เทวดาประจำตัว (ตรวจญาณบารมีองค์เทพ..อำนาจญาณบารมี)

ขอบคุณครับ
แล้วถ้าเรามีเทวดาประจำตัวแล้ว ทำไมบางคนต้องพกเครื่องรางของขลังติดตัวด้วย
แล้วถ้าเราเกิดความเดือดร้อน ท่านใดจะมาช่วยเราก่อนครับ
โดยส่วนตัวผมก็เชื่อนะครับว่าแต่ละคนจะมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครองอยู่ แต่ผมไม่เคยสัมผัสได้เลย
เมื่อก่อน เวลาสวดแผ่เมตตาตอนที่แผ่ให้ผี อุรกายจะรู้สึกขนลุกทุกครั้งเลยครับ

 

เหนื่อย ตาย แบบ นี้ น่าเห็นใจ น่าเห็นใจ ถ้าเสนอตัว รับใช้ประชาชนแล้วก็
สู้ๆ ต่อไปนะครับ บารมีจะได้ สูงขึ้น ไปเรื่อย ๆ ครับ

 

กระผมส่งข้อความไปแล้ว ยังไม่ได้ตอบรับเลยนะครับ รบกวนด้วยนะครับ

 

สวัสดีค่ะคุณ me-pui อ่านกระทู้นี้แล้ว รู้สึกเห็ฯใจคุณมากค่ะ โดยส่วนตัวเชื่อคุณนะค่ะ

^ ^ นั่งรออ่านของหลาย ๆ คน แต่เข้าใจว่า อาจตอบทาง pm อ้อ ที่อยากอ่านคำ

ตอบของหลาย ๆ คนเพราะ อย่างที่เรารู้กันว่า เราจะมีเทวดาประจำตัว แต่บางทีก็แอบ

สงสัยไปว่า เทวดาประจำได้เนี่ย บวกรวมกันคนที่มีบุญสัมพันธ์กับองค์เทพ องค์ปู่ ฯ หรือ

เปล่าค่ะ ส่วนตัวดิฉันเคยมีคนทัก บางคนก็ทักให้ขุ่นใจว่าเป็นคู่ที่ตามมาจองเวร และอยู่กับ

ดิฉัน อารมณ์ทั้งรักทั้งแค้น -*- แถมมีถึง 2 คน คอยสลับมาเฝ้าดิฉันด้วย -*- ฟังได้

แต่ขุ้นใจนิด ๆ ^ ^ " แอบคิดไปว่า อารายว้า ตัวช้านนั้นเกิดมาจะไม่มีเทวดาคุ้มครอง

บ้างเลยรึไง 55+ ก็ว่ากันไป แต่ยังไงก็ขออ่านต่อเหมือนเดิมนะค่ะ อนุโมทนาในกุศลนี้

ด้วยนะค่ะ ^ ^

 

ขอขอบพระคุณท่าน me-pui ครับ

ยังไงต้องขอบพระคุณ me-pui กระผมจะปฏิบัติตามสิ่งที่ท่านได้แนะนำ แล้วผลเป็นอย่างไรจะนำเรื่องที่ได้บอกกล่าวนี้ มาแชร์ให้ทุกท่านทราบ เพื่อเป็นประโยชน์ต่อท่านทั้งหลายต่อไปครับ อนึ่งผมเกิดวันพฤหัสบดีที่ 3 ต.ค. 2528 ครับ ถ้ารบกวนท่าน จะให้ท่านตรวจให้ลึกกว่านี้ ก็จะเป็นการดีครับ ขอบพระคุณอีกครั้งครับ

 

อกิณห์ รัศมีศรีตระกูล
10 กพ. 2521 เกิดจ.สมุทรปราการ

 

ดิฉันว่า ดิิฉันไม่ได้คิดไปเองนะคะ ทุกครั้งที่ดิฉันสวดอัญเชิญเทวดา กับสวดบทสวดส่งเทวดา ขนหัวดิฉันจะลุกตั้งชันขึ้นมาทันทีจากทางด้านหลัง เหมือนจะหลุดจากศรีษะให้ได้ ถึงจะมองไม่เห็น แต่ดิฉันก็เชื่อว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์มีจริงจากสิ่งที่ดิฉันสัมผัสได้นะคะ ดิฉันอยากรบกวนคุณ me-pui ช่วยตรวจดูเพื่อให้เกิดความเข้าใจลึกซึ้งกว่านี้ด้วยค่ะ ขอขอบคุณล่วงหน้าค่ะ :d

 

PM ไปแล้วนะครับ รบกวนท่านด้วยครับ

 

สวัสดีครับ คุณ me pui ว่าที่ร้อยตรี ณัฐสิทธิ์ สมีเพ็ชร
พุธกลางวัน 16 พ ย 2531
ผมจำได้แม่น ตอนเด็กๆมีความรู้สึกอยากเป็นพระพุทธเจ้า
ตอนยุ ปวส . ได้ฝันเห็นพระพุทธเจ้าอดีตและปัจจุบัน
ในความฝันนั้นผม แต่งตัวเหมือนกษัติย์
ก่อนที่ผมจะเกิด แม่ผม ฝันเห็น พระพุทธรูปลอยอยู่บนฟ้า มีเพ็ชรพลอยล้อมรอบ สว่างไสว แต่องเทวดาหรือเทพผมไม่ทราบครับ บางครั้งก็มีลางบอกเหตุเรื่องความรัก
องเทพประจำตัวผมเป็นแบบไหน ช่วยบอกผมทีนะครับ ตอนนี้ผมมีอาการเศร้าๆ

 

ผมขอสมัครเป็นแฟนคลับด้วยคน และขอให้คุณ me pui ช่วยตรวจสอบเทวดาประจำตัวให้ด้วยครับ ....ข้อมูลของผมส่งทาง PM แล้วครับ.....ขออนุโทมนากับคุณที่นำความสามารถพิเศษส่วนตัว มาให้ความกระจ่างกับสาธารณชน

 

สาธุคะคุณณัฐสิทธิ์
แล้วตอนนี้ยังอยากเป็นพระพุทธเจ้าอยู่หรือไม่คะ
ขอบอกลักษณะประจำตัวอของคุณก่อนถูกหรือไม่ขอให้นำไปพิจารณาเอง คุณเป็นผู้ที่มีจินตนาการ มีจิตใจที่อ่อนไหว อ่อนโยนมีหัวใจของความเป็นมารดาถึงแม้คุณนั้นจะเป็นผู้ชาย คุณพร้อมที่จะเผชิญกับความเป็นจริงในโลกนี้ทุกๆอย่าง คุณมีสัมผัสพิเศษที่สามารถหยั่งรู้ใจคนได้แม้มองด้วยตาคุณจะสามารถสัมผัสความรู้สึกได้ทั้งหมดผ่านทางจิต คุณมีความรู้สึกส่วนลึกภายในที่อ่อนแอมากเกินเหตุไม่ว่าจะสุข เศร้า ถูกเอารัดเอาเปรียบ ก็เหมือนจำนนไปหมด อย่าใช้ความรู้สึกตัดสินใจมากกว่าใช้เหตุผล คุณควรหาเวลาไปสักการะองค์พระพรหมเพื่อให้ดวงจิตของคุณสัมผัสพลังงานของท่าน หมั่นสวดมนต์ภาวนาบ่อยๆเพื่อให้ดวงจิตแข็งแรงสำหรับรองรับพลังของเทวดาประจำคุณคุณมีองค์พระพรหมคุ้มครองคุณคะ

โปรดแสดงความคิดเห็นกลับด้วย
15-7-55 Me-pui

 

สาธุคะ....
ขอบพระคุณสำหรับการให้กำลังใจคะ
ดิฉันจะตอบกลับข้อมูลคุณทาง PM อาจจจะช้าบ้างนะคะ
15-7-55 Me-pui

 

แม่นมากเลยค่ะ หนูจะปฎิบัติตามคำขอเเนะนำนะค่ะ

 

ขอบคุณอีกครั้งสำหรับกำลังใจและการติดตามทั้งทาง PM และ E-mail

Me-pui กราบขอบคุณทุกๆท่านที่ติดตามกระทู้มาโดยตลอดคะดิฉันเองพยายามตอบกลับโดยตลอดคะ..แต่เนื่องจากมีผู้ติดตามเยอะมากๆวันนี้เอาองค์ความรู้มาให้ข้อมูลเช่นเคยคะ มีผู้ถามดิฉันมากมายเหลือเกินเกี่ยวกับความคิดเห็นในเรื่องของภาษาเทพ ว่าดิฉันมีความคิดเห็นอย่างไรบ้างนะคะ ลองอ่านดูข้อมูลด้านล่างนี้ดู และอยากให้ผู้ติดตามแสดงความคิดเพื่อเป็นแนวทางในการปฏิบัติร่วมกันด้วยคะ
**ภาษาเทพเป็นภาษาสวรรค์ไม่มีใครสามารถแปลภาษาเทพ หรือเข้าใจภาษาเทพได้ ถึงแม้มีก็จะมีเพียงผู้ที่ปฏิบัติในระดับสูง ภาษาเทพมีอยู่ด้วยกันหลายระดับ บางอย่างก็เป็นภาษาของภพภูมินั้นๆ เช่นภาษาของผีก็มีเหมือนกันมนุษย์เรามีเทวดาปกปักษ์รักษา แต่ "เรามิใช่เทวดา" ไม่มีความจำเป็นต้องไปรู้ภาษาเทพ รู้แล้วได้อะไร..???

เมื่อศึกษาเรื่องเสียงพูดแปลกๆ ขณะทำสมาธิ และสอบถามไปยังพระกรรมฐานที่มีความเชี่ยวชาญเรื่องสมาธิ และผู้รอบรู้เรื่องสมาธิหลายท่านจึงได้ทราบข้อสังเกตที่เหมือนๆ กันในหลายๆ ส่วน เช่น ภาษาที่พูดออกมานั้น ผู้พูดมักจะพูดออกมาอย่างไม่สามารถควบคุมได้ แต่จะมีความรู้สึกนึกคิด หรือรู้สึกตัวตลอดเวลา หรือ ภาษาที่พูดออกมานั้นมักจะรัว และเร็วกว่าภาษาพูดธรรมดาที่คนทั่วไปพูดกัน และที่น่าสนใจที่สุดคือ ภาษานี้มักจะผลมาจากการทำสมาธิถึงขั้นหนึ่งจนจิตมีความละเอียดพอที่จะสัมผัสกับพลังงานต่างมิติ ไม่ว่าจะเป็นสัมภเวสี เทพ เทวดา ฯลฯ หรือเรียกง่ายๆ ว่าเป็น “การลงทรง” หรือ “ประทับทรง”นั่นเอง “การลงทรง” หรือ “ประทับทรง” นั้นเป็นการติดต่อสื่อสารกับโลกวิญญาณวิธีหนึ่งโดยการทำสมาธิเป็นพื้นฐานของการประทับทรง นอกจากนี้การประทับทรงยังเป็นการทำให้เราได้รู้เข้าใจอะไรต่อมิอะไรหลายอย่าง เพราะการลงมาประทับทรงของจิตวิญญาณนั้นมีอยู่หลายระดับ ตั้งแต่ สัมภเวสี เจ้าพ่อเจ้าแม่ จนถึงเทพยดา เพราะเมื่อศึกษาไปก็ได้พบว่าโลกของเรานี้ไม่ได้มีเพียงแต่โลกที่มองเห็นด้วยตา แต่ยังมี “มิติทางโลกวิญญาณ” อยู่อีกหลายมิติเหลื่อมซ้อมกันอยู่ตามความหยาบละเอียดของจิตในสมาธิ หรือเรียกว่าอยู่กันคนละ “ความถี่” อย่างมนุษย์เราก็เป็น “ความถี่” หนึ่งในโลกวัตถุจึงทำให้ไม่สามารถรู้เห็นมิติของโลกวิญญาณได้ ขณะเดียวกัน จิตวิญญาณที่เป็นพวกสัมภเวสี ก็จะไม่สามารถรับรู้หรือเห็นดวงวิญญาณของเทพได้ เพราะอยู่กันคนละ “ความถี่” นั่นเอง
ใน “การประทับทรง” นั้นถ้าเป็นการทรงวิญญาณของมนุษย์ หรือดวงจิตที่เพิ่งเสียชีวิตไปได้ไม่นานนัก ผู้เป็นร่างทรงมักจะมีปฏิกิริยาดุจผู้ตายไปแล้วคือมีอากัปกิริยา และพูดจากภาษาเดียวกันกับคนผู้นั้น แต่ในกรณีที่เป็น “ดวงจิตของเทพ” เมื่อดวงจิตลงประทับร่างทรงแล้วมักมีอากัปกิริยาที่แปลกออกไป เช่น ร่ายรำ บ้างก็พูดออกมาเป็นภาษาที่ฟังไม่รู้เรื่อง ภาษาดังกล่าวมักเรียกกันในหมู่ผู้ปฏิบัติธรรม นั่งสมาธิ หรือบรรดาร่างทรงว่า “ภาษาเทพ” เป็นภาษาเก่าแก่อายุรุ่นราวคราวเดียวกับ “ภาษาพราหมณ์โบราณ” เคยสอบถามไปยังผู้รู้หลายท่านได้ความเกี่ยวกับเรื่อง “ภาษาเทพ” นี้ว่า จริงๆ แล้วเมื่อมนุษย์สามารถทำสมาธิไปได้ถึงระดับหนึ่ง เข้าสู่ภาวะ “องค์ฌาน” ในขั้น “ภาวะปีติ” โดยเฉพาะ “อุเพงคาปีติ” นั้นเป็นการง่ายที่บรรดาดวงจิตหรือวิญญาณ ทั้งหลายจะเข้ามาใช้ร่างของผู้ทำสมาธิคนนั้น แต่ดวงจิตหรือวิญญาณที่เข้ามาใช้ร่างนั้นอาจจะไม่ใช่มนุษย์ที่เสียชีวิตไปแล้วเสียทั้งหมด อาจจะเป็นสัตว์ หรือสิ่งมีชีวิตอื่นๆ เมื่อดวงจิต หรือวิญญาณมาใช้ร่างกาย สมมุติเดิมของดวงจิตนั้นๆ ยังคงอยู่และก็แสดงผ่านออกมาทางร่างกาย
ฉะนั้นภาษาที่ท่านพูดอยู่ได้ ณ ขณะนี้ท่านยังอยากจะปฏิบัติเพื่อรักษาไว้ หรืออยากจะปล่อยทิ้งไป สิ่งใดก็ตามที่ท่านทั้งหลายได้มาง่ายๆ เกิดจากกุศลผลมูลเดิมที่ท่านเพียรสะสมมาทุกภพทุกชาติท่านจะลืมภาษานั้นในปัจจุบันชาตินี้ หรือ จะปฏิบัติตัวปฏิบัติตนเพื่อเตรียมบุญกุศลกลับไปยังทิพยสถานและเตรียมเสบียงบุญเพื่อเดินทางเข้าสู่พระนิพานในที่สุด อาจจะไม่ใช่ชาตินี้พรุ่งนี้,เดือนหน้าหรือปีหน้า แต่ตัวท่านสามารถนิพพานได้ ที่นี่เวลานี้และเดี๋ยวนี้ เพราะอริยะสร้างได้ในตัวเราเพียงแต่ท่านเอง.....กล้าไหมที่จะเริ่ม...ก้าวสู่พระนิพพาน....การหยุดความเคลื่อนไหวหยุดพูดหยุดคิด..ท่านไม่ต้องถึงกับมาเคร่งเครียดในการปฏิบัติเพราะธรรมะ...คือ...ธรรมชาติ....ทำอะไรให้เป็นธรรมชาติ...นี้คือวิถีที่มีความสุข...และสงบที่สุด

สาธุ Me-pui(15-7-55)
[/COLOR]

 

ส่งข้อมูลไปทาง PM ไม่ทราบว่าคุณ me-pui ได้รับไหมค่ะ

 

ผมก็อยากรู้ครับ.. รบกวนตอบกลับด้วยครับผม นายวีระพงษ์ ศรีทรัพย์ เกิดที่ จ. นครราชสีมา ขอบพระคุณครับ

 

ถวายเจ้าหนายคะ 15-7-55

 

ขออนุญาติตวจสอบข้อมูลทาง PM คะ
Me-pui 15-7-55

 

ขออนุญาติตอบกลับทาง PM คะ ช้าสักหน่อยนะคะ
me-pui 15-7-55

 

ผมส่งข้อมูลของผมไปวันที่ 10/7/55 รอคำตอบอยู่นะครับ ขอบคุณมากครับ
ไว้มีเวลาว่างค่อยตอบผมก็ได้ ผมคิดว่าคุณ me_pui คงมีภาระกิจมากมายจริงๆ