
    มากำหนด ดูความคิด ที่ไหลหลง
    ไหลเข้ามา ไหลออกไป ไหลขึ้นลง
    ความสงบหนอ เป็นบาทตรง แห่งกำลัง
    นี่แหล่ะการ ดูจิต พิชิตศึก
    ดูให้ลึก ทุกขั้นตอน ไตรลักษณ์นั่น
    ดูจนตาย ไปข้างหนึ่ง อย่าแพ้มัน
    อารมณ์นั้น ดูต่อเนื่อง ด้วยอารมณ์
    อันอารมณ์ มันก็คือ ความสงบ
    สงบนิ่ง สงบนานจนพบ ศรัตรูที่หวัง
    ผ่านด่านกาย เวทนา พบจิต ด้วยกำลัง
    อารมณ์นั้น สงบดั่ง สงบสยบความเคลื่อนไหว

    ทุกอารมณ์ วิ่งไปมา เหมือนกระแสน้ำ
    ไม่ต้องตาม แค่ดูอยู่ เหมือนนั่งบนอัฒจรรย์นั่น
    เห็นด้วยมุมมอง กว้างโดยรอบ หายเหนื่อยพลัน
    เพราะสตินั้น ครอบคลุมอยู่ ทั้งกระดาน
    ไม่จำเป็นต้อง รู้ เรียกชื่อออก
    ไม่ต้องบอกว่า มัน คิดเรื่องอะไรนั่น
    แค่ดูอยู่ ว่า มันคิด เรื่องของมัน
    สตินั้น ดูอย่างเดียว ห้ามเกี่ยวเลย
    ก็นี่แหล่ะ การดูจิต พิชิตศึก
    ด้วยกำลังสงบ อย่าคิดนึก หรือมุ่งหวัง
    อย่าไปยุ่ง กับจิต เดี๋ยวจะพัง
    พุทธองค์ สู้มารนั้น แบบนี้เอง

    อย่าได้ยุ่ง อย่าได้เกี่ยว กับเรื่องจิต
    การพิชิต คือ สงบ เท่านั้นนั่น
    อย่าพ่ายแพ้ใจ อยากชนะ หรือกำหราบมัน
    เพราะอย่างนั้น ท่านนั่นเอง คือตัวมาร
    ..
    อิอิ
     
  13. สมาชิกที่ถูกแบน

    สมาชิกที่ถูกแบน สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 เมษายน 2008
    โพสต์:
    191
    ค่าพลัง:
    +0
    สัตว์โลกล้วน มีกรรม นำวิถี
    มีชั่วดี เป็นกรรมนำอยู่ เพื่อรู้ผล
    ผลแห่งกรรม การกระทำ ทุกตัวคน
    หนีไม่พ้น กรรมตามทัน วันที่คอย
    อย่าได้คิด หนีกรรม ตำหนิผิด
    อย่าได้คิด ว่า ไม่ไช่ กรรมตนนั่น
    มาให้เห็น มาให้เป็น เจอกับมัน
    ไม่ไช่ของ ตนเองนั้น เป็นของใคร
    นี่แหล่ะหนอ คนเรา นั้นใจเสาะ
    นั่นก็เพราะ กลัวกับกรรม ตามสนองนี่
    อันกรรมชั่ว ไม่อยากรับ ไม่เคยมี
    แค่ทำดี ถามหากรรม ให้สนองโดยไว
    ทำดีปุ๊บ อยากได้ดี ให้ทันด้วย
    วอนพระช่วย ให้ได้ดี นั้นได้ไหม
    กรรมชั่วเยอะ มันเยอะมากกว่า แล้วทำไง
    อยากทำดีไซร้ ทำนิดหน่อย ค่อยว่ากัน
    ทำสิบบาท อธิฐาน ขอคืนกลับ
    เอาจนนับ แทบไม่ทัน ความอยากนั่น
    ทำแค่นี้ เพื่อ หนีกรรม อย่าตามทัน
    โถโถท่าน หนีไปไหน...ใครเคยลอง

    ไม่มีใคร หน้าไหน หนีกรรมได้หรอก
    อยากจะบอก ความเป็นจริง สิ่งทั้งผอง
    ทั้งกรรมดี และกรรมชั่ว ตามครรลอง
    คอยสนอง ทั้งสองฝั่ง ดั่งเจ้ากรรม

    ต้องยอมรับ ความจริง ให้มันได้
    อย่าต้องให้ ร้องโหยหวน หมดผยอง
    ทำหมดท่า สิ้นท่า ราคาครอง
    เคยผยอง แล้วไง ใจอ่อนแอ

    สุขหรือทุข์ ชั่วหรือดี ถูกหรือผิด
    อย่าไปคิด เลือกแต่ดี หาตนหนอ
    ต้องยอมรับ กรรมทุกอย่าง รับให้พอ
    นี่สิหนอ คนจริง.....คนผู้ไม่มีการอาย .....สู้โลก สู้ความจริง

    ให้มันได้อย่างนี้สิ...กลัวทำไม ก็แค่ กรรม ของตนเอง..หาไช่กรรมจากคนอื่นไม่

    อย่าใจป๊อดสิครับ...สู้กรรม แบบว่า เทวดาอาย ยมทูตหมดคำพูด พระอินทร์อ้าปากค้าง

    คนอื่น พิสดารในตัวเราไปเลย..กลัวไปใย กรรมของตน

    ก็ในเมื่อเราจะเป็นคนดีแล้วนี่นา ..หนี้เก่า ของเก่า ต้องชำระ บัญชีให้สิ้นซาก

    อย่าได้ให้มัน มาหมอง กับ ชีวิตใหม่ ของเราได้
    ..
    วะฮ่าฮ่า<!-- google_ad_section_end -->
     
  14. สมาชิกที่ถูกแบน

    สมาชิกที่ถูกแบน สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 เมษายน 2008
    โพสต์:
    191
    ค่าพลัง:
    +0
    แพะรับบาป ไม่มีหรอก จะบอกให้
    มีแต่คน จัญใร ไม่ยอมที่
    ตนเองรับ ตนเองเห็น ตนเองมี
    ทั้งหมดนี้ มันคือกรรม กรรมของตน
    กรรมตามสนอง ก็มาบอก ว่าไม่รู้
    กรรมตามดู กระหนาบอยู่ หนีไปไหนได้
    กรรมคนอื่น เข้าหาท่าน ได้อย่างไร
    นั่นเพราะใจ ของท่านเอง สร้างมันมา

    อันพวกนี้ มันเป็นพวก มิจฉาทิฐิ
    ชอบตำหนิ กรรมของตน ไม่ไช่หนา
    ใครไม่รู้ ทำกับกรู ตลอดมา
    นี่แหล่ะหนา โทษแต่คนอื่น ไม่โทษตน

    กรรมใดใด ใครก่อ กรรมก็สนอง
    ตามครรลอง ความเป็นจริง ของโลกนั่น
    เกิดในโลก เป็นสัตว์โลก เหมือนเหมือนกัน
    แล้วคุณท่าน ไม่มีกรรม(ชั่ว) หรืออย่างไร

    สงสัยคิดว่า ความชั่วอันน้อยนิด มันคงแตกต่างจากความชั่วอันยิ่งใหญ่ละม้าง...ชั่วเดียวกัน ชั่วเหมือนกัน อ่านว่า ชั่ว เช่นกัน<!-- google_ad_section_end -->
     
  15. สมาชิกที่ถูกแบน

    สมาชิกที่ถูกแบน สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 เมษายน 2008
    โพสต์:
    191
    ค่าพลัง:
    +0
    อันวิชชา ทั้งหลาย ที่คล้ายเหมือน
    เป็นการเตือน ตนเองได้ ได้จริงหรือ
    วิชชาดี เชื่อถือได้ ที่สุดคือ
    การชนะใจ ตนเองเถิด เลิศดินแดน
    ชนะใจ ตนเอง เลิศประเสริฐสุด
    เหมือนบัวผุด ผ่องที่ใจ ใครจะเหมือน
    ชนะอย่างอื่น ไม่ดีจริง อย่าแชเชือน
    ไม่ดีเหมือน ชนะใจตน ผลสุดดี

    ถ้าหากยัง คิดชนะใจ แต่คนอื่น
    ก็เหมือนฝืน ธรรมชาติตน นั่นแหล่ะหนา
    คนเหมือนกัน ใครอยากให้ เกินหน้าตา
    ชนะมา ก็ไม่ได้ ไม่ถาวร

    การชนะ ใจคนอื่น นั้นไม่ยาก
    มันก็อยาก ชนะกัน ทุกคนหนอ
    พยาม อย่างไร ไม่ดีพอ
    เพราะคนหนอ ไม่ยอมแพ้ แพ้ไม่เป็น

    ตัวเราเอง ต้องรู้แพ้ ยอมเขาก่อน
    เป็นคำสอน เตือนตน พ้นความเหนือ
    ถ้าแพ้เป็น ก็ชนะใจ อย่างเหลือเฟือ
    ไม่ต้องเหนือ กล้ายอมแพ้ สิแน่จริง

    การยอมแพ้ ไม่ได้หมาย เป็นผู้แพ้
    ถึงเราแพ้ แต่ที่ได้ กลับเหนือสิ่งอื่น
    การยอมแพ้ แพ้คนได้ ไม่กล้ำกลืน
    เห็นจุดยืน ว่าเรานั้น ชนะใจตน

    ถ้าหากคิด จะชนะ คนทั้งโลก
    ท่านต้องโศก ตั้งแต่คิด เลยใจเอ๋ย
    แค่ท่านคิด ท่านก็แพ้ แต่เริ่มเลย
    เพราะคนเอ๋ย คนเหมือนกัน ฉันและเธอ
     
  16. สมาชิกที่ถูกแบน

    สมาชิกที่ถูกแบน สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 เมษายน 2008
    โพสต์:
    191
    ค่าพลัง:
    +0
    ว่าแต่ ทำไม ต้องทำตัวเป็นคนดีด้วยล่ะครับ

    ดีแบบไม่ต้องทำ เลยไม่ได้หรือ ครับ หรือ ว่า ถ้าไม่ทำ มันจะไม่ดี ..แสดงว่ามันไม่ดีอยู่ก่อนแล้ว ถึงต้องทำตัว ครับ

    หรือทำเพื่อให้คนอื่น เห็นว่าตัวเราดี เพื่อ บางอย่างหรือเปล่าครับ

    ผมว่า คนดี ดีที่ใจ ดีด้วยใจนะครับ...ไม่ไช่ที่การกระทำตัว..เพื่อเลียนแบบ ให้เห็นเป็นคนดี
     
  17. สมาชิกที่ถูกแบน

    สมาชิกที่ถูกแบน สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 เมษายน 2008
    โพสต์:
    191
    ค่าพลัง:
    +0
    เห็นคนเด่น คนดี มีเยอะมาก
    ล้วนแต่อยาก เสนอหน้า ให้คนเห็น
    ให้คนรู้ ว่าตนเอง ทำบุญเป็น
    คนต้องเห็น เราทำบุญ เอาหน้าไง
    ออกหนังสือพิมพ์ ออกข่าว ยิ่งเย่อหยิ่ง
    เก่งจริงจริง เชิดหน้า ชูตานั่น
    ทำบุญที แสล๋นออกหน้า ไม่ช้าพลัน
    ทำบุญนั้น เราต้องอยู่ แถวหน้าเลย
    ได้อวดหน้า อวดตา ดีใจแล้ว
    เหมือนได้แก้ว วิเศษ เป็นลิงหนอ
    อันที่จริง บุญไม่เอา ได้หน้าพอ
    มีหน้าหนอ ก็พอแล้ว แก้วสมใจ

    ดีไม่ดี ไม่สน ขอลอยหน้า
    ได้มีหน้า มีตา ก็ยอมได้
    ขอเป็นผู้ คนว่าดี รู้ดีไป
    ดีหรือไม่ ไม่สน แค่เอาหน้าพอ
     
  18. สมาชิกที่ถูกแบน

    สมาชิกที่ถูกแบน สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 เมษายน 2008
    โพสต์:
    191
    ค่าพลัง:
    +0
    ยกตัวอย่าง ของคนเรา ทุกวันนี้
    มันมีดี แต่เริ่มต้น ดีได้หมด
    แรกรักกัน หวานชื่น กว่าพวกมด
    ที่ชอบซด แต่น้ำหวาน น้ำตาลใจ

    พอแรกเริ่ม ก็รักกัน หวานชุ่มฉ่ำ
    วาจาจำ สัญญาใจ ไม่เปลี่ยนได้
    พอแต่งงาน เป็นผัวเมีย กันเมื่อใด
    สิ่งที่ได้ ก็สำเร็จ ตามต้องการ

    เสพความหวาน ความสุขกาย ใครจะเหมือน
    ไม่ลืมเลือน สัญญามั่น ยังจำได้
    พอมีลูก ในท้อง ป่องเมื่อใด
    แล้วทำไม ถึงคิดว่า ปัญหามี

    พอลูกคลอด ตลอดเวลา ที่เลี้ยงลูก
    มันเหมือนถูก ละความจำ ครั้งเก่านี่
    มันไม่หวาน เหมือนแรกเริ่ม ที่เคยมี
    สัญญามี ก็ไม่จำ ทำเป็นลืม

    มองเห็นว่า ตัวเรา เปลี่ยนไปหมด
    แม้แต่มด มองหน้า เลิกสุงสิง
    อันคนเรา เปลี่ยนใจ เปลี่ยนไวจริง
    ยิ่งกว่าลิง ไม่หยุดนิ่ง พอไม่มี

    ในตอนแรก ผัวเมียเรา สวยที่สุด
    โชคดีที่สุด ในโลก ดีอย่างยิ่ง
    พอมีลูก ด้วยกัน เจอปัญหาจริง
    พากันวิ่ง หนีหน้า ระอาใจ

    แล้วทำไม ไม่คิดรักษา อารมณ์เก่า
    ตอนที่ เคยพรอดรัก สุขอย่างยิ่ง
    อยากจะหยุด โลกไว้ เสียจริงๆ
    ยังกล้าทิ้ง สัญญารัก ได้ลงคอ

    ถึงว่ารัก มันจะเก่า ไม่เฉาดอก
    ก็ต้องบอก เตือนตนเอง ทั้งชายหญิง
    ว่าความรัก ปรุงแต่งได้ มันมีจริง
    มันเป็นสิ่ง ที่ทำได้ อยู่ที่ใจ

    ถึงเราแก่ แต่หัวใจ มันไม่แก่
    รักยังแน่ นอนที่สุด เสมอเหมือน
    เรามีเรา สัญญาเรา ไม่ลืมเลือน
    มันก็เหมือน รักครั้งแรก ทุกเวลา

    รักษาใจ กันต่อกัน นั้นดียิ่ง
    เป็นความจริง ของมนุษย์ ที่ควรหนา
    สร้างรักได้ รักกันได้ ให้ได้มา
    นี่สิหนา คือสร้างเป็น รักษาเป็น<!-- google_ad_section_end -->

    หรือบางคน เกิดมา ตั้งแต่เด็ก
    ตอนยังเล็ก สุขใจกาย กระไรนี่
    แต่พอโต เข้าเรียน สนุกดี
    ก็เพราะมี เพื่อนอยู่ ร่วมชั้นเรียน

    พอเริ่มโต ก็เริ่มเห็น ภาระหน้าที่
    ตัวเองมี สิ่งต้องทำ สำคัญยิ่ง
    เป็นภาระ งานส่วนตัว เบื่อจริงๆ
    ทำไมสิ่ง พวกนี้ ถึงต้องทำ

    พอเรียนจบ พบปัญหา อันยิ่งใหญ่
    หางานไง เพื่อหาเงิน เหมือนกันนั่น
    เจอของจริง ชีวิตจริง ที่ครือครือกัน
    นี่แหล่ะมัน เริ่มไม่สุข เหมือนตอนเรียน

    แต่พวกนี้ ก็หายไป เมื่อเป็นหนุ่ม
    เป็นวัยรุ่น วัยมัน เลิกอ่านเขียน
    ทำงานเป็น ใช้เงินเป็น แบบชั้นเซียน
    เริ่มเบียดเบียน กันและกัน มันส์อย่างเดียว

    ยิ่งมีรัก ก็ยิ่งปัก จิตใจหมาย
    ต้องให้ได้ ครอบครอง ถึงสุขสม
    ถ้าผิดหวัง โลกก็พัง นั่งตรอมตรม
    หวานเป็นขม ไม่สมรัก จักชีพวาย

    ไม่สมหวัง ก็บอก ว่าเป็นทุกข์
    พอมีสุข ก็บอก บุญเหลือหลาย
    พอได้เมีย โลกที่สุข เริ่มบรรลัย
    เพราะเมียไง คือเจ้าของ เจ้าของเรา

    ส่วนตัวเรา ก็เจ้าของ เมียข้านั่น
    อย่าให้ฉัน รู้ว่าใจ เธอเปลี่ยนผัน
    เราต้องรัก กันมั่น ชั่วนิรันดร์
    สิ่งนี้พลัน แปรเปลี่ยน เมื่อท้องไง

    ท้องไม่รับ ทับไม่ร้อง น้องของพี่
    สิ่งดีดี ที่เคยมี ให้กันได้
    พอเป็นแม่ เราเหมือนลูก ด้วยได้ไง
    ก็นั่นใจ เพศแม่ มันแผ่มา

    จากเป็นเมีย มาเป็นแม่ แย่ยิ่งนัก
    ยิ่งหวงหนัก จะกลัวว่า มีรักอื่น
    กลัวว่าเรา มีใหม่ ลืมวันคืน
    วันแสนชื่น ไม่กลับมา อยู่ในใจ

    แต่ปัญหา มันไม่มี ไม่แค่นี้
    ลองดูซี สอบถาม คนมีครอบครัวได้
    เรื่องอื่นอื่น หมื่นแสน ระคนไป
    เรื่องไหนไหน ก็ปนเป กันเข้ามา

    นี่แหล่ะหนา ถึงว่า รักษาจิต
    ตั้งความคิด อยู่ที่ตัว อย่ามั่วได้
    อย่าหลงแก่ อย่าหลงวัย ตามมันไป
    หลงได้ไง แค่สังขาร ที่โรยรา

    อย่าหลงโลก หลงวัตถุ ตามกระแส
    ที่แน่แน่ อย่าหลงกล ตนเองได้
    จิตคิดดี อยู่กับดี ทุกวันไป
    จิตจึงไม่ ยึดมั่น สัญญาลวง

    ความเป็นเด็ก สุขตอนเด็ก ไม่มีผิด
    ใจไม่คิด ดีหรือชั่ว ไม่หลอกหลอน
    บริสุทธิ์ ใจต่อใจ ดีแน่นอน
    ทำไมตอน เติบใหญ่ ใจลืมเลือน

    นี่แหล่ะเหมือน หลงโลก หลงสมมุติ
    หลงไม่หยุด กับสิ่งลวง ที่หลอกหลอน
    ลวงให้วิ่ง หัวชนฝา อยู่ทุกตอน
    ไม่ได้นั่ง ไม่ได้นอน สบายสบาย

    วิ่งหาเงิน หาทอง จนเลยสุข
    มีแต่ทุกข์ เพราะหา หาอยู่ได้
    หาเพื่อเรา เพื่อคนอื่น ทุกวันไป
    จนหัวใจ ไม่มีวัน พบสงบเลย<!-- google_ad_section_end -->

    เขาเลยเรียก โตลืมตัว ลืมหัวจิต
    ลืมชีวิต ที่ปกติ ดูแล้วเหมือน
    แก่ตามวัย แก่ตามโลก ที่เลอะเลือน
    แก่แล้วเหมือน คนสติ ไม่ค่อยดี

    กลัวการตาย กลัวการจาก กลัวทุกสิ่ง
    กลัวความจริง คือจุดจบ ทุกคนได้
    กลัวพลัดพราก จากของรัก ของหวงไง
    ลูกเมียไง ทั้งสมบัติ ของของกู

    กลัวเอาว่า ไม่มีตน คนอื่นทุกข์
    เขาจะสุข ได้หรือไม่ ยังไงนี่
    คนละคน ตัวของเรา ของเขามี
    อย่าทู่ซี้ ห่วงคนอื่น จนลืมตน

    จงลืมเถิด ที่ผ่านมา อย่าอับเฉา
    อย่าให้เรา มีทุกอย่าง โลกทั้งหลาย
    จะลาโลก ควรลืมโลก ให้ได้ไง
    โถใครใคร ก็ต้องลากัน ทุกคน
    ...
    นี่แหล่ะ ตอนเกิดไม่มีอะไร ไม่มีของของกู ไม่มีสมมุติอะไรมากมาย ไม่มีอะไรต้องคิดมากมาย...แล้วทำไม เวลาโต ขึ้นเป็นผู้ใหญ่ ถึงได้มีอะไรมากมายเหลือเกิน
    สมมุติในหัวน่ะ ความคิดในหัวน่ะ ความจำในหัวน่ะ ญาติในหัวน่ะ ของของกูในหัวน่ะ

    เฮ้อ..หนักมั้ยหน้อ...<!-- google_ad_section_end -->
     
  19. สมาชิกที่ถูกแบน

    สมาชิกที่ถูกแบน สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 เมษายน 2008
    โพสต์:
    191
    ค่าพลัง:
    +0
    ถอดจิตได้ ก็คือ.....คนตายเท่านั้นครับ....ถอดแบบ แยกออกจากกันเลย รูปนาม ขาดกัน ออกจากกัน แล้วไม่กลับเข้ามารวมกันได้อีก
    ...
    แต่การฝึก ที่ เอาจิต ไปถึงโลกุตระธรรมนั้น...กายยังอยู่ สติยังอยู่ ...ใจยังอยู่
    เอาแต่จิต ส่วนใหญ่ ไป.(ขันธ์ที่เป็น สังขาร วิญญาณ สัญญา)..จิตไปไม่หมด หรอก มัน มีเส้น เล็กๆ เชื่อมต่อ ระหว่าง กายกับ จิตที่ไปอยู่ ..ขึ้นอยู่กับว่า สติหรือตัวรู้ ใครจะรู้จะเห็น ตรงนี้บ้าง ก็เท่านั้น....มันคือ...สายใย...หรือ สิ่งที่เกิดขึ้น หลังจากการเกิดความคิด หรือ สิ่งที่เกิดขึ้นหลังจาก ใจคิด .ไป.เป็นจิต เป็นอัตตา..เป็นเจตสิก แล้วแต่ใครจะเรียก.. ที่ไปสู่โลกุตระธรรม ธรรมเหนือโลก นั่นเอง.....ไปเพื่อ ..ให้รู้เข้าใจ ความเป็น อนัตตา ของ จิตเอง

    แล้วจิตที่ เข้าถึงความเป็นอนัตตา ก็อนัตตาไป สติที่ไป รู้ทุกอย่าง ก็ต้องรู้ว่า ต้องกลับมา ที่กาย(โลก) ได้...เมื่อ ทำลาย ต้นเหตุ ของ ความอยาก ได้แล้ว ทำลายนายช่างผู้สร้างเรือนได้แล้ว.. แอ่น แอน แอ๊น....กลับมา กลับมา กลับมา กลับามาดั่งคำสัญญา...ตรงที่เก่า คนก็เก่า โลกก็เก่า หยักใย่ขึ้นเต็มเลย...อิอิ

    การที่จิต ออก นอกกาย(โลก) จิตไม่อยู่กับกาย(โลก)...จิตส่งออกนอกกาย(โลก)...นั่นเพราะ ไม่มีกาย ก็ไม่สามารถรับรู้โลก ทาง ตาหูจมุกลิ้นกายใจ

    กาย คือ โลก.....จิตไม่อยู่กับกาย คือไม่อยู่กับ ความคิด..ในโลก ...ก็คือ จิตเหนือโลก จิตพ้นโลก จิตไม่เอาโลก จิตหนีโลก..แล้วแต่จะเรียก

    บางครั้ง ผมเรียกว่า...พวกจิตเนรคุณโลก.....พวกไม่รู้สำนึกบุญคุณของโลก...จิตอกตัญญูโลก เกิดมากับโลกแท้ๆ มากล่าวหาว่า โลกคือ ตัวทุกข์

    อิอิ

    สาเหตุต้นทุกข์ที่แท้จริง ก็คือ ตัวมันเอง ที่จัดการกับชีวิต ของตนเองให้ อยู่ดีกับโลกไม่ได้ ไม่เป็น...อยู่ดีกับคนอื่นไม่ได้ ไม่เป็น ...

    สาเหตุโดยรวมก็คือ...สังคม นั่นแหล่ะ...เห็นแก่ตัว ก็เลยเป็นแบบนี้...สงสัย ต้อง โทษแก็สโซลฮอลล์ ..แล้วล่ะ<!-- google_ad_section_end -->

    ใจกับจิต คนละอันกันนะครับ...ใจคือ ใจคู่โลก..เกิดพร้อมกายเพื่อรู้โลก

    จิตคือ ความคิดของใจ อุปทาน ทั้งหลาย ที่เกิน ความจริง ที่ใจรับมาจาก ตาหูจมูกลิ้นกาย
    ....

    ส่วนสติ คือ ความจริง ของ ผู้รู้..ที่ไม่มีตัวตน(อนัตตา)อยู่แล้ว มันคือ อัตตา ตัวตน นายช่างผู้สร้างเรือน ตัวจริง

    ....
    ความจริง มี แค่ กายกับใจ......สติคือ ผู้รู้ คือ อัตตาตัวตน ที่ ต้อง เห็น และเข้าใจ เข้าถึงความเป็นอนัตตา ของมันให้ได้...

    ถ้าเห็นการทำงานของใจทุกขั้นตอนด้วยสติ
    ถ้าเห็นทุกความคิดของใจด้วยสติ

    เมื่อนั้นแหล่ะ...สติ(ผู้รู้ ) กับใจที่มีความคิด ..ก็จะแยกกัน และ นำไปสู่ความเป็นอิสระต่อกัน..ในโอกาสข้างหน้า..สติ ที่เหลือ ก็คือ จิตโลกุตระ...ที่ ปล่อยวางกาย ปล่อยวางโลกได้...ที่เหลือ ก็แค่ ปล่อยวางตัวสติเอง เท่านั้นเอง....เห็นความเป็นอนัตตาในอัตตาของ สติหรือผู้รู้ นี้ให้ได้

    เมื่อ ปล่อยวาง อัตตาตัวตน นายช่างผู้สร้างเรือนได้ ทำลาย ตัวอยากได้...ตัวเราได้

    ก็ จะไม่มีอะไรเหลือ เลย ....พ้นจาก รูปนาม สมมุติทั้งสอง

    แล้ว ความจริง ก็คือ....
    ..
    ทำลาย รูปนามเก่า สมมุติเก่า กรรมเก่า...คนเก่า ....ตายไปเรียบร้อยแล้ว
    ..
    ที่เหลือก็แค่ เอาสติที่อนัตตานั้น(เรียกว่าว่างหรือไม่มีอะไร) กลับมารวมกับ รูปที่อนัตตา(ยังไม่ตาย)ให้ได้....เพื่อ เป็นคนใหม่ เหมือนเกิดใหม่ ..สมมุติใหม่ คิดใหม่ ทำใหม่ กรรมใหม่....ที่ดีกว่าเดิม ที่ไม่เหมือนเดิม....แล้ว เหมือนเริ่มต้นที่ 0 เหมือนเกิดใหม่ ไม่มีอะไร

    สู้โลก กับ การเกิดครั้งที่สอง ของรูปนาม (ร่างเก่า)แต่เสมือนใหม่ เพราะ กายบริสุทธิ์ ใจบริสุทธิ์ แล้ว ...มันพ้นจากสมมุติเดิม ชำระสะสาง ของเก่า ตายไปแล้ว

    ..
    ใครจะเข้าใจที่ตูพูดมั้ยเนี่ย...อิอิ<!-- google_ad_section_end -->
     
  20. สมาชิกที่ถูกแบน

    สมาชิกที่ถูกแบน สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 เมษายน 2008
    โพสต์:
    191
    ค่าพลัง:
    +0
    สำคัญแต่ว่า....ต้องกลับมารวมกัน เพื่อ การตายที่สมบูรณ์แบบ ที่สมดุลย์ทั้งรูปนาม ให้ได้

    การตายที่ รูปนาม ตายพร้อมกัน เสมอกัน เท่ากัน ...รู้กัน ดับพร้อมกัน...ไม่มีภพชาติ

    ตายแล้วตายเลย ตายจริงๆ ....ไม่มีนรก สวรรค์นิพพาน รองรับ..ดับ เย็น มืดตึ๊บ

    เหมือน อยู่ในห้อง ที่เปิดไฟ....แล้ว ดับสวิทซ์...มืดตึ๊บ..เลย<!-- google_ad_section_end -->

    ถ้าหากจิต ไม่ลงมารวมกับร่าง ถ้ากายตายที่โลก..แต่จิตโลกุตระ(สติ) ไม่ตาย...มัน ก็ จะอยู่อย่างนั้นแหล่ะ ในความว่างเปล่า อนัตตา...นิพพาน นัง ประมังสุขขัง..ขังในนิพพาน

    แต่ถ้ามัน ลงมารวมกับกายที่โลกได้ แต่ เป็นคนใหม่ที่ไม่มีความทุกข์กับโลก ไม่มีความทุกข์กับคนอื่น ไม่มีความทุกข์กับสมมุติอื่นอีกเลย...เรียกว่า นิพพานัง ประมัง สุญยัง
    ตายด้วย ความเป็นมนุษย์ ตายด้วยเข้าใจตนเอง เข้าใจการตาย ...ตายด้วยพร้อมที่จะตาย ไม่มีความทุกข์กับการตาย
    ..
    ตายในสมมุติที่แท้จริง...ในความเป็นมนุษย์ บนโลกมนุษย์...ดับพร้อมรูปนาม

    ดังนั้น คำว่า พิสูจน์ ตนเอง ให้ได้ว่า สติที่อยู่ในโลกกุตระนั้น ไม่ทุกข์จริง ไม่มีอัตตาจริง ทำลายนายช่างผู้สร้างเรือนได้จริง ทำลายอัตตาตัวตนเชื้อแห่งการอยากได้จริง เข้าถึง อนัตตาได้จริง

    ก็ต้อง ลงมารวมกับกาย ที่โลก สู้โลกโดยไม่ทุกข์กับมัน กับชีวิตที่เหลืออยู่ให้ได้ จริง จนวันตาย จริง...ความทุกข์ มันดับสนิท ..อุปทานมันดับสนิท ..เจโตวิมุติมันดับสนิท เชื้อแห่งการเกิด มันดับสนิท....ไม่มีทุกข์ กับโลก ไม่มีทุกข์กับเรื่องโลกๆ อีกต่อไป
    ...
    นิพพาน ก็คือ เมล็ดถั่ว....ถ้าเรานำมันมาพิสูจน์ ว่า มันจะเกิดอีกหรือไม่ เชื้อแห่งการเกิดมันมีอยู่หรือไม่ ก็นำมัน มาปลูก มาฝังดิน มีน้ำ ลมไฟ ที่เหมาะสม ถ้ามันงอก ถ้ามันเกิด ก็แสดงว่า มันยังมีเชื้อแห่งการเกิด...มันไม่นิพพานจริง ..มันแค่นิพพานชั่วคราว ปลอมๆ นิพพานหนีทุกข์ของการเกิดเท่านั้นเอง..

    นิพพานจริง มันต้องเหมือนเมล็ดถั่วลีบ ถึงฝังลงดิน มีน้ำ ลม ดินไฟ ..ก็ไม่งอกได้อีก
    ..
    มนุษย์ก็เหมือนกัน สติโลกุตระ...ต้องกลับมาที่โลก รวมกับกาย หยั่งลงมาที่โลก ที่กาย(ดินน้ำลมไฟ) อีกครั้ง กับชีวิตใหม่ ที่ ไม่มี เชื้อของทุกข์ ไม่มีเชื้อแห่งความอยากหนีทุกข์ของโลก เพื่อพิสูจน์ตนเองว่า...เป็นผู้ชนะโลก..ได้จริงหรือไม่

    ความทุกข์ไม่เกิด อีก....รู้คุณโลก เห็นคุณค่าของโลก เห็นความดีของโลก เห็นความดีของความเป็นมนุษย์ เห็นคุณค่าของความเป็นมนุษย์ และคนอื่น
    อยู่กับโลกโดยไม่ทุกข์ เช่นเดิม ..ไม่มองโลกว่า เป็น แบบ อนิจัง ทุกขัง อนัตตา หยุด การเกิดแก่เจ็บตายด้วยความทุกข์ หยุดความไม่เที่ยงเป็นทุกข์

    แต่จะอยู่กับโลก แบบมีแต่ความสุข สร้างความสุข แบบ..อนิจัง สุขขัง อนัตตา

    เกิดแก่เจ็บตายด้วยความสุข ความไม่เที่ยงคือความสุข
    ..
    ถ้า เกิดมาแล้ว เท่าเดิม เท่านั้น ไม่เปลี่ยนแปลง ไม่เติบโต ไม่เจริญ...ไม่เคลื่อนไหว ไม่ไหวติง...ทั้งคนและต้นไม้.ถามหน่อย ไหนใคร อยากเป็นแบบนี้..

    อันไหน มันดีกว่ากัน ถ้ามัน มี สายลม แสงแดด สายฝน ฤดูกาล หมุนเวียนเปลี่ยนไป .มีคนหน้าใหม่เกิดขึ้นเรื่อยๆ ..เป็นวัฏจักร
    ..
    หรือ จะเอา แบบ มีแต่ก้อนหิน เหมือน ดวงจันทร์..ใครอยากไปอยู่ดวงจันทร์ ยกมือขึ้น..อิอิ<!-- google_ad_section_end -->
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...