จิตพร้อม? รับภัยพิบัติ

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย ภูภู, 6 เมษายน 2012.

  1. Kim_UoonSo

    Kim_UoonSo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    518
    ค่าพลัง:
    +5,937
    [​IMG]



    เมื่อสิบปีก่อน ตอนช่วงวัยละอ่อน เพิ่งเข้าวัยรุ่นใหม่
    สมัยนั้นบันเทิงญี่ปุ่นเป็นที่สนใจในหมู่เด็กในเมืองมาก
    พูดถึงนักร้อง ดาราญี่ปุ่นคนไหนใครไม่รู้ก็เชย
    นอกจากเป็นที่สนใจกันแล้วการติดตามผลงานของเหล่าดาราทั้งหลาย
    เด็กๆ วัยรุ่นก็พลาดไม่ได้ที่จะซื้อเก็บมาไว้เป็นของตัวเอง
    ตั้งแต่โปสการ์ด, โปสเตอร์ดาราที่ชื่นชอบ รวมไปจนถึงซีดีผลงาน
    หรือแม้กระทั่งนิตยสารที่แม้แต่ดาราที่ชอบได้ขึ้นหน้าปกเล่มไหนก็ซื้อมาไว้ให้ได้
    ราคามีตั้งแต่ถูกๆ ไปจนถึงแพงมาก
    เด็กบางคนถึงขั้นสั่งมาจากประเทศต้นทางเลยทีเดียว



    ที่มาพูดถึงเรื่องนี้กำลังจะบอกว่า...
    ภาพดาราที่น้องซื้อมาตอนเด็กๆ น่ะ..
    ขอแค่ได้ซื้อ ได้เชยชม ได้ฝันถึงเองบ้างก็ดีแล้ว
    ให้ตาเนื้อเราได้เห็นภาพเขา, ฟุ้งเพ้อจินตนาการไปเรื่อยเปื่อยก็มีความสุขแล้ว
    นิตยสารที่มีรูปดาราที่ชอบซื้อมาตั้งหลายปี หมดเงินไปเกือบหมื่น น้องก็ยังเก็บไว้เชยชม
    แม้จะอ่านแค่ครั้งเดียวต่อเล่มก็เถอะ...


    ท่านๆ เห็นอะไรกันไหมคะ??
    (ตาดีก็จะเห็น, ตาไม่ดีก็จะเห็น คิคิ)


    น้องเสียเงินซื้อภาพดารามาฟุ้งตั้งหลายตังค์...
    เสียทั้งเงิน เสียทั้งสติ เสียทั้งจิต

    เงินทองที่เสียไป ถ้านำมารวมกันดีๆ นี่ทำบุญบริจาคให้สาธารณะยังจะเป็นประโยชน์มากกว่ามาบำเรอความสุขชั่วคราว และความโลภของตัวเอง
    สติที่เสียไป ถ้าทำตัวให้ดีป่านนี้คงมีปัญญาทางโลกคงสูงกว่าที่มีในทุกวันนี้
    จิตที่เสียไป มีแต่จะทำให้กิเลสพอกพูนในจิตหนาขึ้นเรื่อยๆ


    ถ้าตอนนั้นยั้งคิดได้สักนิดว่า...
    ภาพดารา เราก็ต้องเสียเงินไปซื้อ, เสียเวลามาฟุ้ง และเสียสุขภาพจิตในที่สุด
    แต่ทำไมภาพพระที่เราไม่เคยได้เสียเงินซื้อด้วยซ้ำ ไม่นำมาใส่จิต ไม่นำมาคิดถึง ระลึกถึงพระท่าน?



    ภาพดารา:
    ต้นทางคือ เงิน
    ปลายทางคือ ความฟุ้งซ่าน ปรุงแต่ง ฯลฯ


    ภาพพระ :
    ต้นทางคือ หาได้ทุกที่ แม้แต่ที่จิตของตนเอง
    ปลายทางคือ ความสงบ ลดกิเลส ฯลฯ


    สองภาพนี้ต้นทางต่างกัน
    ปลายทางก็ต่างกัน
    ผลพลอยได้ก็ต่างกัน


    ถ้าเราส่งจิตออกนอก ไปดูภาพมายา, ความฟุ้งเฟ้อของโลก
    เราก็จะเสียทั้งเงิน, เสียทั้งสติ, เสียทั้งจิต
    แต่ถ้าเราดูจิตตนเอง ระลึกถึงพระ อยู่กับพระให้มากๆ
    เราจะไม่เสียเงิน (โดยไม่มีเหตุผล), ไม่เสียสติ, ไม่เสียจิต


    ที่เล่าเรื่องอดีตมันก็เป็นเรื่องของอดีต
    ที่มีเก็บไว้เป็นประสบการณ์ เก็บไว้ให้ย้ำคิดว่า
    ถ้าทำแล้วเจริญก็รักษาไว้, ถ้าทำแล้วจิตตกต่ำลงก็อย่าเดินไปทางนั้นอีกเลย
    ตอนนี้น้องคิดได้แล้วว่าสิ่งที่สูญเสียไปทางโลกมันไม่ได้อะไรกลับคืนมาทั้งนั้น
    ทุกอย่างมีแต่จะไหลไป ออกไปจากเรา
    ยิ่งขวนขวายมาได้เท่าไร ยิ่งไหลออกไปไวเท่านั้น
    แต่สิ่งที่น้องได้ในตอนนี้ จากสติปัญญาของน้อง...
    น้องเห็นบทเรียนต่างๆ มากมายในชีวิตที่เป็นครูคอยเตือนสติน้องเสมอ
    ตราบใดก็ตามที่เรายังวิ่งตามกระแสโลกก็มีแต่เสียกับเสีย
    ถ้าเรารักตัวเอง เราก็ควรที่จะสนใจจิตตนเอง เรียนรู้จิตตนเองให้มากจะดีกว่า
    อยู่แบบผู้มีปัญญาด้วยสติ ดีกว่าเป็นผู้ที่มีจิตตกอยู่ในอำนาจกิเลส แถมเสียสติอีกนะจ้ะ


    แล้วตอนนี้ท่านๆ เลือกกันได้หรือยังว่า...
    จะหาภาพดารา, ภาพมายามาฟุ้ง หรือหาภาพพระมาใส่จิตตนดี?


    แต่ถ้าใครเลือกภาพพระ หญิงเล็กก็ขอโมทนาสาธุด้วยที่ท่านคิดดีแล้ว
    แต่ถ้าใครยังเลือกภาพที่เกาะกระแสโลก, หรืออยากเกาะกระแสโลกอยู่ล่ะก็
    ขอให้ท่านมีสติให้มาก คอยดูตนเองด้วยว่ายังเหนื่อยอยู่หรือไม่?
    ถ้าวิ่งตามกระแสโลกแล้วจิตไม่เหนื่อย ก็คงจะเป็นไปไม่ได้
    (ถ้ารู้สึกว่าเป็นไปได้ นั่นแสดงว่าท่านกำลังหลอกตัวเอง และกำลังหนีความจริงของโลก)

    เพราะจิตที่วิ่งกระแสโลกมีแต่เสียกับเสียทั้งนั้น... ไม่มีอะไรยั่งยืนและสุขจริงหรอก
    ท่านว่าจริงไหม?
    (ตอบตัวเองในจิตนะ)



     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 กรกฎาคม 2012
  2. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=xS7DQb3pt6E&feature=related]การปล่อยวาง - YouTube[/ame]​

    ***เพิ่งเสร็จจากการพูดคุยเรื่องงานมา
    สติรู้จิตตนเองมาได้ว่า จิตเบื่อกับเรื่องงานทางโลกมาก
    จิตชอบความว่าง คือ จิตไม่อยากได้ทั้งทุกข์และสุข
    นำธรรมะของหลวงพ่อชามาฝากพวกเรา
    (บ้านของกายคือโลก บ้านจิตคือความสงบ ความว่าง)

    ใครอยากบรรลุธรรม ฟังให้จบ
    ท่านพูดถึงพระอานนท์อยากบรรลุธรรม นาทีที่ 29.00
    (ปล่อยวางด้วยสติปัญญา)
    ธรรมะเป็นปัจจัตตัง
    นิพพานก็เป็นปัจจัตตัง
    รู้ได้เฉพาะตน บอกคนอื่นได้ แต่บอกไปแล้ว เขาจะเข้าใจไหม๊
    อยากรู้ธรรมะ อยากรู้นิพพาน ก็ให้ลองมาปฎิบัติกันเองนะ
    จะได้รู้
    จะได้เลิกสงสัย
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 29 กรกฎาคม 2012
  3. ่jarunee

    ่jarunee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2012
    โพสต์:
    118
    ค่าพลัง:
    +1,917
    [​IMG]


    [FONT=&quot]<center>เรื่องกายทำงานทางโลก แต่จิตทำงานทางธรรม

    </center>[/FONT]
    [FONT=&quot] เสาร์ที่ ๑๒ มิ.ย. ๒๕๓๖ ทรงพระเมตตามาสอนเรื่อง กายทำงานทางโลก แต่จิตทำงานทางธรรม มีความสำคัญดังนี้[/FONT]

    [FONT=&quot] ๑. "ขอให้มั่นใจในธรรมที่ปฏิบัติอยู่ เดินมรรคด้วยจิตอย่างไม่หยุดยั้ง ร่างกายจักทำอะไรอยู่ก็ตาม จงกำหนดจิตให้อยู่ในอารมณ์พระกรรมฐานตลอดเวลา จักเป็นสมถะหรือวิปัสสนาก็ได้"[/FONT]

    [FONT=&quot] ๒. " จงกำหนดรู้อยู่ให้เกิดความเคยชินอยู่เสมอ เผลอบ้าง ฟุ้งซ่านบ้าง มันก็ต้องมีอยู่บ้างเป็นธรรมดา อย่าเพิ่งตำหนิตนว่าเลว จักทำให้จิตเสียกำลังใจ เผลอบ้าง ฟุ้งบ้าง ง่วงนอนบ้างก็ลงตัวธรรมดา ตั้งใจใหม่เมื่อระลึกได้ ทำบ่อย ๆ ก็เหมือนตักน้ำใส่ตุ่ม เก็บเล็กเก็บน้อยทำให้น้ำเต็มตุ่มได้ฉันใด การปฏิบัติธรรมก็สามารถเป็นสันตติเต็มจิตได้ฉันนั้น"[/FONT]

    [FONT=&quot] ๓. "แต่ควรจักระมัดระวังอารมณ์โมหะ-โทสะ-ราคะ ระงับเข้าไว้ไม่ให้มันมีกำลังแรงกล้า ความร้อนจากแสงอาทิตย์ทำให้น้ำในตุ่มเหือดแห้งได้ฉันใด ไฟอารมณ์ก็สามารถทำจิตให้แห้งจากความดีได้ฉันนั้น ขึ้นชื่อว่าความร้อนใจ พยายามระงับให้มันดับไปให้เร็วที่สุดเท่าที่จักเร็วได้"[/FONT]

    [FONT=&quot] ๔. "ให้กระทำตามขั้นตอนที่ให้ไว้ แยกแยะอารมณ์ให้ถูกต้องก็แล้วกัน"[/FONT]

     
  4. Talnoi

    Talnoi เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    16
    ค่าพลัง:
    +112
    อนุโมทนากับธรรมทานของคุณครู ทุกท่าน นะคะ

    รู้สึกว่าจะโดนจริง ๆ ใคร ๆ เขาไปไกลกันแล้ว

    ตัวข้าน้อย ขอ ไปเริ่มเล่น ฮู ลา ฮูป ก่อนนะคะ

    เดี๋ยวจะตกรถด่วนขบวนสุดท้าย
     
  5. ลูกพลัง

    ลูกพลัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    413
    ค่าพลัง:
    +8,932
    ท่านอนาคามีพรหม

    ประเด็นในการเดินมรรควิธีของอนาคามีพรหม (ศีล สมาธิ ปัญญา)
    สำหรับท่านอนาคามีพรหมทั้งหลาย.. เรื่องศีลนี้ไม่เป็นประเด็นเพราะท่านว่าผ่านโสดาปฎิผล สกิทาคามีปฏิผลมาแล้วคือสามารถละสังโยชน์ข้อ สักกายทิฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส ทั้ง3ข้อมาได้แล้ว ดังนั้นเรื่องศีลบริสุทธิ์จึงไม่เป็นประเด็นสำหรับท่านๆอย่างแน่นอน
    ต่อมาเมื่อท่านเจริญอริยมรรคอย่างต่อเนื่องจนสามารถละสังโยชน์เพิ่มเติมข้อ กามราคะ ปฏิฆะ ได้ท่านถึงบรรลุอนาคามีปฎิมรรคได้และเพียรเจริญอริยมรรคอย่างต่อเนื่องจนบรรลุอนาคามีปฏิผลสืบต่อไป

    คราวนี้มาดูประเด็นของท่านอนาคามีพรหมว่ามีอะไรกันบ้าง
    1. ท่านอนาคามีพรหมปฎิมรรค คือพึ่งจะทรงอารมณ์อนาคามีพรหมได้ไม่นาน(ซึ่งอารมณ์และอินทรีย์ท่านนั้นจะยังไม่ทรงตัวคือว่ายังไม่นิ่งยังไม่แก่กล้าในอารมณ์ของอนาคามีและยังไม่สามารถละสังโยชน์ทั้ง5ข้อได้อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาดอย่างละเอียด) เกิดละความเพียรขึ้นมาเฉยๆหรือมิจฉาทิฐิจากเหตุปัจจัยต่างๆเข้าครอบงำ ทำให้ท่านไม่สามารถทรงอารมณ์อนาคามีต่อไปได้(หรือล่วงหล่นลงมาจากอนาคามีปฎิมรรค) แต่ถ้าเป็นท่านอนาคามีปฎิผลแล้ว ท่านไม่มีถอยลงมาแล้ว
    2. ท่านอนาคามีพรหมปฏิผล คือท่านสามารถละสังโยชน์ทั้ง5ข้อได้อย่างเด็ดขาด ไม่มีถอยลงมาอีกแล้ว(ถ้ายังถอยลงมาได้อีกจะเรียกว่าอนาคามีปฎิมรรค) ท่านนี้ก็จะเพียรเจริญอริยมรรคต่อเพื่อจะละสังโยชน์ข้อ รูปราคะ(รูปฌาน), อรูปราคะ(อรูปฌาน), มานะ, อุทธัจจะ และอวิชชา เพื่อที่จะบรรลุอรหันต์ปฎิมรรคสืบต่อไป ท่านที่เดินทางมาถึงระดับอนาคามีปฎิผลแล้วนั้นท่านจะมีความสามารถเรื่องสมาธิ ฌานสมาบัติ (ถ้าไม่มี..ท่านไม่สามารถตัดสังโยชน์ข้อ4,5ได้อย่างแน่นอน)หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งว่าท่านเป็นผู้มีความสามารถในการทรงฌานสมาบัติได้เป็นอย่างดีและยังเจริญวิปัสสนากรรมฐานอยู่เนืองๆ แต่ประเด็นของท่านอนาคามีปฎิผลนั้นก็เนื่องด้วยว่าท่านเป็นผู้ทรงฌานได้ดีมากๆนั่นเอง จึงทำให้ท่านมีประเด็นในหลายรูปแบบคือ
    2.1 หลงติดสุข คือไปยึดติดกับสุขจากฌาน แล้วก็พอใจในสภาพที่เป็นอยู่ ละความเพียรซะงั้น
    2.2 หลงติดเฉย คือไม่ติดสุข ไม่ติดทุกข์ แต่ว่าดันไปติดเฉยจากอุเบกขาฌาน (ข้อนี้.. อาจทำให้สำคัญผิดคิดว่าบรรลุอรหันต์แล้วหรือไม่ก็เกิดความพอใจในสภาพที่เป็นอยู่ ละความเพียรซะอย่างงั้น)
    (ถ้าเป็นอรหันต์แล้วท่านๆเหล่านั้นจะไม่ยึดติดอะไรเลย ไม่ติดสุขแต่รู้สุข ไม่ติดทุกข์แต่รู้ทุกข์ ไม่ติดเฉยแต่รู้เฉย คือว่าท่านจะไม่ยึดติดอะไรเลย แค่รู้แล้วก็วาง เห็นสรรพสิ่งทั้งรูปและนามเป็นอนัตตาไปหมด)
    2.3 หลงทิฐิมานะ คือว่าท่านปฎิบัติมาได้ถึงขั้นนี้แล้ว แน่นอนที่สุดว่าท่านก็ปฎิบัติมามากพอสมควร ความรู้แจ้งในมรรคก็มีพอสมควร(เพราะว่าท่านสามารถละสังโยชน์ได้ถึง5ข้อใหญ่แล้ว) แต่ว่ายังมีอวิชชาหลงยึดติด"มานะสังโยชน์" คือเกิดความเชื่อมั่นในตัวตนสูงมากๆ (หรือดื้อมากๆนั่นเอง) มีความเห็นว่าสิ่งที่ตัวเองเห็นที่ตัวเองคิดนั้นชอบแล้ว แถมไม่ฟังผู้อื่นอีกด้วย (อีอันนี่..ครูฝึกก็เหนื่อยหน่อยละครับถ้าเจอศิษย์แบบนี้..) ท่านเปรียบเสมือนน้ำที่เต็มแก้ว เติมเท่าไรก็ไม่ลงแก้วแล้วมีแต่จะล้นออกเท่านั้น

    จะเห็นได้ว่าท่านอนาคามีพรหมทั้งหลายแต่ละท่านๆนั้นจะมีวาสนาบารมีไม่เหมือนกันคือจะไปติดสังโยชน์ข้อที่6-10ไม่ตัวใดก็ตัวนึงหรือบางท่านไปติดซะหลายตัวเลย..

    ต่อไปนี้สำหรับท่านอนาคามีพรหมที่ยังปรารถนาพระนิพพานในภพชาตินี้ก็เชิญอ่านต่อ(ส่วนท่านที่ยังจะคอยเวลาก็ให้ท่านผ่านไป)
    ประเด็นที่ควรเพิ่มเติมเสริมสร้างให้อินทรีย์แก่กล้าและบารมีเต็มเปี่ยม คือ
    1. สำหรับท่านอนาคามีพรหมปฎิมรรค ต้องมีสติระลึกรู้ถึงความไม่ประมาทว่าอารมณ์ของเรายังไม่ทรงตัว อินทรีย์ยังไม่แก่กล้า ท่านจะละความเพียรไม่ได้ (ปฎิบัติตามครูฝึก) หมั่นทรงสติ ทรงสมาธิ ทรงฌาน และวิปัสสนาอยู่เนืองๆ ทำไปๆ อย่าหยุด จนกระทั่งอินทรีย์แก่กล้า วิปัสสนาญาณเกิด
    2. สำหรับท่านอนาคามีพรหมปฎิผล ต้องมีสติระลึกรู้ระมัดระวังสังโยชน์ข้อที่6-10 ต้องฝึกสติให้รวดเร็วยิ่งๆขึ้นต้องรู้เท่าทันจิต และสำคัญยิ่งเหนืออื่นใดเลยคือ"หมั่นวิปัสสนากรรมฐาน" ให้มากกว่าสมถกรรมฐาน (ให้ถอยฌานลงมาออกมาจากสุขออกมาจากเฉย เอาจิตเข้าชนกับกิเลสต่างๆ แล้วสติต้องรวดเร็วรู้เท่าทันปัจจัยกระทบ โน้มปัญญามาพิจารณาลงที่ไตรลักษณ์ทุกๆเรื่อง)

    สรุปก็คือว่าสำหรับท่านอนาคามีพรหมแล้ว "ท่านจะต้องเจริญสติ เจริญวิปัสสนาเป็นหลัก" (เรื่องฌานสมาบัติท่านได้ของท่านอยู่แล้ว อย่าไปเสียเวลาแช่อยู่ในฌานสูงๆติดสุขติดเฉย โดยไม่ได้เจริญสติเจริญปัญญาเลย ไม่มีประโยชน์ ไม่เป็นหนทางแห่งการหลุดพ้น)
    การเจริญวิปัสสนากรรมฐาน "มหาสติปัฏฐาน4" โดยพระไตรลักษณ์
    1. เห็นกายในกาย
    ปัญญาพิจารณาเห็นถึงความไม่เที่ยง อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ของกายที่ สติรับรู้ถึงปัจจัยที่เข้ามากระทบกายทางอายตนะทั้ง5 (ตา ลิ้น จมูก หู ผิวหนัง - รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส) จากอริยบทต่างๆยืนเดินนั่งนอนและอื่นๆ..
    2. เห็นเวทนาในเวทนา
    ปัญญาพิจารณาเห็นถึงความไม่เที่ยง อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ของเวทนาที่ สติรับรู้ถึงปัจจัยที่เข้ามากระทบทางอายตนะที่6 (ใจ-ธรรมารมณ์หรืออารมณ์) จากเวทนา3ประการคือ สุขเวทนา ทุกขเวทนา อุเบกขาเวทนา
    3. เห็นจิตในจิต
    ปัญญาพิจารณาเห็นถึงความไม่เที่ยง อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ของจิตที่ สติรับรู้ถึงปัจจัยที่เข้ามากระทบจิต (รัก โลภ โกรธ หลง สุข ทุกข์ เฉย ฟุ้งซ่านและอื่นๆ) เห็นจิตเกิด-ดับอยู่ตลอดเวลา
    4. เห็นธรรมในธรรม
    ปัญญาพิจารณาเห็นถึงความไม่เที่ยง อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ของธรรม(สรรพสิ่ง)ที่ สติรับรู้ถึงสิ่งๆนั้นเกิดขึ้น ตั้งอยู่และดับไป

    การเจริญวิปัสสนากรรมฐานโดย "อริยสัจ4" นำไปจับกับสภาวะธรรมต่างๆ
    1. ทุกข์ - สภาพที่อึดอัดทนไม่ได้ (ตั้งแต่เกิดก็เป็นทุกข์แล้ว)
    2. สมุทัย - หาเหตุแห่งทุกข์
    3. นิโรธ - ดับทุกข์
    4. มรรค - วิธีดับทุกข์ (อริยมรรคคือ ศีล สมาธิ ปัญญา)

    หมั่นเจริญให้มากๆ.. ฝึกแยกกายแยกจิต กายทำงานทางโลกไป จิตก็วิปัสสนาไป สติเป็นผู้ตรวจการไป จนกระทั่งเกิดวิปัสสนาญาณ.. วิปัสสนาญาณคือจิตทำการวิปัสสนาไปเองเป็นอัตโนมัติ.. เกิดปัญญาวิมุติจนกระทั่งอินทรีย์แก่กล้าบารมีเต็มเปี่ยมก็จะบังเกิดดวงตาเห็นธรรม.. เห็นสรรพสิ่งล้วนแต่เป็นอนัตตา.. ไม่ยึดติดในสรรพสิ่ง.. รู้-วาง เกิด-ดับ อยู่ร่ำไป.. เห็นทุกสิ่งเป็นธรรมดา เป็นธรรมชาติ เป็นธรรมะ..

    ท้ายนี้.. หากบทความธรรมทานนี้ได้กระทำการล่วงล้ำก้ำเกินหรือปรามาสแก่ท่านๆอนาคามีพรหมทั้งหลายโดยมิได้ตั้งใจ ข้าพเจ้าก็ต้องขออโหสิกรรมจากท่านๆทั้งหลายด้วย.. แต่หากว่าบทความนี้จะเป็นบุญกุศลขึ้นมา ข้าพเจ้าก็ขอส่งบุญกุศลทั้งหลายทั้งปวงนี้ให้แก่ท่านอนาคามีพรหมทุกๆท่าน จงถึงฝั่งฝานิพพานโดยพลันเทอญ.. สาธุ สาธุ


    ขอให้ทุกๆท่านเจริญในธรรมยิ่งๆขึ้นไปด้วยเทอญ.. สาธุสวัสดี
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 กรกฎาคม 2012
  6. ลูกพลัง

    ลูกพลัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    413
    ค่าพลัง:
    +8,932
    สังโยชน์10 โดยหลวงพ่อฤาษี

    สังโยชน์ 10
                1) นักปฏิบัติเพื่อมรรคผล ที่ท่านปฏิบัติกันมาและได้รับผลเป็นมรรคผลนั้น ท่านคอยเอา สังโยชน์ เข้าวัดอารมณ์เป็นปกติ เทียบเคียงกับสังโยชน์ว่า เราตัดอะไรได้เพียงใด แล้วจะรู้ผลปฏิบัติตามอารมณ์ที่ละนั้นเอง ไม่ใช่คิดเอาเองว่า เราเป็นพระโสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์ ตามแบบคิด ตามแบบเข้าใจเอาเอง
                2) สำหรับญาติโยมพุทธบริษัท ที่ปฏิบัติพระกรรมฐาน จะได้ทราบอารมณ์ของจิตว่าท่านทั้งหลายทำเวลานี้ถึงไหนแล้ว ความจริงก่อนที่จะบรรลุมรรคผล พระพุทธเจ้าไม่ทรงสรรเสริญ แต่ว่าพระพุทธเจ้าเองท่านทรงยืนยัน ท่านเป็นพระพุทธเจ้าเป็นภาระของท่าน แต่ว่าบุคคลใดเป็นพระโสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์ อันนี้ท่านทรงยืนยัน อันนี้จำเป็น
                แต่ว่าส่วนใหญ่พระสาวกก็จะไม่ยืนยัน คือ ว่าจะแนะนำให้เข้าใจเอง ฉะนั้นสำหรับญาติโยมพุทธบริษัทก็เช่นเดียวกัน อาตมาก็ขอนำ สังโยชน์ 10 มาเป็นเครื่องวัดกำลังใจ
                สังโยชน์ 10 ประการ 3 ข้อ เป็นคุณธรรมของพระโสดาบันหรือสกิทาคามี คือ
                     - สักกายทิฏฐิ สำหรับพระโสดาบันกับพระสกิทาคามี ตัวนี้เป็นตัวปัญญานะ เป็นตัวตัดกิเลสทั้งหมด แต่ว่า พระพุทธเจ้าท่านบอกว่า พระโสดาบันก็ดี พระสกิทาคามีก็ดี มีปัญญาเล็กน้อย มีสมาธิเล็กน้อย แต่มีศีลบริสุทธิ์ ศีลบริสุทธิ์นี่ตามฐานะ ถ้าฆราวาสก็คือศีล 5 คือ ศีล 5 เป็นสำคัญ ยังไม่ถือศีล 8 ถ้าถือศีล 8 เป็นพระอนาคามี คือว่าถ้ามีศีล 5 บริสุทธิ์แน่นอน แล้วก็ใช้ได้ สักกายทิฏฐิ ถ้าญาติโยมมีความคิดอยู่เสมอว่าชีวิตต้องตาย เราไม่ประมาทในชีวิต หมายความว่าพยายามหลบความชั่ว คือบาปไว้เสมอ
                    - วิจิกิจฉา ไม่สงสัยในความดีของพระรัตนตรัย คือ พระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์
                    - สีลัพพตปรามาส รักษาศีล 5 เคร่งครัด แล้วก็ขอแถมอีกนิด
                    - อุปสมานุสสติกรรมฐาน นึกถึงพระนิพพานเป็นอารมณ์ ถ้าจิตทรงตัวอย่างนี้ได้จริง ขอให้ทราบว่า พระพุทธเจ้าทรงเรียกผู้นั้นว่า พระโสดาบัน หรือ สกิทาคามี วัดใจเอาเองก็แล้วกันนะ
                3) สังโยชน์ทั้ง 10 ถ้าท่านพิจารณาวิปัสสนาญาณแล้ว จิตค่อย ๆ ปลดอารมณ์ที่ยึดถือได้ครบ 10 อย่าง โดยไม่กำเริบอีกแล้ว ท่านว่าท่านผู้นั้นบรรลุอรหัตตผล เครื่องวัดอารมณ์ที่พระพุทธเจ้าตรัสจำกัดไว้อย่างนี้ ขอนักปฏิบัติจงศึกษาไว้ แล้วพิจารณาไปตามแบบ ท่านสอนเอาอารมณ์มาเปรียบเทียบกับสังโยชน์ 10 ทางที่ดีควรคิดเอาชนะกิเลสคราวละข้อ เอาชนะให้เด็ดขาด แล้วค่อยเลื่อนเข้าไปทีละข้อ ข้อต้น ๆ ถ้าเอาชนะไม่ได้ ก็อย่าเพิ่งเลื่อนไปหาข้ออื่น ทำอย่างนี้จะได้ผลเร็วเพราะข้อต้นหมอบแล้ว ข้อต่อไปไม่ยากเลย จะชนะหรือไม่ชนะ ก็ข้อต้นนี่แหละ เพราะเป็นของใหม่ และมีกำลังครบถ้วนที่จะต่อต้านเรา ถ้าด่านหน้าแตก ด่านต่อไปง่ายเกินคิด ขอให้ข้อคิดไว้เพียงเท่านี้
                4) เราจะต้องมีสติอยู่เสมอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสติตัวสำคัญ นั่นคือ จะต้องมีความรู้สึกว่า
                    - สักกายทิฏฐิ อัตภาพร่างกายนี้มันไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา เราไม่มีในร่างกาย ร่างกายไม่มีในเรา เราจะไม่มีการติดอกติดใจอยู่ในร่างกายของเรา และร่างกายของบุคคลอื่น เราถือเสมือนว่าร่างกายเป็นสภาวะอันหนึ่ง ๆ หรือ บ้านเช่าที่เราใช้อาศัยอยู่ชั่วคราวเท่านั้น
                    - วิจิกิจฉา เราไม่สงสัยในคำสั่งและคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ใช้ปัญญาพิจารณาพระธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระชินวรอยู่เสมอ
                    - สีลัพพตปรามาส เราจะรักษาศีลให้ครบถ้วนไม่ลูบคลำศีล
                    - กามฉันทะ เป็นฉันทะ เป็นภัยสำหรับเรา เราพยายามหาทางทำลายกามฉันทะให้พินาศไปจากจิต
                    - เราจะตัดปฏิฆะ คือ ความกระทบกระทั่งกับอารมณ์ของจิต ด้วยอำนาจความโกรธ ความพยาบาทให้สิ้นไป
                    - เราจะไม่หลงใหลใฝ่ฝันติดอยู่เฉพาะในรูปฌาน
                    - เราจะต้องไม่ติดอยู่เฉพาะในอรูปฌาน ใช้ปัญญาใคร่ครวญ พิจารณาศีลของเราให้เป็นปกติ อย่าให้มันด่าง มันพร้อย มันขาดทะลุ อย่าให้มันบกพร่อง ถ้ามีปัญญาเสียอย่างเดียว ไม่มีอะไรยาก และก็ใช้ปัญญาพิจารณาว่าร่างกายของตน ร่างกายของสัตว์ ที่เรียกว่า รูป เสียง กลิ่น รส และสัมผัส เอาร่างกายคนก็แล้วกัน คนก็ดี สัตว์ก็ดี วัตถุก็ดี มันสกปรกหรือสะอาดให้ พิจารณาใน กายคตานุสสติ และอสุภกรรมฐาน หาความจริงในร่างกายของคนและสัตว์ แม้แต่ของเราให้ได้ว่ามันมีอะไรน่ารักตรงไหน มันมีอะไรยืนยงคงทนตรงไหน มันมีสภาวะทรงตัว หรือว่ามันสลายตัวไปในที่สุด ต้องเอาชนะอารมณ์นี้ให้ได้นะ อย่าไปติดในตัวรักไม่ได้ ต้องเป็นตัวคลายความรัก
                แล้วก็พิจารณาอารมณ์ที่เราโกรธ อารมณ์ที่กระทบกระทั่ง คือ ปฏิฆะ อารมณ์ที่เข้ามากระทบกระทั่งสร้างความไม่พอใจ มันเป็นประโยชน์ มันเป็นประโยชน์อะไร จึงไม่พอใจในบุคคลอื่น ที่เขากล่าวอย่างนั้น เขาทำอย่างนั้น เราก็ใช้ปัญญาพิจารณาว่าเราไม่พอใจ ที่เราโกรธเขา ที่เราเกลียดเขาคิดอาฆาตมาดร้ายเขา เพราะเรามันเลว ถ้าเราดีเสียอย่างเดียว ถ้าใครเขาจะว่าอะไร มันก็ไม่หนัก ที่พระพุทธเจ้าท่านกล่าวว่า นินทา ปสังสา นินทาและสรรเสริญเป็นของธรรมดาของโลก เขาสรรเสริญเราว่าดี ถ้าเราเลว มันก็ไม่ดีไปตามคำที่เขาพูด เขานินทาว่าเราเลว ถ้าเราดี เราก็ไม่เลวไปตามเขาพูด
                    - มานะ เราจะตัดมานะความถือตัวถือตน ว่าเราดีกว่าเขา เราเสมอเขา เราเลวกว่าเขาให้หมดไป นึกไว้เสมอนะ อย่าลืมไม่ได้ และก็ใช้ปัญญาพิจารณาต่อไปว่า การที่เราจะยึดถือตัวตน ถือเรา ถือเขา ถือพวก ถือหมู่ ถือคณะ ว่าเราดีกว่าเขา เราเลวกว่าเขา เราเสมอเขา มันไม่มีประโยชน์ คนเกิดแก่ เจ็บ ตาย เหมือนกัน ไม่ควรจะเอาอะไรเข้าไปเปรียบเทียบ ให้เป็นการแข่งขัน หรือถ่อมเกินไป ไม่ควรคิด คิดว่าทุกคนเกิดมาก็แก่เหมือนกัน ป่วยเหมือนกัน ตายเหมือนกัน รักสุขเหมือนกัน เกลียดทุกข์เหมือนกัน เราเป็นเพื่อนกันได้แบบสบาย จะเสมอหรือไม่เสมอ จะดีกว่า จะสูงกว่า จะต่ำกว่าฉันไม่รู้ รู้อย่างเดียวว่า ฉันเป็นมิตรที่ดีของท่าน เท่านี้พอ
                    - อุทธัจจะ ใช้ปัญญาเข้าควบคุมกำลังใจว่าอารมณ์ใดที่จะเกิดขึ้นนั้น เราไม่ต้องการ เรามุ่งเฉพาะพระนิพพานอย่างเดียว
                    - อวิชชา ใช้ปัญญาจำแนกแจกลงไปว่า อวิชชาตัวเกาะ เกาะในอารมณ์ที่เป็นอนุสัย ยังมีความหลงใหลใฝ่ฝัน ท้อแท้อยู่ในความคิดว่า
                ถ้าเราเป็นพระอนาคามีเราก็มีความสบาย ไม่ควรจะมีความทะเยอทะยานมากเกินไปให้มันเหนื่อย ก็ใช้ปัญญาสอนมันว่า ถ้าสิ่งใดก็ตามที่เรายังไม่ทำสำเร็จกิจ เราก็จะต้องทำต่อไป ไหน ๆ เมื่อเวลามันมีก็ทำลายให้มันพินาศไปให้มันหมดกิจไปเสีย ขึ้นชื่อว่ากิเลสทั้งหมด อย่าให้ปรากฏว่ามีในจิต
                5) อารมณ์ที่จะพึงสนใจมากที่สุด หรือโดยตรงนั้นคือ สังโยชน์ 10 ตัวตัดอยู่ตรงนี้ เราจะทำอะไรก็ตาม ถ้าไม่สามารถตัดสังโยชน์ได้แม้แต่หนึ่ง ก็ไม่มีผลในการปฏิบัติ เหนื่อยมาเกือบตาย กิเลสก็ยังท่วมตัวอยู่ ยังต้องเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ ไม่มีเวลาจำกัดก็แย่ บางท่านที่มีความฉลาด เริ่มปฏิบัติไม่กี่วันก็สามารถกำจัดกิเลส เข้าถึงเขตแห่งความเป็นความเป็นพระอริยเจ้าได้ อันนี้ได้กำไรมาก
     
  7. lobsterkiss

    lobsterkiss เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    23
    ค่าพลัง:
    +325
    อู้ววว ครูทุกท่าน ท่านมาทั้งผลักทั้งดัน ดวงจิตอนาคามีจริงๆ และทุกๆดวงจิตจริงๆ ^^

    ถ้าครูทุกท่านไม่เมตตาท่านนี่ ท่านคงไม่ทำแบบนี้นะครับ ^^

    ดังนั้นตั้งใจเข้านะครับ ข้าพเจ้าขอส่งกำลังใจให้ไปมั๊กมากๆๆเลยครับ

    (ขออีกหน่อย)ถึงทุกท่านที่กำลังปฏิบัติอยู่ ถ้าท่านคิดว่า ชีวิตนี้ยังอีกยาว ทำบ้างไม่ทำบ้างไม่เป็นไรน้าา นี่ท่านแสดงว่าท่านยังประมาทอยู่มากนะครับ
    คิดว่าร่างกายนี้ท่านเป็นเจ้าของเหรอ????
    ถ้าท่านคิดเช่นนี้ ข้าพเจ้าก็ขอบอกตามตรงเลยว่า ภพหน้าชาติหน้ารอท่านอยู่จ้าา
    ท่านก็คงจะมาเกิดอีก มาเป็นเด็กร้องไห้งอแง ต้องมาตั้งหน้าตั้งตาเรียนอย่างเอาบ้าเอาหลัง พอมีครอบครัวก็ทำงานหาเงิน เอางกๆ เหนื่อยก็เหนื่อย ไหนจะเลี้ยงลูก เลี้ยงเต้า ไปทุกข์อะไรกับลูกอีก มีภาระเยอะแยะมากมายก่ายกอง บางทีบางครั้งก็ต้องมาป่วยนั้นป่วยนี้ หิวโน้นหิวนี้ เดี๋ยวปวดหัว เดี๋ยวปวดฟัน ปวดท้อง ปวดอะไรสาระพัดสาระเพ โอ้ยยย เยอะแยะ นี่ยังไม่หมดนะ 555
    ถ้าเห็นแบบนี้แล้วท่านจะเอาอีกหรออ????
    สำหรับเหรอข้าพเจ้าและครูทุกๆท่าน บ้ายยบาย ลาก่อน ลาขาด
    ตายแล้วไปเลยไม่มา ไม่เอาแล้ววจ้าา

    ถ้าท่านไม่เอาแล้วก็ต้องตั้งใจปฏิบัตินะครับ สู้เข้านะครับ ^^ และอย่าลืมปฏิบัติตามที่ครูท่านได้สอนไว้ด้วยเน้อ ^^

    (deejai)chearr:z2



     
  8. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    ขอขยาย
    เรื่อง การเดินมรรควิธีอนาคามีพรหม ด้วยศีล สมาธิ ปัญญา
    เพื่อธรรมาทาน จากคุณลูกพลัง
    ท่านแจกแจงครบทุกขบวนการเดินจิตตามแนวอริยมรรค
    นับว่ามีคุณเอนกอนันต์ มีประโยชน์มหาศาลกับสาธุชนทั้งหลาย
    ขอโมทนาในธรรมในครั้งนี้้ด้วย
    ท่านสมแล้วที่ได้รับความไว้วางใจ เป็นนักวิชาการแห่งธรรมของบ้านนี้
    Perfect! perfect!
    ท่านเหมือนบุคคลที่อยู่ที่สว่างแล้ว มาทำให้ผู้ที่กำลังยืนอยู่ที่มืด
    หรือเกือบสว่าง จนมาทำให้ผู้ปฎิบัติหูตาสว่างตามท่านไปด้วย
    คราวนี้สำหรับท่าน(จิต) ที่กำลังเดินอนาคามีปฎิมรรค/ผล
    ก็สมควรน้อมนำไปพิจารณาให้ถ้้วนถี่ และน้อมนำไปปฎิบัติตามกันด้วยเถิด
    สาธุ...ธรรมในธรรม
    ท่านกล่าวได้ถูกจริตธรรมของข้าพเจ้าเจงๆ
    ขอขอบพระคุณที่พระได้จัดสรร ส่งท่านมาให้กับพวกเรา
    คอยเสริมทัพแห่งธรรมนี้ ให้เข้มแข็ง/แข็งแกร่งมากยิ่งๆขึ้นไป
    เพื่อให้ผู้ปฎิบัติจิตเกาะพระนี้ ได้มีความมั่นใจในการปฎิบัติของตน
    ขอขอบพระคุณจริงๆ แทนพวกเราด้วย
    เพราะว่าจะหาผู้มาบรรยายอรรถธรรมสัมพันธ์นั้นยากมาก เพราะติดอยู่ที่ภาษาสมมุติ
    ยากที่จะสื่อออกมาให้เข้าใจได้ง่ายนัก
    เพราะภาษาจิตมีอยู่ภาษาเดียว ก็คือ จิตจะรู้ๆอย่างเดียว รู้แล้วก็วาง
    มันเป็นธรรมดาอย่างนั้น
    ท่านนี้เหมาะสมที่จะเป็นครูสอนธรรมที่ดีต่อไปโดยเฉพาะปฎิบัติเกาะพระ เพราะท่านเก่งทั้งทางโลกและทางธรรม
    นานๆจะเจอสักคนนึงนะ คนบรรยายธรรมะเก่งๆแบบนี้ จะบอกให้ ถือว่าพวกเราโชคดีมาก
    ผมถึงไม่อยากให้พวกเราเอาแต่ติดตำรา หรือว่า อ่าน/ฟังธรรมมาก
    ให้พวกเราปฎิบัติมากๆ เพราะถ้าเราปฎิบัติมากกันแล้ว
    อีกไม่นาน ถ้าจิตยิ่งนิ่ง หรือจิตยิ่งละเอียดมากเท่าใด
    ท่านก็จะเป็นผู้รู้ธรรมะมากเช่นเดียวกัน ไม่มีใครแตกต่างกันมากนัก
    แต่จะแตกต่าง สำหรับผู้ที่จะสื่อออกมากันนี่แหล่ะ! ยาก
    คือผู้ที่จะสื่อธรรมะที่ดี ก็คือ ต้องมีความสามารถในการพูด ในการใช้ภาษาสมมุติเก่ง และอีกอย่างนึงก็คือ ปัญญาจะต้องมากเช่นกัน

    ข้าพเจ้าขอคารวะสัก หนึ่งจอก หนึ่งไห
    ฮ่าๆ

    ***ครูเหนื่อยไม่กลัวถ้าได้ขนดวงจิตขึ้นพระนิพพานกันเยอะๆ
    แต่จะเหนื่อยตรงที่พวกเราไม่ปฎิบัติกันจริงๆจังๆกันนี่แหล่ะ!
    ได้โปรดรับรู้กันทั่วไปด้วย

    ข้าพเจ้าขอโทษครูเพ็ญจริงๆ เพราะผมคนเดียวเลยเชียว
    ที่ทำให้มีปฎิบัติจิตเกาะพระเกิดขึ้นนี้ และทำท่าจะหยุดไม่ได้เสียแล้ว

    ข้าพเจ้าขอรับผิดทั้งหมด แทนผู้ปฎิบัติทั้งหลาย
    ที่ข้าพเจ้าต้องมาทำให้ท่านเหนื่อย นอนดึกนอนดื่น ทำงานหนักทางโลกยังไม่พอ มาหนักสอนศิษย์
    (มีหลายคนในเวลาเดียวกัน)
    ก็เพื่ออยากให้ศิษย์ได้มีโอกาสยกจิตขึ้นเป็นอริยบุคคล ฝ่ายฆราวาส
    ผมขอโทษจริงๆ กับครูทุกท่าน โดยเฉพาะครูเพ็ญ
    และผมขอมอบอายุขัยที่มีอยู่ยกให้คุณครูเพ็ญของผมทั้งหมดเลย ข้าพเจ้าไม่กลัวความตาย
    เพราะได้มอบกาย ถวายชีวิตเพื่อท่านพ่อ เพื่อพวกเรา เพื่อพระพุทธศาสนาไปแล้ว
    ข้าพเจ้าซาบซึ้งใจกับครูทุกท่าน โดยเฉพาะครูเพ็ญเป็นอย่างมาก
    ขอขอบพระคุณที่พระได้จัดสรรมาให้พบกับพวกเรา

     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 29 กรกฎาคม 2012
  9. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    [ame="http://www.youtube.com/watch?v=tkb-RVM1dLs"]??????????????????? - YouTube[/ame]​

    ***สำหรับผู้ที่มีอินทรีย์อ่อน
    จิตที่ขาดการพิจารณาธรรม หรือจิตที่ยังไม่เกิดวิปัสสนาเองโดยธรรมชาติ
    เพราะสติเกิดไม่มากพอ จิตจึงปราศจากสมาธิ ปัญญา
    ขอให้ฟังธรรมะของหลวงพ่อชานี้กันนะ
    จะได้อะไรเยอะแยะมากมาย


    อินทรีย์ หรือ อินทรีย์ 5 คือ ความสามารถหลักทางจิต ห้า ประการ ได้แก่
    1.สัทธินทรีย์ คือ ความศรัทธา ในโพธิปักขิยธรรม
    2.วิริยินทรีย์ คือ ความเพียร ในสัมมัปปธาน
    3.สตินทรีย์ คือ ความระลึกได้ ในสติปัฏฐาน
    4.สมาธินทรีย์ คือ ความตั้งมั่น ในญาณ
    5.ปัญญินทรีย์ คือ ความเข้าใจ ในอริยสัจ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 29 กรกฎาคม 2012
  10. natthapatpun

    natthapatpun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,124
    ค่าพลัง:
    +25,214
    โมทนา สาธุกับพี่ภู ครูดัช ครูน้องหนู ครูวิทย์ ครูลูกพลัง ครูนิวเวป ครูแสงจันทร ครูแอ๋ว จารุณี ครูน้องนอร์ท และคุณครูทุกท่านที่ไม่ได้เอ่ยนาม ที่ช่วยกันเสริมกองทัพธรรมให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น บ้านนี้ไม่ธรรมดาจริง ๆ นะพี่ภู นอกจากมีแต่ให้แล้ว แต่ละท่านเข้าใจธรรมะได้ถึงแก่นและละเอียดลึกซึ้งสมกับที่ท่านยกจิตอยู่เหนือโลกแลถึงสามโลก

    ขอบ่นหน่อย อะฮ้อย ข้าเจ้าจะมาเสริมเรื่ออนาคามีพรหมต่อ แต่ดันนึกไม่ออกซะแล้ว แปะไว้ก่อนนะ เดี๋ยวมาตี(กิเลส)ให้ใหม่

    อนาคามีพรหมแห่งสายบุญบ้านรากแก่นแห่งโพธิญาณ ท่านจงเอาจิตท่านมาชนกับไม้หน้าสาม เอ้ย ชนกับกิเลสซะดี ๆ อ่านแล้วจิตใจเป็นยังไงรายงานผลบนหน้ากระดานด้วย พี่เพ็ญจะตี(กิเลส)ให้แตกเป็นราย ๆ ไปเชียว ตีในเมลไม่ไหว อนาคามีพรหมเยอะอ่ะ

    มารายงานตัวและความก้าวหน้าบนกระดานซะดี ๆ ไม่งั้นจะโดนเอาไม้หน้าสามบุบรายตัว พี่เพ็ญเอาจริงนะฮึ่ม ใครจะโกรธให้มาโกรธพี่เพ็ญนี่เลย ไม่ต้องไปวุ่นวายกับใคร แต่ถ้าอนาคามีพรหมท่านใดยังมีโกรธอยู่นะ ขอให้รู้ตัวว่าจิตท่านยังเลวอยู่มาก เพราะฉะนั้นอย่าทะนงตน มาเข้าสูกระบวนการคัดแยกความเลวออกไปจากจิตซะดี ๆ

    จะสู้หรือจะถอยไปคิดดูกันเอง ใครสู้ก็เดินหน้าเข้ามา กลัวอะไรกับแค่ไม้หน้าสาม ยังไงขันธ์ห้านี้มันก็ต้องตายกันแน่ ๆ อยู่แล้ว ไม่ตายวันนี้ก็ต้องตายสักวันหนึ่ง ก็เลือกเอาเองนะว่าตายแล้วจะไปเป็นพรหม หรือจะไปนิพพานทันที
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 กรกฎาคม 2012
  11. natthapatpun

    natthapatpun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,124
    ค่าพลัง:
    +25,214
    เมื่อจิตทรงฌานสูงมีอาการอย่างไรหาคำตอบได้ที่ธรรมทานนี้

    น้องเอิ้นวางอารมณ์ได้ถูกแล้วค่ะ อ่านคำตอบสีน้ำเงินนะ


    เมื่อ 29 กรกฎาคม 2555, 11:10, Weepasuth Lim เขียนว่า:
    สวัสดีครับ พี่เพ็ญ พี่หนู
    สวัสดีค่ะ

    ขอต่อเนื่องจากเมื่อวาน หน่อยนะครับ เมื่อวาน พอดี ไปเปิด ยูทูป พอดีไปเิปิดละคร ก็ลองเปิดดูหน่อย เปิดปุ๊ป เห็นเลยว่าจิต หมายถึงรู้สึกว่า จิตเรากำลังจะไปเกาะ เรื่องนั้นๆ เลย ก็รีบดึงจิตไปเกาะพระ ครับ ไม่รู้สิ แปลกๆ ไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อน
    นี่และ เห็นป่าวที่พี่เพ็ญ เอาไปขึ้นบนกระทู้น่ะ ให้เอาจิตชนกับกิเลสอย่าไปหลบมัน น้องเอิ้นเอาจิตไปชนใหม่นะ จิตมันไม่ได้เกาะเรื่องหนังหรอก แต่จิตมันกำลังจะเข้าไปเรียนรู้กิเลสกับอารมณ์ แต่ด้วยความที่สติตามไม่ทันจิตและเป็นความเคยชินของขันธ์ห้า ประกอบกับน้องเอิ้นทรงฌานสูง สติไปดึงจิตออกมาจากการกระทบทางอายาตนะตากับหูและใจ จิตก็เลยชะงักไม่ได้เรียนรู้กิเลสกับอารมณ์ตรงนั้นต่อเนื่อง จึงทำให้การเดินทางของจิตไม่ก้าวหน้า

    การดูมายาทางโลกนี้นะ ไม่ใช่แต่เรื่องภาพยนตร์เพียงอย่างเดียว ทุกอย่างบนโลกนี้ล้วนเป็นมายาทั้งสิ้น ดังนั้นการที่จิตจะก้าวมผ่านโลกมายานี้ไปได้หรือไม่ จิตจะต้องเรียนรู้เรื่องคุณและโทษของกิเลสและอารมณ์ให้เกิดการรู้แจ้งเห็นจริงในสัจธรรม

    เพราะฉะนั้นจิตอย่าหลบอยู่ในห้องแอร์เพียงอย่างเดียว เดี๋ยวมันจะสบายเกินไป ต้องเอาจิตไปชนกับกิเลสบ้าง เพื่อวัดกำลังใจและอารมณ์ของตนเองว่าอยู่เหนือมันขึ้นมาบ้างหรือยัง

    การวัดกำลังใจตนเองนะ เมื่อชนกับกิเลสแล้วหรือขณะที่ชนกับกิเลสอยู่นั้น ให้มีสติตามดูอารมณ์ภายในใจด้วยว่า ใจเราเป็นยังไง คำว่าเป็นยังไงคือธรรมชาติในใจเป็นยังไงก็เป็นอย่างนั้น เราอย่าไปปรุงแต่งต่อว่ามันจะต้องเป็นอย่างนั้นหรือเป็นอย่างนี้ตามความเคยชินของขันธ์ห้า

    ดูกิเลสว่าขณะดูภาพยนตร์อยู่นั้น มีกิเลสตัวใดเกิดขึ้นบ้าง เช่น รัก โลภ โกรธ หลง รวมถึงกิเลสตัวย่อย ๆ เช่น สนุกสนาน เบิกบาน หัวเราะ เฮฮา ตลก ขำ หงุดหงิด รำคาญ เบื่อหน่าย เซ็ง และให้ดูด้วยว่าสติตามทันกิเลสหรืออารมณ์เหล่านั้นหรือไม่

    ดูแค่รู้แล้วจบ จบตรงไหนก็ตรงนั้น ไม่ต้องไปปรุงแต่งต่อ เมื่อจบแล้วก็ให้ใช้ปัญญาพิจารณาว่าภาพยนตร์ที่เราดูผ่านมานั้นมันอยู่จีรังยั่งยืนไหม ถ้ายังเอาใจไปเกาะ(อิน)กับกิเลส(รูป เสียง ธรรมารมณ์)อยู่ใจเป็นทุกข์ไหม ทุกข์เพราะอยากจะดูเรื่องใหม่ต่อไปอีกใช่หรือไม่ ก็ให้รู้ว่าถ้าไปยึดติดกับมันใจก็เป็นทุกข์ต้องไปดิ้นรนขวนขวายหามันมาเสพอีกไม่รู้จักหยุดหย่อน สุดท้ายทั้งภาพยนต์ กิเลส อารมณ์ มันมีตัวตนไหม ในเมื่อมันไม่มีตัวตนแล้วเราจะไปยึดอะไร ไม่ว่ามายาของโลก กิเลส หรืออารมณ์ก็ล้วนเป็นสิ่งไม่ควรยึดทั้งสิ้น เนื่องจากมันไม่มีอยู่จริง สรุปก็คือมันไม่ได้มีตัวตนอะไรเลย

    การเอาจิตชนกับกิเลส ถ้าครั้งเดียวจิตยังไม่วาง ให้ชนอีก ชนไปจนกว่าจิตจะวางคลายจากเรื่องนั้น ๆ คือวางด้วยใจเป็นกลางนะ ไม่ใช่ไปบังคับจิตให้วาง การวางด้วยใจเป็นกลางคือจิตมันเห็นกิเลสตัวเดิมซ้ำ ๆ จนเบื่อหน่าย ที่เบื่อหน่ายเพราะปัญญาเกิดรู้แจ้งเห็นจริงในสัจธรรมคือเห็นทุกอย่างดำเนินไปตามกฎไตรลักษณ์อย่างเที่ยงตรงที่สุด


    ช่วงนี้ก็พยายามรักษาสติ กับอิริยาบท น่ะครับ จิตก็เกาะภาพพระไปให้ได้ เกือบๆ ทุกๆขณะจิต
    ดีแล้วค่ะ จิต สติ ปัญญา ฌาน ญาณ ต้องทำให้ต่อเนื่อง พอมาเขียนแยกแยะมันดูเหมือนเยอะนะ แต่จริง ๆ แล้วในสภาวธรรมที่เป็นอยู่ในปัจจุบันทุกอย่างมันถูกกวนเป็นเนื้อเดียวกันอยู่ แต่ที่เรามาปฏิบัติธรรมก็เพื่อแยกทุกอย่างออกจากกัน เพื่อให้แต่ละองค์หรือแต่ละตัวเขาทำงานของเขาได้อย่างเต็มที่และเต็มกำลังความสามารถของเขา และตัวที่จะไปแยกแต่ละสิ่งออกจากกันก็คือ สติ

    วันๆ ว่างๆไม่ค่อยได้เคลื่<WBR>อนไหวอะไรครับเพราะอยู่แต่หน้<WBR>าคอม (จิตก็เกาะพระนะครับ) ก็เปิดธรรมมะไปด้วย
    ทำไปเรื่อย ๆ สบาย ๆ ค่ะ อย่าไปเคร่งเครียด แต่ที่พี่เพ็ญเน้นก็คือความเพียรทำให้สม่ำเสมอ หมายความว่า ถ้าคุณให้เวลากับทางโลกเท่าไร คุณก็ต้องให้เวลากับทางธรรมเท่ากัน ไม่ใช่เอาเรื่องทางธรรมไปไว้ข้างหลังแล้วเอาเรื่องทางโลกมานำหน้า ถ้าเป็นอย่างนั้นแสดงให้เห็นว่าคุณยังไม่มีใจใฝ่พระนิพพานอย่างแท้จริง

    จริงอยู่ว่าพวกเราปฏิบัติอยู่ในสายของฆราวาส มีการงานทางโลกมากมายก่ายกองและเร่งรีบบีบรัดอยู่ตลอดเวลา แต่ถ้าเราปล่อยจิตปล่อยใจให้คล้อยตามไปกับกระแสโลก คือ รัก โลก โกรธ หลง(รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ธรรมารมณ์) จิตของเราก็จะต้องตกอยู่ใต้อำนาจของฝ่ายมืดต่อไป

    ที่เรามาปฏิบัติธรรมกันนี้เรามาปฏิบัติเพื่อยกจิตดึงจิตของเราให้ออกมาจากการถูกครอบงำของฝ่ายมืดซึ่งมีกิเลสตัวใหญ่ ๆ เป็นเครื่องมือคือ รัก โลภ โกรธ หลง โดยใช้ภาระหน้าที่การงาน และภาระของครอบครัวเป็นเครื่องยึดโยงและดึงเวลาของจิตไปทั้งหมด เราจึงถูกฝ่ายมืดครอบงำดวงจิตให้อยู่ในอำนาจของกระแสโลกตามแต่เขาจะบงการโดยไม่รู้ตัว

    แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านรู้ตัว ท่านจึงมาแนะนำเวไนยสัตว์ทั้งหลายให้รู้ตัวเช่นเดียวกับพระองค์ท่าน ว่าถ้าหากชาวโลกยังยอมเป็นทาสความ รัก โลภ โกรธ หลง เป็นทาสวัตถุ และเป็นทาสเวลากันอยู่อย่างนี้ ไม่มีทางที่จะมีผู้ใดสามารถเอาจิตอยู่เหนือความทุกข์ได้ พระองค์จึงได้มาโปรดให้พวกเวไนยสัตว์ได้เรียนรู้ความจริงทั้งหมด

    และการที่จะนำดวงจิตออกมาจากฝ่ายมืดนั้น เราจึงต้องนำจิตมาเรียนรู้ธรรมะ ปฏิบัติธรรมะ และเข้าใจในธรรมะ สรุปรวมความโดยย่อ ธรรมะก็คือธรรมดาที่มีอยู่ดาษดื่นในโลกนี้ ทุกอย่างในโลกนี้ธรรมดาเป็นอย่างนั้นเอง ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่มีตัวตน เกิด-ดับอยู่ตลอดเวลา แม้แตความคิดของคนก็วนเวียนอยู่แค่เกิด-ดับเท่านั้นเอง แล้วเรา(จิต)จะไปยึดถืออะไรกับโลกหรือความคิดกันเล่า

    เมื่อวานก่อนลืมเล่าครับ คือว่า อยู่ดีดี ก็ ปวดหู กับ ปวดตรงหว่างคิ้วมากๆ ไม่รู้ เคร่งเครียดดมากไปหรือเปล่า แต่อาการ หูมีเสียง วิ้งๆ ยิ่งตอนนอนหรืออยู่เงียบๆ จะได้ยินชัดมาก อาการนี่เป็นมาตั้งนานแล้วครับ ไม่รู้ว่าเมื่อก่อน ชอบคุยโทรศัพท์ นานๆ อาจจะเป็นเพราะเหตุนั้นหรือเปล่<WBR>าไม่รู้
    เป็นอาการที่จิตทรงฌานสูง จิตละเอียดขึ้นมากจึงได้รับสัมผัสคลื่นพลังงานความถี่สูง ขอใช้ภาษาวิทยาศาสตร์หน่อยนะเพื่อความเข้าใจง่าย

    ผู้ที่จิตทรงฌานสูงอย่างต่อเนื่อง ไม่ติด ๆ หลุด ๆ จะได้รับคลื่นเสียงความถี่สูงนี้กันทุกคน ยกเว้นคนที่ได้ฌานสูงแล้วกลับไม่สนใจนำจิตเดินทางให้ต่อเนื่องก็จะไม่ได้สัมผัสกับพลังงานความถี่สูงตัวนี้

    ภาษาธรรมท่านว่า "ทิพยญาณ" กำลังจะเกิด มีประโยชน์คือช่วยทำให้เกิด ญาณ อันจะนำไปสู่วิปัสสนาญาณและปัญญาญาณได้เร็วขึ้นและมีประสิทธิภาพสูง

    "ทิพยญาณ" นี้ต้องเลี้ยงไว้เพื่อใช้ในการค้นหาอวิชชาที่นอนเนื่องอยู่ในจิต อันเป็นกิเลสที่ละเอียดมาก เพราะมันสะสมมาข้ามภพข้ามชาติ ไม่สามารถใช้ปัญญาในขันธ์ห้าชำระออกไปได้ ต้องอาศัยปัญญาญาณเท่านั้นจึงจะสามารถขุดคุ้ยเข้าไปถึงได้

    การเลี้ยง ญาณ ก็คือต้องมีจิตจดจ่ออยู่กับสมาธิ มีสติคอยเสริมให้จิตมีกำลังแรงกล้าอยู่ในสมาธิ เพราะถ้าสติไม่เข้มแข็งสมาธิก็จะอ่อนตามไปด้วย เนื่องจากว่าจิตไม่ยอมจดจ่ออยู่ภายใน แต่กลับไหลออกไปข้างนอกตามความเคยชิน

    ส่วนใหญ่นะเหตุที่เลี้ยง ญาณ กันไม่ได้ เพราะสติไปให้ความสำคัญกับขันธ์ห้าเป็นใหญ่ มิได้นำสติไปให้ความสำคัญกับจิตเป็นใหญ่ ดังนั้น แม้ว่าท่านจะทรงฐานะอริยบุคคลสูงเพียงใด หากยังปล่อยให้การงานทางโลกมาอยู่เหนือความสำคัญในจิตท่าน ท่านก็ไม่มีวันจะเลี้ยง ญาณ ให้มีประสิทธิภาพได้ ทำได้อย่างมาก็แค่ ญาณ รู้เรื่องทางโลกเล็ก ๆ น้อย ๆ แล้วก็ไปหลงกับมันว่าเป็นคุณวิเศษ เนื่องว่า "หลง" ไปคิดว่ารู้มากกว่าคนอื่น

    เพราะฉะนั้นท่องให้ขึ้นใจเลยว่า "ฉันไม่ใช่ผู้วิเศษ เพราะเรายังต้องตายอยู่ ยังไงเราก็ต้องตายแน่ ๆ เพราะขันธ์ห้านี้มันไม่เที่ยง เป็นทุกข์ทนยาก ไม่มีตัวตน ในเมื่อเรายังต้องตาย แล้วเราจะเป็นผู้วิเศษไปได้อย่างไร แต่ตราบใดที่เรายังไม่ตาย เราจะปฏิบัติต่อไปเพื่อให้ถึงพระนิพพานเป็นที่สุดในชาตินี้ เราขอไม่กลับมาเกิดอีกอย่างเด็ดขาด!"


    เมื่อเช้า ภาพพระไม่ขึ้นเลยครับ จากปรกติ ตื่นปุ๊ป
    เป็นอย่างนั้นเอง จิตทรงฌานสูงจิตจะทิ้งภาพพระ อย่าไปกังวลกับสิ่งที่ไม่เที่ยง แค่ให้รู้ว่าจิตเรายังเกาะพระอยู่เป็นใช้ได้

    เชคว่าจิตเกาะพระอยู่ สติเกาะกายอยู่ เหมือนจิตมันวิ่งมาเกาะสติ พยายามให้มันไปจับภาพพระ สักพักมันก็ มาหาสติอีก เหมือนเขาจะเข้ามารวม กับสติ น่ะครับ ไม่รู้เรียกอย่างนี้หรือเปล่า งงๆ ครับ
    นี่แลสิ่งที่ผู้ปฏิบัติธรรมทั้งหลายต้องการ สติวิ่งไปรวมกับจิต มันรวมกันเมื่อไรมันจะเกิดปฏิกิริยาเป็นพลังงานตัวใหม่ ภาษาฝรั่งเขาว่าไงนะ สป๊าก เขียนถูกป่าว โอ๊ย ๆ ตื่นเต้น นาน ๆ จะมีคนบอกเล่าอาการอย่างนี้สักที น้องเอิ้นเก็บรายละเอียดได้ดีมาก ตรงประเด็นการปฏิบัติเผง ๆ เลย

    นี่แลคือสิ่งที่พี่ภูย้ำนักย้ำหนา สติต้องเข้าไปรวมกับจิต เมื่อมันรวมกันมันจะเกิดเป็นพลังงานตัวใหม่ คือ ญาณหยั่งรู้ แต่ต้องใช้ให้เป็นนะ ถ้าใช้ไม่เป็นมีหวังหลงตัวหลงตนกลายเป็นผู้วิเศษไปอีก แต่ไม่เป็นไรพี่ถือไม้หน้าสามขนาบอยู่แล้ว หลงเมื่อไรพี่จะเคาะตาตุ่มให้รู้สึกตัว ฮ่าๆๆ

    ทำต่อไปนะ เลี้ยงฌาณ เลี้ยงญาณไว้โดยการนึกถึงพระบ่อย ๆ เหมือนที่เคยปฏิบัติผ่านมาแม้ว่าจิตจะมองไม่เห็นภาพพระแล้วก็ตาม พลีสๆๆ

    ก็เลย ปล่อยเลย แล้วก็ กำหนดจิต ไปกราบสมเด็จองค์ปฐมฯ ก้ไปทั้งยังนั้นแหละครับ
    ปฏิบัติถูกต้องคร้าบ พวกพี่ก็ทำกันอย่างนี้แหละ แต่ของแบบนี้ถ้าท่านไม่เห็นเหมือนเรา อธิบายไปมันก็ไม่เข้าใจหรอก

    จิตเกาะพระเป็นพุทธานุสสติกรรมฐาน โดยอาศัยภาพระเป็นสื่อนำจิตเข้าไปสู่สมาธิอย่างต่อเนื่อง การปฏิบัติแบบนี้สามารถทำให้จิตสามารถทรงฌานได้ทั้งวันทั้งคืน เริ่มตั้งแต่ปฐมฌาน(ฌาน1) ทุตติยฌาน(ฌาน 2) ตติยฌาน(ฌาน3) จตุตถฌาน(ฌาน4)

    การที่จิตจะสามารถรวมกับสติให้เป็นหนึ่งได้ ผู้ปฏิบัติจะต้องทรงฌานสี่อย่างหยาบ(ปกติหรือสามัญ)ในเบื้องต้น และจะต้องทรงอยู่ในฌานสี่ให้ได้ทั้งวันทั้งคืนอย่างต่อเนื่องไปจนกว่าจะเกิดวิปัสสนาญาและปัญญาญาณเป็นที่สุด

    การปฏิบัติในกรรมฐานกองอื่นก็สามารถทำได้แต่ต้องใช้เวลานานเป็นปีหรือหลายปีกว่าท่านจะสามารถทรงฌานสี่ให้ได้ต่อเนื่องอย่างที่กล่าวมา และจะต้องทำกันแบบแลกเป็นแลกตายเลยทีเดียว กายกับจิตจะต้องไม่เอาการงานทางโลกเลย จะต้องเก็บตัวอยู่แต่การนั่งกรรมฐาน เดินจงกรม ยืนสมาธิ นอนสมาธิ อยู่ในสี่อิริยาบถนี้เท่านั้น และต้องทำให้ได้ต่อเนื่องตลอดเวลา หลุดไม่ได้ หลุดเป็นเสื่อม

    แต่จิตเกาะไวที่สุด ท่านสามารถทรงฌานสี่ได้แม้ว่ากายจะยังทำงานอยู่ทางโลก เพราะเราฝึกสมาธิอยู่กับปัจจุบันเป็นหลัก กายทำงานทางโลกแต่ก็ต้องมีสติคอยนึกถึงพระและทำงานทางโลกไปด้วย เห็นไหมว่าเราฝึกสติกันตลอเวลาไม่มีหลุดเลย โดยที่การงานทางโลกก็ไม่เสีย การงานทางธรรมก็ไม่เสีย มีแต่ได้กับได้

    แต่สำหรับท่านที่ได้ขึ้นมาแล้ว สมาธิไม่ตั้งมั่น จิตไม่เป็นหนึ่ง สติตามไม่ทัน ปล่อยให้สติกับจิตไหลไปตามการงานทางโลกอันเป็นการงานของขันธ์ห้า ท่านจะถอยฌานลงไปเรื่อย ๆ จนจิตใจเกิดสับสบวุ่นวายอยู่ในกระแสทุกข์กระแสธรรมจนจิตส่ายไปมา ตั้งจิตไม่ตรงดำรงจิตไม่มั่น จึงทำให้จิตท่านตกลงสู่ห้วงของความทุกข์อีกครั้ง นี่แหละหนาท่านว่า "ความประมาทเป็นหนทางนำไปสู่ความตาย" แถมตายกลับไปอยู่ที่เก่าคือโลกแห่งความทุกข์

    ใครเดินมรรคมาถึงอนาคามีแล้ว จงอย่าได้ประมาทกันเชียว อนาคามีองค์ใดตายโดยที่จิตไม่ทรงฌานอย่างดีก็ตกลงไปเป็นเทวดา อย่างกลางก็ไปเกิดเป็นคน อย่างเลวก็โน่นเลยลงนรก เนื่องด้วยว่าบรรดาเจ้าหนี้มาฉุดถึงดวงจิตลงไป เพราะจิตท่านหล่นลงไปอยู่ในระนาบเดียวกับพวกเขา ก็หวานหมูเลยจิ

    เมื่อเช้ามี กิเลสเกิดขึ้น 1 ตัว ก็ ดูไปจนมันเกิด ดับ เสร็จแล้วก็ พิจารณา อสุภะ เป็น ภาพศพมีหนอนขึ้น (ไม่รู้วางอารมณ์ผิดหรือเปล่<WBR>าครับ)
    ไม่ผิดค่ะ ทำดีแล้ว ทำต่อไปค่ะ

    เรื่องกระทบระหว่างวันไม่ค่อยมี<WBR>ครับ เพราะไม่ได้เจอใครเลย วันๆ อยู่หน้าคอม ทำงาน จับภาพพระ ทำงานเสร็จ นอน
    เรื่องกระทบ ส่วนใหญ่ จะเป็น เรื่องเก่าๆ มันขึ้นมาก็ ดู รู้ วาง จับภาพพระ
    ไม่รู้ว่าตอนนี้ วางอารมณ์ ถูกไหมครับ ทำยังไงต่อไปดีครับ
    วางอารมณ์ถูกค่ะ ทำต่อไปค่ะ รักษากำลังใจไว้อย่าให้ตกด้วยการนึกถึงพระบ่อย ๆ แม้ว่าจิตจะมองไม่เห็นภาพพระแล้วก็ตาม

    แต่ให้คอยสังเกตอารมณ์ใจตนเองนะว่า เมื่อเจอกระทบแล้วจิตมันหลบเข้าไปอยู่กับความเฉยไหม ถ้ามันหลบเข้าไปอย่างนั้น ให้เอาสติปัญญาตะล่อมจิตออกมาชนกับกิเลส ก็แค่กำหนดรู้ว่าเรา(จิต)จะไม่ติดเฉย เราจะชนๆๆๆ แล้วก็ชนให้มันรู้ดำรู้แดงกันไปเลยว่าใครจะแน่กว่ากันระหว่างจิตกับกิเลส เอาปัญญาไปสอนจิตว่าถ้าติดเฉยเรา(จิต)จะไม่ถึงนิพพานนะ เพราะฉะนั้นเรา(จิต)จะไม่ติดเฉยอีกต่อไป แม้ว่าต้องเจอกับสภาวะที่ไม่พึงประสงค์เราก็จะชนและวางใจเป็นกลางเห็นทุกอย่างเป็นธรรมดาตามกฎไตรลักษณ์ให้ได้ เราจะปฏิบัติต่อไปเพื่อพระนิพพานเป็นที่สุดในชาตินี้แล

    ขอบคุณพี่เพ็ญ พี่หนู ที่แนะนำครับ จะพยายามทำต่อไปเรื่อยๆ ครับ รักษาสุขภาพด้วยครับ
    น้องเอิ้น
    พี่ก็ขออุทิศบุญกุศลทั้งหมดทั้งมวลที่พี่มีอยู่ช่วยผลักดันดวงจิตของน้องเอิ้นให้ทยานขึ้นสู่พระนิพพานโดยเร็วพลันในชาตินี้เทอญ ขอให้ท่านเจริญด้วยอายุ วรรณะ สุขะ พละ เกิดความคล่องตัวทั้งทางโลกและทางธรรม คำว่าไม่มีและไม่ได้จงอย่าได้เกิดกับท่านและครอบครัวเทอญ

    พี่เพ็ญ จบ.3

    ปล. ครือว่าสิ่งที่พี่อยากจะเขียนบนกระทู้พี่ได้นำมาตอบ่ในเมลของนองเอิ้นแล้ว พี่จึงขอนำเมลนี้ขึ้นบนกระทู้เป็นธรรมทานอีกตามฟอร์มค่ะ ^^
     
  12. มะลิดำ

    มะลิดำ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 เมษายน 2012
    โพสต์:
    147
    ค่าพลัง:
    +588
    28 กค.55 ลูกชายบวชที่วัดบ้านนอก สายลูกศิษย์หลวงปู่มั่น จะอยู่พรรษา 3 เดือน ฉันอาหารมื้อเดียว เรียนเชิญจิตบุญทุกท่านร่วมอนุโมทนาบุญนี้ด้วยกันค่ะ
    และขออุทิศส่วนกุศลผลบุญที่ได้จากการบวชลูกชายครั้งนี้ถวายแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ขอพระองค์ทรงพระเจริญ มีพระชนมายุยิ่งยืนนาน มีพระสุขภาพพลานามัยแข็งแรงสมบูรณ์
     
  13. อุษาวดี

    อุษาวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2012
    โพสต์:
    531
    ค่าพลัง:
    +12,151
    กดส่ง mail ไปแล้ว มาเห็น พี่เพ็ญให้ส่งการบัานในกระดาน เลยมาส่งใหม่ในกระดานค่ะ ยินดีรับคำแนะนำจากทุกท่านค่ะ

    เมื่อวานได้อ่านที่พี่เพ็ญเขียนใน web สำหรับพวกเนิ่นช้า ก็รู้สึกผิด พอดีมีเหตุให้ต้องออกไปข้างนอก และกลับมาดึกเลยไม่ได้ส่ง mail แต่ได้ส่งจิตไปขอขมาท่านพ่อตอนไปถวายดอกบัวแก้ว รวมถึงพี่ภู พี่เพ็ญ คุณนก (ชาย)ไปแล้ว และจะตั้งใจเดินมรรคต่อไปให้ถึงจุดหมายปลายทางค่ะ

    ช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาก็ได้ไป
    1.นึกถึงพระให้บ่อยขึ้น แต่เป็นการจับภาพพระจากข้างนอก บางทีก็เห็น บางทีก็ไม่เห็น ไม่ได้นึกจากภาพพระ ที่อยู่ในจิต วันนี้มาอ่านในกระทู้ พี่เพ็ญ บอกให้จับภาพพระ ที่อยู่ในจิต ก็ลองทำดู ก็ทำได้ง่ายกว่าการจับภาพพระจากข้างนอก

    2.พิจารณาหาสาเหตุความเนิ่นช้าของตัวเอง คือ ไม่ได้เดินทางสายกลาง ก็พบว่าพอรู้สึกทุกข์น้อยลง ความเพียรเลยน้อยไปด้วย และพอจะทำ ก็ตึงไป ทำด้วยความอยาก เลยไม่ได้เรื่องทั้งคู่ ตอนนี้ปรับได้แล้ว ฟังเทศน์หลวงปู่ต้นบุญ(youtube) ท่านพูดถึง จับนก จับแรงไปนกก็ตาย จับหลวมไป นกก็หลุดมือ เลยนึกภาพออก

    เมื่อคืนเดินจงกรมก็เห็นว่าการยินดีในสภาวะของตัวเองแล้วไม่พยายามเดินมรรคต่อ เป็นการกระทำที่ผิด ถ้ายังมีอวิชชาอยู่ก็เหมือน กอดงูพิษไว้ จิตเลยยอมรับที่จะเดินต่อ

    วันนี้งีบไปตอนบ่าย หลังตื่นมารู้สึกจิตเริ่มเดินวิปัสสนา คำว่า เกสา โลมา นขา ตโจ ทันตา ผุดขึ้นมา ( เมื่อเช้าไปงานบวชเห็นพระอุปัชฌาย์ให้กรรมฐานพระใหม่)ก็ลองพิจารณากลับไปกลับมาดู ก็เห็นว่ายังติด หนังของตัวเองอยู่ เพิ่งรู้ว่ายึดติดในหนังของตัวเองมาก ก็ลองคิดถึงถ้าตายเห็นหนอนชอนไชตามตัว ยังจะรักหนังอีกไหม คิดถึงภาพที่เคยเห็นหน้าตัวเองเป็นศพ เห็นหนังดำๆเนื้อแห้งๆก็ไม่ค่อยลงเท่าไร พอมาพิจารณาเป็นอนัตตาตอนตายเห็นหนังกลายเป็นผงธุลี ค่อยๆปลิวไป สุดท้ายก็ไม่เหลืออะไรเลย จิตก็ยอมรับได้มากขึ้น สักพักเอาหมอนที่เพิ่งซื้อมาไปตาก ข้างนอกสวยมาก แต่เห็นมีซิบอยู่ข้างๆก็นึกว่าชิ้นนอกเป็นปลอก ก็เปิดซิบดู ที่ไหนได้ข้างในเป็นเส้นใยสังเคราะห์ซึ่งไม่สวยเลยเมื่อเทียบกับปลอก จิตก็เทียบว่าปลอกก็เหมือนหนัง เส้นใยสังเคราะห์ก็เหมือนลำไส้ อวัยวะภายใน ซึ่งไม่น่าดูเลย ก็รุ้สึกวางลงได้ เมื่อยอมรับความจริงนี้ รู้สึกรักพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ขึ้นมา

    รู้สึกวันนี้จิตผ่องใสกว่าทุกวัน แต่พอนึก ก็รุ้สึกว่ามันไม่เที่ยง

    เห็นเกิดดับของความคิดเป็นช่วงๆ จนรู้สึกว่ามันไม่เที่ยง ไร้สาระคิดโน่นคิดนี่ ใช้ประโยชน์จริงๆได้ไม่กี่อย่าง

    กินลูกชิ้น พอเคี้ยวลงไปเห็นความพอใจเกิดและดับลงเมี่อฟันกระทบกัน เห็นเกิดดับไปเรื่อยๆตามจังหวะการเคี้ยว จนลูกชิ้นละเอียด ก็คิดต่อว่าถ้าได้ไปแถวนั้นอีก จะไปซื้อมาอีก แต่พอคิดอย่างนี้ ก็เห็นว่าครั้งหน้าอาจไม่เป็นอย่างนี้อีกก็ได้

    วันนี้อากาศอ้าวมาก ไปอาบน้ำ เจอน้ำอุ่นรีบปิดสวิทช์ พอเจอน้ำเย็นรู้สึกสบายขึ้นก็เห็นเกิดดับของเวทนาทุกข์ดับไปสุขก็เกิดขึ้น สุขดับไปก็เฉยๆ เห็นว่ามันไม่เที่ยงเปลี่ยนเร็วมาก คิดว่ามีธรรมารมณ์เข้ามาเกี่ยวด้วย แต่ไม่ค่อยเข้าใจธรรมารมณ์ ช่วยยกตัวอย่างหน่อยได้ไหมค่ะ

    สติบางทีก็เกิดช้าบางทีก็เกิดเร็ว เห็นเจ้าหน้าที่ที่คณะเอาน้ำมาล้างรถส่วนตัว จิตก็คิดเลยว่าเอาน้ำคณะมาล้างรถ พอคิดเสร็จก็นึกได้ว่าเป็นอกุศลจิต ไม่ควรไปจับผิดเพ่งโทษคนอื่น อีกไม่ถึง 5 นาที ก็เห็นอีกเรื่องกำลังจะคิด รู้สึกเหมือนเป็นเงาๆความคิด สติก็มาห้ามไว้ทันว่าเป็นอกุศลจิต ก็เลยไม่คิด

    พรุ่งนี้จะเป็นวันที่ยุ่งอีกวันหนึ่ง จะดูว่าจะแยกกาย จิตได้ไหม มีเทคนิคอะไรไหมค่ะ

    เท่าที่สังเกตุดูส่วนใหญ่จะเห็นเป็นไม่เที่ยง ไม่ค่อยเห็นเป็นอนัตตา ควรพิจารณาเป็นอนัตตาด้วยไหมค่ะ หรือดูให้เห็นตัวใดตัวหนึ่งก็ได้

    ขอบคุณค่ะ
     
  14. natthapatpun

    natthapatpun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,124
    ค่าพลัง:
    +25,214
    สวัดีค่ะคุณหมอ
    การบ้านทางเมลก็ให้ส่งตามปกติค่ะ แต่บนกระทู้ขอเป็นกรณีพิเศษ เพราะพี่เพ็ญจะสอนแบบเกาะหมู่เฉพาะกลุ่มอนาคามีพรหม เพราะคำตอบของท่านหนึ่งอาจจะไปช่วยเติมเต็มให้กับอีกท่านหนึ่ง

    โมทนา สาธุกับจิตที่เห็นชอบที่จะเดินมรรคต่อไปค่ะ สิ่งใดที่เคยล่วงเกินท่านทั้งหลายไปแล้วพี่เพ็ญขออโหสิกรรม แต่ที่ทำไปก็เพราะเป็นหน้าที่ของครูอันจะเพิกเฉยต่อความไม่ก้าวหน้าของศิษย์ไม่ได้ จะทิ้งก็ไม่ได้ เพราะท่านเดินมรรคมาสูงแล้ว ถ้าพ้นจากที่นี่ไปก็ไม่มีใครเอาจิตท่านอยู่แล้ว เพราะท่านจิตแก่กันเต็มทีแล้ว

    ใครอ่านแล้วไม่พอใจให้วางไว้แค่ตรงนี้ เรื่องสมควรหรือไม่สมควรอวดอะไรต่อมิอะไรเอาไปอยู่ในที่ของความสมควร มิใช่เอามายุ่งเกี่ยวกับการเรียนการสอนธรรมะขั้นสูง

    มากล่าวถึงกฎไตรลักษณ์ที่คุณหมอกล่าวถึงว่ามันเดินไปแค่คำว่า "ไม่เที่ยง" แล้วไม่ยอมเดินต่อไปให้ถึง "ไม่มีตัวตน" อันนี้พี่เพ็ญก็เคยเป็นมาก่อน ก็เพราะจิตเคยชินกับการตัดลงกฎไตรลักษณ์เพียงตัวเดียวคือ "ไม่เที่ยง" แต่มันตัดไม่ขาดสักที

    วิธีแก้ก็ให้เปลี่ยนเมื่อพิจารณาสิ่งที่มากระทบแล้วให้เปลี่ยนเป็นคำว่า "ไม่มีตัวตน" แล้วใช้ปัญญามองหาตัวตนของมันด้วยว่าเป็นจริงอย่างที่เรากำหนดตัดลงไปไหม ถ้ามองหาแล้วไม่เจอตัวตนนั่นแลท่านจึงเข้าถึงความไม่มีตัวตนของอารมณ์และความคิดแล้ว

    คุณหมอมองดูการงานและรอบกายของคุณหมอให้ดีนะ สิ่งที่มันเกิดเป็นความวุ่นวายอยู่นั้นมันเกิดอยู่นอกกายคุณหมอหรือเกิดอยู่ในใจของคุณหมอกันแน่ สิ่งที่เกิดอยู่ข้างนอกมันคือธรรมดาของโลกใช่ไหม สิ่งที่เกิดอยู่ในใจที่คิดว่ามันเป็นความวุ่นวายสับสนอลหม่านนั้น เป็นเพราะจิตเราไปเกาะอยู่กับความวุ่นวายของโลกใช่หรือไม่

    งั้นเราเปลี่ยนวิธีใหม่ การงานอันเป็นความวุ่ยวายของโลกก็ให้วางมันไว้ที่ในโลกนี้ ส่วนจิตให้นำไปเกาะพระ ให้ส่งจิตเข้าในไปนึกถึงพระ ถ้าภาพพระหายไปหรือนึกไม่ออกให้นึกถึงท่านในจิต เมื่อจิตสบายแล้วให้แล้วเปลี่ยนไปดูลมหายใจแทน หรือจะดูอาการเต้นพองยุบที่ท้องก็ได้

    ถ้ามีเรื่องงานมาให้คิดก็ให้สมองที่ขันธ์ห้ามันเป็นตัวคิด ไม่ใช่เอาจิตไปคิดแทนขันธ์ห้า จิตให้แยกไปอยู่กับพระ กำหนดจิตขึ้นไปหาท่านพ่อแล้วฝากจิตไว้บนโน้นบนนิพพานเลย ไม่ต้องเอาจิตลงมาแล้ว สิ่งที่อยู่กับกายก็คือสติ ซึ่งเป็นตัวคอยควบคุมกายและตามดูจิต หรือที่เรียกว่าตัวรู้นอกรู้ในก็คือสติ

    เทคนิคการแยกกายแยกจิตก็มีเท่านี้เอง เอากายไปทำงานทางโลก เอาจิตไปเกาะพระ ฝากจิตไว้กับพระ ให้พระช่วยดูแลตลอดเวลา ในระหว่างวันที่งานยุ่งนี่แหละสติเราก็ให้แว้บไปแอบดูจิตบ่อย ๆ ว่ายังเกาะอยู่กับพระหรือเปล่า ถ้าเห็นว่ายังนึกถึงพระในจิตได้ก็หมายความว่าจิตเรายังเกาะพระอยู่ แต่ให้มีสติแว้บไปดูจิตเกาะพระบ่อย ๆ นะ

    ข้อแนะนำอีกอย่าง ให้คุณหมอนั่งกรรมฐานทำสมาธิให้ได้ทุกวันแม้ว่าวันนั้นจะเหนื่อยจากการงานเพียงใดก็ให้ทำสักหน่อยหนึ่งเป็นการสั่งสมบารมีภายใน เพราะรู้สึกว่าคุณหมอจะอ่อนเรื่องสมาธิอยู่นะ ทำอย่างต่อเนื่องและสม่ำเสมอ นั่งไม่พอตอนนอนก็นอนทำกรรมฐานจิตเกาะพระไปด้วย ก่อนหลับให้กำหนดจิตด้วยว่าสติให้เกาะอยู่กับจิตตลอดเวลา ส่วนการเดินนั้นคุณหมอเดินจงกรมอยู่แล้ว แต่ขอให้ปรับนำไปใช้ตอนเดินทำงานด้วยจะดีมาก ขณะเดินให้มีสติอยู่ที่ฝ่าเท้ากระทบพื้นทุกย่างก้าว

    สรุปว่าคุณหมอขาดความต่อเนื่องทางสมาธิ ส่วนสตินั้นดีแล้ว แต่สติจะดีอย่างเดียวไม่ได้ สมาธิก็ต้องดีให้สมส่วนกันด้วย ไม่อย่างนั้นวิปัสสนาญาณจะไม่เกิด เกิดแต่วิปัสสนาธรรมภายนอกทั่วไป แต่ไม่สามารถเกิดวิปัสสนาญาณและปัญญาญาณขั้นสูงสุดได้

    อย่างที่พี่ภูยกคำสอนของพ่อแม่ครูอาจารย์มาสอน สติเป็นส่วนเสริมให้สมาธิดี สมาธิดีก็เป็นส่วนเสริมให้สติดี ทั้งสองสิ่งเกื้อกูลซึ่งกันและกันอยู่นั่นเอง

    ขอให้เจริญสุขและเจริญในธรรมยิ่ง ๆ ขึ้นไปจนถึงซึ่งนิพพานโดยเร็วพลันในชาติปัจจุบันนี้เทอญ

    พี่เพ็ญ จบ.3
     
  15. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    สวัสดีครับคุณหมอ
    ถือโอกาสคุยกันตรงนี้เลยเน๊อะ
    ก่อนอื่นต้องขอโมทนาสาธุกับคุณหมอด้วย
    ที่ยอมให้เป็นธรรมาทาน และนับว่ามีประโยชน์แก่พวกที่กำลังฝึกไปด้วย
    เพราะคนอื่นจะได้ทราบว่า พวกครูต่างๆเขาสอนจิตเกาะพระกันอย่างไร
    เรื่องจิตเป็นเรื่องละเอียดอ่อนมากจริงๆ แต่ถ้าใครสนใจจิตตนเองเป็นพิเศษ
    จะไม่มีคำว่า ผิดหวัง เพราะครูที่นี่สอนจริงๆ สอนจังๆ สอนแบบจิตต่อจิต ฟันต่อฟัน
    เน้นแก่น ไม่เน้นเปลือก ให้เดินตามรอยมรรค โดยไม่แวะข้างทาง เด็ดขาด
    แต่ถ้าจิตใครแวะจะโดนครูหวดแบบนี้ทุกรายไป
    เพราะเรื่องการเดินของจิตนั้นมันสลับซับซ้อนซ่อนเงื่อน
    คุณไปเรียนที่ไหนผมไม่ทราบ แต่ที่นี่เอาอยู่แน่นอน
    เพราะครูแต่ท่านผ่านการเดินจิตกันมาทุกคน เดินจริงๆ
    ไม่ใช่จะยกกันได้ง่ายตามที่ทุกคนคิด
    จิตยกจริง หมายถึงจิตจะต้องอยู่เหนือขันธ์ของตนก่อนให้ได้
    เพราะความทุกข์ทั้งหลาย ทั้งปวงนั้น ก็คือร่างกายของพวกเรานี่แล
    และท่านอื่นจงดูจิตตนเองให้ดี ก็แค่มีสติเพียงเดียว เท่านั้น
    พวกเราไปทำที่ครูไม่ได้บอก ไม่ได้สั่งให้ทำ ก็อย่าทำ อย่าดื้อ อย่าออกนอกลู่เส้นทาง
    อย่าติดสงสัย เพราะจิตคุณเท่านั้นที่จะทำหน้าที่ละปล่อยวางกับสิ่งสมมุติของตนเอง
    มิใช่ครูหรือคนอื่น หรือสติคุณให้ไปวาง หรือละปล่อยวาง
    แต่จิตของผู้ปฎิบัติเท่านั้นที่จะเป็นตัวที่พ้นทุกข์ ไม่ยึดกายหยาบ
    ตามที่พวกเราหลงกันมาเกิดแบบนี้กัน
    แยกให้ออก ระหว่างกายกับจิต
    กายอยู่ไหน กายนี้ใครคือเจ้าของที่แท้จริง
    (คำตอบ ก็คือ กายเป็นสมบัติของทางโลก)
    แต่ถ้ากายดับสูญสิ้นไปแล้ว จิตเท่านั้นที่มิได้ตายตามกายไปด้วย ตัวจิตนี้แหล่ะสำคัญ
    ที่จะทำหน้าที่บันทึกเรื่องราว หรือสิ่งต่างๆครั้งที่เรายังมีชีวิต ติดตามไปยังภพชาติต่างๆ
    แต่ถ้าจิตที่ฝึกมาดี เช่นจิตอรหันต์นั้น จิตมีจุติ หรือมีที่หมายปลายทางอันเดียว ก็คือ
    พระนิพพาน
    ผู้เขียนคิดว่า จิตฆราวาสจะได้เปรียบกว่า จิตนักบวชอาชีพ
    เพราะจิตฆราวาสนี้จะถูกกระทบมากกว่าจิตนักบวชอาชีพ หรือฝ่ายสงฆ์
    เพราะผู้ที่ปฎิบัติธรรมนั้น จะต้องดูที่สติกับจิตเป็นหลักก่อนในเบื้องต้น
    ก่อนที่จะเดินอนาคามีมรรค คือผู้ที่จะไปละสังโยชน์ในเบื้องสูงกันต่อไป
    จิตอนาคามีขอให้ท่านค่อยๆละไปทีละข้อ แต่ไม่จำเป็นจะต้องละข้อ6ก่อนแล้วไปละข้อ7
    คือบางท่านสามารถละข้อที่9ได้ก่อน ข้อที่8 ก็ได้
    แต่ที่ผมเคยเห็นมานั้น จะละตัวมานะยากที่สุด เพราะเป็นกิเลสขั้นละเอียดสุด
    สำหรับจิตถึงอนาคามีท่านก็คงจะรู้ตัวดี
    เมื่อละตัวที่8 คือมานะนี้ได้แล้ว ตัวอื่นๆไม่ยาก อวิชชาก็จะหลุดไปโดยอัตโนมัติ
    บอกไปแล้วนะว่า แต่ละดวงจิตนั้นไม่เหมือนกันเลย
    แต่ไม่เป็นไร ขอให้นึกถึงผู้ที่จะไปกทม.
    บางท่านอยู่เชียงราย บางท่านอยู่อุบล บางท่านอยู่ที่ภูเก็ต
    ถามว่าไปกทม.กันได้ไหม? ไปถึงเหมือนกันไหม?
    สามารถไปถึงกันหมด ต่างจังหวัดนั้นหมายถึง จิตทุกท่านนั่นเอง
    กทม. ก็หมายถึง พระนิพพาน นั่นเอง
    แต่ท่านจะเดินทางโดยอะไรนั้น ไม่สำคัญ ถึงจะเดินเร็วหรือช้าไม่สำคัญ
    แต่ขอให้เดินให้ถึงกทม.หรือพระนิพพาน ก่อนหมดลมหายใจก็แล้ว
    แต่ถ้าไม่ทันหมดลมหายใจกันชาตินี้ ก็ไปต่อชาติหน้ากัน
    แต่สำหรับผู้ที่จะไปพระนิพพานกันชาติ เราเองเท่านั้นที่จะต้องเอาจริงๆจังๆ
    เอาแบบเล่นๆไม่ได้
    ใครๆก็ทำได้ อยู่ที่บุญบารมีเก่า+ความเพียรของตนเองเท่านั้น
    และกระทู้นี้ก็เปิดโอกาสให้กับทุกๆท่านแล้ว
    ท่านก็อย่ามัวหายใจทิ้งกันเปล่าๆ
    เพราะกระทู้นี้ก็มีวัตถุประสงค์หลักก็คือ ขนดวงจิตมนุษย์ขึ้นพระนิพพานกันให้มากที่สุด
    มิใช่เปิดกระทู้มาจี๋จ๋ากัน มาขำ ฮ่าๆ 555 เห่อๆ กันไปวันๆนะ
    คุณตายเมื่อไหร่ จบกัน ที่พวกเรากำลังทำเพื่อคนอื่นๆ เพื่อคนที่เรารัก
    ที่แท้ก็ทำให้กับสิ่งสมมุติ หรือทำให้โลกกันทั้งนั้น
    เวลาเราตายไป ไม่เห็นคนที่รักไปกับเราเลยสักคนเดียว
    เราไปที่มืด ไปที่สว่าง หรือไปนรก ไปสวรรค์ ไปนิพพาน
    เรา(จิต)เท่านั้น ไปแต่เพียงผู้เดียว
    พวกเราที่กำลังหายใจกันอยู่นี้ คิดดูกันเองให้ดีๆ
    เวลาเกิดมามีอะไรติดตัวมาบ้าง ตายไปก็เหมือนตอนเกิด คือไม่มีอะไร นอกจากบาปและบุญ

    ท้ายนี้ขอกราบขอบพระคุณครูเพ็ญ กับคุณหมอมากๆ
    และก็อยากให้คุณหมอกับครูเพ็ญ ตอบโจทย์กันทางนี้ ไปจนกว่าจิตจะยกจะได้ไหม๊?
    เพราะว่าจิตจะได้ตั้งใจมาก จิตจะได้ไม่แอบไปแวะข้างทางที่ไหน ผมก็จะช่วยดูแลด้วย
    เพราะจิตอนาคามีนั้น ท่านจะต้องเข้มข้น
    แต่ถ้าครูไม่ช่วยเร่ง จิตก็จะนอนนิ่ง หรือเฉย หรือติดสุขจากฌานอยู่นั้น ไม่ต้องอายนะ
    ถ้าคุณอุษาวดีตายไปในชาตินี้ อาชีพหมอก็จบสิ้น คือทิ้งทั้งไปกับธรรมชาติ
    คือโลกใบนี้เท่านั้น
    ดวงจิตคุณหมอไปแต่บุญ บารมี ท่านคุณหมอกำลังสร้างกันอยู่นี้
    ตราบใดที่คุณหมอยังมีลมหายใจ ก็ให้รีบๆนะครับ
    เอาจิตตนเองให้รอดก่อน
    ส่วนแยกกาย แยกจิตคุณหมอจะต้องรีบทำเดี๋ยวนี้ ไม่มีผลัดวันประกันพรุ่ง
    เพราะจิตท่านเหลืออีกนิดเดียวเท่านั้น ก็จะยกแล้ว
    ที่จิตยกช้า เพราะสติไม่มากพอ หรือมาก แต่ขาดความต่อเนื่อง
    นี่คือหัวใจหลัก
    เมื่อจิตขาดสติ หรือสติน้อยไป จิตก็จะนิ่งยาก จิตก็ไม่เป็นสมาธิ จิตก็ไม่ทรงฌานสูง
    จิตก็ไม่เกิดปัญญาพิจารณาธรรม
    หรือจิตไม่ทำวิปัสสนา จิตไม่มีกำลังสูง นั่นเอง
    ยิ่งผลของการปฎิบัติช้า ก็จะเป็นตัวปั่นทอนกำลังใจของผู้ปฎิบัติเป็นอย่างดี
    เช่น เราจะเกิดความลัง ความสงสัย ว่าเอ๊ะเราจะมาถูกทางไหม๊?
    สำหรับผู้ที่กำลังคิดแบบนี้ขอให้เลิกคิดเดี๋ยวนี้ เพราะนอกจากจิตจะยกช้าแล้ว
    ผู้ปฎิบัติกับครู ก็พลอยเสียเวลาไปด้วย
    แต่ครูเขามิได้โกรธ หรือไปถือสาอะไรกับผู้ที่ยังสอบไม่ผ่านกัน
    เหตุที่ครูเพ็ญออกมาเคี่ยวเข็ญนั้น ก็เพราะหน้าที่ของผู้เป็นครู
    เพราะครูนั้น จิตยกกันไปหมดแล้ว จิตอยู่เหนือขันธ์5 ของตนเองและผู้อื่นอยู่แล้ว
    ไม่ต้องไปห่วงครูเขาหรอก แต่ถ้าเข็ญแล้ว ผู้ปฎิบัติไม่ทำตาม
    ครูทุกท่านก็คงจะเข้าอุเบกขาญาณไปก็เท่านั้นเอง
    จิตท่านไม่มีทั้งทุกข์และสุข ไม่เดือดร้อนใดๆทั้งสิ้น
    จิตจะเข้าสู่ความนิ่ง ความเป็นกลาง ความว่างกันเท่านั้น
    จิตจะนิ่ง จิตจะเฉย แบบผู้มีสติปัญญา
    จิตจะตื่น รู้ และเบิกบานอยู่แบบนั้นมากกว่า

    ผู้ปฎิบัติของให้ปฎิบัติเพื่อความหลุดพ้นกันจริง อย่าได้ไปสร้างอัตตาตัวตนขึ้นมากันใหม่นะ
    เพราะยากที่จะมีครูมาสอน นอกจากปัญญาของตนเอง
    ที่จะสามรถสอนตนเองให้หลุดพ้นได้ ระวังกันให้ดีนะ
    ปฎิบัติธรรม อย่าแวะ อย่าหลง อย่าสงสัย(สงสัยได้ แต่ต้องหลังปฎิบัติ เมื่อตนเองมีปัญหา
    เดี๋ยวครูจะช่วยตามแกไขให้เป็นจุดๆไป)
    การเรียนรู้เรื่องจิตนั้น คนส่วนใหญ่เข้าไปไม่ถึงจิตตนเอง ก็เพราะว่า มิจฉาทิฎฐิ คือ
    มีความเห็นผิด
    ก็คือ การสติไปนำจิต นำสติไปบงการ นำสติไปเรียนรู้แทนจิตของตนเองซะงั้น
    ใครรู้ตัวรีบแก้ไขด่วน ก่อนที่จะไปไกลกว่านี้
    การดูจิตที่ถูกต้องนั้น ก็คือ มีสติตามดู ตามรู้จิต ด้วยใจเป็นกลาง
    (ให้ทำแค่ 3 อย่างเท่านั้น)
    และผลการปฎิบัติของตนเองนั้น ก็สามารถเช็คด้วยตนเองได้ ก็คือ
    จิตใจของเราเปลี่ยนไปทางที่ดีไหม๊ สบายใจขึ้นไปไหม๊ ทุกข์น้อยลงไปไหม๊
    อัันนี้ถูกทางแล้ว ทำต่อไป
    เรียนรู้เรื่องจิต จะต้องนำจิตไปเรียนรู้ธรรมทั้งหลายกันนะ อย่าลืม
    และก่อนพวกเราจะตามหาจิต ดวงจิตเดิมแท้กัน พวกเราจะต้องเริ่มต้น
    ก็คือ การสร้างสติของตนเองก่อน
    สติเกิดมาก+เนื่องเนื่อง= พวกเราก็จะรู้ว่าจิตตนเองอยู่ที่ไหน และกำลังทำอะไรอยู่

    ขอให้คุณหมอวางกำลังให้ถูกนะครับ พยายามหาจุดเหมาะสมที่สุด
    เรื่องจิตเร่งก็ไม่ได้ ปล่อยก็ไม่ได้ แต่ถ้ายังหาไม่เจอก็ให้หันกลับมาเริ่มต้น
    โดยการสร้างสติให้มากและต่ิอเนื่อง
    พยายามให้สติอยู่ได้ทั้งกายและกาย พยายามแยกกาย แยกจิตให้เด็ดขาด
    คือกายก็ปล่อยให้ทำหน้าที่กับทางโลกเขาไป มีแต่เพียงจิตเท่านั้นที่จะอยู่กับพระ
    พยายามมีสติรู้ว่านี่คือกายนะ นี่คือจิตนะ อย่าเอาไปรวมกันเด็ดขาด
    แต่มีสติเท่านั้นที่จะทำหน้าที่แยกระหว่างกายกับจิตตนเอง
    ขอให้คุณหมออดทนอีกนิดเดียว เดี๋ยวถ้าจิตยกแล้ว คุณหมอก็จะเห็นคุณค่าจิตทันที
    เพราะต่อไปถ้ามีอะไรมากกระทบจิต ก็ไม่มีผลอะไรกับจิตอีกต่อไป
    เพราะจิตจะเป็นผู้รู้รู้ รู้แล้วก็วางได้ และหมดสิ้นความสงสัยทั้งหมด
    ถ้าจิตเข้าสู่วิปัสสนาภายในจิตตนเอง อีกไม่นานนักนับจากนี้ไป
    ขอให้พยายามนะครับ จะเป็นกำลังให้คุณหมอนะครับ
    หมั่นพยายามขออาราธนาบารมีท่านพ่อบ่อย ให้ท่านช่วยอีกแรงนึงนะครับ
    แต่ทำได้แค่นี้ก็ถือว่าเก่งมากๆแล้ว รอวาระกรรมคุณหมอเปิดเท่านั้นเอง
    สวัสดี...
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 30 กรกฎาคม 2012
  16. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    46,814
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,043
    กราบท่านภูcatt1และอาจารย์ทุกๆท่านค่ะ รายงานตัว วันนี้ํทําสมาธิเห็นพระใสแค่ครึ่งองค์และแบนๆชอบกล
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 สิงหาคม 2012
  17. ่jarunee

    ่jarunee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2012
    โพสต์:
    118
    ค่าพลัง:
    +1,917
    [​IMG]

    [FONT=&quot]พรหมวิหาร ๔ คือตัวใจเย็น[/FONT]

    [FONT=&quot] สมเด็จองค์ปฐม ทรงพระเมตตาตรัสสอนเรื่องนี้ ไว้ดังนี้

    [/FONT] [FONT=&quot] ๑. อย่าใจเย็น จนกระทั่งการปฏิบัติธรรมแชเชือนมากเกินไปก็แล้วกัน ความใจเย็นจักต้องมีความเหมาะสมในมัชฌิมาปฏิปทา คือ พอดี ๆ ใน สภาวะของธรรมปัจจุบัน เดินสายกลางเข้าไว้ อย่าตึงเกินไป อย่าหย่อนเกินควร จักไม่ได้ผล[/FONT]
    [FONT=&quot]
    [/FONT]

    [FONT=&quot] ๒. บุคคลผู้ปฏิบัติธรรมด้วยความฉลาด จักรู้จักหยิบยกทุกสิ่งทุกอย่างที่กระทบอายตนะสัมผัสเข้ามาเป็นธรรมในปัจจุบัน กระทบมากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งเห็นมรรคเห็นผลมากเท่านั้น เสมือนหนึ่งนักรบผู้ขยันรบ กระทบกับข้าศึกมากเท่าไหร่ ยิ่งแกล้วกล้าองอาจมากขึ้นเท่านั้น รู้ชั้นรู้เชิงในการสัประยุทธ์ชิงชัย การจักเอาชนะกิเลสก็เช่นกัน จักต้องแกล้วกล้า รู้ชั้นรู้เชิงในการต่อสู้ชิงชัย การรบกับข้าศึกผู้ฉลาด จักต้องศึกษาปูมหลัง ลีลาการรบของข้าศึก รบทุกครั้งก็ชนะทุกครั้ง[/FONT]
    [FONT=&quot]
    [/FONT]

    [FONT=&quot] ๓. การรบกับกิเลสก็เช่นกัน จักต้องศึกษาปูมหลัง คือ ข้อเท็จจริงลีลาของกิเลสเข้าไว้ คือ รู้อารมณ์นี้คืออารมณ์อะไร รู้สมุทัย ต้นเหตุที่ทำให้เกิดกิเลสนั้นๆ รู้ทุกข์ว่าจริงหรือไม่ รู้สุขว่าจริงหรือไม่ กล่าวคือ จักต้องรู้อริยสัจเข้าไว้ การรบทุกครั้งจึงจักชนะได้[/FONT]

    [FONT=&quot] ๔. ทำจิตให้พร้อมรบเข้าไว้ ถ้าใจเย็นก็เท่ากับป้อแป้อ่อนแอกองทัพไม่มีแรง กิเลสจู่โจมมาก็สู้ไม่ได้ทุกครั้ง คำว่าใจเย็น คือสงบ เหมือนกองทัพที่มีกำลังตั้งมั่นอยู่ ข้าศึกจู่โจมมาเมื่อใด ก็พร้อมที่จักรบเมื่อนั้น[/FONT]
    [FONT=&quot]
    [/FONT]

    [FONT=&quot] ๕. อานาปานัสสติกรรมฐาน คือ ฐานกำลังใหญ่ของจิต เป็นความสงบตั้งมั่น พรหมวิหาร ๔ คือตัวใจเย็น อุเบกขาเป็น ตัวเพิ่มความสงบด้วยปัญญายิ่ง ๆ ขึ้นไป ตัวมุทิตาจิตอ่อนโยนไม่หยาบกระด้าง รัก สงสารในจิตของตนเอง ถ้าทรงได้อย่างนี้ ไฟคือกิเลสที่ไหนก็มาเผาจิตไม่ได้[/FONT]
    [FONT=&quot]
    [/FONT]

    [FONT=&quot] ๖. อย่าลืม ตั้งใจให้มั่นเข้าไว้ อย่าให้จิตคลาดจากการปฏิบัติธรรมตามแนวนี้ และจงอย่ากลัวการกระทบกระทั่ง เมื่อกระทบแล้วให้พิจารณาเข้าสู่อริยสัจเสมอ คอยระมัดระวังจิตที่จักปรุงแต่งธรรมที่กระทบนั้นไปในทางที่มีกิเลสเจือปนอยู่[/FONT]
    [FONT=&quot]
    [/FONT]

    [FONT=&quot] ๗. อารมณ์ของจิตตนจักต้องรู้ด้วยตนเอง ถ้าไม่โกหกตนเองเสียอย่างเดียว จักรู้อารมณ์จิตของตนได้อย่างไม่ยากเย็น ต้องรู้ให้จริงจึงจักแก้ไขอารมณ์ได้[/FONT]
     
  18. เมิล

    เมิล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    421
    ค่าพลัง:
    +3,132
    เมิลกำลังทำ Checklist บารมี 10 ทัศ แปะไว้ที่หัวนอน จะเช็คทุกวันเลยว่าวันไหนบารมีข้อไหนพร่องบ้าง สู้โว้ย!
     
  19. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    บารมี 10
    บารมีี แปลว่า กำลังใจเต็ม

    บารมี 10 ทัศ มีดังนี้
    1.ทานบารมีี
    จิตของเราพร้อมที่จะให้ทานเป็นปกติ
    2.ศีลบารมี
    จิตของเราพร้อมในการทรงศีล
    3.เนกขัมมบารมี
    จิตพร้อมในการทรงเนกขัมมะเป็นปกติ เนกขัมมะ แปลว่า การถือบวช แต่ไม่ใช่ว่าต้องโกนหัวไม่จำเป็น
    4.ปัญญาบารมี
    จิตพร้อมที่จะใช้ปัญญาเป็นเครื่องประหัตประหารให้พินาศไป
    5.วิริยบารมี
    วิิริยะ มีความเพียรทุกขณะ ควบคุมใจไว้เสมอ
    6.ขันติบารมี
    ขันติ มีทั้งอดทน อดกลั้นต่อสิ่งที่เป็นปฏิปักษ์
    7.สัจจะบารมี
    สัจจะ ทรงตัวไว้ตลอดเวลา ว่าเราจะจริงทุกอย่าง ในด้านของการทำความดี
    8.อธิษฐานบารมี
    ตั้งใจไว้ให้ตรงโดยเฉพาะ
    9.เมตตาบารมี
    สร้างอารมณ์ความดี ไม่เป็นศัตรูกับใคร มีความรักตนเสมอด้วยบุคคลอื่น
    10.อุเบกขาบารมี
    วางเฉยเข้าไว้ เมื่อร่างกายมันไม่ทรงตัว ใช้คำว่า "ช่างมัน" ไว้ในใจ


    บารมี ที่องค์สมเด็จทรงให้เราสร้างให้เต็ม ก็คือ สร้างกำลังใจปลูกฝังกำลังใจให้มันเต็มครบถ้วนบริบูรณ์สมบูรณ์
    บารมีในขั้นต้นกระทำด้วยจิตอย่างอ่อนเป็นขั้นพระบารมี เมื่อจิตดำรงบารมีขั้นกลางได้ เรียกว่า พระอุปบารมี และเมื่อจิตดำรงบารมีขึ้นไปถึงที่สุดเลย เรียกว่า พระปรมัตถบารมี หรือบารมี 30 ทัศ หรือมีศัพท์เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า พระสมติงสบารมี หมายถึง พระบารมีสามสิบถ้วน ซึ่งเป็นธรรมพิเศษหมวดหนึ่ง มีชื่อว่า พุทธกรณธรรม เป็นธรรมพิเศษที่กระทำให้ได้เป็นสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้่า พระโพธิสัตว์ที่ต้องการจะเป็นพระพุทธเจ้า ต้องบำเพ็ญธรรมหมวดนี้ หรือมีชื่อหนึ่งเรียกว่า โพธิปริปาจนธรรม คือธรรมสำหรับพระพุทธภูมิ หรือชาวพุทธเราทั่วไปเรียกว่า พระบารมี หมายถึง ธรรมที่นำไปให้ถึงฝั่งโน้น คือ พระนิพพาน

    ทาน การให้ เป็นการตัดความโลภ
    ศีล เรามีก็ตัดความโกรธ
    เนกขัมมะ เป็นการตัดอารมณ์ของกามคุณ
    ปัญญา ตัดความโง่
    วิริยะ ตัดความขี้เกียจ
    ขันติ ตัดความไม่รู้จักอดทน
    สัจจะ ตัดความไม่จริงใจ มีอารมณ์ใจกลับกลอก
    อธิษฐาน ทรงกำลังไว้ให้สมบูรณ์
    เมตตา สร้างความเยือกเย็นของใจ
    อุเบกขา วางเฉยเข้าไว้ในเรื่องของกายเรา

    การเทียบบารมี
    บารมีจัดเป็น 3 ชั้น คือ

    บารมีต้น
    อุปบารมี
    ปรมัตถบารมี

    บารมีต้นในขั้นเต็ม ท่านผู้นี้จะเก่งเฉพาะทาน กับ ศีล แต่การรักษาศีลของบารมีขั้นต้นจะไม่ถึงศีล 8 และจะยังไม่พร้อมในการเจริญพระกรรมฐาน กำลังใจไม่พอ อาจจะไม่ว่างพอหรือเวลาไม่มี
    อุปบารมี เป็นบารมีขั้นกลาง พร้อมที่ทรงฌานโลกีย์ ท่านพวกนี้จะพอใจการเจริญพระกรรมฐาน และทรงฌาน แต่ยังไม่ถึงขั้นวิปัสสนา ยังไม่พร้อมที่จะไปและไม่พร้อมที่จะยินดีเรื่องพระนิพพาน พร้อมอยู่แค่ฌานสมาบัติ
    ปรมัตถบารมี ในอันดับแรกอาจจะยังไม่มีความเข้าใจในเรื่องนิพพาน พอสัมผัสวิปัสสนาญาณขั้นเล็กน้อย อาศัยบารมีเก่า ก็มีความต้องการพระนิพพาน จะไปได้หรือไม่ได้ในชาตินี้นั้นไม่สำคัญ เพราะการหวังนิพพานจริง ๆ ต้องหวังกันหลายชาติจนกว่าบารมีที่เป็นปรมัตถบารมีจะสมบูรณ์แบบ


    http://www.larnbuddhism.com/grammathan/barame1.html
     
  20. ปักธงชัย

    ปักธงชัย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    584
    ค่าพลัง:
    +3,721
    ผมอ่านแล้ว มึนตึบ , ภาคทฤษฎี ผมกำลังทำความเข้าใจ และ จดจำกับความหมายต่าง ๆ อยู่ , ปัจจุบันแค่ปฏิบัติ ทาน ศีล ภาวนา พรมวิหาร 4 แค่นี้ก็ไม่เต็มแล้ว ครับ , พยามยามจับรูปพระ แต่ได้ไม่ชัด เพราะมีหลายภาพ ครับ , จะติดตามต่อไป ไม่รีบร้อน ขอปฏิบัติวันต่อวันไปก่อน ครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...