เชิญเข้าร่วมสนทนาพิเศษเรื่อง มิติ ความฝัน ชาติภพ จิตวิญญาณ โดย @โนวา อนาลัย@ [Writer]

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย mead, 8 สิงหาคม 2007.

  1. nova_analai

    nova_analai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    809
    ค่าพลัง:
    +7,489
    เชิญคุณ oakpr มาร้องเพลงสลับฉากหน่อยค่ะ ก่อนที่พวกเราจะหลับและเปลี่ยนวิถีการจดจ่อด้วยสติสัมปชัญญะออกไปเที่ยว Perseus กันหมด
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. nova_analai

    nova_analai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    809
    ค่าพลัง:
    +7,489
    โลกแห่งความเป็นจริง-ทางจินตภาพ

    มิติที่ 2: โลกแห่งความเป็นจริงทางจินตภาพ อาจเปรียบได้กับ ฌาน ขั้นที่ 3 - 4 จิตวิญญาณเปลี่่ยนวิถีการจดจ่อด้วยสติสัมปชัญญะไปสู่โลกแห่งความเป็นจริงที่เป็นจินตภาพ ตัวหลับลึก รู้เห็นจิตตื่นคมชัด

    ฌาน ขั้นที่ 3 : จิตวิญญาณเปลี่่ยนวิถีการจดจ่อด้วยสติสัมปชัญญะห่างไกลออกไปจากมิติของโลกแห่งความเป็นจริงทางกายภาพออกไปอีก และเริ่มจดจ่อกับกระบวนการทางจิต ยังผลให้ความรู้สึกปลื้มปิติสลายตัวไป สติสัมปชัญญะจะเต็มเปี่ยมไปด้วยความสุขสงบทั้งทางกายและทางจิต การจดจ่อเป็นไปได้อย่างคมชัดมากขึ้น ในภาวะดังกล่าวนี้ ไม่ใช่ว่าไม่มีอารมณ์และความรู้สึกนึกคิด มี-แต่สาระที่นึิกคิดเกิดจากภาวะที่กำลังเผชิญอยู่อย่างจดจ่อ รู้สิ่งใด เห็นสิ่งใด กลายเป็นสิ่งเดียวกับสิ่งนั้น

    ภาวะนี้พี่นักเขียนขออธิบายเพิ่มเติมเกี่ยวกับความฝันว่า เมื่อเราฝึกสมาธิแล้วก็ล้มตัวลงนอนต่อทันทีอย่างที่ได้แนะนำไปแล้วในช่วงแรกๆ จิตวิญญาณเปลี่่ยนวิถีการจดจ่อด้วยสติสัมปชัญญะไปสู่โลกแห่งความเป็นจริงที่เป็นจินตภาพ ในความฝัน ทำให้เราสามารถรู้เห็นความเป็นไปของผู้อื่นที่เราอยากช่วยเหลือหรือแก้ปัญหา เมื่อมาถึงภาวะนี้ เราจะฝันเห็นบุคคลที่เราปรารถนาที่จะช่วย ซึ่งอาจจะปรากฏไม่เหมือนจริงในโลกยามตื่น แต่สาระสำคัญคือ เมื่อรู้เห็นเขาแล้ว อารมณ์และความรู้สึกนึกคิดจะรวมเป็นหนึ่งเดียวกับเขา เราเป็นเขา เขาเป็นเรา รู้ปัญหาของเขาลุ่มลึก เข้าใจเขาหมดใจ ร่วมทุกข์-ร่วมสุขกับเขา หากตั้งจิตไว้ก่อนนอนหลับว่าจะขอรู้ปัญหาที่แท้จริง และขอรู้ทางแก้ เมื่อมาถึงจุดนี้ ตัวรู้จะเกิดขึ้น และจิตวิญญาณก็จะเปลี่่ยนวิถีการจดจ่อด้วยสติสัมปชัญญะไปสู่ภาวะต่อไป ...

    ฌาน ขั้นที่ 4 :
    อารมณ์และความรู้สึกนึกคิดจะหายไป ไม่สุข-ไม่ทุกข์ และตัวรู้ก็ปรากฏขึ้นมา รู้หน้ารู้หลังกว้างไกล รู้ปัญหาไปถึงอดีต รู้ทางแก้และรู้ผลลัพธ์ในอนาคต

    ประสาทสัมผัสภายในจะเริ่มทำงาน การเห็น กับ การได้ยิน ด้วยประสาทสัมผัสภายใน มักจะเกิดขึ้นพร้อมๆกัน หากยังไม่คุ้นเคยกับภาวะนี้ เรามักจะตีความหมายประสบการณ์ที่เราเผชิญเกี่ยวพันกับช่องว่าง-ระยะทางและกาลเวลา ซึ่งทำให้การตีความหมายประสบการณ์บิดเบือนไป ทั้งบิดเบือนโลกแห่งความเป็นจริงทางจินตภาพและ บิดเบือนการรับรู้ของประสาทสัมผัสภายในด้วย

    ในภาวะนี้ เรายังไม่มีสติสัมปชัญญะที่คมชัดมากพอที่จะใช้ประสาทสัมผัสภายในได้ดี การไม่มีความรู้เกี่ยวกับประสาทสัมผัสภายในเป็นอุปสรรคที่ทำให้เราใช้งานมันไม่เป็น ไม่ใช่ว่ามันไม่เกิดหรือไม่มี เรามีประสาทสัมผัสภายในอยู่พร้อม เมื่อเรามีความรู้ความเข้าใจอย่างถ่องแท้เกี่ยวกับประสาทสัมผัสภายในเมื่อใด เราก็ใช้การมันได้อย่างเป็นอัตโนมัติ

    พี่นักเขียนจะอธิบายถึงประสาทสัมผัสภายในต่อไปในรายละเอียดว่าเวลาฝัน เราใช้มันยังไง และเราจะฝึกฝนกันได้ยังไง ใครอยากฝึกไวๆ ขยันทำสมาธิก่อนนอน-ก่อนฝัน ศึกษาข้อมูลความรู้เหล่านี้ไปพร้อมๆกัน พบแล้วจะได้รู้ รู้แล้วจะได้ใช้การได้
    รายละเอียดเกี่ยวกับประสาทสัมผัสภายในอยู่ในหนังสือ ความฝันกับวิถีแห่งจิตวิญญาณ บทที่ 4 ประสาทสัมผัสภายใน หน้า 38

    ก็คงต้องขอยืมคำนิิยามอีกคำมาอธิบายเปรียบเทียบกับประสาทสัมผัสภายใน ได้แก่คำว่า ญาน แต่อย่าลืมแล้วกันว่าพี่นักเขียนไม่ได้กำลังแปลพระคัมภีร์ และเรากำลังพูดกันเรื่อง การฝึกฝนเปลี่ยนวิถีการจดจ่อของจิตวิญญาณด้วยสติสัมปชัญญะไปสู่โลกแห่งความเป็นจริงโลกอื่น มิติอื่น และการใช้ประสาทสัมผัสภายใน เพื่อรู้เห็นประสบการณ์ต่างๆในโลกอื่น มิติอื่น

    ยังมีต่อ
    ที่จบไปนี้ เป็นการบรรยายถึงภาวะที่ว่าจิตตื่น นั้นเป็นอย่างไร
    จิตดำเนินไปอย่างไร
    และในภาวะนี้จิตวิญญาณเปลี่ยนวิถีการจดจ่อด้วยสติสัมปชัญญะไปสู่โลกแห่งความเป็นจริงที่เป็นเป็น จินตภาพ

    ต่อไปจะพูดถึง ภาวะที่จิตวิญญาณเปลี่ยนวิถีการจดจ่อด้วยสติสัมปชัญญะไปสู่โลกแห่งความเป็นจริงที่เป็นจิตวิญญาณ นั้น เป็นอย่างไร? เราจะรู้เห็นอะไร ? ซึ่งอาจเปรียบได้กับ ฌาน 5 - 8

    และภาวะที่คาบอยู่ระหว่างโลกแห่งความเป็นจริงทางจินตภาพและโลกแห่งความเป็นจริงที่เป็นจิตวิญญาณ ซึ่งเป็นภาวะที่สำคัญที่สุดที่พวกเรากำลังฝึกฝนกันเพื่อให้รู้เห็น เพราะภาวะนี้เป็นภาวะที่ประสาทสัมผัสภายในจะใช้การได้มากที่สุด
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 สิงหาคม 2007
  3. nova_analai

    nova_analai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    809
    ค่าพลัง:
    +7,489
    เตือนใจ

    (rose) ท่านอาจารย์อนาลัยได้กล่าวไว้ว่า ผู้ที่ศึกษาข้อมูลความรู้จากหนังสือชุดของท่านอาจารย์โนวา อนาลัย โดยข้ามบทฝึกฝนทั้งหลายที่ท่านให้ไว้ จะหาความจริงไม่พบ

    พี่นักเขียนเลยอยากเตือนพวกเราด้วยว่า ในทางกลับกัน อย่าฝึกฝนการเปลี่ยนวิถีการจดจ่อของจิตวิญญาณด้วยสติสัมปชัญญะ โดยไม่ศึกษาข้อมูลความรู้จากหนังสือของท่านอาจารย์อนาลัย เวลาพี่นักเขียนแนะนำว่า คัดลอกมาจากเล่มใด บทใด อย่าก้าวกระโดดไปเอาสาระจำเพาะจากบทนั้น หน้านั้น จะทำให้ไม่ได้ความ และการฝึกฝนแม้จะดูเสมือนว่าได้ผล แต่ก็จะบิดเบือนไปจากความเป็นจริงด้วยความเชือที่ยังไม่ได้เปลี่ยนเป็นความรู้


    ด้วยความปรารถนาดีจากใจจริง(rose) (rose) (rose)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 สิงหาคม 2007
  4. nova_analai

    nova_analai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    809
    ค่าพลัง:
    +7,489
    เฉลย : เลข 1 กับ เลข 7 มีความหมายอย่างไร?

    ตลอดเวลายาวนาน 7 ปีที่มีความฝันซ้ำๆ ว่าไปหาครูบาอาจารย์ที่ปราศจากร่างกายเนื้อหนัง คือท่านอาจารย์อนาลัย และไป download ข้อมูลความรู้มาจากท่านได้ไปหาท่านที่ชั้น 17ตลอด

    หลังจากนั้นไม่นานได้สามีก็ได้ condo ริมทะเลชะอำ จากลูกค้าเป็นค่าตอบแทน ก็"บังเอิญ"ได้ชั้นที่ 17

    ตั้งแต่เริ่มพิมพ์หนังสือเล่มแรกจนกระทั่งเสร็จหมด 10 เล่ม พี่นักเขียนจะต้อง"บังเอิญ"มองเห็นนาฬิกา เมื่อตัวเลขอยู่ที่ 11:11am และ 11:11pm แทบจะทุกวัน แม้ว่านอนหลับก็ยัง"บังเอิญ"ตื่นมามองเห็นนับครั้งไม่ถ้วน

    คุณ Mead ไวเรื่องตัวเลขจริงๆค่ะ(*) (*) (*) (*) (*)
     
  5. mead

    mead เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2005
    โพสต์:
    8,134
    ค่าพลัง:
    +62,441
    ขอบคุณพี่นักเขียนมากครับ...ผมทดลองฝึกตามที่พี่แนะนำให้ทุกขั้นตอน
    ถ้าเป็นแบบนี้คงเพราะว่า การที่เราเอาสติสัมปชัญญะเราไปจดจ่อกับเรื่องใดเรื่องหนึ่ง..โดยเชื่อมั่นในภาพแว่ปแรกที่เห็นแล้วไม่ปรุงแต่ง เชื่อว่าเวลาอดีต-ปัจจุบัน-อนาคต รวบหมดคือป้จจุบัน ทำจิตย้อนกลับไปเป็นเด็กๆเพราะเด็กจะมี Sence สัมผัสได้ดีกว่าครับมันน่าจะออกมาใกล้เคียงที่สุด เทคนิคนี้เชื่อว่าสามารถทำได้ทุกคน ข้อมูลส่วนกลางมีอยู่ทุกคนเรียนรู้ได้แน่จากเครือข่ายจิตวิญญาณ ตามที่อาจารย์อนาลัยกล่าวไว้ครับ

    เช่นเห็นรูปเขียนของพี่ แล้วลอง search ข้อมูลดูเล่นๆ เห็นภาพแบบตามด มุมต่ำเห็นพรม(ไม่รู้สี) เห็นเก้าอี้สองสี สูงขึ้นไปเป็นโต๊ะขาวๆ มองผ่านไปเห็นผนังและตู้ไม้..ไม่ได้กำหนดสีไว้ล่วงหน้า เห็นอะไรก็จำเท่าที่ทำได้ครับ (แว่ปแรก)
    คิดว่าน่าจะทำได้เฉพาะคนที่เรารู้จักเป็นพิเศษมากกว่าครับ..สำคัญต้องอย่าคิดว่าฟลุ๊ก แบบที่พี่เตือนมาครับ..จะฝึกบ่อยๆครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 สิงหาคม 2007
  6. nova_analai

    nova_analai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    809
    ค่าพลัง:
    +7,489
    โลกแห่งความเป็นจริง-ของจิตวิญญาณ

    เพิ่มเติมจากสาระที่แล้ว -โลกแห่งความเป็นจริงทางกายภาพ และ โลกแห่งความเป็นจริงทางจินตภาพ :

    บางคนอาจมีคำถามว่า เรากำลังฝึกสมาธิหรือเรากำลังฝึกฝันกันแน่ ?
    คำตอบคือ เรากำลังฝึกสติสัมปชัญญะให้คมชัด เพื่อรู้เห็นเมื่อจิตวิญญาณเปลี่ยนวิถีการจดจ่อด้วยสติสัมปชัญญะไปสู่โลกอื่น-มิติอื่น

    การอยู่ในภวังค์สมาธิ แตกต่างกับความฝันโดยสิ้นเชิงเมื่อความฝันนั้นๆเป็นไปโดยปราศจากสติสัมปชัญญะอันคมชัด
    แต่เมื่อสติสัมปชัญญะในความฝันมีความคมชัดอันเกิดจากการฝึกฝน ก็กล่าวได้ว่า การอยู่ในภวังค์สมาธิ ไม่แตกต่างกับความฝันอันมีสติสัมปชัญญะคมชัด-ซึ่งเรียกกันว่า นิมิต

    ท่านอาจารย์อนาลัยได้กล่าวไว้ในหนังสือ ความฝันกับวิถีแห่งจิตวิญญาณ ว่า:
    เมื่อจิตวิญญาณเปลี่ยนวิถีกาจดจ่อไปยังมิติที่แตกต่างไป รูปกายตัวตนของเธอจะเปลี่ยนแปลงไปด้วย หากปราศจากรูปกายของตัวตนทั้งหลาย เธอจะรู้สึกเคว้างคว้าง-หลงทางอย่างแน่นอน แม้ว่ารูปกายของตัวตนจะเป็นสิ่งที่ไม่สำคัญ แต่รูปกายของตัวตนก็บ่งบอกให้เธอรู้ว่า เธอกำลังมีประสบการณ์อยู่ในมิติใด

    ตัวตนในความฝัน
    ตัวตนในความฝันแบ่งออกได้เป็นสามประเภทตามภาวะการจดจ่อของจิตวิญญาณด้?วยสติสัมปชัญญะคือ :
    ๑. การจดจ่อเอาใจใส่ในสิ่งที่เป็นกายภาพ ได้แก่ วัตถุสิ่งของ
    ๒. การจดจ่อเอาใจใส่ในสิ่งที่เป็นจินตภาพ ได้แก่ ความรู้สึกนึกคิด
    ๓. การจดจ่อเอาใจใส่ในความว่างเปล่า ได้แก่ ห้วงแห่งความว่างเปล่า ความเงียบ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 สิงหาคม 2007
  7. mead

    mead เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2005
    โพสต์:
    8,134
    ค่าพลัง:
    +62,441
    เมื่อคืนลอง search ข้อมูลเรื่องแอตแลนตีส (ตามเทคนิคของพี่นักเขียน)
    ได้เรื่องอีกแล้วครับ..ฝันเห็นเมืองใหญ่มากโทนสีออกชมพูอ่อนจากมุมสูง-เหมือนบินอยู่..เห็นกำแพงใหญ่โต 3 ชั้นลักษณะเป็นวงกลมมีคลองขุดรอบกำแพง และคลองอีกเส้นพุ่งออกมาที่ทะเล..
    ลงไปสำรวจแต่บรรยากาศเหมือนเมืองร้าง ไม่มีคนเลย เดินเข้าไปดูในกำแพงใหญ่ ปรากฎว่ามีห้องลับๆอยู่ที่นั่นมากมาย บางห้องมีโครงกระดูกนักบวช..กับแท่งหินใหญ่ๆสูงเกือบถึงเพดานสูงมาก..บางห้องดูน่ากลัวมาก เลยเลื่ยงเดินไปจนถึงห้องโถงห้องหนึ่งกว้างมากๆ ไม่มีเสา ผนังเป็นหินสีดำเงาๆ..มีรูปปั้นเทพคล้ายโพไซดอนอยู่กลางห้อง..มีแสงจากภายนอกสาดเข้ามาพอเดินออกไปดูเป็นท่าเรือเล็กๆคล้ายท่าเรือตามบ้านนี่ล่ะครับ มีเรือลำนึงทำด้วยไม้ประดับตกแต่งปิดทองสวยงามมากๆ..แต่ไม่ได้ลงไปครับ.
    ในฝันลืมไปครับว่า ที่พี่นักเขียนบอกให้สำรวจตัวเองว่าเป็นใคร..ลืมจริงๆ..มัวแต่ดูอย่างอื่นเพลินอยู่ครับ..วันหลังเอาใหม่เล่าให้ฟังครับสนุกๆ
     
  8. mead

    mead เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2005
    โพสต์:
    8,134
    ค่าพลัง:
    +62,441
    ยิ่งพี่มาเฉลย ยื่งทำให้เห็นว่าความบังเอิญไม่มีในโลกจริงๆนะครับ
    ผมตั้งข้อสังเกตเอาไว้สนุกๆครับ..รู้สึกเห็นความสัมพันธ์บางอย่าง

    [b-wai]
     
  9. คนขายธูป

    คนขายธูป เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    252
    ค่าพลัง:
    +2,964

    Ohวววว แจ่มชัดมากครับ
    นี่ละน้า "ปัญญา" ที่เกิดจากการปฏิบัติจิต (ภาวนามยปัญญา)
    ไม่น่าเชื่อจะมีวิธีที่ง่ายขนาดนี้ และรู้ได้ลึกซึ้งขนาดนี้

    (b-malang) อย่างนี้พลาดไม่ได้ต้องลอง!
     
  10. คนขายธูป

    คนขายธูป เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    252
    ค่าพลัง:
    +2,964

    การประสานกายจิตวิญญาณ (จิตวิญญาณประสานกาย) เป็นหนึ่งเดียวกัน
    (เอกัคตารมณ์) ขณะฝันเป็นสิ่งที่ยากฮะ เพราะใจหรือสมองเราตั้งโปรแกรม
    ไว้ว่าจะทำอย่างนี้ๆ จิตก็รับคำสั่งใจมา จากนั้น สมองก็หลับไป จิตก็พักไป
    ไปคนละทิศละทางกันก่อน

    ภาวะที่จิตไม่รู้เรื่องของกายใจ ก็คือ ภาวะเทียบกับ "ฌานสี่" แต่เป็นโดย
    ธรรมชาติ และไม่อยู่ในขณะจิตมีสติ ทำให้ไม่รู้อะไรเลย

    พอจิตกับใจเริ่มกลับมารวมเป็นหนึ่ง (เอกัคตารมณ์) จิตจะเริ่มรับรู้เรื่องราว
    ของใจ ใจก็จดจำสิ่งที่จิตรู้ได้ (ตื่นมาถึงจำความฝันได้ เพราะใจทำงาน สมอง
    ทำงาน สัญญาณขันธ์ทำงานไงฮะ) ตอนนี้จิตออกจากภาวะเป็นอิสระจาก
    กายและใจ เพื่อมารับรู้เรื่องของใจ

    ใจก็รับรู้เรื่องของจิตตามโปรแกรมที่ตั้งใจ ทำหน้าที่เป็นเรขาฯ จดสิ่งที่จิตรู้
    เพื่อบอกเราตอนตื่น ภาวะตอนนี้ เสมือน จิตถอยออกจากฌานสี่ มาสู่ฌานสาม
    เป็นช่วงที่จิตใจรับรู้ได้ว่าเกิดอะไรขึ้น ไม่ใช่ดับวูบไปหมดไม่รู้อะไรเลย ซึ่งเป็น
    สามธิที่สูงเกินไป ไม่พอดี จึงไม่รู้เรื่องอะไร พอออกจากภาวะนี้มาอยู่ภาวะรับรู้
    ก็เทียบกับวิปัสสนาแบบเซน คือ คิดจากความว่าง หรือออกจากสุญญตา

    แต่กำลังจิตอาจยังไม่กล้าแข็งพอที่จะใช้ใจ ดังนั้น บางทีลืมทำบางอย่างได้ฮะ
    การหลอมรวมจิตใจเป็นหนึ่งในฝัน จนเป็นตัวเราเต็มที่ ทำได้ตามประสงค์
    จึงต้องมาฝึกฝันกันนี่ละฮะ


    คิดว่าไงฮะ? ;)
     
  11. คนขายธูป

    คนขายธูป เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    252
    ค่าพลัง:
    +2,964
    เวลาเราดิ่งสู่ฌาน

    เราจะรวมจิตเป็นเอกัคตารมณ์ กำหนดอารมณ์ตามกรรมฐานนั้นๆ หนึ่งเดียว
    เช่น อารมณ์ว่างก็ว่างอย่างเดียว แล้วไม่วอกแว่กออกไป ซึ่งทำในขณะสมอง
    กำลังทำงานอยู่ ดังนั้น การทำงานของสมองจะรบกวนอารมณ์กรรมฐานมาก
    เช่น คิดฟุ้งซ่านไปนานมากไม่มีสมาธิ, กังวลสังสัยแคลงใจ ฯลฯ

    แล้วรอให้สิ่งรกๆ ทั้งหลายดับไปทีละอย่างๆๆๆ เรียกว่า "ด้นไปข้างหน้า"
    (อนุโลมญาณ)

    เวลาเข้าสมาธิเมื่อฝัน

    จิตและสมองจะพักไปก่อน สมองดับ หรือหยุดพักการทำงานไปก่อน จากนั้น
    นิวรณ์ห้าประการจึงหมดสิ้น เพราะ "กิเลสและนิวรณ์ทั้งปวง" อยู่กับใจหรือ
    สมองนะฮะ จิตมันไม่ได้มีกิเลสหรือนิวรณ์ จิตมันประภัสสร เป็นพุทธะเป็นทุน

    ดังนั้น เมื่อนิวรณ์ห้าดับหมด จิตที่มีกำลัง กลับมาทำงานร่วมกับใจหรือสมอง
    ก็สามารถรับรู้กระบวนการทำงาน เกิด "ภาวนามยปัญญา" ได้เหมือนกัน
    แต่แบบเข้าด้วยวิธีฝันนี้ เป็นเข้าทาง "สุญญตา" คือ เข้าเมื่อสิ่งต่างๆ อัน
    เป็นมายาดับไปแล้ว จึงเป็นการเข้าแบบถอยกลับหลัง หรือ "ปฏิโลมญาณ"

    หรือคิดว่าไงฮะ?
     
  12. nova_analai

    nova_analai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    809
    ค่าพลัง:
    +7,489
    เชื่อมั่นในภาพแรก

    ถูกต้องที่สุดค่ะที่คุณ Mead ว่า เอาสติสัมปชัญญะเราไปจดจ่อกับเรื่องใดเรื่องหนึ่ง..โดยเชื่อมั่นในภาพแว่ปแรกที่เห็นแล้วไม่ปรุงแต่ง

    เรารู้เห็นได้หมดค่ะไม่จำเป็นว่าจะต้องทำได้แต่เพียงเฉพาะคนที่เรารู้จักเป็นพิเศษ แต่ถ้าหากว่าเราเชื่อว่ามันจำกัดเพีียงแค่คนรู้จักเป็นพิเศษเท่านั้น มันก็จะกลายเป็นเช่นนั้นไปจริงๆ

    ที่จริงแล้วบ่อยครั้งเราอาจรู้เห็นเรื่องราวคนที่เรายังไม่ได้รู้จักเลยด้วยซ้ำไปในความฝันหรือในสมาธิค่ะ แต่เมื่อไปรู้เห็นแล้วก็คอยเชื่อขนมกินได้ว่า ในอนาคตจะต้องพบเห็นบุคคลดังกล่าวพร้อมด้วยประสบการณ์นั้นๆที่ไปรู้เห็นมา ถ้าเรื่องราวที่ไปรู้เห็นเป็นเรื่องที่สำคัญมากๆขนาดว่าคอขาดบาดตาย หรือเป็นปัญหาใหญ่หลวง เมื่อถอนออกมาจากสมาธิ หรือตื่นมาจากความฝัน จะรับเอาอารมณ์มาด้วยเต็มๆเหมือนเราไปเป็นเขา เหมือนเป็นหน้าที่ว่าจะต้องไปส่งสาร ทั้งที่ยังไม่รู้ว่าเป็นใคร

    เมื่อเราไปรับอะไรได้อย่างที่คุณ Mead คุณ Mountain หรือ คุณ Falkmman รับรู้ได้ ไม่ว่าจะบางส่วน เช่น บอกเลขได้ถูก 1เลขจาก 3 เลข หรือบอกถูกทั้งหมดเช่นกรณีของคุณ Mead ที่รู้เห็นห้องทำงานของพี่นักเขียน (มิน่านึกว่าโดนมดต่าย!) ก็มักจะถูกคนทั่วไปมองข้ามไปหมด ว่าเป็นเพียงความบังเอิญบ้าง ฟลุ๊คบ้าง ความมั่นใจก็เกิดได้ยาก ทำให้เราพลอยร้างรากับการฝึกฝนไป ในที่สุดก็กลายเป็นยอมรับโดยปริยายว่า เราทำได้เพียงเพราะว่าบังเอิญ หรือ ฟลุ๊ค

    ต่อไปพี่นักเขียนจะทะยอยเล่าประสบการณ์ให้ฟัง ควบไปกับการฝึกฝนของพวกเรา เพื่อให้พวกเรามั่นใจได้ว่า เราทุกคนทำได้ จากจุดเริ่มต้นง่ายๆที่เราลองทำกันอยู่ตอนนี้ สำคัญต้องอย่าคิดว่าฟลุ๊ก แล้วช่วยกันให้กำลังใจกัน ผู้ที่ใฝ่รู้ใฝ่ศึกษาอย่างพวกเรามีน้อย เพราะเราขาดคนให้กำลังใจที่จะทำให้เกิดความเชื่อมั่น

    วันนี้จะเล่าให้ฟังเรื่องนึง: ก่อนที่คุณ Mead จะชวนมาสนทนาที่ห้องวิทย์นี่ 3 เดือน แว้บหนึ่งขณะที่ปล่อยใจสบายๆ ได้ยินเสียงภายในท่านอาจารย์อนาลัยกล่าวว่า Analai Virtual University แล้วก็รับรู้ว่าตัวเองมีเวลาอยู่กับงานส่วนตัวเพียงแค่ 3 เดือน ก็ต้องไปประจำการทำหน้าที่อะไรบางอย่าง(อีกแล้ว) แต่เมื่อได้ยินอย่างนั้นก็นึกคิดไม่ออกหรอกค่ะว่าจะเป็นไปได้อย่างไร เพราะทำคนเดียวอย่างมากก็ทำได้แค่ website: novvaanalai.com ที่เห็นนั่นแหละ (Virtual University หมายถึง Online University หรือมหาลัยทางอินเตอร์เน็ด)

    พี่นักเขียนโชคดีที่ช่วงชีวิตที่ผ่านมา ได้พบปะกับกลุ่มคนที่สนับสนุนและให้ความมั่นใจมาตลอด จนตระหนักได้ว่า มันมีความสำคัญต่อการพัฒนาของเราทุกคนเป็นอันมาก จึงอยากจะให้ความมั่นใจกับใครๆต่อ ก็ต้องขอบคุณ คุณ Mead อีกครั้งนะคะที่มาเปิดมิติตรงนี้ให้ความฝันอันคมชัดของพี่น้กเขียนเป็นจริงไปอีกเรื่องนึง

    ทีนี้จะไปไหนต่อกันดีล่ะคะ น่าจะลองนัดพบกันในความฝันบ้างนะพวกเรา อย่าลืมเอาส้มตำกับน้ำส้มคั้นมาฝากกันบ้างนะคะ พี่นักเขียนจะเตรียมขนมไว้คอยท่า
     
  13. mead

    mead เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2005
    โพสต์:
    8,134
    ค่าพลัง:
    +62,441
    นัดเจอในความฝัน จะจำกันได้มั๊ยเอ่ย?...ผมอาจปลอมเป็นต่างดาวไปหา
    ต่างร่าง ต่างมิติ อิอิ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 สิงหาคม 2007
  14. nova_analai

    nova_analai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    809
    ค่าพลัง:
    +7,489

    จิตวิญญาณมาถือกำเนิดเป็นร่างกายเนื้อหนัง จิตวิญญาณมีสติสัมปชัญญะที่ทำหน้าที่ 3 ส่วนด้วยกันคือ:
    1. สติสัมปชัญญะส่วนที่จดจ่อกับตัวตนภายใน
    2.สติสัมปชัญญะส่วนที่จดจ่อกับรูปกายหรือร่างกาย
    3.สติสัมปชัญญะส่วนที่จดจ่อกับตัวตนภายนอก
    จิตวิญญาณจึงไม่เคยแยกกับร่างกาย ในลักษณะที่ไม่รู้ไม่เห็นกาย หากแต่ความเชื่อของเราเป็นตัวบดบังความรู้เหล่านั้น เมื่อเราเชื่อว่าพอเรานอนหลับ สมองก็หยุดทำงาน เราจะรู้เห็นอะไรไม่ได้ ก็เพราะสมองเราตั้งโปรแกรมไว้เช่นนั้น

    ภาวะจิตจะเป็น ฌาน 4 ได้ท้ังในภวังค์สมาธิหรือในความฝัน ก็ต่อเมื่อมีสติสัมปชัญญะอันคมชัด ซึ่งทำให้ภาวะทั้งสองเสมอเหมือนกัน แม้เป็นไปโดยธรรมชาติโดยปราศจากการฝึกฝน จิตวิญญาณก็สามารถเปลี่ยนวิถีการจดจ่อไปสู่โลกแห่งความฝันด้วยสติสัมปชัญญะอันคมชัดได้ แต่ถ้าว่าหากไม่รู้อะไรเลย ก็หมายความว่าสติสัมปชัญญะขาดความคมชัด ทำให้จดจำอะไรไม่ได้ จะเรียกว่าเป็นฌาน 4 ไม่ได้แน่นอน เพราะภาวะอันเป็นฌาน 4นั้น แม้ประสาทสัมผัสทั้งห้าจะปิดลง ร่างกายไม่รับรู้ หรือร่างกายหลับ แต่ก็เป็นภาวะที่จิต หรือจิตวิญญาณยังตื่นอยู่อย่างคมชัด และรับรู้ด้วยประสาทสัมผัสภายในบางชนิด ที่เริ่มทำงาน ได้แก่ประสาทสัมผัสภายในที่ทำให้ได้ยินและมองเห็น แต่ประสาทสัมผัสภายในชนิดอื่นๆยังไม่ทำงาน

    จิต คือ อารมณ์ จินตนาการและความรู้สึกนึกคิด
    วิญญาณคือ ข้อมูลความรู้และความทรงจำข้ามชาติภพ

    จิตและวิญญาณไม่เคยแยกกันอยู่ เพราะจิตเป็นผลังผลักดันให้เกิดการถ่ายทอดข้อมูลความรู้ ความรู้อันปราศจากการถ่ายทอดเป็นความเสื่อม เมื่อจิตประสานกันวิญญาณก็เรียกว่าจิตวิญญาณ

    จากหนังสือ โนวา อนาลัย ขยายความธรรมชาติของชาติภพ
     
  15. คนขายธูป

    คนขายธูป เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    252
    ค่าพลัง:
    +2,964

    อย่างที่นักเขียนกล่าวมา

    จิตวิญญาณจดจ่อกับสามสิ่ง จิตวิญญาณ ตัวตนภายใน ภายนอกนั้น
    เอ? เวลาเราเผลอขาดสติ ไปมองสาวๆ ที่ไม่ใช่ตัวเรา (หรือเปล่า?)
    อย่างนี้ เรียกว่าจิตวิญญาณจดจ่อกับอะไรดีฮะ?

    ตาม ๑ ใน ๓ ที่ได้กล่าวมา?
     
  16. zipper

    zipper เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กันยายน 2004
    โพสต์:
    5,226
    ค่าพลัง:
    +10,590
    สวัสดีฮะ
    เข้ามาอ่านก็เห็นพี่นักเขียนถามถึงเรื่อง Black hole กับ big bang สองเรื่องนี้เอาไว้คราวหลังก็ได้ฮะ จะก็อปจากที่อื่นให้อ่าน ห่ะๆๆ

    แต่วันนี้อยากจะมาถามว่า เวลาที่เราฝันจะเกี่ยวกับความถูกต้องของข้อมูลที่เราได้หรือเปล่า อย่างที่เค้าบอกว่า ถ้าฝันช่วงนี้จะเป็นเพราะร่างกายเราทำงาน ถ้าฝันช่วงนี้ถึงจะเป็นเทพนิมิตร

    คือวันนี้ก็ฝันแต่ว่าเป็นฝันช่วงประมาณ 8 โมงเช้า (ตื่นเกือบๆ 9 โมง) ก็เลยไม่รู้ว่าเป็นฝันที่ฝันไปเองหรือเปล่า ก็กะจะมาเล่าฝันให้อ่านกันเล่นๆ ด้วย จะเอาเท่าที่จำได้ละกัน เพราะตอนที่ตื่นมานั้น ก็ยังพอจำฝันได้ ก็พยายามจำว่าฝันอะไร จำเป็น key word หลักๆ ไว้ด้วย แต่พอลุกขึ้นมาหยิบสมุดจด ความฝันไอ้ที่จำๆ ไว้ บางส่วนก็หายๆ ไปหน่อย เหมือนมันตกหล่นระหว่างทางที่เดินไปงั้นแหล่ะ

    ก่อนนอนก็คิดว่าอยากรู้เรื่องชาติภพ แต่ก็คิดแบบไม่ได้เน้นย้ำอะไร ก็เลยคิดว่าไอ้ที่ฝันมันคงไม่ใช่เรื่องที่คิดไว้ก่อนนอนหรอก เรื่องที่ฝันนั้น ฝันว่า.......


    อยู่ที่บ้าน(เหมือนว่าอยู่กับแม่) เหมือนว่าจะหาตู้ปลา กำลังคิดว่าจะเลี้ยงปลา จำได้ว่าตัวเองกำลังเอามือดันปากถุงให้กว้าง(เอามือสอดเข้าไปในปากถุงแล้วดันออกด้านข้าง) ถุงนั้นขนาดก็พอๆ กับถุงขยะนี่แหล่ะ แต่ว่าเป็นพลาสติกใส ในถุงนั้นมีปลาว่ายอยู่ แล้วแม่(ถ้าจำไม่ผิด) ก็เอาปลายางมา(ความรู้สึกในฝันนั้นบอกว่าเป็นยาง) ปลายางนั้นมีสีส้ม(มีลายขาวหรือเปล่าก็ไม่แน่ใจ) ก็บอกแม่ว่าจะเอามาทำไม แม่ก็บอกว่าจะเอามาใส่ให้มันว่าย ก็ถามแม่ต่อว่ามันจะว่ายได้เหรอ แม่ก็บอกว่าได้สิ แล้วก็หย่อนลงไปในน้ำให้ดู ซักพักมันก็ว่ายไปมา ตอนนั้นก็รู้สึกประหลาดใจเหมือนกันว่าทำไมมันว่ายได้ (คำสนทนาจำไม่ได้หมด แต่นึกเอาว่าน่าจะราวๆ นี้)

    หลังจากนั้นก็ตัดไปเป็นว่า กำลังดูบ้านหลังหนึ่งอยู่ในสวนตัวเอง(สวนที่ไหนก็ไม่รู้ แต่ความรู้สึกในฝันบอกว่าเป็นสวนของตัวเอง) บ้านหลังนั้นเหมือนว่ายังทำไม่เสร็จดี ผนังยังเป็นสีปูนอยู่เลย ในบ้านโล่งๆ ไม่มีเฟอร์นิเจอร์ซักชิ้น(แหงอยู่แล้ว ก็บ้านยังทำไม่เสร็จนี่นา) เป็นบ้านชั้นเดียว ในฝันเหมือนรู้สึกว่าจะเอามาเลี้ยงปลา หรือว่าจะเอาตู้ปลามาไว้ที่บ้านนี้ หรืออะไรซักอย่างนี่แหล่ะ จำไม่ค่อยได้แล้ว แต่คุ้นเลาๆ ว่าบ้านสัมพันธ์กับปลา

    ส่วนอันนี้ไม่แน่ใจว่าเป็นเรื่องที่คิดในฝันหรือเปล่า คือ ตอนนั้นเหมือนจะคิดว่าจะปิดหน้าต่างบานเกล็ดเอาอะไรไปปิดตรงรูหน้าต่างบานเกล็ดไม่ให้น้ำออก แล้วเอากระจกไปต่อด้านหลังให้เหมือนตู้ปลา (นึกภาพออกหรือเปล่าเอ่ย ก็เหมือนว่าเป็นตู้ปลาแต่ด้านนึงเป็นหน้าต่างบานเกล็ด) ถ้าจำไม่ผิดอีกตอนนั้นเหมือนจะคิดว่า จะได้ดูปลาจากนอกบ้านได้ (ดูออกจะพิลึกพิลั่นหน่อยเนอะ ทำออกมาจริงคนคงบอกว่าบ้าแน่เลย -_-'')

    อ้อ ตอนที่ดูบ้านนั้นเหมือนว่าไปกับคนในครอบครัว แต่จำไม่ได้ว่ามีแม่หรือเปล่า แต่ความรู้สึกเหมือนว่ามี แต่ไม่แน่ใจว่ามีคนอื่นอีกหรือเปล่า

    หลังจากนั้นก็มองดูสวนเห็นแมลงเห็นนกมากมาย เห็นนกแปลกๆ ที่ไม่เคยเห็น ก็คิดว่าน่าจะถ่ายรูปเก็บไว้ ก็เลยเดินกลับไปเอากล้อง (กล้อง Ricoh r4 ที่มีอยู่) ระหว่างทางก็เห็นแมลงปอตัวใหญ่ๆ เห็นนกรูปร่างแปลกๆ มีหงอน(หรือโหนกเรียกไม่ถูก)โค้งๆ โค้งขึ้น รูปร่างใหญ่พอควร สูงซักฟุตครึ่ง หรือเกือบๆ สองฟุตได้มั๊ง ตอนนั้นดูอยู่ไกลๆ เลยกะขนาดไม่ค่อยได้ ที่เรียกเป็นฟุตเพราะว่ากะกับความยาวของไม้บรรทัดเอา

    ในปากคาบนกตัวเล็กตัวนึง (ถ้าจำไม่ผิดจะสีชมพู) ยืนอยู่บนรัง จะเอานกตัวนั้นไปให้ลูกๆ มันกิน รังก็มีขนาดใหญ่เหมือนกัน สานด้วยไม้เล็กๆ อยู่บนพุ่มไม้(หรือไม่ก็แถวๆ พุ่มไม้)

    อ้อ สวนที่เห็นในฝันนั้น เป็นสวนเตียนๆ มีแต่พุ่มไม้เตี้ยๆ ไม่ค่อยมีไม้ใหญ่

    หลังจากนั้นก็ตื่นพอดี ก็แค่นี้แหล่ะ กับความฝัน(อันเพี้ยนนิดๆ) ของ zipper
     
  17. MOUNTAIN

    MOUNTAIN เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    15,035
    ค่าพลัง:
    +132,086
    ผมจะแปลงเป็นสามร่างนี้คับ(555)
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  18. mead

    mead เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2005
    โพสต์:
    8,134
    ค่าพลัง:
    +62,441

    (smile)

    NOTE****
    สำหรับผู้เข้ามาอ่านทีหลัง
    สามารถข้ามไปอ่านสาระจากผู้เขียนได้ตามหน้าข้างล่างนี้ครับ
    ผ่านมาเพียงอาทิตย์กว่าๆมีเนื้อหามากมายทีเดียวครับ


    ฝันอย่างไรให้คมชัด
    หน้า 7

    กำหนดจิตอย่างไรในความฝัน - ใกล้ตื่นให้จับอารมณ์
    หน้า13 , 14

    สารจากท่านอาจารย์อนาลัย - ตอบคำถาม:
    หน้า 17,18

    ภัยพิบัติ กับ อดีต-ปัจจุบัน-อนาคตของโลก
    ตีความหมาย-ความฝัน
    หน้า 21

    ประวัติศาสตร์ของจิตวิญญาณ
    หน้า 25

    ชาติภพ
    จุดประสานมิติ
    หน้า 27 ,31

    พระอรหันต์ นักบุญ Saint
    หน้า 28

    ภาคปฏิบัติ ปฐมฤกษ์
    หน้า 29

    ตัวอย่างประสบการณ์ในความฝันของนักเขียน
    หน้า 32,34

    การทดลองเรื่อง จิตวิญญาณต่างร่างแต่ร่วมวัตถุประสงค์
    ความงมงาย กับ ความจริงที่พิสูจน์ได้
    การแก้ไขอดีตหรืออนาคต จากปัจจุบัน ทำได้อย่างไร
    หน้า 35,36

    รวมพลังงาน เพื่อใช้ประโยชน์ในมิติมนุษย์
    หน้า 37

    พลังงานของสิ่งที่เรียกว่าวัตถุมงคล
    หน้า 38

    การนำจิตวิญญาณอัดลงในวัตถุธาตุ
    หน้า 39

    ขั้นตอนการทำสมาธิ
    หน้า 40

    กายหลับ-จิตตื่น
    หน้า 43

    การแก้ไขความกลัว
    หน้า 47

    โลกแห่งความเป็นจริง-ทางจินตภาพ
    โลกแห่งความเป็นจริง-ของจิตวิญญาณ
    หน้า 48

    เชื่อมั่นในภาพแรก
    หน้า 49

    ส่วนเพลงเพราะๆของนักเขียน ลิงค์นี้ครับ
    http://www.novaanalai.com/novaanalai/Track1-ResembleTheMoon.html
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 สิงหาคม 2007
  19. MOUNTAIN

    MOUNTAIN เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    15,035
    ค่าพลัง:
    +132,086
    สรุป ตั้งแต่ เรื่อง

    ขั้นตอนการทำสมาธิ
    การอัดจิตวิญญาณลงในวัตถุธาตุ
    โลกแห่งความเป็นจริงทาง-กายภาพ
    โลกแห่งความเป็นจริง-ทางจินตภาพ
    โลกแห่งความเป็นจริง-ของจิตวิญญาณ

    ได้จากกระทู้
    อภิญญา เอกซ์พี

    http://www.palungjit.org/board/showthread.php?t=86740&page=4
     
  20. คนขายธูป

    คนขายธูป เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    252
    ค่าพลัง:
    +2,964
    เอาข้อมูล "ปริยัติ" มาประกอบการ "ปฏิบัติ" ฝึกฝันครับ
    .................................................................


    คำว่า สมาบัติ แปลว่าถึงพร้อม แปลเหมือนกันกับคำว่า สมบัติ ศัพท์เดิมว่า สัมปัตติ
    แปลว่าถึงพร้อม มาแปลงเป็นบาลีไทย หมายความว่าศัพท์นั้นเป็นศัพท์บาลี แต่เรียกกันเป็นไทย ๆ
    เสีย ก็เลยเพี้ยนไปหน่อย เล่นเอาผู้รับฟังปวดเศียรเวียนเกล้าไปตามๆ กัน
    สมาบัติ แปลว่าเข้าถึงนั้น หมายเอาว่าเข้าถึงอะไร ข้อนี้น่าจะบอกไว้เสียด้วย ขอบอก
    ให้รู้ไว้เลยว่า ถึงจุดของอารมณ์ที่เป็นสมาธิหรือที่เรียกว่า ฌาน นั่นเอง เมื่ออารมณ์ของสมาธิ
    ที่ยังไม่เข้าระดับฌาน ท่านยังไม่เรียกว่า สมาบัติ เช่น

    ขณิกสมาธิ


    ขณิกสมาธิ แปลว่า ตั้งใจมั่นได้เล็กน้อย หรือนิดๆ หน่อยๆ คำว่า สมาธิ แปลว่า
    ตั้งใจมั่น ต้องมั่นได้นิดหน่อย เช่น กำหนดจิตคิดตามคำภาวนา ภาวนาได้ประเดี่ยวประด๋าว
    จิตก็ไปคว้าเอาความรู้สึกนึกคิดอารมณ์ภายนอกคำภาวนามาคิด ทิ้งองค์ภาวนาเสียแล้ว กว่าจะรู้ตัวว่า
    จิตซ่าน ก็คิดตั้งบ้านสร้างเรือนเสียพอใจ อารมณ์ตั้งอยู่ในองค์ภาวนาไม่ได้นานอย่างนี้ ตั้งอยู่ได้
    ประเดี๋ยวประด๋าว อารมณ์จิตก็ยังไม่สว่างแจ่มใส ภาวนาไปตามอาจารย์สั่งขาดๆ เกินๆ อย่างนี้แหละ
    ที่เรียกว่า ขณิกสมาธิ ท่านยังไม่เรียก ฌาน เพราะอารมณ์ยังไม่เป็นฌาน ท่านจึงไม่เรียกว่า
    สมาบัติ
    เพราะยังไม่เข้าถึงกฎที่ท่านกำหนดไว้

    ฌาน


    ขอแปลคำว่าฌานสักนิด ขอคั่นเวลาสักหน่อย ประเดี๋ยวเลยไปจะยุ่ง จะไม่รู้ว่า ฌาน
    แปลว่าอะไร คำว่า ฌาน นี้ แปลว่า เพ่ง หมายถึงการเพ่งอารมณ์ตามกฎแห่งการเจริญกรรมฐาน
    ถึงอันดับที่ ๑ เรียกว่าปฐมฌาน คือ ฌาน ๑ ถึงอันดับที่ ๒ เรียกว่าทุติยฌาน แปลว่า ฌาน ๒
    ถึงอันดับที่ ๓ เรียกว่า ตติยฌาน แปลว่าฌาน ๓ ถึงอันดับที่ ๔ เรียกว่า จตุตถฌาน แปลว่า ฌาน ๔
    ถึงอันดับที่แปด คือ ได้อรูปฌานถึงฌาน ๔ ครบทั้ง ๔ อย่าง เรียกว่า ฌาน ๘
    ถ้าจะเรียกเป็นสมาบัติก็เรียกเหมือนฌาน ฌาน ๑ ท่านก็เรียกว่า ปฐมสมาบัติ ฌานที่ ๒
    ท่านก็เรียกว่า ทุติยสมาบัติ ฌาน ๓ ท่านก็เรียก ตติยสมาบัติ ฌาน ๔ ท่านก็เรียกจตุตถสมาบัติ
    ฌาน ๘ ท่านเรียก อัฎฐสมาบัติ หรือสมาบัติแปดนั่นเอง

    อุปจารสมาธิ


    อุปจารสมาธินี้เรียกอุปจารฌานก็เรียก เป็นสมาธิที่มีความตั้งมั่นใกล้จะถึงปฐมฌานหรือ
    ปฐมสมาบัตินั่นเอง อุปจารสมาธิคุมอารมณ์สมาธิไว้ได้นานพอสมควร มีอารมณ์ใสสว่างพอใช้ได้
    เป็นพื้นฐานเดิมที่จะฝึกทิพยจักษุญาณได้ อารมณ์ที่อุปจารสมาธิเข้าถึงนั้นมีอาการดังนี้
    ๑. วิตก คือความกำหนดจิตนึกคิดองค์ภาวนาหรือกำหนดรูปกสิณ จิตกำหนดอยู่ได้
    ไม่คลาดเคลื่อน ในเวลานานพอสมควร
    ๒. วิจาร การใคร่ครวญในรูปกสิณนิมิต ที่จิตถือเอาเป็นนิมิตที่กำหนด มีอาการเคลื่อนไหว
    หรือคงที่ มีสีสันวรรณะเป็นอย่างไร เล็กหรือใหญ่ สูงหรือต่ำ จิตกำหนดรู้ไว้ได้ ถ้าเป็นองค์ภาวนา
    ภาวนาครบถ้วนไหม ผิดถูกอย่างไร กำหนดรู้เสมอ ถ้ากำหนดลมหายใจ ก็กำหนดรู้ว่า หายใจเข้า
    ออกยาวหรือสั้น เบาหรือแรง รู้อยู่ตลอดเวลาอย่างนี้ เรียกว่าวิจาร
    ๓. ปีติ ความปลาบปลื้มเอิบอิ่มใจ มีจิตใจชุ่มชื่นเบิกบาน ไม่อิ่มไม่เบื่อในการเจริญภาวนา
    อารมณ์ผ่องใส ปรากฏว่าเมื่อหลับตาภาวนานั้นไม่มืดเหมือนเดิม มีความสว่างปรากฏคล้ายใคร
    นำแสงสว่างมาวางไว้ใกล้ๆ บางคราวก็เห็นภาพและแสงสีปรากฏเป็นครั้งคราว แต่ปรากฏอยู่ไม่นาน
    ก็หายไป อาการของปีติมีห้าอย่างคือ
    ๓.๑ มีการขนลุกขนชัน ท่านเรียกว่าขนพองสยองเกล้า
    ๓.๒ มีน้ำตาไหลจากตาโดยไม่มีอะไรไปทำให้ตาระคายเคือง
    ๓.๓ ร่างกายโยกโคลง คล้ายเรือกระทบคลื่น
    ๓.๔ ร่างกายลอยขึ้นเหนือพื้นที่นั่ง บางรายลอยไปได้ไกลๆ และลอยสูงมาก
    ๓.๕ อาการกายซู่ซ่า คล้ายร่างกายโปร่ง และใหญ่โตสูงขึ้นอย่างผิดปกติ
    อาการทั้งห้าอย่างนี้ แม้อย่างใดอย่างหนึ่ง เป็นอาการของปีติ ข้อที่ควรสังเกตก็คือ
    อารมณ์จิตชุ่มชื่นเบิกบานแม้ร่างกายจะสั่นหวั่นไหว บางรายตัวหมุนเหมือนลูกข่างแต่จิตใจก็เป็นสมาธิ
    แนบแน่นไม่หวั่นไหว มีสมาธิตั้งมั่นอยู่เสมอ การกำหนดจิตเข้าสมาธิก็ง่าย คล่อง ทำเมื่อไร เข้าสมาธิได้
    ทันที อาการของสมาธิเป็นอย่างนี้
    ๔. สุข ความสุขชื่นบาน เป็นความสุขที่ละเอียดอ่อน ไม่เคยปรากฏการณ์มาก่อนเลยในชีวิต
    จะนั่งสมาธินานแสนนานก็ไม่รู้สึกปวดเมื่อย อาการปวดเมื่อยจะมีก็ต่อเมื่อคลายสมาธิแล้ว ส่วนจิตใจ
    มีความสุขสำราญตลอดเวลา สมาธิก็ตั้งมั่นมากขึ้น อารมณ์วิตกคือการกำหนดภาวนา ก็ภาวนาได้ตลอด
    เวลา การกำหนดรู้ความภาวนาว่าจะถูกต้องครบถ้วนหรือไม่เป็นต้น ก็เป็นไปด้วยดี มีธรรมปีติชุ่มชื่น
    ผ่องใส ความสุขใจมีตลอดเวลา สมาธิตั้งมั่น ความสว่างทางใจปรากฏขึ้นในขณะหลับตาภาวนา อาการ
    ตามที่กล่าวมาทั้งหมดนี้แหละ ที่เรียกว่า อุปจารสมาธิ หรือเรียกว่า อุปจารฌาน คือเฉียดๆ จะถึง
    ปฐมฌานอยู่แล้ว ห่างปฐมฌานเพียงเส้นยาแดงผ่า ๓๒ เท่านั้นเอง ตอนนี้ท่านยังไม่เรียกฌานโดยตรง
    เพราะอารมณ์ยังไม่ครบองค์ฌาน ท่านจึงยังไม่ยอมเรียกว่าสมาบัติ เพราะยังไม่ถึงฌาน

    ปฐมฌาน หรือ ปฐมสมาบัติ

    ปฐมฌาน หรือปฐมสมาบัตินี้ ท่านกำหนดองค์ของปฐมฌาน หรือปฐมสมาบัติไว้ ๕ อย่าง
    ดังต่อไปนี้
    ๑. วิตก จิตกำหนดนึกคิด โดยกำหนดรู้ลมหายใจเข้าออก ว่าหายใจเข้าหรือออก ถ้าใช้คำ
    ภาวนา ก็รู้ว่าเราภาวนาอยู่ คือภาวนาไว้มิให้ขาดสาย ถ้าเพ่งกสิณ ก็กำหนดจับภาพกสิณอยู่ตลอดเวลา
    อย่างนี้เรียกว่าวิตก
    ๒. วิจาร ถ้ากำหนดลมหายใจ ก็ใคร่ครวญกำหนดรู้ไว้เสมอว่า เราหายใจเข้าหรือหายใจออก
    หายใจเข้าออกยาวหรือสั้น หายใจเบาหรือแรง ในวิสุทธิมรรคท่านให้รู้กำหนดลมสามฐานคือ หายใจเข้า
    ลมกระทบจมูก กระทบอก กระทบศูนย์เหนือสะดือนิดหน่อย หายใจออกลมกระทบศูนย์ กระทบอก
    กระทบจมูกหรือริมฝีปาก
    ถ้าภาวนา ก็กำหนดรู้ไว้เสมอว่า เราภาวนาถูกต้องครบถ้วนหรือไม่ประการใด
    ถ้าเพ่งภาพกสิณ ก็กำหนดหมายภาพกสิณว่า เราเพ่งกสิณอะไร มีสีสันวรรณะเป็นอย่างไร
    ภาพกสิณเคลื่อนหรือคงสภาพ สีของกสิณเปลี่ยนแปลงไปหรือคงเดิม ภาพที่เห็นอยู่นั้นเป็นภาพกสิณ
    ที่เราต้องการ หรือภาพหลอนสอดแทรกเข้ามา ภาพกสิณเล็กหรือใหญ่ สูงหรือต่ำ ดังนี้เป็นต้น อย่างนี้
    เรียกว่า วิจาร
    ๓. ปีติ ความชุ่มชื่นเบิกบานใจ มีเป็นปกติ
    ๔. ความสุขเยือกเย็น เป็นความสุขทางกายอย่างประณีต ซึ่งไม่เคยมีมาในกาลก่อน
    ๕. เอกัคคตารมณ์ มีอารมณ์เป็นหนึ่ง คือ ตั้งมั่นอยู่ในองค์ทั้ง ๔ ประการนั้นไม่คลาดเคลื่อน
    ข้อที่ควรสังเกตก็คือ ปฐมฌานหรือปฐมสมาบัตินี้ เมื่อขณะทรงสมาธิอยู่นั้นหูยังได้ยินเสียง
    ภายนอกทุกอย่าง แต่ว่าอารมณ์ภาวนาหรือรักษาอารมณ์ไม่คลาดเคลื่อน ไม่รำคาญในเสียง เสียงก็ได้ยิน
    แต่จิตก็ทำงานเป็นปกติ อย่างนี้ท่านเรียกว่า ปฐมฌาน คือ อารมณ์เพ่งอยู่ โดยไม่รำคาญในเสียง
    ทรงความเป็นหนึ่งไว้ได้ ท่านกล่าวว่า กายกับจิตเริ่มแยกตัวกันเล็กน้อยแล้ว ตามปกติจิตย่อมสนใจ
    ในเรื่องของกาย เช่นหูได้ยินเสียง จิตก็คิดอะไรไม่ออกเพราะรำคาญในเสียง แต่พอจิตเข้าระดับ
    ปฐมฌาน กลับเฉยเมยต่อเสียง คิดคำนึงถึงอารมณ์กรรมฐานได้เป็นปกติ ที่ท่านเรียกว่าปฐมสมาบัติ
    ก็เพราะอารมณ์สมาธิเข้าถึงเกณฑ์ของปฐมฌาน ที่จิตกับกายเริ่มแยกทางกันบ้างเล็กน้อยแล้วนั่นเอง

    อารมณ์ปฐมฌาน และปฐมสมาบัติ


    เพื่อให้จำง่ายเข้า จะขอนำอารมณ์ปฐมฌานมากล่าวโดยย่อเพื่อทราบไว้ อารมณ์ปฐมฌาน
    โดยย่อมีดังนี้
    ๑. วิตก ความตรึกนึกคิดถึงอารมณ์ภาวนา
    ๒. วิจาร ความใคร่ครวญทบทวนถึงองค์ภาวนานั้นๆ ครบถ้วนถูกต้องหรือไม่เพียงใด
    ๓. ปีติ ความเอิบอิ่มใจ มีความชุ่มชื่นเบิกบานหรรษา
    ๔. สุข มีความสุขสันต์ทางกายและจิตใจอย่างไม่เคยมีมาในกาลก่อน เป็นความสุขอย่าง
    ประณีต
    ๕. เอกัคคตา มีอารมณ์เป็นหนึ่ง คือ ทรงวิตก วิจาร ปีติ สุข ไว้ได้โดยไม่มีอารมณ์อื่นเข้ามา
    แทรกแซง
    องค์ปฐมฌาน หรือ ปฐมสมาบัติ ๕ อย่างที่กล่าวมาแล้วนี้ ต้องปรากฏพร้อมๆ กันไป คือนึก
    คิดถึงองค์ภาวนา ใคร่ครวญในองค์ภาวนานั้น ๆ ว่าครบถ้วนถูกต้องหรือไม่ประการใด มีความชุ่มชื่น
    เบิกบานใจ มีอารมณ์ผ่องใสสว่างไสวในขณะภาวนา มีความสุขสันต์หรรษา มีอารมณ์จับอยู่ในองค์ -
    ภาวนา ไม่สนใจต่ออารมณ์ภายนอก แม้แต่เสียงที่ได้ยินสอดแทรกเข้ามาทำให้ได้ยินชัดเจน แต่จิตใจ
    ก็ไม่หวั่นไหว ไปตามเสียงนั้น จิตใจคงมั่นคงอยู่กับอารมณ์ภาวนาเป็นปกติ

    เสี้ยนหนามของปฐมฌาน


    เสี้ยนหนามหรือศัตรูตัวสำคัญของปฐมฌาน หรือ ปฐมสมาบัตินี้ ก็ได้แก่เสียง เสียงเป็นศัตรู
    ที่คอยทำลายอารมณ์ปฐมฌาน ถ้านักปฏิบัติทรงสมาธิอยู่ได้ โดยไม่ต้องระแวงหวั่นไหวในเสียง คือ
    ไม่รำคาญเสียงที่รบกวนได้ก็แสดงว่าท่านเข้าถึงปฐมฌานแล้ว ข้อที่ไม่ควรลืมก็คือ ฌานโลกีย์นี้
    เป็นฌานระดับต่ำ เป็นฌานที่ปุถุชนคนธรรมดาสามารถจะทำให้ได้ถึงทุกคน เป็นฌานที่เสื่อมโทรมง่าย
    หากจิตใจของท่านไปมั่วสุมกับนิวรณ์ห้าประการอย่างใดอย่างหนึ่งเข้า แม้แต่อย่างเดียว ฌานของท่าน
    ก็จะเสื่อมทันที ต่อว่าเมื่อไร ท่านขับไล่นิวรณ์ไม่ให้เข้ามารบกวนจิตใจได้ ฌานก็เกิดขึ้นแก่จิตใจของ
    ท่านต่อไป ฌานจะเสื่อม หรือ เจริญก็อยู่ที่นิวรณ์ ด้านนิวรณ์ไม่ปรากฏ จิตว่างจากนิวรณ์ จิตก็เข้าถึงฌาน
    ถ้านิวรณ์มารบกวนจิตได้ ฌานก็จะสลายตัวไป ฌานตั้งแต่ฌานที่ ๑ ถึง ฌานที่ ๘ มีสภาพเช่นเดียวกัน
    คือต้องระมัดระวังนิวรณ์ไม่ให้เข้ามายุ่งแทรกแซงเหมือนกัน ก่อนที่จะพูดถึงฌานที่ ๒ จะขอนำเอานิวรณ์
    ศัตรูร้ายผู้คอยทำลายฌานมาให้ท่านรู้จักหน้าตาไว้เสียก่อน

    ลิงค์ http://www.palungjit.org/smati/k40/smabat.htm#ฌาน
     

แชร์หน้านี้

Loading...