จิตพร้อม? รับภัยพิบัติ

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย ภูภู, 6 เมษายน 2012.

  1. ลูกพลัง

    ลูกพลัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    413
    ค่าพลัง:
    +8,932
    จิตพระอรหันต์..โดยหลวงพ่อฤาษี

    สังโยชน์ 10
                สังโยชน์ 10
                1) นักปฏิบัติเพื่อมรรคผล ที่ท่านปฏิบัติกันมาและได้รับผลเป็นมรรคผลนั้น ท่านคอยเอา สังโยชน์ เข้าวัดอารมณ์เป็นปกติ เทียบเคียงกับสังโยชน์ว่า เราตัดอะไรได้เพียงใด แล้วจะรู้ผลปฏิบัติตามอารมณ์ที่ละนั้นเอง ไม่ใช่คิดเอาเองว่า เราเป็นพระโสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์ ตามแบบคิด ตามแบบเข้าใจเอาเอง
                2) สำหรับญาติโยมพุทธบริษัท ที่ปฏิบัติพระกรรมฐาน จะได้ทราบอารมณ์ของจิตว่าท่านทั้งหลายทำเวลานี้ถึงไหนแล้ว ความจริงก่อนที่จะบรรลุมรรคผล พระพุทธเจ้าไม่ทรงสรรเสริญ แต่ว่าพระพุทธเจ้าเองท่านทรงยืนยัน ท่านเป็นพระพุทธเจ้าเป็นภาระของท่าน แต่ว่าบุคคลใดเป็นพระโสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์ อันนี้ท่านทรงยืนยัน อันนี้จำเป็น
                แต่ว่าส่วนใหญ่พระสาวกก็จะไม่ยืนยัน คือ ว่าจะแนะนำให้เข้าใจเอง ฉะนั้นสำหรับญาติโยมพุทธบริษัทก็เช่นเดียวกัน อาตมาก็ขอนำ สังโยชน์ 10 มาเป็นเครื่องวัดกำลังใจ
                สังโยชน์ 10 ประการ 3 ข้อ เป็นคุณธรรมของพระโสดาบันหรือสกิทาคามี คือ
                     - สักกายทิฏฐิ สำหรับพระโสดาบันกับพระสกิทาคามี ตัวนี้เป็นตัวปัญญานะ เป็นตัวตัดกิเลสทั้งหมด แต่ว่า พระพุทธเจ้าท่านบอกว่า พระโสดาบันก็ดี พระสกิทาคามีก็ดี มีปัญญาเล็กน้อย มีสมาธิเล็กน้อย แต่มีศีลบริสุทธิ์ ศีลบริสุทธิ์นี่ตามฐานะ ถ้าฆราวาสก็คือศีล 5 คือ ศีล 5 เป็นสำคัญ ยังไม่ถือศีล 8 ถ้าถือศีล 8 เป็นพระอนาคามี คือว่าถ้ามีศีล 5 บริสุทธิ์แน่นอน แล้วก็ใช้ได้ สักกายทิฏฐิ ถ้าญาติโยมมีความคิดอยู่เสมอว่าชีวิตต้องตาย เราไม่ประมาทในชีวิต หมายความว่าพยายามหลบความชั่ว คือบาปไว้เสมอ
                    - วิจิกิจฉา ไม่สงสัยในความดีของพระรัตนตรัย คือ พระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์
                    - สีลัพพตปรามาส รักษาศีล 5 เคร่งครัด แล้วก็ขอแถมอีกนิด
                    - อุปสมานุสสติกรรมฐาน นึกถึงพระนิพพานเป็นอารมณ์ ถ้าจิตทรงตัวอย่างนี้ได้จริง ขอให้ทราบว่า พระพุทธเจ้าทรงเรียกผู้นั้นว่า พระโสดาบัน หรือ สกิทาคามี วัดใจเอาเองก็แล้วกันนะ
                3) สังโยชน์ทั้ง 10 ถ้าท่านพิจารณาวิปัสสนาญาณแล้ว จิตค่อย ๆ ปลดอารมณ์ที่ยึดถือได้ครบ 10 อย่าง โดยไม่กำเริบอีกแล้ว ท่านว่าท่านผู้นั้นบรรลุอรหัตตผล เครื่องวัดอารมณ์ที่พระพุทธเจ้าตรัสจำกัดไว้อย่างนี้ ขอนักปฏิบัติจงศึกษาไว้ แล้วพิจารณาไปตามแบบ ท่านสอนเอาอารมณ์มาเปรียบเทียบกับสังโยชน์ 10 ทางที่ดีควรคิดเอาชนะกิเลสคราวละข้อ เอาชนะให้เด็ดขาด แล้วค่อยเลื่อนเข้าไปทีละข้อ ข้อต้น ๆ ถ้าเอาชนะไม่ได้ ก็อย่าเพิ่งเลื่อนไปหาข้ออื่น ทำอย่างนี้จะได้ผลเร็วเพราะข้อต้นหมอบแล้ว ข้อต่อไปไม่ยากเลย จะชนะหรือไม่ชนะ ก็ข้อต้นนี่แหละ เพราะเป็นของใหม่ และมีกำลังครบถ้วนที่จะต่อต้านเรา ถ้าด่านหน้าแตก ด่านต่อไปง่ายเกินคิด ขอให้ข้อคิดไว้เพียงเท่านี้
                4) เราจะต้องมีสติอยู่เสมอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสติตัวสำคัญ นั่นคือ จะต้องมีความรู้สึกว่า
                    - สักกายทิฏฐิ อัตภาพร่างกายนี้มันไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา เราไม่มีในร่างกาย ร่างกายไม่มีในเรา เราจะไม่มีการติดอกติดใจอยู่ในร่างกายของเรา และร่างกายของบุคคลอื่น เราถือเสมือนว่าร่างกายเป็นสภาวะอันหนึ่ง ๆ หรือ บ้านเช่าที่เราใช้อาศัยอยู่ชั่วคราวเท่านั้น
                    - วิจิกิจฉา เราไม่สงสัยในคำสั่งและคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ใช้ปัญญาพิจารณาพระธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระชินวรอยู่เสมอ
                    - สีลัพพตปรามาส เราจะรักษาศีลให้ครบถ้วนไม่ลูบคลำศีล
                    - กามฉันทะ เป็นฉันทะ เป็นภัยสำหรับเรา เราพยายามหาทางทำลายกามฉันทะให้พินาศไปจากจิต
                    - เราจะตัดปฏิฆะ คือ ความกระทบกระทั่งกับอารมณ์ของจิต ด้วยอำนาจความโกรธ ความพยาบาทให้สิ้นไป
                    - เราจะไม่หลงใหลใฝ่ฝันติดอยู่เฉพาะในรูปฌาน
                    - เราจะต้องไม่ติดอยู่เฉพาะในอรูปฌาน ใช้ปัญญาใคร่ครวญ พิจารณาศีลของเราให้เป็นปกติ อย่าให้มันด่าง มันพร้อย มันขาดทะลุ อย่าให้มันบกพร่อง ถ้ามีปัญญาเสียอย่างเดียว ไม่มีอะไรยาก และก็ใช้ปัญญาพิจารณาว่าร่างกายของตน ร่างกายของสัตว์ ที่เรียกว่า รูป เสียง กลิ่น รส และสัมผัส เอาร่างกายคนก็แล้วกัน คนก็ดี สัตว์ก็ดี วัตถุก็ดี มันสกปรกหรือสะอาดให้ พิจารณาใน กายคตานุสสติ และอสุภกรรมฐาน หาความจริงในร่างกายของคนและสัตว์ แม้แต่ของเราให้ได้ว่ามันมีอะไรน่ารักตรงไหน มันมีอะไรยืนยงคงทนตรงไหน มันมีสภาวะทรงตัว หรือว่ามันสลายตัวไปในที่สุด ต้องเอาชนะอารมณ์นี้ให้ได้นะ อย่าไปติดในตัวรักไม่ได้ ต้องเป็นตัวคลายความรัก
                แล้วก็พิจารณาอารมณ์ที่เราโกรธ อารมณ์ที่กระทบกระทั่ง คือ ปฏิฆะ อารมณ์ที่เข้ามากระทบกระทั่งสร้างความไม่พอใจ มันเป็นประโยชน์ มันเป็นประโยชน์อะไร จึงไม่พอใจในบุคคลอื่น ที่เขากล่าวอย่างนั้น เขาทำอย่างนั้น เราก็ใช้ปัญญาพิจารณาว่าเราไม่พอใจ ที่เราโกรธเขา ที่เราเกลียดเขาคิดอาฆาตมาดร้ายเขา เพราะเรามันเลว ถ้าเราดีเสียอย่างเดียว ถ้าใครเขาจะว่าอะไร มันก็ไม่หนัก ที่พระพุทธเจ้าท่านกล่าวว่า นินทา ปสังสา นินทาและสรรเสริญเป็นของธรรมดาของโลก เขาสรรเสริญเราว่าดี ถ้าเราเลว มันก็ไม่ดีไปตามคำที่เขาพูด เขานินทาว่าเราเลว ถ้าเราดี เราก็ไม่เลวไปตามเขาพูด
                    - มานะ เราจะตัดมานะความถือตัวถือตน ว่าเราดีกว่าเขา เราเสมอเขา เราเลวกว่าเขาให้หมดไป นึกไว้เสมอนะ อย่าลืมไม่ได้ และก็ใช้ปัญญาพิจารณาต่อไปว่า การที่เราจะยึดถือตัวตน ถือเรา ถือเขา ถือพวก ถือหมู่ ถือคณะ ว่าเราดีกว่าเขา เราเลวกว่าเขา เราเสมอเขา มันไม่มีประโยชน์ คนเกิดแก่ เจ็บ ตาย เหมือนกัน ไม่ควรจะเอาอะไรเข้าไปเปรียบเทียบ ให้เป็นการแข่งขัน หรือถ่อมเกินไป ไม่ควรคิด คิดว่าทุกคนเกิดมาก็แก่เหมือนกัน ป่วยเหมือนกัน ตายเหมือนกัน รักสุขเหมือนกัน เกลียดทุกข์เหมือนกัน เราเป็นเพื่อนกันได้แบบสบาย จะเสมอหรือไม่เสมอ จะดีกว่า จะสูงกว่า จะต่ำกว่าฉันไม่รู้ รู้อย่างเดียวว่า ฉันเป็นมิตรที่ดีของท่าน เท่านี้พอ
                    - อุทธัจจะ ใช้ปัญญาเข้าควบคุมกำลังใจว่าอารมณ์ใดที่จะเกิดขึ้นนั้น เราไม่ต้องการ เรามุ่งเฉพาะพระนิพพานอย่างเดียว
                    - อวิชชา ใช้ปัญญาจำแนกแจกลงไปว่า อวิชชาตัวเกาะ เกาะในอารมณ์ที่เป็นอนุสัย ยังมีความหลงใหลใฝ่ฝัน ท้อแท้อยู่ในความคิดว่า
                ถ้าเราเป็นพระอนาคามีเราก็มีความสบาย ไม่ควรจะมีความทะเยอทะยานมากเกินไปให้มันเหนื่อย ก็ใช้ปัญญาสอนมันว่า ถ้าสิ่งใดก็ตามที่เรายังไม่ทำสำเร็จกิจ เราก็จะต้องทำต่อไป ไหน ๆ เมื่อเวลามันมีก็ทำลายให้มันพินาศไปให้มันหมดกิจไปเสีย ขึ้นชื่อว่ากิเลสทั้งหมด อย่าให้ปรากฏว่ามีในจิต
                5) อารมณ์ที่จะพึงสนใจมากที่สุด หรือโดยตรงนั้นคือ สังโยชน์ 10 ตัวตัดอยู่ตรงนี้ เราจะทำอะไรก็ตาม ถ้าไม่สามารถตัดสังโยชน์ได้แม้แต่หนึ่ง ก็ไม่มีผลในการปฏิบัติ เหนื่อยมาเกือบตาย กิเลสก็ยังท่วมตัวอยู่ ยังต้องเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ ไม่มีเวลาจำกัดก็แย่ บางท่านที่มีความฉลาด เริ่มปฏิบัติไม่กี่วันก็สามารถกำจัดกิเลส เข้าถึงเขตแห่งความเป็นความเป็นพระอริยเจ้าได้ อันนี้ได้กำไรมาก
     
  2. ลูกพลัง

    ลูกพลัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    413
    ค่าพลัง:
    +8,932
    ลักษณะจิตของพระอรหันต์..โดยหลวงพ่อพุธ ฐานิโย

    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=3TvYgHns3JI]068 ลักษณะจิตของพระอรหันต์ - YouTube[/ame]
     
  3. ลูกพลัง

    ลูกพลัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    413
    ค่าพลัง:
    +8,932
    จิตพระอรหันต์..โดยหลวงพ่อปราโมทย์

    จิตพระอรหันต์ไม่ไหลไป โดยที่ไม่ต้องบังคับไว้

    หลวงพ่อปราโมทย์ :

    แสดงธรรมที่สวนสันติธรรม วันที่ ๒๒ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๕๑



    พวกเราหัดสังเกตการปฏิบัติ มันไม่มีอะไรมากหรอกนะ ให้สังเกตใจของเราไว้ให้ดี ใจของเราทำงานสองแบบ แบบหนึ่งคือไหลไป ไหลไปทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ไหลไปหาอารมณ์ตลอดเวลา คนทั้งโลกและก็สัตว์ทั้งหลาย ยกเว้นพวกพระพรหมณ์นะ คนทั้งโลกและสัตว์ทั้งหลายยกเว้นพระพรหมณ์ จิตมันไหลไป เดี๋ยวก็หลงไปดู หลงไปฟัง หลงไปดมกลิ่น หลงไปลิ้มรส หลงไปรู้สัมผัสทางกาย หลงไปรู้อารมณ์ทางใจ หลงไปคิด ไปนึก ไปปรุง ไปแต่ง นี่ คนทั่วๆไป สัตว์ทั่วไปเป็นอย่างนี้ เป็นธรรมชาติของมันอย่างนั้น ทำไมมันต้องไหลไป เพราะมันหิว มันหิวอารมณ์ มันอยากได้รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัสทางกาย สัมผัสทางใจ อยากได้สิ่งเหล่านี้ ได้มาเป็นอาหารหล่อเลี้ยงความเป็นตัวเป็นตน เรากลัวว่าตัวเราจะหายไปจากโลก ออกไปสัมผัสสิ่งต่างๆนะเป็นอาหารมาหล่อเลี้ยงความเป็นตัวเป็นตน เหมือนร่างกายนี้กินข้าว ใจก็เที่ยวหิวอารมณ์ ร่างกายกินอาหารนะใจก็กินอารมณ์เพื่อจะหล่อเลี้ยงตัวเองไว้ มันกลัวตัวเองหายไป เพราะอย่างนั้นถ้าเราสังเกตให้ดีไม่ว่าเราจะทำอะไร เราจะคิด เราจะทำ เราจะพูดนะ เบื้องลึกที่อยู่ข้างหลังก็คือ เพื่อเสริฟ (Serve) อัตตาตัวตัน ส่งเสริมอัตตาตัวตน รักษาอัตตาตัวตน เราหวงตัวเอง นี่คนทั้งโลกเป็นอย่างนี้ สัตว์ทั้งโลกเป็นอย่างนี้ งั้นจิตใจจะแส่ส่ายตลอดเวลา มันส่ายไปก็มีแรงผลักดันที่เรียกว่า ตัณหา ผลักดันใจให้วิ่งไปที่โน้น วิ่งไปทางนี้ วิ่งไปทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ วิ่งไปเพราะมันหิว มันก็เลยอยากวิ่ง อยากได้ มันหิวอารมณ์ อยากจะเสพเวทนานั่นแหละ มันก็เลยเกิดตัณหามันอยากได้เวทนา อยากเสพอารมณ์ อารมณ์นั้นนำความสุขมาให้ ก็อยากได้สุข จิตใจก็เกิดตัณหา เกิดแรงดิ้น ทะยานออกไป จิตใจอยากจะหนีความทุกข์นะจิตใจก็ดิ้นออกไป ดิ้นออกไปเรื่อยๆ มีความสุขเพื่อตัวเราจะได้มีความสุข หนีความทุกข์เพื่อตัวเราจะได้พ้นทุกข์ ลึกๆเลยตัวเรา

    อีกพวกหนึ่งเห็นว่าจิตดิ้นไปเรื่อยๆไม่ดี ก็เลยเพ่งเอาไว้ ไม่อยากให้มันไหลไปก็เพ่งเอาไว้นะ จิตพระอรหันต์นะไม่ไหลไปโดยที่ไม่ต้องเพ่งเอาไว้ นี่ ความประหลาดอยู่ตรงนี้ จิตของคนที่ไม่ใช่พระอรหันต์นะ มันจะไหลไป ถ้าจะไม่อยากให้ไหลไปก็ต้องเพ่งเอาไว้ กดมันไว้ให้นิ่งๆ ไม่ให้มันไหล คล้ายมันยังมีแรงดิ้น เมื่อมันมีแรงดิ้นนะก็ไปกดมันเอาไว้ ไม่ให้มันกระดุกกระดิก กดมันเอาไว้ ถ้าดิ้นแล้วมันไปหาอารมณ์มามันไม่ชอบเดี๋ยวกลัวว่ามันจะมีความทุกข์ สู้ใจนิ่งๆไม่ได้ นี่พวกนักปฏิบัติทั้งหลายก็คือพวกนักกดจิตกดใจ กดกาย ไม่กดใจก็กดกาย เพ่งกายเพ่งใจ บังคับกายบังคับใจเพราะกลัวจิตมันไหลไป หาความทุกข์มาใส่ตัวเอง อยากให้มันนิ่ง นี่โดยสัญชาตญานเลย ทันทีที่คิดถึงการปฏิบัติเมื่อไรนะก็บังคับตัวเองให้นิ่งเมื่อนั้น อย่างคุณที่อยู่วัดนี่ ก็บังคับตัวเองให้นิ่ง เพราะฉะนั้น คนทั้งหลายนะจิตมันไหลไปอย่างเดียว ส่วนผู้ปฏิบัตินี่เห็นว่าจิตมันไหลไปแล้วก็ไปบังคับให้มันนิ่ง งั้นจิตมันเลยมีสองแบบ ไม่ไหลไปก็นิ่งๆ กดเอาไว้ ถ้าไม่ไหลก็ต้องกด ไม่ไหลก็ต้องกด แต่สำหรับพระอรหันต์แล้วจิตไม่ไหลไปโดยที่ไม่ต้องกด ไม่มีงานต้องทำ ไม่มีงานต้องระวัง ไม่ต้องรักษา ไม่ต้องเจริญสติ ถ้าจิตมันไม่ไหลไปเอง ทำไมจิตมันไม่ไหลไป เพราะจิตมันฉลาด จิตมันมีปัญญามันรู้รูป รู้นาม รู้กาย รู้ใจ รู้อายตนะภายในภายนอก รู้ว่าทุกสิ่งทุกอย่างเป็นแต่ทุกข์ล้วนๆ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เป็นของเป็นทุกข์ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ เป็นของเป็นทุกข์ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ นี่ บางคนเค้าแบ่งอย่างนี้ก็เป็นทุกข์อีก อะไรๆ ก็ทุกข์หมดเลย ฐาตุ 18 ก็เป็นทุกข์ แล้วแต่จะมองนะ แต่แจ่มแจ้งในกองทุกข์นั่นเองคนที่เป็นพระอรหันต์นะคือคนที่แจ่มแจ้งในกองทุกข์ รู้เลย รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เป็นตัวทุกข์ ความรับรู้ทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เป็นตัวทุกข์ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ทั้งหมดนะ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เป็นตัวทุกข์ นี่อย่างนี้ ไม่มีอย่างอื่นนอกจากตัวทุกข์ เมื่อเห็นมันเป็นตัวทุกข์ ไม่มีตัวดี ตัววิเศษ ไม่มีช่องโหว่ที่จะรอดจากความทุกข์เลย ใจก็หมดแรงดิ้น หมดความหิวโหย ไม่รู้จะหิวทำไมมีแต่ทุกข์ เหมือนเรารู้ว่านี่เป็นยาพิษ เห็นว่านี่มันคือยาพิษ เราไม่ไปกินมัน คนทั้งหลายกินอารมณ์เข้าไป เพราะไม่รู้ว่ามันเป็นยาพิษ เพราะฉะนั้นกินอารมณ์เข้าไปที่เป็นยาพิษเข้าไป มันเลยต้องตายแล้วตายอีก เวียนว่ายตายเกิด แต่พระอรหันต์นะมีปัญญา เห็นความจริงของรูปธรรม นามธรรม เห็นความจริงของขันธ์ห้า เห็นความจริงของอายตนะภายในภายนอก เห็นความจริงของธาตุทั้ง 18 ธาตุ ธาตุ 18 มันก็คือ อายตนะภายในภายนอก และก็ความรับรู้ ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ รวมแล้วอย่างละ 6 อย่างละ 6 นะรวมกันเป็น 18 นี่ ธาตุ 18 นะ เห็นแต่ทุกข์ล้วนๆนะ ทุกข์ล้วนๆนะไม่รู้จะบำรุงรักษามันไว้ทำไม ตัวจิตเองก็เป็นตัวทุกข์ล้วนๆ ไม่เห็นจะต้องไปบำรุงรักษา ไม่เห็นจะต้องไปหวงแหนมันเลย ก็ปัดมันทิ้งไปหมดนะ สลัดมันทิ้ง ไม่ยึดถือมัน เมื่อไม่ยึดถือมันนะไม่ต้องระวังรักษามันด้วย มีปัญญาเห็นแต่ทุกข์ล้วนๆเลย จิตจะไม่มีการไหลไปนะ จิตไม่มีการไหลไป ไหลมานะ จิตเสถียร จิตเสถียร ไม่ไหลไป ไม่ไหลมา รู้ตื่นเบิกบาน ไม่มีงาน คือไม่ต้องไปกด ไม่ต้องไปบังคับ ไม่ต้องไปควบคุมไม่มีงานทำ ก็สบายนะ สบาย

    เพราะอย่างนั้น จิตพระอรหันต์นะ ไม่ไหลไปโดยที่ไม่ต้องบังคับไว้ ส่วนจิตของผู้ปฏิบัตินะ ถ้าไม่บังคับไว้ก็ไหลไป นี่เราคิดว่าเราบังคับไว้เราจะเป็นพระอรหันต์รึ ไม่มีทางเลย ทางที่จะทำให้เป็นพระอรหันต์ได้ ก็คือต้องรู้ความจริงลงมาในขันธ์ห้า อายตนะ ทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ ธรรมารมณ์ คือ อารมณ์ที่รู้ด้วยใจ โผฏฐัพพะ คือสิ่งที่มากระทบร่างกายได้แก่ เย็น ร้อน อ่อน แข็ง ทั้งหลาย เพราะฉะนั้นถ้ารู้แจ้งสิ่งเหล่านี้นะ เห็นว่าสิ่งเหล่านี้เป็นทุกข์ล้วนๆเลยมีปัญญาแจ้งนะ ใจมันจะหมดแรงดิ้น หมดการไหลไป มันจะไหลไปทางตาทำไมในเมื่อรูปไม่ใช่ของดีของวิเศษ ในเมื่อตาก็ไม่ใช่ของดีของวิเศษ มันจะไหลไปทางหูทำไมในเมื่อเสียงไม่ใช่ของดีของวิเศษ หูไม่ใช่ของดีของวิเศษ มันจะไหลทางใจในเมื่อ ธรรมารมณ์ไม่ใช่ของดีของวิเศษ ใจไม่ใช่ของดีของวิเศษ เพราะฉะนั้น มันจะไม่ไหลไปเพราะมันมีปัญญาว่ามันมีแต่ทุกข์นะ ไหลไปทีไรก็มีแต่ทุกข์ ไหลไปทีไรก็มีแต่ทุกข์ ตัวขันธ์ห้า เองก็เป็นทุกข์ ไหลออกไปเสพอารมณ์ อารมณ์ทั้งหลายก็เป็นทุกข์อีก เห็นอย่างนี้ เลยไม่ดิ้นเลยหมดแรงดิ้น ไม่ต้องระวัง ไม่ต้องรักษานะ เคยมีคนนึงมาถามหลวงพ่อ บอกว่า พระอรหันต์นี่คือคนที่มีสติรักษาจิตตลอดเวลาใช่มั้ย ไม่ใช่พระอรหันต์ไม่รักษาจิตต่างหาก เค้าถามอีกทีว่า พระอรหันต์ขาดสติใช่มั้ย ไม่ต้องมีสติรักษาจิตแล้วนี่ พระอรหันต์ขาดสติใช่มั้ย ไม่ใช่อีก ถ้าขาดสติมันเป็นกิเลสนะ พระอรหันต์ไม่ได้มีกิเลสนี่ พระอรหันต์ไม่ได้ขาดสติ แต่พระอรหันต์ไม่ได้เอาสติไปรักษาจิต เพราะว่าปล่อยวางจิต ไม่ต้องรักษามันทิ้งมันไปแล้ว แต่ขาดสติมั้ย ไม่ขาดสตินะ ยืน เดิน นั่ง นอน รู้สึกตลอดเลย

    กระทั่งกลางคืนนี่ คนทั้งหลายฝันแต่พระอรหันต์คิด ไม่เหมือนกัน คนทั้งหลายฝันเพราะว่าเวลาใจของเราคิดนี่มันจะสร้าง อิมเมจขึ้นมาตลอดเวลา จะมีอิมเมจ มีภาพในใจขึ้นมา สังเกตมั้ยเวลาเราคิดเราจะสร้างภาพในใจขึ้นมา เวลาพระอรหันต์คิดมันจะไม่มีอิมเมจ อันนี้หลวงพ่อก็ไม่ใช่คนสังเกตเห็นคนแรกนะ นายตุลย์ ดังตฤณนะ วันหนึ่งมาคุยกับหลวงพ่อบอกว่า ผมเที่ยวสังเกตจิต ไม่บอกนะว่าจิตใคร เวลาคิดไม่มีอิมเมจ แต่สังเกตจิตอาจารย์มหาบัวก็ไม่มีอิมเมจ สังเกตจิตพระบางองค์ก็ไม่มีอิมเมจ คิดเฉยๆ คิดจากความว่าง คิดแล้วก็ว่างอยู่อย่างนั้นเอง เมื่อมันไม่มีอิมเมจแล้วก็คือ มันเหลือแต่ความคิดล้วนๆ ไม่สร้างอะไรที่เกินจากการคิดขึ้นมา ไม่มีความเป็นตัวเป็นตน ไม่มีภาพใดๆ เกิดขึ้น เวลาที่คนเราฝันนั้นก็คือเวลาที่คนเราคิดนั่นเอง แต่คนเราคิดทั่วๆไปนะ เราคิดอย่างมีอิมเมจอยู่ มันก็เลยเป็นตุเป็นตะเป็นจริงเป็นจังขึ้นมา เวลาพระอรหันต์นอนหลับนี่ บางทีจิตก็คิด รู้ว่าจิตคิดนะ แต่ไม่มีภาพแห่งความเป็นตัวเป็นตนใดๆผุดขึ้นมาเลย คิดไม่มีรูปนะ คิดไม่มีรูป ไม่มีนาม คิดอยู่ในความว่างๆ มันไม่ทุกข์นะเพราะมันไม่ได้ยึดอะไร มันไม่ปรุงอะไร เพราะฉะนั้นพวกเรา นี่หลวงพ่อเล่าให้ฟังนะ วันหนึ่งพวกเราจะเจอสิ่งที่เล่านี้ วันนี้ยังไม่เจอ แต่วันหนึ่งข้างหน้าจะเจอ ถ้าอดทนถ้าพากเพียร เจริญสติปัฏฐานไปเรื่อย มีสติรู้กาย มีสติรู้ใจ ทำไมมีสติรู้กายรู้ใจไปเรื่อย ต่อไปก็จะแจ่มแจ้งเอง ทั้งกายทั้งใจทั้งรูปทั้งนาม ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ก็ล้วนแต่เป็นรูปเป็นนามทั้งสิ้นเลย ตา หู จมูก ลิ้น กาย นี่เป็นรูปธรรม ใจเป็นนามธรรม รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ เป็นรูปธรรม ธรรมารมณ์มีทั้งรูปธรรมและนามธรรม นี่มีแต่รูปธรรม นามธรรมทั้งหมดเลย เพราะงั้นแจ่มแจ้งในกองรูป กองนาม แจ่มแจ้งเพราะไม่ยึดถือมัน บางทีท่านก็เรียกรูปนามว่า โลก คำว่าโลกนะโลก ถามว่าโลกคืออะไร โลกคือรูปกับนาม บางทีท่านบอกโลกคือหมู่สัตว์ หมู่สัตว์จริงๆ คืออะไร ก็คือ รูปกับนาม พระพุทธเจ้าเป็น โลกวิทู ผู้รู้แจ้งโลก รู้แจ้งโลก คือรู้แจ้งรูปกับนาม ไม่ใช่รู้แจ้งภูมิศาสตร์นะ คนละเรื่องกัน รู้แจ้งโลก คือ รู้แจ้งรูปธรรม นามธรรม ทั้งหมดทั้งสิ้นว่านี้เป็นกองทุกข์ล้วนๆ เพราะอย่างนั้นใจท่านไม่ไหลไป โดยที่ไม่ต้องบังคับไว้ แล้วท่านก็มาสอนให้คนอื่นมารู้โลกตามท่าน มารู้รูป รู้นามตามท่าน จนรู้รูปรู้นามแจ่มแจ้งเป็นพระอรหันต์ ใจก็ไม่ไหลโดยที่ไม่ต้องบังคับไว้ ใจก็ไม่ปรุงไม่แต่งนะ คิดได้ คิดนึกได้ แต่ไม่สร้างอิมเมจ ไม่สร้างความเป็นตัวเป็นตนใดๆขึ้นมา ว่าง ว่าง

    สังเกตมั้ย พอหลวงพ่อหยุดพูดใจก็ไหลไป สังเกตมั้ย พอหลวงพ่อหยุดพูดปุ๊ป ใจก็ไหล ความจริงตอนหลวงพ่อพูดว่าไหลนะ ก็ไหลมาฟัง สลับกับไหลไปคิด สลับกันไปเรื่อยๆ บางทีก็ไหลมามองหน้าหลวงพ่อหน่อย ตอนหลวงพ่อหยุดพูดทีแรกนะก็ไหลมามองหลวงพ่อว่าทำไมหลวงพ่อหยุดไป พอเห็นหลวงพ่อฉันน้ำนะ ตอนนี้ได้โอกาสแล้ว ไหลไปคิด เห็นมั้ย จิตจะไหลไปเรื่อยๆ ให้รู้ทันนะ ไม่ใช่ให้บังคับให้นิ่ง อย่าไปบังคับให้นิ่ง อย่าไปกำหนด ถ้ากำหนดนั้นแหละ คือการบังคับ กำหนดเป็นภาษาเขมร กำหนดไม่ใช่ภาษาบาลีนะ กำหนดเป็นภาษาเขมร แปลว่ากดเอาไว้ กด กดเอาไว้ ข่มเอาไว้ ไม่ใช่การเจริญสติ เพราะฉะนั้น เราชอบพูดกันติดปากนะ กำหนดรู้รูป กำหนดรู้นาม ไปกำหนดทำไม กำหนดแปลว่ากด ให้ระลึกรู้รูป ระลึกรู้นาม นี่ ระลึกรู้ไม่ใช่ให้กด ระลึกรู้คือสติมันทำหน้าที่ระลึก กดนี่ กดไว้ข่มไว้มันทำด้วยกิเลส เพราะอย่างนั้นเราระลึกรู้นะ เราระลึกรู้ไป ระลึกรู้รูปธรรม นามธรรม มีเงื่อนไขอันหนึ่ง ระลึกด้วยจิตที่ตั้งมั่น เป็นกลาง สักว่ารู้สักว่าเห็น จิตมีสัมมาสมาธิ ตั้งมั่น ถ้าเรามีสติรู้รูปรู้นาม รู้กายรู้ใจ มีสัมมาสมาธิ ใจตั้งมั่นในการรู้การเห็น เราจะเห็นรูปอยู่ห่างๆ อย่างร่างกายนี้เราเห็นร่างกายอยู่ห่างๆนะ จิตอยู่ต่างหาก ร่างกายอยู่ต่างหาก มีช่องว่างมาคั่น นี่คนเห็นตรงนี้มีเป็นพันๆแล้วนะที่เรียนกับหลวงพ่อ เราจะเห็นว่าเวทนาทั้งหลายกับจิตนะมีช่องว่างมาคั่น เวทนากับจิตไม่ได้เข้าไปแนบกันนะ จิตก็ไม่ได้เข้าไปแนบในกาย จิตไม่ได้เข้าไปแนบในเวทนา จิตไม่แนบในกุศล อกุศล การที่จิตมันไม่เข้าไปแนบนะ โดยที่เราไม่ได้จงใจบังคับนี่เรียกว่าจิตมันมีความตั้งมั่น มีสัมมาสมาธิ ตั้งมั่น จิตที่เข้าไปแนบเข้าไปเกาะอารมณ์นี้ไม่เรียกว่ามีสัมมาสมาธิ เรียกว่ามิจฉาสมาธิ
     
  4. ลูกพลัง

    ลูกพลัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    413
    ค่าพลัง:
    +8,932
    จิตพระอรหันต์..โดยหลวงปู่พุทธะอิสระ

    ปุจฉา ๑๓
           หลวงปู่สอนไว้ว่าให้ใช้สติควบคุมจิต เหมือนประตูหน้าต่าง แสดงว่า อารมณ์ต่างๆ เช่น โทสะ โมหะ จะต้องเกิดขึ้นก่อนแล้วสติค่อยกำกับทีหลัง มีข้อยกเว้นสำหรับพระอรหันต์ที่ยังอยู่ในสังคมไม่ใช่อยู่ในป่า (สมมติว่ามี) หรือไม่ 
           คือ จิตจะไม่เกิด อารมณ์ต่างๆที่ไม่ดีเลย หรือว่ามีอารมณ์เหมือนกันแต่สติตามได้ทันตลอดเวลา
    วิสัชนา ๑๓
          ก่อนอื่นคุณต้องเข้าใจก่อนว่า โทสะนั้นมีอยู่เดิม แต่บุคคลผู้รับโทสะหามีไม่ โมหะนั้นมีอยู่เดิมบุคคลผู้รับโมหะนั้นหามีไม่ ราคะนั้นมีอยู่เดิมแต่บุคคลผู้รับราคะนั้นหามีอยู่ไม่ เมื่อโทสะ โมหะ ราคะ มันมีอยู่เดิมแล้ว เราไม่มี ก็คือตัวเราจริงๆไม่มี แต่ที่เราเข้าไปรับมัน ก็เพราะเราไปปรุงแต่งว่าตัวเรามีแล้วเรารับมันเข้ามาใช้ประโยชน์ ราคะ โทสะ โมหะ เป็นสิ่งที่มีอยู่ในโลกเดิมก่อนที่คุณจะเกิด ทีนี้เมื่อมันมีอยู่เดิม คุณเกิดมา หน้าที่ของคุณก็คือเพียงแค่ระวังอย่าให้ไปเปื้อน อย่าให้ไปแปดเปื้อน อย่าให้มันมีอำนาจมาทำให้จิตวิญญาณของคุณขุ่นมัวเท่านั้นเอง สติก็เป็นตัวกางกั้น สติทำหน้าที่ หรือมีหน้าที่ที่จะเปิดปิดประตูแห่งใจคุณว่า อะไรควรรับ อะไรไม่ควรรับ นี่เรียกว่า ราคะ โทสะ โมหะ ที่เป็นทุนเดิมของโลกมีอยู่แล้ว ส่วนราคะ โทสะ โมหะที่เป็นทุนเดิมของกรรม หรือพิธีกรรม หรือจิตวิญญาณของคุณ ที่เป็นทุนเดิมเรียกว่า โลภมูลจิต โทสะมูลจิต โมหะมูลจิต ก็คือคุณเกิดมาจาก ราคะ โทสะ โมหะ ที่เป็นมูลเดิมของจิตวิญญาณคุณที่สั่งสมอบรมมาแต่อดีตชาติ ที่เรียกว่าอนุสัย เมื่อสั่งสมอบรมมาแต่เก่าก่อนแล้วสิ่งเหล่านี่ หน้าที่ของคุณ เกิดเป็นคนต้องชำระล้าง และตัดให้หลุด อย่าปล่อยให้มันมาฉุดเราอยู่ รวมๆก็คือ ราคะ โทสะ โมหะ มีทั้งภายใน ก็คือจิตเดิมของคุณมีมาเก่า และมีทั้งภายนอกก็คือมีอยู่ในโลกนี้แล้ว มันจึงเป็นเรื่องจำเป็นที่ประตูหน้าต่างมีเอาไว้สำหรับป้องกันพายุข้างนอก แต่ไม้กวาด ผ้าขี้ริ้ว ผ้าเช็ดถู มีสำหรับไว้ป้องกันฝุ่นละอองภายใน ถ้าคุณมีสองสิ่งนี้ได้ก็ถือว่าคุณมี สติ สมาธิ และปัญญา จะกำจัดสิ่งที่เป็นปฏิปักษ์ของจิตคุณทั้งภายในและภายนอกได้
          ส่วนคำถามที่ถามว่า พระอรหันต์ พระอรหันต์เป็นผู้ที่เจริญซึ่งสติ สมาธิ และปัญญาแล้ว ก็คือมีทั้งประตูหน้าต่าง และเครื่องกำจัดภายใน ที่สมบูรณ์ที่ไม่มีรูรั่ว ที่สามารถป้องกัน ราคะ โทสะ โมหะ หรือภัยพิบัติจากข้างนอกได้แล้ว แล้วก็มีเครื่องดูดฝุ่น มีทั้งผ้าเช็ดพื้น มีทั้งไม้กวาดอันสมบูรณ์ แล้วก็มีพนักงานที่พร้อมที่จะทำลายสิ่งที่เป็นภายในที่เรียกว่าฝุ่นละอองนั้น หมดไปเรียบร้อยแล้ว รวมๆก็คือพระอรหันต์ไม่มีมลภาวะทั้งภายใน หมดแล้ว ภายนอกก็ไม่มีอำนาจเหนือท่านแล้ว พระอรหันต์ไม่ใช่ไม่มีมลภาวะแต่ภายนอก ภายนอกไม่มีสิทธิ์ พระอรหันต์นี่ไม่สามารถที่จะไปทำลาย โทสะ โมหะ ราคะ ของโลกได้ ก็บอกแล้วว่ามันมีอยู่แล้วเป็นทุนเดิม ถ้าจะทำลายก็ต้องวางระเบิดเวลาเผาผลาญโลก หรือไม่ก็ทำลายโลกไป ก็ไม่แน่ใจว่าโลกนี้มันระเบิดแล้วจะหมด ราคะ โทสะ โมหะ หรือไม่ เพราะฉะนั้นพระอรหันต์เป็นผู้หมดจากกิเลสทั้งภายในและไม่ปล่อยให้ภายนอกมามีอำนาจเหนือท่าน ราคะ โทสะ โมหะ ข้างนอกมีอยู่แต่ไม่ทำให้ท่านต้องเดือดร้อนเท่านั้นเอง

    พุทธะอิสระ 
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 กรกฎาคม 2012
  5. lookpou

    lookpou Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    1
    ค่าพลัง:
    +34
    ตอนนี้เครียดมาก มีความรู้สึกเบื่อในชีวิตประจำวันของตัวเอง
    ทำกิจกรรมอะไรก็ยังเบื่ออยู่ บางครั้งรู้สึกท้อจนไม่อยากอยู่แล้ว
    เบื่อที่จะต้องมาทำอะไรเดิมๆ ช่วยหาวิธีแก้ได้ไหมค่ะ
     
  6. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
  7. ลูกพลัง

    ลูกพลัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    413
    ค่าพลัง:
    +8,932
    อามิตาพุทธ..เวรกรรม..เวรกรรม..

    ถ้าแนะนำแล้วจะทำตามหรือเปล่าครับ?..
    เอ้า..ไม่เป็นไร..
    ให้ไปนั่งอ่านกระทู้นี้ตั้งแต่หน้าหนึ่งนะครับ มาเรื่อยๆจนถึงหน้านี้แหล่ะครับ..

    ถ้าอ่านครบเมื่อไหร่ ก็ให้มาบอกได้เลยครับ เดี๋ยวจะแนะนำข้อถัดๆไป..

    สาธุครับ..ถือก็หนัก วางลงก็เบา..
     
  8. ข้าวฮาง

    ข้าวฮาง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 มกราคม 2012
    โพสต์:
    32
    ค่าพลัง:
    +608
    ภูทยานฌาน2.......ลองอ่านกันดูไหม.......ธรรมะอยู่ที่ใจ......เค้าให้ทุกเพลา

    ให้คนได้มีสุข........ทุกข์หายคลายปัญหา...หนักใจให้เบาอุรา....เค้านี้หนาคือภูทญาณ อิอิอิ พอไหว ๆ

    มาอุดหนุนคุณภูคับ.....กระผมข้าวฮวงงอก สุกตั้งแต่ในถุง เย้ ๆ http://palungjit.org/threads/ข้าวฮาง-ข้าวในยามยาก.321840/page-4
     
  9. natthapatpun

    natthapatpun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,124
    ค่าพลัง:
    +25,214
    สนใจรับการขยายธรรมะเพิ่มไหมคะ ช่วยตอบด้วยค่ะ
    อย่าเอาแต่เบื่อไปวันๆนะ ชีวิตไม่มีประโยชน์
    เกิดมาชาติหนึ่งควรทำชีวิตให้มีประโยชน์
    อย่างน้อยดิ้นรนหาทางออกจากทุกข์ออกจากเบื่อบ้าง
    ก็ยังดีกว่าปล่อยให้ชีวิตอยู่กับความเบื่อไปวันๆ เซ็งตายเลย
     
  10. อัญญะมณี

    อัญญะมณี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 เมษายน 2012
    โพสต์:
    144
    ค่าพลัง:
    +2,169
    ขอต้อนรับสู่จิตเกาพระด้วยความยินดีค่ะ
    เดี๋ยวส่งเมล์ไปหาค่ะ
     
  11. อัญญะมณี

    อัญญะมณี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 เมษายน 2012
    โพสต์:
    144
    ค่าพลัง:
    +2,169
    ดูจากพี่ภูอธิบายน่าจะเป็นการ copy แล้วแปะธรรมดา
    คลิ๊กซ้ายค้างไว้ลากให้ครอบคลุมส่วนที่เราต้องการ คลิ๊กขวา เลือก copy เอาไปที่ที่ต้องการวางโดยคลิ๊กขวา เลือก paste
    เอ...หนูพูดให้งงกว่าเดิมหรือเปล่าเนี่ย 5555
     
  12. อัญญะมณี

    อัญญะมณี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 เมษายน 2012
    โพสต์:
    144
    ค่าพลัง:
    +2,169
    ขออภัยค่ะพี่ลูก 5555 เพิ่งอ่านมาถึง
     
  13. natthapatpun

    natthapatpun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,124
    ค่าพลัง:
    +25,214
    <TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%"><TBODY><TR><TD style="BORDER-BOTTOM: 1px inset; BORDER-LEFT: 1px inset; BORDER-TOP: 1px inset; BORDER-RIGHT: 1px inset" class=alt2>ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ porpao [​IMG]
    คุณครูคะ(แล้วแต่คุณครูท่านไหนจะเมตตาค่ะ) ขอการบ้านให้ศิษย์คนนี้บ้างค่ะ thanvarin_chanitsiri@hotmail.com อยากได้การบ้านกับเค้าบ้าง

    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    พี่ส่งคุณปอเปาให้คุณนก(ชาย)กับน้องนอร์ทแล้วจ้า
     
  14. อัญญะมณี

    อัญญะมณี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 เมษายน 2012
    โพสต์:
    144
    ค่าพลัง:
    +2,169
    OK จ้า (ฮ่วย พิมพ์สั้นไปมันก็ไม่ให้ส่งง่ะ)
     
  15. dutchanee

    dutchanee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    1,127
    ค่าพลัง:
    +12,745
    สวัสดี ทุกท่าน หายไปทาสีหลังคา พอมาเปิดอ่านกระทู้
    แห๊ม...ตามไม่ทัน หืดขึ้นคอแฮ๊กๆๆๆๆ
    5555555
    ยังไง ก็ขอโมทนาสาธุกับธรรมะของแต่ละท่าน
    อ่านแล้ว โปร่ง โล่ง เบา เหมือนครูเพ็ญบอกเจง เจง
    อ่านมาตั้งเยอะแยะ ทำไมเวลาใครถามคำถามอะไร
    ไม่เห็นมีใคร ถูกข่วน เลยอ่ะ อุตส่าห์ตั้งใจอ่านนะ
    555555555555555 พูดเล่นอ่ะ หุหุ
    รู้แล้ว ว่ากระทู้นี้ ให้แต่ความเมตตา
    โมทนาสาธุกับจิตเมตตาของทุกท่านในกระทู้อย่างเหลือหลาย
    ท่านใดที่เกาะขอบกระทู้ ดัชนี ขอให้เข้ามาคุยกันได้เลยค่ะ
    งานนี้เดินจิตอย่างเดียว พวกเราทิ้งอัตตาก่อนตอบกันทุกท่าน
    อัตตาเอาไว้ใช้งานกับซากศพเดินได้ คือ กายหรือขันธ์ห้า
    เท่านั้นเน้อ จาบอกหั่ย
     
  16. Plapersia

    Plapersia เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2012
    โพสต์:
    93
    ค่าพลัง:
    +775

    ป๊าดดดดดดดด พ่อภูรู้ได้ไงว่าทิวสงสัย อ่านยังไม่จบด้วยนะ เพราะงงฮ่าๆๆๆ
    ทำไมใจตรงกะครูวิทย์ขนาดนี้ อิอิ คิดเหมือนกับจิตบุญบางท่านหลายประเด็นเลยล่ะคะ

    เอาคำตอบไหนมาอ่านนี้จำม่ายล่าย ถามไปเยอะมากๆ แต่ถ้ามีประโยชน์ ทิวก็ยินดีนะคะ

    ยกมาเท่าไหร่ก็ได้ ขอให้ทิวเป็นกรณีศึกษาก็ได้ค่ะ จะได้เป็นกระจกให้ชาวเกาะขอบกระทู้ได้ดูกัน ว่าเราเคยเป็นแบบนั้นไหมนะ

    ไว้เจ้าหนูจำไมคนนี้มีคำถามจะมาถามอีกนะคะ พ่อภู อิอิ:boo:
     
  17. Plapersia

    Plapersia เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2012
    โพสต์:
    93
    ค่าพลัง:
    +775

    ขออนุโมทนามากๆสุดกำลัง กะคุณ(กุ้ง)นอร์ทนะคะ(ติดกุ้งไปแล้ว ฮ่าๆ)
    ขอส่งบุญให้ท่านเจริญในธรรมด้วยเช่นกันค่ะ ^^ :cool:
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 กรกฎาคม 2012
  18. Plapersia

    Plapersia เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2012
    โพสต์:
    93
    ค่าพลัง:
    +775
    พ่อภู พี่วิทย์ พี่ลูกพลัง พี่เพ็ญ พี่นกหญิง นกชาย พี่แสงจันทร์ และชาวจิตบุญทุกคนๆ

    ธรรมมะจัดหนักกันจริงๆ ทิวอ่านม่ายทันแล้วววววว ย๊าวยาว ยาวกว่าการบ้านที่ทิวส่งอีก ฮ่าๆ
    ไว้ว่างจะมาเก็บนะคะ อ่านสแกนมาครบแล้ว ไปทำงานต่อนะค่าาาาา

    ปล. อาหาราน่าตาน่ากินมากค่ะ ดังโหงะ ซูชิ แผล็บๆๆ หมูน้อยหิวแล้วค่ะ
    สงสัยเปิดเทอมนี้คงจะได้กลิ้งไปเรียนแล้ว ฮ่าๆ
     
  19. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    ลูกทิวลิ๊ปสุดที่รักของพ่อภู
    นี่เธอไปเรียกชื่อเขาผิดแล้ว
    นามอันสมมุติเขาชื่อ นอร์ท (North/Lobsterkiss of the deep ocean)
    สงสัยเธอนี่ เป็นลูกหลานคุณป้าเพ็ญ กับป้าดัช กับป้าน้องหนู(เหมายกโหล)
    (พี่/พ่อ/ลุงภูพูดอย่างนี้แล้ว ถ้าใครรู้สึกสะดุ้งเฮือกกันนะ นั่นก็แสดงว่า ยังมีป้าอัตตากับลุงมานะอยู่ที่กายหยาบกันนะจ๊ะที่รัก...จะบอกหั่ย!) เอิ๊กๆๆ

    ทำไมพ่อลูกกล่าวเช่นนั้น ก็สัญญาเธอกำลังตกกระป๋องตามป้าๆเขาไปน่ะ
    ว่าแต่ว่า พ่อภูก็เป็นเมียนกัลลลนะ....
     
  20. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    ภาษาไทยวันละคำ
    วันนี้ขอเสนอคำว่า ไปทาสีหลังคา
    แปลว่า ไปศรีลังกา

    น่าน แพร่ ลำปางหน๋า ไปอีกนิดก็จะถึงเชียงใหม่แย้วว
    สมนำหน้า อยากหายไปดีนัก ยายดัชชี่ตามไม่ทันเยยย ฮ่าๆ
    อยากโดนข่วนนักช่ายมั๊ย เดี๋ยวหญิงเหมียว(ครูละเอียด)จะข่วนหั่ยนะ
    (ภาษาไทยจะวิบัติก็เพราะลุงภูป่าว? ตำหนิพี่พ่อลุงภูกันได้นะ เพราะชอบให้คนด่า เพราะจะได้รู้กันสักทีว่า บ้านพี่ภูยังมีคุณป้าอัตตากับคุณลุงมานะอยู่ที่บ้านกายหยาบรึป่ะ?) เพราะชอบคำๆนี้มาก อนัตตา
    เพราะเมื่อเราเดินจิตกันมาถึงที่หมายปลายทางกันแล้ว
    พวกเราจะรู้จักดีกับ คำว่า อนัตตา
    คำๆนี้มันเลย อนิจจังกับทุกขังไปแล้วนะ
    ธรรมะคำหลังสุดของพระไตรลักษณ์ของพระพุทธองค์
    อนัตตา แปลว่า ความว่างเปล่า
    ครูวิทย์ชอบมากกับคำๆนี้
    เพราะท่านกะจะปล่อยหมดในชาติปัจจุบันนี้
    วันนี้ ผมอยากให้ท่านที่ยังไม่รู้จักท่านๆนี้นะ ไปทำความรู้จักกับท่านนี้กันซะ ท่านนี้ก็คือ อริยบุคคล ที่ทุกคนจะต้องมากราบไหว้ท่านในวันหน้าโน้น
    (วันนี้ขอพูดท่านนี้ก่อนนะ วันหน้าผมจะมาเฉลยว่า ท่านต่อไปจะเป็นใคร)
    และจำคำพูดผมวันนี้ให้ดีๆ
     

แชร์หน้านี้

Loading...