สิ่งที่เป็นของโลก

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย oatthidet, 11 สิงหาคม 2012.

  1. oatthidet

    oatthidet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    3,498
    ค่าพลัง:
    +1,876
    เมื่อคุณคิดเห็นเช่นนั้น ก็เชิญครับ ผมไม่มีเหตุ-ผลจะโต้งแย้งครับ

    สาธุครับ
     
  2. bankbankbank

    bankbankbank เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    229
    ค่าพลัง:
    +885
    เพื่อนๆที่เข้ามา คุย กับ คุณ ธิเดช..นั้น

    ผม สรุปให้ กว้างๆนะ เขาเหล่านั้นเห็นความ เชื่อมั่น ของคุณสูง ที่กล่าวธรรม แบบทรนง ไม่อ้างอิงคำสอนของพระพุทธองค์ มัน ผิด แนวทางของการ ให้ความเคารพ พระศาสดาไป เขาเข้ามาเตือนสติคุณ กันนะครับ..คุณ ธิเดช..คุณ ตรองให้ดี

    หากไม่มีพระพุทธเจ้ามาเปิดเผยเรื่องการเจริญสติ แล้ว โลกนี้จะยังมืดมิด ไปด้วยอวิชชาอีกนาน...คุณจะเก่งแต่ไหน ผมไม่รู้ด้วย แต่หากจะกล่าวธรรมมะ อะไร ขอให้ ยึดมั่นใน คำสอนของพระศาสดา ไว้ เถอะ..คูณไม่เก่งไปกว่า พระ ธรรมขันธ์ 84000 ขันธ์ แน่ๆ

    ความเชื่อมั่น ของคุณ นั้น เรียกง่ายๆว่า อัตตา สูงครับ...
     
  3. Samarnl

    Samarnl เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    2,287
    ค่าพลัง:
    +4,704
    เห็นด้วยชัดเจนครับ ก็คนมันอวดรู้
     
  4. Samarnl

    Samarnl เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    2,287
    ค่าพลัง:
    +4,704
    อย่าเอาคำสอนของตัวเอง ไปยัดเยียดว่าเป็นคำสอนของพระพุทธเจ้า ทำให้ผู้อื่นเข้าใจผิด
     
  5. oatthidet

    oatthidet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    3,498
    ค่าพลัง:
    +1,876
    ถึงแม้ผลนั้นจะเกิดขึ้นกับครอบครัวของผมเอง ผมก็ยินดีอย่างมากครับ

    เพราะถึงยังไงผมก็ไม่สามารถไปบอกคนทั้งโลกได้ครับ แค่ที่มีทุกวันนี้ก็พอแล้วครับ

    แค่ผู้ที่ให้กำเนิดผมได้รับรู้ว่า ที่ผมเป็นอยู่เช่นนี้ ที่ทำให้ท่านทั้งสองภาคภูมิใจ

    และ มีความสุขในชีวิต เป็นผลมาจากการปฎิบัติธรรมนั่งกรรมฐาน ก็เพียงพอแล้วครับ

    และ ที่ผมไม่กล่าวถึงสาเหตุที่ผมมาบอกกล่าวนั้น เป็นเพราะจะทำให้เกิดความลุ่มหลง

    และ จะมีคำกล่าวหา ต่อว่า ในรูปแบบต่างๆครับ แค่เพียงผมกล่าวในส่วนที่เป็นสิ่งที่มองเห็นได้ในชีวิตประจำวัน

    ก็ยังกลายเป็นเหตุให้ถกเถียงอย่างไม่มีจบสิ้นอย่างที่ได้เห็นนี้ ทั้งที่ผมมีเรื่องราวที่จะกล่าวมากกว่านี้

    แต่ก็ต้องหยุดเอาไว้ ไม่อาจกล่าวออกมาได้ คุณเองก็ศัทธาหลวงปู่มั่นเชกเช่นเดียวกัน

    คุณลองสังเกตุดูสิครับ ว่าหลวงปู่ท่านสั่งสอนให้ปฎิบัติธรรมนั่งกรรม หรือ

    ศึกษาเล่าเรียนพระไตรปิฎกมากกว่ากัน เพราะสาเหตุใด คำตอบคงชัดเจนนะครับ

    สาธุครับ
     
  6. oatthidet

    oatthidet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    3,498
    ค่าพลัง:
    +1,876
    ผู้ที่ศึกษาพระธรรม แต่หาได้มีธรรมในตนเอง จะเรียกว่าอย่างไร

    ในคำกล่าวของผม หากอ่านด้วยวางตัวตนของผมลง จะเห็นสิ่งใด

    คำกล่าวที่ผมได้กล่าว ใช่ความเป็นจริงบนโลกที่มองเห็นไหม

    พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงสอนให้มองดูความเป็นจริงบนโลกที่เกิดขึ้น

    ผมนั้นไม่เก่งครับ ไม่มีอะไรเลย ที่มีก็แค่ศีล 5 กับ การปฎิบัติธรรมครับ

    และ นับถือเพียง พระพุทธ พระธรรม พระสงค์ที่ปฎิบัติดี ผมมีเพียงเท่านี้ครับ

    และไม่เคยไปดูถูกใคร เหยียบหยามผู้ใด มีแต่ตักเตือนด้วยเห็นว่าไปไกลเกินแล้ว

    และ ไม่เคยเข้าไปหาเหตุให้ถกเถียงแต่อย่างใด มีแต่กล่าวด้วยเหตุ-ผล

    สาธุครับ
     
  7. oatthidet

    oatthidet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    3,498
    ค่าพลัง:
    +1,876
    เห็นว่าอวดรู้เมื่อมีการยึดมั่น ผมไม่เคยต่อว่าใครว่าอวดรู้เลยแม้แต่ครั้งเดียว

    สาธุครับ
     
  8. oatthidet

    oatthidet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    3,498
    ค่าพลัง:
    +1,876
    ผมจะบอกอะไรให้ครับ ต่อไปจะยิ่งยึดติดในพระไตรปิฎกมากขึ้น และ ผู้ที่ศึกษาพระไตรปิฎกนั้น

    จะปฎิบัติธรรมด้วยการเจริญสติปัฎฐาน 4 กันมากขึ้น ทั้งที่การเจริญสติปัฎฐาน 4 นั้น

    ต้องมีจิตที่ตั้งมั่นเสียก่อน แต่ผู้ที่ศึกษาเล่าเรียนพระไตรปิฎกหาได้ปฎิบัติจนมีจิตที่ตั้งมั่น

    กลับเจริญสติปัฎฐาน 4 เลย ด้วยนึกคิดว่าเป้นหนทางที่ถูกต้อง และ กลับไปหลงอำนาจ

    แห่งความอยากที่มีในตน ลุ่มหลงว่าตนนั้นรู้มาก เข้าใจอย่างแจ้งแทงตลอด

    คุณลองนำคำกล่าวไปเปรียบเทียบกับการเสื่อมของพระศาสนาดูครับ

    และ นี่เองที่เป็นเหตุให้ผู้ที่ศึกษาเล่าเรียนพระไตรปิฎกถึงได้ถกเถียงกันไม่มีที่สิ้นสุด

    ผมกล่าวเพียงเท่านี้ คุณคงจะเห็นเหตุที่พระศาสนาจะเสื่อมได้อย่างไรนะครับ

    สาธุครับ
     
  9. Samarnl

    Samarnl เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    2,287
    ค่าพลัง:
    +4,704
    ความคิดแบบนี้ก็คงจะมีเฉพาะคุณเท่านั้นแหละ
    ที่จะลบล้างพระไตรปิฎก ลบล้างคำสอนของพระพุทธองค์ผู้เป็นครูของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย

    จิตตั้งมั่นเสียก่อน? แล้วจิตไปตั้งมั่นที่ไหนถึงจะทำให้จิตตั้งมั้นได้ ?

    พระพุทธเจ้าสอนว่า สติปัฏฐาน ๔ เป็นทางสายกลาง เป็นทางสายเดียว ที่เข้าถึงพระนิพพาน
    หรือคุณกำลังจะบอกว่ามีสายไหนอีกที่เป็นหนทางเข้าถึงพระนิพพาน หรือคุณเห็นว่านิพพานไม่มี

    เหตุที่ทำให้พระศาสนาเสื่อมนั้น ศาสนาเสื่อมเพราะอะไร

    ภิกษุทั้งหลาย! มูลเหตุ ๔ ประการเหล่านี้ทำให้พระสัทธรรมเลอะเลือนจนเสื่อมสูญไป ๔ อย่าง อะไรกันเล่า? ๔ อย่าง คือ

    ๑. พวกภิกษุเล่าเรียนสูตรอันถือกันมาผิด ๆ ด้วยคำและสำเนียงก็ใช้กันผิด ๆ เมื่อคำและสำเนียงที่ใช้กันผิดแล้ว
    ความหมายก็คลาดเคลื่อน และทำให้พระสัทธรรมเลอะเลือนจนเสื่อมสูญไป

    ๒. พวกภิกษุเป็นคนว่ายาก ประกอบด้วยเหตุที่ทำให้เป็นคนว่ายาก ไม่อดทน ไม่ยอมรับคำตักเตือนโดยความเคารพหนักแน่นนี้
    ทำให้พระสัทธรรมเลอะเลือนจน เสื่อมสูญไป

    ๓. พวกภิกษุเหล่าใดเป็นผู้เรียนมาก คล่องแคล่วในหลักพระพุทธพจน์ รู้ธรรม รู้วินัย รู้แม่บท
    ภิกษุเหล่านั้นไม่ได้เอาใจใส่ที่จะบอกสอนใจความแห่งสูตรทั้งหลายแก่คนอื่น ๆ เมื่อท่านเหล่านั้นล่วงลับดับไป
    สูตรทั้งหลายก็เลยขาดอาจารย์ ไม่มีผู้สอนสืบไป ทำให้พระสัทธรรมเลอะเลือนจนเสื่อมสูญไป

    ๔.พระ ภิกษุชั้นเถระทำการสะสมเครื่องอุปโภคบริโภคประพฤติย่อหย่อนในไตรสิกขา
    มีจิตต่ำด้วยอำนาจแห่งนิวรณ์ไม่สนใจในกิจแห่งวิเวกธรรม ไม่ริเริ่มทำควรเพียรเพื่อถึงสิ่งที่ยังไม่ถึงเพื่อบรรลุสิ่งที่ยังไม่บรรลุ
    เพื่อทำให้แจ้งในสิ่งที่ยังไม่ได้ทำให้แจ้งผู้บวชในภายหลังได้เห็น
    พวก เถระเหล่านั้นทำแบบแผนเช่นนั้นไว้ต่างก็ถือเอาไปเป็นแบบอย่างจึงทำให้เป็น
    ผู้ทำการสะสมเครื่องอุปโภคบริโภคบ้าง ประพฤติย่อหย่อนในไตรสิกขา มีจิตต่ำด้วยอำนาจแห่งนิวรณ์
    ไม่สนใจในกิจแห่งวิเวกธรรมไม่ริเริ่มทำความเพียรเพื่อถึงสิ่งที่ยังไม่ได้ทำ
    ให้แจ้งตามกันสืบไปนี้ทำให้พระสัทธรรมเลอะเลือนจนเสื่อมสูญไป

    ภิกษุทั้งหลาย! มูลเหตุ ๔ ประการเหล่านี้แล ทำให้พระสัทธรรมเลอะเลือนจนเสื่อมสูญไป.

    (คัดจากพระพุทธภาษิต จตุกก. อง ๒๑/๑๙๗/๑๖๐)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 17 สิงหาคม 2012
  10. paetrix

    paetrix เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2011
    โพสต์:
    2,478
    ค่าพลัง:
    +1,878
    ปรารภโพชฌงค์แล้ว มรรคก็เป็นอันปรารภด้วย พระวจนะ" ภิกษุทั้งหลาย โพชฌงค์ เจ็ดประการ อันบุคคลใดใครก็ตามปรารภผิดแล้ว อริยมรรค อันเป็นทางให้ถึงสิ้นความทุกข์โดยชอบ ของบุคคลเหล่านั้น ก้เป็นอันปรารภผิดด้วย ภิกษุทั้งหลาย โพชฌงค์เจ้ดประการอันบุคคลใดใครก็ตามปรารภถูกต้องแล้วอริยมรรคอันเป็นความสิ้นทุกข์โดยชอบ ของบุคคลเหล่านั้น ก็เป็นอันปรารภถูกต้องแล้วด้วย..........โพชฌงคืเจ็ดประการอย่างไรเล่า เจ็ดประการคือ สติสัมโพชฌงค์ ธัมวิจัยสัมโพชฌงค์ วิริยะสัมโพชฌงค์ ปิติสัมโพชฌงค์ ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ สมาธิสัมโพชฌงค์ อุเบกขาสัมโพชฌงค์.......ภิกษุทั้งหลาย โพชฌงค์เจ็ดประการเหล่านี้ อันบุคคลใดใครก็ตามปรารภผิดแล้ว อริยมรรคอันเป็นทางให้ถึงความสิ้นทุกข์โดยชอบ ของบุคคลเหล่านั้น ก้เป็นอันปรารภผิดแล้วด้วย ภิกษุทั้งหลาย โพชฌงค์เจ้ดประการ เหล่านี้ อันบุคคลใดใครก็ตาม ปรารภถูกต้องแล้ว อริยมรรคอันเป็นทางให้ถึงความส้นทุกข์โดยชอบ ของบุคคลเหล่านั้น ก็เป็นอันปรารภถูกต้องแล้วด้วย........ภิกษุทั้งหลาย โพชฌงค์เจ้ดประการเหล่านี้อันบุคคลเจริญกระทำให้มากแล้ว เป็นธรรมเครื่องนำออกอันประเสริฐ ย่อมนำบุคคลผู้ประพฤติโพชฌงค์นั้นไปเพื่อความสิ้นทุกข์โดยชอบ.......ภิกษุทั้งหลายโพชฌงค์เจ็ดประการเหล่านี้อันบุคคลเจริญ กระทำให้มากแล้ว ย่อมเป็นไปโดยส่วนเดียว เพื่อความเบื่อหน่าย ความคลายกำหนัด ความดับ ความเข้าไประงับ ความรู้ยิ่ง ความรู้พร้อม เพื่อ นิพพาน...............(อริยสัจจากพระโอษฐ์ ท่านพุทธทาส):cool:
     
  11. paetrix

    paetrix เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2011
    โพสต์:
    2,478
    ค่าพลัง:
    +1,878
    สติปัฎฐานสี่บริบูรณ์ ย่อมทำโพชฌงค์ให้บริบูรณ์ พระวจนะ" ภิกษุทั้งหลาย ก็ สติปัฎฐานทั้งสี่อันบุคคลเจริญแล้ว ทำให้มากแล้วอย่างไรเล่า จึงทำโพชฌงค์ทั้งเจ็ดให้บริบูรณืได้...............ภิกษุทั้งหลาย สมัยใด ภิกษุเป็นผู้ตามเห็นกายในกายอยู่เป็นประจำก้ดี เป็นผู้ตามเห็นเวทนาในเวทนาทั้งหลายอยู่เป็นประจำก็ดี เป็นผู้ตามเห็นจิตในจิตอยู่เป็นประจำก็ดี เป้นผู้ตามเห็นธรรมในธรรมทั้งหลายอยู่เป็นประจำก็ดี มีความเพียรเผากิเลส มีสัมปชัญญะมีสติ นำ อภิชฌาและโทมนัสในโลกออกเสียได้ สมัยนั้น สติที่ภิกษุเข้าไปตั้งไว้แล้ว ก็เป็นธรรมชาติไม่ลืมหลง สมัยนั้น สติสัมโพชฌงค์ ก็เป็นอันว่าภิกษุนั้นปรารภแล้ว สมัยนั้นภิกษุชื่อว่า ย่อมเจริญสติสัมโพชฌงค์ สมัยนั้นสติสัมโพชฌงค์ของภิกษุนั้นชื่อว่าถึงความเต็มรอบแห่งการเจริญ ภิกษุนั้น เมื่อเป็นผู้มีสติเช่นนั้นอยู่ ชื่อว่า ย่อมทำการเลือก ย่อมทำการเฟ้น ย่อมทำการใคร่ครวญ ซึ่งธรรมนั้นด้วยปัญญา....................ภิกษุทั้งหลาย สมัยใด ภิกษุเป็นผู้มีสติเช่นนั้นอยู่ ทำการเลือกเฟ้นทำการใคร่ครวญ ซึ่งธรรมนั้นด้วยปัญญา สมัยนั้น ธัมวิจัยสัมโพชฌงค์ ก็เป็นอันว่าภิกษุนั้นปรารภแล้ว สมัยนั้น ภิกษุนั้นชื่อว่าย่อมเจริญธัมวิจัยสัมโพชฌงค์ สมัยนั้น ธัมวิจัยสัมโพชฌงค์ของภิกษุนั้นชื่อว่าถึงความเต็มรอบแห่งการเจริญ ภิกษุนั้นเมื่อเลือกเฟ้น ใคร่ครวญ ซึ่งธรรมนั้นด้วยปัญญาอยู่ ความเพียรอันไม่ย่อหย่อน ก็ชื่อว่าเป็นธรรมอันภิกษุนั้นปรารภแล้ว..................ภิกษุทั้งหลาย สมัยใดความเพียรอันไม่ย่อหย่อน อันภิกษุผู้เลือกเฟ้นใคร่ครวญธรรมด้วยปัญญา ได้ปรารภแล้ว สมัยนั้น วิริยสัมโพชฌงค์ ก็เป็นอันว่าภิกษุนั้นปรารภแล้ว สมัยนั้นภิกษุนั้นย่อมชื่อว่า เจริญวิรริยสัมโพชฌงค์สมัยนั้นวิริยสัมโพชฌงค์ของภิกษุนั้นก็เต็มรอบของการเจริญ ภิกษุนั้นเมื่อมีความเพียรอันปรารภแล้วเช่นนั้น ปิติอันเป็นนิรามิสก็เกิดขึ้น..............ภิกษุทั้งหลาย สมัยใด ปิติอันเป็นนิรามิส เกิดขี้นแก่ภิกษุผู้มีความเพียรอันปรารภแล้ว สมัยนั้นภิกษุนั้นย่อมชื่อว่าย่อมเจริญ ปิติสัมโพชฌงค์ สมัยนั้น ปิติสัมโพชฌงค์นั้นของภิกษุนั้นชื่อว่าถึงความเต็มรอบของการเจริญ ภิกษุนั้นเมื่อมีใจประกอบด้วยปิติ แม้กายก็รำงับ แม้จิตก็รำงับ.................ภิกษุทั้งหลาย สมัยใด จิตของภิกษุผู้มีกายอันรำงับแล้ว มีความสุขอยู่ย่อมมีจิตตั้งมั่น สมัยนั้น สมาธิสัมโพชฌงค์ ก็เป็นอันว่าภิกษุนั้นปรารภแล้ว สมัยนั้นภิกษุนั้น ชื่อว่าย่อมเจริญ สมาธิสัมโพชฌงค์ สมัยนั้นสมาธิสัมโพชฌงค์ของภิกษุนั้นชื่อว่าถึงความเต็มรอบของการเจริญ ภิกษุนั้นย่อมเป็นผู้เข้าไปเพ่งเฉพาะ ซึ่งจิตอันตั้งมั่นแล้วอย่างนั้นเป็นอย่างดี..................ภิกษุทั้งหลายสมัยใดภิกษุเป็นผู้เข้าไปเพ่งเฉพาะ ซึ่งจิตอันตั้งมั่น แล้วอย่างนั้นเป็นอย่างดี สมัยนั้น อุเบกขาสัมโพชฌงค์ เป้นอันว่าภิกษุนั้นปรารภแล้ว สมัยนั้นภิกษุนั้นชื่อว่า ย่อมเจริญอุเบกขาสัมโพชฌงค์ สมัยนั้น อุเบกขาสัมโพชฌงค์ของภิกษุนั้น ชื่อว่าถึงความเต็มรอบของความเจริญ.................ภิกษุทั้งหลาย สติปัฎฐานทั้งสี่ อันบุคคลเจริญแล้วทำให้มากแล้วอย่างนี้แล ย่อมทำโพชฌงค์ทั้งเจ็ดให้บริบูรณ์ได้..........(อริยสัจจากพระโอษฐ์ ท่านพุทธทาส):cool:.....เริ่มจากมีสัมปชัญญะ มีสติ
     
  12. ฟางว่าน

    ฟางว่าน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    1,080
    ค่าพลัง:
    +968
    เขาก็เป็นของเขาอย่างนี้แหละครับ ยืนกระต่ายขาเดียว เขาไม่บอกว่าเขาเป็นผู้ปรารถนาพุทธภูมิหรอกครับ เข่บอกว่าเขารู้ทุกสิ่งทุกอย่างแล้ว สงสัยเหมือนกันว่าใช่คนเดียวกันกับวังโพธิสัตว์หรือเปล่า แต่ไม่ใช่ผมนะครับ และอย่างที่ผมกล่าว การบรรลุธรรมในมุมมองหนึ่งมี 2 แง่ คือสัมมาทิฏฐิ ๑ และมิจฉาทิฏฐิ ๑ คนนี้นายโอ๊ทธิเนี่ย เป็นมิจฉาทิฏฐิครับ เขาไม่เคยอ้างตามคำสอนของพระศาสดาเลย เขาตั้งตนเป็นศาสดาพระองค์หนึ่งด้วยซ้ำไป ผมเป็นพระอนาคามีผมยังเอาเขาไม่อยู่เลย...
     
  13. ฟางว่าน

    ฟางว่าน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    1,080
    ค่าพลัง:
    +968
    ใครเขาไปเถียงอะไรกับการอ่านพระไตรปิฎกอย่างที่คุณกล่าว อย่างกูนี่อ่านพระไตรปิฎกจบแล้วจึงออกภาคปฏิบัติ มันหน้าด้านหน้าหนานะคนคนนี้ จาบจ้วงพระธรรมวินัย แล้วคุณรูได้ยังไงว่าคนอื่นเขาปฏิบัติหรือไม่ปฏิบัติ ผมนี่ยกเป็นตัวอย่างคนหนึ่ง คลานจงกรม เข้าใจมั๊ยคลานจงกรมในวัดป่าตอนดึกๆจนหัวเข่าแตกได้เลือด คนอื่นเขาก็ศรัทธาเหมือนกัน เขาศรัทธาพระพุทธเจ้า พระธรรม และพระสงฆ์ มีคุณนี่แหละยังไม่บรรลุก็มาประกาศตน ธรรมะก็แคบๆ อยู่ที่ไม่ปรุง ไอ้ไม่ปรุงน่ะทำสมาธิก็ไม่ปรุงได้ แต่คนส่วนใหญ่ยังทำไม่ได้ การจะบรรลุธรรมก็มรรค 8 และสติปัฐฐาน 4 ที่คุณปรามาสเป็นคำสอนของพระพุทธเจ้านะจะบอกให้ คนอื่นเขามีจิตใจเป็นอรรถเป็นธรรม อย่าง patrix,ขันธ์,ซัวเจ๋ง,ongsathit1,คีย์บอร์ด-ฟางว่าน,ลุงไชย,ลุงหมาน,พี่ธรรมภูติ เป็นต้น เขาปฏิบัติดีปฏิบัติชอบและไม่ได้จาบจ้วงพระธรรมวินัย ไม่เปลี่ยนนิสสัยก็แย่เอง ไม่มีใครจะช่วยคุณได้ถ้าคุณไม่คลายทิฏฐิ แล้วเอาพระโสดาบันให้ได้ ศึกษาสังโยชน์ 3 แล้วปฏิบัติให้ได้นั่นแหละคุณจะอารมณ์ดีเอง เอาล่ะพอ...
     
  14. ฟางว่าน

    ฟางว่าน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    1,080
    ค่าพลัง:
    +968
    คุณไม่ได้ทุกข์ที่ปัญญาความคิดหรอกคุณโอ๊ทธิ แต่คุณทุกข์ที่ใจคุณน่ะ ลึกๆคือจิตคุณเป็นทุกข์ ถ้าคุณไม่ลดทิฏฐิ คุณจะกลายเป็นคนอมทุกข์ และรู้ครับว่าในเว็บใครก้อยากเด่นอยากดังทั้งนั้นแหละ แต่หลายคนท่านไม่เด่นดังอย่างน่าเกลียด พระพุทธเจ้าตรัสว่ากลิ่นที่หอมทวนลมได้คือกลิ่นศีล ของดีของแท้ไม่ต้องประกาศหรอกครับ ทุกวันนี้ผมก็หลบๆอยู่ *_* 555555555
     
  15. อินทรบุตร

    อินทรบุตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    2,511
    ค่าพลัง:
    +7,320
    เส้นทางไปพระนิพพาน ไม่ได้ไปได้ทางเดียว แต่เข้าได้ทางเดียว...
    คนเราก็จริตต่างกัน บางคนก็ชอบเดินทางนึง อีกบางคนก็เดินอีกทางนึง
    มันก็คงฟันธงไม่ได้หรอก ว่าต้องไปทางนั้นทางนี้ ว่าต้องฝึกฌานก่อน ถึงจะไปได้
    หรือว่า ไม่ต้องฝึกฌานหรอก พิจารณาปัญญาได้เลย
    ในเมื่อมันก็ไปได้ทั้งคู่ และมันก็ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับตัวเราเลย
    มันเป็นเรื่องของเหตุปัจจัยที่คนๆ นั้น ได้เคยสร้างสมมาก่อนเท่านั้นเอง
    แล้วเราจะไปครอบด้วยอุปาทานของเรา ให้มันเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ไปเพื่ออะไร?

    และถึงแม้จะเป็นเจโตวิมุตติ ในขั้นสุดท้ายของการพิจารณา การตัดขั้นสุดท้าย ก็จัดว่าเป็นธรรมานุปัสสนาเช่นกัน
     
  16. ฟางว่าน

    ฟางว่าน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    1,080
    ค่าพลัง:
    +968
    เข้าใจที่คุณอินทรบุตรกล่าวครับ ถ้าได้เจโตปัญญาก็ต้องตามมาด้วย หรือถ้าได้ปัญญาวิมุตติ เจโตก็ต้องตามมาด้วย ไม่งั้นโดดๆอย่างใดอย่างหนึ่งมันก็ยังไม่ครบองค์ธรรมครับ...
     
  17. oatthidet

    oatthidet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    3,498
    ค่าพลัง:
    +1,876
    ผมได้กล่าวไปแล้ว ว่าต่อไปผู้หญิงจะเป็นผู้ที่บำรุงพระศาสนา และ สนใจในการเล่าเรียนพระไตรปิฎกมากกว่าการปฎิบัติ ด้วยเข้าใจว่าเจริญสติปัฎฐาน 4 ก็ถูกทางแล้ว ผู้ที่ไม่เคยฝึกจิตให้เกิดความสงบเสียก่อน จะทนต่อสิ่งยั่วยุได้หรือครับ แม้แต่การลองภูมิคุณยังไม่รู้ตัวของคุณเองเลย ถามผู้อื่นทั้งๆที่ตนเองก็รู้อยู่แล้ว แต่ถามเพราะว่าคนผู้นั้นจะตอบได้อย่างที่คุณรู้มาไหม การกระทำนี้ส่งผลให้ผู้ที่เข้ามาอ่านเกิดความสับสน และ จะเสื่อมความเชื่อมั่นในพระศาสนาได้ คุณรู้บ้างไหม พระศาสนามีไว้เผื่อแผ่ แบ่งปัน ก่อให้เกิดประโยชน์กับคนหมู่มาก พระพุทธองค์จึงได้ทรงประกาศสัจธรรม ได้โปรดสัตว์โลก ไม่มีความเห็นแก่ตัวในการปฎิบัติ ลองอ่านในพระไตรปิฎกดูสิครับ ว่ามีครั้งไหนที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านทรงลองภูมิผู้อื่นอย่างที่คุณทำบ้าง ผมเตือนด้วยความหวังดี คุณกลับมาหาเรื่องถกเถียงกับผม เป็นสิ่งที่สมควรแล้วใช่ไหมครับ หากผมเตือนไม่ได้ผมก็จะไม่เตือนอีกครับ และ คุณควรอ่านเหตุที่ทำให้พระศาสนาเสื่อมที่คุณนำมาด้วยนะครับ

    สาธุครับ
     
  18. oatthidet

    oatthidet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    3,498
    ค่าพลัง:
    +1,876
    ผมใช้ชื่อเดียวตลอดครับ ไม่เคยใช้หลายชื่อ และ คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น

    ท่านสอนให้มองที่ความเป็นจริงที่สามารถเห็นได้ในโลกที่อาศัยอยู่นี้ ชัดเจนไหมครับ

    ผมไม่เคยบอกกล่าวเช่นที่คุณนำมากล่าวครับ และ ผมก็ได้บอกให้หาหลักฐานมายืนยันหลายครั้งแล้ว

    คราวที่แล้วคุณบอกว่าคุณไม่ได้เป็นพระอนาคามี แต่ครั้งนี้มาบอกว่าเป็นตกลงเอาอย่างไรแน่ครับ

    สาธุครับ
     
  19. oatthidet

    oatthidet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    3,498
    ค่าพลัง:
    +1,876
    นำหลักฐานมาชี้ให้ชัดเจนสิครับ ว่าผมจาบจ้วงพระธรรมวินัยตรงไหน

    อย่างคุณที่ใช้วาจาที่หยาบคายในการต่อว่าด่าทอผู้อื่นนี่หรือครับที่ผมต้องเชื่อฟัง

    การปฎิบัติธรรมนั่งกรรมฐานนั้น จนกว่าจะมีจิตที่ตั้งมั่นเสียก่อน จึงนำมาเจริญสติปัฎฐาน 4

    หาไม่แล้ว ก็จะหลงตัว หลงตน เท่านั้นเอง ด้วยนึกคิดว่าตนรู้มากแล้ว รู้ทั้งหมดในพระไตรปิฎกแล้ว

    แต่กลับไม่รู้ตนเอง รู้จิตตนเอง คุณไม่กล่าวในสิ่งที่ผิดปกติ ก็เป็นสิ่งที่ควรแล้วครับ

    สาธุครับ
     
  20. oatthidet

    oatthidet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    3,498
    ค่าพลัง:
    +1,876
    หากผมเป็นทุกข์ หลายคนคงเป็นทุกข์กันมาก และ ผมไม่ได้สนใจว่าต้องมีคนเข้ามาพูดคุยด้วย

    ผมเข้ามาอธิบายในสิ่งที่ผมได้เห็น และ ไม่ได้สนใจว่าใครจะมาเชื่อหรือไม่

    ผมไม่เคยประกาศตัวว่าจะต้องเป็นนั่น เป็นนี่ มีแต่เคยตอบไปว่า ผมเคยปราวนาว่าจะเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า

    ซึ่งเป็นเรื่องของอดีตชาติ มีแต่คุณที่ประกาศว่าเป็นพระโสดาบัน เป็นพระอนาคามี

    ผมมีหลักฐานมด้วยครับ ไม่ได้กล่าวแบบลอยๆ

    สาธุครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...