มนุษย์ทุกคนลิขิตชีวิตตนเองได้ด้วยการกระทำกรรมปัจจุบัน เชิญมาจองวิมานบนสวรรค์ชั้นต่างๆ

ในห้อง 'Black Hole' ตั้งกระทู้โดย คนขายธูป, 5 กันยายน 2007.

  1. คนขายธูป

    คนขายธูป เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    252
    ค่าพลัง:
    +2,964
    มนุษย์ทุกคนลิขิตชีวิตตนเองได้ด้วยการกระทำกรรมปัจจุบัน เชิญมาจองวิมานบนสวรรค์ชั้นต่าง

    กรรม คือ เครื่องกำหนดชีวิตของเรา ถามว่ากรรมาจากไหน ก็มาจากเรานั่นแหละกระทำไว้ในกาลก่อน ดังนี้สรุปได้ว่าไม่ได้มีพรหมลิขิต หรือผู้ใดมาลิขิตชีวิตของเราแต่อย่างใด มนุษย์ทุกคนล้วนได้รับสิทธิและอิสรเสรีภาพที่เท่าเทียมกันภายใต้กฎแห่งกรรมนี้ ไม่มีความลำเอียงแต่อย่างใด ผู้ใดก่อกรรม ผู้นั้นย่อมได้รับกรรมนั้นเป็นแน่แท้แน่นอน ดังนั้น หากเรายังไม่พร้อม
     
  2. คนขายธูป

    คนขายธูป เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    252
    ค่าพลัง:
    +2,964
    เราจะเป็นอะไรก็ได้ตามที่ใจเราปรารถนาได้ด้วยเงื่อนไขใด?

    สมัยผมเด็กๆ ผมมักวาดภาพเมืองและออกแบบด้วยตัวเอง พยายามให้มันสงบสุขและสบายที่สุด แต่ไม่ทราบว่าเพราะอะไร พยายามวาดออกมากี่ครั้งๆ ก็ได้รูปเดิม คือ รูปกระท่อมเล็กๆ ริมน้ำ ท่ามกลางทุ่งนากว้างใหญ่ มีภูเขาอยู่ด้านหลังเช่นนี้เสมอ ในใจผมคิดอยู่ลึกๆ มาตั้งแต่เด็กว่า
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 กันยายน 2007
  3. คนขายธูป

    คนขายธูป เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    252
    ค่าพลัง:
    +2,964
    จักรวาลให้เราเป็นได้ทุกอย่าง การเป็นพระพุทธเจ้าหาใช่ที่สุดไม่

    แท้จริงแล้ว ไม่มีคำว่า
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 กันยายน 2007
  4. คนขายธูป

    คนขายธูป เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    252
    ค่าพลัง:
    +2,964
    มาเริ่มค้นหาตัวเองแล้วตั้ง
     
  5. คนขายธูป

    คนขายธูป เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    252
    ค่าพลัง:
    +2,964
    อานิสงค์ของการตั้ง “ปณิธาน” ทำให้จุติที่ดุสิต และเลือกเกิดหรือไม่เกิด รวมทั้งวางแผนการเกิดเองได้

    คิดว่าเราทุกคนคงเคยได้ยินนะครับว่า “เมื่อโลกมนุษย์เกิดเดือนร้อน พระอินทร์จะร้อนบัลลังก์ แล้วเรียกประชุมเทวสภา เพื่อทูลอาราธนาอัญเชิญพระโพธิสัตว์ไปจุติเพื่อช่วยเหลือมนุษย์” และ “พระโพธิสัตว์จะทรงพิจารณาและตัดสินพระทัยเองว่าจะจุติหรือไม่จุติ และจะจุติเป็นอะไร และอย่างไร” แสดงว่า “การเวียนว่ายตายเกิดนี้ ไม่จำเป็นต้องพัดเพไปตาม “ผลกรรม” เสมอไป การบำเพ็ญเพียรแบบโพธิสัตว์นั้น ได้อานิสงค์ “อยู่เหนือกฎแห่งกรรม” สามารถที่จะเลือกเกิด หรือไม่เกิดก็ได้ เกิดเป็นอะไรก็ได้ ตามกำลังบุญบารมีของตนที่มี ดุจดังเช่น ตำนานพระนาราย ที่เมื่อเกิดปัญหาอะไรขึ้นมา เหล่าเทวดาก็มาทูลอาราธนาให้พระตรีมูรติองค์ใดองค์หนึ่งจุติ (แต่จะไม่ทูลอัญเชิญองค์พรหมเด็ดขาด เพราะทรงไม่จุติบนโลกมนุษย์เพื่อแก้ไขปัญหาแบบนี้) ปกติ หากมีเรื่องภาพรวมกระทบทั้งจักรวาลสามภพ พระศิวะ จะทรงแก้ไขให้ แต่หากเป็นเรื่องคนบางกลุ่มบางพวกทำร้ายคนบางกลุ่ม จะเป็นหน้าที่ของพระนาราย ซึ่งท่านจะปราบแต่มาร อภิบาลแต่คนดี ไม่ทำร้ายคนดี และไม่สนับสนุนคนเลว ในทางฮินดู จะกล่าวถึงมหาเทพไว้มากมายและค่อนข้างสับสนอลหม่าน แต่หากใช้การศึกษาแนวทางพุทธแล้วจะเข้าใจได้มากขึ้นไม่สับสนอีกต่อไป คือ การบำเพ็ญเพียรนั้น จะเริ่มจากคนที่เป็นคนบนโลก ทำบุญไปไม่หวังผล ไม่ตั้งปณิธาน ก็ไปเกิดเสวยสุขบนสวรรค์ เทวดาบางตนว่างไปวันๆ ไม่มีหน้าที่ตำแหน่งอะไร ก็เสวยสุขเสพกามเป็นล่ำเป็นสัน อยู่อย่างนั้นเอง เทวดาบางองค์หากทำบุญมากมีวิมาน ก็ได้อาศัยวิมานตนเองอยู่ ไม่ต้องไปขอเขาอยู่อาศัย เทวดาบางองค์มีวิมานและบริวาร ก็สามารถทำกิจการต่างๆ ได้มากมาย เช่น ไปช่วยเหลือเทวดาด้วยกันเมื่อเกิดปัญหา เทวดาบางพวกก็เป็นเทวดาพาล ยกพรรคพวกบริวารไปทำสงครามกันบนสวรรค์ก็มี จนพระอินทร์ต้องมาห้ามปราม ห้ามไม่ไหวก็ต้องขึ้นไปทูลขอให้พระโพธิสัตว์ หรือมหาเทพลงมาช่วยปราบ อย่างนี้ก็มีให้เห็นกันอยู่เสมอๆ <O:p</O:p
    <O:p</O:p
    ดังนี้ แม้นทำบุญมากมายแล้ว ไปจุติเป็นเทวดา บางครั้งไม่มีตำแหน่ง ไม่มีวิมาน ไม่มีบริวารก็ทำให้กลายเป็นเทวดาเร่ร่อนไม่มีงานทำได้เหมือนกัน การตั้ง “ปณิธาน” นั้นมีอานิสงค์สูงมาก เมื่อตั้งปณิธานแล้วทำสิ่งดีงามต่างๆ บนโลก ก็จะเกิดเป็น “กุศลกรรม” หรือ บุญบารมี ยังผลให้ไปจุติเป็นเทวดาที่มีตำแหน่ง มีงานทำแน่นอน มีอำนาจหน้าที่รับผิดชอบบนสวรรค์ ไม่เร่ร่อนไปวันๆ เทวดาที่มีตำแหน่งช่วยงานบนสวรรค์โดยเฉพาะ เช่น เทพนาจา มีหน้าที่เฝ้าประตูสวรรค์ หรือมีตำแหน่งช่วยมนุษย์โลกโดยเฉพาะเช่น พิรุณเทพ มีหน้าที่ดูแลเรื่องฝนฟ้าให้ตกต้องตามฤดูกาล เราเรียกเทวดาเหล่านี้ว่า “เทพ” หากมีตำแหน่งเกี่ยวข้องกับโลกมนุษย์โปรดมวลมนุษย์ได้มากค่อนข้างมีอิสระในตัวเองไม่ต้องขออนุญาตพระอินทร์ก่อนลงมาโปรดสัตว์ เราจะเรียกว่า “มหาเทพ” ได้แก่ พระพิฆเนศวร, พระศิวะ, พระอุมา, พระวิษณุ, พระนาราย, ฯลฯ นอกจากมหาเทพเหล่านี้แล้ว หากจะลงมาช่วยมนุษย์ จำต้องขออนุญาต “พระอินทร์” ก่อนทั้งสิ้น หากลงมาโดยพละการ แล้วทำผิดพลาดย่อมจะต้องได้รับโทษมหันต์ เช่น เทวดาบางองค์มีอาลัยอาวรณ์รักเมียเก่าที่ยังมีชีวิตบนโลกมาก รู้ว่าเมียโดนชายอื่นหลอกลวงด้วยผลกรรมที่นางต้องรับ หากทำใจไม่ได้ หนีสวรรค์ลงมาช่วยเมียเก่าตนเอง กลับไปต้องโทษทัณฑ์สวรรค์ อาจถึงขั้นตกสวรรค์หรือถูกจองจำนานแสนนานเลยทีเดียว เมื่อบำเพ็ญเพียรจนมีจุดมุ่งหมายที่ชัดเจนแล้ว หากเป็นจุดมุ่งหมายที่เข้าสู่ระบบ “พุทธภูมิ” ก็จะถูกระบบจัดการให้อยู่ในระเบียบ จะหนีลงมาสะสมบุญบารมีเองโดยพละการไม่ได้ เพราะบางชาติที่ลงมา มนุษย์หลงมัวเมาในกิเลสตัณหามาก และพระธรรมสูญสิ้นแล้ว หากพระโพธิสัตว์จุติลงมาก็เท่ากับเอาผลบุญบารมีที่สะสมไว้ไปผลาญเล่นจนหมดตัว และอาจตกต่ำลงจากภพเดิม
    <O:p</O:p
    ดังนี้ จำเป็นต้องมีระบบพี้เลี้ยง คือ พระพุทธเจ้าในอดีตทั้งหลาย และพระมหาโพธิสัตว์ผู้มากด้วยประสบการณ์ทั้งหลายจะคอยดูแลและให้สัญญาณก่อนที่จะแนะนำให้พระโพธิสัตว์จุติลงไปช่วยมนุษย์ (พระโพธิสัตว์จะตัดสินใจเองได้อย่างมีอิสระ โดยมีพระมหาโพธิสัตว์ให้คำแนะนำสั่งสอน) พระมหาโพธิสัตว์ผู้มีหน้าที่อยู่บนสวรรค์คอยดูเรื่องราวทางโลกก่อนส่งสัญญาณให้พระโพธิสัตว์ไปจุติช่วยมนุษย์เพื่อบำเพ็ญเพียรก็คือ “พระอวโลกิเตศวรมหาโพธิสัตว์” ผู้ได้ฉายาว่า “กวนอิม” คือ ผู้เพ่งเสียงเรียกร้องของเหล่าสรรพสัตว์นั่นเอง ข้อแตกต่างของการบำเพ็ญเพียรแบบ “มหาเทพ” และ “พระโพธิสัตว์” คือ “มหาเทพ” จะมีอิสระลงมาทำกิจได้ตามที่จิตพิจารณาเห็นควร แต่หากเข้าสู่ระบบ “พระโพธิสัตว์” แล้ว จำต้องคอยฟังสัญญาณจากพระโพธิสัตว์รุ่นพี่ก่อนจุติลงมาช่วยคน และไม่อาจช่วยคนต่างภพได้มากเท่ากับ “มหาเทพ” ซึ่ง มหาเทพจะเปื้อนกรรมง่ายกว่า ส่วนพระโพธิสัตว์จะเหมือนไข่ที่ถูกฟูฟัก ได้รับการดูแลไม่ให้เปื้อนกรรม ดังนี้ จึงไม่แปลกเลยว่าทำไม คนจึงบูชา “มหาเทพ” กันมาก และมักได้ดังใจปรารถนา เพราะว่า “มหาเทพ” มีอิสระจากระบบพุทธภูมิ และเปื้อนกรรมได้ง่ายกว่านั่นเอง แต่เมื่อพระโพธิสัตว์จุติลงมาโลกมนุษย์แล้ว จะทรงกิจช่วยคนได้กว้างขวางยิ่งกว่า “มหาเทพ” ดังนี้ หากเราจะบูชามหาเทพ ก็เพื่อให้ท่านช่วยเราในฐานะ “ต่างภพ” หากเราจะบูชาพระโพฺธิสัตว์ ก็เพื่อให้ท่านช่วยเหลือเราในฐานะ “ภพเดียวกัน” ตราบเมื่อ “มหาเทพ” องค์ใดก็ตามเกิดศรัทธาในพระพุทธศาสนา หรือพระพุทธเจ้า แล้วตั้ง “ปณิธานพุทธภูมิ” เมื่อนั้น “มหาเทพ” ก็จะอยู่ใน “ตำแหน่งพระโพธิสัตว์” หรือ “พระมหาโพธิสัตว์” แล้วแต่กำลังบุญบารมีที่บำเพ็ญมา และต้องอยู่ภายใต้ระบบการบริหารจัดการแบบพุทธภูมิ<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่เทพขึ้นไป หากได้จุติที่ดุสิต ล้วนวางแผนการเกิดได้เองทั้งสิ้น เรียกว่าอยู่เหนือกฎเวียนว่ายตายเกิดตามระดับกำลังบุญบารมีของตนที่สะสมมาเป็นทุน
     
  6. คนขายธูป

    คนขายธูป เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    252
    ค่าพลัง:
    +2,964
    เปรียบเทียบลำดับการบำเพ็ญเพียรแบบฮินดูและพุทธ

    การบำเพ็ญแบบ “องค์พรหม”
    <O:p</O:p
    ๑. ปุถุชนพรหม คือ การบำเพ็ญด้วยการ “เจริญพรหมวิหาร” ช่วยเหลือผู้คนทั่วไปด้วยความเมตตา ไม่มีการ เจริญภาวนา ไม่มุ่งเน้นการกำจัดกิเลสในใจตน เมื่อตายลงจะจุติเป็น “พรหม” ระดับธรรมดา (พรหมณ์องค์เล็ก) ไม่ใช่ “มหาพรหม”
    ๒. โพธิสัตว์พรหม คือ การบำเพ็ญด้วยการ “เจริญพรหมวิหาร” ช่วยเหลือผู้คนทั่วไปด้วยความเมตตา ประกอบกับการปณิธาน “พุทธภูมิ” เมื่อตายลงมีทางไปสองทาง หากบารมีถึงดุสิตก็เลือกดุสิตได้ หรือจะเลือกไปจุติเป็นพรหมก่อนก็ได้
    ๓. อรหันต์พรหม คือ การบำเพ็ญด้วยการ “เจริญพรหมวิหาร” ช่วยเหลือผู้คนทั่วไปด้วยความเมตตา มีการเจริญภาวนาจิตจนปราศจากกิเลส บรรลุอรหันต์ เช่นนี้ เลือกได้สองทาง คือ ดับขันธปรินิพพานไม่เกิดอีก หรือ ไม่ดับขันธปรินิพพาน แล้วจุติเป็นพรหม เช่น ท่านท้าวมหาพรหมชินปัญจระ ที่อรหันต์ตอน ๗ ขวบแล้วถอดกายทิพย์ละสังขารตายลงไปจุติในพรหมโลก เป็นท้าวมหาพรหม
    <O:p</O:p
    การบำเพ็ญแบบ “องค์นาราย”
    <O:p</O:p
    ๑. ปุถุชนนาราย คือ การบำเพ็ญด้วยการ “ปราบคนพาล อภิบาลคนดี” โดยไม่เจริญภาวนากำจัดกิเลสในใจ เช่น ทหารตำรวจ เป็นต้น ปกติ ยังไม่ได้รับตำแห่งมหาเทพนาราย เพราะตำแหน่งนี้ สำคัญจะมอบให้เมื่อบำเพ็ญสูงสุดแล้ว และทรงกิจอย่างได้รับการยอมรับจากเทวสภาแล้วจริงๆ จึงเรียก “องค์นาราย” ยกตัวอย่างเช่น ริชชี่ ได้รับการอนุญาตจากเบื้องบนให้แสดงตนได้ และบำเพ็ญเป็น “ปุถุชนนาราย” ได้ เพื่อสร้างแบบอย่างให้ปุถุชนบำเพ็ญเพียรตามเป็นต้น
    ๒. โพธิสัตว์นาราย คือ การบำเพ็ญด้วยการ “ปราบคนพาล อภิบาลคนดี” โดยไม่เจริญภาวนากำจัดกิเลสในใจ แต่ตั้งปณิธานเพื่อ “พุทธภูมิ” เช่น พระพุทธเจ้าในอดีตชาติหนึ่ง ทรงปราบ “รากษส” เพื่อช่วยให้มวลมนุษย์พ้นเคราะห์กรรม ในชาตินั้น จัดเป็น “โพธิสัตว์นาราย” คือ เป็นพระโพธิสัตว์ที่ปราบมารอภิบาลคนดี
    ๓. อรหันต์นาราย คือการบำเพ็ญด้วยการ “ปราบคนพาล อภิบาลคนดี” โดยการเจริญภาวนากำจัดกิเลสในใจจนบรรลุอรหันต์ แล้วปราบมิจฉาทิฐิ ตัวอย่างเช่น พระพุทธเจ้า ในชาติที่ตรัสรู้ ทำหน้าที่ “องค์นารายปางที่เก้า” คือ ปราบฤษีและพราหมณ์ฝ่ายมิจฉาทิฐิที่หลงในอวิชชาให้กลับมาเดินทางที่ถูกต้อง เป็นต้น
    <O:p</O:p
    การบำเพ็ญแบบ “องค์ศิวะ”
    <O:p</O:p
    ๑. ปุถุชนศิวะ คือ การบำเพ็ญด้วยการ “สร้างระบบใหม่” ซึ่งอาจต้องปล่อยให้เกิดการทำลายล้างโดย “กรรม” แล้วสร้างระบบใหม่ที่ดีว่าด้วย “บุญบารมี” โดยไม่มีการเจริญภาวนากำจัดกิเลสในใจ ยกตัวอย่างเช่น การเกิดขึ้นของ “พระมหาจักรพรรดิ” องค์ต่างๆ บนโลก (อย่าใช้ศัพท์มหาจักรพรรดิตามใจชอบนะครับ ศัพท์นี้มีความหมายแปลว่า ปกครองทั้งโลก ไม่ใช่แค่ประเทศใดประเทศหนึ่ง)
    ๒. โพธิสัตว์ศิวะ คือ การบำเพ็ญด้วยการ “สร้างระบบใหม่” ซึ่งอาจต้องปล่อยให้เกิดการทำลายล้างโดย “กรรม” แล้วสร้างระบบใหม่ที่ดีว่าด้วย “บุญบารมี” โดยมีการตั้งปณิธานการบำเพ็ญนี้เพื่อ “พุทธภูมิ” เช่น พระมหาจักรพรรดิที่ส่งเสริมทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา (ต่างจากแบบแรกที่อาจไม่สนใจพระพุทธศาสนาเลย)
    ๓. อรหันต์ศิวะ คือ การบำเพ็ญด้วยการ “สร้างระบบใหม่” ซึ่งอาจต้องปล่อยให้เกิดการทำลายล้างโดย “กรรม” แล้วสร้างระบบใหม่ที่ดีว่าด้วย “บุญบารมี” โดยมีการเจริญภาวนากำจัดกิเลสให้หมดสิ้นไป ตัวอย่างเช่น พระศรีอาริยเมตตรัย ที่จะจุติลงมาเป็นพระมหาจักรพรรดิเพื่อค้ำพระพุทธศาสนาในกึ่งกลางยุคพุทธกาล
    <O:p</O:p
     
  7. คนขายธูป

    คนขายธูป เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    252
    ค่าพลัง:
    +2,964
    เราจะวางแผนการเวียนว่ายตายเกิดของเราอย่างไรให้หรรษา?

    ๑. ตั้งปณิธานให้ชัดเจน
    <O:p</O:p
    จำเป็นอย่างยิ่งที่เราจะวางแผนการเวียนว่ายตายเกิดของเราในวัฏสงสารอันไม่มีที่สิ้นสุดนี้ หากเราไม่ปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้า ก็ไม่ผิดอะไร เพราะพระพุทธเจ้า จะต้องบวชแล้วเดินบิณฑบาต โปรดสัตว์ด้วยเท้าเปล่าตลอดชีวิต ครึ่งชีวิตก็มีความสุขที่สุด แบบทางโลก ซึ่งเป็นสุขเทียม ครึ่งชีวิตหลังก็เป็นสุขแท้ แต่ความสบายต้องละทิ้งทั้งหมด ดังนั้น เราต้องตั้งปณิธานให้ชัดเจในชาตินี้เพื่อตอกย้ำรอยกรรมรอยเกวียนของเราทุกชาติไปว่าจะอยู่อย่างไรให้มีค่าในจักรวาลนี้ เช่น รักอาชีพแพทย์มากๆ ไม่เหน็ดเหนื่อยเลยที่มีคนไข้มากในแต่ละวัน มันสนุกจริงๆ ก็อาจตั้งปณิธานบำเพ็ญเป็น “เทพโอสถ” หรือ “เทพเจ้าแห่งการแพทย์” ก็ได้ ซึ่งจะทำให้เมื่อบารมีเราเต็ม เราจะไม่เกิดเป็นอย่างอื่นอีกเลย เมื่อเราตั้งใจจะเกิด เราจะเกิดเป็นแพทย์อย่างเดียว แล้วก็กลับคืนสู่สวรรค์ชั้น “ดุสิต” ต่อไป ช่วยสรรพสัตว์ไม่สิ้นสุด
    <O:p</O:p
    ๒. สร้างบุญเป็นทุนหนุนนำ
    <O:p</O:p
    จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีบุญเป็นทุนหนุนนำ เพราะหากบุญน้อย ก็จะทำให้เกิดเป็นคนมีทรัพย์น้อย มีปัจจัยเกื้อหนุนน้อย ทำการงานลำบาก ช่วยเหลือคนได้จำกัด ดังนี้ ในหลักการทางพุทธ จึงต้องมีสามสิ่งประกอบกัน เช่น ทาน, ศีล, ภาวนา เป็นเครื่องค้ำจุนในการบำเพ็ญเพียรการฝึกจิต นอกจากนี้ ทาน ยังเป็นบารมีตัวแรกในทศบารมีอีกด้วย เป็นสิ่งที่ทำได้ง่ายไม่ต้องเสียสละมาก เพราะหากมีทรัพย์มาก การบริจาคทานก็ไม่กระทบส่งผลร้ายแก่ตัวเองแต่อย่างใด ในแต่ละชาติจำต้องสละความตระหนี่ถี่เหนียว ความละโมบโลภมาก ความยึดความอยากไว้ กิเลสก็เบาบาง กรรมจะลดลงมาก ทานจึงเป็นอุปการธรรมที่ดีอย่างยิ่งต่อธรรมอื่นๆ ใดทั้งมวลด้วยเหตุนี้เอง


    ๓. สร้างบริวารที่จงรักภักดี
    <O:p</O:p
    การคิดว่าตนเองเป็นพระเอกคนเดียว จะทำให้ไปสู่ “ปัจเจกภูมิ” คือ ความเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า” ผู้ไม่มีสาวก ไม่มีพรรคพวกคอยช่วยเหลือตนเองอีกเลย เนื่องจากขาดพรหมวิหารธรรมในชาติที่สะสมบารมีมา ดังนั้น หากต้องการเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า ก็ไม่ต้องสะสมบริวาร เมื่อเกิดในสวรรค์ก็จะโดดเดี่ยวไม่มีบริวาร เมื่อเหงามากๆ ขอไปอยู่ร่วมกับคนอื่นเขาก็ไม่ยอมเป็นลุกน้องใคร มักแหกคอกและสร้างความวุ่นวายร่ำไปเฉกเช่น พระเทวทัตที่เกิดร่วมชาติกับพระพุทธเจ้าและสร้างความเดือดร้อยให้พระพุทธเจ้าเรื่อยมา จวบจนกว่าจะตรัสรู้เป็น “พระปัจเจกพุทธเจ้าอัฐิสระ” ดังนั้น หากต้องการทำงานใหญ่ และมีพรรคพวกคอยช่วยเหลือ ก็ต้องมี “บริวาร” ในแต่ละภพละชาติ ไม่ว่าจะอยู่บนโลกหรือขึ้นสวรรค์ ก็ต้องเกาะกระเตงกันต่อไป การจะมีบริวารที่ดีได้ จำต้องมี “พรหมวิหารธรรม” และดูแลเลี้ยงดูจนคนจงรักภักดี
    <O:p</O:p
    ๔. บำเพ็ญบารมีแบบเฉพาะ
    <O:p</O:p
    การบำเพ็ญบารมีสำหรับพระพุทธเจ้าแล้ว คือ ทศบารมี แต่หากเราไม่ต้องการเป็นพระพุทธเจ้า เราจะเป็นแค่ “มหาเทพแห่งการเกษตรกรรม” ตอลดไป เพื่อช่วยมนุษย์ตลอดไป ก็ได้เช่นกัน โดยปรับลดทศบารมีบางตัวลง แล้วเพิ่มบารมีเฉพาะงานด้านเกษตรกรรมลงไป เช่นนี้ เราตั้งปณิธานมั่นดีแล้ว บำเพ็ญบุญบารมีถึงแล้ว หากจุติที่ดุสิตเมื่อใด ก็จะได้รับตำแหน่งตามที่ตั้งความปรารถนาทันที แต่หากเราตั้งปณิธานแต่บำเพ็ญเพียรย่อหย่อน เบื้องบนก็จะพิจารณาให้ตำแหน่งอื่นแทนไปก่อน เพราะบารมียังไม่ถึงนั่นเอง เราสามารถตั้งความปรารถนาอื่นๆ ได้มากมายที่เกี่ยวข้องกับพุทธศาสนา เช่น ปรารถนาพุทธมารดา, พุทธบิดา, องค์อุปถาก, พระมหาจักรพรรดิ, อัครสาวกเบื้องขวา, อัครสาวกเบื้องซ้าย, พระอสีติมหาสาวกผู้เป็นเลิศด้านต่างๆ ฯลฯ ในศาสนาของพระพุทธเจ้าองค์ใดก็ได้ตามแต่เราจะเลือก เช่น พระศรีอาร์ฯ การบำเพ็ญบารมีเฉพาะนี้ ให้เริ่มจาก “จริยธรรมประจำอาชีพของตนก่อน” จากนั้นค่อยๆ แสวงหา อาชีพหรือหน้าที่ในจักรวาลที่เราอยากทำ เช่น เป็น ฤษี ได้โดยไม่ต้องทำงาน และได้สอนคนด้วยตลอดไปก็ได้ แล้วจึงเพิ่ม “จริยธรรมประจำหน้าที่” ในจักรวาลของเราในแบบที่เราต้องใช้ เช่น ฤษี ก็ต้องมีจริยธรรมด้านการสอนคน <O:p</O:p
    <O:p</O:p
    เช่นนี้ อานิสงค์จะสูงมาก ทำให้เราเวียนว่ายตายเกิดอย่างมีความสุข สามารถออกแบบให้มีเพียงสองภพก็ได้ เช่น ลงมาช่วยมนุษย์แล้วกลับสู่ดุสิต เช่นนี้เรื่อยไปก็ได้เช่นกัน
     
  8. บุญยง โคกกระทา

    บุญยง โคกกระทา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    2,709
    ค่าพลัง:
    +3,235
    งั้นทุกคนก็มีสิทธิ มีโลกในฝันของตน
    **ทุกคน...ไม่มีข้อยกเว้น

    มีอะไรยืนยันว่า.. โลกของฉัน
    โลกที่ฉันปรารถนา จะดีสำหรับทุกๆคน **ไม่มี..

    สิ่งที่คิดไว้ดี๊ดี.. ก็สมเหตุสมผลโคตรๆ..
    เนียะคิดมานานแล้ว.. ใครๆก็ว่าดีทั้งนั้น..
    แต่มีคนไม่ชอบมัน มีมะ.. **มี๊..

    ไอ้ที่ทะเลาะกัน ระเบิดกันตูมตามนั้นแหละ คือการมอบสิ่งดีๆให้กัน..
    ไม่เชื่อไปถามคนพวกนั้นดู ว่าที่ทำเนียะ ดีมะ..
    เค้าตอบอย่างหน้าชื่นตาบานว่า **ดี..

    เชื่อมะ
    แม้กระทั่งการให้..
    การแบ่งบัน..ให้คนอื่นๆ ยังมีคนติว่า **ไม่ดี..

    แม้กระทั่งการพูดหวานๆ
    พูดจ๊ะๆ จ๋าๆ มธุรสวาจา ก็ยังมีคนประสาทแด๊กบอกว่า **ไม่ดี..
     
  9. คนขายธูป

    คนขายธูป เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    252
    ค่าพลัง:
    +2,964
    ความปรารถนาไม่ใช่กิเลส
    ความปรารถนาคือ "ปณิธานช่วยสัตว์โลก"
     
  10. คนขายธูป

    คนขายธูป เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    252
    ค่าพลัง:
    +2,964
    ปณิธานช่วยสัตว์โลก ไม่จำเป็นต้องมีแต่ "ปรารถนาพุทธภูมิ"
    เราสามารถปรารถนาช่วยสัตว์โลกได้มากมายหลายวิธีตามแต่กำลังบารมี
     
  11. คนขายธูป

    คนขายธูป เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    252
    ค่าพลัง:
    +2,964
    ปณิธานของเราย่อมเป็นจริงได้แน่นอน หากเราไม่ทอดทิ้งปณิธาน
    เพียรพยายามทำทุกชาติๆ ไป สะสมบุญบารมี ไม่สิ้นสุด จนได้ดั่งปรารถนาในที่สุด
     
  12. บุญยง โคกกระทา

    บุญยง โคกกระทา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    2,709
    ค่าพลัง:
    +3,235
    ปราถนาของใครหละ
    ถ้าเป็นของผม(นายบุญยง)ก็ไม่ใช่กิเลส

    แต่ถ้าเป็นของคนอื่น ...กิเลส..
    ของผมสมเหตุสมผลที่สุด...
    เชื่อเหอะ..
     
  13. คนขายธูป

    คนขายธูป เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    252
    ค่าพลัง:
    +2,964
    เสียเวลาทำเลวทำชั่วสนองกิเลสตนไปวันๆ สิ้นวันสิ้นชาติไปชาติหนึ่งไม่ได้อะไร
    สุดท้ายก็ตายเหมือนกันหมดไปหนึ่งชาติ อย่าเสียชาติเกิด มาตั้งความปรารถนากันดีกว่า
     
  14. คนขายธูป

    คนขายธูป เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    252
    ค่าพลัง:
    +2,964

    ความปรารถนาเป็น "สากล" ไม่ใช่ของใครคนใดคนหนึ่ง ทุกคนย่อมปรารถนาได้
    ทุกคนสามารถเป็นได้ ด้วยการกระทำ "กรรมปัจจุบัน" สะสมบุญบารมีทุกชาติๆ ไป
     
  15. บุญยง โคกกระทา

    บุญยง โคกกระทา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    2,709
    ค่าพลัง:
    +3,235
    ความปราถนาอะไรที่เป็นสากล เป็นของสาธารณะ
    ขึ้นชื่อว่าความปราถนา.. มันคือของฉัน..
     
  16. คนขายธูป

    คนขายธูป เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    252
    ค่าพลัง:
    +2,964

    มีทางเดินสามทาง

    ๑. เดินเข้าสู่นิพพาน
    ๒. ยังไม่เข้านิพพาน ก็ยังต้องบำเพ็ญบุญบารมี
    ๓. ตกนรก ไปตามผลกรรม

    มนุษย์เลือกได้ หากไม่เลือก ย่อมถูกกระแสกรรมพัดพาไป

    "นรกมีจริง แต่ในใจคุณท้าทายมัน เพราะคุณยังไม่เชื่อด้วยใจจริง"
     
  17. คนขายธูป

    คนขายธูป เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    252
    ค่าพลัง:
    +2,964
    คุณบุญยง ฟังทางนี้


    E = MC2 สสารและพลังงานคืออย่างเดียวกัน แต่การรับรู้ของมนุษย์
    มันแยกแยะออกได้จำกัด เมื่อเราตายลง ร่างกายสสารยังไม่สูญหาย
    สสารและพลังงานไม่สูญหาย


    พลังงานส่วนหนึ่งออกจากร่างไป เรียกว่า "พลังชีวิต" หรือจิตวิญญาณก็ได้
    ก่อนเราเกิด ร่างกายเราก็มีแต่ "สสารไร้พลังชีวิต" แล้วพลังชีวิตมาจากไหน?
    ก็มาจากคนที่ตายไป แล้ววนเวียนในนรก สวรรค์ นั่นแหละ


    คุณอาจก่อกรรมไปเยอะ ยังมีเวลากลับตัวกลับใจได้ทัน
    คุณมีเงินมากมาย สามารถเอามาไถ่ถอนโทษทัณฑ์ได้


    อย่ารอให้ภัยพิบัติมา คุณจะไม่มีเวลาไถ่โทษ...
     
  18. คนขายธูป

    คนขายธูป เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    252
    ค่าพลัง:
    +2,964
    แนะนำการแก้กรรมสำหรับคุณบุญยง


    ๑. เอาทรัพย์ที่มีมากมายช่วยเหลือมูลนิธิต่างๆ ให้มากที่สุด หรือบำรุงศาสนา
    ๒. ละทิ้งเรื่องทางโลก แล้วไปบวชให้เร็วที่สุด กำจัดกิเลสในใจให้เบาบางลง


    เวลาเหลือน้อยแล้ว สงครามใหญ่, ภัยพิบัติทางธรรมชาติ ก็ใกล้เข้ามา ขอให้รีบทำเถอะ
     
  19. บุญยง โคกกระทา

    บุญยง โคกกระทา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    2,709
    ค่าพลัง:
    +3,235
    ก็ท้าทายเหมือนกับอีกหลายๆท่านในโลกนี้นั้นแหละ
    ถ้าเค้าเชื่อว่ามีจริง ด้วยใจจริง
    ก็น่าจะมีพฤติกรรมเป็นอีกแบบนึง...(เป็นความเห็นส่วนตัวนะ)

    เฉกเช่น ความเชื่อว่าเทวดามีจริง ผีมีจริง
    ถ้าเค้าเชื่อว่ามีจริง เค้าจะพิสูจน์ทำไม
    เค้าจะค้นคว้าทำไม...

    เฉกเช่น ความเชื่อว่ามนุษย์ต่างดาว มีจริง
    ถ้าเค้าเชื่อว่ามีจริง เค้าจะพิสูจน์ทำไม
    เค้าจะค้นคว้าทำไม...

    เฉกเช่น ความเชื่อว่าคนรักของเค้า ยังรักเค้าอยู่จริง
    ถ้าเค้าเชื่อว่าจริง เค้าจะพิสูจน์ทำไม
    เค้าจะค้นคว้าทำไม...

    เฉกเช่น ความเชื่อว่าโลกนี้ไม่เที่ยง ไม่มีอะไรคงทนถาวร
    ถ้าเค้าเชื่อว่ามีจริง เค้าจะพิสูจน์ทำไม
    เค้าจะค้นคว้าทำไม...
     
  20. บุญยง โคกกระทา

    บุญยง โคกกระทา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    2,709
    ค่าพลัง:
    +3,235
    e=mc^2 <- ผมไม่เคยศรัทธาในสมการอันนี้เลย
    สำหรับผมไม่สมเหตุสมผล
     

แชร์หน้านี้

Loading...