มหาสโมสรสันนิบาตพุทธภูมิครั้งใหญ่ที่สุดในกึ่งพุทธกาล

ในห้อง 'พุทธภูมิ - พระโพธิสัตว์' ตั้งกระทู้โดย sravnane, 12 สิงหาคม 2007.

  1. GUSS

    GUSS เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มกราคม 2007
    โพสต์:
    55
    ค่าพลัง:
    +1,183
    ขอโมทนาครับ

    ขอโมทนาครับ เห็นด้วยอย่างยิ่งกับการรวมตัวของเหล่าพุทธภูมิในครั้งนี้ครับ
    และขอให้เรารวมกันตลอดไปครับ เพื่อช่วยกันทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาให้เจริญรุ่งเรืองตั้งมั่นตลอดไปครับ สาธุ
    :cool: :cool: :cool: :cool: :cool: :cool: (bb-flower
     
  2. พี่อ้วน

    พี่อ้วน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    15
    ค่าพลัง:
    +476

    ขอโมทนาบุญทุกอย่าง ขอเป็นส่วนหนึ่งในการรวมตัวรวมพลังไปในจุดเดียวกัน เพื่อช่วยกันทำนุบำรุงพระศาสนาให้ตั้งมั่นและเจริญรุ่งเรือง ให้แผ่นดินไทยเป็นที่ตั้งแห่งพระพุทธศาสนาต่อไปชั่วกาลนาน สาธุ(bb-flower
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 สิงหาคม 2007
  3. sravnane

    sravnane เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    695
    ค่าพลัง:
    +17,914
    คณะพระโพธิสัตว์ในประเทศไทย

    [​IMG]
    คณะพระโพธิสัตว์ส่วนใหญ่ตอนนี้คณะของพระศรีอาริย์เมตไตยเป็นคณะใหญ่สุดมีหลายคณะหลายสายด้วยกัน ส่วนรองมาก็จะเป็นคณะพระโพธิสัตว์ในพระอนาคตวงศ์อีกเก้าพระองค์ ที่เหลือก็เป็นของพระโพธิสัตว์องค์อื่นๆครับ ส่วนใหญ่ก็จะมีการปฏิบัติคล้ายๆกัน และก็จะเผยแผ่ธรรมอยู่ในหมู่คณะของท่านที่ติดตามกันมาเป็นส่วนใหญ่ครับ
    การปฏิสัมพันธ์กันระหว่างคณะของพระโพธิสัตว์แต่ละพระองค์มีน้อยมาก โดยเฉพาะถ้านอกจากคณะของพระอนาคตวงศ์สิบพระองค์แล้ว เนื่องจากแม้มีปฏิทาไปในทางเดียวกัน แต่ในข้อปฏิบัติก็มีความต่างกันอยู่มากครับ โดยเฉพาะความเชื่อที่ได้รับการปลูกฝังมาตามสายที่ติดตามกันมา
    ตอนนี้ทุกคณะก็รอพระศรีอาริย์กันหมดครับ จนบางทีอาจจะลืมไปว่าถ้าหากบางท่านบางคณะจำเป็นต้องบำเพ็ญบารมีไปอีก ก็ต้องไปพบพระอนาคตวงศ์อีกเก้าพระองค์และองค์ต่อไป ซึ่งท่านอาจจะไม่เคยได้ทำความรู้จักหรือคุ้นเคยเลย ซึ่งตรงนี้คงต้องศึกษาและทำความรู้จักกันให้มากเลยครับ ว่าปัจจุบันนี้พระอนาคตวงศ์ท่านทำอะไรอยู่ที่ไหนกันบ้าง จะได้เรียนรู้ปฏิทาต่างๆและได้ติดตามท่านไปต่อกันถูกทางครับ
    [b-wai] [b-wai] [b-wai] [b-wai] [b-wai] ​
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 สิงหาคม 2007
  4. sravnane

    sravnane เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    695
    ค่าพลัง:
    +17,914
    คณะพระโพธิสัตว์ระหว่างประเทศและคณะฯ

    100_4539.JPG
    เป็นคณะพระโพธิสัตว์ในประเทศอื่นๆนอกจากประเทศไทยที่เรารู้จักกันดี มีปฏิทาคล้ายๆกับคณะพระโพธิสัตว์ของประเทศไทยเหมือนกัน เช่น คณะพระโพธิสัตว์พม่า คณะพระโพธิสัตว์มอญ คณะพระโพธิสัตว์กะเหรี่ยง คณะพระโพธิสัตว์ลาว คณะพระโพธิสัตว์กัมพูชา คณะพระโพธิสัตว์เวียดนาม คณะพระโพธิสัตว์จีน คณะพระโพธิสัตว์อินเดีย คณะพระโพธิสัตว์ทิเบต คณะพระโพธิสัตว์มาเลเซีย คณะพระโพธิสัตว์อินโดนีเซีย คณะพระโพธิสัตว์สิงคโปร์ คณะพระโพธิสัตว์ศรีลังกา คณะพระโพธิสัตว์ใต้หวัน คณะพระโพธิสัตว์มองโกเลียฯลฯ ซึ่งส่วนใหญ่จะอยู่ในทวีปเอเซีย การเผยแผ่พระพุทธศาสนาก็แตกต่างกันไป ตามขนบธรรมเนียมประเพณีลัทธิความเชื่อที่ผสมผสานกลมกลืนกันในท้องถิ่นต่างๆครับ
    คณะสุดท้ายแล้วครับ เป็นคณะพระโพธิสัตว์ที่อยู่นอกเขตศาสนาพุทธครับ มีน้อยคนมากๆที่จะรู้จัก แต่ก็เป็นที่รู้กันบ้างแล้วนั่นและครับ
    [b-wai] [b-wai] [b-wai] [b-wai] [b-wai] ​
     
  5. สหธรรมิก

    สหธรรมิก เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    16
    ค่าพลัง:
    +377
    ขอโมทนาครับ

    ขอโมทนาครับ เห็นด้วยกับการรวมตัวในการบำเพ็ญบารมีของพุทธภูมิทุกๆท่านครับ สาธุ อยากเห็นการรวมตัวแบบนี้มานานแล้วครับไม่ใช่เฉพาะพุทธภูมินะครับ แต่รวมพุทธศาสนิกชนทั้งหมดในพระพุทธศานาเลยก็ดีครับ
    (b-smile) (b-smile) (b-smile) (b-smile)
     
  6. lotte

    lotte เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2004
    โพสต์:
    726
    ค่าพลัง:
    +4,545
    ส่งหลักธรรมะเป็นภาษาอังกฤษให้วัดไทยทั่วโลก เลยดีไหมครับเรื่องนิพพานของหลวงพ่อฤาษีลิงดำกรุณาเข้าเวบไซด์ที่http://www.dhammapratarnporn.com/เข้าไปที่กระทู้ 40 mediation เพราะเขาแปลหลักธรรมะของหลวงพ่อฤาษีให้ครับ
    แล้วเข้าเวบไซด์dhammathai.org เพื่อหาวัดไทยในต่างเทศหรือ เข้ากูเกิลพิมพ์คำว่า ambassader in china,lao,myanmar,india,japan เป็นต้น หรือ ambassy in china ไปเรื่อยๆจนกว่าครบหมดประเทศพุทธครับแค่หาเมลล์เขาก็ส่งเอกสารธรรมะหลักธรรมะอิ้งให้เขาก็ได้ครับผ่านเมลล์เขาครับหรือโปรโมทเวบพลังจิตทำเป็นภาคอิ้งตัวอักษรอิ้งก็ดังทั่วโลกครับให้วัดทั่วเอเชียหรือสถานทูตทั่วโลกโปรโมทเวบพลังจิต ว่ามีการรับดูดวงฟรี มีผู้ถอดจิตไปนรกสวรรค์ได้ผู้สอนไปสวรรค์ถอดจิตได้ มีมหกรรมวิทยาศาสตร์ทางจิตแห่งชาติซึ่งพลังจิตอาจประสานงานร่วมมือกันเพราะโลกทิพย์เขาจัดให้มีการเรียนศาสนาพุทธผ่านไปรษณีย์คือตอบปัญหาธรรมะกันทุกโรงเรียนโดยโลกทิพย์ โดยโลกทิพย์มีการจัดเหาะโชว์ หายตัวโชว์ ติดต่อท่านอาจารย์คะนองได้ที่เบอร์ 0818997535 รับรองครับดังเวบพลังจิตดังขายนิตยสารพลังจิตได้เพียบ ครับเพราะดูดวงถูก ผ่านเวบแบบแชทออนไลน์ทั่วโลก อาจมีการให้ซื้อหุ้นบริษัทพลังจิต ของท่านพี่ธรรมศักดิ์ก็ได้ ครับ
     
  7. sravnane

    sravnane เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    695
    ค่าพลัง:
    +17,914
    ขอร่วมโมทนาบุญทุกอย่าง ถวายเป็นพุทธบูชาฯ

    ขอร่วมโมทนาบุญทุกอย่าง ถวายเป็นพุทธบูชาฯ ดีมากเลยคุณlotte คุณเหมาะสมมากกับงานนี้ ก็ขอความช่วยเหลือเลยละกันครับ เพราะดูแล้วคุณน่าจะรู้เรื่องการกระจายข่าวดีที่สุดอะตอนนี้ ช่วยกรุณาส่งความเห็นเรื่องที่เหล่าพุทธภูมิจะรวมตัวกันไปให้พุทธภูมิทั่วโลกทำพุทธภูมิพิจารณ์กลับมาทีครับ แปลไปหลายๆภาษาเลยครับ โมทนาสาธุล่วงหน้าครับ ทุกๆท่านที่เข้ามาอ่านคงเห็นเช่นเดียวกันกับผมนะ
    ปล.ผมเป็นแต่จุดธูปอาราธนาพระส่งข่าวอะ งานส่งข่าวแบบนี้มะถนัดเลย ขอบคุณมากครับ
    [b-wai] [b-wai] [b-wai] [b-wai] [b-wai]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 สิงหาคม 2007
  8. thakoon

    thakoon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    32
    ค่าพลัง:
    +896
    ขอร่วมโมทนาบุญทุกอย่างถวายเป็นพุทธบูชา


    ขอร่วมโมทนาบุญเป็นอย่างสูงนะครับ ที่ท่านจะมาช่วยเป็นกำลังใหญ่ในการเผยแผ่พระศาสนา นับว่าสิ่งที่ท่านจะช่วยนั้นเป็นบุญใหญ่จริงๆครับ ขอโมทนาครับ
     
  9. เอกา

    เอกา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    59
    ค่าพลัง:
    +1,412
    ขอโมทนาและเห็นด้วยเป็นอย่างยิ่งเลยรบ สาธุ(ping)
     
  10. นำธรรม

    นำธรรม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 เมษายน 2006
    โพสต์:
    147
    ค่าพลัง:
    +2,914

    ขอโมทนาในการเผยแผ่ธรรมของพระพุทธองค์ อันจะเป็นประโยชน์เกื้อกูลพุทธบริษัท แลมนุษย์ ทั้งหลาย ได้รับรู้เพื่อบังเกิดศัทธา เป็นเบื้องต้นในการนำข้อ ธรรมมาปฏิบัติ จนรู้แจ้งแห่งตน พบสุขอันเที่ยงแท้นิพพานเทอญฯ

    นำธรรม อนันตชัย(b-smile) (b-smile)
     
  11. sravnane

    sravnane เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    695
    ค่าพลัง:
    +17,914
    ความหมายของพุทธภูมิ

    [​IMG]
    ความหมายของพุทธภูมิในความหมายเดิม
    พุทธภูมิ หมายถึงภูมิของพระพุทธเจ้าและพระปัจเจกพุทธเจ้า ผู้ที่จะดำรงตนอยู่ในภูมินี้ ก็ต้องเป็นพระโพธิสัตว์ตั้งความปรารถนาที่จะเป็นพระพุทธเจ้าหรือพระปัจเจกพุทธเจ้า แล้วก็บำเพ็ญเพียรไปจนสำเร็จตามความปรารถนา
    สาวกภูมิ หมายถึงภูมิของพระสาวกของพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ ผู้ที่จะดำรงตนอยู่ในภูมินี้ ก็ต้องปฏิบัติตามคำสอนของพระให้เข้าถึงธรรมตามที่ท่านได้แสดงไว้
    การแบ่งดังกล่าวเป็นเพียงแต่การแบ่งตามนัยยะของความปรารถนาในการบรรลุธรรม เช่นบางท่านต้องการบรรลุธรรมแล้วสอนให้ผู้อื่นบรรลุตามด้วย บางท่านก็ต้องการบรรลุธรรมด้วยตนเอง บางท่านต้องการฟังธรรมจากผู้บรรลุแล้วบรรลุตาม บางท่านต้องการช่วยท่านที่จะบรรลุธรรมแล้วช่วยผู้อื่นฯ แต่ไม่ว่าเราจะเป็นพุทธภูมิหรือสาวกภูมิก็ดี เราทั้งหมดก็อยู่ในพุทธภูมิด้วยกันทั้งหมดทุกคนครับ เพราะพุทธภูมิก็คือมาตุภูมิของเหล่าพุทธะทั้งหมดครับ
    [b-wai] [b-wai] [b-wai] [b-wai] [b-wai] ​
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 สิงหาคม 2007
  12. สักขี

    สักขี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มกราคม 2007
    โพสต์:
    25
    ค่าพลัง:
    +471
    ขอโมทนาครับ

    ขอโมทนาครับ ก็ดีครับ เร็วดี ผมคงขอไปร่วมด้วยคนครับ อยากไปเห็นตัวเป็นๆกันมานานแล้วครับ
    (b-smile) (b-smile) (b-smile) (b-smile)
     
  13. lotte

    lotte เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2004
    โพสต์:
    726
    ค่าพลัง:
    +4,545
     
  14. lotte

    lotte เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2004
    โพสต์:
    726
    ค่าพลัง:
    +4,545
    โอวาทและอิทธินิหารหลวงปู่เทพโลกอุดรสร้าง1พุทธเจ้าองค์แรก16ล้านองค์

    การปฎิบัติธรรมทางด้านจิต จงเป็นผู้มีสติปัญญารู้เท่าทันความเคลื่อนไหวของจิตทุกลมหายใจเข้าออกและทุกอิริยบท เว้นเสียแต่หลับ เมื่อรู้ทันจิตแล้ว ต้องรู้จักรักษาจิต คุ้มครองจิต จงดูจิตเคลื่อไหวเหมือนเราดูลิเกหรือละคร เราอย่าเข้าไปเล่นลิเกหรือละครด้วย เราเป็นเพียงผู้นั่งดู อย่าหวั่นไหวไปตามจิต จงดูจิตพฤติการณ์ของจิตเฉย ๆ ด้วยอุเบกขา จิตไม่มีตัวตน แต่สามารถกลิ้งกลอกล้อหรือยั่วเย้าให้เราหวั่นไหวดีใจและเสียใจได้ ฉะนั้นต้องนึกเสมอว่าจิตไม่มีตัวตน อย่ากลัวตจิต อย่ากลัวอารมณ์ เราหรือสติสัมปชัญญะต้องเก่งกว่าจิต
    ความนึกคิดอารมณ์ต่าง ๆ เป็นอาการของจิต ไม่ใช่ตัวจิต แต่เราเข้าใจว่าเป็นตัวจิตธรรมชาติคือผู้รู้อารมณ์ คิดปรุงแต่งแยกแยะไปตามเรื่องของมัน แต่แล้วมันต้องดับไปเข้าหลักเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป คือไม่เที่ยง ไม่จีรังยั่งยืนทนได้ยากเป็นทุกข์ และสลายไปไม่ใช่ตัวตน มันจะเกิดดับ ๆ อยู่ตามธรรมชาติ เมื่อเรารู้ความจริงของจิตเช่นนี้ เราก็จะสงบไม่วุ่นวาย เราในที่นี้หมายถึงสติปัญญา สัพเพ ธัมมา อนัตตา ธรรม (สิ่งทั้งปวง ) เป็นอนัตตาคือไม่ใช่ตัวตน
    นิมิตที่เกิดขึ้นขณะนั่งสมาธิมีอยู่ ๒ ประการ คือ ๑ . เกิดขึ้นเพราะเทพบันดาล คือเทวดาหรือพรหมแสดงภาพนิมิตและเสียงให้รู้เห็น ๒. นิมิตเกิดขึ้นเพราะอำนาจสมาธิเอง
    นิมิตจะเป็นประเภทใดก็ตาม ขอให้ผู้เจริญกรรมฐานจงเป็นผู้ใช้สติปัญญาให้รู้เท่าทันนิมิตที่เกิดขึ้นนั้นด้วยปัญญา อย่าเพิ่งหลงเเชื่อทันทีจะเป็นความงมงาย ให้ปล่อยวางนิมิตนั้นไปเสียอย่าไปสนใจให้เอาจิตทำความจดจ่ออยู่เฉพาะจิต
    เมื่อจิตสงบรวมตัว จิตถอนตัวออกมารับรู้นิมิตนั้นอีก หากปรากฎนิมิตอย่างนี้ซ้ำ ๆ ซาก ๆ หลายครั้งแสดงว่านิมิตนั้นเป็นของจริงเชื่อถือได้ แต่อย่างไรก็ตามนิมิตที่มาปรากฏนี้อยู่ในขั้นโลกียสมาธิ นิมิตต่าง ๆ จึงเป็นความจริงน้อย แต่ไม่จริงเสียมาก จงมุ่งหน้าทำจิตให้สงบเป็นอัปนาสมาธิ อย่าสนใจนิมิต หากทำได้อย่างนี้ จิตจะสงบตั้งมั่น เข้าถึงระดับฌานจะเกิดผลคือสมาบัติสูงขึ้นตามลำดับ จิตจะมีพลังอำนาจอันมหาศาล ฤทธิ์เดชจะตามมาเองด้วยอำนาจของฌาน

    [COLOR=darkgold,direction=-35);]ธรรมะบางข้อของ บรมครูพระเทพโลกอุดร [/color]

    จึงได้ธรรมะของท่าน สรุปย่อ ๆ บางส่วนได้ดังนี้
    ๑. ธรรมะของท่านต้องเกิดจากการปฎิบัติเท่านั้น
    ๒. ต้องมีสติอยู่ทุกลมหายใจเข้าออก
    ๓ อยากรู้ธรรมะหรือคำสอนของท่านให้ดูจิตตนเอง
    ๔. ให้รักผู้อื่นเหมือนที่รักตน
    ๕. ให้ทำตัวเหมือนน้ำ
    - น้ำไปได้ทุกสถานที่ อยู่ในน้ำ ในอากาศ ในดิน
    - น้ำอยู่ได้ทุกสภาวะ เป็นไอน้ำ เป็นน้ำ เป็นน้ำแข็ง
    - น้ำให้ความชุ่มชื่น สดชื่น แก้กระหาย น้ำให้ชีวิต และทำลายชีวิต
    - น้ำให้ความความเย็น ให้ความร้อน
    - น้ำมีรูปร่างต่าง ๆ กันตามรูปร่างของภาชนะ
    - น้ำใช้ล้างความสกปรกให้สะอาด ฯลฯ


    ธรรมปฏิบัติบท 1โดยสมเด็จหลวงปู่เทพโลกอุดร

    เหตุเกิดทุกข์ จะต้องดับด้วยนิโรธคามินีปฏิปทา ด้วยมรรคมีองค์ 8 ได้แก่ สัมมาทิฐิ สัมมาสังกัปปะ สัมมากัมมันตะ สัมมาวาจา สัมมาอาชีวะ สัมมาวายามะ สัมมาสติ และสัมมาสมาธิ การปฏิบัติก็ต้องมีศีลกันก่อน ศีลได้แก่สัมมากัมมันตะ ได้แก่การงานชอบ เว้นจากเบียดเบียนผู้อื่น ต่อไปก็ละมิจฉาวาจาเสีย ทำให้สัมมาวาจาเกิดขึ้น อาชีวะก็เหมือนกัน จะต้องประกอบการเลี้ยงชีพในทางสุจริต สิ่งเหล่านี้เป็นศีล ควรทำให้เกิดขึ้นก่อน ต่อไปก็ทำสมาธิให้เกิดขึ้น เมื่อสัมมาสมาธิมี สัมมาสติก็จะเกิดขึ้นตามมาพร้อมกับสมาธิ สัมมาสติกับสัมมาสมาธิจะเกิดขึ้นพร้อมกัน จะไม่พรากจากกัน สมาธิไม่มี สติก็ไม่มี

    ส่วนสัมมาวายามะ ได้แก่ความเพียรชอบ ก็คือการรักษาสติอยู่ตลอดเวลา คนเราถ้ามีสติประจำอยู่ สัมมาทิฐิก็จะเกิดขึ้น สัมมาสติเป็นตัวให้เกิดสัมมาทิฐิ สัมมาทิฐิเป็นตัวให้เกิดสัมมาสัมกัปปะ เห็นชอบ ดำริชอบ ส่วนสัมมาสมาธิ เป็นตัวรักษาสิ่งต่างๆ ให้ดำรงอยู่ และทำให้อีก 7 ตัวเกิดขึ้นและอาศัยซึ่งกันและกัน สัมมาสมาธิเป็นหลักในการปฏิบัติธรรมในการดับรูปธรรมและอรูปธรรม ในสองสิ่งนี้จะต้องให้ดับเสียก่อน ต่อไปปรมัตถธรรมถึงจะเกิดขึ้น ปรมัตถธรรมเกิดขึ้น ก็จะเห็นสิ่งที่จัดเป็นรูปธรรมและอรูปธรรมดับ

    การทำสมาธิในขั้นแรก เมื่อได้สมาธิ ก็จะเกิดการรู้สึกว่า กายสังขารดับ วจีสังขารดับ มโนสังขารดับ ก็ให้ใช้ความสังเกตดูว่า การได้สมาธิสักครั้ง กายสังขารดับหรือไม่ ถ้าได้สมาธิจริง สังขารจะดับ สิ่งที่รวมอยู่กับสังขารก็จะดับด้วย ถึงจะเชื่อได้ว่าได้สมาธิจริง

    คนตายแล้ว วิญญาณไม่มี จะมีแต่จิตเท่านั้น คนตายแล้วสิ่งที่ติดไปมี เวทนา สัญญา เป็นตัวที่ไปกับจิต รูป สังขาร วิญญาณ สามสิ่งนี้ไม่ได้ไปกับจิตด้วย จิตเป็นตัวรับกรรม เวทนา สัญญา จึงติดกับจิตไปด้วย การทำความดี การทำความชั่ว จิตเป็นตัวรับเวทนา อันนั้นเพราะสัญญาเป็นตัวกรรมดับเวทนาอยู่ สัญญาเป็นตัวกำหนดให้ใช้กรรม

    เวทนามีอยู่ต่อผู้ที่กำลังจะตาย เวทนานั้นมากน้อยแค่ไหน เป็นแรงผลักดันให้เป็นไปก่อนตาย ต่อไปเมื่อตายไปแล้วอีกด้วยจะต่อเนื่องกันไป เป็นหัวเลี้ยวหัวต่อของชาติและภพ ใครทำความดีก็ไปดี ใครทำชั่วก็ไปชั่ว จะอุทธรณ์ฎีกาไม่ได้ จะซื้อขายแลกเปลี่ยนถ่ายเทกันไม่ได้

    ธรรมปฏิบัติบท 2

    ศาสนาพุทธเป็นศาสนาปฏิบัติอย่างแท้จริง ปฏิบัติอย่างเดียวจึงจะเข้าถึงพุทธศาสนาได้ ศาสนาพุทธมิใช่ศาสนาที่จะต้องเซ่น, มิใช่ศาสนาที่ต้องใช้การสวดอ้อนวอน, ต้องฆ่าบูชายันต์ด้วยสิ่งมีชีวิต พระพุทธเจ้าบอกว่าถ้าใครอยากเข้าถึงศาสนาพุทธให้ปฏิบัติ ปฏิบัติอย่างเดียวเท่านั้น

    คนที่นับถือศาสนาพุทธ นับถือกันผิดๆ มีการสวดมนต์อ้อนวอน กราบไหว้ สวดร้อยแปด เพื่อให้ได้ถึง มันจะได้จะถึงได้อย่างไร ให้สองร้อยปีมันก็ไม่ได้มันก็ไม่ถึง พระพุทธเจ้าเอาแต่เฉพาะคนที่ปฏิบัติธรรมเท่านั้น จึงจะเอาไปด้วย อย่าว่าแต่สวดมนต์เลย ถึงเกาะชายผ้าเหลืองท่าน ท่านก็เอาไปไม่ได้ ท่านไม่ชอบคนชุบมือเปิบ จะต้องทำงาน ทำการปฏิบัติธรรมให้ได้เสียก่อน จึงจะเอาไป พระที่ยังโลภ โกรธ หลงอยู่ จะเอาไปได้อย่างไร เอาไปเดี่ยวก็ไปทะเลาะกันอีก

    พระพวกนี้ท่านไม่เอาไป จึงไปไม่ได้ จึงได้อยู่หากินกับญาติโยมไปพลางๆ ทำสิ่งที่ผิดๆ ถูกๆ ไปตาเรื่อง ให้ญาติโยมสบายใจก็จะได้เงินใช้ พระอย่างนี้บางองค์รวยเป็นล้าน พระที่รวยเป็นล้านถือว่าห่างพระพุทธเจ้า บางทีก็ไม่ใช่สาวกของพระพุทธเจ้าอีกด้วย คนอย่างนี้พูดอย่าได้ไปเชื่อ จะเชื่อได้อย่างไร ความอยากยังมีอยู่ ถ้าความอยากยังมีทุกข์ก็ยังมี จะไปกับพระพุทธเจ้าได้อย่างไร

    การปฏิบัติธรรม จะต้องหัดทำอารมณ์ปัจจุบันให้ได้ อารมณ์ปัจจุบันนั้นสำคัญมาก เป็นอารมณ์ของพระอริยบุคคล อารมณ์ปัจจุบันได้แก่ การดับความนึกคิดนั่นเสีย ไม่นึกคิดสิ่งใดๆ ทั้งหมด หัดทำให้ได้นานๆ จนกว่าจะอยู่ตัว

    อารมณ์ปัจจุบันเป็นการละอดีต อนาคตและปัจจุบันของอารมณ์ต่างๆ ที่จะเข้ามาในจิต จึงหมายถึงจิตหยุดนิ่งอยู่กับที่ จึงจะชื่อว่าอารมณ์ปัจจุบัน ถ้าจิตยังสับส่าย มีการปรุงแต่ง จิตเคลื่อนที่ไป สิ่งเหล่านี้มิใช่อารมณ์ปัจจุบัน

    การนับถือศาสนา ทำความดีเรื่อยไป อย่าได้หวังนิพพาน ขอให้ทำความดีติดต่อเรื่อยไป ก็จะถึงนิพพานเอง

    ธรรมปฏิบัติบท 3

    การที่พวกเราปฏิบัติธรรม สมาธิ วิปัสสนา ก็เพื่อจะดับรูปนามกัน หรือเรียกว่าดับขันธ์ 5 ที่เป็นตัวให้เกิดสภาวธรรม ปรุงแต่งให้เกิดกิเลสอยู่ตลอดเวลา ถ้าเราดับรูปนามขันธ์ 5 ได้ กิเลสก็จะดับ จุดหมายปลายทางมันอยู่ที่ตรงนี้ จึงได้ทำวิปัสสนากัน แต่พวกเราไม่มีความเข้าใจกัน ก็หลงไปดูรูปนามเกิดดับ ก็เข้าใจว่าพอแล้ว ดีแล้ว อะไรๆ กันไปตามเรื่อง

    อีกอย่างหนึ่ง การทำกสิณก็ต่อวิปัสสนาได้ เว้นแต่คนที่พูดไม่เคยทำกสิณ แล้วก็พูดว่าการทำกสิณต่อวิปัสสนาไม่ได้ ก็เพราะไม่เคยทำ การทำกสิณก็ต้องได้สมาธิกันก่อน กสิณจึงจะเกิดขึ้น กสิณต่างๆ จิตจะต้องเกิดสมาธิด้วยอุคหนิมิตของกสิณ อุคหนิมิต คือนิมิตติดต่อ นิมิตติดตา ประกอบไปด้วยสมาธิจิต กสิณ 40 อย่างจะเกิดขึ้นก็เกิดขึ้นด้วยจิตที่เป็นสมาธิ จิตเป็นสมาธิจะดูกสิณอะไร ก็จะเห็นตามความต้องการ กสิณต้องการให้อุคหนิมิตเกิดขึ้น ส่วนวิปัสสนาต้องการให้รูปนามดับ อุคหนิมิตก็ได้แก่รูปนาม กสิณต้องการดูรูปนามเกิดอย่างเดียว กสิณจะเห็นรูปนามเกิดหลายๆ อย่าง ตามแต่จะต้องการ สิ่งที่ไม่เคยมี ไม่เคยเห็น ก็จะได้เห็นในกสิณ จะเกิดนิมิตให้เห็น จะจัดว่าอุปทานก็ใช่ อุปาทานในสิ่งที่ไม่เคยเห็น การทำกสิณมีของเล่นหลายๆ อย่าง ใครทำก็จะรู้เอง อธิบายยาก จะรู้เห็นเฉพาะตัว

    ส่วนการทำกสิณเพื่อต่อวิปัสสนานั้น มิใช่ว่าจะไม่ได้ การทำกสิณจะต้องต่อวิปัสสนา จะต้องดับดวงนิมิตให้ได้ ถ้าดับดวงนิมิตได้ ก็ต่อวิปัสสนาได้ การดับนิมิตจะต้องมองนิมิตด้วยจิตเฉย

    การมองจะต้องทำจิตให้เฉยในการมอง ถ้าเรามองนิมิต จิตของเราเฉย จิตไม่เคลื่อนจากที่ นิมิตนี้ก็จะดับ จิตก็จะเป็นปฏิภาคนิมิต เรียกว่าจิตดับ หรือรูปนิมิตดับ จิตก็จะเข้าถึงอารมณ์ปัจจุบัน เรียกว่า จิตปรมัตถ์ นิมิตก็เป็นปรมัตถ์ด้วย ต่อไปนี้ก็จะถึงจุดของวิปัสสนา เรียกว่ากสิณต่อวิปัสสนา ถ้าจะถามว่าจิตมีสมาธิอย่างไหน ก็จะตอบว่าจิตเข้าถึงอัปปนาสมาธิ จิตถึงจะเป็นปรมัตถ์

    การที่พูดมานี้ ก็พูดได้แต่คนบางคนจะไม่รู้ไม่เข้าใจ ธรรมเป็นปัจจัตตัง ถ้าใครได้ใครถึงก็รู้เอง จะบอกกันให้รู้จะไม่ได้ เพราะจิตของผู้นั้นยังไม่ถึง การที่พูดมานี้เป็นปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวศพร้อมกันทั้ง 3 อย่าง ใครถึงปริยัติ ก็จะรู้แต่เพียงปริยัติเท่านั้น ส่วนใครปฏิบัติได้แค่ไหน ก็จะรู้ได้แค่นั้น

    ส่วนคนที่ได้ถึงปฏิเวศ ก็จะรู้ว่าธรรมเหล่านี้เป็นปฏิเวศ เป็นธรรมอันสูงสุด
    ธรรม พวกเรารู้จักธรรมกันหรือยัง ถ้าพูดแล้วยังไม่รู้จัก ก็ขอพูดเป็นครั้งสุดท้าย ธรรม ก็คือ ความดี ความชั่ว ที่พวกเรากระทำกันอยู่ กำลังนี้แหละคือธรรม ถ้าจะพูดอีกทีก็คือกรรม หรือ กรรมเวร ที่พวกเรากระทำกรรมดี กรรมชั่วกัน ธรรมหรือพระธรรมพวกเราจะมิต้องไปไหว้กัน เขามีไว้เพื่อปฏิบัติกันต่างหาก เราไปเห่อนั่งไหว้ นอนไหว้ มันจะได้อะไร ยึดถือปฏิบัติกันไม่ถูก พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เราจะไม่ไหว้ก็ได้ เราจะไหว้หรือไม่ไหว้มันอยู่ที่เรา แต่ขออย่างเดียว ขอให้เราปฏิบัติกันให้เป็น พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ กันขึ้นมาได้เท่านั้น ผู้หญิงหรือผู้ชายก็เป็นพระกันได้ทั้งนั้น เป็นพระมิใช่โกนหัวห่มผ้าเหลือง เท่านั้นถึงจะเป็นพระได้ คนที่คิดอย่างนี้ผิด ถ้าชาวพุทธที่แท้จริง เขาจะไม่ ถืออย่างนั้น ถ้าใครเป็นพระจริง ก็จะต้องปฏิบัติธรรม เขาถึงจะยอมรับว่าเป็นพระ

    ธรรมปฏิบัติบท 4

    การทำสมาธิได้แล้วไปต่อวิปัสสนาสะดวกดี แต่จะต้องต่อให้ถูก สมาธิต่อวิปัสสนา โดยมากจะไม่เข้าใจกัน จึงพูดว่ารวมกันไม่ได้ เพราะความไม่เข้าใจ บางคนก็ทำสมาธิตลอดไป เข้าใจว่าการทำสมาธินั้นเป็นการทำวิปัสสนาแล้วคนที่เข้าใจอย่างนี้ก็มี ความจริงสมาธิก็อย่างหนึ่ง ส่วนวิปัสสนาก็อย่างหนึ่ง รวมกันไม่ได้ ทำไม่เหมือนกัน มันคนละรูปแบบกัน แต่มันต่อเนื่องกัน การทำสมาธิเพื่อส่งให้ถึงวิปัสสนาแล้ว ก็หมดหน้าที่ของสมาธิ ต่อไปก็ถึงของวิปัสสนา วิปัสสนาก็จะทำหน้าที่ของๆ ตนไปตามลำพัง ไม่เกี่ยวกับสมาธิ มันเป็นการส่งต่อกันเท่านั้น

    การทำสมาธิยังไม่ถึงขั้นสมาธิจริงๆ มักจะเกิดนิมิตรูปแบบต่างๆ ขึ้นมาให้เห็น เพราะผู้นั้นยังไม่ได้สมาธิอย่างแท้จริง ได้ขณิกบ้าง อุปจารบ้าง มีการขึ้นๆ ลงๆ ไม่เหมือนสมาธิตัวจริง จะไม่มีนิมิตใดๆ ให้เห็นเลยจิตจะนิ่งเฉย จะมองหรือจะฟังอะไรก็จะเห็นหรือได้ยินแล้วก็ดับไป สมาธิที่แท้จริงเป็นอย่างนี้ เห็นได้ยินแล้วก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้นมาในจิตใจ ถ้าเข้าสมาธิแล้วยังมีนิมิตอยู่ก็ยังใช้ไม่ได้ จะต้องหาวิธีเข้าแล้วไม่มีนิมิต ถึงจะใช้ได้

    ธรรมปฏิบัติบท 5

    สมาธิจะทำเหยาะๆ แหยะๆ ไม่ได้ จะต้องทำให้มาก ยิ่งมากเท่าใด ยิ่งดี อาศัยทำบ่อยๆ ครั้งละไม่ต้องนานเป็นเดือน เอาแค่ 10 นาที 15 นาทีก็พอ แต่จะต้องทำบ่อยๆ ให้เกิดความเคยชิน จะเข้าเวลาไหนก็ได้ หรือเพียงแต่นึกถึงก็เข้าแล้วได้ยิ่งดี

    ธรรมปฏิบัติบท 6

    บริกรรมกับภาวนา มันจะไม่เหมือนกัน การภาวนาหมายถึง เพ่งในธรรมนั้นๆ ส่วนการบริกรรม หมายถึงการเอาอะไรๆ มาเป็นตัวภาวนา เรียกว่าบริกรรมภาวนา นักปฏิบัติจะต้องเข้าใจให้ถูก บางคนติดบริกรรมภาวนาตลอดไป จิตก็ไม่ยอมเป็นสมาธิ เพราะรูปนามยังมีการเกิดดับอยู่ สมาธิเกิดจากรูปดับ หรือกายสังขารดับ และจิตดับ คือจิตหยุดนิ่ง ถ้าจิตดับกายก็ดับไปด้วยทุกครั้งไป การที่จิตหยุดนิ่งอยู่ที่เดียวนานๆ จะทำให้วิญญาณดับ เมื่อวิญญาณดับการมองรูป ก็จะเกิดการดับที่รูป ที่เรามอง รูปดับ นามรูปก็ดับ เพราะวิญญาณของเราดับ รูปที่มองก็ดับด้วย ขอให้สังเกตดูว่า จักษุวิญญาณของเราดับ รูปที่มองจึงดับ การทำอย่างนี้เป็นการดับรูปนามขันธ์ 5 ต่อไปการเห็นอรรถธรรมก็จะเกิดขึ้น เรียกว่าเห็นสภาวธรรม ทั้งเกิดและดับที่เกิดขึ้นภายในตัวเรา การที่รูปนามดับแล้ว ในอิริยาบถต่างๆ ก็จะเห็นตามความเป็นจริง จะเหยียดจะคู้ จะนั่ง เดิน ยืน นอน จะเท่าทันในสิ่งเหล่านั้น ตลอดทั้งหมด วิญญาณดับ สติ สัมปชัญญะจะเกิดขึ้นมาเองอย่างสมบูรณ์ มีการรู้เท่าทันกายสังขาร วจีสังขาร มโนใจ เป็นไปพร้อมกันทั้งหมด จะเรียกว่าจิตเกิดปรมัตถ์ก็ใช่ก็ถูก เมื่อวิญญาณดับ จิตวิสุทธิก็เกิด ศีล ปัญญาวิสุทธิก็เกิดขึ้นพร้อมๆ กัน พร้อมกับจิตปรมัตถ์

    การบริกรรม ทำง่ายกว่าการเพ่ง (เพ่งหมายถึงการ กดให้หนักลงไปอีก) การเพ่งสิ่งใดสิ่งเดียวก็เกิดสมาธิเหมือนกัน แต่จะต้องนึกอยู่ในสิ่งนั้นสิ่งเดียว ทำได้จิตก็เป็นสมาธิ หรือไม่หลับตามองรูป จิตก็เป็นสมาธิได้ ตามแต่ใครจะทำอย่างไหน การได้สมาธิเป็นการหยุดจิต หรือพักจิตใจ ถ้าเราพักจิตใจได้ ทุกข์อะไรๆ ที่แล้วมามันก็ไม่มี มันจะดับหมด ถ้าเราอยู่ในสมาธินานๆ ทุกข์ก็จะดับไปหมด จะมีก็แต่ความสุขอย่างเดียวเท่านั้น แต่ก็ไม่ควรติดสุขอยู่อย่างนี้ เพราะเป็นสุขที่ยังอิงอามิสอยู่ ยังมิใช่สุขแท้ๆ สุขแท้จะต้องไม่อิง ถึงได้แต่นิรามิตสุข จะต้องทำต่อไป จนกว่าจะถึงจิตปรมัตถ์เสียก่อนจึงจะถึงสุขแท้


    ธรรมปฏิบัติบท 7

    การทำบุญสู้การปฏิบัติบุญไม่ได้ การปฏิบัติเพื่อให้ได้บุญ ปฏิบัติได้ก็ได้บุญกันเลย มิต้องรอนาน ปฏิบัติมากก็ได้บุญมาก ปฏิบัติน้อยก็ได้บุญน้อย การทำบุญได้ความสุขทางกาย ส่วนปฏิบัติบุญได้ความสุขทางใจ ทำได้ก็ได้บุญกันเลย ไม่เหมือนการทำบุญจะต้องรอไปจนกว่าบุญจะมาถึง สองอย่างนี้ขอให้พวกเราเลือกเอา การปฏิบัติบุญลงทุนน้อย แต่ได้บุญมาก ส่วนการทำบุญจะต้องลงทุนมาก แต่ได้บุญน้อยรอนาน


    เราจะต้องหลับตามองให้จิตเกิดความหยุด ความนิ่ง ให้จิตเฉยเหมือนใจ จิตจะได้อยู่กับใจได้ ถ้าจิตกับใจอยู่ด้วยกัน อะไรๆ ก็ไม่มี จะมีก็แต่ความสุขเท่านั้น ที่ทุกข์เดือดร้อนไม่สบายใจเพราะจิตไปนำทุกข์มาให้ใจ ใจมิได้หาทุกข์มา จิตเป็นคนหามาให้ด้วยกันทั้งหมด (จิตเป็นนามธรรม มีหน้าที่ในการนึกคิด ส่วนใจเป็นรูปนาม อยู่ในกายของเรา) เพราะฉะนั้นเราจะต้องนั่งหลับตามองจิตให้จิตหยุดนิ่งเสียก่อน ความสุขถึงจะเกิดขึ้น ถ้าจิตไม่หยุดนิ่ง ความสุขก็จะไม่มี


    ธรรมปฏิบัติบท 8

    อานาปานสติ เป็นมหาสติปัฏฐานได้อย่างไร การมองภายในกาย กำหนดลมหายใจที่ปลายจมูกที่ลมกระทบ ก็คือว่ามองดูภายในกาย เป็นอานาปานสติ และมหาสติปัฏฐานไป โดยอัตโนมัติ แถมกับเกิดสติสัมปชัญญะพร้อมทั้งสมาธิด้วย สมาธิอย่างนี้จะต้องเป็นอุเบกขาสมาธิ ถ้าจิตเป็นอุเบกขา จิตก็จะเกิดอารมณ์ปัจจุบัน อารมณ์ปัจจุบันทำให้จิตเป็นปรมัตถ์ ถ้าจิตที่เป็นปรมัตถ์ดูรูป รูปก็เป็นปรมัตถ์ มีการดับรูป รูปที่เห็นจะไม่มีการปรุงแต่ง ดูรูปแล้วก็ไม่เกิดตัณหาในรูปที่มอง เพราะนามคือเวทนาดับ ถ้าจิตเป็นปรมัตถ์ จะดูรูปอะไรๆ ก็ไม่มีตัณหา ในรูป เสียง กลิ่น รส จิตขาดการสัมผัสในสิ่งนั้นๆ เรียกว่า ดับที่สัมผัส มโนสัมผัสดับ จิตว่างจากสิ่งเหล่านี้ อานาปานสติเป็นธรรมที่ลุ่มลึก โดยมากทุกคนจะไม่เข้าใจกัน เข้าใจว่าไม่มีอะไร เป็นปัพพะย่อยๆ อะไรไปตามเรื่อง อานาปานสติเป็นของทำได้ยากและทำยากด้วย เป็นธรรมเฉพาะผู้มีปัญญาเท่านั้น อย่างองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นต้น เพราะอานาปานสติอย่างเดียวก็โลกุตตรแล้วจะมิต้องทำสิ่งอื่นกันอีก เป็นการมองกาย มองจิต มองธรรม เป็นสติปัฏฐานอย่างสมบูรณ์แบบกันเลย ความจริงการปฏิบัติธรรม ก็เพื่อทำสติกันให้สมบูรณ์เท่านั้น เมื่อมีสติดีแล้วทุกสิ่งทุกอย่างก็ดีหมด จะมิต้องพูดอะไรกันอีกเลย ถ้าเรามีสติ เราก็อยู่ที่สตินั้น จิตใจมีสติอยู่ตลอดเวลาทุกอิริยาบถ ใครจะว่าเป็นอะไร หรือไม่เป็นอะไรไม่สำคัญ การยึดติดก็จะไม่มี ความจริงถ้าใครถึงแค่นี้ก็จะไม่มีอะไรแล้ว ที่จะเอามาอวดกัน สิ่งที่จะอวดได้มันก็หมดไปแล้ว ถึงความไม่ต้องอวด การพูดมากของคนเหล่านี้ไม่มีเพราะละสัมมาวาจาเสียแล้ว อย่างดีก็นั่งเฉยๆ เป็นผู้ที่ชอบฟังคนอื่นพูด ส่วนตนเองจะพูดน้อยหรือไม่พูดเลย ไม่ชอบเพ้อเจ้อในสิ่งที่ไม่เป็นจริง หรือสิ่งที่แล้วๆ มา คือว่าแล้วก็แล้วกันไป จะไม่เก็บเอามาคิดอีก

    สมถสมาธิ จะทำได้หลายวิธี จะทำอย่างไรก็ได้ ตามแต่ใครจะทำกัน ยุบหนอพองหนอก็ทำสมาธิ เพ่งภายในกายก็ทำสมาธิ การเพ่งธรรมกายก็ทำสมาธิ ถ้ายกหนอ ย่างหนอ ก้าวหนอ ไม่เป็นสมาธิ และก็ไม่เป็นอะไรด้วย ได้แต่รู้จักรูป นามเกิดดับหรือได้ขณิกสมาธิ การทำด้วยพุทโธก็ชื่อว่าทำสมาธิ การทำอานาปานสติก็ชื่อว่าการทำสมาธิ การตั้งจิตไว้ในที่ใด ก็จัดว่าทำสมาธิด้วยกันทั้งนั้น

    เราจะขอพูดถึงการทำสมาธิสักสองวิธี วิธีที่หนึ่ง ได้แก่พุทโธ พุทโธเป็นคำบริกรรมภาวนาที่จะให้ได้สมาธิจะต้องบริกรรมพร้อมกับลมหายใจเข้าออก หายใจเข้าก็นึกพุท หายใจออกก็นึกโธ จะต้องบริกรรมทุกลมหายใจเข้าออก จะขาดเสียมิได้เลย ต้องภาวนาเรื่อยๆ ไป จนกว่าจะไม่มีเรื่องอื่นเข้ามาแซกในการภาวนาแล้วละเลิกคำภาวนาไปได้ การเลิกหรือหยุดคำภาวนา เราก็จะต้องเอาจิตไปไว้กับคำว่าโธ เวลาหายใจออก จิตจะต้องผูกติดกับคำว่าโธตลอดไป ไม่ต้องนึกอะไรๆ ในเรื่องอื่น ให้จิตติดกับคำว่าโธ ไป ติดไปเลย จิตก็จะดับ ตกภวังค์จิต จิตก็จะเกิดสมาธิขึ้นมา เมื่อสมาธิเกิดขึ้นก็จะรู้ด้วยปิติ ปิติจะเกิดบอกให้รู้ ปิติทั้ง 5 ตัว ตัวใดตัวหนึ่งจะเกิดขึ้น ภายในจิตใจของเรา เพื่อเป็นการบอกให้รู้ เมื่อปิติเกิดขึ้น สมาธิก็เกิดขึ้น ที่พูดมานี้เป็นวิธีหนึ่ง

    การทำสมาธิด้วยอานาปานสติ การทำอานาปานสติก็ทำคล้ายๆ กันกับการทำสมาธิอย่างแรกได้แก่พุทโธ ตัวภาวนา แต่การทำอานาปานสติจะต้องเพ่งลมหายใจ ส่วนพุทโธจะต้องภาวนาพร้อมกับลมหายใจ อานาปานสติเป็นการเพ่งลมหายใจ หรือมองดูลมหายใจ การทำอย่างนี้จะทำวิปัสสนาก็ได้ หรือจะทำสมาธิอย่างเดียวก็ได้ เพราะลมหายใจเป็นได้ทั้งรูปและนาม ลมหายใจเป็นกายสังขารด้วย เพราะฉะนั้นจึงใช้ทำวิปัสสนาได้ อานาปานสติก็มีวิธีดับรูปนามอยู่แล้ว พวกเราโง่ไม่เชื่อใจกันหรือไม่รู้ก็ได้ พวกเราเลยจัดอานาปานสติเป็นมรรคย่อยไปร่วมกับอุปาทายรูป ความจริงเป็นมหาภูตรูปอย่างแท้จริง การกระทำถึงได้ผิดหมด แต่จะอย่างไรก็ช่างเถิดจะไม่พูดถึง ขอให้เอาไปถกเถียงกันว่าจะจริงหรือไม่จริง

    ตอนนี้จะพูดการทำสมาธิด้วยอานาปานสติ การทำสมาธิด้วยอานาปานสติก็จะต้องเพ่งลมหายใจ ให้รู้ว่าลมหายใจเข้าออกอย่างไร เข้าช้าเร็วมากน้อยอย่างไร จะต้องสู้เพื่อให้จิตเกิดสมาธิขึ้น ถ้าจิตไม่เป็นสมาธิ ก็จะไม่รู้จักลมหายใจ จะต้องอาศัยจิตที่เป็นสมาธิจึงจะรู้ได้ จะแจ้งอานาปานสติ จึงจะเป็นสมาธิด้วยการเพ่งลมหายใจจะทำอย่างไรวิธีไหนเชิญฟัง

    ก็ต้องเพ่งหรือมอง หรือกำหนดที่ลมหายใจเข้าออก ลมหายใจเข้าออก มันอยู่ที่ตรงไหนเราก็เพ่งดูที่ตรงนั้น จะหลับตาหรือลมตาก็ทำได้ แต่พวกเราจะรู้กันหรือเปล่า ถ้าไม่รู้ก็จะบอกให้ที่รูจมูกนั่นแหล่ะรูจมูกเป็นที่ลมเข้าออก ขอว่าอย่าคิดว่าลมเข้าออกที่อื่นนะมันจะขัดกัน จะไม่ได้ฟังดีลมเข้าออกอยู่ที่ปลายจมูก เราก็เอาจิตไปตั้งไว้ที่ลมกระทบกับจมูก จิตจะต้องตั้งอยู่ที่ตรงนั้นที่เดียวจะไม่มีการย้าย เมื่อจิตตั้งดีแล้ว สติก็จะเกิดขึ้นมามีความรู้ ลมหายใจเข้ากระทบก็รู้ ลมหายใจออกกระทบก็รู้ เราตั้งสติรู้ไว้อย่างเดียว ให้รู้อย่างเดียว รู้ลมเข้าออก ส่วนสิ่งอื่นไม่ต้องไปรู้ รู้แต่ลมเข้าออกเท่านั้น จิตก็จะเป็นสมาธิ เราก็ทำต่อไปเรื่อยๆ กำหนดรู้ลมอย่างเดียว ทำไปนานๆ จิตก็จะเข้าถึงอัปนาสมาธิ หรืออุเบกขาสมาธิ ทั้งสองอย่างก็ให้พิจารณาดู ก็จะรู้ด้วยจิตมันเฉย ถ้าจะทำวิปัสสนา เราก็ใช้ปัญญาเข้าไปตรวจดูในสิ่งต่างๆ ได้แก่รูปนามขันธ์ 5 เข้าไปตรวจดูว่าอะไรมี อะไรไม่มี ถ้าจะพิสูจน์ความจริงว่าจิตเป็นปรมัตถ์หรือเปล่า เราก็มองดูรูปอะไรๆ ว่า เกิดกิเลสตัณหาในรูปนั้นหรือเปล่า จะต้องดูด้วยว่าจิตมีอารมณ์เป็นอย่างไร จะต้องดูให้รู้ เมื่อรู้แล้วเราก็ต้องรักษาอารมณ์อันนั้นไว้ให้มั่นคงตลอดไป จิตก็จะเป็นปรมัตถ์ รูปก็จะเป็นปรมัตถ์ เจตสิกก็จะเป็นปรมัตถ์ด้วยกันทั้งหมด

    การที่จะทำวิปัสสนา จะต้องทำให้จิตเกิดปรมัตถ์เกิดขึ้นมามันถึงจะได้ ถึงจะวิปัสสนาได้ และเข้าถึงวิปัสสนา เราก็ใช้จิตอย่างนี้มองอยู่ เมื่อเรามองดูรูป รูปที่มองก็ดับ เราก็หันมามองนามที่ตัวเรา นามในตัวเราก็ดับ รูปที่มองดับนามในตัวเราก็ดับ เรียกว่ามองรูปนามเกิดดับเป็นวิธีการของการทำวิปัสสนา

    คาถาบูชาหลวงปู่ใหญ่พระครูธรรมเทพโลกอุดร

    โย อะริโย มะหาเถโร อะระหัง อะภิญญาธะโร
    ปะฎิสัมภิทัปปัตโต เตวิชโช พุทธะสาวะโก
    พะหู เมตตาทิวาสะโน มะหาเถรานุสาสะโก
    อะมะตัญเญวะ สุชีวะติ อะภินันที คุหาวะนัง
    โส โลกุตตะโร นาโม อัมเหหิ อะภิปูชิโต
    อิธะ ฐานูปะมาคัมมะ กุสะเล โน นิโยชะเย
    ปุตตะเมวะ ปิยัง เทสี มัคคะผะลัง วะ เทสสะติ
    ปะระมะสารีริกะธาตุ วะชิรัญจาปิวานิตัง
    โส โลเก จะ อุปปันโน เอเกเนวะ หิตังกะโล
    อะยัง โน โข ปุญญะลาโภ อัปปะมัตโต ภะเวตัพโพ
    สาธุกันตัง อะนุกะริสสามะ ยัง วะเรนะ สุภาสิตัง
    โลกุตตะโร จะ มะหาเถโร เทวะตานะระปูชิโน
    โลกุตตะระคุณัง เอตัง อะหัง วันทามิ ตัง สะทา
    มะหาเถรานุภาเวนะ สุขัง โสตถีภะวันตุเม

    ที่มา เมตตา


    แก้ไขครั้งล่าสุดโดย ปมิตา : 04-03-2006 เมื่อ 06:55 AM.

    register.phpregister.phpnewreply.php?do=newreply&p=14885newreply.php?do=newreply&p=14885

    ปมิตา
    ข้อมูลสมาชิก
    เปิดหาโพสของ ปมิตา

    04-03-2006, 06:56 AM #2
    ปมิตา
    คนคุ้นเคย


    member.php?u=235member.php?u=235

    วันที่เป็นสมาชิก: Dec 2005
    โพส: 1,337
    ร่วมอนุโมทนา: 6 คาถาบูชาหลวงปู่ใหญ่พระครูธรรมเทพโลกอุดร (เพิ่มเติม)
    พระคาถาบูชาบรมครูเทพโลกอุดร
    (ตั้งนะโม 3 จบ)
    อุตะเร อริโยนามะ วันทิตาเตจะ อัมเหหิ
    สักกาเรหิ จะปูชิตา เอเตสัง อานุภาเวนะ
    สัพพะ โสตถี ภะวันตุโน
    เมตตา ลาโภ นะโส มิยะ อะหะ พุทโธ
    เมตตา ลาโภ นะโส ทะยะ อะหะ พุทโธ
    นะโมพุทธายะ นะมะพะธะ จะภะลาโภ
    นิโสทะโย อะหะพุทโธ นะโมพุทธายะ
    อิตติถะลาโภ เอกลาโภ ชะโยนิจจัง

    พระคาถาบูชาหลวงปู่โลกอุดรสุทธิโก
    (ตั้งนะโม 3 จบ)
    สุทธิโกจะ สิทธิโกจะ โลกุตตะโร วะโร จะ มะหาเถโร ปัจจะยะลาภะ
    ปูชิโต มะนุสโส เทวะตาอินโท พรัมหมายะโม ยักขา วาปิ
    ตัสสะ นิรันตะรัง ปะนะลาภะ สักกาเร อาเนนตินิจจัง
    สุทธิกิตตะ เถรัสสะจะ สิทธิกิตตะ เถรัสสะจะ ลาโภจะ สักกาโร
    โหติ สุทธิโกจะ สิทธิโกจะ มะหาเถรัญจะ ปูชะกัสสะ
    สะทาวาปิ คาถัญจะ สังวัตตะ นัสสะ ลาโภจะ สักกาโร โหติ
    มะหาเถรัสสะ อานุภาเวนะ ลาโภ เม โหตุ สัพพะทา เอเตนะ
    สัจจะวัชเชนะ ลาโภ เม โหตุ สัพพะทา


    พระคาถาบูชาบรมครูเทพโลกอุดร (ฉบับย่อ)
    (ตั้งนะโม 3 จบ)
    โลกุตตะโร จะมหาเถโร
    อะหัง วันทามิ ตังสะทา
    เมตตาลาโภ นะโสมิยะ อะหะพุทโธ

    ภาวนา 3 จบ 7 จบ หรือ 9 จบ เช้า-เย็นก่อนนอน

    พระคาถาขอพบบรมครูเทพโลกอุดร
    (ตั้งนะโม 3 จบ)
    โย อริโย มะหาเถโร
    นามะ อุตะโร จะอำมะเหหิ
    ปูชิโต เอเตนะ ชะนะมังคะลัง

    ท่องวันล่ะ 3 จบก่อนนอน เป็นเวลา 11 วัน วันที่ 12 จัดอาหารเจไปใส่บาตรตรงหน้าบ้าน การได้พบหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับบุญวาสนา หากยังไม่มีโอกาสได้พบ ก็ลองพยายามใหม่



    ธรรมะของสมเด็จเทพโลกอุดร..และเรื่องประสบการณ์ลี้ลับ

    --------------------------------------------------------------------------------

    หลวงปู่เทพโลกอุดร






    วัดสันป่ายาหลวง อ.เมือง จ.ลำพูน ท่านเป็นพระกรรมฐานที่เชี่ยวชาญทั้งด้านสมถะและวิปัสสนา ปฏิบัติธรรมอย่างอุกฤษฏ์ เดินธุดงค์ไปยังภาคต่างๆของไทย อนุเคราะห์สหธรรมิกด้วยอุบายธรรมต่างๆ และเป็นที่พึ่งทางใจของประชาชนทั่วไป


    ชาติกาล เดือน 7 ปีมะโรง พ.ศ.1834
    ชาติภูมิ บ้านสันมหาพน อ.เมือง จ.ลำพูน
    อุปสมบท เมื่ออายุได้ 25 ปี โดยมีพระครูบาธรรมเสนา เป็นพระอุปัชฌาย์
    มรณภาพ พ.ศ.1924
    สิริรวมอายุได้ 86 ปี



    ธรรมปฏิปทา ของ หลวงปู่เทพโลกอุดร


    ย้อนอดีต
    ครูบาบุญทา จังทวังโส หรือ หลวงปู่เทพโลกอุดร มีนามเดิมว่า บุญทา บิดามีนามว่า หนานคำฝั้น มารดามีนามว่า คำขยาย


    ศึกษามูลกัจจายน์
    เมื่ออายุได้ 10 ขวบ ครูบาบุญทาได้ไปศึกษาเล่าเรียนมูลกัจจายน์ธรรมวินัย กับครูบาญาณวีระ เจ้าอาวาสวัดสันป่ายางหลวง ( อาพัทธาราม ป่าไม้ยาง )


    บรรพชา
    เมื่อมีบุญกุศลหนุนนำ เพื่อศึกษาเล่าเรียนต่อไป ก็ได้บรรพชาเป็นสามเณร เมื่ออายุได้ 12 ขวบ โดยมีครูบาธรรมเสนา วัดอรัญญิการาม เป็นอุปัชฌาย์


    อุปสมบท
    เมื่ออายุได้ 25 ปี พ.ศ.1859 ก็ได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุ มีฉายาว่า จันทวังโส โดยมีครูบาธรรมเสนาเป็นพระอุปัชฌาย์ ครูบาญาณวุฒิและครูบาอินโท สุมังคโล เป็นพระกรรมวาจาจารย์


    ฝึกฝนสมถะและวิปัสสนา
    ครั้งเป็นพระภิกษุแล้ว ก็ฝึกฝนวิธีการเจริญสมถะ และวิปัสสนากรรมฐาน ควบคู่กันไป จากนั้นก็ออกธุดงควัตร ไปยังสถานที่ต่างๆ เช่น ลำปาง ศรีสัชนาลัย ตาก กำแพงเพชรและที่อื่นๆ นอกจากนี้ ยังได้ศึกษาคัมภีร์ต่างๆ อันเป็นข้อมูลแห่งการปฏิบัติกรรมฐาน จนชำนาญแล้วก็ได้เขียนแต่งคัมภีร์ธรรมสำหรับปฏิบัติกรรมฐาน


    ศาสนกิจ
    นอกจากการกำจัดขัดเกลากิเลสให้ออกไปจากจิตใจ เพื่อบรรลุถึงความสิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลายแล้ว หลวงปู่เทพโลกอุดร ยังเดินทางไปสถานที่ต่างๆ ส่วนใหญ่ใช้ชีวิตอยู่ตามป่าแถวเชียงใหม่ ลำพูน ปฏิบัติศาสนกิจและสั่งสอนลูกศิษย์ ให้ตั้งอยู่ในศีลธรรม มีอนุสติ 10 เป็นต้น
     
  15. lotte

    lotte เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2004
    โพสต์:
    726
    ค่าพลัง:
    +4,545
    คำขออธิษฐานจากหลวงปู่เทพโลกอุดร

    เกิดมาเป็นคนนั้น มีแต่ความทุกข์ และได้เห็นคนได้รับความเจ็บปวดทนทุกข์ทรมานมาก เกิดมาในภพใดชาติใดก็ขอให้เกิดมาเป็นหมอ เพื่อรักษาคนเอาบุญเอากุศลก่อน ก่อนที่จะได้ไปเกิดเป็นพระภิกษุตามวัฏสงสาร

    อิทธิบาท 4
    อิทธิบาท คือคุณเครื่องสำเร็จสมประสงค์ มี 4 คือ
    1.ฉันทะ ความพอใจรักใคร่ในสิ่งนั้น
    2.วิริยะ ความพยายามธรรมในสิ่งนั้น
    3.จิตตะ ความเอาใจฝักใฝ่ในสิ่งนั้น
    4.วิมังสา ความพิจารณาใคร่ครวญหาเหตุในสิ่งนั้น

    ผู้เจริญอิทธิบาท
    ตามข้อความในพุทธประวัติว่า " ผู้เจริญอิทธิบาท 4 ประการ จะสามารถดำรงชีวิตอยู่ได้เป็นอายุกัป* "

    สิ่งที่จะปรากฏขึ้น
    แท้จริง ความมีเหตุมีผลความเป็นจริงก็จะปรากฏขึ้นมาในโอกาสข้างหน้าแน่นอน เมื่อถึงเวลาอันเหมาะสมแล้วที่ว่าเวลาอันเหมาะสมนั้น หมายถึง เมื่อชาวพุทธบริษัทอันมีพระภิกษุ สามเณร อุบาสก อุบาสิกา มีการปฏิบัติดีปฏิบัติตรงตามคำสั่งสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทั้งมีความเชื่อมั่นต่อพระรัตนตรัยอย่างแน่นแฟ้นแล้ว เวลานั้นแหละหลวงปู่เทพโลกอุดรก็จะปรากฏออกมาให้เราชาวพุทธได้เห็นและสัมผัส ด้วยจักษุทันที แล้วท่านก็จะทราบเองว่าหลวงปู่เทพโลกอุดร เป็นเทวดา พรหม หรือเป็นมนุษย์ที่มีกายเป็นเหมือนกับเรา เพียงแต่ได้เจริญอิทธิบาท 4 ประการตามที่กล่าวแล้ว ขอให้ทุกท่านหมั่นเจริญอิทธิบาท 4 ให้ถึงจุดหมายเถิด

    พบได้ที่ใจตนเอง
    ผู้ที่ศรัทธาในหลวงปู่เทพโลกอุดร มีความปรารถนาจะได้พบ ก็นมัสการองค์ท่าน ด้วยการปฏิบัติธรรมตามแนวทางของท่าน อย่าได้ไปไขว่คว้าจากผู้อื่น แต่จงไขว่คว้าเอาที่จิตใจของตนเองจึงจะสมปรารถนา

    สมเจตนารมณ์
    จากการค้นคว้าเรื่องราวของหลวงปู่ ทำให้แน่ใจว่าการปฏิบัติตามหลวงปู่ ทำให้ศีลบริสุทธิ์ จิตบริสุทธิ์ จึงจะได้พบเห็นท่าน หากใครมีศรัทธาแท้จริง ก็ต้องปฏิบัติจริงจึงจะสมเจตนารมณ์


    วิธีการนั่งกรรมฐาน
    วิธีปฏิบัติกรรมฐานนั้น โดยนั่งตัวตรง ดำรงสติให้มั่นคง สตินั้นให้กำหนดอยู่ที่ฐานใดฐานหนึ่ง เช่น ที่ปลายจมูกที่ลมเข้าออกหรือที่หน้าผาก ระหว่างคิ้วก็ได้ คำบริกรรมนั้น ท่านให้เลือกเอาตามสะดวก เช่น พุทโธ ท่านให้ใช้ปลายลิ้นกดเพดานเบาๆ เพื่อให้เสียงว่า พุทโธ เป็นการนึกอยู่แต่ในใจ หรือจะใช้กำหนดลมเข้าออกก็ได้ คือให้รู้ว่าเข้า และรู้ว่าออกเท่านั้น ไม่ต้องส่งจิตตามว่าเข้าถึงไหนออกถึงไหน กำหนออยู่แค่เข้าและออกเท่านั้น เมื่อมีสติรู้อยู่ว่า จิตเป็นหนึ่งเดียว คือเป็นเอกัคคาตาแล้ว

    หรือ เข้าสู่อุเบกขาว่างวางเฉยไม่มีอารมณ์กิเลสวิ่งเข้าวิ่งออกแล้ว ก็ให้ใช้สติมองดูต่อไป เมื่อเห็นว่างจริงแล้วอธิษฐานจิตถึงหลวงปู่เทพฯ ก็ได้ถ้าวาระจิตได้จังหวะพอดี ก็จะเห็นได้ แต่การปฏิบัติจริงต้องใช้เวลาพากเพียรพยายามมากพอสมควร แท้จริง ความมุ่งหมายของการทำสมาธินั้น ก็เพื่อทำจิตใจเป็นอิสระมีความว่างเป็นกลางอยู่ให้ได้เท่านั้น ท่านไม่ให้อยากเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ อยากเห็นส่งนั้นสิ่งนี้ เช่น เห็นนิมิตต่างๆ เพราะความอยากจะไม่ทำให้เราสมความปรารถนา ต้องใช้จิตเป็นกลาง ว่างไม่เห็นอะไรเลย จึงจะเป็นการทำสมาธิที่ถูกต้อง ส่วนปัญญานั้น ก็จะเกิดขึ้นมาเอง เป็นตัวปัญญาที่ได้จากการบำเพ็ญวิปัสสนากรรมฐานโดยตรงไม่ต้องไปหาจากสิ่งภายนอกมาใส่เข้าไปแทน ดังนั้น การทำวิปัสสนากรรมฐานให้เกิดปัญญาขึ้นนั้น ก็จะเป็นการดีสำหรับผู้ปฏิบัติที่ชี้แนะให้สร้างนิมิต หรืออุปทานขึ้นมาเป็นเครื่องล่อ ครูบาอาจารย์ที่ปฏิบัติตรงท่านจึงบอกว่า ปัญญาจะเกิดขึ้นมาเอง


    ปฏิบัติอย่าให้ขาดตอน
    แนวการปฏิบัติของหลวงปู่เทพฯ ท่านมุ่งหมายอย่างนี้ อาศัยศีลบริสุทธิ์เป็นเบื้องต้น แล้วทำจิตให้บริสุทธิ์ผ่องแผ้วก่อน การอธิษฐานที่จะเห็นหลวงปู่ฯ หรือจะเห็นนิมิตอย่างอื่นก็ตาม เป็นเรื่องตามมาภายหลังข้อสำคัญต้องปฏิบัติให้ต่อเนื่องกันไป


    จิตไม่บริสุทธิ์
    ถ้าจิตยังไม่บริสุทธิ์ ยังไม่ว่างวางเป็นกลางจริงๆแล้ว ก็ยังไม่ถึงขั้นที่จะอธิษฐาน และจะไม่ประสบผลสำเร็จ

    ฝึกให้ชำนาญก่อน
    ท่านที่มีตบะมั่นคงได้นั้น ต้องฝึกฝนให้คล่องแคล่วชำนาญในกรรมฐานอย่างใดอย่างหนึ่งก่อน เช่น กสิณ อนุสติ เป็นต้น จึงจะอธิษฐานให้นิมิตเกิดขึ้นได้ตามต้องการ ฉะนั้น การปฏิบัติกรรมฐานจึงต้องค่อยๆทำไปอย่างใจเย็น ที่ละขั้นตอน เพื่อชำระจิตให้สะอาด สว่าง และสงบ

    ตามรอยบาทพระศาสดา
    หลวงปู่เทพโลกอุดร ท่านได้เร่งบำเพ็ญเพียรตามคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อย่างเคร่งครัด

    กลับสู่มาตุภูมิ
    เมื่อหลวงปู่มีอายุได้ 80 ปี หลังจากที่ได้ธุดงค์ไปตามที่ต่างๆ แล้ววัยชราก็เข้ามาเยือนจึงได้กลับไปยังวัดสันป่ายางหลวง เมืองลำพูนตามเดิม

    คงเหลืออยู่แต่คุณธรรม
    ในช่วงนั้น ก็มีสามเณรน้อยอายุ 7 ขวบ ได้เข้ามาปรนนิบัติหลวงปู่ ท่านก็ได้พร่ำสอนธรรมะ โดยให้หมั่นเจริญภาวนามองเห็นภัยในวัฏสงสาร และเมื่อ พ.ศ. 1920 ระหว่างที่หลวงปู่เทพโลกอุดรมีอายุได้ 86 ปี ก็ได้ละอัตภาพวางภาระไว้คงเหลือแต่คุณธรรมเท่านั้น



    คัดลอกจากหนังสือ เรียนธรรมะบูชาพระสุปฏิปันโน หลวงปู่เทพโลกอุดร
    ขอให้ทุกท่านเจริญในธรรม
    http://larndham.net/cgi-bin/kratoo.pl/007625.htm
    เชิญร่วมสร้างพระผงองค์ปฐมต้นจักรพรรดิ16ล้านองค์แจกฟรีทั่วไทยโดยพี่อัฐกระทู้พุทธภูมิเวบpalungjit.org
    ขอเชิญเพื่อนพุทธภูมิทุกท่านร่วมมหากุศลสร้างพระแจก 16 ล้านองค์ทั่วโลก

    --------------------------------------------------------------------------------
    เรื่อง ขออนุญาตินำข้อมูลสร้างพระองค์ปฐม16ล้านองค์ของพี่อัฐมาลงครับ
    เรียน ท่านอาจารย์เวบมาสเตอร์ที่เคารพและทุกท่านครับ
    หลังจากที่ทางคณะได้ดำเนินการสร้างพระและทำการแจกมาได้มาได้สองรุ่นด้วยกัน และได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี จึงเกิดกำลังใจอย่างมากที่จะดำเนินโครงการนี้ตลอดชีวิต จนกว่าจะหมดแรงหรือหมดวาระ โดยตั้งเป้าไว้ที่ 16 ล้านองค์ทั่วโลก(เลขโสฬส) เพื่อเป็นกุศโลบายในการสร้างคนกว่า 16 ล้านครอบครัวทั่วโลก สร้างยุคชาววิไลย์ในอีก 10-20 ปีข้างหน้า....

    จากการประเมิณคร่าว ๆ นับว่างานนี้มีเค้ามีหวัง เพราะหลังจากที่แจกพระไป ผู้รับนำไปปฏิบัติ ได้ผลเป็นอัศจรรย์หลายท่าน ทำให้วิชาของครูบาอาจารย์เริ่มเปิดตัวเองอย่างมาก อนึ่งหากผู้ปฏิบัติ ต้องการรายละเอียดในเบื้องลึกของวิชาเปิดโลก ซึ่งเป็นวิชาที่สำคัญมากที่โพธิญาณควรเรียนรู้ไว้ เนื่องเพราะเป็นวิชาเร่งบารมีหรือวิชาการสร้างบารมีโดยพิศดารซึ่งนาน ๆจะเกิดขึ้นสักครั้งหนึ่ง รายละเอียดขอโปรดอ่านบทความต่าง ๆได้ที่ เว็บวัดถ้ำเมืองนะครับ

    http://www.watthummuangna.com/index02.html

    อนึ่งเนื่องเพราะเป้าหมายการสร้างพระมีจำนวนมากทางผมจึงต้องการมวลสารจำนวนมากเพื่อให้โครงการดังกล่าวลุล่วงไปได้ด้วยดี จึงขอรับบริจาคมวลสารจำนวนมาก เพื่อสร้างพระจำนวนกว่า 16 ล้านองค์แจก มายังเพื่อน ๆชาวโพธิญาณ มาใน ณ. โอกาสนี้ โดยมวลสารพิเศษที่ต้องการมาก จากเพื่อนๆ พี่ๆ โพธิญานโดยเฉพาะคือ ผงธูปจากกระถางธูปบูชาพระที่บ้านเพื่อนโพธิญาณเอง เพื่อรวบรวมนำมาสร้างสุดยอดมวลสาร " ผงธูป 1 พันโพธิญาณ " (ซึ่งเป้าหมายในระยะเเรกคง เป็น ผงธูป 108 โพธิญาณ ก่อน)

    ขออนุโมทนาเป็นอย่างสูงสุดมา ณ. โอกาสนี้ ..สาธุ..สาธุ..สาธุ...
    ทำบุญได้โดยผ่านธนาณัตินาม
    ร.ท.ภก. อรรถวัติ สมโภชน์
    โรงพยาบาลกองบิน 23 ถ.ทหาร ต.หมากแข้ง อ.เมือง
    จ.อุดรธานี 41000 โทร.085-4857454 หรือ 086-6587513
    ที่มาhttp://www.palungjit.org/board/showthread.php?p=613809#post613809

    ตัวอย่างกระทู้ที่เกี่ยวข้องกับโครงการแจกพระที่ลุล่วงไปแล้วและกำลังดำเนินการอยู่

    โครงการสร้างพระเครื่องมหาเย็น รุ่นยับยั้งสงคราม
    http://www.palungjit.org/board/showthread.php?t=37942
    ปิดจองแล้ว !!! พระกำลังพระจักรพรรดิ์ กำหนดส่งพระ วันศุกร์ที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2550
    http://www.palungjit.org/board/showthread.php?t=69325
    ด่วน แจกฟรี พระกำลังจักรพรรดิ์ 300 องค์
    http://www.palungjit.org/board/showthread.php?t=81544
    เชิญโหลดข้อมูล "หนังสือ พระกำลังพระจักรพรรดิ รุ่นคุ้มแผ่นดิน"
    http://www.palungjit.org/board/showthread.php?t=80749
    เริ่มดำเนินการแล้ว !! โครงการสร้างพระกำลังพระจักรพรรดิรุ่นที่ 3 รุ่นพอเพียง
    http://www.palungjit.org/board/showthread.php?t=81033
    โมทนาสาธุกับทุกท่านครับขอให้บารมีเต็มพุทธภูมิหรือสาวกเร็วๆครับ
     
  16. GUSS

    GUSS เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มกราคม 2007
    โพสต์:
    55
    ค่าพลัง:
    +1,183
    โมทนาครับ

    โมทนาครับ เป็นแนวคิดที่ดีครับ ถ้าเราทุกคนได้มารวมตัวกัน ร่วมมือร่วมแรงร่วมใจ เพื่อความเจริญรุ่งเรืองเป็นปึกแผ่นแห่งพระพุทธศาสนา ก็เป็นสิ่งที่ดีมากเลยครับ อย่างน้อยก็ยังมีเพื่อนเดินไปด้วยกันครับ
    [b-wai] [b-wai] [b-wai] [b-wai]
     
  17. sravnane

    sravnane เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    695
    ค่าพลัง:
    +17,914
    สถานที่และวันเวลาหลังจากการทำพุทธภูมิพิจารณ์ฯ

    SSL10027.JPG
    SSL10032.JPG
    SSL10033.JPG
    SSL10024.JPG SSL10025.JPG SSL10024.JPG
    สถานที่และวันเวลาหลังจากการทำพุทธภูมิพิจารณ์ เกี่ยวกับงานสโมสรสันนิบาตพุทธภูมิฯในครั้งนี้ มีความเห็นตรงกันอยู่ว่าควรจะเป็นสถานที่ที่พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ในกัปล์ได้ทรงประดิษฐานพระศาสนา เป็นสถานที่ที่มีความเกี่ยวพันกันของเหล่าพุทธภูมิทั้งปวงฯ ซึ่งมีหลายสถานที่ด้วยกัน แต่ที่มีครบทั้งสถานที่และเวลาตอนนี้ก็มีอยู่ที่เดียวคือ เขาสังกัส วัดสังกัสรัตนคีรี อ.เมือง จ.อุทัยธานี ซึ่งตามตำนานพระเจ้าเลียบโลก ได้กล่าวถึงตอนที่พระพุทธเจ้าเสด็จโปรดพุทธมารดา และทรงจำพรรษาอยู่บนดาวดึงส์สามเดือน ก่อนจักทรงเสด็จลงที่เขาสังกัสแล้วทรงแสดงปาฏิหารย์เปิดโลกทั้งหมดให้เห็นซึ่งกันและกัน ในเพลานั้นท่านกล่าวว่าด้วยพุทธบารมี ได้มีมนุษย์เทวดาเป็นจำนวนมากได้บรรลุธรรมฯ และก็มีมนุษย์และเทวดาอีกเป็นจำนวนมากเหมือนกัน แม้กระทั้งสัตว์ใหญ่หรือสัตว์เล็กๆเช่นมดดำ,มดแดงฯก็พากันอธิษฐานปรารถนาในพระโพธิญาณฯ ซึ่งถ้านับแล้วในพระศาสนานี้ ครั้งนี้ถือว่ามีผู้อธิษฐานปรารถนาพุทธภูมิพร้อมกันมากที่สุดเลยครับ และทุกท่านมีความคิดเห็นอย่างไรกันบ้างครับ
    [b-wai] [b-wai] [b-wai] [b-wai] [b-wai]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 กันยายน 2007
  18. ARTE

    ARTE เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    52
    ค่าพลัง:
    +1,139
    ขอโมทนาครับ

    ขอโมทนาครับ สาธุ เป็นความคิดที่ดีมากเลยครับ (deejai)
     
  19. Attawat_Rx

    Attawat_Rx เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กันยายน 2005
    โพสต์:
    2,183
    ค่าพลัง:
    +18,400
    ขอโหวตเห็นด้วยครับผม....
     
  20. สีทันดร

    สีทันดร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มกราคม 2007
    โพสต์:
    16
    ค่าพลัง:
    +392
    โมทนาครับ

    ขอร่วมโมทนาด้วยคนครับ เห็นด้วยกับการรวมตัวกันเพื่อทำสิ่งดีๆให้เกิดประโยชน์แก่พระพุทธศาสนาของเราครับ
    (b-flower) (b-flower) (b-flower) (b-flower)
     

แชร์หน้านี้

Loading...