ประเทศไทยจะเกิดอุบัติภัยอย่างที่ทำนายกันจริงๆหรือไม่

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย koymoo, 25 มกราคม 2005.

  1. วรเดช

    วรเดช เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    1,753
    ค่าพลัง:
    +6,146
    [​IMG]
    พ่อปลาบู่ แจงคำทำนายเด็กชายปลาบู่ บอกกันให้รู้ จะได้ไม่ประมาท
    รายการวู้ดดี้ เกิดมาคุย ออกอากาศ 8 มกราคม พูดคุยเรื่องคำทำนายเด็กชายปลาบู่ ที่เป็นทอล์ค ออฟ เดอะ ทาวน์ จากปากของ ลุงทองใบ คำสี พ่อของเด็กชายสุทัศน์ คำสี หรือเด็กชายปลาบู่ เกี่ยวกับเหตุการณ์ภัยธรรมชาติที่ว่าเขื่อนจะแตกในคืนวันปีใหม่ แต่ไม่มีอะไรเกิดขึ้นตามที่ทำนายเอาไว้
    นายทองใบ คำสี กล่าวว่า หลังช่วงปีใหม่ก็ยังมีคนมาหา เพื่อสอบถามเรื่องปลาบู่ ส่วนใหญ่จะถามเรื่องปลาบู่ เรื่องในพระไตรปิฎก เกี่ยวกับพระอชิตะ เพราะปลาบู่เล่าเรื่องพระอชิตะเรื่อยๆมาในวงศ์ของพระร่วง พระอู่ทอง มาชี้ตัวตนและบอกเวลาแผ่นดินไหว ตอนแรกเขาบอกระลึกชาติได้ มีตาทิพย์ หูทิพย์ รู้แต่ปลาบู่เป็นคนจำแม่น
    [​IMG]
    ตามคำบอกเล่าของคุณตาทองใบเล่าว่า เด็กชายปลาบู่เมื่อตอน 5 ขวบ บอกว่าจะตายภายใน 15 วัน และทำนายภัยพิบัติไว้หลายเหตุการณ์ ซึ่ง 5-6 ปีที่ผ่านมาจะเห็นว่า ปีพ.ศ.2552 มีเหตุเกิดขึ้นที่จีน ส่วนปี 2553 เกิดสึนามิที่ญี่ปุ่น ที่ญี่ปุ่นเกิดนั้น ผมไม่ปริปากพูดหรอก มีเครื่องบินชนตึก มีคลื่นยักษ์ซัดเข้ามา ตอนแรกก็นึกว่าเล่าเรื่องอดีตให้ฟัง แต่จริงๆแล้วเขาเล่าอนาคต
    วันที่ 31 ที่ผ่านมา มีคนเอาไปพูดในเว็บ ผมบอกให้เอาเหล็กรางรถไฟที่ไม่ใช้แล้วขึ้นไปห่อหุ้มสันเขื่อนคอนกรีต เขาบอกว่าเป็นไปไม่ได้เอาไปค้ำยัน พูดแบบนี้เป็นไปไม่ได้ มันน่าด่า ผมไม่ได้พูดค้ำยัน ผมให้เอาไปห้อหุ้มเพื่อทำเป็นขอบ สมมติตัวเขื่อนเป็นเข่ง ทำขอบ จะแตกจะร้าวก็ช่างมัน มันไม่หลุด
    [​IMG]
    เวลาที่ปลาบู่พูดคือ ยามสอง คืนปีใหม่ แผ่นดินไหว คนไทยเมา แต่อันนี้ไม่ได้ถามว่าปีใหม่ไหน เจตนาก็คือ ต้องการบอกบุญให้กับคนที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวให้ได้รู้ จะได้ไม่ประมาท เตรียมตัว 3 ชั่วโมงเท่านั้น ถ้าไม่เกิดก็ดี กลับบ้านนอน แต่ถ้ามันเกิดเราก็มีทรัพย์สินอยู่ในตัว ตัวเองไม่ตาย ผมสงสารก็เลยเสี่ยงบอก ออกมาเตือน ผมหวังบุญหวังกุศล และไม่ได้ต้องการให้ใครมาเกลียดผม แก่แล้ว 73 ปี ไม่รู้จะอยากดังไปทำไม
    เวลานั้นไม่เชื่อในสิ่งที่เขาเล่า แต่พอครบกำหนดภายใน 15 วัน เด็กชายปลาบู่ก็เสียชีวิต ตามที่เขาบอกไว้ จากอาการป่วยเนื้องอกในสมอง โดยลุงทองใบเริ่มที่จะเชื่อ และจดบันทึกคำทำนาย ภัยพิบัติพร้อมกับทำตามที่ลูกชายสั่งเสียว่า เด็กชายปลาบู่จะกลับมาเกิดเป็นเณร และจะธุดงค์มาที่แห่งนี้ ขอให้พ่อปลูกต้นโพธิ์หลายร้อยต้นล้อมเอาไว้ กว่า30ปีแล้ว บ้านใกล้เรือนเคียงต่างพาเรียกเขาว่า “ตาใบบ้า”
    “มันก็จริงอย่างที่เขาว่า คนดีอะไรจะปลูกต้นโพธิ์ มันกินไม่ได้ เรื่องปลาบู่ยังมีอีกเยอะแยะ ให้เล่าก็เล่าไม่จบ ต่อไปประเทศไทยเขื่อนทุกเขื่อนมีอุโมงค์แน่ๆ น้ำทิ้งทะเล ฤดูแล้งจะไม่มี น้ำท่วมก็ไม่มี มีพืชไร่ รวย มีต้นน้ำมันด้วย ศาลาบ้านผมปลูกหมดเป็นแสน “
    37 ปีที่ผ่านมา คนไม่รู้ คนไม่เคยฟังก็พูดว่า อาจมีการเติมแต่งบิดเบือน ผมจะบอกให้กับคนคุ้นเคยกัน ด็อกเตอร์ปชาก็รู้ แต่ก็เพิ่งจะรู้เมื่อไม่นานมานี้ ปัจจุบันยังรอให้ลูกชายกลับมาเกิด และเชื่อว่าปีนี้เด็กชายปลาบู่จะกลับมาหาที่สวนศรีมหาโพธิ์ เลยจัดกฐินอุทิศส่วนกุศลให้กับเด็กชายปลาบู่ นั่นจึงเป็นการตั้งข้อสังเกตว่าอาจเป็นการเรี่ยไรเงิน ทำกฐินครั้งใหญ่หรือไม่…
    [​IMG]
    ด็อกเตอร์ปชา ภาณุบุญ อดีตข้าราชการกรมวิชาการการเกษตร ผู้เผยแพร่เรื่องนี้ และส่งข้อมูลไปตามสำนักข่าวต่างๆ กล่าวว่า ลูกสาวได้เปิดคลิปยูทูปเด็กชายปลาบู่ ซึ่งเด็กชายปลาบู่ได้ผูกเรื่องไว้ ที่ผ่านมา ได้ดู ได้รู้ ได้เห็น เจตนาของเรา เรากันไว้ดีกว่าแก้
    [​IMG]
    ด้านอาจารย์เก่งกาจ จงใจพระ โหรการเมืองชื่อดังกล่าวว่า เด็กตายมา 30กว่าปีแล้ว เอาคำพยากรณ์มาจากไหน ตัวตนอาจจะมีจริง แต่การพยากรณ์ต้องมีเหตุผล หลักฐานอ้างอิงได้เช่น เป็นหนังสือที่เคยพยากรณ์มาแล้ว สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นการสร้างกระแส ขายข่าวได้ มันขึ้นอยู่เหตุและผล
    เรื่องอนาคตคำทำนาย จะจริงหรือไม่ ไม่มีตัวตน ฟ้องไม่ได้ จับไม่ได้ แต่หากคำทำนายเป็นจริง ผมจะออกจากวงการ จะไปอยู่ป่า เพราะสังคมมันพูดไม่รู้เรื่องแล้ว
    อยากบอกพ่อเด็กชายปลาบู่ว่า อะไรก็แล้วแต่ไม่มีหลักฐาน อย่าพูด สิ่งที่พูดนั้นทำให้คนอื่นเดือดร้อนเป็นอันตรายต่อบ้านเมือง ควรจะต้องกลั่นกรองว่า พูดแล้วเขาจะเสียหายไหม เรื่องเขื่อนแตกมันจะแตกง่ายๆได้อย่างไร เขาคำนวณมาอย่างดี
    [​IMG]
    ด็อกเตอร์ปัญญา จารุศิริ หัวหน้าหน่วยวิจัยธรณีวิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ให้ความเห็นว่า ตนทำงานเกี่ยวกับแผ่นดินไหวมากว่า 10 ปี เราต้องเปลี่ยนวิกฤติให้เป็นโอกาส ใช้คำพูดเด็กชายปลาบู่ให้เป็นประโยชน์ ถ้าเหตุการณ์เกิดขึ้นจริงที่นักธรณีวิทยาคิดว่า ในอนาคตประเทศไทยคงต้องประสบกับแผ่นดินไหวแน่ๆ เป็นผลมาจากการเลื่อนตัวของรอยเลื่อนมีพลัง เราจะต้องเตรียมพร้อม ภาครัฐกับภาคเอกชน เมื่อภาครัฐรู้อยู่แล้ว ว่าต้องเกิดแน่ๆแต่ไม่รู้เมื่อไหร่ จะต้องเตรียมให้พร้อม
    [​IMG]
    “เราได้แง่คิดว่าทำไมเราไม่เอาคำพูดพ่อเด็กชายปลาบู่มาสร้างประโยชน์ ต้องไม่คิดว่าว่าเป็นการสร้างผลประโยชน์ แต่เขามีอะไรบางอย่างฝังอยู่ในใจแต่ไม่สามารถจะบอกออกมาได้ด้วยคำพูดที่พูดแล้วคนอื่นไม่ฟัง “
    รอยเลื่อนเขื่อนภูมิพล ต้องบอกว่าเขื่อนภูมิพลอยู่ใกล้กับรอยเลื่อนแม่ปิง แต่ไม่ได้อยู่ในรอยเลื่อน ซึ่งเป็นรอยเลื่อนมีพลัง โอกาสเกิดแตกนั้น มีความเป็นได้ว่าอาจเกิดแผ่นดินไหวใหญ่ แต่จะเขื่อนแตกไหมนั้น แผ่นดินไหวมันไม่ได้เกิดนานเหมือนญี่ปุ่น จีน ไต้หวัน ด็อกเตอร์ปัญญากล่าว
    อย่างไรก็ตาม คำทำนาย และพยากรณ์ทั้งหมด เป็นความเชื่อส่วนบุคคล ซึ่งจะต้องใช้วิจารณญาณในการรับข้อมูลข่าวสาร รู้ไว้เพื่อป้องกัน แต่ขณะเดียวกัน ก็ไม่ควรงมงายจนเสียสติ
    สิ่งที่จะพิสูจน์คำทำนาย ก็คือ อนาคต จะเกิดหรือๆไม่เกิดปัจจุบันไม่มีใครชี้ชัด ฟันธงได้ ตราบใดที่ยังไม่มีเครื่องย้อนเวลา หรือ ข้ามอนาคต ต้องอยู่กับปัจจุบันอย่างมีเหตุและผล และมีความสุขกับสิ่งที่เป็นอยู่

    [​IMG]



    ส่งต่อว่อนเน็ต!! คำทำนายเด็กชายปลาบู่ ถึงภัยพิบัติใหญ่ในไทย ปี 2555
    โดยข้อความในคลิประบุว่าเป็นสารคดีตามรอยพระศรีอาริยเมตไตรยโพธิสัตว์ ผ่านเด็กชายระลึกชาติได้ชื่อปลาบู่ (สุทัศน์ คำสี) โดย เด็กชายปลาบู่ เป็นเด็กที่เฉลียวฉลาด รูปร่างหน้าตาดี ใครเห็นใครก็รัก ตอนอายุได้ประมาณ 3-4 ขวบ เริ่มระลึกชาติได้ มีตาทิพย์ หูทิพย์ …
    [อ่านเพิ่มเติม]
    Mthai News
     
  2. วรเดช

    วรเดช เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    1,753
    ค่าพลัง:
    +6,146
    <TABLE border=0 width=670 bgColor=#ffffff><TBODY><TR bgColor=#ffcae3><TD>เหนือเตรียมรับฝน-ลมหนาวระลอกสอง </TD></TR><TR><TD> </TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE border=0 cellSpacing=2 cellPadding=2 width=668><TBODY><TR><TD class=A2 vAlign=top><TABLE border=0 cellSpacing=2 cellPadding=2 bgColor=#f5f5f5 align=center><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR><TR><TD align=middle></TD></TR></TBODY></TABLE>
    นายวรพจน์ คุณาวิวัฒนางกูร เจ้าหน้าที่ส่วนพยากรณ์อากาศ ศูนย์อุตุนิยมวิทยาภาคเหนือ ระบุว่า ช่วงต้นสัปดาห์ที่ผ่านมาสภาพอากาศในภาคเหนือเริ่มอุ่นขึ้นเนื่องจากมวลอากาศเย็นเริ่มอ่อนกำลังลง

    แต่ กลางสัปดาห์นี้จะมีคลื่นกระแสลมพัดพาเอาฝนมาจากประเทศพม่า ส่งผลให้มีฝนกระจายในภาคเหนือตอน บนโดยเฉพาะจังหวัด เชียงใหม่ เชียงราย พะเยา น่าน และหลังจากหมดฝนแล้วอุณหภูมิในภาคเหนือจะลดลงอีก 2-4 องศาเซลเซียส ส่งผลให้อุณหภูมิพื้นราบในภาคเหนือตอนบนอยู่ที่ประมาณ 14-15 องศาเซลเซียส ขณะที่บนยอดดอยอากาศจะหนาวเย็นลงอีกและจะยังมีปรากฏการณ์น้ำค้างหรือเหมยขาบแข็งเกิดขึ้นอีก ระยะหนึ่ง

    นายคมสัน สุวรรณอำพา ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดเชียงใหม่ เปิดเผยว่า แม้สภาพออากาศจะเริ่มอุ่นขึ้นในระยะนี้แต่ประชาชนที่อาศัยบนพื้นที่สูงยังคงได้รับความเดือดร้อนจากสภาพอากาศที่หนาวเย็นและยังต้องการผ้าห่มเครื่องกันหนาวจำนวนมาก โดยเฉพาะในอำเภออมก๋อยที่ประชาชนกว่าร้อยละ 90 อาศัยอยู่บนดอยสูง

    สำหรับจังหวัดเชียงใหม่ซึ่งได้ประกาศให้เป็นพื้นที่ภัยหนาวครบ 25 อำเภอ ล่าสุดมีการแจกจ่ายผ้าห่มไปแล้ว 4 หมื่นผืน จากจำนวนผู้ประสบภัยที่ต้องการผ้าห่มจำนวน 3.6 แสนคน ล่าสุด ปภ.เชียงใหม่ ได้ของบประมาณเพิ่มเติมไปยังกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเพื่อจัดซื้อผ้าห่มแจกจ่ายผู้ประสบภัยเพิ่มเติมให้ได้มากที่สุด



    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE border=0 cellSpacing=2 cellPadding=2 width=668><TBODY><TR><TD class=A2 vAlign=top><TABLE border=0 cellSpacing=2 cellPadding=2 bgColor=#f5f5f5 align=center><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR><TR><TD align=middle></TD></TR></TBODY></TABLE>
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  3. พนมกุเลน

    พนมกุเลน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,455
    ค่าพลัง:
    +7,618
    <IFRAME style="POSITION: absolute; WIDTH: 10px; HEIGHT: 10px; TOP: -9999em" id=twttrHubFrame tabIndex=0 src="http://platform.twitter.com/widgets/hub.1324331373.html" frameBorder=0 allowTransparency scrolling=no></IFRAME><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%"><TBODY><TR><TD class=headline vAlign=baseline align=left>ตลิ่งริมเจ้าพระยา ที่บางบาล พังอีกแล้ว </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD bgColor=#cccccc height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD height=40><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=4><TBODY><TR><TD class=body vAlign=middle align=left>โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=middle align=left>9 มกราคม 2555 </TD><TD vAlign=middle align=left>



    <TD></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD></TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%"><TBODY><TR><TD vAlign=middle align=center>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%"><TBODY><TR><TD vAlign=top align=center><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD vAlign=top align=center><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD vAlign=middle align=center>
    <TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=center><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0><TBODY><TR><TD height=1 vAlign=bottom width=1 align=right>[​IMG]</TD><TD height=1 vAlign=bottom background=/images/linedot_hori.gif align=center>[​IMG]</TD><TD height=1 vAlign=bottom width=1 align=left>[​IMG]</TD></TR><TR><TD vAlign=middle background=/images/linedot_vert.gif width=1 align=center>[​IMG]</TD><TD><TABLE border=0 cellSpacing=5 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD vAlign=middle align=center>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD vAlign=middle background=/images/linedot_vert.gif width=1 align=center>[​IMG]</TD></TR><TR><TD height=1 vAlign=top width=1 align=right>[​IMG]</TD><TD height=1 vAlign=top background=/images/linedot_hori.gif align=center>[​IMG]</TD><TD height=1 vAlign=top width=1 align=left>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
    </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD height=12 vAlign=bottom align=left>[​IMG]</TD></TR><TR><TD bgColor=#cccccc><TABLE border=0 cellSpacing=1 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD bgColor=#ffffff vAlign=top align=center><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD vAlign=top width=160 align=center><TABLE border=0 cellSpacing=4 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD vAlign=top align=center><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD vAlign=top align=center><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=center>คลิกที่ภาพเพื่อดูขนาดใหญ่ขึ้น</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD vAlign=middle align=center>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD vAlign=middle align=center>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD height=1 vAlign=middle width=165 align=center>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD background=/images/linedot_vert3.gif width=4>[​IMG]</TD><TD vAlign=top align=center><TABLE border=0 cellSpacing=7 width="100%"><TBODY><TR><TD vAlign=top align=center><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>พระนครศรีอยุยา - ตลิ่งริมเจ้าพระยาที่อำเภอบางบาล กรุงเก่า พังอีกแล้ว คราวนี้ถึงคิวหมู่ 4 ชาวบ้านขนของหนีหวั่นบ้านพัง

    วันนี้ (9 ม.ค.55) ผู้สื่อข่าวได้รับแจ้งว่า มีบ้านเรือนประชาชนที่ปลูกอาศัยอยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา บริเวณหมู่ 4 ต.บ้านกุ่ม อ.บางบาล จ.พระนครศรีอยุธยา ตลิ่งถูกน้ำกัดเซาะพังทลาย

    ชาวบ้านกลัวบ้านพังได้ขนของหนีออกจากบ้าน จึงเดินทางไปตรวจสอบพบนายมาลัย พวงมาลัย อายุ 73 ปีเจ้าของบ้านเลขที่ 33/1 พร้อมชาวบ้านวัยฉกรรจ์ 6 คนกำลังตอกเสาเข็มริมตลิ่ง

    และชาวบ้านคนเฒ่าคนแก่กำลังช่วยกรอกทรายใส่กระสอบขนไปทำเขื่อนป้องกันก่อนตลิ่งพังเข้ามาเหลืออีกเพียง 50 ซ.ม.จะถึงเสาบ้านก่อนบ้านจะพังลงไปในแม่น้ำ

    นายมาลัย พวงมาลัย บอกว่า ที่บ้านอยู่ด้วยกัน 3 คนมีลูกชายและหลานหลังน้ำลดน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยาลดต่ำกว่าตลิ่ง 4-6 เมตร ทำให้ชาวบ้านบริเวณหมู่ 7 และหมู่ 8 ใกล้วัดจุฬามณีตลิ่งพังบ้านทรุด จมน้ำทั้งหลังและต้องเรื้อบ้านหนีไปแล้วเป็นจำนวนมาก

    แต่ที่หมู่ 4 หน้าบ้านตนตลิ่งได้เริ่มพังอย่างรุนแรงเมื่อเย็นวันเสาร์-วันอาทิตย์เหลืออีก 50 ซ.ม.จะถึงเสาบ้านตนและลุกชายพร้อมเพื่อนบ้านได้ช่วยกันขนของลงจากบ้านเตรียมหนีไปอาศัยอยู่กับญาติแล้ว

    แต่ใจจริงแล้วไม่อยากทิ้งบ้าน จึงได้ไปขอเสาเข็มไม้จากทางเทศบาล 20 ต้นแล้วชาวบ้านได้มาช่วยกันตอกเสาเข็มเพื่อป้องกันไว้ชั่วคราวก่อน และคอยรอดูสถานการณ์ทั้งวันทั้งคืน

    ถ้าตลิ่งพังติดเสาบ้านก็ต้องขนของหนีและรื้อถอนบ้านเหมือนกัน ปัญหาที่ตลิ่งพังส่วนใหญ่มาจากเรือบรรทุกสินค้าขนาดใหญ่เวลาแล่นมาชอบชิดใกล้ตลิ่งคลื่นกระแทกตลิ่งส่วนใหญ่เป็นดินปนทรายและกัดเซาะด้านล่างตลิ่งพังเป็นแนวยาวตั้งแต่หมู่ 1-9

    จึงอยากให้ทางการและผู้ที่รับผิดชอบ ช่วยเร่งหาทางแก้ไขและนำทุ่นมาวางให้เรือแล่นห่างตลิ่งก่อนชีวิตและทรัพย์สินของชาวบ้านจะพังลงแม่น้ำ



    <TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%"><TBODY><TR><TD class=headline vAlign=baseline align=left>10 โรงงาน จ่อตั้งฐานการผลิตที่โคราช เลี่ยงพื้นที่เสี่ยงน้ำท่วม</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD bgColor=#cccccc height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD height=40><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=4><TBODY><TR><TD class=body vAlign=middle align=left>โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=middle align=left>8 มกราคม 2555 </TD><TD vAlign=middle align=left>



    <TD></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD></TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%"><TBODY><TR><TD vAlign=middle align=center>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%"><TBODY><TR><TD class=body vAlign=top align=center><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>น.พ.วรรณรัตน์ ชาญนุกูล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวถึงผลกระทบจากเหตุการณ์อุทกภัยในภาคใต้ ว่า จากการสำรวจมีโรงงานอุตสาหกรรม 8 แห่ง ใน จ.สงขลา ที่เสียหาย โดยมูลค่าความเสียหายประเมินไว้ที่ 100 ล้านบาท

    ซึ่งภาครัฐจะเร่งให้การช่วยเหลือ ด้วยการปล่อยสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำแก่ผู้พัฒนานิคมอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบ เพื่อนำไปสร้างระบบป้องกันแก้ไขปัญหาน้ำท่วมในอนาคต รวมทั้งการให้สิทธิพิเศษ ในการลดหย่อนและยกเว้นภาษีในรูปแบบต่างๆ

    ส่วนความเป็นไปได้ที่โรงงานหลายแห่งตัดสินใจย้ายฐานการผลิต หรือขยายฐานการผลิตมาในพื้นที่ภาคอีสาน แทนพื้นที่อื่นที่เกิดเหตุการณ์น้ำท่วมนั้น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวว่า ขณะนี้ มีโรงงานต่างประเทศ 10 แห่ง ที่เตรียมเข้ามาตั้งฐานการผลิตในพื้นที่ จ.นครราชสีมา เพราะอยู่ใกล้กรุงเทพมหานคร และมีการขยายพื้นที่นิคมอุตสาหกรรม โครงการนวนคร ราชสีมา

    เพื่อรองรับภาคอุตสาหกรรมที่ต้องการมาลงทุนใน จ.นครราชสีมา จึงต้องการแรงงานเพิ่มขึ้นในปีนี้ถึง 10,000 อัตรา หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะเร่งประชาสัมพันธ์เชิงรุก เพื่อดึงดูดแรงงาน รวมทั้งนักศึกษาที่จบจากวิทยาลัยอาชีวะ

    เพื่อเป็นการช่วยแก้ไขปัญหาการขาดแคลนแรงงาน และภาครัฐยังพร้อมนำเข้าแรงงานจากประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อรองรับความต้องการของบรรดาโรงงานกว่า 2,000 แห่งในพื้นที่ ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>

    <TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%"><TBODY><TR><TD class=headline vAlign=baseline align=left>“เจริญ” แย้ม สร้างรัฐสภาใหม่สระบุรีหนีน้ำท่วม รองรับรถไฟความเร็วสูง กทม. - โคราช </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD bgColor=#cccccc height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD height=40><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=4><TBODY><TR><TD class=body vAlign=middle align=left>โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=middle align=left>9 มกราคม 2555 </TD><TD vAlign=middle align=left>

    <TD></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD></TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%"><TBODY><TR><TD vAlign=middle align=center>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%"><TBODY><TR><TD vAlign=top align=center><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD height=12 vAlign=bottom align=left>[​IMG]</TD></TR><TR><TD bgColor=#cccccc><TABLE border=0 cellSpacing=1 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD bgColor=#ffffff vAlign=top align=center><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD vAlign=top width=160 align=center><TABLE border=0 cellSpacing=4 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD vAlign=top align=center><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD vAlign=top align=center><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=center>คลิกที่ภาพเพื่อดูขนาดใหญ่ขึ้น</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD vAlign=middle align=center>[​IMG]</TD></TR><TR><TD vAlign=baseline align=center>นายเจริญ จรรย์โกมล รองประธานสภาผู้แทนราษฎร (แฟ้มภาพ)</TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD height=1 vAlign=middle width=165 align=center>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD background=/images/linedot_vert3.gif width=4>[​IMG]</TD><TD vAlign=top align=center><TABLE border=0 cellSpacing=7 width="100%"><TBODY><TR><TD vAlign=top align=center><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>รองประธานสภาฯ อ้าง กก.เร่งรัดสร้างสภาใหม่ เห็นพ้องย้ายจากเกียกกาย ไปที่อื่น

    แย้ม ไปสระบุรี ใช้ที่ราชพัสดุ น้ำไม่ท่วม หวังใช้เชื่อมรถไฟความเร็วสูง กทม.-โคราช รอแค่ “สมศักดิ์” เคาะย้ายหรือไม่

    ยัน ที่จ่ายเวนคืนไปแล้ว ก็เป็นที่รัฐสภาใช้สอยต่อได้

    เชื่อ เสร็จทันปี 58 แถมใช้งบน้อยกว่าเดิม

    หวั่น เสียค่าโง่รอบสอง หากสร้างไม่ทันกำหนด

    วันนี้ (9 ม.ค.) ที่รัฐสภา นายเจริญ จรรย์โกมล รองประธานสภาผู้แทนราษฎร เปิดเผยก่อนเข้าร่วมประชุมคณะกรรมการเร่งรัดและติดตามโครงการก่อสร้างอาคารรัฐสภาแห่งใหม่

    ถึงกระแสข่าวการสำรวจสถานที่เพื่อก่อสร้างอาคารรัฐสภาใหม่แทนพื้นที่ย่านเกียกกายว่า ที่ผ่านมาคณะกรรมการฯ เห็นพ้องกันว่า ควรย้ายสถานที่ก่อสร้างรัฐสภาแห่งใหม่จากย่านเกียกกายไปอยู่สถานที่อื่นๆ

    ซึ่งที่เล็งไว้ตอนนี้อาจจะเป็นที่ กทม. หรือ จ.สระบุรี โดยใช้พื้นที่อย่างน้อย 1,000 ไร่ และมีเงื่อนไขว่าสถานที่ใหม่ต้องไม่มีการซื้อที่ดิน เพื่อป้องกันข้อครหา ดังนั้นจะใช้สถานที่ของที่ราชพัสดุเท่านั้น และต้องเป็นพื้นที่น้ำไม่ท่วม

    นายเจริญกล่าวต่อว่า ทั้งนี้เหตุผลหนึ่งที่จะใช้พื้นที่ จ.สระบุรี เนื่องจากรัฐบาลจะมีโครงการก่อสร้างรถไฟความเร็วสูง กทม.-นครราชสีมา หากก่อสร้างขึ้นมาจะใช้เวลาเดินทางมายังรัฐสภาใหม่แค่ 15 นาที ซึ่งสะดวกต่อการเดินทาง

    อย่างไรก็ตาม ขณะนี้รอเพียงความเห็นชอบจากนายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ประธานสภาผู้แทนราษฎร ว่าจะให้เปลี่ยนสถานที่ก่อสร้างรัฐสภาใหม่หรือไม่ ส่วนสาเหตุที่ควรย้ายสถานที่ก่อสร้างเนื่องจากพื้นที่เดิมที่ย่านเกียกกายมีปัญหาเรื่องน้ำท่วม แม้บริษัทก่อสร้างยืนยันว่ามีการติดตั้งระบบป้องกันน้ำท่วมอย่างแน่นหนา

    แต่ต้องไม่ลืมว่าพื้นที่ข้างเคียงประสบปัญหาน้ำท่วมก็ไม่สามารถทำงานได้อยู่ดี หากยังใช้พื้นที่เดิมต่อไปก็จะทำงานท่ามกลางความเสี่ยงด้านความปลอดภัย เหตุใดจึงไม่ไปหาพื้นที่อื่น เพราะในรูปแบบเดิมพื้นที่ชั้นล่างจะเป็นระบบไฟฟ้า และโรงยิม หากเกิดน้ำท่วมขึ้นจะมีปัญหาการทำงานทันที

    “ส่วนที่มีการจ่ายเงินค่าเวนคืนล่วงหน้าที่ดินไปบางส่วนแล้วก็ไม่เป็นไร เพราะพื้นที่ดังกล่าวยังเป็นของรัฐสภา ที่สามารถนำไปใช้ประโยชน์ด้านอื่นได้

    แต่หากจะทำงานอยู่บนความเสี่ยง ควรย้ายไปอยู่ที่ใหม่ดีกว่า เพราะสามารถสร้างเสร็จได้ทันตามกำหนดเดิม คือภายใน 900 วัน หรือภายในปี 2558

    แต่หากยังใช้พื้นที่เดิมไม่มีทางสร้างเสร็จทันปี 2558 เพราะขณะนี้ทั้งโรงเรียน และหน่วยงานราชการยังไม่มีใครย้ายออกจากพื้นที่เลย การก่อสร้างต้องช้าออกไปอย่างน้อย 1 ปี

    หากยังใช้พื้นที่เดิมต้องเสียค่าโง่รอบสองแน่นอน

    เพราะขณะนี้บริษัทที่ปรึกษาการก่อสร้างเริ่มทำหนังสือมายังรัฐสภา เพื่อขออนุมัติงบประมาณเพิ่มเติม เนื่องจากยังไม่สามารถก่อสร้างได้ตามกำหนดเวลา” นายเจริญกล่าว

    เมื่อถามว่า ตามที่ได้มีการวางศิลาฤกษ์ก่อสร้างอาคารรัฐสภาใหม่แล้วหากย้ายจะเป็นการไม่เหมาะสมหรือไม่ นายเจริญกล่าวว่า เรื่องนี้ไม่เกี่ยว เราต้องพูดกันด้วยเหตุและผล

    ขณะที่มีการออกแบบก่อสร้างเราไม่ได้เห็นว่าจะมีเหตุการณ์เช่นนี้แต่เมื่อเกิดน้ำท่วมขึ้นถามว่าใครจะรับผิดชอบ ทั้งนี้ คณะกรรมการฯ ได้รายงานความเห็นปรึกษาต่อประธานรัฐสภามาโดยตลอด

    โดยคณะกรรมการฯ เห็นว่าหากต้องการได้พื้นที่สร้างอาคารรัฐสภาได้เร็วขึ้นน่าจะย้ายไปสร้างที่ใหม่ โดยแบบในการการก่อสร้างจะใช้แบบเดิม ซึ่งน่าจะใช้งบประมาณในการก่อสร้างน้อยกว่าสถานที่ปัจจุบันด้วยซ้ำ

    เมื่อถามว่าการเปลี่ยนสถานที่ไปมาจะไม่เสียงบประมาณโดยใช่เหตุหรือไม่ นายเจริญกล่าวว่า ตอนนี้ต้องถือว่ายังไม่ได้ทำอะไร ถึงทำไปแล้วเราก็ถือว่าไปสร้างโรงเรียนใหม่

    ถ้าเขาย้ายไปเอาก็เอาพื้นที่นี้ไปใช้ประโยชน์อย่างอื่นได้ ขณะนี้ยังไม่เสียหายอะไร ต่อจากนี้คงจะหารือกับประธานรัฐสภาว่าจะเอาที่เดิมหรือไม่ ซึ่งถ้าเป็นที่เดิมจะล่าช้าปี 2558 ก็ไม่เสร็จ

    การจะขอให้ขยายเวลาก่อสร้างเป็น 1,200 วัน เราจะไม่เอาอย่างนั้น ถ้าเราปล่อยให้ดำเนินการไปแล้วมีปัญหาสร้างไม่ได้อาจเป็นการเสียค่าโง่เหมือนค่าโง่ทางด่วน

    อย่างไรก็ตาม รายงานว่าก่อนหน้านี้ได้มีการประชุมคณะกรรมการเร่งรัดและติดตามโครงการก่อสร้างอาคารรัฐสภาแห่งใหม่ โดยมีนายเจริญในฐานะประธานคณะกรรมการฯ เป็นประธานการประชุม

    โดยการประชุมเพื่อฟังการยืนยันจากบริษัทที่ปรึกษาถึงระบบป้องกันน้ำท่วมและการรักษาความปลอดภัย ซึ่งแม้บริษัทผู้ออกและที่ปรึกษาจะยืนยันว่าไม่มีผลกระทบ แต่นายเจริญเห็นว่าเพื่อไม่ให้เกิดความเสียหายจะต้องดูแลด้วยความรอบคอบ

    อีกทั้งยังเป็นการประหยัดงบประมาณการสร้างระบบป้องกันน้ำท่วมอีกด้วยหากเปลี่ยนสถานที่ก่อสร้าง

    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  4. izeberry

    izeberry เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2010
    โพสต์:
    340
    ค่าพลัง:
    +1,482



    .................พิจารณานะ ครับ......
     
  5. รพินทร์นาถ

    รพินทร์นาถ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    351
    ค่าพลัง:
    +844

    อ. เก่งกาจ จงใจพระ แค่อ้าปากก็ ออกจากวงการได้แล้ว เพราะตัวคุณก็ใช้การทำนายอนาคต ที่เป็นเพียงสถิติ ลืมตัวแล้วเหรอ ส่วนเด็กชายปลาบู่เรื่องเค้าทำนายมันอยู่ในวงจรคนบ้าๆอย่างผม ผมเชื่อเรื่องผมไม่เกิดก็ดีแล้วถ้าเกิด คุณจะมีโอกาศ ห...อ...น เหรอ
     
  6. พนมกุเลน

    พนมกุเลน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,455
    ค่าพลัง:
    +7,618
    [​IMG]

    ถาม – โลกกำลังจะมีภัยพิบัติครั้งใหญ่จริงหรือไม่?

    ตอบ - ตั้งแต่เกิดเหตุสึนามิถล่มหลายประเทศ ขบวนการพยากรณ์ก็กลับมาฮิตใหม่อีกครั้ง หลังจากซบเซาไปนาน ทั้งการไม่มาตามนัดของสงครามนิวเคลียร์ในปี ๑๙๙๙ และทั้งการลบแผนที่หลายๆประเทศ โดยเฉพาะประเทศที่มีหมู่เกาะซึ่งเสี่ยงต่อการจมน้ำทั้งหลาย

    ผมมองว่าขบวนการพยากรณ์ภัยพิบัติส่วนใหญ่คือการใช้ประโยชน์จากความกลัวของผู้คน คำทำนายมักหนีไม่พ้นแผ่นดินไหว น้ำท่วม ไฟไหม้ พายุซัด เพราะเป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้นบ่อยในระยะหลัง

    แต่เพื่อให้น่าสนใจ คำพยากรณ์ช่วงนี้จะออกแนวหายนะระดับล้างโลกที่น่าขนพองสยองเกล้า เช่นประเทศนั้นประเทศนี้จะหายวับไปกับตา อะไรทำนองนั้น

    นอกจากภัยทางธรรมชาติ ยังมีคำพยากรณ์เกี่ยวกับการแพร่ระบาดของโรค ซึ่งอันนี้ก็เป็นจริงและควรมองว่าน่าหวั่นวิตกกว่ากันเสียอีก เพราะมีข่าวไวรัสสายพันธุ์ใหม่ให้ได้ยินเป็นรายวัน

    ชนิดที่ต่อไปคนอาจไม่ประหลาดใจถ้ามีข่าวว่าอยู่ดีๆมีคนกลุ่มหนึ่งบนฟุตบาทลงไปชักดิ้นชักงอพราดๆเหมือนในหนังเขย่าขวัญ โดยทีมแพทย์ตรวจเบื้องต้นไม่ทราบว่าโดนเชื้อโรคสายพันธุ์ใดเล่นงาน

    เสียงลือเกี่ยวกับการเอาอาวุธนิวเคลียร์มาเป็นเครื่องมือข่มขู่กันระหว่างประเทศ ก็ทำให้เกิดการพยากรณ์อันน่าเชื่อถือได้อีก

    ว่าวันหนึ่งโลกคงไม่แคล้วต้องประสบกับโศกนาฏกรรมครั้งใหญ่สุด คนตายเรือนล้านทันทีจากอาวุธนิวเคลียร์ และอีกหลายล้านต้องตายแบบผ่อนส่งจากพิษกัมมันตภาพรังสี

    สรุปคือ ปัจจัยที่จะทำให้เกิดภัยพิบัติครั้งใหญ่นั้น มีอยู่จริง!

    อย่างไรก็ตามสิ่งที่มีอยู่จริงก็ไม่จำเป็นต้องแผลงฤทธิ์เสมอไป ทำนองเดียวกับที่เราเดินผ่านหมามีเขี้ยวเล็บทุกวัน มันมีสิทธิ์กัดเราเนื้อขาดได้ตอนทีเผลอ แต่ส่วนใหญ่ก็ไม่กัด ไม่มีอะไรเกิดขึ้น เราเดินผ่านไปสบายๆโดยไม่คิดอะไร

    จนกว่าจะมีข่าวหมาเป็นพิษสุนัขบ้า หรือได้ยินใครในตลาดเล่าให้ฟังว่าหมู่นี้หมาชอบกัดคนเดินเท้าประจำ คุณถึงค่อยเกิดอาการเหลียวซ้ายแลขวาลอกแลก แตกต่างไปจากเดิม

    ลองหลบมุมจากเสียงลือเสียงเล่าอ้าง แล้วมาดูกันในมุมมองของกรรมวิบากกันบ้างนะครับ ผมจะไม่พูดแบบหมอดู คือไม่ฟันธงลงไปว่าอะไรจะเกิดขึ้นที่ไหน เมื่อไหร่ ตอนดาวทำมุมอย่างไร

    แต่จะลองวาดภาพให้คุณเห็นอย่างชัดเจน ว่าตามหลักแล้ววิบากกรรมจะเล่นงานคนเรือนล้านพร้อมกันได้เพราะมีเหตุปัจจัยดังนี้

    ๑) มีสัตว์ต้องตาย ‘พร้อมกัน’ นับอสงไขย คืออย่าไปคิดเฉพาะมนุษย์ซึ่งเป็นเผ่าพันธุ์ที่กำลังเสวยบุญขั้นสูงสุด แต่ต้องคิดถึงสัตว์น้อยใหญ่อีกไม่รู้กี่แสนล้านตัวด้วย

    เพราะสมมุติว่าคนตายเพียงหนึ่งล้าน แปลว่าต้องกินอาณาบริเวณกว้างไกลไม่ใช่เล่นๆ อาจจะทั้งจังหวัดเล็กๆ

    ลองคิดดูสิครับว่าหมาแมว นกหนู มดปลวก และอะไรจิปาถะอื่นๆจะมีอยู่ประมาณไหนในหนึ่งจังหวัด ใช้ตัวเลขมั่วๆว่า ‘นับไม่ถ้วน’ ไปพลางๆดีกว่า

    ๒) วิบากกรรมที่ทำให้ตายกะทันหันนั้น ควรจะเป็นประเภทตัดรอนภาวะดีๆ เปลี่ยนเอาภาวะร้ายๆมาแทนที่แบบปุบปับฉับพลัน ไม่ให้ทันได้ตั้งเนื้อตั้งตัว พูดง่ายๆว่าต้องตกต่ำลงจากสภาพเคยอยู่ดีมีสุขในสภาพเนื้อตัวแห้งสะอาดนุ่มนิ่มแบบมนุษย์ไปเป็นอื่นที่ลำบากกว่ากัน

    ทั้งนี้ก็เพราะคนและสัตว์ส่วนใหญ่ไม่ได้เตรียมใจตายไว้ล่วงหน้า เมื่อไม่ได้เตรียมก็แปลว่าใช้ชีวิตตามสบาย ซึ่งตามสบายของคนส่วนใหญ่ก็ไม่มีอะไรมากหรอกครับ ถ้าไม่คิดเรื่องเซ็กซ์ก็คิดเรื่องล้างแค้น ถ้าไม่คิดเรื่องล้างแค้นก็คิดเรื่องความสำคัญของตัวตน ล้วนแต่เรื่องปรุงแต่งจิตให้เศร้าหมอง

    เมื่อตายขณะจิตเศร้าหมองย่อมเอียงลงต่ำ เว้นแต่จะสั่งสมบุญใหญ่ไว้ช้อนได้ทัน อีกประการหนึ่ง ภัยพิบัติระดับทำคนตายเป็นล้านนั้น มักมาในรูปแบบของความน่าสะพรึงกลัวไม่มีอะไรเกิน

    ความกลัวเป็นโทสะชนิดแรงกล้า ถ้าครอบงำจิตสุดท้ายไว้ทั้งดวงได้ ก็มักตรึงจิตให้ติดอยู่กับความกลัวนั้นๆ พูดง่ายๆเป็นเปรตที่ต้องวนเวียนอยู่กับภพแห่งความน่ากลัวไปอีกนาน จนกว่าจะมีบุญใดมาเลื่อนชั้นให้

    น้อยคนครับที่เปลี่ยนจากภาวะมนุษย์ด้วยอุบัติเหตุกะทันหันแล้วไปสูงขึ้น ต้องสั่งสม ต้องย้อมจิตย้อมใจเป็นกุศลกันจนอยู่ตัวพอประมาณ

    เอาแค่ปัจจัยที่เอื้อให้เกิดมหาหายนะสองข้อข้างต้น ก็คงพอจะพิจารณาได้ว่าการตายเกลี้ยงฉาดแบบเทกระจาดทิ้งทั้งหมดโลกในคราวเดียวนั้น เกิดขึ้นได้ยากเต็มทีครับ

    เพราะแปลว่าผู้มีบุญถึงขั้นได้เป็นมนุษย์กว่า ๖,๐๐๐ ล้านรายจะต้องตายร้ายพร้อมกันหมด อัตราความเป็นไปได้คงเป็นศูนย์ คือต่อให้มีดาวหางใหญ่เท่าดวงจันทร์จะวิ่งมาชนโลกแตกดับ ก็ต้องได้พระเอกขี่ม้าขาวมาช่วยเหมือนในหนังจนได้

    อย่างไรก็ตาม แม้โอกาสตายเกลี้ยงพร้อมกันจะเป็นศูนย์ แต่โอกาสทยอยตายเป็นกระจุกๆนั้นชักเริ่มมีมาก ทั้งนี้เพราะมีผู้สมควรตายแบบปัจจุบันทันด่วนเพิ่มขึ้นนั่นเอง

    ผู้สมควรตายแบบปัจจุบันทันด่วนนั้นคือใครบ้าง?

    ๑) ผู้ถึงวาระสุดท้าย อาจถึงเวลาตายด้วยกรรมเก่าจากอดีตชาติ หรือเพราะกรรมใหม่ในชีวิตปัจจุบัน บันดาลให้ต้องตกตาย ณ จุดของเวลานั้นๆ โดยไม่คำนึงถึงว่าจิตกำลังเป็นกุศลหรืออกุศลในขณะเผชิญความตาย

    โดยมากพวกนี้จะมีโอกาสตั้งสติระลึกถึงสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ซึ่งสิ่งมนุษย์มักยึดเหนี่ยวกันก็คือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ตามความเชื่อของตน แต่ถ้าระหว่างมีชีวิตไม่ทำสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้อยู่ในใจ ก็มักกังวลโน่นนี่สารพัด

    ๒) ผู้ถึงวาระสุดท้ายเช่นเดียวกับข้อแรก แต่กรรมในอดีตชาติหรือในชาติปัจจุบันบังคับไว้เลยว่าต้องตายด้วยจิตที่เป็นกุศลหรืออกุศล เช่นถ้าอดีตชาติเคยฆ่าผู้อื่นด้วยวิธีทำให้กลัวก่อนตาย

    หากชาติปัจจุบันไม่สร้างกระแสกรรมใหม่ไว้แรงพอจะส่งให้จิตมีกำลังและสว่างไสวพอ ก็จะต้องตายด้วยเหตุการณ์ที่ก่อให้เกิดความกลัวอย่างท่วมท้น แม้พยายามระลึกถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในนาทีสุดท้าย อย่างไรก็แก้ไม่ทัน

    ๓) ผู้มีบาปหนัก ถึงเวลาตายในจังหวะที่จิตกำลังดำมืด ขาดกำลังส่งให้ไปดี เขามีบาปหนักสมควรจะต้องชดใช้ ขนาดที่ว่าถ้ายังมีชีวิตต่อ ก็จะขาดเหตุปัจจัยในโลกนี้มาลงโทษอย่างสาสม อันนี้หาได้ยาก ที่เคยมีเป็นเยี่ยงอย่างแก่มนุษยชาติ

    ก็ได้แก่พระเทวทัตซึ่งทำร้ายพระพุทธองค์สารพัดวิธีแบบกะปลงพระชนม์ อยู่ๆพื้นแผ่นดินที่ยืนอยู่ก็แยกออกแล้วกลืนหายลงไปเฉยๆ

    ไม่ได้สูบฮวบเดียวจมมิด เพราะหลักฐานมีอยู่ว่าพระเทวทัตสำนึกผิดได้ตอนโดนดูดลงไปเหลือแค่ส่วนหัว ตำแหน่งที่พระเทวทัตโดนในปัจจุบันก็ยังมีปักป้ายแสดงที่อินเดีย ใครอยากดูก็ลองไปสัมผัสเอาเองว่ามีความน่าขนลุกอยู่จริงไหม

    ๔) ผู้มีบุญมาก ถึงเวลาตายในจังหวะที่จิตกำลังผ่องใส หรือมีกำลังของกุศลอุ้มชูมากพอจะประกันภพใหม่ว่าต้องดีกว่าที่กำลังเป็นอยู่ เขามีบุญญาธิการที่ควรได้เป็นผู้เสวยสุขมาก ขนาดที่ว่าถ้ายังมีชีวิตต่อ ก็ขาดเหตุปัจจัยที่จะตกรางวัลอย่างสมน้ำสมเนื้อกับบุญญาบารมีเสียแล้ว

    พวกนี้กุศลจะคุ้มตัว ต่อให้เกิดเรื่องน่ากลัวขนาดไหนก็ไม่ตระหนก จิตส่วนลึกมีความเชื่อมั่นกับกระแสกุศล อบอุ่นใจมากพอ ตัวอย่างที่เคยเกิดขึ้นคือหญิงชาวนาคนหนึ่ง ตื่นเช้าใส่บาตรพระอรหันต์ซึ่งเพิ่งออกจากนิโรธสมาบัติ

    ซึ่งผลกรรมด้านดีจะแรงมาก ต้องเห็นผลใน ๗ วัน แต่ด้วยวิถีชีวิตของนางไม่มีปัจจัยในโลกสนองตอบได้ไหว เลยตายแบบปัจจุบันทันด่วนด้วยสัตว์ร้าย ไปเสวยสวรรค์ระหว่างทางทำบุญนั่นเอง

    ปัจจุบันข่าวทัวร์บุญที่รถเทกระจาดก็มีให้เห็นบ่อยจนบางคนตั้งข้อสังเกตนะครับ อย่าตีความว่าทำบุญแล้วตายหมายถึงทำบุญแล้วได้อัปมงคลเป็นอันขาด

    ขอยกตัวอย่างเหตุการณ์สึนามิที่ผ่านมา คนมักถามกันว่าผู้เคราะห์ร้ายเคยทำกรรมใดร่วมกันมาจึงร่วมตายเกือบพร้อมเพรียงอย่างนั้นถึงสามแสนคน
    อันนี้ขอให้ทราบนะครับ

    การตายหมู่ไม่ใช่เครื่องหมายบอกเสมอไปว่านั่นเป็นวิบากกรรมที่พวกเขาทำมาร่วมกัน ขอให้สังเกตว่ากรณีสึนามินั้น แต่ละคนกระจายกันรับเคราะห์กรรมซึ่งมีแรงหนักเบาไม่เท่ากัน สถานการณ์ที่ส่งผลให้เจ็บตายไม่เหมือนกัน และที่สำคัญไม่ได้รู้จักมักจี่ ไม่ได้จูงมือไปรวมตัวกันตามข้อตกลงแต่อย่างใด

    นอกจากนั้นขอให้สังเกตอีกประการหนึ่ง คือหลายรายไม่ใช่คนในพื้นที่ แต่เมื่อถึงเวลาเปลี่ยนภพของพวกเขา ก็มีเหตุให้พวกเขาต้องไปอยู่ที่นั่นพอดี ตำแหน่งที่จะถูกน้ำซัดตายพอดี

    ส่วนคนที่ยังไม่ถึงฆาต แม้ห่างกันแค่ไม่กี่ก้าว ก็กลับรอดและไม่บาดเจ็บเท่าแมวข่วน บางคนถูกน้ำซัดเข้าปะทะผนัง น่าจะตายแน่แล้ว ผนังส่วนนั้นกลับพังราบ เลยรอดจากการถูกอัดก๊อปปี้!

    นี่แหละการแสดงความมหัศจรรย์ในการ ‘คัดคนออก’ ของกฎแห่งกรรมวิบาก ใครยังคิดว่าเป็นเรื่องบังเอิญ ก็สมควรทบทวนดูใหม่จากเหตุการณ์จริงที่เกิดขึ้น ว่าทำไมความบังเอิญจึงเล่นตลกได้ขนาดนี้?

    การประสบเคราะห์กรรมร่วมกัน ชนิดที่ส่อถึงอดีตกรรมที่เคยทำมาด้วยกันนั้น จะเป็นประเภทกลุ่มคนที่รู้จักกัน ร่วมทางหรือลงเรือลำเดียวกัน ประสบกับรูปแบบเคราะห์กรรมเดียวร่วมกัน

    เช่นในคัมภีร์มีเรื่องของเหล่าภิกษุไปติดในถ้ำด้วยกัน อดอยากปากแห้งร่วมกันอยู่หลายวัน ก็เพราะกรรมหมู่ในอดีตชาติที่เคยร่วมกันกักขังสัตว์ให้ได้รับความทรมาน เป็นต้น

    โลกนี้แบ่งออกเป็นเขตพื้นที่ปลอดภัยกับเขตพื้นที่สุ่มเสี่ยง และเป็นอย่างนี้มาทุกยุคทุกสมัย ไม่มีสมัยใดที่โลกปูตลอดด้วยพื้นที่ปลอดภัยหรือสุ่มเสี่ยงอย่างเดียว ต้องมีกระจายเขตดีเขตร้ายไว้ให้บริการส่ำสัตว์ผู้มีบุญมีบาปอย่างทั่วหน้าอยู่เสมอ

    ฉะนั้น ขอให้ลืมเรื่องภัยล้างโลกแบบกวาดทีเดียวหายเรียบไปได้ วันหนึ่งโลกอาจถึงกาลแตกดับจริง แต่ป่านนั้นต้องไม่มีสัตว์บุญมากอย่างมนุษย์หลงเหลืออยู่อีกต่อไปแล้ว

    โลกยังไม่แตกวันนี้ แต่ก็อย่าประมาทเลยครับ เพราะเราอาจยืน เดิน นั่ง นอนอยู่ในเขตประหาร และเราก็ไม่อาจทราบเสียด้วยว่าถึงเวลาของเราหรือยัง ขอให้คำนึงถึงการเตรียมเสบียงไว้เพื่อความไม่ประมาทแหละดีที่สุด

    เราจะได้ไม่ต้องกลัว ไม่ต้องถามหาคำทำนาย ว่าที่กำลังหายใจได้ กำลังรู้สึกและนึกคิดได้เหมือนอย่างนี้ วาระสุดท้ายจะต้องตายเดี่ยวหรือตายหมู่ ตายดีหรือตายทรมาน ตายในขณะที่จิตเป็นกุศลหรืออกุศล

    เพราะธรรมดาผู้สั่งสมบุญ ตุนเสบียงไว้มากๆ ย่อมอุ่นใจอยู่เสมอว่ากรรมขาวทั้งปวงจะตามไปช่วยอุดหนุนค้ำจุนมิให้หลงตายตกร่วงลงต่ำอย่างแน่นอน

    [​IMG]
    ถาม – เขาว่าเมื่อเกิดสงครามโลกครั้งที่ ๓ ขึ้น จะมีนิวเคลียร์ลง ผู้คนจะตายเป็นร้อยล้านพันล้าน ถ้าใครทำดีมากๆแล้วจะรอดได้ อยากถามคุณดังตฤณว่าคำทำนายนี้เป็นจริงหรือไม่?

    ตอบ - สิบกว่าปีก่อนผมเคยอ่านคำทำนายที่ว่าในปี พ.ศ. ๒๕๔๒ หรือ ค.ศ. ๑๙๙๙ จะมีมหาสงครามนิวเคลียร์ ผู้คนล้มตายกันทั่วโลก แต่คนดีๆจะมีสิทธิ์อยู่ต่อ

    บางแหล่งถึงกับระบุทีเดียวว่าจะมีกรวยสีรุ้งพุ่งจากฟากฟ้าลงมาปกป้องอภิบาลคนดีมีศีลสัตย์ให้อยู่รอดปลอดภัย ไม่เป็นอันตรายจากระเบิดล้างโลก

    ครั้งนั้นผมก็ขมวดคิ้วสงสัยแล้วว่าเอ๊! คนเลวตายหมด แต่คนดีผีคุ้ม ไม่ตายง่ายๆ มิแปลว่าผลของการเป็นคนดีคืออยู่ทรมานต่อจากพิษกัมมันตภาพรังสีหรอกหรือ?

    คิดดูซิครับ โลกหลังมหาสงครามนิวเคลียร์น่ะมันจะไปเหลืออะไรนอกจากฝุ่นพิษ อาหารการกิน น้ำไฟและความเป็นอยู่ต่างๆคงย่ำแย่เหลือรับประทาน

    คำทำนายทำนองนี้เหมือนจะเอาใจคนทั่วไปที่ไม่อยากตาย หรือเป็นกุศโลบายให้คนเร่งขวนขวายทำความดีกัน ส่วนดีก็ดีแหละครับ

    แต่ส่วนไม่ดี ที่เป็นผลกระทบข้างเคียง คือความเข้าใจผิด สำคัญผิด และเชื่อมโยงเรื่องกรรมวิบากกันผิดๆ เป็นเหตุให้เสื่อมศรัทธาได้ง่ายๆถ้าผลออกมาไม่ตรงกับคำทำนาย

    ยกตัวอย่างเช่นยังไม่ทันเกิดสงครามนิวเคลียร์ คนดีมีศีลสัตย์ถูกไฟดูดตายโดยไม่มีปาฏิหาริย์ที่ไหนช่วย คนรู้ข่าวก็จะมองกันว่าไหนบอกคนดีผีคุ้มไง ทำไมงอก่องอขิง ไหม้เกรียมเป็นที่น่าสลดสังเวชขนาดนี้?

    ถ้ามองแบบคนกลัวตาย ยังยึดติดกับสุขขี้ปะติ๋วในโลก คุณก็ต้องอยากฟังคำทำนายประเภทตัวเองดีพอ มีบุญพอจะอยู่ต่อ แต่หากคุณมีศรัทธาในบุญอย่างแท้จริง และตระหนักว่าบุญจะเป็นที่พึ่งให้คุณสบายกว่านี้

    ก็คงคิดไปอีกอย่างหนึ่งครับ คือถึงตายโหงก็ตายโหงอย่างคนมีบุญ ร้องจ๊ากใหญ่ๆสักนาทีหนึ่งแล้วได้ไปหัวเราะร่าหรรษาบนสวรรค์อีกครึ่งกัปครึ่งกัลป์ อย่างนี้จะต้องไปกลัวอะไร?

    ทำดีมากๆในชาตินี้ ไม่เกี่ยวกับตายเร็วหรือตายช้าหรอกครับ ไม่เกี่ยวกับตายสงบหรือตายน่าสังเวชด้วย แต่จะเกี่ยวกับตายแล้วไปไหนมากกว่า อย่างไรทุกคนก็ต้องทยอยจากกันไปหมดอยู่แล้ว ถ้าคุณกำลังอ่านบรรทัดนี้อยู่

    ก็แปลว่าเหลือเวลาให้ทำใจเชื่อเรื่องบุญกรรมกันอย่างถูกต้องพอสมควร ก่อนตายไม่ควรหวาดผวา แต่ควรเตรียมเนื้อเตรียมตัว เตรียมใจใช้ชีวิตที่เหลือเพื่อความไปสู่สุคติ หรือเพื่อความสิ้นสุดทุกข์ร้อนถาวรต่อไป

    อีกประการหนึ่ง เรื่องตื่นข่าวหายนะระดับประเทศหรือระดับโลกนั้น ไม่ถือว่าเป็นเรื่องงมงายเสียทีเดียว เพราะช่วงที่ผ่านมาเกิดเรื่องเลวร้ายมากมายเสียจนคนหายประมาทกันเยอะ

    แต่อย่างไรก็ตาม ขอให้พิจารณาตามจริงด้วยว่าคำทำนายเกี่ยวกับหายนะระดับช้างนั้น ผิดมากกว่าถูก ถ้าเหมารวมได้ทั้งหมดคุณอาจตาค้างด้วยความประหลาดใจ

    คือร้อยคำทำนายจะมีสักหนึ่งหรือน้อยกว่านั้นที่เกิดเรื่องเกิดราวขึ้นจริงๆ ชนิดตรงเผงทั้งเวลา สถานที่ และบุคคลผู้ก่อการ

    เมื่อข้อเท็จจริงตามสถิติคือ ‘เป็นไปได้ต่ำที่จะทายถูก’ พวกเราก็ควรกำหนดใจเชื่อไว้น้อยๆด้วยเหมือนกัน เหตุการณ์ระดับโลกที่เกี่ยวข้องกับวิบากกรรมของคนเรือนล้านนั้น ไม่ใช่รู้กันง่ายๆหรอกครับ

    บางคนฟังคำทำนายแล้วก็วิ่งเต้นเข้าพิธีไสยศาสตร์บ้าง ตระหนกตกตื่นจนท้อแท้ไม่อยากทำอะไรเลยบ้าง หรือกระทั่งสิ้นหวังขนาดอยากฆ่าตัวตายไปล่วงหน้าบ้าง เพราะคิดๆอยู่ก่อนหน้าแล้วจากเรื่องรันทดในชีวิตตน

    เหล่านี้ล้วนแล้วแต่ใช้ชีวิตที่เหลือไม่คุ้มค่า เป็นไปเพื่อถูกอุปาทานครอบงำให้จิตเป็นอกุศลเปล่าโดยแท้

    ผมว่าเรามาเตรียมตัวกันแบบชาวพุทธจริงๆกันดีกว่าครับ ชาวพุทธเป็นอย่างไร?

    เป็นคนที่พยายาม ‘รู้ตามจริง’ ด้วยเหตุผล ไม่ใช่ ‘เชื่อตามกัน’ โดยปราศจากการพิจารณา

    และด้วยท่าทีของชาวพุทธ ผมอยากตั้งข้อสังเกตดังนี้

    ๑) ยอมรับตามจริงว่าปัจจุบันโลกตกอยู่ในเงื้อมเงาของอันตรายหลายประเภท อย่าดึงดันปฏิเสธแบบหัวดื้อตาใส ว่าจะไม่มีอะไรเกิดขึ้นแน่ๆ พวกเชื่อเรื่องภัยพิบัติคือกลุ่มคนที่งมงายเท่านั้น

    ๒) เมื่อเกิดคำทำนายใดๆ ทั้งจากฝั่งหมอดูและจากฝั่งนักวิทยาศาสตร์ ขอให้ตั้งสติฟังอย่างรอบคอบว่าจะเกิดอะไรขึ้น

    เช่นเร็วๆนี้มีข่าวว่าอุกกาบาตจะตกในอ่าวไทย ลือกันแพร่สะพัดต่างๆนานา ถือเอาจังหวะที่ผู้คนกำลังขวัญเสียจากสึนามิ โดยไม่คำนึงถึงหลักความจริงทางวิทยาศาสตร์ประกอบ

    หากพิจารณาคำทำนายดีๆแล้ว จะเห็นได้ตั้งแต่เมื่ออ่านหรือรับฟังในครั้งแรกนั่นเองว่าเป็นของเก๊ เป็นเรื่องของคนชอบเล่นสนุกกับความกลัวของมวลชน

    ๓) เมื่อใจกลัวก็อย่าทำปากแข็งว่ากล้า ขอให้ถือเป็นโอกาสศึกษาพุทธพจน์ ว่าท่าทีเกี่ยวกับการเตรียมตัวตายเป็นเช่นใด ตายด้วยจิตแบบไหนถึงจะคุ้ม

    ซึ่งขอสรุปรวบรัดโดยง่าย คือพระพุทธเจ้าท่านให้ระลึกถึงความตายเสมอๆ และความตายแบบมนุษย์สามัญก็ปราศจากร่องรอยนิมิตบอกเหตุเหมือนเทวดา

    เพราะฉะนั้นอย่าได้ประมาท ชะล้างสิ่งโสโครกใดได้ก็ชะล้างเสีย เตรียมเสบียงไว้เดินทางต่ออย่างใดได้ก็เตรียมเสีย

    ซึ่งเสบียงที่ดีที่สุดก็คงหนีไม่พ้นการมีปัญญาเห็นชอบ เรื่องทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว และสิ่งทั้งหลายไม่ควรยึดมั่นว่าเป็นสมบัติถาวรของเราหรือของใคร

    เมื่อใจไม่เปื้อนมลทินบาป สะอาดเอี่ยมด้วยบุญกุศล และเลิกห่วงหวงดิน น้ำ ไฟ ลมทั้งหลายในโลกหล้าที่ต้องมีอันแปรปรวนไปเป็นธรรมดา เห็นอิสระทางใจอันเกิดจากความปล่อยวางเป็นสิ่งมีค่าสูงสุด นั่นแหละครับ ท่าทีการเตรียมตัวตายแบบพุทธของแท้

    หากจำที่กล่าวมาข้างต้นไม่ได้ ก็ขอให้ระลึกสั้นๆว่า อย่ากลัวตายร้าย แต่ขอให้กลัวจะอยู่อย่างไม่ได้เตรียมตัวไปดี ก็แล้วกัน

    ถ้าเปลี่ยนค่านิยมใหม่เสียได้ ไม่เอาแต่กลัวตายโหง ไม่เจาะจงอยากแก่ตายอย่างสงบ คุณจะไม่ตื่นเต้นกับคำทำนายหายนะโลกเก๊ๆอีกต่อไปครับ

    [​IMG]
    ถาม - ข่าวว่าน้ำจะท่วมโลกแน่ ไม่มีใครรู้ว่าอีกเมื่อไร อาจจะ ๕ ปีหรือ ๑๐ ปีก็ได้ทั้งนั้น

    ตอบ - ข่าวโลกแตกมีมานานครับ ผู้คนฟังแล้วก็ตื่นกลัวบ้าง หัวเราะเยาะบ้าง สุดแท้แต่ว่าใครเป็นคนประกาศข่าวโลกแตก

    ช่วงนี้เสียงหัวเราะเยาะอาจจะแผ่วลงหน่อย แล้วความตื่นกลัวก็เกิดขึ้นอย่างยาวนานกระทั่งด้านชาและกลายเป็นความชินไปเสียแล้ว เพราะดินฟ้าวิปริตปรวนแปรเหลือเกิน ในวันเดียวกันธรรมชาติอาจมี ‘อารมณ์แปรปรวน’ ได้สารพัด

    เดี๋ยวฝนตก เดี๋ยวแดดออก เดี๋ยวร้อนแสบผิว เดี๋ยวหนาวถึงไขกระดูก นี่เป็นเรื่องใกล้ตัว ไม่ต้องไปดูภูเขาน้ำแข็งถล่มที่ไหนก็รู้สึกได้ว่าโลกทำตัวเกเรขึ้นทุกวัน
    แถมข่าวโลกแตกรอบนี้ ก็ไม่ใช่เด็กเลี้ยงแกะในหมู่บ้านเล็กๆเสียด้วย

    แต่เป็นถึงนักวิทยาศาสตร์ผู้มีหน้าที่สอดส่องดูแลความเป็นไปของประเทศและของโลกโดยตรง!

    เอาล่ะ! สมมุติว่าคราวนี้โลกจะแตกจริงๆเสียที ด้วยการมีน้ำท่วมไปทุกหนทุกแห่ง แล้วเป็นยังไง เราจะทำอะไรได้?

    มาตั้งต้นกันแบบที่ทำให้ไม่ตื่นกลัวและไม่ประมาทดีกว่า วิธีก็ง่ายๆคือถ้ายังไม่มีโจทย์ให้ชีวิตในอนาคต ก็ตั้งโจทย์สมมุติให้กับวันนี้แล้วกัน

    ถามตัวเองหรือยังว่าถ้าต้องพลัดพรากกระจัดกระจายไปคนละทิศละทาง ไม่มีเครื่องมือสื่อสารที่ดีที่สุดในโลกอย่างมือถือและอินเตอร์เน็ตดังเช่นปัจจุบัน คุณจะเลือกไปอยู่กับใคร?

    แน่นอนว่าคุณคงเลือกอยู่กับคนที่รักไม่ได้ครบทุกคน เพราะในวันน้ำท่วมฉับพลัน คนที่คุณรักอาจอยู่ไกลสุดขอบฟ้า คุณจะรู้สึกว่าเขาอยู่ไกลคุณจริงๆก็ตอนไม่มีมือถือและอินเตอร์เน็ตนี่แหละ

    สรุปคือในที่สุดอันเป็นสุดท้ายแล้ว คุณเลือกอยู่กับใครไม่ได้ตามปรารถนาหรอก ซึ่งนั่นก็ไม่แตกต่างจากที่กำลังเป็นอยู่สักเท่าไรเลย

    แม้คุณสมใจได้อยู่กับบุคคลอันเป็นที่รักในวันนี้ คุณก็ไม่รู้เลยว่าวันไหนจะมีเงื่อนไขหรือปัจจัยใดมาพรากเขาไป

    และวันใดบุคคลอันเป็นที่รักถูกพรากไปโดยไม่อาจหลีกเลี่ยง วันนั้นเองที่ต้องตระหนักด้วยความตระหนกว่าคุณไม่เคยมีสิทธิ์อยู่กับใครจริง

    คุณต้องอยู่กับตัวเองตลอดไป ตราบเท่าที่ยังต้องเวียนว่ายตายเกิด ฉะนั้นถ้าเตรียมสร้างตัวเองให้น่ารัก น่าอบอุ่น และน่าอยู่ด้วย คุณก็จะมีความสุขอยู่กับตัวเองในทุกวาระสุดท้าย ไม่ว่าจะต้องตายโหงในชาตินี้หรือตายดีในชาติไหน

    อีกสักคำถามหนึ่ง คุณถามตัวเองหรือยังว่าถ้าจะต้องเป็นหนึ่งในผู้จมน้ำตาย หรือกระหายน้ำจนขาดใจเพราะหนีขึ้นที่สูงเกินไป คุณจะเอาอะไรเป็นทุนรอนสำหรับเกิดใหม่ ให้ดีกว่าต้องมาอยู่ในโลกที่จมน้ำได้?

    แน่นอนว่าตอนยังดีๆทุกคนจะบอกว่าช่างเถอะ อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด ทำวันนี้ให้ดีที่สุด... แต่ขอโทษที คนพูดอย่างนี้ส่วนใหญ่จำๆเขามานะครับ

    ดีที่สุดที่จะทำวันนี้ของคนพูด ก็มักไม่ต่างจากเมื่อวานและวันก่อนๆ นั่นคือขอให้ผ่านไปอีกวัน กินให้อร่อยที่สุด นอนให้นานที่สุด และขับถ่ายอุจจาระปัสสาวะให้โล่งที่สุด!

    พอถึงคราวหายนะขึ้นมาจริงๆ มีสักกี่คนทำใจได้

    เราต้องการความมั่นคงทางใจในวาระสุดท้ายเป็นสำคัญ ความมั่นคงทางใจเท่านั้น ที่จะทำให้เราพร้อมตายโดยไม่ต้องทำใจใดๆ ทุกอย่างจะสบายในตัวเอง

    ความมั่นคงทางใจเกิดขึ้นจาก ๒ สิ่ง

    ๑) กรรมดีที่สั่งสมมา ไม่ใช่กรรมดีที่รีบตาลีตาเหลือกนึกถึงพระอรหันต์ก่อนตายนะครับ ผมหมายถึงความดีที่บำเพ็ญมาทั้งชีวิต ความดีจะปรากฏเป็นความขาว ความสว่าง และความรู้สึกงดงามทางใจ ก่อให้เกิดความสุข ความตั้งมั่น โดยไม่ต้องวิงวอนขอการคุ้มครองจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ใดๆ

    ๒) ความเข้าใจ คนเราจะกลัวสิ่งที่จะเกิดขึ้นหลังความตาย นั่นเพราะความไม่รู้ว่าอนาคตเป็นอย่างไรแน่ ต่อเมื่อทำความเข้าใจว่าอนาคตก็คือผลของปัจจุบัน คุณก็จะเห็นอนาคตจากสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วในปัจจุบันนั่นเอง

    หากใจคุณสว่าง อนาคตก็ย่อมสว่าง หากใจคุณมืด อนาคตก็ย่อมมืด!

    ความสว่างคือธรรมะ ความมืดคืออธรรม ยิ่งใจคุณผูกอยู่กับธรรมะมากขึ้นเท่าไร ใจคุณก็ยิ่งสว่างขึ้นเท่านั้น ตรงข้าม หากใจคุณเอาแต่ผูกอยู่กับอธรรม พอทำความรู้สึกเข้ามาในใจ ก็จะเห็นแต่ความมืดคลุ้มไม่มีดี

    ธรรมะที่ดีที่สุดคือการมีสติระลึกถึงความจริงเฉพาะหน้า เช่น เห็นให้ได้ว่าประโยชน์สูงสุดยามตาย ก็คือความเข้าใจว่าร่างที่จะตายไม่ใช่เรา เป็นเลือดเนื้ออันเกิดจากข้าวปลาที่เอามาจากโลก และต้องคืนให้กับโลก

    นอกจากนั้นก็ทำความเข้าใจเตรียมไว้ว่า แม้ดวงจิตที่จะดับก็ไม่ใช่เรา เป็นแค่ธรรมชาติที่เกิดด้วยเหตุ และดับไปเรื่อยๆอยู่แล้ว

    เอาแค่ตื่นนอนตอนเช้าก็ถือว่าจิตเกิดใหม่แล้ว และแค่หลับไปก็ถือว่าจิตดับไปแล้ว จะต่างอะไรจากจิตดับยามตาย และเกิดอีกในยามปฏิสนธิในภพใหม่เล่า?

    [​IMG]

    สรุปคือ ถ้าเข้าใจถูกและดีพอ คุณก็จะยิ้มรอโลกแตกได้ ไม่ต่างจากที่เคยรอวันพรุ่งนี้ ที่แสนธรรมดาจริงๆครับ

    [​IMG]

    www.dungtrin.com/index.php?option=com_content&view=article&id=784:-4-&catid=82:sabiangnew&Itemid=278<!-- google_ad_section_end -->


    [​IMG]
     
  7. Ajintai

    Ajintai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มกราคม 2009
    โพสต์:
    549
    ค่าพลัง:
    +1,638
    [อ้างอิงจากท่านพนมกุเลน]---->"ประโยชน์สูงสุดยามตาย ก็คือความเข้าใจว่าร่างที่จะตายไม่ใช่เรา เป็นเลือดเนื้ออันเกิดจากข้าวปลาที่เอามาจากโลก และต้องคืนให้กับโลก" <--- สาธุ เป็นความจริงที่ทุกฅนต้องเจอแน่นอน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 มกราคม 2012
  8. พนมกุเลน

    พนมกุเลน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,455
    ค่าพลัง:
    +7,618
    ธรรมดับทุกข์ โดย ว.วชิรเมธี


    [​IMG]

    [​IMG]

    ในช่วงเวลาที่คนไทยจิตตก ตระหนกไปกับทุกกระแสข่าว ตกใจไปกับข่าวสารทุกๆช่องทางที่เผยแพร่ออกมา ไทยรัฐออนไลน์มีโอกาสพูดคุยกับ พระมหาวุฒิชัย วชิรเมธี หรือ ว.วชิรเมธี ผู้ก่อตั้งสถาบันวิมุตตยาลัย สถาบันที่ศึกษา วิจัย ภาวนา และเผยแพร่ภูมิปัญญาทางพุทธศาสนาสู่ประชาคมโลก เพื่อมาให้ไขรหัสเอาชนะความทุกข์จากน้ำท่วม โดยใช้ “ธรรมะ” เข้าใจ “ธรรมชาติ” !!

    Q : ตามคำภีร์ไบเบิ้ลมีกล่าวถึงวันสิ้นโลก นอสตราดามุส ชนเผ่ามายัน ต่างก็กล่าวถึงวันสิ้นโลกเช่นกัน ในพระไตรปิฎกหรือพุทธทำนายของศาสนาพุทธ มีกล่าวถึงเรื่องวันสิ้นโลกหรือเปล่า…?

    A : มี แต่ไม่ได้บอกเวลา บอกแต่ว่า “ในอนาคตกาลนานไกลโพ้น โลกจะวิบัติเพราะน้ำ เพราะลม เพราะไฟ” ฉะนั้น ถือว่าเรื่องแบบนี้เป็นเรื่องธรรมดาโลก สิ่งไหนก็ตามที่มีความเกิดขึ้นในเบื้องต้น ก็จะมีการแตกดับไปในที่สุด อย่าตื่นตกใจกับธรรมดาของโลก เราต้องพร้อมที่จะอยู่ในโลกอย่างคนที่เป็นนักเรียน พร้อมที่จะเรียนรู้ทุกสิ่งทุกอย่าง เหมือนเราเป็นนักกีฬาที่วิ่งลงไปในสนามแล้ว เราก็ต้องยอมรับกฎกติกาของสนามนั้น เราถึงจะเป็นนักกีฬาที่ประสบความสำเร็จ

    เช่นเดียวกัน เราเกิดมาในโลก เราก็เป็นนักกีฬาของโลก เราก็ต้องพร้อมที่โลกจะมอบบทเรียนต่างๆให้กับเรา มองทุกสิ่งทุกอย่างให้เป็นบทเรียน แล้วเราก็จะเข้มแข็ง ยิ่งโจทย์ยากๆ ถ้าหากเราแก้โจทย์ได้ เราก็จะกลายเป็นคนที่เก่งมากขึ้นๆ ยิ่งขึ้นไป

    ดังนั้น มองอีกนัยหนึ่งก็คือความทุกข์มากปลุกให้เราตื่น เมื่อเราตื่นแล้วปีต่อๆไป เมื่อน้ำไหลมา เราก็จะกลายเป็นผู้ที่รับมือกับน้ำได้อย่างเชี่ยวชาญ

    Q : ควรจะใช้ชุดความคิดแบบไหนดีที่จะจัดการความทุกข์ เพราะไม่ว่าจะหันหน้าไปทางไหนก็มีแต่ข่าว มีแต่คนเครียดๆ เพราะน้ำท่วมบ้าน คนที่ยังไม่โดนน้ำท่วมก็กลัว กลัวจนนอนไม่หลับ ไม่เป็นอันทำอะไร?

    A : อาตมาอยากจะให้ทุกคนคิดว่า อยู่ใต้ฟ้าอย่ากลัวฝน ณ เวลานี้ เรามาอยู่ตรงนี้แล้ว เราก็คงต้องยอมรับว่า สิ่งเหล่านี้มีสิทธิ์ที่จะเกิด เพราะว่านี่คือธรรมชาติ เรามาอยู่ในโลก เราต้องพร้อมจะรับมือกับทุกวิกฤติ เพราะว่าโลกมาอยู่ก่อนเรา แล้วเรามาทีหลัง ฉะนั้นก็ต้องพร้อมที่จะเรียนรู้ทุกสิ่งทุกอย่าง ซึ่งเกิดขึ้นในโลกนี้

    วิธีที่ดีที่สุด “ให้มองปรากฏการณ์น้ำท่วมครั้งนี้ว่าเป็นครูที่มาเตือนเราให้เราตื่น” เราอาจจะพากันหลับใหลอยู่ในความประมาท พอน้ำไหลบ่ามาปลุกให้เราให้ตื่น มองวิกฤติเป็นครูแล้วอยู่ด้วยกันแบบไม่ประมาท เพราะว่าน้ำมาแต่ละปี ก็จะทำให้เรามีความเชี่ยวชาญในการรับมือมากยิ่งขึ้น

    นั่นหมายความว่า ในอนาคตเมื่อเราเรียนรู้วิธีที่จะรับน้ำในแต่ละปี แต่ละปี ในอนาคตประเทศเราอาจจะเป็นประเทศที่บริหารจัดการน้ำที่ดีที่สุดในโลกเลยก็ว่าได้

    นี่คือมองให้บวก มองวิกฤติเป็นครูอยู่ด้วยความไม่ประมาท เติบโตจากความผิดพลาดเฉลียวฉลาดขึ้นมาจากความทุกข์ ในอนาคตเมื่อเราเรียนรู้จากการรับมือน้ำอย่างดีที่สุดและอย่างต่อเนื่อง ชนไทยอาจจะเป็นชนชาติที่มีความเชี่ยวชาญเรื่องการจัดการน้ำมากเป็นอันดับหนึ่งก็เป็นได้

    Q : คนที่สูญเสียบ้านและทรัพย์สินจากน้ำท่วม?

    A : ตอนที่เราเกิดมา เราทุกคนนั้นเปล่าเปลือยมาทั้งหมดเลย คุณมีแต่ตัวล้วนๆ คุณยังหาบ้านหารถหาเรือกสวนไร่นาได้อย่างมากมาย วัตถุเงินทองเสียไปแล้วถ้าหากวันหนึ่งคุณยังมีชีวิต ก็สร้างขึ้นมาใหม่ได้ทั้งหมด

    ดังนั้น เสียวัตถุเสียไป แต่จงรักษากำลังใจและชีวิตเอาไว้ ให้กำลังใจให้ชีวิตนี้เป็นสมบัติติดตัวเราไปตลอด ถ้าชีวิตนี้ยังมีชีวิตอยู่กำลังใจก็ยังมีอยู่ คุณสามารถสร้างวัตถุขึ้นมาใหม่ได้ทั้งหมด ดังนั้นจึงไม่ควรเสียใจ เมื่อถึงเวลาพักที่นาคาที่อยู่

    ที่สำคัญให้รู้จักเสียสละทรัพย์เพื่อรักษาอวัยวะ เสียสละอวัยวะเพื่อรักษาชีวิต เพราะชีวิตสำคัญมากกว่าทุกสิ่งทุกอย่าง ถ้าคุณไม่มีทรัพย์คุณสามารถหาใหม่ได้ แต่ถ้าคุณไม่มีชีวิตทุกอย่างทุกสิ่งก็จบตรงนั้นแล้ว ให้ยอมเสียสละส่วนน้อยเพื่อรักษาส่วนใหญ่ ให้ยอมสละทรัพย์

    เช่น บ้าน รถ วัตถุข้าวของทั้งหลายอย่าไปยึดติดถือมั่น มาเวลานี้ต้องเอาชีวิตให้รอดเสียก่อน ถ้าคุณยังมีชีวิตทุกสิ่งทุกอย่างที่มันสูญเสียไป หามาได้ใหม่ทั้งหมดไม่ต้องกังวล

    Q : คนที่เพิ่งสูญเสียคนรักจากน้ำท่วม?

    A : ก็ให้ทำใจยอมรับ อย่าโกหกตัวเอง เพราะว่ามันเป็นธรรมดาของมนุษย์ทุกคน พอเราเกิดมาแล้วก็ต้องมีอันต้องพลัดพรากจากบุคคลและสิ่งของอันเป็นที่รักเป็นเรื่องธรรมดา

    “พระพุทธเจ้าใช้คำว่าเป็นธรรมดา ท่านไม่ได้มองว่ามันเป็นสิ่งมหัศจรรย์ เมื่อเราเกิดมาแล้วเราก็ต้องจากพลัดพรากจากสิ่งที่เรารักเป็นของธรรมดา เพียงแต่ว่ามันจะเกิดช้าเกิดเร็วเท่านั้น” เมื่อมันเกิดขึ้นมาแล้วเราก็ต้องยอมรับเพราะว่ามันเป็นเรื่องธรรมดา

    “เมื่อสุดมือสอยก็ต้องปล่อยมันไป” คนที่เหลือก็ต้องตั้งหน้าตั้งตาใช้ชีวิตกันไปโดยไม่ประมาท เติบโตจากความผิดพลาด เฉลียวฉลาดขึ้นมาจากความทุกข์ สูญเสียอะไรก็สูญเสียไป แต่ต้องรักษากำลังใจเอาไว้ให้ดีที่สุด เพราะถ้าคุณสูญกำลังใจคุณสูญทุกอย่าง แต่หากคุณยังมีกำลังใจ คุณยังสามารถหาทุกสิ่งทุกอย่างได้ใหม่อย่างแน่นอน

    Q : น้ำท่วมจนธุรกิจล้มละลาย?

    A : อาตมาอยากให้เขาคิดเหมือน “สตีฟ จ็อบส์” เพราะจ็อบส์เคยถูกไล่ออกจากบริษัทที่ตัวเองก่อตั้ง

    แต่เขาบอกว่า “เขาแค่สูญเสียบริษัทไปเท่านั้น แต่ฉันไม่ได้สูญเสียความสามารถ ภูมิสติปัญญาที่อยู่ในหัวซะหน่อย”

    ดังนั้น เขาจึงก่อตั้งบริษัทใหม่แล้วกลายเป็นซีอีโอแห่งศตวรรษ คือในรอบ 100 ปีจะมีคนอย่างเขาคนหนึ่ง

    ฉะนั้น ก็ขอให้นักธุรกิจทั้งหลายที่ประสบกับความล้มละลายในระหว่างนี้ ให้บอกตัวเองว่าเราแค่สูญเสียข้าวของเงินทองเท่านั้น แต่เราไม่ได้สูญเสียชีวิต แล้วเราก็ไม่ได้สูญเสียความสามารถของการก่อร่างสร้างตัวของเราแต่อย่างใด

    ฉะนั้น เราสามารถเริ่มต้นกันใหม่ได้ คิดแบบนี้ก็ไม่ต้องห่วงว่าเราจะไม่กลับมา “หลายคนเมื่อล้มเหลวแล้วกลับมาได้ดียิ่งกว่าเดิม เพราะว่าเขาได้เรียนรู้บทเรียนที่สำคัญผ่านไปแล้ว”

    ถ้ามองแบบนี้ความล้มเหลวไม่ใช่สิ่งที่น่ากลัว มันกลายเป็นว่ามันทำให้เราระมัดระวังในการใช้ชีวิต ระมัดระวังในการทำธุรกิจยิ่งขึ้น ความล้มเหลวมันจะทำให้เราได้รับบทเรียนที่ดี คุณอาจจะสูญเสียธุรกิจ เงินทุน แต่ตราบใดที่คุณยังมีความสามารถนั้นอยู่ในหัว คุณเริ่มต้นได้ใหม่ทั้งหมด

    Q : กล่าวโทษหน่วยงาน รัฐบาล ข้าราชการ คนอื่นๆ เพราะไม่มีคนมาช่วยเหลือตนเองซะที

    A : สิ่งที่เราต้องเข้าใจก็คือ เหตุการณ์น้ำท่วมครั้งนี้คราวนี้มันกินพื้นที่กว้างเหลือเกินกว่า 50 จังหวัด ไม่อยากให้กล่าวโทษใคร

    ในตอนนี้อยากจะให้เราช่วยซึ่งกันและกันไปก่อน รัฐบาลคือคนไทยเหมือนกับเรา มีความปรารถนาดีที่อยากจะช่วยเหลือเกื้อกูลเหมือนกัน แต่ต้องยอมรับว่าเราต่างเดือดร้อนด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น จะให้ไปกระจุกอยู่ที่ใดที่หนึ่งเป็นการยาก ให้มองด้วยความเข้าใจดีกว่าการกล่าวโทษ

    ดังนั้น อาตมาอยากให้คิดว่าจงพึ่งตัวเองก่อนที่จะพึ่งรัฐบาล เพราะว่าเวลาน้ำไหลมามันไม่รอรัฐบาลหรือรอใครทั้งสิ้น ธรรมชาติไม่มีการเกรงหน้าอินทร์หน้าพรหม

    สิ่งที่เราควรจะทำก็คือ “อัตาหิ อัตตาโน นาโถ พึ่งตนก่อนพึ่งคนอื่น” ทำได้อย่างนี้แล้ว เราจะสามารถเอาตัวรอดได้ก่อนที่ความช่วยเหลือคนอื่นจะมาถึง ในส่วนของประชาชนคนไทยก็ขอโอกาสนี้เป็นการแสดงออกแห่งวัฒนธรรมแห่งน้ำใจ ช่วยกันคนละไม้คนละมือ ทอดกฐินน้ำใจช่วยภัยน้ำท่วม

    ท่ามกลางวิกฤติ เราก็จะเห็นได้ว่าความงดงามแฝงอยู่ เราจะเห็นได้ว่าเมืองไทยเป็นเมืองแห่งการให้ เราอยู่กันมาด้วยการให้ และนี่คือวันเวลาที่จะทำให้เราให้ซึ่งกันและกัน ท่ามกลางความทุกข์ก็ยังมีความงดงามแห่งการให้ เป็นดั่งดวงดอกไม้ที่โดดเด่นอยู่ เพราะฉะนั้นเราต้องรักษาเสน่ห์น้ำใจของคนไทยตรงนี้เข้าไว้

    Q : โกรธ โมโห ด่าทอ ธรรมชาติ…?

    A : การด่าทอธรรมชาติ มันไม่ใช่อะไรหรอก เราเกิดมาเราก็เป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ มองในมุมกลับกัน เช่น ต้นไม้อาจจะด่ามนุษย์ว่าเธอตัดฉัน เธอปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ จนทำให้เกิดภาวะโลกร้อนในขณะที่เราด่าธรรมชาติ

    คุณรู้ไหมว่าธรรมชาติอาจจะด่าเรา มันไม่ช่วยอะไร แนะนำให้เราเรียนรู้จากธรรมชาติ เพราะว่าธรรมชาติคือมารดาบิดาของมนุษยชาติ มนุษย์ทุกคนคือลูกหลานของธรรมชาติ คุณไม่ควรไปด่ามารดาบิดาของคุณ ควรจะเรียนรู้จากมารดาบิดาของคุณว่าเขามีธรรมชาติอย่างไร

    พอเราเรียนรู้จากธรรมชาติได้เป็นอย่างดี เราก็จะอยู่ร่วมกับธรรมชาติได้อย่างปลอดภัย การด่าจะไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้นมา การเรียนรู้ธรรมชาติเท่านั้นถึงจะทำให้เราอยู่ร่วมกับธรรมชาติได้อย่างปลอดภัย

    Q : ถ้าจะต้องมีคนผิดกับเหตุการณ์วิปโยคน้ำท่วมในครั้งนี้ ส่งผลให้เกิดความเสียหาย ทั้งเศรษฐกิจ ชีวิต และสิ่งมีค่ามากมาย สุดท้ายเราควรจะกล่าวโทษโกรธใคร

    A : จงโทษตัวเองว่าทำไมไม่เรียนรู้ น้ำไม่ได้ท่วมเป็นปีแรก มันท่วมเกือบทุกปี ถ้าจะโทษก็ต้องโทษคนไทยว่าไม่ยอมเรียนรู้ประวัติศาสตร์ ประเทศที่ประชาชนที่ไม่ยอมเรียนรู้ประวัติศาสตร์นั้น ก็เป็นประเทศที่จะต้องมีชะตาร่วมกัน ในการเจ็บปวดซ้ำแล้วซ้ำเล่าอยู่อย่างนั้นแหละ

    ฉะนั้น เราคนไทยจะต้องเรียนรู้ประวัติศาสตร์เรื่องน้ำให้ดี แล้วมาหาวิธีจัดการเสียให้ถูกต้อง วิถีนี้เท่านั้นที่จะทำให้น้ำไม่ท่วมซ้ำซาก จงอย่าหลงลืมประวัติศาสตร์

    ลุกขึ้นมาศึกษาว่า เราถูกน้ำท่วมมาแล้วกี่ครั้ง แล้วก็หาทางรับมือให้ดีที่สุด ดังนั้นพวกเราทุกคนมีส่วนร่วมทำให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ การกล่าวโทษไม่ช่วยอะไร มีแต่ตั้งใจเรียนรู้เท่านั้นที่จะรับมือภัยธรรมชาติได้


    ข้อมูลจาก ไทยรัฐ 25 ตุลาคม 2554

    www.tawanth.wordpress.com/2011/10/25/%e0%b8%98%e0%b8%a3%e0%b8%a3%e0%b8%a1%e0%b8%94%e0%b8%b1%e0%b8%9a%e0%b8%97%e0%b8%b8%e0%b8%81%e0%b8%82%e0%b9%8c-%e0%b9%82%e0%b8%94%e0%b8%a2-%e0%b8%a7-%e0%b8%a7%e0%b8%8a%e0%b8%b4%e0%b8%a3%e0%b9%80/<!-- google_ad_section_end -->
     
  9. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775
    เตรียมใจ เตรียมจิตก่อนภัยพิบัติครั้งใหญ่

    การเตือน คือการให้สติ เป็นการยังความไม่ประมาทให้ถึงพร้อม

    แต่การเสพข่าวสาร และการจำแนกข้อมูล จำเป็นที่ต้องใช้วิจารณญาณของแต่ละบุคคล

    ตอนนี้มีข่าวสารที่จะเตือนเพิ่มขึ้นมาจากหลายแหล่งมากจนกระทั่งหลายคน อาจสับสนบ้าง ตื่นกลัวบ้าง

    ขอเน้นย้ำเช่นเดิม ว่าให้เรา สาวไปหาเหตุ ว่าทำไมจึงเกิดภัยพิบัติ

    และเราจะพบทางรอดจากภัยพิบัติ

    เมื่อเขาต้องการล้างคนชั่ว คนอกุศลออกไปจากโลก
    เราก็พึงปฏิบัติจิตรักษาใจเราให้ เป็นกุศล ผ่องใส

    การเตรียมจิตสำคัญที่สุด

    จิตเมตตา จิตผ่องใส จิตมั่นคงในพระรัตนไตร จิตแนบในพระนิพพาน


    สำหรับ คนที่ยังไม่ตื่นจากภายในก้าวเข้าสู่ทางแห่งธรรม แห่งกุศล มีเวลาอีก สองเดือนเท่านั้น คือไม่เกิน มีนาคมปีนี้

    คนที่เข้ามาทีหลังแต่หากมีกุศลก็จะก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป้นประสบการณ์ที่พบเจอจริงๆจากการสอนสมาธิ ก้าวหน้าของเก่ากลับมากันเร็วมาก

    ส่วนคนที่ไม่เข้าสู่ทางบุญทางกุศล ด้วยวิบากมาขวาง ก็คงไม่อาจรอดได้ แม้จะเตรียมวัตถุข้าวของมากมายเพียงใดก็ตาม

    ขอย้ำว่าการเตรียมจิตสำคัญที่สุด

    และสำหรับท่านที่ปฏิบัติธรรมอยู่แล้วก็ขอให้ เร่งทำจิตให้ผ่องใส ละ เลิก สนใจจริยาผู้อื่น การเพ่งโทษ ตำหนิ ติเตียนผู้ใด ให้ใจตนเองมีตำหนิ เศร้าหมองอกุศล

    สิ่งใดที่นอกจากแนวทางแห่งสัมมาทิฐิก็ขอจง ระมัดระวังให้มาก อย่าได้เขวไป

    ชาวธรรมที่จะรอดได้ ก็เหตุแห่งกุศล พอเหมาะพอเจาะที่เราไปทำบุญ ไปปฏิบัติธรรมพอดี จึงรอดไปด้วยธรรมจัดสรร

    ช่วงเดือนนี้ไปจนถึง เมษายน หากมีโอกาสไปทำบุญ จงเดินทางไป กับกัลยาณมิตร

    ถึงเวลาคนดีจะมารวมกลุ่ม แยกไปจากคนชั่ว
    คนชั่วใจบาปอกุศลก็จะมารวมกัน ภัยพิบัติก็จะมาล้างอย่างไม่ทันรู้ตัว


    วาระนี้ท่านให้เจริญอุเบกขา กำหนดปลงพิจารณาในกรรมของโลก ช่วยตามวาระแห่งกุศล

    ท่านผู้ได้อภิญญา เด็กอภิญญาที่เชียงใหม่ ได้เล่าให้ฟังว่า พระท่านยังไม่ให้ใช้อภิญญา เพราะ เราไม่อาจไปช่วย ผู้ที่มีกรรมจะถูกล้างไปได้ เพราะเป็นการละเมิดกฏของกรรม ทำให้กระแสกรรมเปลี่ยนแปลงไป ต้องเคารพกฏของกรรม

    พระเถระผู้ทรงอภิญญาท่านก็เมตตา สอนให้ รักษาจิตใจเราให้ผ่องใสเอาไว้หน้าที่เราทุกคนขณะนี้คือ รักษาจิตให้ผ่องใสในทุกลมหายใจ ให้กุศลเป็นเครื่องคุ้มครอง สวดมนต์ก็จงกำหนดว่าเราเข้าเฝ้าเคารพในพระพุทธเจ้า ก่อนนอนก็จงรำลึกในอารมณ์พระนิพพาน


    เวลามีค่า เวลามีน้อย อย่าปล่อยเวลาให้ล่วงไปด้วยอกุศล จงรักษาใจเราให้เป็นกุศลผ่องใส ให้บุญหล่อเลี้ยงใจ

    มีนาคม ต่อ เมษายน ให้ทำบุญกันให้มากๆเอาไว้
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • P1010541.JPG
      P1010541.JPG
      ขนาดไฟล์:
      6.1 MB
      เปิดดู:
      100
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 มกราคม 2012
  10. วรเดช

    วรเดช เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    1,753
    ค่าพลัง:
    +6,146
    <TABLE border=0 width=670 bgColor=#ffffff><TBODY><TR bgColor=#ffcae3><TD>ใต้ตอนล่างจ.นครศรีธรรมราชลงไปฝนตกหนักบางแห่ง 10-14 ม.ค. - เหนืออากาศหนาว </TD></TR><TR><TD> </TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE border=0 cellSpacing=2 cellPadding=2 width=668><TBODY><TR><TD class=A2 vAlign=top><TABLE border=0 cellSpacing=2 cellPadding=2 bgColor=#f5f5f5 align=center><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR><TR><TD align=middle></TD></TR></TBODY></TABLE>
    กรมอุตุนิยมวิทยา พยากรณ์ลักษณะอากาศประจำวันที่ 10 มกราคม 2555 เมื่อเวลา 04:00 น.

    บริเวณความกดอากาศสูงยังคงปกคลุมประเทศไทยตอนบนประกอบมีคลื่นกระแสลมตะวันตกเคลื่อนผ่านบริเวณภาคเหนือ ลักษณะเช่นนี้ทำให้บริเวณประเทศไทยมีอากาศหนาวเย็นกับมีหมอกในตอนเช้า มรสุมตะวันออกเฉียงเหนือกำลังค่อนข้างแรงพัดปกคลุมอ่าวไทยและภาคใต้ และจะมีคลื่นกระแสลมตะวันออกเคลื่อนผ่านภาคใต้ตอนล่างในช่วงวันที่ 10-14 ม.ค. นี้ บริเวณภาคใต้ตอนล่างตั้งแต่จังหวัดนครศรีธรรมราชลงไป จะมีฝนเพิ่มมากขึ้นและมีฝนตกหนักบางแห่ง ส่วนอ่าวไทยตอนล่างมีคลื่นสูง 2-3 เมตร ขอให้ชาวเรือเดินเรือด้วยความระมัดระวังในระยะนี้

    พยากรณ์อากาศสำหรับประเทศไทยตั้งแต่เวลา 06:00 วันนี้ ถึง 06:00 วันพรุ่งนี้.
    ภาคเหนือ ทางตอนบนของภาค อากาศหนาวกับมีหมอกในตอนเช้า อุณหภูมิต่ำสุด 13-16 องศา ส่วนทางตอนล่างของภาค อากาศเย็นกับมีหมอกบางในตอนเช้า อุณหภูมิต่ำสุด 16-18 องศา อุณหภูมิสูงสุด 28-31 องศา สำหรับบริเวณยอดดอยอากาศหนาวถึงหนาวจัด อุณหภูมิต่ำสุด 5-11 องศา ลมตะวันออก ความเร็ว 10-30 กม./ชม.
    ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ทางตอนบนของภาค อากาศหนาวกับมีหมอกในตอนเช้า อุณหภูมิต่ำสุด 13-16 องศา ส่วนทางตอนล่างของภาค อากาศเย็นกับมีหมอกบางในตอนเช้า อุณหภูมิต่ำสุด 16-18 องศา อุณหภูมิสูงสุด 28-30 องศา สำหรับบริเวณยอดภู อากาศหนาว อุณหภูมิต่ำสุด 8-14 องศา ลมตะวันออกเฉียงเหนือ ความเร็ว 15-35 กม./ชม.
    ภาคกลาง อากาศเย็น กับมีหมอกบางในตอนเช้า อุณหภูมิต่ำสุด 18-21 องศา อุณหภูมิสูงสุด 31-32 องศา สำหรับบริเวณเทือกเขาอากาศหนาว อุณหภูมิต่ำสุด 14-15 องศา ลมตะวันออกเฉียงเหนือ ความเร็ว 10-30 กม./ชม.
    ภาคตะวันออก อากาศเย็น กับมีหมอกบางในตอนเช้า อุณหภูมิต่ำสุด 19-22 องศา อุณหภูมิสูงสุด 32-33 องศา สำหรับบริเวณเทือกเขา อากาศหนาว อุณหภูมิต่ำสุด 15-16 องศา ลมตะวันออกเฉียงเหนือ ความเร็ว 15-35 กม./ชม. ทะเลมีคลื่นสูงประมาณ 1 เมตร ห่างฝั่งคลื่นสูง 1-2 เมตร
    ภาคใต้ (ฝั่งตะวันออก) ตั้งแต่จังหวัดสุราษฎร์ธานีขึ้นมา อากาศเย็นกับมีหมอกบางในตอนเช้า อุณหภูมิต่ำสุด 22-24 องศา อุณหภูมิสูงสุด 29-31 องศา ลมตะวันออกเฉียงเหนือ ความเร็ว 15-35 กม./ชม. ทะเลมีคลื่นสูง 1-2 เมตร และตั้งแต่จังหวัดนครศรีธรรมราชลงไป มีฝนฟ้าคะนองกระจาย ร้อยละ 40 ของพื้นที่ และมีฝนตกหนักบางพื้นที่ ลมตะวันออกเฉียงเหนือ ความเร็ว 20-40 กม./ชม. ทะเลมีคลื่นสูง 2-3 เมตร
    ภาคใต้ (ฝั่งตะวันตก) อากาศเย็นกับมีหมอกบางในตอนเช้า และมีฝนฟ้าคะนองเป็นแห่งๆ ร้อยละ 20 ของพื้นที่ ส่วนมากบริเวณจังหวัดกระบี่ ตรัง และ สตูล อุณหภูมิต่ำสุด 21-24 องศา อุณหภูมิสูงสุด 31-33 องศา ลมตะวันออก ความเร็ว 15-35 กม./ชม. ทะเลมีคลื่นสูง 1-2 เมตร
    กรุงเทพมหานครและปริมณฑล อากาศเย็น กับมีหมอกบางในตอนเช้า อุณหภูมิต่ำสุด 21-22 องศา อุณหภูมิสูงสุด 31-32 องศา ลมตะวันออกเฉียงเหนือ ความเร็ว 15-30 กม./ชม.



    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE border=0 cellSpacing=2 cellPadding=2 width=668><TBODY><TR><TD class=A2 vAlign=top><TABLE border=0 cellSpacing=2 cellPadding=2 bgColor=#f5f5f5 align=center><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR><TR><TD align=middle></TD></TR></TBODY></TABLE>
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE border=0 width=670 bgColor=#ffffff><TBODY><TR bgColor=#ffcae3><TD>ศาลสั่งจำคุก "พ่อดช.ปลาบู่" 15 วัน-กล่าวเท็จเขื่อนภูมิพลแตก </TD></TR><TR><TD> </TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE border=0 cellSpacing=2 cellPadding=2 width=668><TBODY><TR><TD class=A2 vAlign=top><TABLE border=0 cellSpacing=2 cellPadding=2 bgColor=#f5f5f5 align=center><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR><TR><TD align=middle></TD></TR></TBODY></TABLE>
    วันที่ 9 ม.ค. ที่ สภ.เมืองตาก จ.ตาก นายทองใบ คำศรี อายุ 73 ปี บิดาของ ด.ช.ปลาบู่ พร้อมด้วย ดร.ปชา ภาณุบุญ ผู้ติดตาม

    เข้าพบ ร.ต.ท.ชัยวัฒน์ พริ้งสกุล พนักงานสอบสวน เพื่อให้ปากคำตามหมายเรียกหลังนายสงคราม มนัสสา สมาชิกองค์การบริหารส่วนจังหวัดตาก เข้าแจ้งความให้ดำเนินคดี ในข้อหากล่าวเท็จอ้าง
    "คำทำนายเด็กชายปลาบู่" บุตรชายของ
    นายทองใบที่เสียชีวิตไปแล้ว จนทำให้ประชาชนตื่นตกใจว่าเขื่อนภูมิพลจะแตกในคืนวันที่ 31 ธันวาคม 2554 ที่ผ่านมา แต่ปรากฏว่าเวลาผ่านไปไม่เป็นไปตามกล่าวอ้าง จึงถูกดำเนินคดีดังกล่าว

    การเดินทางเข้าให้ปากคำครั้งนี้ นายสงครามพร้อมชาวบ้านกว่า 100 คน มาคอยพบนายทองใบแต่ไม่ได้พบจึงเดินทางกลับ

    พร้อมมอบดอกไม้ให้กำลังใจนายสงครามที่ทำหน้าที่แทนประชาชน กระทั่งเวลาผ่านไป 1 ชั่วโมง ต่อมาในเวลาประมาณ 15.00 น. พนักงานสอบสวนสรุปสำนวนและนำตัวนายทองใบส่งฟ้องศาลจังหวัดตาก ขณะที่ศาลได้สั่งลงโทษจำคุกนายทองใบเป็นเวลา 15 วัน ปรับ 500 บาท โทษจำคุกให้รอลงอาญาเป็นเวลา 2 ปี และสั่งนายทองใบห้ามพูดจาเลื่อนลอยแบบเดิม หลังศาลตัดสินนายทองใบยังได้ยกมือขอโทษชาวเมืองตากที่ทำให้ตื่นตกใจพร้อม บอกว่าไม่ได้ตั้งใจ

    นายสงคราม กล่าวว่า การแจ้งความดำเนินคดีกับนายทองใบครั้งนี้เพื่อจะทำให้หลาบจำไม่นำความเท็จไป

    สร้างความเดือดร้อนให้กับประชาชนอีก เพราะที่ผ่านมาก็เกิดความวุ่นวายให้กับชาวเมืองตากโดยทั่วหน้าซึ่งเหตุการณ์ ก็ไม่ได้เป็นไปอย่างคำกล่าวอ้าง ก็ขอให้นายทองใบจดจำไว้เป็นบทเรียนต่อไปก็อย่าพูดอะไรที่จะทำให้ผู้คนแตก ตื่นตกใจอีก

    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD><CENTER>ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: หนังสือพิมพ์ข่าวสด
    [​IMG]</CENTER></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  11. วรเดช

    วรเดช เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    1,753
    ค่าพลัง:
    +6,146
    [​IMG]
    MThai News : เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา (8 ม.ค.) สองสามีภรรยาคู่หนึ่งได้เข็นรถเข็นพาลูกชาย หนูน้อยคีริลล์ ดีเดนโค วัย 18 เดือน เดินเล่นบริเวณย่านช็อปปิ้งกลางเมืองเบรียนสค์ เมืองเล็กๆ ทางตะวันตกเฉียงใต้ของกรุงมอสโก ก่อนที่พื้นบริเวณนั้นจะเกิดหลุมยุบลึก 2-3 ม. จนแม่ของเด็กเกือบจะร่วงลงไป โชคดีที่สามีคว้าตัวเธอไว้ได้ทัน แต่โชคร้ายที่หนูน้อยหล่นจากรถเข็นลงสู่กระแสน้ำเชี่ยวที่ไหลอยู่ข้างล่าง
    ล่าสุด เจ้าหน้าที่ตำรวจและพ่อของหนูน้อยพบร่างไร้วิญญาณของเขา ห่างออกไปจากที่เกิดเหตุราว 6 กม.
    อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่กู้ภัยกล่าวว่าแม่ของหนูน้อยโชคดีมากที่รอดชีวิตมาได้ ขณะที่เธอยังคงช็อคกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นและยังไม่ยอมพูดจากับใคร ด้านทางการตรียมหาผู้รับผิดชอบ และเริ่มซ่อมท่อระบายน้ำกลางเมืองแล้ว
    Mthai News
    [​IMG]
    เกาะติดทุกข่าวเด่น ประเด็นร้อน ในรอบวันกับ Mthainews บน facebook คลิ๊กเลย
    ติดต่อทีมข่าว MThai News : news@mthai.com
    [​IMG]
    แท็ก : ทารก, หลุมยุบ
     
  12. k_isara 1

    k_isara 1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    521
    ค่าพลัง:
    +7,059
    9.กลุ่มชาวฟ้าที่ลงมาทำงานช่วยปกป้องคนดีในยามภัยจะมา

    องค์อินทร์ ๙๗
    ทำกาแทน
     
  13. k_isara 1

    k_isara 1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    521
    ค่าพลัง:
    +7,059
    10 ม.ค. 55

    น้ำไป วางใจ ละเลย
    เฉยเมย ไม่ยอม เตรียมการ
    สินค้า ทีดิน ขึ้นพล่าน
    ชอกช้ำ ซ้ำเติม เรื่อยมา

    ชีวิต ครอบครัว กลัวว่า
    ไม่ช้า จะไม่ ปลอดภัย
    เสียดาย กอดเงิน ทำไม?
    มาใช้ มาจ่าย เพื่อตน

    ต่อไป ค่าเงิน ไร้ค่า
    ไม่ช้า กลับกลาย เป็นเศษ
    หาซื้อ ไม่ได้ ปวดเฮด
    ขอเซด มีไว้ ใช้เป็น

    องค์อินทร์ ๙๗
    ทำการแทน
     
  14. k_isara 1

    k_isara 1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    521
    ค่าพลัง:
    +7,059
    10 ม.ค. 55

    เป็นเพราะท่านไม่เห็น จึงคิดเป็นว่าเขาผิด
    เทพพรหมลงตามติด ช่วยกันคิดแบ่งกันทำ
    ขอได้โปรดวางเฉย มองให้เห็นคิดให้ทัน
    เวรกรรมไม่รอนราน ครอบครัวตัวไม่ต้องผิด

    องค์อินทร์ ๙๗
    ทำการแทน
     
  15. จันทร์ณฟ้า

    จันทร์ณฟ้า สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    6
    ค่าพลัง:
    +0
    ขอแบ่งปันข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องนี้บ้างค่ะ

    1.วันที่ 20 กว่าตุลาคม 54
    เพื่อนสนิทไปกราบหลวงปู่รูปหนึ่ง ท่านอายุประมาณ 80 พรรษา 60
    เป็นครูบาอาจารย์สายพระป่าธรรมยุติ ที่หลายๆคนก็คงรู้จัก
    (เท่าที่อ่านมาเรายังไม่เห็นมีใครเอ่ยชื่อท่านว่าเตือนเกี่ยวกับเรื่องนี้ในเว็บพลังจิต)
    เพื่อนบอกหลวงปู่ว่าเครียดเรื่องน้ำท่วม หลวงปู่บอกว่า เดี๋ยวจากกทม.ก็ต่อที่ภาคใต้
    และท่านบอกว่าปีหน้า(หมายถึงปี2555) จะหนักกว่าปีนี้
    สิ่งศักดิ์สิทธิ์ในเมืองไทยมีมากมาย อยากช่วยก็ช่วยไม่ได้ เพราะต้องเป็นไปตามกรรม
    (ประมาณนี้ค่ะ)

    2.วันที่ 5 พ.ย. 54 เราไปทอดกฐินที่วัดป่าแห่งหนึ่งจ.อุดรธานี
    ท่านเจ้าอาวาสพูดต่อหน้าญาติโยม และพระเจ้าอาวาสวัดป่าอีกแห่งนึงว่า
    ไม่เกินปี 2560 กทม.จะหายไปจากแผนที่ประเทศไทย ปากน้ำทะเลจะย้ายไปอยู่นครสวรรค์

    ส่วนตัวเราเชื่อว่าท่านผู้มีญาณ หรือนิมิต หรือความฝัน(ซึ่งมีปกติแม่นยำ)
    เห็นนั้นเห็นจริง แต่สิ่งที่เห็นก็ตกอยู่ในกฎไตรลักษณ์ จึงอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ตามเหตุปัจจัยในอนาคต
    ดังนั้น หากสิ่งต่างๆที่ถูกกล่าวเตือนไว้ไม่เกิด หรือเลื่อน หรือคลาดเคลื่อน
    ก็ไม่อยากให้เกิดการปรามาส เพราะท่านเหล่านั้นเตือนด้วยความเมตตาปรารถนาดีต่อเพื่อนร่วมทุกข์ โดยจะพูดคล้ายกันว่าอย่าตื่นตระหนก แต่ก็มีสติและไม่ประมาทค่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 มกราคม 2012
  16. poon-pan

    poon-pan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    2,297
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +7,117
    สาธุครับ

    เรื่องน้ำท่วมกทม.ผมก็เคยได้ยินพี่คนที่เป็นลูกศิษย์สายพระป่าเล่าให้ผมฟังตั้งแต่ปี 2539 นู้นแน่ะครับ
     
  17. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,192
    อาหารและสงคราม-เล่าเรื่องการกินของคนในยามสงคราม

    [​IMG]

    กองทัพต้องเดินด้วยท้อง เงินทองคือมายา-ข้าวปลาคือของจริง

    ยังคงเป็นวาทะที่ยังใช้ได้ดีเสมอทุกยุคทุกสมัย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงสงครามที่มักเกิดปัญหาขาดแคลนอาหาร ข้าวยากหมากแพง บางครั้งมีเงินแต่ไม่สามารถหาอาหารมาประทังชีวิต ทั้งนี้ยังไม่รวมถึงภัยธรรมชาติที่มักถาโถมมาพร้อม ๆ กับสงคราม วิกฤติและการต่อสู้ดิ้นรนของผู้คนจึงเป็นสิ่งที่พบเห็นได้ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน

    สำหรับประเทศไทย สมัยสงครามโลกครั้งที่สองน่าจะเป็นช่วงเวลาเดือดร้อนแสนสาหัส เพราะนอกจากภัยสงครามแล้ว ผู้คนในที่ต่างๆ ยังประสบกับภัยน้ำท่วม นาล่ม อาหารไม่พอกิน และภาวะอดอยากหิวโหย อีกด้วย นายชีวสิทธิ์ บุญยเกียรติ์ นักวิชาการศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร เล่าว่า เมื่อปีที่ผ่านมา ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร ได้จัดนิทรรศการ “ย้อนยุค ข้าวยากหมากแพง” โดยนิทรรศการดังกล่าวได้เล่าถึงสาเหตุความอดอยากของคนไทยตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน รวมไปถึงการช่วยเหลือจากทางการและการปรับตัวของผู้คนให้มีชีวิตรอดอย่างมีความหวัง

    ยามสงครามชาวบ้านต้องประทังชีวิตด้วยการขุดเผือก มัน หน่อไม้ ขุยไผ่ มากินแทนข้าว หรือหุงกับรวมกับข้าว นอกจากนี้ความขาดแคลนทำให้ต้องประดิษฐ์และค้นหาสิ่งใหม่ทดแทน เช่น การใช้ใยสำปะรดแทนด้าย ใช้น้ำมันพืชแทนน้ำมันก๊าด หรือในยามน้ำท่วมซึ่งทำให้การประกอบอาหารเป็นไปได้อย่างลำบากจึงได้คิดค้นวิธีปรุงอาหารง่าย ๆ เช่น แกงจืดนอกหม้อที่ปรุงได้ในชาม หรือทำอาหารที่เก็บไว้กินได้นาน เช่น ปลาทูต้มเค็ม เป็นต้น

    แนวคิดการจัดนิทรรศการในข้างต้นจะถูกนำมาเสนอใหม่อีกครั้งในรูปแบบของเสวนาโต๊ะกลมภายใต้ชื่อ “อาหารและสงคราม-เล่าเรื่องการกินของผู้คนในยามสงคราม” ซึ่งได้รับเกียรติร่วมสนทนาจากคุณ Wong Hong Suen ผู้เขียนหนังสือ wartime kitchen ที่อธิบายถึงปัญหาการขาดแคลนอาหารในระหว่างและหลังสงครามโลกครั้งที่สองในสิงคโปร์ และผศ.ดร.มณธิรา ราโท ซึ่งศึกษาวิจัยเกี่ยวกับสงครามและความหิวในสังคมเวียดนาม ผ่านงานวรรณกรรมของ “นามกาว” ซึ่งระบุว่าสิ่งที่เคียงคู่ไปกับภาวะสงครามก็คือ ภาพของความอดอยาก แร้นแค้น และหิวโหยของผู้คน

    ในประเทศเวียดนาม สงครามโลกครั้งที่สองและสงครามมหาเอเชียบูรพาได้ส่งผลให้ประชากรต้องเสียชีวิตจากความอดอยากหิวโหยประมาณสองล้านคน ชาวบ้านที่นั่นต้องทำทุกอย่างเพื่อให้มีชีวิตรอด กินทุกอย่างที่ไม่เคยกิน ไม่ว่าจะเป็นรากไม้ เปลือกไม้ หญ้า วัชพืช ดิน หรือแม้แต่กินเนื้อมนุษย์ ขณะที่ความหิวโหยได้เข้ามาสั่นคลอนความคิดเรื่องจริยธรรมและคุณธรรมของผู้คน ทำให้เกิดปัญหาลักขโมย บางคนต้องขายลูกหรือทิ้งลูกตามเมืองใหญ่ ตามถนนในเมืองใหญ่ๆ เช่น ฮานอย ไฮฟอง ปรากฏพบโครงกระดูกหรือภาพของผู้คนที่มีร่างกายซูบผอมยืนเปลือยกายตามกำแพงเพื่อรอความตาย ซึ่งในแต่ละวันจะมีเจ้าหน้าที่มาเก็บซากศพตามถนนไปทิ้งย่านชานเมือง

    อย่างไรก็ตามหากมองอีกด้านหนึ่ง การเผชิญกับภัยสงครามไม่ว่าจะในประเทศไทย เวียดนาม หรือสิงคโปร์ เรายังคงพบว่าท่ามกลางการดิ้นรนเอาตัวรอดตามสัญชาติญาณของมนุษย์ ยังคงมีการรวมพลังต่อสู้ ฝ่าฝันกับวิกฤติที่นับเป็น “ชะตากรรมร่วม” ปรากฏอยู่

    ในกรณีประเทศเวียดนาม ปัจจัยสำคัญประการหนึ่งที่นำไปสู่ชัยชนะของขบวนการคอมมิวนิสต์นั้น เป็นเพราะพรรคคอมมิวนิสต์เป็นกลุ่มการเมืองเดียวในขณะนั้นที่ตอบสนองต่อปัญหาความอดอยากของประชาชน เช่น การนำกองกำลังเวียดมินห์เข้าบุกยึดโกดังเก็บข้าวของญี่ปุ่น มีกิจกรรมรณรงค์ต่างๆ เพื่อต่อสู้กับความหิวโหย อาทิ การแบ่งปันข้าวและเสื้อผ้า การรณรงค์เพื่อให้ประชาชนอดข้าวบางมื้อเพื่อนำข้าวที่ได้ไปช่วยเหลือคนยากจน พร้อมกับปลุกใจให้ประชาชนร่วมกันต่อสู้กับความอดอยากหิวโหย ดังที่โฮจิมินห์เคยกล่าวไว้ว่า “ความอดอยากไม่ได้อันตรายน้อยกว่าสงคราม... ...การต่อสู้กับความอดอยากก็เหมือนกับการต่อสู้กับศัตรูต่างชาติที่เราจะชนะได้อย่างแน่นอน...”

    แน่นอน สงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุดลงแล้ว แต่ในปัจจุบันเรายังต้องผจญกับสงครามการค้าและการเมืองอย่างไม่หยุดยั้ง การเกิดขึ้นของวิกฤติต้มยำกุ้ง วิกฤติแฮมเบอร์ และการผันผวนของราคาน้ำมัน ล้วนเป็นส่วนหนึ่งที่ผลักดันให้เราเข้าสู่สภาวะข้าวยากหมากแพง “ล่องหน” ซึ่งนับวันยิ่งทวีความรุนแรงและบีบคั้นมากขึ้นทุกขณะ การเรียนรู้และทำความเข้าใจในวิกฤติการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีตจึงมีส่วนสำคัญอย่างยิ่งต่อการสร้างหนทางรับมือและแก้ไขวิกฤติการณ์ในปัจจุบันอย่างน้อย เราคงได้เรียนรู้ว่า แม้ในยามที่เลวร้ายที่สุด มนุษย์มิเคยสิ้นหวัง...

    ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) จึงขอเชิญชวนผู้สนใจเข้าเป็นส่วนหนึ่งของวงเสวนาโต๊ะกลมเรื่องอาหารยามสงครามฯ อันเป็นหนึ่งในกิจกรรมที่หลากหลายของการประชุมประจำปีทางมานุษยวิทยา ซึ่งจัดโดยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร ติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่คุณ ศิวัช นนทะวงษ์ 0-28809429 ต่อ 3811

    เขียนโดย ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร วันพฤหัสบดีที่ ๒๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๓

    ที่มา http://www.food4change.in.th
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 มกราคม 2012
  18. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,192
    สงครามใหญ่ใกล้เข้ามาแล้ว มีเวลาอีกแค่ 2 เดือนเท่านั้น !!!

    [​IMG]

    สำหรับ คนที่ยังไม่ตื่นจากภายในก้าวเข้าสู่ทางแห่งธรรม แห่งกุศล มีเวลาอีก สองเดือนเท่านั้น คือไม่เกิน มีนาคมปีนี้ - kananun-

    อันตรายที่จะมาถึงในเร็วๆ นี้

    สำหรับ "อันตรายที่จะมาถึงในเร็ว ๆ นี้" นั้น ให้สังเกตเหตุการณ์ต่าง ๆ ต่อไปนี้ว่าจะมีเกิดขึ้นหรือไม่ ถ้ามีเหตุการณ์ต่อไปนี้เกิดขึ้น ก็ขอให้มนุษยชาติได้เตรียมตัวเผชิญชะตากรรมร่วมกันที่จะพบกับมหันตภัยสาธารณะ ทุพภิกขภัย และความเดือดร้อน ที่จะติดตามมาหลังเหตุการณ์เหล่านี้ไม่นาน

    1. ทารกแรกเกิด คนหนุ่มสาว และคนแก่เฒ่าชรา จะเป็นโรคที่รักษาไม่มีหาย มีการติดโรคร้ายได้ทุกวัยของมนุษย์ ใครเป็นโรคนี้แล้วจะต้องตายทุกคน จะนับจำนวนได้มากกว่า 60 ล้านคน ซึ่งโรคนี้ติดต่อได้ยาก เพราะจะติดต่อได้โดยการมีเพศสัมพันธ์ หรือโดยโลหิตของมนุษย์เท่านั้น (องค์การอนามัยโลก ได้แถลงข่าวทางสื่อมวลชนเมื่อต้นเดือนธันวาคม 2547 ว่าขณะนี้ ประชากรโลก ได้ติดเชื้อเอดส์แล้ว ประมาณ 60 ล้านคน)

    2. จะไม่พบว่า มีวันใดที่จะว่างเว้นจากการฆ่ากัน เพื่อแย่งชิงอำนาจปกครองดินแดน ไม่เกิดในประเทศนี้ ก็เกิดในประเทศโน้น มีการฆ่ากันเพื่อแย่งชิงอำนาจในการปกครองดินแดนทุกวัน (ให้สังเกตข่าวต่างประเทศในโทรทัศน์ วิทยุ และหนังสือพิมพ์ดูกันเอาเอง)

    3. สภาพดิน ฟ้า อากาศ จะมีความแปรปรวนสูง ไม่เป็นไปตามธรรมชาติที่เคยเป็นมา แผ่นดินไหว ภูเขาไฟระเบิด จะเกิดขึ้นในช่วงนี้มากขึ้น แม้บางแห่งไม่เคยเกิดแผ่นดินไหว ก็จะมีแผ่นดินไหวเกิดขึ้น บางแห่งภูเขาไฟได้ดับไปหลายร้อยปีมาแล้ว ก็จะระเบิดอีกครั้ง (เช่น เหตุการณ์ภูเขาไฟพินาตูโบ้ ในฟิลิปปินส์ ซึ่งดับมาเกือบ 600 ปีแล้ว ได้ระเบิดขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง เป็นต้น)

    4. ความต้านทานโรคของมนุษย์จะมีน้อยลง จะมีโรคแปลก ๆ เกิดใหม่มากขึ้น

    5. หลายประเทศจะมีการสร้าง ที่อยู่อาศัย ที่ทำมาหากินกันอยู่ในใต้ดิน (ใครที่เคยไปโตเกียวมาแล้ว หากได้มีโอกาสเดินลงไปในสถานีรถไฟใต้ดิน จะพบความยิ่งใหญ่ของเมืองใต้ดินที่มีผู้คนเดินกันขวักไขว่นับเป็นหมื่นคน อยู่ในใต้ดินถึง 3 ชั้นมหึมา มีทั้งร้านอาหาร ภัตตาคาร ห้างสรรพสินค้า ร้านค้าต่าง ๆ น้ำพุ น้ำตก ฯลฯ อยู่ในใต้ดินนั่นเอง ซึ่งผู้เขียนได้มีโอกาสไปเยือนเมื่อปลายปี 2534 แล้วพูดได้อย่างเดียวว่า มีเหตุการณ์เช่นว่าแล้วจริง)

    6. พลังแห่งความชั่วร้าย หรือซาตาน จะครอบงำโลก จะยุแหย่ให้ผู้คนแย่งชิงอำนาจฆ่าฟันกันเอง คนจะขาดสติมากขึ้น คนจะมีทิฐิมากขึ้น คนจะเห็นผิดเป็นชอบมากขึ้น ใครพูดผิดจากฝ่ายที่ตนคิด จะถูกตราหน้าว่าเป็นฝ่ายผิด ในขณะที่ฝ่ายตนตะโกนเรียกร้องประชาธิปไตย แต่ใครที่มีความคิดต่างจากฝ่ายตน จะถูกประฌาม และสาปแช่งในรูปแบบต่าง ๆ แม้แต่พี่น้องพ่อแม่ก็อาจแตกแยกอันเนื่องมาจากแนวคิดในทางการเมืองต่างกัน และรุนแรงถึงขนาดทำร้ายและฆ่ากันได้ เพียงเพราะมีความเห็นที่ไม่ตรงกันในทางการเมืองเท่านั้น การกระทำเพื่อยุติปัญหาการฆ่ากันเพื่อแย่งชิงอำนาจ ก็กระทำควบคู่กับการฆ่ากันอย่างต่อเนื่อง วิถีทางการทูตก็ทำกันไป แต่ไม่สามารถยุติการฆ่ากันเพื่อแย่งชิงความเป็นใหญ่ได้

    7. อารมณ์ของคนโดยทั่วไป จะมีความพลุ่งพล่าน หงุดหงิดงุ่นง่าน อย่างไม่ค่อยมีสาเหตุมากขึ้น คนที่รักสงบ จะถูกกดขี่ย่ำยี ผู้ที่มีอำนาจ ก็จะบ้าอำนาจมากขึ้น

    หากสังเกตได้ว่า เหตุการณ์ต่าง ๆ เหล่านี้ ได้เกิดขึ้นแล้ว หรือมีแนวโน้มที่จะเกิดขึ้นแน่ อันตรายโดยส่วนรวมของมนุษยชาติก็จะเกิดขึ้นติดตามมาในปี 2551 แต่ถ้าผู้คนส่วนใหญ่หันมามีการกระทำความดีมาก ๆ โดยมีคุณสมบัติ 5 มี (มีสติสัมปชัญญะ มีความกตัญญููกตเวที มีเมตตา กรุณา มุทิตา และอุเบกขา มีน้ำใจ และมีศีล 5 มีคุณสมบัติ 5 ให้ (ให้อภัย ให้ความรัก ให้ความจริงใจ ให้เกียรติผู้อื่น ให้การเสียสละ) และทำ 1 ทำ คือ ทำความดีมาก ๆ เหตุการณ์ที่เป็นมหันตภัยร้ายครั้งร้ายแรง จะเคลื่อนย้ายไปเกิดในปี 2560 (ค.ศ.2017)
    ขออนุญาตเรียนเพิ่มเติมว่า เพื่อความอยู่รอดปลอดภัย ผู้เขียนขอให้ท่านดำเนินการดังนี้

    1. นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป ท่านต้องเตือนตัวเองทุกวันว่า "ต้องไม่ปล่อยเวลาให้ผ่านไปในแต่ละวัน โดยมิได้ทำประโยชน์อันใดให้เกิดขึ้น" อะไรก็ได้ สิ่งใดก็ได้ ที่เป็นประโยชน์ จะเป็นประโยชน์แก่ตนเอง ประโยชน์ต่อคนในครอบครัว ประโยชน์ต่อที่ทำงาน ประโยชน์ต่อผู้บังคับบัญชา ประโยชน์ต่อลูกน้อง ประโยชน์ต่อชุมชน ประโยชน์ต่อสังคม ประโยชน์ต่อประเทศชาติ ฯลฯ

    โปรดอย่าปล่อยชีวิตให้หมดเปลืองไปกับสิ่งที่ไร้ประโยชน์ และอย่าอ้างว่า "การนอนมาก การกินมาก การไม่ทำอะไร" เป็นประโยชน์ตน เพราะนั่นเป็นสิ่งที่หลงผิดอย่างมหันต์ หรือกล่าวโดยสรุป คำว่า "ประโยชน์ตน" จะต้องเป็นสิ่งที่ปราชญ์สรรเสริญว่า "สิ่งนั้นต้องเป็นการกระทำเพื่อประโยชน์โดยแท้" สิ่งนั้น จะต้องไม่สร้างความเดือดร้อนใด ๆ ให้แก่ผู้ใด สิ่งนั้นจะต้องทำให้บุคคลผู้นั้นเอง มีความเข้มแข็งทั้งด้านร่างกายและจิตใจ สิ่งนั้น จะต้องทำให้บุคคลนั้นเอง ไร้ทุกข์-มีสุข อย่างถาวร สิ่งนั้น จะต้องเป็นสิ่งที่จะช่วยให้ครอบครัว ที่ทำงานชุมชน และสังคม ได้ประโยชน์ร่วมกันด้วย ฯลฯ

    2. ขอให้ท่านตระหนักว่า ในยามที่มหันตพิบัติภัยของโลก และของชาติมาถึง โรคภัยไข้เจ็บมีมาก ภัยธรรมชาติ และภัยสงครามระหว่างชาติแผ่ขยาย ข้าวปลาอาหารและยารักษาโรคขาดแคลน มีเงินและทรัพย์สินก็อาจหาอาหารมาประทังชีวิตมิได้ อาจเข้าสู่ยุคของการ "นำอาหารแลกเปลี่ยนอาหาร" หรือ "นำอาหารไปแลกเปลี่ยนเป็นยารักษาโรค" เพราะการป่วยเจ็บในยามมีภยันตราย ย่อมมีมากกว่าเกณฑ์ปกติ เป็น 10 เท่าทวีคูณได้

    3. ฝึกฝนตนให้เป็นคน "กินน้อยลง ใช้น้อยลง และนอนน้อยลง" ให้เริ่มต้นโดยพยายามลดปริมาณอาหารในแต่ละมื้อ เมื่อลดได้มากพอ ให้ลดมื้ออาหารลงเหลือเพียงวันละ 2 มื้อ เพราะจะเดือดร้อนน้อยเมื่อโลกเข้าสู่ภาวะวิกฤติ ที่ขาดแคลนอาหารอย่างที่ท่านไม่เคยเห็นมาก่อน ทั้งนี้ ข้าวราดแกง ที่เคยมีราคาจานละ 20 บาท อาจจะมีราคาถึงจานละ 600 บาท ทุกอย่างที่มีราคาในปัจจุบัน ถ้าราคากระโดดสูงขึ้น 30 เท่าตัว จะเป็นอย่างไร กรุณาลองวาดภาพดู เราจะไม่มีทางฟุ่มเฟือยได้เลยในภาวะวิกฤติภายหน้า ถ้าเราไม่ฝึกฝนตนเองในปัจจุบันให้เกิดความเคยชิน เราต้องลำบากยากเข็ญมากแน่

    4. ฝึกอบรมพัฒนาจิตใจให้มากขึ้น ฝึกจนใจร้อยเข้าสู่แกนสงบนิ่ง แล้วพิจารณาพระไตรลักษณ์ อันประกอบด้วย อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ให้ประจักษ์แจ้ง เห็นจริง ลงไปในส่วนลึกของจิต และให้เห็นจริงตามธรรมชาติว่า ทุกสิ่งมีเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป วนเวียนเปลี่ยนไปเสมอ ให้เห็นเรื่องการตายเป็นเรื่องธรรมดา ฝึก "ตายก่อนตายจริง" แล้วทุกสิ่งจะเห็นเป็นธรรมดา

    5. ฝึกกินอาหารพืชผักให้มากขึ้น ค่อย ๆ ลดเนื้อสัตว์ลง หากงดกินได้ในที่สุด ก็จะอยู่รอดได้ยาวนาน เพราะในสภาวะที่แร้นแค้น ทุกชีวิตล้วนแต่ตกระกำ ยากแค้น มีเงินทองก็อาจซื้อเนื้อสัตว์มิได้ แต่เราสามารถที่จะปลูกผักสวนครัว ไว้รับประทาน ประทังให้มีชีวิตอยู่รอดได้ ถ้าไม่ฝึกเสียแต่วันนี้ ความเคยชินก็จะไม่มี บางท่านอาจบอกว่า หากกินแต่พืชก็ขาดโปรตีน จะทำอย่างไรดี ก็ขอเรียนว่า โปรตีนจากพืชก็มี ความจริงในโรงพยาบาลบางแห่ง เช่น โรงพยาบาลมิชชั่น ทั้งหมอและพยาบาล ตลอดจนผู้ป่วยทุกราย รับประทานอาหารมังสวิรัติตลอดชีวิต เขาอยู่อย่างปกติสุข มีสุขภาพที่ดี ก็มีมากให้เราพบเห็นในปัจจุบัน "โปรดอย่าอ้างว่า กินแต่ผัก จะทำให้อ่อนแอ" แท้จริงนักโภชนาการ กลับบอกว่า "ผู้ที่กินเนื้อสัตว์ต่างหาก จะมีความอ่อนแอ ภูมิต้านทานโรคต่ำกว่าผู้ที่รับประทานพืชผัก"

    พวกเราจำเป็นจะต้องใช้ชีวิตที่หวนคืนกลับเข้าหาธรรมชาติให้มากขึ้น ผู้ใดเข้ากับธรรมชาติของมนุษย์ในสมัยโบราณได้ จะมีความเป็นอยู่ปกติสุขได้มาก ในยามโลกวิกฤติ ท่านจะทำอย่างไร ถ้าไม่มีไฟฟ้าใช้ ไม่มีน้ำประปาใช้ ไม่มีน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับเติมรถยนต์ขาย...

    โปรดไตร่ตรองให้ดี พิจารณาให้รอบคอบ ผู้เขียนไม่ปรารถนาให้เกิดมีขึ้น ไม่ว่าจะเกิดใน 3 ปี ข้างหน้า (ปี 2551) หรืออีก 12 ปี ข้างหน้า นับจากมกราคม 2548 (ปี 2560) แต่เราก็คงจะหลีกหนีเหตุการณ์ณ์ดังกล่าวมิได้ อย่างมาก ก็คงช่วยให้เหตุมหันตภัยดังกล่าวขยายเวลาออกไปให้ยาวไกลที่สุด เท่าที่จะเป็นไปได้เท่านั้น

    แต่ถ้าไม่มีเหตุวิกฤติหรือมหันตภัยใด ๆ เกิดขึ้นในโลกใบนี้ได้ โดยแลกกับการที่ผู้เขียนต้องถูกประฌามด่าว่า "ไอ้บ้า ทำให้คนตกใจกลัวทั้ง ๆ ที่ไม่มีเหตุร้ายใด ๆ เกิดในโลกใบนี้" ผู้เขียนยินดีให้ประฌามด่าว่า ผู้เขียนอยากให้เรื่องเลวร้ายและมหันตภัยไม่เกิดขึ้น ผู้เขียนอยากให้เรื่องของมหันตภัยเป็นเรื่องเหลวไหล หลอกลวง เลอะเทอะ ผู้เขียนยอมให้เวลาที่ผู้เขียนค้นคว้าในวันหยุดและตอนกลางคืนวันละหลายชั่วโมง สูญเสียไปโดยไร้ประโยชน์ ถ้าไม่มีเรื่องเลวร้ายใด ๆ เกิดขึ้น กับมนุษย์และสัตว์ทั้งปวง

    ความจริงนั้น ผู้เขียนไม่ต้องการเห็นมนุษย์และสัตว์ต้องทุกข์ทรมาน จากภัยพิบัติที่ร้ายแรง ที่กำลังจะเกิดขึ้น แต่มนุษย์ทั้งหลายตกอยู่ในความประมาท ในที่สุด ก็ต้องสูญสิ้นความเป็นมนุษย์ในยามโลกเข้าสู่วิกฤติอีกทั้งไปเพิ่มความเดือดร้อนให้แก่ผู้อื่น เป็นการเพิ่มความรุนแรง ด้วยการฉกชิง วิ่งราว จี้ปล้น และฆ่าผู้มีทรัพย์สิน หรืออาหาร หรือยารักษาโรค ผู้เขียนขอวิงวอนท่านที่มีโอกาสได้อ่านบทความนี้ ได้โปรดไตร่ตรองและอ่านทบทวนโดยรอบคอบ แม้จะเป็นชีวิตของท่าน ที่ท่านจะเลือกทางเดินอย่างไร ได้ตามใจชอบ แต่ผู้เขียนก็ไม่อยากให้ท่านทุกข์ยากเข็ญใจหนักหนาสาหัสกับเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ดังนั้น สิ่งใดที่ผู้เขียนจะชี้แนะให้พ้นภยันตรายที่จะเกิดขึ้นได้ ก็ขอทำหน้าที่ดังกล่าวสักนิด

    6. ถิ่นที่อยู่อาศัยในยามโลกเข้าสู่แดนมิคสัญญี เกิดโรคร้ายแรงระบาด สารพิษแพร่กระจายเต็มไปในอากาศและน้ำดื่มน้ำใช้ เส้นทางคมนาคมถูกตัดขาด การสื่อสารทุกชนิดงดให้บริการหมด "อยู่ในภาวะสิ้นสุดของโลกยุคโลกาภิวัตน์" เป็น "การสิ้นสุดของโลกไร้พรมแดนในการติดต่อสื่อสาร" สภาพดังกล่าว พวกเราอาจจะได้พบได้ใน 3 ปี ข้างหน้า มิฉะนั้นก็ภายใน 12 ปี ข้างหน้า (เวลาผ่อนปรนสุดท้าย) ไม่อาจหลีกหนีพ้น ทั้งนี้ ไม่ว่าจะเป็นคำสอนในพุทธศาสนา คริสต์ศาสนา ศาสนาอิสลาม ขงจื๊อหรือเต๋า และนิกายศาสนาอื่นใด มีคำเตือนมาแต่โบราณกาล กล่าวถึง "วันพิพากษาโลก / วันชำระล้างคนบาป / วันที่ไฟบรรลัยกัลป์ล้างโลก" เพียงแต่อาจจะมาเกิดให้เห็นในยุคของเราเท่านั้น

    สถานที่ต้องระวังและต้องขยับขยายถิ่นฐานคือ จังหวัดชายทะเลทุกจังหวัดบริเวณที่ลุ่ม บริเวณใต้เขื่อนต่าง ๆ และสถานที่ควรเข้าใกล้ คือ สถานที่ใกล้พุทธสถาน สถานที่ใกล้วัดป่า สถานที่ใกล้บริเวณที่ปฏิบัติธรรมอย่างจริงจัง


    </PRE>สถานที่อยู่อาศัย จะต้องหาบริเวณไว้ปลูกผักสวนครัว พืชไร่ พืชสวน และพื้นที่เลี้ยงสัตว์สำหรับประกอบอาหาร (สำหรับผู้ที่ยังติดในรสชาติเนื้อสัตว์ที่เลิกรับประทานมิได้ ก็เตรียมไว้ จะเป็นไก่ เป็ด หมู ปลา กุ้ง หอย ท่านก็จะต้องวางแผนไว้) หรือเลี้ยงสัตว์ที่จะใช้แทนยานพาหนะ เพื่อการติดต่อหรือเดินทางในยามจำเป็น และถ้าเป็นไปได้ ขอให้สร้างห้องใต้ดินไว้ทุกบ้าน ห้องใต้ดินควรปูด้วยแผ่นหินที่จะช่วยให้เกิดความเย็น หรือใช้วัสดุใดก็ได้ที่มีความเย็นเป็นหลัก มีระบบระบายอากาศที่มีคุณสมบัติในการกรองอากาศเสีย เพื่อมิให้ควันพิษจากข้างนอกเข้าไปภายในห้องใต้ดินได้


    7. ต้องจัดเตรียมเสบียงอาหาร โดยเฉพาะเครื่องกระป๋องให้มาก (ต้องดูวันหมดอายุให้ดีด้วยครับ) ปัจจัย 4 ที่จำเป็นต่าง ๆ อุปกรณ์เครื่องใช้และเครื่องช่วยดำรงชีพในป่า เพราะทุกแห่งหน จะมีสภาพเหมือนป่า โดยให้จัดเตรียมสิ่งของต่าง ๆ เช่น

    - เชือกชนิดดี มีความเหนียวทน ความยาวประมาณ 10 เมตรต่อคน
    - ยารักษาโรคที่จำเป็นต่าง ๆ อาทิ ยาแก้ปวดศรีษะ ยาแก้ท้องเสีย ยาแก้ปวดท้อง ยาแก้อักเสบ ยาแก้ไข้หวัดและยาประจำตัวต่าง ๆ ก่อนวิกฤติดังกล่าว
    - อุปกรณ์ให้แสงสว่างต่าง ๆ เช่น ไฟฉาย ไฟแช็ค ไม้ขีดไฟ น้ำมันก๊าด เป็นต้น
    - ถังใส่น้ำดื่มขนาดใหญ่ หรือภาชนะสำรองน้ำดื่ม (น้ำใช้มีความจำเป็นน้อยกว่ามาก ช่วงเวลานั้นไม่มีการซักเสื้อผ้า ไม่มีการอาบน้ำกันแล้ว)

    บทความนี้ ขอให้ท่านเก็บไว้อ้างอิง และเป็นแนวทาง เมื่อโลกเข้าสู่ภาวะวิกฤติ ซึ่งท่านทั้งหลายจะได้เห็นในปี 2548 เป็นต้นไปว่า จะมีความรุนแรงอันเกิดจากภัยธรรมชาติมากขึ้นถี่ขึ้น ดินฟ้าอากาศจะปรวนแปรมากขึ้น พายุใต้ฝุ่นและน้ำท่วมมีมากขึ้น แผ่นดินไหวมีเพิ่มขึ้น การฆ่าทำลายล้างฝ่ายตรงข้ามในประเทศต่าง ๆ มีมากขึ้น การแย่งชิงอำนาจในการเข้าบริหารประเทศชาติมีความรุนแรงมากขึ้น ซึ่งก็ได้เกิดให้เห็นแล้วในปัจจุบันหลายประเทศ ไม่ว่าจะเป็นอัลบาเนีย ซาอีร์ ปาปัวนิวกินี เป็นต้น และจะมีระดับความรุนแรงเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ถ้าไม่เป็นจริง ก็สบายใจไปได้ 50% แสดงว่าเงื่อนเวลาขยายออกไปอีกช่วงหนึ่ง ประมาณ 9 ปี

    นั่นคือ ความพยายามในการสงบระงับเหตุร้ายแรงนั้น ทำได้สูงสุดไม่เกิน พ.ศ.2560 หรือภายใน 12 ปีข้างหน้า ถ้าเหตุร้ายจะเกิดขึ้นจริง เกิดใน 12 ปีข้างหน้า นับจากมกราคม 2548 ย่อมดีกว่าเกิดภายใน 3 ปีข้างหน้า (พ.ศ.2551) แต่ถ้ารอไปอีก 12 ปีข้างหน้า ผู้คนทั้งหลายยังตกอยู่ในความประมาท ตกอยู่ในความมัวเมา ก่อกรรมทำเข็ญมากขึ้น หลีกหนีจากความดีงาม ไม่สนใจที่จะงดกระทำสิ่งที่เป็นบาปกรรม ไม่สนใจที่จะฝึกจิตให้ผ่องใส หากจะเกิดเหตุร้ายใน 3 ปีข้างหน้า ก็คงจะหนีชะตากรรมไปมิได้

    เมื่อนั้น ต่างก็คงจะต้องหาทางช่วยตัวเองและรับการตัดสินจากเจ้ากรรมนายเวรทั้งหลาย ที่ติดค้างมานานถึง 60,000 ปี จะได้ขุดรากถอนโคนให้หมดหนี้กรรมไปวาระหนึ่ง โดยผู้โชคดี หรือมีหนี้กรรมน้อย จะได้ตายในทันที ไม่ทรมาน แต่ผู้ที่มีกรรมชั่วมากจะตายก็ไม่ตาย แต่ได้รับความทรมานแสนสาหัส อยู่อย่างแร้นแค้น ยากเข็ญร้อนก็ร้อน สุดโหด หนาวก็หนาวสุดขีด ซึ่งก็คงจะได้พบเห็นกันในเร็ว ๆ นี้ โดยจะได้เห็นหิมะตกในประเทศไทยด้วย

    ด้วยความปรารถนาดี
    จาก นายมงคล กริชติทายาวุธ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 มกราคม 2012
  19. โชตนา

    โชตนา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    259
    ค่าพลัง:
    +773
    ที่เน้นสีฟ้า ตรงกันที่ได้ฟังเทศน์มาได้ฟังตอนนี้จึงเบิกบาน อ่านข่าวก็ให้รู้เป็นข้อมูลไว้ ขณะที่มีหน้าที่ก็ฟังเทศน์ cd สวดมนต์นั่งสมาธิ มีสติรู้กายและใจ เพราะจะหนีไปไหนก็ไม่ได้มีภาระอยู่
     
  20. Sawiiika

    Sawiiika เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 เมษายน 2008
    โพสต์:
    1,811
    ค่าพลัง:
    +1,557
    ขอขอบพระคุณ พี่ ๆ น้อง ๆ ที่ช่วยกันบอก ช่วยกันเตือน ทุก ๆ ท่านค่ะ เพราะ หลาย ๆ อย่างเราไม่สามารถรู้ได้ด้วยตนเอง
    จึงต้องติดตามข่าวสาร คำแนะนำ คำสั่งสอน จากครูบาอาจารย์ หากละเลยการให้ความสนใจในเรื่องที่เรามิอาจคาดคิดถึงได้
    ก็เหมือนตั้งตนอยู่ใน ความประมาท และ ยังหลงระเริง มัวเมาไปกับกระแสแห่ง ความโลภ โกรธ หลง อย่างไม่รู้ตัว หมดเวลาไป
    อย่างสูญเปล่า โดยมิรู้เท่าทันว่าเกิดเหตุใด ขึ้นบนโลกนี้บ้าง หากได้รับการตักเตือน ด้วยความห่วงใยจากกัลยณมิตร ก็สามารถ
    ทำให้ผู้ที่ยัง หลุ่มหลง มัวเมา กลับตัว กลับใจ มองเห็นคุณค่าของ " เวลา " ที่เรายังมีอยู่เพิ่มขึ้น และ พึงตระหนัก เนือง ๆ ว่า
    ในยุคแห่ง ภัยพิบัติ นี้ เราไม่รู้ว่าจะเหลือเวลาอีกเท่าไหร่ เพื่อได้มีโอกาส สร้างความดี และ พบเจอหนทาง ที่จะพาให้เราไป
    สู่ ความ สงบ สุข สันติ ได้อย่างแท้จริง

    ก่อนที่ จะสายเกินไป ............... คำเตีอนจากพี่ ๆ น้อง ๆ ณ ที่นี้
    ก็เป็นแรงผลักดันหนึ่ง ที่ช่วยให้เราพึงตระหนักตน ให้ตั้งอยู่ใน " ความไม่ประมาท " เป็นสำคัญค่ะ

    ขอขอบพระคุณพี่ ๆ น้อง ๆ ทุก ท่านเป็นอย่างยิ่งค่ะ สำหรับทุกความปรารถนาดีค่ะ ไม่ว่าใครจะมอง
    การเตือนภัยพิบัติ ในแง่ใด ก็ตาม ผู้มีปัญญาในการพิจารณาข่าวสาร ย่อมมองหาผลประโยชน์ที่พึงคุณค่า
    ให้แก่ตนมากกว่า มองหาข้อเสียมาเพิ่มความขุ่นข้องใจอย่างไร้การพิจารณาให้เข้าใจก่อนสรุปความไปเอง

    [​IMG]
    ( ภาพสมเด็จองค์ปฐม ณ วัดท่าซุง จ.อุทัยทานี ค่ะ )

    ขออำนาจแห่งคุณพระศรีรัตนตรัย คุณพระโพธิสัตว์ทุก ๆ พระองค์ คุณบิดา มารดา คุณครูบาอาจารย์
    และ คุณเทพพรหมเทวา สิ่งศักดิ์สิทธิ์สัมมาทิฐิ ทั่วสากลภิภพ โปรดเมตตา คุ้มครองดูแลรักษา พี่ ๆ น้อง ๆ
    ทุกท่าน ให้ตั้งตนอยู่ ใน สัมมาทิฐิ สัมมาสมาธิ สัมมาปัญญา สัมมาปฏิบัติ แคล้วคลาดจาก ภัยอันตราย ทั้งปวง

    มีโอกาส ได้ บำเพ็ญเพียรปฏิบัติธรรม สร้างสมคุณงามความดี ให้เกิดคุณประโยชน์ เกิดคุณค่า ต่อตนเอง ผู้อื้น
    สืบต่อไปด้วยเทอญ ____________________________________________ สาธุ สาธุ สาธุ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • DSC05929.jpg
      DSC05929.jpg
      ขนาดไฟล์:
      474.6 KB
      เปิดดู:
      2,762
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 มกราคม 2012

แชร์หน้านี้

Loading...