นั่งสมาธิ จิตสงบแล้วทำไม ???

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย momogo, 15 พฤษภาคม 2012.

  1. momogo

    momogo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    570
    ค่าพลัง:
    +1,158
    เมื่อคืนก่อนหน้านี้ นั่งสมาธิจิตสงบสักพัก
    แล้วล้มตัวลงนอน ภาวนาไปเรื่อยๆ
    จนคำภาวนาหายไป จับแต่ลมหายใจ

    อยู่ๆ จิตก็เห็นเหมือน ตัวเอง ลอยกลางอากาศ
    มองลงมา เห็นคุณแม่ชีในชุดสีขาว (ท่านปลงผม)
    นั่งภาวนาอยู่

    ตอนนั้นก็ไม่ได้สนใจค่ะ แต่ตอนนี้เริ่มสงสัย
    เพราะช่วงนี้พอหลับตา จิตสบายๆ
    แล้วเห็นบ่อยๆ ภาพจะเห็นนานมาก และชัดเจน

    แต่พอลืมตาขึ้นมา ภาพนั้นก็หายไป
    พอหลับตาอีกครั้ง ก็ไม่เห็นแล้ว

    ทั้งๆ ที่ไม่ได้ภาวนามากมาย แค่พักผ่อนสายตา ทำไมจึงเห็นได้คะ
    หรือจะอยู่ในช่วงอุปจารสมาธิคะ แต่รู้สึกว่า เห็นเร็วเกินไปค่ะ
    หลับตาแปบเดียวก็เห็นเลย และเห็นนานมากค่ะ

    ทำยังไงจะให้การภาวนาจากนี้ ข้ามผ่านอุปจารสมาธิได้คะ
    หรือต้องกลับมาใช้คำภาวนาเหมือนเดิม

    แล้ว...การที่เราอยู่ลอยอยู่ด้านบน ไม่เห็นตัวเอง
    แต่ภาพคุณแม่ชีอยู่ด้านล่าง
    เห็นในมุมบน อย่างนี้จะถือว่า ปรามาสไหมคะ


    [​IMG]
     
  2. สับสน!

    สับสน! เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 เมษายน 2010
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +3,984
    ..อย่างนี้ ไม่เรียกว่าจิตสงบครับ..เรียกว่าส่งจิตออกนอกดูนิมิตรครับ
     
  3. momogo

    momogo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    570
    ค่าพลัง:
    +1,158
    แล้วทำไม ถึง มีนิมิตได้ล่ะคะ ฟุ้งซ่านเหรอคะ
     
  4. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,941
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819
    สติเพลอ ครับ แต่ไม่รู้ตัว แล้ว สติ ตามไม่ทัน คิดไปเองว่า คำภาวนาหายไป

    เพราะ คำภาวนา จะหายได้ มีแค่ 2 อย่างคือ 1 อัปปนาสมาธิ กับ ฌาน2 ขึ้นไปครับ

    มันจะหายตามความเป็นจริง ของ สมาธิครับ

    ถ้านอกจากนี้ คือ ตัวเองลืมภาวนาเองหมดละครับ แล้วเข้าใจไป คิดไปเองว่า คำภาวนาหาย ทั้งๆ ที่ มันเพลอ ไปนะคับ แต่ไม่รู้ตัว


    แล้วพอ สติเพลอ ลืมคำภาวนาไป มันก็เลย ไป คว้า นิมิต เข้ามาแทน ครับ พอนิมิต มา เอา จิตไป จับ นิมิต ดู นิมิต ภาพที่เกิด จิต เลยไปจับ นิมิต มันเลย เกิดครับ

    ถ้าไม่เพลอ ก็มีแต่ ตัวเองไม่ยอม ภาวนาต่อเอง คือ ไปตัดคำภาวนาเอง แล้วเข้าใจว่า คำภาวนาหาย เหมือนไปสร้างว่า คำภาวนาหายไป

    แต่ส่วนใหญ่นี่ เพลอ เต็มๆ สติเพลอ แน่ๆ ครับ เพราะ ถ้ารู้ตัวเอง มีสติ แล้วไม่ภาวนาเอง ก็จะรู้ตัวเองครับ ว่า ตัวเองไม่ภาวนาเอง

    ไม่ใช่ ฟุ้งซ่าน ครับ ถ้า ฟุ้งซ่าน จะไม่เกิด สมาธิ ครับ จิตจะสงบ จนเห็น นิมิตไม่ได้หรอก


    แต่เรียกว่า จิตสงบ แล้วส่งออก เพราะ เพลอ ลืม ภาวนา แล้ว ส่งออกไปดู นิมิต แทนครับ

    อย่างที่ ความเห็นข้างบน บอกมาส่วนนึงครับ


    นิมิต นี่ ส่วนนึง จาก ของเก่า จะเกิดขึ้นเอง ส่งมาให้เห็นเอง จากที่เคย บำเพ็ญ สร้างมาใน อดีต ชาติ ก่อนๆ ก็ส่งผลให้ มี นิมิต ตามสภาพที่เคย สร้างบารมี มา

    นิมิต อีกส่วนนึง ก็คือ ส่งออกไปดู จิตส่งออก ไปดูไปเห็นไปรู้ ไปจับเอา นิมิตมาเอง

    อยู่ที่คน ครับ นิมิต มีทั้ง คุณ แล้วก็ โทษ ครับ อยู่ที่ว่าจะเลือกอย่างไร ครับ


    ส่วนใหญ่ ถ้า จิต ยังไม่มี กำลังสมาธิ พอ การส่งไปดู นิมิต เปรียบเหมือน ใช้ พลังงาน ออกไป เหมือน ตุ่มน้ำที่ รั่ว เก็บน้ำไว้ไม่ได้

    ทำให้เวลา เราจะใช้งานจริง ก็เหมือน ตุ่มน้ำ ที่ไม่มีน้ำให้ใช้


    ครูบาอาจารย์ ถึงสอนให้ ตัด นิมิต ออกไป เจออะไร เห็นอะไร ก็ตัดออกไปให้หมด เพื่อให้ จิต มีกำลัง มีพลัง เหมือน ตุ่มน้ำที่ไม่รั่ว

    พอจะใช้งานจริง ก็ มีน้ำให้เราตักใช้ ครับ เวลา เจอ นิมิต ที่เป็น ธรรม ใน สติปัฐฐาน 4 กาย เวทนา จิต ธรรม ก็จะมี กำลัง ไว้ใช้งาน ครับ

    ถ้าเป็น นิมิต นอก กาย เวทนา จิต ธรรม

    แนะนำให้ ตัด นิมิต ที่นอกจากสติปัฐฐาน 4 ทิ้งให้หมด กลับมาที่คำภาวนา ใน สมาธิ ครับ
    .
    จิตสงบ จน จิตเป็นสมาธิ เห็นตัวจิต แล้ว ให้ พิจารณา ธรรม ครับ

    .
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 พฤษภาคม 2012
  5. momogo

    momogo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    570
    ค่าพลัง:
    +1,158

    สงสัยไม่รู้ตัวจริงๆแหละค่ะ
     
  6. chottana

    chottana เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    176
    ค่าพลัง:
    +337
    ผมว่าเหมือนมีคนบอกอยู่นะว่ามี2ลักษณะคือ จิตเห็นจริง กับ จิตสังขารเเต่งขึ้นมโนภาพ
     
  7. Phanudet

    Phanudet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    8,434
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +15,646
    จขกท. มีความรู้พื้นฐานมาดีแล้วนะครับ....ถูกแล้วครับ.....เป็นสมาธิในช่วงของอุปจารสมาธิ.....

    นิมิตในช่วงของอุปจารสมาธินั้นมีได้หลายอย่างครับ....นิมิตที่มาเองก็มี ตลอดจนนิมิตที่เป็นเทพนิมิตและกรรมนิมิตก็มี...จิตในช่วงอุปจารสมาธินั้นบางท่านที่มีความสามารถทางด้านนี้จะมีจิตสัมผัสความเป็นทิพย์ได้....ก็จะสามารถเห็นนิมิตที่เกิดขึ้นได้.....นิมิตที่เกี่ยวข้องกับเทพนิมิตหรือกรรมนิมิต จะเห็นซ้ำโดยที่เราไม่ได้ตั้งใจให้เกิด เห็นบ่อยๆเนืองๆ....แล้วสักวันเกิดเป็นความจริง....อันนี้แน่นอนครับ...ส่วนนิมิตที่ลอยมาเองอันนี้ก็อีกประเภทหนึ่งไม่มีความจำเป็นต้องสนใจ.....จริงๆแล้วไม่ต้องสนใจทั้งหมดก็ได้ครับ....รอมันเห็นบ่อยๆแล้วเกิดขึ้นจริง เพื่อยืนยันนิมิตที่เห็นเมื่อไร ค่อยว่ากัน.....ไม่มีความจำเป็นต้องไปตามนึกตามคิด ตามค้นหา....
     
  8. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,430
    ค่าพลัง:
    +35,010
    ต้องไม่สนใจในสิ่งต่างๆที่เห็น..พยายามกระตุ้นความรู้สึกให้กลับมาด้วยกำลังสติ.จะทำให้นึกถึงคำภาวนาที่ใช้อยู่ได้ครับ....
    และจะทำให้มีกำลังสมาะธิเพิ่มขึ้นได้ครับ..ถ้าไปตามนิมิตรนานๆ..จริงอยู่เป็นการระงับนิวรณ์ได้นานแต่จะไม่ช่วยส่งเสริมกำลังสมาธิ
    ในด้านการเดินปัญญาครับและยังสุ่มเสี่ยงกับนิวรณ์ได้ครับ...ส่วนที่ใช้เวลาไม่นาน..เป็นเพราะจิตจำอารมย์นั้นได้ซึ่งเป็นเรื่องปกติครับ.
    .แค่ไม่กี่นาทีหรอกครับอารมย์เป็นทิพย์อย่างนั้น..หรือคุณลองสังเกตุที่ๆคุณไปก็ได้ครับ..สังเกตุไหมครับว่ามันไปได้ไม่ไกล
    (
    คืออยู่แต่ในภพนี้)..ถ้าเพิกได้อย่างที่บอก..และมาเดินปัญญา..จะไปได้ในภพภูมิที่สูงขี้นและสภาพแวดล้อมการมองเห็นก็จะดีกว่า.
    .ไม่มืดสลัวๆแบบนี้ครับ...
    อนุโมทนาสาธุครับ..
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 มกราคม 2013
  9. momogo

    momogo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    570
    ค่าพลัง:
    +1,158
    ขอบพระคุณมากค่ะ พยายามสงบจิตสงบใจ แต่ช่วงนี้ เวรกรรม รุมเร้าเหลือเกิน T^T

    โทสะขึ้นพรึ่บๆ เลยค่ะ แน่นหน้าอก หายใจไม่ค่อยสะดวก ต้องกำหนดนาน เหนื่อยและท้อจัง


    นิวรณ์รุมแล้วค่ะ พยาบาทมาอีกแล้ว เบื่อตัวนี้มาก แพ้ทางตลอดเลย ตัวอื่นไม่ค่อยเท่าไร

    ตัวนี้หนักสุด ขยันมาจริงๆ

    ลองพยายามลืมดูแล้วนะคะ ลืมแบบไม่คิด หายใจให้เพลินๆ ให้มันค่อยบรรเทาลง

    แต่ยังไงเสีย อาการแน่นหน้าอกก็ยังมีอยู่ ไม่ได้ไปหักหาญให้ไม่คิดนะคะ แต่ก็แน่น


    เริ่มรู้แนวทางแล้วค่ะ จะพยายามมีสติมาก ๆ ตอนภาวนา ขอบคุณมากค่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 พฤษภาคม 2012
  10. NICKAZ

    NICKAZ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    173
    ค่าพลัง:
    +812
    ผ่านมาเจอ น่าสนใจ

    ขอร่วมเสวนา แลกเปลี่ยนประสบการณ์นะครับ เสนอแนะสิ่งใดให้เจ้าของกระทู้ไม่ได้เลย ต้องขออภัยด้วยครับ

    "ทำยังไงจะให้การภาวนาจากนี้ ข้ามผ่านอุปจารสมาธิได้คะ
    หรือต้องกลับมาใช้คำภาวนาเหมือนเดิม"


    ขอเสริมท่านๆ ข้างบน เป็นการคั่นเวลาไปก่อน เพราะพอดีเห็นมีประเด็นของเจ้าของกระทู้ที่แสดงไว้ แล้วยังไม่เห็นมีท่านใดมาคุยตรงส่วนนี้ แต่จริงๆ น่าจะเป็นประเด็นหลักของหัวข้อนี้เหมือนกัน เพราะเป็นสิ่งที่ท่านยังติดอยู่

    ง่ายๆ เลยคือ (ผมชอบปฏิบัติกรรมฐานแบบง่ายๆ ทำให้สนุกเข้าว่า) อย่าไปสนใจภาพที่เกิดขึ้น ขณะนั้น ทำสิ่งใดอยู่ มุ่งไปจุดนั้นอย่างเดียว อารมณ์อย่างอื่นๆ อย่าได้ไปสนใจ เช่น กำลังภาวนาอยู่ ก็ต้องตั้งกำลังใจว่า เราจะรักษาคำภาวนาเพียงอย่างเดียว รูป รส กลิ่น เสียง ที่เกิดขึ้นในขณะนั้น ให้ทิ้งไปเสีย อย่าไปเกี่ยวข้อง หากรักษากำลังใจอย่างนี้ได้จนตลอดรอดฝั่ง ก็จะสามารถข้ามผ่านอุปจารสมาธิได้ตามความประสงค์ต่อไปครับ

    จริงๆแล้ว อุปจารสมาธิ ก็เป็นสมาธิที่มีความสำคัญและมีประโยชน์ การฝึกในหมวดวิชชาสาม มีอะไรที่่เกี่ยวพันกับสมาธิในส่วนนี้ค่อนข้างเยอะ แต่การจะใช้ประโยชน์จากสมาธิในส่วนนี้ได้เต็มที่ ก็ต้องรู้จักแยกแยะข้อเท็จจริงให้ได้เสียก่อนว่าภาพใดเกิดจากความฟุ้งซ่าน ภาพใดเกิดจากความสงบ ภาพใดสามารถนำมาใช้งานได้ ภาพชนิดใดให้เพิกเฉยเสีย ภาพชนิดใดให้ตัดทิ้ง เมื่อแยกแยะได้แล้ว ก็จะเข้าสู่การฝึกเพื่อใช้งานจากสมาธิในส่วนนี้ต่อไป แต่ประเด็นเหล่านี้ ผมขอยังไม่กล่าวถึง เพราะจะเกินประเด็นของกระทู้นี้ไป ตอนนี้เสวนากัน เพื่อเป็นตัวอย่างให้เห็นถึงประโยชน์ของอุปจารสมาธิโดยสังเขปก็พอ

    ในบรรดาสมาธิทั้งสามประเภท สามระดับ คือขณิกสมาธิ (สมาธิชั่วขณะ) อุปจารสมาธิ (สมาธิเฉียดฌาน ) และอัปปนาสมาธิ (ฌาน) กล่าวกันว่า สมาธิที่น่ากลัวที่สุดคืออุปจารสมาธิ เพราะมีสิ่งต่างๆ ผ่านเข้ามาให้ไขว้เขวได้มาก หากอาศัยกำลังใจที่มั่นคง รู้จักหน้าที่ของตนเอง ไม่มัวแต่ไปสนใจกับสิ่งที่ไม่ใช่ภารกิจหน้าที่ ถ้าทำได้เพียงเท่านี้ การจะก้าวข้ามอุปจารสมาธิก็เป็นเรื่องที่ไม่ยากจนเกินไปนัก

    คุยกันคั่นเวลาก่อนครับ รอความเห็นต่อไปที่จะเข้ามาแนะนำเจ้าของกระทู้ และผมก็จะได้ถือโอกาสเรียนรู้จากท่านทั้งหลายไป พร้อมๆกับท่านเจ้าของกระทู้ด้วยคนนะครับ
     
  11. NICKAZ

    NICKAZ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    173
    ค่าพลัง:
    +812
    แน่นหน้าอก?

    อีกเล็กน้อย มีแน่นหน้าอกด้วย เป็นมากไหมครับ ลองไปครวจร่างกายบ้างก็ดีนะครับ บางทีอาจจะเกิดจากพยาธิสภาพทางร่างกายด้วยก็ได้

    เห็นว่าในบอร์ดนี้ก็มีนายแพทย์แผนปัจจุบันแวะเวียนมาบ้างเหมือนกัน ถ้าหากมีโอกาสที่ท่านผ่านมา ท่านอาจจะให้ข้อเสนอแนะในส่วนนี้บ้างก็เป็นได้
     
  12. momogo

    momogo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    570
    ค่าพลัง:
    +1,158
    จะเป็นตอนนึกเรื่องให้โมโหคะ ก็อาฆาต พยายามไม่คิด จะแน่นมาก
    แต่บางทีก็แน่นขึ้นมาเอง ก็ไม่รู้ว่าเป็นอะไรเหมือนกัน อาจจะเป็นเพราะร่างกายก็ได้ เพราะกินอะไรเข้าไป ไม่ค่อยจะย่อย บางทีไม่ย่อยหลายวัน เหมือนอิ่มทิพย์เลยค่ะ แต่แน่นหน้าอก แล้วก็แสบท้อง แต่ก็ทานอาหารปกตินะคะ T^T

    ขอบคุณนะคะ ติดตัวนี้แหละค่ะ พอเห็นนิมิต แล้วก็ลืมตาขึ้นมาดู
    ว่าข้างหน้าเราจริงๆตอนนี้มีไหม เพราะมันชัดมาก แล้วภาพไม่หายไป
    บางครั้งเห็นวิญญาณ มาในรูปลักษณ์ ผู้หญิงตัวใสๆ ดำ ๆ หน้าตาอาฆาต มาที 2 คน กับเด็กไม่สวมเสื้อ คาดผ้าขาวท่อนล่าง เลยลืมตามาดู
    ว่าถ้าลืมตาขึ้นมาแล้วจะัยังเห็นเขาอยู่ไหม

    แหะๆ ไม่ค่อยได้เห็นบ่อยหรอกค่ะ แต่พอเห็นก็จะเห็นติด ๆ กัน
     
  13. คมสันต์usa

    คมสันต์usa เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 เมษายน 2012
    โพสต์:
    1,879
    ค่าพลัง:
    +11,861
    ขอแจมด้วยครับ   สิ่งที่คุณเห็นน๊ะ  จริง แต่สิ่งที่ถูก

    คุณเห็นน๊ะเป็นสิ่งลวง.

    น้อมจิตของคุณกลับมาอยู่ที่ลมหายใจ  สิ่งที่คุณเห็นก็จะหายไปเอง

    เอาใจช่วยครับ

    บุญรักษา
     
  14. คมสันต์usa

    คมสันต์usa เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 เมษายน 2012
    โพสต์:
    1,879
    ค่าพลัง:
    +11,861
    ขอแจมด้วยครับ   สิ่งที่คุณเห็นน๊ะ  จริง แต่สิ่งที่ถูก

    คุณเห็นน๊ะเป็นสิ่งลวง.

    น้อมจิตของคุณกลับมาอยู่ที่ลมหายใจ  สิ่งที่คุณเห็นก็จะหายไปเอง

    เอาใจช่วยครับ

    บุญรักษา
     
  15. สับสน!

    สับสน! เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 เมษายน 2010
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +3,984
    อ้าวงั้น สติหายไปไหนเล่าครับ ท่านภาณุเดช..ก่อนนั่งต้องรู้ตัวนี่ครับหากเข้าอุปจารจริง.ขั้นชนิกกะก็มีนิมิตรแล้วครับ:'(
     
  16. Arunrung102

    Arunrung102 สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2
    ค่าพลัง:
    +9
    หากมีโอกาส ลองกราบเรียนถามครู อาจารย์ ที่องค์ท่านผ่านประสบการณ์เหล่านี้มาจนหมดแล้ว จะเป็นประโยชน์ต่อคุณ momogo ยิ่งนัก เช่นหลวงพ่อไม อินทสิริ วัดป่าเขาภูหลวง วังน้ำเขียว จ.นครราชสีมา หรือ หลวงพ่อสมหมาย วัดป่าสันติกาวาส อ.ไชยวาน จ.อุดรธานี เป็นต้น สองรูปนี้ ล้วนแล้วแต่สามารถอธิบายอุบายภาวนาให้ฟัง ให้เข้าใจ และให้เข้าถึงใจได้ง่ายนัก
     
  17. barking dog

    barking dog เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มกราคม 2012
    โพสต์:
    765
    ค่าพลัง:
    +152


    ตอนคำบริกรรมหายไป แล้วดูลมหายใจ เราดูอยู่ที่ไหนจ๊ะ ?
    จมูก ? ช่องท้อง ? ช่องอก ?

    หากเรารู้สึกชัดเจนเต็มที่ ในที่ๆเราอยู่ ถึงมีภาพปรากฎในใจ เราก็ไม่รู้ว่ามันเป็นภาพนะจ๊ะ เราจะเริ่มรู้สึกว่ามันเป็นภาพ เมื่อความรู้สึกเรากระจายออกหรือเคลื่อนจากลมหายใจ

    ทีนี้ ถึงแม้ความรู้สึกเรากระจายออกหรือเคลื่อนจากลมหายใจก็ตาม หากเรามีปีติ ปัสสัทธิ ขณะสัมผัสลม ถึงเห็นภาพเราก็จะไม่สงสัยในภาพ มันอิ่มตัวในฐาน เหมือนกับที่ท่านเจ้าของกระทู้บอก ว่าเห็นตอนแรกไม่สนใจ เมื่อใดที่ฐานปีติ ปัสสัทธิ เราไม่แน่นพอ เราจะเริ่มสงสัย และตามภาพนั้นไปค่ะ

    ตอนที่ภาพมาปรากฎตอนแรก อาจเป็นสัญญา (ความจำได้หมายรู้) ที่เรารับรู้ได้ด้วยปีติธาตุไฟอันเจริญขึ้นขณะเรานั่งภาวนา และเนื่องจากเรามีปีติอยู่ในตอนนั้น เราจึงไม่สนใจมันในครั้งแรก แต่ครั้นเราเลิกภาวนา เรากลับมาระลึกได้ว่าเห็นภาพ เอ ภาพนั้นคืออะไร จึงติดเป็นความลังเลสงสัยอยู่ลึกๆ เมื่อกลับไปนั่งภาวนาในครั้งต่อๆไป ภาพนี้จึงกลับเข้ามาใหม่ โดยมาตั้งแต่เมื่อแรกหลับตา เพราะในใจเราบันทึกความลังเลสงสัยในภาพนี้อยู่ การภาวนาครั้งหลังๆ จึงมีแต่ความสงสัย ฐานปีติ ปัสสัทธิ จึงไม่ปรากฎ เราจึงรู้สึกกระวนกระวายกับภาพที่เกิดขึ้น เชื้อความกังวลในใจหลักๆที่เรามีก็คือ เราปรามาสแม่ชีในภาพหรือเปล่า

    หากต้องการผ่านภาพนี้ไปให้ได้ คงต้องจัดการกับความลังเลสงสัยนี้เสีย ด้วยวิธีที่ตนเองยอมรับได้อย่างสบายใจ เช่น ขอขมาแม่ชีในภาพเสียหากรู้สึกว่าตนปรามาสท่าน ยอมรับว่าตนไม่รู้ว่าภาพนั้นบ่งบอกอะไรและมาจากไหน แต่ตนก็ได้จัดการกับภาพนั้นอย่างเต็มที่ตามอัตภาพแล้ว พอใจกับการจัดการของตนเอง เราทำเต็มที่แล้ว

    ต่อมาเวลาภาวนา ให้ตั้งใจให้ตนเองตระหนักอย่างชัดเจนว่าจะดูลมอยู่ที่ไหน เมื่อไปอยู่ที่นั่นแล้วก็ผ่อนคลายสบายๆ สัมผัสลมไปอย่างที่เคยทำ เกิดภาพเกิดอะไรก็ไม่เป็นไร ค่อยๆทำไปเรื่อยๆ นะจ๊ะ

    ขออนุโมทนาสาธุในธรรมทานจ้า
     
  18. barking dog

    barking dog เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มกราคม 2012
    โพสต์:
    765
    ค่าพลัง:
    +152
    อาการแน่นหน้าอก เพื่อน sun dog คนที่คุยกันบ่อยๆเขาก็เป็น
    เขามีเรื่องโมโหมากมาย เกี่ยวกับบุพการี ที่ระบายออกไม่ได้ มาตั้งแต่เด็ก
    เพื่อน sun dog เขาดูลมไม่ได้ด้วย เพราะเมื่อดูแล้วจะแน่นหน้าอกขึ้นมาทันที

    เขาใช้คำบริกรรม ภาวนาเอา เวลาอยู่ได้เขาก็อยู่ได้ เวลาอยู่ไม่ได้เขาก็กระวนกระวาย นั่งไม่ได้ หลับตาก็ไม่ได้ sun dog บอกให้เขาสู้กับปัญหา ใช้สติจับเรื่องโมโหขึ้นมาพิจารณาเลย พิจารณาไปจนตนเองยอมรับได้ค่อยเลิก เขาก็ทำตาม จนมีสติดีขึ้นมาก มีอยู่วันหนึ่ง เขาเข้าถึงความว่างได้ขณะโกรธ แล้วเขาก็ดีใจมาก เขาใช้ประสบการณ์นั้น สร้างความศรัทธาในการปฏิบัติให้กับตนเองได้มากทีเดียว เขาเริ่มยอมรับความบกพร่องของตนเองและผู้อื่นได้ เขาตรงต่อตนเองมากขึ้น

    แต่...มาวันนี้ เขากลับไปโมโหบุพการีเช่นเดิม รวมน้องชายด้วย
    ถึงขั้นต้องการทำร้ายร่างกาย เขามีสติดีปัญญาดี รู้ดีทุกอย่าง
    ไม่ต้องเจริญปัญญาหาเหตุผล ก็รู้ได้ว่าตนควรทำอย่างไร
    แต่ปัญหาก็คือ เขายอมรับไม่ได้ รู้ว่าอะไรเป็นอะไร แต่ยอมรับไม่ได้
    อภัยทาน ดับโกรธ และ เมตตา ป้องกัน โกรธ ก็รู้ แต่ทำไม่ได้ จริงๆ
    แกล้งทำก็ไม่ได้ เพราะเขาตรงต่อตนเอง จนโกหกไม่ได้อีกแล้ว

    พระท่านบอกว่า "ปฏิบัติเร็วไป ไม่มีฐาน"

    วันนี้ sun dog จึงได้เข้าใจว่า การให้อภัยทานและเมตตานั้น
    จำเป็นต้องมีฐาน
    เจริญสติปัญญาอย่างเดียว ไม่พอ
    หากเราขาด เราย่อมให้ไม่ได้
    หากเราไม่ปีติ ปัสสัทธิ เราย่อมมอบปีติ ปัสสัทธิให้แก่ผู้อื่นไม่ได้
    เราจึงเมตตาและอภัยผู้อื่นไม่ได้หากตนเองไม่มีฐานแห่งปีติ ปัสสัทธิ

    ตอนนี้เพื่อน sun dog เขาฝึกเจริญสติในสัมผัสทางกายแทน
    ประสานมือยกขึ้นเหนือหัวให้ตึงๆเจ็บๆเลย แล้วรู้สึกให้ชัดเจนถึงความเจ็บนั้น จากนั้นจึงค่อยๆผ่อนมือลงมา ให้รู้สึกชัดเจนว่าความเจ็บนั้นค่อยๆคลายลง
    ไม่ใช้คำบริกรรม ไม่อยู่กับลมหายใจ เอาแต่ความรู้สึกที่ไม่มีคำพูด
    ในหนึ่งวัน ทำแบบนี้บ่อยๆ เขาก็ดีขึ้น พออยู่ได้โดยไม่คิดทำร้ายใคร

    บุญกุศลใดที่ได้จากเรื่องราวนี้ sun dog ขอมอบให้เพื่อนตนคนนี้
    ให้เขาได้เข้าถึงฐา นอันจะนำไปสู่ความก้าวหน้าและอิสรภาพต่อไปเทอญ
     
  19. momogo

    momogo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    570
    ค่าพลัง:
    +1,158

    อยู่ปากช่อง พอดีเลยค่ะ
     
  20. momogo

    momogo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    570
    ค่าพลัง:
    +1,158
    ตอนคำบริกรรมหายไป แล้วดูลมหายใจ เราดูอยู่ที่ไหนจ๊ะ ?
    จมูก ? ช่องท้อง ? ช่องอก ?

    ดูตามลมค่ะ ว่าผ่านไปตรงไหน

    หากเรารู้สึกชัดเจนเต็มที่ ในที่ๆเราอยู่ ถึงมีภาพปรากฎในใจ เราก็ไม่รู้ว่ามันเป็นภาพนะจ๊ะ เราจะเริ่มรู้สึกว่ามันเป็นภาพ เมื่อความรู้สึกเรากระจายออกหรือเคลื่อนจากลมหายใจ

    ทีนี้ ถึงแม้ความรู้สึกเรากระจายออกหรือเคลื่อนจากลมหายใจก็ตาม หากเรามีปีติ ปัสสัทธิ ขณะสัมผัสลม ถึงเห็นภาพเราก็จะไม่สงสัยในภาพ มันอิ่มตัวในฐาน เหมือนกับที่ท่านเจ้าของกระทู้บอก ว่าเห็นตอนแรกไม่สนใจ เมื่อใดที่ฐานปีติ ปัสสัทธิ เราไม่แน่นพอ เราจะเริ่มสงสัย และตามภาพนั้นไปค่ะ

    คืออะไรหรือคะ ฐานปีติ ปัสสัทธิ

    ตอนที่ภาพมาปรากฎตอนแรก อาจเป็นสัญญา (ความจำได้หมายรู้) ที่เรารับรู้ได้ด้วยปีติธาตุไฟอันเจริญขึ้นขณะเรานั่งภาวนา และเนื่องจากเรามีปีติอยู่ในตอนนั้น เราจึงไม่สนใจมันในครั้งแรก แต่ครั้นเราเลิกภาวนา เรากลับมาระลึกได้ว่าเห็นภาพ เอ ภาพนั้นคืออะไร จึงติดเป็นความลังเลสงสัยอยู่ลึกๆ เมื่อกลับไปนั่งภาวนาในครั้งต่อๆไป ภาพนี้จึงกลับเข้ามาใหม่ โดยมาตั้งแต่เมื่อแรกหลับตา เพราะในใจเราบันทึกความลังเลสงสัยในภาพนี้อยู่ การภาวนาครั้งหลังๆ จึงมีแต่ความสงสัย ฐานปีติ ปัสสัทธิ จึงไม่ปรากฎ เราจึงรู้สึกกระวนกระวายกับภาพที่เกิดขึ้น เชื้อความกังวลในใจหลักๆที่เรามีก็คือ เราปรามาสแม่ชีในภาพหรือเปล่า


    หากต้องการผ่านภาพนี้ไปให้ได้ คงต้องจัดการกับความลังเลสงสัยนี้เสีย ด้วยวิธีที่ตนเองยอมรับได้อย่างสบายใจ เช่น ขอขมาแม่ชีในภาพเสียหากรู้สึกว่าตนปรามาสท่าน ยอมรับว่าตนไม่รู้ว่าภาพนั้นบ่งบอกอะไรและมาจากไหน แต่ตนก็ได้จัดการกับภาพนั้นอย่างเต็มที่ตามอัตภาพแล้ว พอใจกับการจัดการของตนเอง เราทำเต็มที่แล้ว

    ต่อมาเวลาภาวนา ให้ตั้งใจให้ตนเองตระหนักอย่างชัดเจนว่าจะดูลมอยู่ที่ไหน เมื่อไปอยู่ที่นั่นแล้วก็ผ่อนคลายสบายๆ สัมผัสลมไปอย่างที่เคยทำ เกิดภาพเกิดอะไรก็ไม่เป็นไร ค่อยๆทำไปเรื่อยๆ นะจ๊ะ

    ขอบคุณค่ะ


    ขออนุโมทนาสาธุในธรรมทานจ้า
     

แชร์หน้านี้

Loading...