มีแฟนแล้วททำให้อภิญญาลดลง???

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย ไอ้ลูกหมา, 11 กรกฎาคม 2012.

  1. ไอ้ลูกหมา

    ไอ้ลูกหมา Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 เมษายน 2011
    โพสต์:
    115
    ค่าพลัง:
    +26
    เรื่องราว มีอยู่ว่าผมพึ่งมีแฟนอยู่คนนึงแต่หลังจากนั้นที่สัมผัสได้คือ ความสัมฤทธิ์ผลของคาถาลดลงประมาณ70% ซึ่งสังเกตุจาดเรื่องราวต่างๆในชีวิตประจำวันที่ใช้คาถาอยู่เป็นประจำ
    ซึ่งเรื่องราวนี้ผมเพียงอยากเล่าสู่กันฟังนะครับ อาจไม่ถูกใจใครบ้างก็ขอโทดทีนะครับ
     
  2. bosslnwskr10

    bosslnwskr10 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    1,912
    ค่าพลัง:
    +1,512
    ^^
    ก็นะ ถ้าเราอยู่คนเดียวจะมีเวลาเต็มที่มองแต่ตัวเอง
    แต่พอมีแฟน โดยเฉพาะผู้หญิงนะ
    เดี่ยวน้ำขึ้นน้ำลง อารมณ์ไม่นิ่งไม่อยู่กับตัว
    เราก็ต้องเอาใจทั้งวัน เขาหิวใหม อารมณ์เป็นไง
    จากจิตที่อยู่กับตัวเอง กับไปอยู่ที่คนอื่นซะหมด สมาธิลดฮวบครับ
    อย่างเมื่อก่อนกินนั่งนอน ภาวนาได้หมด แต่พอมีแฟนแล้ว ทำได้ยาก
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 12 กรกฎาคม 2012
  3. ยศวดี

    ยศวดี ยายแก่แล้ว*_*

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2010
    โพสต์:
    4,255
    กระทู้เรื่องเด่น:
    11
    ค่าพลัง:
    +5,796
    เอ่อ นาท่าน เป็นไป ตามธรรมชาติ
    พอเ็ห็นทุข์ที่แท้จริงชัดขึ้น ทีนี้ละท่านเอ๊ย จะเร็วยิ่งกว่าเดิมอีก จาก 5 เมก เป็น 6 เมกเลยละท่าน เอาใจช่วยนะคะ
     
  4. ไอ้ลูกหมา

    ไอ้ลูกหมา Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 เมษายน 2011
    โพสต์:
    115
    ค่าพลัง:
    +26
    ธรรมชาตินี้มีหญิงชาย หากปฏิบัติธรรมอย่างเดียวโดยไม่เจอทุกข์สุขหลายๆรูปแบบ แล้วจะเป็นการับทุกข์ที่แท้จริงได้อย่างไร^^
     
  5. คนไม่รุ้

    คนไม่รุ้ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    175
    ค่าพลัง:
    +116
    อภิญญา สมัยนี้ยังมีอยู่อีกเหรอครับ คือ ไม่ทราบอ่ะครับ
     
  6. bosslnwskr10

    bosslnwskr10 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    1,912
    ค่าพลัง:
    +1,512
    เยอะแยะครับ มันอยู่ที่คน โดยบางคนนั้นเป็นของเก่า กล่าวคือ ได้มาตั้งแต่เด็กก็มี ยกตัวอย่าง ทำไมคนนั้นเห็นผี แต่อีกคนไม่เห็นผีหรืออะไรอย่างเนี้ย

    -0-
    พูดไปนั้น...
    ({)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 กรกฎาคม 2012
  7. jate2029

    jate2029 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 มกราคม 2008
    โพสต์:
    391
    ค่าพลัง:
    +729
    ที่อภิญญา ของคุณลดลง ไม่ใช่เพราะผู้หญิง แต่เป็น เพราะจิตของคุณ เสื่อมลงมาเอง
    ต่างหาก ฌาณที่คุณได้นั้น เป็น โลกีย์ฌาณ ไม่ใช่โลกุตะระฌาณ ย่อมมีความเสื่อมไป
    เป็นธรรมดา เพราะมันมี ภาวะ กิเลส เข้ามาแทรกเพิ่มกว่าเดิม จงนั่งย้อน พิจารณาตัวเอง
    ใหม่ให้เห็นความจริง แล้วพิจารณาโทษ เหล่านั้นให้จิต เกิดความเบื่อหน่าย ซะเถิดครับ
    อย่าไปโทษ ว่าเป็นเพราะแฟน เลยทำให้เสื่อมลง จริงๆ มันเป็นเพราะตัวเราเองต่างหาก
     
  8. วิษณุ12

    วิษณุ12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    5,337
    ค่าพลัง:
    +6,846

    แม่นแล้ว ตัวเราเองล้วนๆ
     
  9. ก้อนหิน

    ก้อนหิน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    213
    ค่าพลัง:
    +238
    แฟนเป็นของปรุงแต่งเหมือนกับเราครับ หาคนจิตนิ่ง ๆ ถ้าจะwork
     
  10. pakhun

    pakhun สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    83
    ค่าพลัง:
    +9
    ถือศิล 5 ก็พอแล้วครับ
     
  11. พูน

    พูน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    595
    ค่าพลัง:
    +2,479
    ของที่ได้แล้วไม่เสื่อม แต่เมื่อมีนิวรณ์มากวน มันจะหายไป ชั่วครู่ (หรือจะนาน) จนกว่าคุณจะเพิกนิวรณ์นั้นลงเสีย ญาณโลกีย์ที่ได้จะกลับมาเอง หาทุกข์ให้เจอ แล้วจะรู้ว่า "เรามาทำอะไรอยู่ตรงนี้"
     
  12. beerdekpee

    beerdekpee Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    154
    ค่าพลัง:
    +61
    คนที่บอกว่าไม่เกี่ยวน่ะ ตัวเองทำได้แค่ใหนถึงออกมาพูดกันน่ะ
     
  13. EterNalStaR

    EterNalStaR Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2011
    โพสต์:
    47
    ค่าพลัง:
    +86
    มุทุลักขณชาดก-ชาดกว่าด้วยกามกิเลสคือต้นเหตุแห่งความเศร้าหมอง

    [​IMG]

    พระเจ้าพรหมทัตและพระนางมุทุลักขณา

    สมัยพุทธกาลผ่านมาพระเชตะวันมหาวิหารของพระบรมศาสดาร่มเย็นเป็นที่พึ่งพาของเวไนยสัตว์อย่างทั่วถึง ดุจแสงจันทร์วันเพ็ญอันสว่างนวลทั่วปริมณฑล แต่จันทร์กระจ่างฟ้าก็หาทำความรื่นรมย์ได้ทั่วทุกคนไม่ ยังมีภิกษุหนุ่มชาวสาวัตถีรูปหนึ่งกำลังกลัดกลุ้มอยู่กับความทุกข์ภายใต้แสงจันทร์นวลทุกราตรี

    [​IMG]

    ภิกษุหนุ่มผู้ถูกความรักเข้าเกาะกุมหัวใจจนเกิดเป็นความทุกข์อย่างใหญ่หลวง

    “โอ้นวลน้อง ความรักของพี่ที่มีต่อเจ้า ช่างทำให้พี่ทุกข์ใจยิ่งนัก กินไม่ได้นอนไม่หลับ นั่งสมาธิ(Meditation)ก็วุ่นวายใจ เฮ้อ” สมณะกิจใดๆ ภิกษุหนุ่มก็ไม่ได้ปฏิบัติ จนเพื่อนภิกษุทั้งหลายสุดจะทนเวทนาอยู่ได้ จึงนำสมณะสงฆ์รูปนี้มาเฝ้าพระบรมศาสดา “ไปเฝ้าพระพุทธองค์เถอะท่านจะได้ปลดเปลื้องจากทุกข์นี้ซะที” “เป็นเธอนี่แล้วผู้กระวนกระวายรุ่มร้อนใจ ด้วยอำนาจความงามของหญิง

    [​IMG]

    ความรุ่มร้อนใจทำให้ภิกษุหนุ่มไม่สามารถปฏิบัติสมณะกิจใดๆได้

    สิ่งนี้ไม่ได้แปลกอันใด เพราะเธอยังไม่มีคุณวิเศษป้องกัน ในอดีตกาลก่อน เราได้อภิญญา 5_สมาบัติ 8_สามารถข่มกิเลสได้ด้วยญาณ ทั้งเหาะเหินบนฟ้าได้ก็ยังเคยพลาดพลั้งยังเผลอหลงใหลหญิงงาม จนญาณสมาบัติเสื่อมสูญได้รับทุกข์ร้อนมาแล้ว กิเลสนั้นก็มีกำลังมากนัก ดุจลมพายุถอนขุนเขา โค่นไม้ใหญ่

    [​IMG]

    ภิกษุหนุ่มถูกนำตัวเข้าเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

    ครั้งเป็นพระโพธิสัตว์ทรงภูมิรู้ยังเพรี้ยงพร้ำแก่กิเลส ความผิดของเธอครั้งนี้จึงเป็นสิ่งธรรมดา ลำดับนั้นพระพุทธเจ้าทรงตรัส มุทุลักขณชาดกขึ้น โปรดภิกษุทั้งหลายในพระเชตะวันดังนี้ มานพหนุ่มผู้หนึ่งเกิดในตระกูลดี มีสติปัญญาเลอเลิศ แต่ก็ค้นพบว่าสรรพวิชาที่เล่าเรียนมามิอาจช่วยผู้คนพ้นความทุกข์ได้

    [​IMG]

    มานพหนุ่มผู้มีสติปัญญาเลิศออกเดินทางแสวงหาสัจธรรม

    เขาจึงออกหาสัจธรรมไปยังที่ต่างๆ ทั่วชมพูทวีป ท้ายที่สุดท่านได้ถือเพศพรหมจรรย์เป็นฤาษีบำเพ็ญเพียรภาวนาอยู่ริมป่าหิมพานต์จนได้สมาบัติแก่กล้า สามารถเหาะเหินเดินอากาศได้ และมักเหาะลงมาบิณฑบาตโปรดชาวนครพาราณสีอยู่เนืองๆ ครั้งหนึ่งพระดาบสตนนี้ได้เหาะจากหิมพานต์เข้ามายังมหานครดังปกติ “เอ้..วันนี้มีเหตุอันใดหนอจิตใจถึงร้อนรุ่มนัก “

    [​IMG]

    มานพหนุ่มได้ถือเพศพรหมจรรย์เป็นฤาษีบำเพ็ญเพียรภาวนาอยู่ริมป่าหิมพานต์

    ครั้งนั้นยังมิทันบิณฑบาตก็ต้องรับนิมนต์จากราชบุรุษให้เข้าไปโปรดพระเจ้าพรหมทัตยังพระราชฐาน “เชิญท่านฤาษีทางนี้เถอะ พระเจ้าพรหมทัตทรงประทับรออยู่” “โอ้ดีจัง วันนี้เราจะได้ฟังธรรมกัน” “ฟังธรรมรึ? ดีจัง ยังไม่เคยฟังมาก่อนเลย” “เจริญพร มหาบพิท” “ข้าพระองค์เลื่อมใสในศีลและประพฤติพรหมจรรย์ของท่าน ปรารถนาในรสธรรมโอวาทยิ่งนัก”

    [​IMG]

    ฤาษีได้เหาะจากป่าหิมพานต์มาบิณฑบาตยังนครพาราณสี

    “หากท่านปรารถนาจะฟังธรรมเราก็ยินดี” พระเจ้าพรหมทัตถวายอาหารอันประณีต แล้วจึงอาราธนาให้พระดาบสพำนักอยู่ในที่พระราชวังต่อไปอีกนานปี “เพื่อเหล่าพระราชวงศ์หญิงชายและปวงอำมาตย์จะได้รับโอวาทอย่างใกล้ชิด บัดนี้ข้าพระองค์ได้จัดอาศรมใหม่ไว้ในพระอุทยานแล้ว ขออาราธนาเป็นพระอาจารย์แก่ราชวงศ์สืบไปแต่วันนี้เถิด”

    [​IMG]

    ราชบุรุษนิมนต์พระฤาษีไปโปรดพระเจ้าพรหมทัตในพระราชวัง

    “ถ้ามหาบพิทต้องการอย่างนั้น เราก็คงขัดไม่ได้” เมื่อพระฤาษีมาพำนักอยู่ในวัง ก็เป็นที่เคารพนับถือของเหล่าราชนิกูลและข้าราชบริพาร ด้วยท่านมีความรอบรู้ทั้งทางโลกและทางธรรมยากที่จะหาใครทัดเทียมได้ในยุคนั้น “อือ..อุทยานนี่ช่างสงบเงียบดีจริงเหมาะแก่การนั่งสมาธิ ให้โอวาทแล้วค่อยกลับมานั่งสมาธิดีกว่า”

    [​IMG]

    พระฤาษีได้แสดงธรรมโปรดพระเจ้าพรหมทัตและเหล่าราชนิกูลพร้อมข้าราชบริพาร

    “ความเพียรของหมู่ชนผู้พร้อมเพรียงกันทำให้เกิดสุข ขณะที่สุกรทั้งหลายพร้อมเพรียงกันยังฆ่าเสือโคร่งได้เพราะใจรวมเป็นอันเดียว ท่านพึงศึกษาความสามัคคีไว้เถิด ความสามัคคีนั้นท่านผู้รู้ทั้งหลายสรรเสริญแล้ว ผู้ยินดีในสามัคคีตั้งอยู่ในธรรมย่อมไม่พลาดจากธรรมอันเกษมจากโยคะ” “ถ้าอย่างนั้นเราก็ต้องปกครองคนในพาราณสีให้สามัคคีกันเอาไว้”

    [​IMG]

    พระเจ้าพรหมทัตขอพรจากพระฤาษีเพื่อยกทัพไปชายแดน

    “ต่อจากนี้ไปเราจะยึดหลักความสามัคคีไว้ในใจ” อย่างเข้าฤดูแล้งคราวหนึ่งเมืองพาราณสีก็เกิดสงคราม พระเจ้าพรหมทัตก็มากราบขอพรเพื่อยกทัพไปสงครามชายแดน “มหาบพิทจงเผด็จศึกโดยดีเถิด จงเมตตาแก่ผู้แพ้ตามสมควรเถิดจะเกิดกุศลยิ่ง” “ข้าพระองค์จะยึดหลักศีลธรรมตามที่ท่านฤาษีอบรม” พระเจ้าพรหมทัตได้รับสั่งให้พระนางมุทุลักขณาพระมเหสี

    [​IMG]

    พระนางมุทุลักขณาได้ดูแลการจัดเตรียมอาหารถวายพระฤาษี

    คอยดูแลเอาใจใส่พระฤาษีมิให้บกพร่องใดๆ แล้วก็ยกทัพออกจากนครไป “เสด็จพี่อย่าทรงห่วงเลยเพคะ หม่อมฉันจะดูแลพระฤาษีเป็นอย่างดีมิให้ขาดตกบกพร่อง” ทุกวันพระนางมุทุลักขณาจัดเตรียมอาหารถวายพระดาบสอย่างดีมิได้ขาด แต่แล้วก็เกิดเหตุใหญ่ขึ้นครั้งหนึ่ง ในวันนั้นพระดาบสเข้าญาณจนลืมเวลานิมนต์ “ทำไม่พระฤาษีถึงยังไม่ออกมาฉันอาหารนะ”

    [​IMG]

    พระนางมุทุลักขณาทรงทอดพระวรกายพักผ่อน ณ ท้องพระโรง

    “คงนั่งสมาธิอยู่กระมังคะ” “ถ้าอย่างนั้นเราไปพักผ่อนก่อนนะ พวกเจ้าอยู่คอยรับใช้ก่อนแล้วกัน” “เพคะ” พระนางมุทุลักขณารอพระฤาษีอยู่นานก็ยังไม่มา พระนางจึงทอดพระวรกายพักผ่อนอิริยาบถอยู่บนยี่พู่ ณ ท้องพระโรงอยู่บริเวณเดียวกัน “เฮ้อง่วงจัง..นอนซักพักดีกว่า” แอ๊ส.ส..ส “เอะ...เสียงอะไรนะ” “เหมือนมีใครเข้ามาทางพระบัญชรนะเพคะ”

    [​IMG]

    พระฤาษีเหาะเข้ามาทางพระบัญชรโดยที่ไม่ทราบว่าพระมเหสีทรงพักผ่อนอยู่

    เสียงนั้นคือพระฤาษีซึ่งเหาะเข้ามาทางพระบัญชรอย่างเร่งรีบ พระมเหสีตกพระทัยจึงผุดลุกโดยเร็วภูษาแพรที่ห่มพระอุระก็หลุดลุ่ยลงอวดโฉมแก่สายตาพระฤาษี “โอ๊ะ.ว๊ายผ้าหลุด” “ว๊าย..ตาเถน หลุดๆๆๆ” ความงามแห่งอิสตรีนั้นก่อกวนญาณอันบริสุทธิ์ให้ดับวูบลง กามราคะอันไม่เคยมีของผู้ทรงศีล กลับคุโชนขึ้นมาแทนที่อย่างรวดเร็ว

    [​IMG]

    พระฤาษีเดินกลับไปยังอาศรมของตนเพราะไม่สามารถใช้ญาณเหาะได้ดังเดิม

    “โอ้..ช่างงดงามเหลือเกิน” เมื่อรำลึกรู้ตัวพระดาบสก็หันกลับไปยังอาศรมอุทยานด้วยสองเท้า มิสามารถใช้ญาณเหาะเหินได้ดังเดิม “แย่แล้วเราจะเป็นบาปหรือเปล่าก็ไม่รู้” “ฮู...ท่านฤาษีหน้าซีดไปเลย” จากเหตุการณ์ครั้งนี้ทำให้พระฤาษีไม่อาจลืมความงามของสตรีเพศได้เลย ภาพนั้นมีฤทธิ์รุนแรงต่อจิตใจ จนพระฤาษีมิอาจรวบรวมสมาธิต่อต้านได้

    [​IMG]

    พระฤาษีได้เกิดความรักขึ้นภายในใจต่อพระนางมุทุลักขณา

    “น้องหญิงช่างสวยเหลือเกินภาพน้องช่างติดตาตรึงใจพี่ จนพี่ไม่อาจลืมเลือนได้แล้ว โอ้..นี่เราเป็นอะไรไปเนี่ย” ยิ่งนานวันฤทธิ์พิศวาสก็รุมเร้าให้เฝ้าแต่เก็บตนเงียบในอาศรม ร่างกายทรุดโทรม จิตใจระทมทุกข์จนหมดสง่าราศี “ไฉนกามเทพบันดาลทุกข์แก่เราได้มหันต์ปานนี้ น้องหญิงเราจะได้ครองเธอเมื่อใดหนอ เมื่อใด” เวลาล่วงไป 7 วัน

    [​IMG]

    พระเจ้าพรหมทัตทรงสอบถามถึงสาเหตุแห่งทุกข์ที่เกิดต่อพระฤาษี

    พระเจ้าพรหมทัตเสด็จกลับจากชายแดน เมื่อเสร็จราชกิจจากท้องพระโรงก็เร่งเสด็จมากราบพระฤาษี “โอ้..เกิดอะไรขึ้นทำไม่พระฤาษีถึงได้ซูบผอมอย่างนี้” “มหาบพิทกลับมาแล้วรึ เรามีทุกข์หนักอันเรียกว่าความรักเกิดขึ้นในใจจึงเป็นดั่งนี้ มหาบพิท” เมื่อพระเจ้าพรหมทัตทรงสอบถามสาเหตุที่กระทำต่อผู้ทรงศีล ก็ได้รับคำตอบอันสะเทือนใจยิ่ง

    [​IMG]

    พระเจ้าพรหมทัตทรงวางแผนกับพระมเหสีเพื่อต้องการให้พระฤาษีมีสติกลับมาเหมือนเดิม

    “เรื่องทั้งหมดเป็นความจริงเรามิสามารถพูดเท็จได้” “ที่แท้ความความเจ็บปวดของพระอาจารย์เนี่ยเกิดเพราะหลงรักพระนางมุทุลักขณานี่เอง” “เป็นเช่นนั้น มหาบพิทจะลงโทษเช่นไรก็ได้ อาจารย์ก็ยอมสิ้น” “หามีโทสะอนุโทษใดสำหรับท่านไม่” (โธ่เอ้ย พระฤาษีผู้ทรงคุณวิเศษ บัดนี้ร่ำหาสตรีเสียแล้ว เราต้องช่วยท่านให้ได้)

    [​IMG]

    พระเจ้าพรหมทัตทรงให้พระฤาษีมารับตัวพระมเหสีของตนไปอยู่ด้วย

    พระเจ้าพรหมทัตนำเรื่องทุกข์ใจของท่านฤาษีมาปรึกษากับพระนางมุทุลักขณาพระมเหสี “รู้ไหมพระฤาษีกำลังทุกข์ใจกับความรักที่มีต่อเธอ จนมิอาจรวบรวมสมาธิได้ดังเคย พี่นะคิดอุบายที่จะทำให้ท่านกลับมาดังเดิมได้แล้ว แต่อยู่ที่น้องหญิงจะช่วยหรือเปล่า” “เพราะน้องแท้ๆ ที่ไม่ระวังตนให้ดีทำให้ตบะท่านเสื่อมไป เสด็จพี่บอกมาเถอะว่าจะให้น้องช่วยอย่างไร

    [​IMG]

    พระเจ้าพรหมทัตทรงถวายตัวพระมเหสีแบบลับๆ ต่อท่านฤาษี

    น้องยินดีทำถวายทุกอย่างเพคะ” วันต่อมาสองพระองค์ก็ทำตามแผนที่วางไว้ คือนิมนต์พระฤาษีมาเพื่อรับตัวพระมเหสีไปอยู่ด้วยกัน “ฟังพี่นะ มุทุลักขณาน้องนะ ต้องทำตามแผนการให้ดี เพื่อคืนสติให้ท่านอาจารย์ ไปเถอะท่านมารออยู่แล้ว” (ในที่สุดความรักของเราก็สมหวัง น้องหญิงของพี่) พระเจ้าพรหมทัตถวายพระมเหสีแก่พระดาบสเป็นการลับเฉพาะ

    [​IMG]

    พระนางมุทุลักขณาทรงใช้พระฤาษีทำงานบ้านทุกอย่าง

    ทั้งยังถวายบ้านเล็กๆ ให้ที่ริมกำแพงวัง “ไปกันเถิดน้องหญิง น้องนางที่รักของข้า ไปครองเรือนกันพี่จะทำให้เจ้ามีความสุขที่สุด” (สงสารจังแต่เราต้องทำให้พระฤาษีกลับมาเหมือนเดิมให้ได้) “โอ๊ย..นี่บ้านหรือรังหนูนี่ สกปรกอย่างนี้น้องอยู่ไม่ได้หรอกนะคะ” “ได้เลยจ๊ะ เดี๋ยวพี่จะทำความสะอาดให้เอี่ยมเลยจ้า” “งั้นก็เร็วๆ ซิจ๊ะ น้องนะอยากพักผ่อน เหนียวตัวไปหมดแล้วเนี่ย อยากล้างตัวด้วย”

    [​IMG]

    ผู้คนต่างพากันประหลาดใจในการกระทำของพระฤาษี

    “จ้าๆๆๆ พี่จะยกน้ำไปให้เดี๋ยวนี้แหละจ้า” เมื่อทำความสะอาดเรือนเสร็จพระฤาษีก็ถูกใช้ให้ไปขนเครื่องเรือนมาจากพระราชวังอีก “โอ้ย..ขนมาตั้ง 3 รอบแล้วไม่หมดซะที เฮ้อ..เหนื่อย แต่เพื่อความรักของเรา ทำได้” “พระฤาษีทำอะไรเนี่ย อันเนี่ยนะเหรอที่เค้าเรียกว่าปฏิบัติธรรม ช่างน่าขันยิ่งนัก” “เห็นแล้วหดหู่ใจ พระฤาษีคนเดิมหายไปไหนกันเนี่ย”

    [​IMG]


    พระฤาษีขนเครื่องเรือนจากในวังมายังบ้านหลังเล็กด้วยความยากลำบาก



    “เฮ้อ..เจ้าพวกนี้จะวิจารณ์เราไปถึงไหนเนี่ย เฮ้อ..รีบขนดีกว่า ขี้เกียจจะได้ยิน” พระฤาษีทำงานรับใช้พระนางมุทุลักขณาตั้งแต่เช้าจนตะวันใกล้อัสดง “โอ้หลังจะหัก เตียงนอนน้องหญิงนี่หนักจริงๆ โอ้ย ทั้งหนักทั้งเหนื่อย แต่ไม่เป็นไรเราต้องทนไว้ ใกล้มืดแล้วเดี๋ยวก็ถึงเวลาแห่งความสุขของเราแล้ว” เมื่อตะวันตกดินพระดาบสก็ถูกไล่ไปอาบน้ำชำระกายให้สะอาดเหมือนมารดาบังคับบุตรน้อย

    [​IMG]

    พระฤาษีได้ทวงสัญญาจากพระนางมุทุลักขณาหลังจากที่ตรากตรำงานมาทั้งวัน

    ซึ่งท่านก็ทำตามโดยง่าย “น้องหญิงพี่อาบน้ำเสร็จแล้ว ถึงเวลาของเรารึยัง มามะ” “ถึงตอนนี้แล้วท่านยังไม่รู้อีกรึ ขอให้พระคุณเจ้าดูตัวเองใหม่ให้ชัดซิว่า ยังเป็นนักบวชอยู่หรือไม่” เมื่อพระนางมุทุลักขณาเตือนให้รู้ฐานะพระฤาษก็มีสติพิจารณาก้มลงมองร่างกายของตัวเอง บัดนี้มิเหลือคุณสมบัติของนักบวชอยู่เลย แต่เป็นร่างกายที่ตรากตรำทำงานมาทั้งวันและจิตใจที่เต็มไปด้วยราคะ

    [​IMG]

    พระนางมุทุลักขณาทรงเตือนสติพระฤาษีให้รู้ถึงสถานะของตนเอง

    “โอ้..เราหนอสู้เพียรภาวนามานานปี กลับพ่ายแพ้ต่อกามราคะ ยอมทำทุกอย่างดังเสียสติ ไม่กลัวราชอาญา ไม่อายต่อคำครหา ไม่หวั่นเกรงนรกอเวจีเลย” เมื่อพระฤาษีรู้สึกดีชอบ จึงรีบขออภัยต่อพระนางมุทุลักขณา จากนั้นก็รีบเข้าเฝ้าและถวายพระมเหสีคืนต่อพระเจ้าพรหมทัต พระโพธิสัตว์เจ้ากำหนดสติวางจิตเป็นสมาธิญาณ

    [​IMG]

    พระฤาษีถวายพระมเหสีคืนพระเจ้าพรหมทัตแล้วก็เหาะกลับไปยังป่าหิมพานต์

    อภิญญาก็กลับคืนมาดังเดิม เมื่อแสดงธรรมถวายเป็นเอนกปริยายแล้วพระฤาษีก็เหาะกลับยังป่าหิมพานต์ เจริญภาวนาไปจนสิ้นอายุขัยในโลกมนุษย์ แล้วจุติยังพรหมโลกด้วยกุศลธรรม เมื่อพระพุทธเจ้าแสดงพระธรรมเทศนาด้วยชาดกนี้จบลง ภิกษุหนุ่มผู้หลงใหลในกามกิเลสก็บรรลุธรรมหลุดพ้นความทุกข์ ณ ที่นั้น


    ในพุทธกาลสมัย พระเจ้าพรหมทัต กำเนิดเป็น พระอานนท์
    พระนางมุทุลักขณา กำเนิดเป็น พระอุบลวรรณาเถรี
    พระฤาษี เสวยพระชาติเป็น พระพุทธเจ้า

    อ้างอิง มุทุลักขณชาดก-ชาดกว่าด้วยกามกิเลสคือต้นเหตุแห่งความเศร้าหมอง
     
  14. beerdekpee

    beerdekpee Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    154
    ค่าพลัง:
    +61
    ในพุทธประวัติของพบเห็นแล้วว่าหลายท่านผู้ทรงญาณแม้แต่พระพุทธเจ้าตอนเป็นพระโพธิสัตว์ผู้ทรงญาณ พอพบกับนางผู้ที่รัก ญาณที่เคยภาวนาก็เสื่อมตกจากอากาศลงมาสู่พื้นดิน จงเข้าใจใหม่นะ พวกผู้บูชาสตรีเอ๋ย
     
  15. beerdekpee

    beerdekpee Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    154
    ค่าพลัง:
    +61
    ปัญญาเทอมันก็แค่ บุ๋ง บุ๋ง บุ๋ง บุ๋ง อึ๊บ แฮ่<!-- google_ad_section_end --> ยังจะคิดสอนอีกเหรอจ่ะ พอคนขี้อวด<TABLE id=post6359689 class=tborder border=0 cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" align=center><TBODY><TR vAlign=top><TD style="BORDER-BOTTOM: #ffffff 0px solid; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 0px solid; BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid" class=alt2 width=175>


    jate2029<!-- google_ad_section_end --><SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_6359689", true); </SCRIPT>

    สมาชิก

    [​IMG]

    วันที่สมัคร: Jan 2008
    ข้อความ: 414
    ได้ให้อนุโมทนา: 71
    ได้รับอนุโมทนา 181 ครั้ง ใน 62 โพส
    พลังการให้คะแนน: 114 [​IMG][​IMG][​IMG][​IMG]




    </TD><TD style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid" id=td_post_6359689 class=alt1><!-- google_ad_section_start -->


    บุ๋ง บุ๋ง บุ๋ง บุ๋ง อึ๊บ แฮ่<!-- google_ad_section_end -->



    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  16. EterNalStaR

    EterNalStaR Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2011
    โพสต์:
    47
    ค่าพลัง:
    +86
    อสาตมนต์ชาดก-ชาดกว่าด้วยมนต์มายาหญิง

    [​IMG]

    หญิงหม้ายตาบอดผู้ถูกกิเลสครอบงำคิดฆ่าผู้อื่นได้เพื่อความสุขของตน
    ในวัฏสงสารที่เราเวียนว่ายเกิดดับตามกฎแห่งกรรมอันเป็นธรรมดานี้ มิมีผู้ใดที่สามารถหลุดพ้นปวงกรรมนี้ได้เลย พุทธกาลสมัยหนึ่งซึ่งธรรมะอุทกจากพระบรมศาสดายังไหลรินหล่อเลี้ยงเวไนยสัตว์ผู้ทุกข์อยาก ณ พระเชตะวันมหาวิหารกาลนั้น มีภิกษุสงฆ์ผู้ตกทุกข์ด้วยเหตุจากอิสตรีเข้ากวนกิเลสมิให้ดื่มด่ำธรรมรสได้ดุจเดิม กิเลสจากหญิงนั้นทำให้บุตรแห่งพระสมณโคดมรูปหนึ่ง

    [​IMG]

    พระเชตะวันมหาวิหาร

    มิเป็นอันบำเพ็ญภาวนา “เฮ้อ..เหตุใดใจมันถึงรุ่มร้อนเช่นนี้ หลับตาคราใดก็เฝ้าเห็นแต่ความงามของน้อง ทำยังไงนะ ใจเราถึงจะสงบลงได้ซะที..เฮ้อ” แม้ภิกษุรูปนี้จะเคยฟังเทศนาธรรมมิให้หลงไหลในกามอันประกอบขึ้นด้วย รูป รส กลิ่น เสียง มาหลายครั้งหลายหน แต่มาถึงบัดนี้กลับหลงลืมไปหมดสิ้น ความเวทนานี้ประจักษ์ขึ้นในข่ายพระญาณองค์จอมไตร

    [​IMG]

    ภิกษุหนุ่มผู้ตกอยู่ในห้วงทุกข์ด้วยเหตุจากอิสตรี
    ทรงปรารถนาให้พระภิกษุนั้นพ้นภัยจากวัฏสงสาร จึงกำหนดให้เข้าเฝ้า ณ พระคัณฑกุฏี “ดูก่อนภิกษุสีหน้าท่านชั่งเศร้าหมองยิ่งนัก เรารู้ถึงการเป็นทุกข์ของท่าน” “องค์ศาสดา โปรดช่วยกระผมให้เห็นทางสว่างด้วยเถอะครับ” “ชื่อว่าหญิง ย่อมก่อกวนพรหมจรรย์ของเพศสมณะผู้ตั้งใจบำเพ็ญเพียรเสมอในอดีตชาตินั้น บัณฑิตก็เคยแสดงให้รู้แจ้งถึงอันตรายจากกิเลสในใจหญิงมาก่อน”

    [​IMG]

    พระบรมศาสดาทรงโปรดให้ภิกษุหนุ่มเข้าเฝ้า ณ พระคัณฑกุฏี
    จากนั้นพระพุทธองค์ก็ทรงระลึกชาติขึ้นด้วยบุพเพนิวาสนุสติญาณ ชายแดนแคว้นกาสีครั้งโน้นมีบุตรชายในครอบครัวพราหมณ์ผู้หนึ่งเติบโตเป็นหนุ่มขึ้นท่ามกลางการดูแลอย่างหวงแหนจากผู้เป็นพ่อและแม่ “หนักไหม๊จ๊ะลูก ค่อยๆ เดินไปนะ ให้พ่อกับแม่ช่วยไหม๊” “ไม่เป็นไรจ๊ะ แม่เสียทรัพย์ซื้อให้ก็เป็นพระคุณมากแล้ว” “เออ..เดินดีๆ ลูก เดี๋ยวจะหกล้มบาดเจ็บเอาได้นะ”

    [​IMG]

    ครอบครัวพราหมณ์ผู้ซึ่งมีฐานะและมีบุตรชายรูปงามและมีภูมิรู้

    บุตรพราหมณ์เป็นชายหนุ่มรูปงามฐานะดีและมีภูมิรู้ จึงเป็นที่หมายปองของสตรีทั่วไป และการที่เขายังอยู่ในวังวนของกิเลส จึงทำให้รู้สึกชื่นชอบในหญิงสาวที่เข้ามาหลงใหลในตัวเขาเช่นกัน ซึ่งนางพราหมณีผู้เป็นแม่ต้องคอยกำราบห้ามปรามอยู่มิเคยเว้น “แม่ผู้หญิงคนนี้มาอีกแล้ว เป็นผู้หญิงยิงเรือแท้ๆ ไม่รู้จักรักนวลสงวนตัว มาหาผู้ชายอยู่ได้ไม่เว้นวัน เข้าไปในบ้านเลยลูก อย่าไปเสวนากับแม่พวกนี้เลย”

    [​IMG]

    พราหมณ์ผู้เป็นแม่พยายามกีดกันหญิงสาวที่คอยแวะเวียนมาหาบุตรของตน

    “ท่านนี้แต่น้องนางคนนี้ น่ารักดีนะ ลูกอยากคุยกับเธอ” “อะฮ้า..ดีจังวันนี้ไม่มีแม่มาคุม โปรยเสน่ห์ได้เต็มที่เลยเรา” “อุ๊ย มีผู้ชายหน้าตาดีมองมาทางเราด้วย นั่นแน่ะ หรือว่าเค้าแอบชอบเรานะ” “ผู้ชายอะไรก็ไม่รู้หล้อหล่อ สูงเท่บาดใจ” “คนนี้ก็สวย คนนั้นก็น่ารัก โอ๊ย..ไม่รู้จะเลือกใครดี เมื่อไหร่จะได้แต่งงานกับเขาเสียที เฮ้อ..เกิดมาเป็นคนหน้าตาดีเนี่ย มันลำบากใจจริงๆ”

    [​IMG]

    บุตรของพราหมณ์เป็นที่หมายปองของสาวๆ ทั่วไป
    แม้บุตรชายจะใคร่แต่งงานมีเหย้ามีเรือนเพียงใด แต่พราหมณ์บิดามารดา กลับไม่ให้การสนับสนุนเลย ท่านทั้งสองอยากให้บุตรชายครองเพศบรรชิตยิ่งกว่าสิ่งไหน “ลูกรัก พรหมโลกน่ะ เป็นที่หมายสูงสุดของมนุษย์ทุกคน ที่นั่นนะเป็นที่อยู่ของเทพยดาผู้บริสุทธิ์ เราน่ะ อยากให้ลูกบำเพ็ญบารมีเอาดีทางธรรมนะลูก” “พ่อเองก็เห็นด้วยกับแม่

    [​IMG]

    พ่อและแม่ของพราหมณ์หนุ่มต้องการให้บุตรของตนออกบวช

    ธรรมะจะทำให้ลูกเห็นทางสว่างของชีวิตพ้นจากบ่วงกรรมได้” “เมื่อบวชแล้ว พอสิ้นอายุขัยจากโลกนี้ เจ้าก็จะได้ไปเกิดในพรหมโลกนะจ๊ะ เจ้าเชื่อแม่เถอะ เปลี่ยนความคิดที่จะแต่งงาน มาออกบวชเถอะนะ” “ฮึๆ เป็นนักบวชแบบนี้เหรอท่านแม่ ลูกยังหนุ่มยังแน่น ขอลูกเอาดีทางโลกก่อนเถอะจ๊ะ” “ฮึม..ดีเหมือนกัน หากเจ้าจะเอาดีทางโลก เพราะก่อนที่จะครองเรือนเจ้าต้องรอบรู้ศิลปศาสตร์ทางโลกก่อน

    [​IMG]

    บุตรของพราหมณ์ออกเดินทางไปร่ำเรียนที่สำนักทิสาปาโมกข์
    เจ้าจึงจะเป็นสามีที่ดีได้” “เมื่อท่านพ่อเห็นว่าควรเป็นแบบนั้น ข้าก็จะไปเรียนที่สำนักอาจารย์ทิสาปาโมกข์ พ่อและแม่คิดเห็นเช่นไร” “พ่อกับแม่เห็นดีด้วย” “เจ้าไปเถอะ” เมื่อผู้เป็นพ่อกับแม่ไม่สามารถพูดให้บุตรชายเปลี่ยนความคิดที่จะแต่งงานได้ จึงออกอุบายให้บุตรชายไปศึกษาหาความรู้กับอาจารย์ โดยหวังว่าอาจารย์จะช่วยสอนให้ลูกเห็นทางธรรม

    [​IMG]

    บุตรของพราหมณ์กราบลาอาจารย์กลับบ้านหลังจากที่ร่ำเรียนจบ
    “จงเลือกเรียนกับอาจารย์ที่ยังโสดนะลูก ท่านจะได้มีเวลาสอนได้มาก เจ้าจะได้จบโดยเร็วนะลูกนะ” “เฮ้อ..ต้องรีบเรียนรีบกลับ เราจะได้กลับมาแต่งงานกับน้องหญิงคนสวยเร็วๆ” บุตรพราหมณ์เดินทางทางสู่ทิสาปาโมกข์อยู่หลายวันก็พบกับอาจารย์คนโสดตามที่มารดาสั่งไว้ จึงได้ฝากตัวเป็นศิษย์และเริ่มเรียนวิทยาการจากอาจารย์ตั้งแต่วันนั้น

    [​IMG]

    ชายหนุ่มกลับมาหาบิดามารดาพร้อมกับความสำเร็จในวิชาที่ร่ำเรียน
    วันเวลาผ่านไป ชายหนุ่มรูปงามบุตรพราหมณ์ได้เรียนจนสำเร็จวิทยาการตามกำหนดจึงรีบล่ำลาอาจารย์กลับบ้าน “จำเริญรุ่งเรืองเถิดเมื่อเจ้าได้เป็นใหญ่เป็นโตแล้ว ก็อย่าลืมอาจารย์นะ โชคดี ไปดีมาดีนะ” “ศิษย์ขอกราบลา ศิษย์รำลึกพระคุณอาจารย์เสมอ” “อะไรเนี่ย มาทีหลังจบก่อนเราอีก เรียนมา 30 ปีแล้วยังไม่จบซักที ถ้าเป็นมหาวิทยาลัยคงโดนรีไทน์ไปแล้วเรา”

    [​IMG]

    พราหมณ์มารดาสอบถามบุตรถึงวิชาที่ได้ร่ำเรียนมา

    บุตรพราหมณ์ใช้เวลาเดินทางไม่กี่วันก็มาถึงบ้านเกิดเมืองนอน แต่เมื่อพรรณนาถึงวิชาทั้งหมดที่ร่ำเรียนมา ท่านทั้งสองกลับยังไม่พอใจ “เจ้าไปเรียนตั้ง 3-4 ปี มีแค่นี้หรอ” “โธ่..นี่ก็ตั้งมากมายแล้วนะท่านแม่ คิดว่าลูกเรียนมาหมดครบถ้วนแล้ว” “ครบถ้วนแล้วรึ เออ..แล้วอสาตมนต์ละ เจ้าเรียนแล้วรึยัง” “มีด้วยหรือท่านแม่ ข้าไม่เห็นอาจารย์สอนให้ข้าเลย” อสาตมนต์เนี่ยเป็นวิชาพิเศษที่น้อยคนนักจะได้เรียนรู้

    [​IMG]

    ชายหนุ่มเดินทางกลับไปร่ำเรียนวิชากับอาจารย์ของตนอีกครั้ง

    ลำพังศิลปะศาสตร์ทั่วไปใครๆ ก็ย่อมเรียนรู้ได้ แต่จะมีใครซักกี่คนละ ที่รู้อสาตมนต์บ้างเล่า แม้แต่ชื่อมนต์บทนี้บางคนก็ยังไม่เคยได้ยินด้วยซ้ำ” “ท่านแม่ลูกไม่ได้ยินบทนี้เลย” “อาจารย์เค้าคงเห็นว่าลูกนะ รีบร้อนอยากกลับมาประกอบการงานมีเหย้ามีเรือนกระมัง จึงได้สอนเฉพาะวิชาที่จำเป็นแก่การเลี้ยงชีพให้ แต่แม่ว่า ยังไม่พอหรอกเจ้า เพราะอสาตมนต์เป็นวิชาที่สำคัญมากควรอย่างยิ่งที่เจ้าจะต้องรู้”

    [​IMG]

    ชายหนุ่มติดตามอาจารย์มาจนถึงที่พักยังชายป่า
    “โอ๊ย..นี่ลูกต้องกลับไปเรียนอสาตมนต์กับอาจารย์อีกแล้วหรือ โธ่เมื่อไหร่ลูกจะได้แต่งงานละท่านแม่” แต่ชายหนุ่มก็เดินทางไปหาอาจารย์ยังสำนักทิสาปาโมกข์เมืองตักศิลาอีกครั้ง แต่ปรากฏว่าอาจารย์ได้พาหญิงชราที่มีพระคุณ เคยเลี้ยงดูท่านเข้าไปอยู่ในป่าเสียแล้ว “โอ้ย..เจ้านะมาช้าไป อาจารย์เนี่ยได้พาหญิงหม้ายตาบอดไปอยู่ที่ชายป่าด้านโน้น ถ้าเจ้ายังจะไปหาอาจารย์ก็รีบเข้าไปเถิด มืดค่ำลงจะลำบาก”

    [​IMG]

    ศิษย์หนุ่มซักถามอาจารย์ถึงวิชาอสาตมนต์ที่มารดาตนสั่งให้มาเรียน
    “อะไรกันเนี่ย จะเจออุปสรรคอะไรมากมายขนาดนี้” ชายหนุ่มบุตรพราหมณ์เร่งเดินทางผ่านป่าใหญ่ เร่งฝีเท้าอย่างมิได้รอช้าจนเย็นย่ำสนธยาก็พบอาศรมหลังใหญ่ “โอ้..นั่น อาจารย์ของเรานี่น่า โธ่เอ้ย หลบมาอยู่เสียไกล อาจารย์ๆ ครับ” “อ้าว ศิษย์รักเป็นเจ้ารึนั้น เข้าป่ามาหาอาจารย์ถึงนี่มีอะไรรึ มาเถอะ เข้ามาคุยกันก่อน” ค่ำคืนนั้นอาจารย์จากทิศาปาโมกข์กับบุตรพราหมณ์ผู้เป็นศิษย์ก็สนทนาซักถามกันถึงวิชาอสาตมนต์ที่มารดาของศิษย์สั่งให้มาเรียน

    [​IMG]

    อาจารย์ได้มอบหมายให้ศิษย์ดูแลหญิงหม้ายตาบอดผู้มี่พระคุณของตน

    “ท่านแม่ของศิษย์บอกให้ศิษย์มาเรียนอสาตมนต์จากอาจารย์ก่อนแล้วถึงแต่งงานได้” “ฮึม อย่างนั้นหรอกรึ” เมื่ออาจารย์ได้ยินก็รู้ดีว่าวิชาอสาตมนต์นี่ไม่มีจริงเลย ดังนั้นมารดาของศิษย์คงคาดหวังให้ช่วยในทางอื่น บุตรพราหมณ์เอ๋ย..มารดาของเธอคงไม่อยากให้มีภรรยาเป็นแน่ “เฮ้อ..เอาล่ะอาจารย์จะสอนบทเรียนนี่ให้เธอเอง”

    [​IMG]

    หญิงหม้ายวางแผนให้ศิษย์หนุ่มฆ่าอาจารย์ของตนเอง
    “โอ้..อาจารย์รู้จักวิชานี้ด้วยหรือ ดีใจจังเลย ท่านจะสอนวิชานี้ให้ข้าใช่มั๊ย” “ใช่อาจารย์จะสอนวิชาอสาตมนต์ให้ก็ได้ แต่เธอต้องดูแลหญิงหม้ายแทนอาจารย์นะ” “ครับอาจารย์แล้วข้าต้องทำอย่างไรบ้างละ” “เจ้าต้องอาบน้ำ ถูนวดให้ท่านอย่าได้รังเกียจ ที่สำคัญขณะที่ปรนนิบัติเจ้าต้องพรรณนาความงามของท่านไปด้วยเสมอ”

    [​IMG]

    ศิษย์หนุ่มรายงานทุกอย่างเกี่ยวกับหญิงหม้ายต่ออาจารย์ของตน
    “เป็นการพูดปด ทำไมข้าจะต้องพรรณนาความงามของหญิงแก่ด้วย ไม่เห็นเธอจะมีความงามหลงเหลืออยู่เลยสักนิด” “เอาเถอะน่า มันเป็นอีกวิธีหนึ่งที่จะใช้ปรนนิบัติหญิงผู้มีพระคุณของอาจารย์ เจ้าทำไปเถอะ” “นี่ไงหญิงผู้มีพระคุณของอาจารย์ เจ้าต้องดูแลนางอย่างดี แล้วอย่าลืมพรรณนาชมโฉมให้นางฟังด้วยนะ” “เห็นอย่างนี้แล้ว ข้าพรรณนาไม่ออกหรอกอาจารย์” “เจ้าก็เยินยอไปสมัยอดีตที่ยังสาวของนางสิ ให้เกิดความหลงปลื้ม

    [​IMG]

    ศิษย์หนุ่มเตรียมไม้มะเดื่อแทนร่างอาจารย์ตามแผนที่วางไว้
    นางจะได้มีความสุข แล้วสังเกตด้วยว่านางมีกิริยาตอบมาว่าอย่างไร ต้องมาเล่าให้อาจารย์ฟังด้วยน่ะ ไหนเจ้าทดสอบให้อาจารย์ดูหน่อยซิ” “เอ่อๆ เอ่อ คุณแม่ขอรับเมื่อสมัยคุณแม่ยังสาวคงสวยไม่น้อย ขณะอายุมากแล้วเค้าความงามยังปรากฏ” “ดีมาก อย่างนี้แหละกล้าๆ ไว้” “เอ่อ..เสียงหนุ่มที่ไหนมาชมแม่เนี่ย เสียเจ้าช่างนุ่มนวลน่าฟังจริงๆ เข้ามาใกล้ๆ ชั้นหน่อยซิ” “ยิ่งดูใกล้ๆ ก็ยิ่งงาม หลังเอย แขนเอย ดูยังสวย ไม่น่าเชื่อว่าคุณแม่ยังสดใสขนาดนี้”

    [​IMG]

    ศิษย์หนุ่มเตรียมขึงเชือกเป็นราวให้หญิงหม้ายใช้เกาะเดิน
    ทุกวันนี้คราใดที่ปรนนิบัติหญิงแก่ไม่ว่าจะตอนอาบน้ำหรือนวดเฟ้น ชายหนุ่มก็จะพรรณนาความงามของเธอให้ฟังมิได้ขาด ในที่สุดกิเลสก็เข้ากุมจิตใจหญิงแก่ให้เผลอรักใคร่ชายหนุ่มเข้าจนได้ “เธอพูดจริงรึพ่อหนุ่ม ชั้นงามอย่างนั้นจริงๆ เรอะ ชั้นทนฟังความหวานของเธอไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว” คุณแม่ใจเย็นๆ ก่อนนะครับ” “ชั้นสวยถูกใจเธอใช่มั๊ยละ เธอต้องการชั้นอย่างงั้นใช่ไหม๊ ถ้าอย่างนั้นนะ เรามาอยู่กินกันที่นี่เลยเถอะ” “โอ๊ย ไม่ได้หรอกครับคุณแม่ เดี๋ยวอาจารย์ต้องเอาตายแน่ๆ”

    [​IMG]

    หญิงหม้ายใช้ขวานฟันร่างคนที่นางเคยรักประหนึ่งบุตร
    “มันจะยากอะไรละพ่อหนุ่ม เราก็ฆ่าเขาให้ตายซะก็หมดเรื่อง แล้วเราก็อยู่กินกัน 2_คนอย่างมีความสุข หึๆ” “ผมทำไม่ได้หรอกครับคุณแม่ ท่านเป็นอาจารย์ของผม” “ถ้าเธอทำไม่ได้ งั้นชั้นจะเป็นคนฆ่าเขาเอง ที่ชั้นทำไปก็เพื่อเรา 2 คน เธอต้องร่วมมือกับชั้นนะ” หญิงแก่ตาบอดผู้ถูกกิเลสหลุ่มหลงครอบงำ คิดวางแผนฆ่าอาจารย์อย่างหน้ามืด โดยให้บุตรพราหมณ์ช่วยทำตามแผนของเธอ “พ่อหนุ่มทำตามที่ชั้นบอกแค่นั้นก็พอ ส่วนที่เหลือเดี๋ยวชั้นจะจัดการลงมือฆ่าเขาเอง”

    [​IMG]

    หญิงหม้ายรู้ตัวว่าโดนอุบายก็เป็นลมล้มลงในทันที
    “เฮ้อ..หญิงแก่ชั่งโหดเหี้ยมยิ่งนัก เสียแรงที่อาจารย์เคารพดุจมารดา เฮ้อ..อนิจจา” ชายหนุ่มเมื่อผละออกมาจากหญิงแก่ก็รีบนำแผนร้ายของนางมาเล่าให้อาจารย์ฟังโดยมิได้ปิดบังอำพลาง “เฮ้อ..เป็นไปอย่างที่ข้าคาดไว้แท้ๆ เช่นนั้นเรามาทดลองอะไรกันซักอย่างดีกว่านะศิษย์รัก” จากวันนั้นทั้งอาจารย์และศิษย์ต่างช่วยกันวางแผนลวงหญิงหม้ายอย่างแนบเนียน “เราใช้ไม้มะเดื่อนี้วางบนเตียงอาจารย์แล้วเธอจงขึงเชือกนี้เป็นราวนำทางไปยังห้องของหญิงหม้ายนั้นเถอะ”

    [​IMG]

    อาจารย์และศิษย์หนุ่มได้ช่วยกันปลงศพของหญิงหม้าย

    บุตรพราหมณ์จัดการทุกอย่างตามอาจารย์สั่ง แล้วออกมาให้สัญญาณหญิงแก่ เพื่อให้เธอทำตามแผนที่เธอวางไว้แต่แรก “คุณแม่มาจัดการได้เลยขอรับ อาจารย์กำลังหลับสนิท” หญิงหม้ายเมื่อได้รับสัญญาณก็รีบเกาะราวเชือกด้วยแรงเดินที่เหลืออยู่น้อยนิด นางเดินเข้าไปในห้องอาจารย์คนที่นางเคยรักประหนึ่งบุตรพร้อมขวานอันคมกริบ “พ่อหนุ่มอีกอึดใจเดียว เราก็จะทำสำเร็จแล้ว เฮ้อ..โอย..เหนื่อย เฮอ” เมื่อเดินสุดราวเชือกตามแผนนางก็เงื้อขวานฟันลงที่เตียงอาจารย์สุดแรง โป๊ะ!

    [​IMG]

    อาจารย์ได้ชี้ให้ศิษย์หนุ่มได้เห็นถึงโทษความลุ่มหลงของอิสตรี

    “ว้าย..อะไรกันเนี่ย..ทำไมถึงกลายเป็นขอนไม้ไปได้หล่ะ โอ้ย..ๆ ดึงไม่ออก ฮึย..โอ้ย เหนื่อย” “เธอเห็นโทษของความลุ่มหลงแล้วรึยัง โดยเฉพาะสตรีเพศอันเป็นดุจไฟที่เผาไหม้ทุกสิ่ง” “น่ากลัวจัง! นี่ขนาดแก่แล้วนะเนี่ย” เมื่อรู้ตัวว่าถูกอุบายหญิงหม้ายก็ตกใจจนลมสว่านตีขึ้น หน้ามืดหงายหลังล้มลงทันที “โอ๊ย..ทั้งเจ็บทั้งอาย เออ..เป็นลมดีกว่า” หญิงหม้ายตาบอดล้มลงแล้วก็มิได้ลุกขึ้นมาอีกเพราะหมดอายุขัย บุตรพราหมณ์ได้ช่วยอาจารย์ปลงศพผู้มีพระคุณแล้วก็อำลากลับบ้าน

    [​IMG]

    พระบรมศาสดาตรัสชาดกจบก็ทรงประกาศอริยสัจสี่โดยเอนกปริยาย
    “ไม่น่าเชื่อว่ากิเลสจะทำให้คนเป็นไปได้ถึงขนาดนี้ น่าเศร้าจริงๆ” “เฮ้อ..ไปดีเถอะท่านแม่ เธอจงรู้ไว้เถิดวิชาอสาตมนต์นี้ไม่มีจริงหรอกเป็นเพียงอุบายที่มารดาของเธออยากให้เห็นโทษของหญิงที่เป็นศัตรูของการบวชเท่านั้น” “เป็นอย่างนี้นี่เอง ขอบคุณอาจารย์ที่ช่วยชี้ให้ศิษย์ให้ทางธรรม” อีกไม่นานต่อมาบุตรพราหมณ์ก็ออกบวชเพื่อมุ่งสูงพรหมโลกตามความหวังของบิดามารดา บำเพ็ญภาวนามิข้องแวะกับสตรีใดอีกจนหมดอายุขัยในมนุษยโลก พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสชาดกนี่จบแล้ว ก็ทรงประกาศอริยสัจสี่โดยเอนกปริยาย ภิกษุผู้หม่นหมองเพราะหลงรูปสตรีก็รู้แจ้งในธรรม สามารถบำเพ็ญเพียรต่อไปโดยหมดทุกข์เผาใจอีกต่อไป


    พระคาถาประจำชาดก
    อาสา โลกิตฺถิโย นาม เวลา ตาสํ น วิชฺชติ
    สารตฺตา จ ปคพฺภา จ สิขี สพฺพมโส ยถา

    ขึ้นชื่อว่าหญิงส่วนมากในโลกไม่รู้จักยั้ง พวกนางไม่มีขอบเขต ทั้งกำหนัดหนัก
    ทั้งคะนองเหมือนไฟกินได้ทุกอย่าง ข้าพเจ้าจักหลีกละพวกนางไปบวชเพิ่มพูนวิเวกฯ

    ในสมัยพุทธกาลหญิงชรา กำเนิดเป็น ภิกษุณี ภัททกาปิลานี
    บิดาของชายหนุ่ม กำเนิดเป็น พระมหากัสสป
    ลูกศิษย์ กำเนิดเป็น พระอานนท์
    อาจารย์เสวยพระชาติเป็น พระสัมมาสัมพุทธเจ้า

    อ้างอิง อสาตมนต์ชาดก-ชาดกว่าด้วยมนต์มายาหญิง
     
  17. EterNalStaR

    EterNalStaR Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2011
    โพสต์:
    47
    ค่าพลัง:
    +86
    กัณฑินาชาดก ว่าด้วยโทษของการตกอยู่ในอำนาจสตรี

    [​IMG]

    กวางหนุ่มผู้ตกอยู่ภายใต้อำนาจของกวางสาว
    ครั้นเมื่อพระพุทธศาสดาทรงตรัสรู้พบอริยะและประกาศพระศาสนาขึ้นในแคว้นมคธดิแดนอารยันนั้น กิตติศัพท์แห่งความจริงอันเป็นหลักธรรมของพระองค์ก็แผ่คลุมทั่วภารตะประเทศ มีผู้คนไกลใกล้ทยอยกันมาสู่มคธรัตนเพื่อขอบวชในพระพุทธศาสนามากมาย

    [​IMG]

    พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ณ แคว้นมคธ
    กุลบุตรเหล่านี้ส่วนใหญ่เลื่อมใสเพราะได้ฟังสัจธรรมจากพระพุทธองค์ยิ่งนานวัน จำนวนสงฆ์สาวกก็ยิ่งทวีจำนวนขึ้น จากกลุ่มคหบดีและนายวาณิชในพระนคร รังสีแห่งพุทธธรรมก็ฉาบฉายไกลออกทั่วนิคมชนบททั้งของแคว้นมคธ กาสี และโกศล


    [​IMG]

    ภิกษุสงฆ์สาวก ซึ่งนับวันยิ่งเพิ่มมากขึ้น
    กุลบุตรตระกูลพราหมณ์ผู้หนึ่ง มีโอกาสได้ฟังธรรมในพระเวฬุวันต์อันเป็นอารามแรกในพระพุทธศาสนาก็ศรัทธาจนแก่กล้าประพฤติตนอยู่ในหลักคำสอนตั้งแต่นั้น “อึม..รักษาศีลภาวนาปฏิบัติธรรม ที่ผ่านมาเรามีแต่กิเลสตัณหา บัดนี้ถึงเวลาที่จะชำระล้างจิตใจเสียที”

    [​IMG]

    พราหมณ์หนุ่มผู้เปี่ยมด้วยศรัทธาในพระพุทธศาสนา
    ชายหนุ่ม ลด ละ เลิก ความประพฤติตามวิสัยของฆราวาสผู้ครองเรือนไปเรื่อยๆ จนกลายเป็นผู้ถือศีลแบบสมณะอยู่ในบ้านในที่สุด สิ่งนี้ได้สร้างความกังวลแก่ภรรยาเป็นอย่างมาก “ท่านพี่นะท่านพี่ทำไมถึงได้เมินเฉยต่อน้องนัก น้องทำอะไรผิดไปเหรอ”

    [​IMG]

    ภรรยาสาวของพราหมณ์หนุ่มสำรวจความเปลี่ยนแปลงตนเอง
    ภรรยาสาวพราหมณ์หนุ่มเริ่มหาคำตอบในการเปลี่ยนแปลงนั้นอย่างกระวนกระวาย แต่เนื่องจากไม่เคยรู้รสพระธรรมเช่นสามี จึงไม่อาจรู้ถึงความสำคัญสิ่งนั้นได้ “เราก็ยังสวยงามไม่มีที่ตินี่น่าการบ้านการเรือนก็มิได้น้อยหน้าภรรยาผู้ใด แล้วทำไมท่านพี่ต้องห่างเหินเราด้วยนะ”

    [​IMG]

    ภรรยาสาวของพราหมณ์หนุ่มตัดพ้อในความห่างเหินของสามี
    แม้ความพิศวาสรักใคร่ที่สามีเคยชมชอบ ก็ถูกกำจัดตัดขาดไปสิ้น “กามกิเลสเป็นศัตรูของผู้ปฏิบัติธรรม “น้องหญิงอย่าพยายามเลย” “โอ้ นี่เราคงสูญเสียเค้าไปแล้วจริงๆ ทำไงดีนะที่จะได้ความสุขกลับมาได้เหมือนเดิม”

    [​IMG]

    พราหมณ์หนุ่มได้ออกบวชดั่งใจที่ปรารถนา
    อันตำราที่ว่าน้ำเชี่ยวอย่าขวางเรือ ย่อมใช้ได้กับคนทุกชาติทุกภาษา ครั้นเมื่อสามีหนุ่มประสงค์จะออกบวชในพระพุทธศาสนา ภรรยาสาวจึงโอนอ่อนผ่อนตามไปก่อน “ในที่สุดท่านพี่ก็จากเราไปจริง ช่างเถอะค่อยหาทางดึงกลับมาทีหลัง” “อื้อหือยังสาวอยู่แท้ๆ สามีออกบวชอย่างนี่ คงจะเหงาแย่ละซินะ" "อย่าแม้แต่จะคิดนะตาแก่” “โอยไม่หรอกจ๊ะพี่ยังไม่คิดที่จะบวชหรอก” “ฉันไม่ได้หมายถึงเรื่องบวช อย่ามาทำไขสือ อย่าให้รู้ว่าแกแอบไปทำเจ้าชู้ที่ไหน แม่จะเล่นงานให้”

    [​IMG]

    พราหมณ์หนุ่มเมื่อบวชแล้วก็สำรวมกาย-ใจ ตั้งใจปฏิบัติธรรม
    มานพหนุ่มเมื่อได้อุปสมบทเป็นพระสงฆ์สมเจตนา ก็ระมัดระวังกายใจไม่ให้ตกเป็นทาสกิเลส เฝ้าประพฤติตามพุทธบัญญัติมิได้บกพร่องอยู่ในพระอาราม “ในที่สุดเราก็ได้บวชในพระพุทธศาสนาดังใจซะที จากนี้ก็ต้องตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติธรรมให้บรรลุจงได้”

    [​IMG]

    ภรรยาสาวคิดแผนการดึงตัวภิกษุอดีตสามีให้กลับมาอยู่กินกับตนเช่นเดิม
    วันคืนล่วงไปมิทันนาน ภรรยาผู้เหมือนตกพุ่มหม้ายแต่ยังสาวก็คิดแผนการดึงตัวภิกษุกลับคืนมาอยู่กินเช่นเดิมได้ “เราต้องทำให้หลวงพี่ระลึกถึงสิ่งเก่าๆ แล้วค่อยอ้อนวอนท่าน ดูซิจะทนไหวไหม” นางผู้ก่อบาปเพื่อความสุขของตน ได้แต่งกายสวยงาม อบรั่มกลิ่นกายจนหอมกรุ่น แล้วนำอาหารที่พระภิกษุชอบเข้าไปถวาย ขอปวารนาตนเป็นอุบาสิกาดูแลเรื่องของฉันต่อไปอีก

    <IMG style="MARGIN: 0px" title=อดีตภรรยาสาวได้ปวารนาตัวเป็นอุบาสิกาดูแลเรื่องภัตตาหาร alt="อดีตภรรยาสาวได้ปวารนาตัวเป็นอุบาสิกาดูแลเรื่องภัตตาหาร" src="http://www.dmc.tv/images/Jataka/kantina-12.jpg" width=500 height=350>

    อดีตภรรยาสาวได้ปวารนาตัวเป็นอุบาสิกาดูแลเรื่องภัตตาหาร
    “น้องจะมาถวายภัตตาหารให้หลวงพี่ทุกเช้าทุกเพลเลยนะจ๊ะ” “ไม่ต้องถือเป็นประจำนิตยภัตก็ได้โยม อาตมามิได้ขัดสนอะไร” แม้ภิกษุหนุ่มห้ามปรามไว้ก็ไม่เป็นผลดีขึ้นมาได้ นางผู้เป็นภรรยายังคงปฏิบัติตามแผนของตนอยู่เช่นนั้นสืบมา บางครั้งก็นำปัญหาการดูแลตนเองอย่างน่าเวทนามาให้พระพลอยมีจิตกังวลหม่นหมอง “น้องอยู่คนเดียวหาเลี้ยงตนได้ยากลำบาก บ้านช่องก็ขาดคนซ่อมแซม ตอนกลางคืนก็น่ากลั๊ว น่ากลัว อยากจะนิมนต์หลวงพี่กลับไปดูบ้าง”

    <IMG style="MARGIN: 0px" title=อดีตภรรยาสาวได้นำเรื่องทุกข์ใจมาเล่าเพื่อเรียกร้องความสนใจจากภิกษุ alt="อดีตภรรยาสาวได้นำเรื่องทุกข์ใจมาเล่าเพื่อเรียกร้องความสนใจจากภิกษุ" src="http://www.dmc.tv/images/Jataka/kantina-13.jpg" width=500 height=350>

    อดีตภรรยาสาวได้นำเรื่องทุกข์ใจมาเล่าเพื่อเรียกร้องความสนใจจากภิกษุ
    เมื่อโดนรบเร้าบ่อยขึ้น สุดท้ายภิกษุใหม่ก็ทนไม่ไหว ยอมไปฉันอาหารที่บ้านบ้าง ไปๆ มาๆ กันได้ไม่นาน ภรรยาก็ปรับปรุงบ้านเรือนให้สดชื่นขึ้นเรื่อยๆ อารมณ์อันเกิดจากใจที่ไปสัมผัสสิ่งสดชื่นสวยงามก็เริ่มถูกโน้มเข้าสู่กับดักของหญิง นิมนต์คะหลวงพี่ เช้านี้น้องเตรียมอาหารที่หลวงพี่โปรดไว้ทั้งนั้นเลย

    [​IMG]

    อดีตภรรยาสาวได้ถวายอาหารรสเลิศซึ่งล้วนเป็นของที่ภิกษุโปรดปรานทั้งสิ้น
    ในที่สุดขันติของภิกษุหนุ่มก็ขาดลง “ฮืม..อนิจจาเห็นทีจะหนีกิเลสตัณหาไม่พ้นแน่แล้วหนอ เสียดายจริงๆ” กลางราตรีหนึ่ง สงฆ์สาวกรูปนี้จึงตัดใจขอลาสิกขาต่อพระพุทธองค์ ครั้นกราบทูลว่าจะขอลาจากเพศบรรพชิตออกไปครองคู่กับนางผู้เป็นภรรยา

    [​IMG]

    พระพุทธองค์จึงทรงแสดงกัณฑินาชาดก
    สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสดับเรื่องราวแล้วทรงมีพระมหากรุณาธิคุณต่อภิกษุผู้ลุ่มหลงนั้น ตรัสว่า "ดูก่อนภิกษุเมื่อชาติก่อนโน้น หญิงผู้นี้ทำให้เธอสิ้นชีวิตมาแล้ว" ภิกษุหลายรูปในธรรมสภาจึงอาราธนาให้ทรงเล่าอดีตชาติเรื่องนั้น พระพุทธองค์จึงทรงแสดงกัณฑินาชาดก ดังนี้

    [​IMG]

    ฝูงกวางกระจัดกระจายหากินอยู่บริเวณที่ราบสูงเหนือชายป่า
    แคว้นมคธที่นี่ เมื่อกาลก่อนยังมีฝูงกวางกระจัดกระจายหากินอยู่เขตที่สูงในป่าติดกันกับชนบท ยามวสันตฤดูอาหารบนที่ราบสูงในป่าก็อุดมสมบูรณ์ เหล่ากวางหากินกันอย่างมีความสุข มนุษย์ซึ่งทำนาทำไร่อยู่เบื้องล่างก็ไม่ขึ้นมารังควาน "เร็วเข้าซิ ทางโน้นมีใบไม้อ่อนๆ เยอะเลย" "เดี๋ยวซิจ๊ะพี่ ทางนี้ก็มีเหมือนกัน" "ทางนี้ดีกว่า" เจ้ากวางสองตัวนั้นจะวิ่งไปกินที่ไหน แถวนี้อาหารก็มีเยอะแยะ

    [​IMG]

    บรรดากวางทั้งหลายแอบมองข้าวของชาวนาริมชายป่าด้านล่าง
    จนกระทั่งหมดฝนเข้าชนฤดูแล้งที่แห้งผากยากต่อการหาอาหาร เหล่ากวางน้อยใหญ่ก็สุดจะทนอดอยากได้ พวกมันเฝ้ามองข้าวของชาวนาอย่างกระหาย "ดูซิข้าวในนา น่ากินจังเลย เห็นแล้วน้ำลายไหล" "นั่นนะซิ ในป่าที่พวกเราอยู่ก็แห้งแล้ง เนี่ยไม่ได้กินอะไรมาหลายวันแล้วหิวจนแสบท้องไปหมดเลย" "ข้าก็หิวเหมือนกัน เราแอบไปกินข้าวในนาสักหน่อยชาวนาอาจจะไม่รู้ก็ได้นะกินนิดกินหน่อยไม่เป็นไรหรอกมั้ง"

    [​IMG]

    ด้วยความหิวกวางทั้งหลายต่างพากันลงมากินข้าวในนา
    เมื่ออาหารในป่าหายากเข้ากวางหลายตัวก็พากันลงมากินข้าวในนาจนเกิดความเสียหายไปทั่ว “ง่ำๆ ง่ำๆ อร่อยจังเลย ดีนะที่พวกเราตัดสินใจกินข้าวในนา ไม่งั้นคงหิวตายแน่เลย” “ไม่ใช่มีแต่พวกเราที่มาแอบกินหรอกนะ กวางตัวอื่นก็มาแอบกินกันเยอะแยะเต็มไปหมด" "ถ้าอย่างนั้นพวกเราต้องรีบกิน รีบหนีนะ เดี๋ยวชาวนามาเห็นเข้า” กวางทั้งหลายลงมากินข้าวนาอย่างอิ่มหนำหารู้ไม่ว่าชาวนาในหมู่บ้านกำลังจ้องจะกำจัดอย่างเอาเป็นเอาตาย

    [​IMG]

    ชาวนามีความเคียดแค้นยิ่งนักเมื่อเห็นข้าวในนาเสียหาย
    “หนอย..พวกข้าทำงานกันแทบตาย เจ้ากวางพวกนี้มากินซะหมด เดี๋ยวเหอะข้าจะเหวี่ยงแหคลุมมันแล้วจะมัดมาเชือดกินซะให้หายแค้นเลย หื้อ” “ข้าวยังไม่ทันสุกได้เกี่ยวเลย ดูซิพวกกวางทำลายจนหมดแล้ว” “จัดการมันเลยพ่อ อย่าให้รอดไปได้สักตัวเลย” ชาวชนบททั้งหลายพากันแค้นพวกกวางจึงวางแผนกันตามภูมิปัญญาตัวซึ่งล้วนน่ากลัวทั้งสิ้น

    [​IMG]

    ชาวนาคิดวางแผนที่จะกำจัดบรรดากวางทั้งหลาย
    “เดี๋ยวเถอะให้มันลงมาในนาข้าวเราอีกเถอะนะ พ่อจะวางบ่วงและซุ้มยิงให้เกลี้ยงเลย หึ หึ หึ" "ส่วนข้าจะใช้เจ้านี่ตะครุบมันไว้เอาไปเป็นอาหารเย็นน่าจะดีนะ" เมื่อฝูงกวางถูกกำจัดบ่อยครั้งเข้าก็พากันเตลิดหนีขึ้นป่่าสูง ไม่ลงมาขโมยข้าวในนากินอีก

    [​IMG]

    กวางหนุ่ม-กวางสาวซึ่งเพิ่งจะใช้ชีวิตร่วมกัน
    บนป่าสูงขึ้นไปนั้นมีกวางหนุ่มซึ่งเกิดและโตในป่าลึกไกลผู้คนมาติดพันกวางสาวที่อาศัยอยู่ชายป่าติดเขตหมู่บ้าน ไม่นานทั้งสองก็ร่วมชีวิตกัน "กระเถิบมานอนใกล้ๆ พี่นี่ซิจ๊ะ เดี่ยวพี่จะคอยไล่แมลงให้น้องจะได้นอนหลับสบาย" "แหม..พี่ก็ แค่นี่ก็ยังใกล้ไม่พออีกหรือจ๊ะ"

    [​IMG]

    กวางหนุ่มชวนกวางสาวลงไปหาอาหารยังชายป่าข้างล่าง
    วันหนึ่งถึงคราวชะตาชีวิตพลิกผัน กวางตัวผู้เกิดอยากลงไปหาอาหารยังชายป่าข้างล่างขึ้นมา นางกวางสาวก็ไม่ได้ห้ามปราม "อืม..ข้าวกำลังโตเต็มคอรวงเขียวสดน่าเคี้ยวจัง รีบลงไปเถอะน้อง" "ได้ซิจ๊ะพี่จ๋า น้องก็กำลังอยากกินอยู่พอดีเลย" เนื่องจากกวางสาวเกิดและโตในบริเวณแถบนี้จึงเป็นผู้นำทาง โดยมีกวางสามีเดินตามหลัง เมื่อพ้นชายป่าออกทุ่งโล่ง เธอได้กระสากลิ่นมนุษย์ก็ชะลอฝีเท้าลงอย่างระมัดระวังแต่ก็มิได้ตักเตือนกวางหนุ่ม

    [​IMG]

    กวางสาวได้กระสากลิ่นมนุษย์ เธอก็ชะลอฝีเท้าลง

    "อุ๊ย..กลิ่นคุ้นๆ อื้ย..กลิ่นมนุษย์นี่ไปทางนั้นอันตรายแน่ๆ " "มาซิจ๊ะน้องจ๋า มัวช้าอยู่ทำไม เร็วๆ พี่หิวแล้ว" "ยิ่งเดินเข้าไปยิ่งกลิ่นแรง ไม่เอาดีกว่าเรา ขืนเข้าไปใกล้กว่านี้ซวยแน่ๆ" กวางตัวเมียปล่อยให้กวางตัวผู้ซึ่งมาจากป่าลึกไม่เคยรู้จักกลิ่นมนุษย์กระโจนลงไปแต่เพียงผู้เดียว "มาเร็วเข้าน้องรวงข้าวเขียวๆ กับหญ้าเพิ่งแตกยอดอ่อนเต็มไปหมดเลย เห็นเจ้าร่ำๆ ว่าอยากกินไม่ใช่เหรอ มาซิ ชักช้าพี่กินหมดเลยนะ"

    [​IMG]

    กวางสาวรู้ว่าภัยจะมาถึงตัว ก็รีบหันหลังกลับโดยไม่ได้เตือนกวางหนุ่ม
    "เชิญกินไปตัวเดียวเถอะชั้นไม่อยู่แล้ว ตรงนี้มีนายพรานแน่ๆ กลิ่นฉุนกึกเลย ไว้เจอกันชาติหน้านะพี่นะ ไปก่อนล่ะ" นางกวางสาวไม่เพียงแต่หยุดเดิน หากยังหันหลังกลับแล้วตะกุยหนีอย่างเร็วอีกด้วย อาการเช่นนั้นของกวางสาวคือสัญญาณอันตรายของป่าที่สัตว์ทุกตัวรู้ดี แต่กวางหนุ่มก็ถล่ำลงมาจนไม่อาจแก้ไขให้พ้นอันตรายได้แล้ว

    [​IMG]

    กวางหนุุ่มประจัญหน้ากับนายพรานอย่างไม่ทันตั้งตัว
    "มาแล้วรึ เสร็จชั้นแน่เจ้ากวางเอ๋ย" "เฮ้ย..นั่นนายพรานนี่นาแอบซุ่มตั้งแต่เมื่อไหร่นี่ แย่แล้วเราหนีดีกว่า" "หนีตอนนี้ก็ไม่ทันแล้ว" "เจ้ากวางเอ๋ย มา มารับลูกธนูซะดีๆ ตายซะเถอะเจ้ากวางตะกละ" "เฮ้ยไม่นะ!..โอ๊ย!!.ระยะใกล้บวกกับไม่มีที่กำบัง ลูกธนูแข็งแกร่งก็เสียบชำแหละปักคาต้นคอจนลึกสุดคมศร กวางหนุ่มล้มทั้งยืน แต่ยังตะกายหนีตามกวางสาว หนีขึ้นบนที่สูงไปจนได้ "โอ๊ย..น้องจ๋าช่วยพี่ด้วย" กวางหนุ่มไม่สามารถทนพิษบาดแผลได้ ล้มลงด้วยพิษธนู

    [​IMG]

    กวางหนุุ่มล้มทั้งยืนด้วยพิษลูกธนูที่ปักกลางลำคอ
    ความเจ็บปวดแผ่ไปทั่วร่าง ตรงบริเวณต้นไม้ใหญ่ต้นทางเข้าป่านั่นเอง รุกขเทวดาอันเป็นเทพประจำป่าก็แสดงร่างออกมาโปรดสัตว์ "ตั้งจิตเป็นกุศลไว้เถิดเจ้ากวางเอ๋ย อย่าได้เคียดแค้นสตรีต้นเหตุนี้เลย"


    [​IMG]

    รุกขเทวดา เทพประจำป่า แสดงร่างโปรดกวางหนุ่ม
    รุกขเทพได้ติเตียนการตายนี้ 3 ประการคือ พรานผู้ยิงศร ภรรยาที่เป็นผู้นำทางและกวางสามีผู้ปล่อยตัวให้ตกในอำนาจสตรี จงเกิดในภพภูมิใหม่และอย่าได้สมเพชเพราะโง่เขลาดังชาตินี้ที่มาตายเพราะหลงติดในกามเลย

    สมัยพุทธกาลต่อมา กวางหนุ่มกำเนิดเป็น พระภิกษุใหม่ผู้พ่ายแพ้กิเลสกาม
    นางกวางสาวกำเนิดเป็น ภรรยาผู้อยากสึกพระ
    รุกขเทวดาเสวยพระชาติเป็น องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า

    อ้างอิง กัณฑินาชาดก-ชาดกว่าด้วยโทษของการตกอยู่ในอำนาจสตรี
     
  18. jate2029

    jate2029 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 มกราคม 2008
    โพสต์:
    391
    ค่าพลัง:
    +729
    เมื่อ ไหร่ ที่ทำได้ เองแล้วจะเข้าใจ นะ ว่ามัน คือ อะไร
     
  19. jate2029

    jate2029 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 มกราคม 2008
    โพสต์:
    391
    ค่าพลัง:
    +729
    เออ ลืมไป เรามัน คนบ้า เซ่อ โง่ ปัญญา อ่อน นี่หว่า เฮ้อ ลืมตัว ขอโทษทีครับ
     
  20. beerdekpee

    beerdekpee Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    154
    ค่าพลัง:
    +61

    เมื่อไหร่ได้เป็นอะไร เห็นบอกไปทั่วเลยนี่ว่าอยากเป็นซุปเปอร์ไซย่า ปัญญาอ่อนวะ
    จะบอกว่าได้แปลงร่างแบบโงกุนได้แล้วจะเข้าใจไง แนะนำนะ ไป โรงบาลศรีธัญญาซะนะ ด้วยควมรักนะเนี้ย
    เอาแบบคนคุมเยอะๆนะ เดี่ยวคุณจะไปปล่อยพลังคำเขาตายกันหมดอีก 5555 ปัญญาอ่อนอีกคน อยากเป็นซุปเปอร์ไซย่า ปัญญาอ่อนชิบ
     

แชร์หน้านี้

Loading...