ทำไมมีแต่คนอ้างคำสอนของครูบาต่างๆมากกว่าพระไตรปิฏก

บอกตรงไหนครับว่าอย่าไปศึกษา อ่านให้ดีก่อนสิ แทนที่จะเข้าใจว่าให้ศึกษาโดยยึดพระไตรปิฏกเป็นหลัก

แล้วที่บอกว่าผมอ้างแต่อถรรกถานั้น ถามนิดนึงครับ อถรรกถาไม่ใช่พระไตรปิฏกเหรอ อย่าสบประมาทอถรรกถาสิครับ

 

ผมว่ากระทู้นี่ท่าจะจบเนื้อหายาก....จริงๆนี้ดูแล้วไม่มีอะไรเลย....

อรรถกถา ก็คือ อรรถกถา อรรถกถาก็อาจถูกของ อรรถกถา เพราะพระอรรถกถาจารย์ ท่านก็คงจะหมายถึงพุทธศาสนาเมื่อผ่านไปนานๆก็อาจเสื่อมลงเป็นอันดับ....

ที่น่าแปลกใจว่าทำไมพระอรรถกถาเอาข้อมูลใหนมากล่าวเช่นนั้น....เอาข้อมูลที่ว่านี้มาจากใหน.....

เพราะไม่มีพระสูตรใด ที่จะกล่าวไว้แบบนี้....

ยกตัวอย่างอย่างพระสูตร ที่คุณ ไมยราพ จะกล่าวถึงแต่ไม่ได้กล่าว....ก็คือ วรรคสุดท้ายของสติปัฏฐานสูตร ซึ่งเรื่องนี้ ก็เคยพูดกันในกระทู้ของ คุณ ตาปลา แล้ว...

คุณ เอกวีร์ ก็พูดถูกนะ ถ้า ยุคนี้คนทำได้มากสุดถึงพระอนาคามี แล้วบุคคลที่มีความเพียรถึงพระอนาคามีแล้ว จะยืนอยู่แค่นั้นเหรอ....หรือเป็นเพราะว่ากาลเวลานี่อรรถกถาบอกไว้นี้เป็นตัวกักมรรคผลนิพพานเหรอ.....ผมว่าน่าคิดนะ.....

พระสูตรหลายพระสูตรนะที่กล่าวถึงว่าบรรลุธรรมได้....เช่น..

_____________________________________________

​

สุภัททะ ! ในธรรมวินัย ที่ไม่มีอริยมรรคมีองค์ ๘ ย่อมไม่มี​

สมณะที่ ๑ โสดาบัน​

ที่ ๒ สกทาคามี​

ที่ ๓ อนาคามี​

ที่ ๔ อรหันต์​

สุภัททะ ! ในธรรมวินัยนี้แล มีอริยมรรคมีองค์ ๘ จึงมีสมณะ ที่ ๑, ที่ ๒, ที่ ๓, ที่ ๔ ​

สุภัททะ ! ​

ถ้าภิกษุทั้งหลายเหล่านี้ พึงอยู่โดยชอบไซร้โลกก็จะไม่ว่างจาก พระอรหันต์ทั้งหลายแล​

พุทธวัจน์ บาลี พระพุทธภาษิต มหาปรินิพพานสูตร มหา.ที. ๑๐/๑๗๕/๑๓๘ ตรัสแก่สุภัททปริพพาชก ที่สาลวัน แห่งเมืองกุสินารา ณ.ราตรีที่ปรินิพพาน​

____________________________________________

พระสูตรนี้ เป็น วันสุดท้ายก่อนปรินิพพานของสมเด็จท่าน...

จาก พุทธพจน์ที่กล่าวข้างบน ถ้าเชื่อตาม อรรถกถา โดยทั้งหมด....จะเอาพุทธพจน์ไว้อีกทำไมกัน....

ผมว่าปกติ ถกกันเรื่องพระไตรนี้ยังว่าหาข้อลงได้นะ เพราะว่าพระไตรนั้นย่อมรวมสรุปลงอย่างเดียวกัน....

แต่นี้จะเอา อรรถกถา มาเกินพระไตรฯ ผมว่า มันไม่น่าจะใช่นะ.....

ถ้าให้ผมเลือกที่จะเชื่อ ผมจะเชื่อ พระพุทธพจน์ มากกว่า อรรถกถา.....

 

I2D2 ไม่ธรรดาซะแล้ว

เป็นนักปฏิบัติรึเปล่า มีสติในการตอบมาก

 

ถ้าความหมายในพระวินัยก็อย่างนั้นครับ แต่ทุกวันนี้เห็นแต่เอาเงินเป็นหลัก

 

เหมือนที่คนในครั้งพุทธกาลกล่าวว่า
จตุปัจจัยไทยทาน ต่าง ๆ มากมายที่พระพุทธองค์ได้รับมา
เพราะความเป็นพระพุทธเจ้า

แต่พระพุทธองค์ตรััสว่าไม่ใช่
จตุปัจจัยไทยทานเหล่านี้
เกิดเนื่องจากอานิสงส์ผลทานในอดีต
ที่พระองค์ได้สละทานมา

จะว่าเป็นเงินหลักเท่าไหร่ก็ตาม
มันก็เป็นศรัทธาของผู้ถวายครับ

 

อ่าวไป กฐิน ผ้าป่า แล้วเหรอ.....

เรื่องเก่าสรุปกันได้แล้วหรือยัง....

 

ขอแสดงความคิดเห็นนะครับ ถ้าอย่างนั้นที่ท่านกล่าวว่าพุทธศาสนาจะมีอายุถึงห้าพันปีนั้น มันจะไม่ขัดกันหรือ เพราะว่าหากพระอริยเจ้ายังอยู่ แสดงว่ายังมีผู้เข้าถึงธรรมอยู่ แล้วพอถึงห้าพันปีศาสนาจะหายไปได้อย่างไร อยู่ๆก็หายไปหมดเลยเหรอ สงสัยน่ะครับ


อีกอย่าง เรื่องของพระอนาคามีในยุคนี้นั้นไม่ใช่ว่าพอสำเร็จแค่นั้นแล้วท่านจะล้มเลิกไป เพียงแต่อายุสังขารไม่เพียงพอจะดำรงต่อไปได้อีก จึงต้องมรณะภาพ(ขอใช้คำนี้แทนละสังขาล) แล้วจึงไปเจริญต่อในชั้นสุทธาวาสแทน

ลองคิดแบบนี้ครับ บัณฑิตทั้งหลายคงไม่ปรารถนาจะจะเกิดในยุคเสื่อมเป็นแน่ ท่านก็คงบำเพ็ญกุศลเพื่อที่จะเกิดในยุคของพุทธองค์เป็นแน่นอน
พวกที่เหลืออยู่มาเกิดในยุคปลายนี้ก็จะเหลือเพียงผู้อบรมมาน้อยเท่านั้นไม่ใช่หรือ

 

ไม่ได้แตกประเด็น

เรื่องกฐิน ท่านมุ่งไปที่ผ้า แต่เดี๋ยวนี้ดูเป็นเรื่องปกติที่ขึ้นป้าย

กฐินแสนกอง กองละพันเพื่อสร้างอะไรก็ว่ากันไป อันนี้ก็แปลกๆ

ส่วนตัวไม่ได้คิดอะไร เพราะมันเรื่องของสงฆ์

 

ตำราท่านว่าอย่างนี้
ก็พิจารณาเอานะครับ

 

งั้นผมไม่ถามอะไรมากนะ.....ท่านลองไปหาพระสูตรที่ว่า พระพุทธเจ้าท่านทรงกล่าวไว้ด้วยพระองค์เองว่า พระศาสนาท่านจะอยู่ถึง ๕๐๐๐ ปี มาหน่อยสิครับ.....

เอาที่สมเด็จฯท่านกล่าวเองนะ.....ผมก็อย่างรู้เช่นกัน....ว่าท่านพูดไว้ที่ใหน...

 

นั่นสิครับ อย่างหลายๆท่านที่เที่ยวกันออกพ็อกเก็ตบุ๊คว่า จะไม่กลับมาเกิดบ้างล่ะ หรือชาติสุดท้ายบ้างล่ะ ขอให้คิดมุ่งไปที่ว่า พระอรหันต์ท่านจะประกาศตนอย่างนั้นหรือเปล่า

 

ท่านที่เป็นพระอรหันต์จริงท่านประกาศก็ไม่เป็นไรนี่ครับ
ยิ่งดี เพราะคนจะได้รู้ได้ไปทำบุญกับท่าน
อานิสงส์มากมายมหาศาล

ส่วนท่านที่ไม่เป็นจริง
ท่านก็รอรับกรรมของตนไปก็เท่านั้น

ความเป็นจริงมันก็มีอยู่แค่นี้ จะคิดอะไรมาก

 

เห็นเป็นท่านเตชพโล ไม่ค่อยอยากอนุโมทนาเท่าไหร่ แต่มันอดไม่ได้จริงๆ

มองได้อย่างนี้ (ถือว่าเป็นความเห็นก็แล้วกัน)

สัมมาทิฏฐิคลาดเคลื่อน

สัมมาสติ ......สัมมาสมาธิ ย่อมคลาดเคลื่อน

สัมมามรรค ย่อมคลาดเคลื่อน

เมื่อนั้น แม้มีผู้ปฏิบัติอยู่ มุ่งอยู่ ย่อมไม่ถึงทางแห่งมรรค

 

เวลา คุณได้อาหารรสเลิศ ทำงานได้เงินมาเยอะ

คุณ เคยกลับไปบอก พ่อแม่ ญาติ พี่ น้อง ให้ทราบ เพื่อ เปิดเผยพร้อม
แบ่งปันหรือเปล่า

หากเป็น สำนักโง่ๆ ก็จะสอนว่า อย่าไปบอกใคร ให้เงียบไว้

แต่หาก เป็นศิษย์ตถาคต จะจำใส่ใจเลยว่า พุทธองค์รับสั่งไว้ให้ เปิดเผย

 

เป็นสิครับ อย่าลืมว่าการอวดอุตรินั้นมีสองอย่าง
อวดธรรมที่ไม่มีในตน อันนี้ปาราชิก
อวดธรรมที่มีในตน อันนี้ไม่แน่ใจ แต่เป็นอาบัติ อย่าลืมว่าพระอรหันต์ท่านจะไม่ทำกรรมที่เป็นอาบัติ

 

ช่วยแปลให้ฟังหน่อยได้มั้ย ไม่เข้าใจ

 

นี่อาจจะเป็นปัจจัยหนึ่งว่าต่อไปสงฆ์จะไม่ห่มเหลืองนุ่งเหลือง อาจจะผู้ปฏิบัติเคร่งแทนที่จะไปบวชก็เป็นได้

คุณต้องการความคิดเห็นทำนองใช่หรือเปล่า ?

 

ถ้างั้น ทำไมท่านถึงห้ามพระปิณโฑระฯที่แสดงฤิทธิ์ ซ้ำยังเป็นเหตุบัญญัติวินัยข้อนี้ไปด้วยเลย ทั้งๆที่ท่านก็มีเจตนาที่จะลบคำสบประมาทของเดียรถีย์ทั้งหลาย

 

ถ้าว่าอาบัติ
ทำไมไม่มีใครไปกล่าวหาว่าท่านอาบัติล่ะครับ
มหาเถรสมาคมก็มี

แล้วคุณเข้าใจวินัยของสงฆ์ดีแค่ไหน
ถึงได้กล่าวเช่นนี

ส่วนท่านที่อวดอุตริท่านก็รับกรรมของท่านไป
มันก็เรื่องของท่านนี่ครับ

 

อย่างไรนี้ผมยังไม่เชื่อนะว่าพระศาสนาจะอยู่ได้แค่ ๕๐๐๐ ปี....

เพราะตั้งแต่ศึกษามาจาก พุทธวัจน์ ผมไม่เคยเห็น.....

ผมเคยเห็นแต่พวกตำนานต่างๆ เช่น ตำนานพระเจ้าเลียบโลก...ซึ่งแต่งมาภายหลัง...และเชื่อว่า ที่กล่าวเช่นนั้น อาจได้รับอิทธิพล ของ อรรถกถา....

สรุปเลยว่า....ไม่เชื่อครับ....