เชิญเข้าร่วมสนทนาพิเศษเรื่อง มิติ ความฝัน ชาติภพ จิตวิญญาณ โดย @โนวา อนาลัย@ [Writer]

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย mead, 8 สิงหาคม 2007.

  1. yutkanlaya

    yutkanlaya เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    865
    ค่าพลัง:
    +4,403
    อากาศ ท้องฟ้า มองออกไป ไกลสุดตา นั้น
    ไม่ว่างเปล่า เพราะ บรรจุไว้ด้วย โมเลกุล O C N He ฯลฯ มากมาย
    ลม อากาศธาตุ นั้น ก็คือ โมเลกุลเหล่านี้ นี่เอง
    ที่ คน สัตว์ พืช ต้องนำมาใช้ เพื่อให้ พลังงานแห่งชีวิต
    เรียกว่า การหายใจ
    (good) (good) (good) :) :) :) (b-cap)
    อย่าท้อถอย คอยพิสูจน์ ให้รู้แจ้ง
    จงเปิดปัญญา อย่าให้ รัก เกลียด โกรธ โลภ หลงผิด ริษยา
    มิจฉาความคิด เกาะติด จิตวิญญาณ ให้ไม่บริสุทธิ์ เลย มนุษย์เอ๋ย
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 กันยายน 2007
  2. mead

    mead เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2005
    โพสต์:
    8,134
    ค่าพลัง:
    +62,441
    เป็นการประชาสัมพันธ์ที่ยอดเยี่ยมมากครับ
    อย่าลืมส่งการบ้านคุณครูด้วยนะครับ

    (verygood)
     
  3. MOUNTAIN

    MOUNTAIN เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    15,035
    ค่าพลัง:
    +132,086
    มาแล้วครับ กว่าจะขุดได้เล่นเอาเหนื่อยเรย
    ถ่ายสมัย ม.ศ 5 และ มหาลัยปี 1 ครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • scan0003.jpg
      scan0003.jpg
      ขนาดไฟล์:
      49 KB
      เปิดดู:
      55
    • scan0004.jpg
      scan0004.jpg
      ขนาดไฟล์:
      44.7 KB
      เปิดดู:
      59
  4. MOUNTAIN

    MOUNTAIN เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    15,035
    ค่าพลัง:
    +132,086
    น้องจิตต์รำสวยมากๆครับ
    เมื่อวานเห็นจะๆเรย(good)
     
  5. แก้วทิพย์

    แก้วทิพย์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    450
    ค่าพลัง:
    +2,435
    เหตุเกิดที่บ้านแก้วทิพย์ เมื่อ 5 ปีก่อน

    เมื่อ 4-5 ปีก่อน มีเหตุการณ์ประหลาดอย่างหนึ่งเกิดขึ้นที่บ้านของแก้ว ถ้าใช้ประสาทสัมผัสทั้ง 5 ก็ดูไม่มีอะไรประหลาดหรือผิดปกติ แก้วไม่ค่อยกล้าเล่าให้ใครฟัง เดี๋ยวเขาว่าแก้วเพี้ยน พอดีมีคุณ Mead คุยเรื่องมนุษย์ต่างดาวขึ้นมา ก็เลยนึกขึ้นมาได้ คือปีนั้น แก้วไปเที่ยวภาคใต้กับเพื่อนๆ โดยหัวหน้าคณะเหมารถทัวร์ ขากลับรถทัวร์เสียเวลา แทนที่จะกลับกรุงเทพถึงตอนค่ำ ก็ถึงเกือบตีสอง แก้วเลยชวนเพื่อนร่วมทางคนหนึ่งซึ่งบ้านเธออยู่ไกล ให้ไปแวะงีบหลับที่บ้านของแก้วก่อน เช้าสว่างค่อยกลับบ้าน เธอก็ตกลง พอไปถึงบ้าน เธอขอนอนที่โซฟาห้องรับแขก ส่วนแก้วขึ้นไปนอนชั้นสองที่ห้องนอน ตอนเช้าแก้วก็ลงมาทักทายถามเขาว่าหลับดีใหม เขาตอบว่านอนไม่ค่อยหลับ เพราะเห็นเด็กเล็ก 7-8 คนวิ่งเล่นส่งเสียงเข้าๆออกๆประตูบ้านซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของห้องรับแขกแล้ววิ่งเล่นรอบๆตัวเพื่อนด้วย จริงๆแล้วประตูปิดลงกลอนตลอดคืน แก้วงงแปลกใจมาก ถามว่าเด็กที่ไหนกัน บ้านแก้วไม่มีเด็กเล็ก กลางค่ำกลางคืนเด็กที่ไหนจะมาวิ่งเข้าออกทั้งๆที่ประตูปิด เขาก็ยืนยัน แถมบอกว่าตอนที่กำลังพูดเด็กๆก็ยืนอยู่ข้างๆแก้วนั่นแหละท่าทางเด็กๆรักแก้วมาก แก้วเลยบอกให้เขาบรรยายลักษณะของเด็กๆ เขาบอกแก้วว่าลักษณะแปลกๆ เขาเองก็ไม่เคยเห็นมาก่อนเลย คือ รูปร่างเล็กมาก สูงประมาณ 50 เซนต์ แขนขาเรียวเล็กมากผิดส่วน ผิวขาว ศีรษะโตไม่มีเส้นผม ตาโตชั้นเดียว ไม่มีหนังตา ไม่มีอวัยวะเพศ ไม่สวมเสื้อผ้า เหมือนมนุษย์ แก้วก็ขำบอกเธอว่า ไอ้ที่บรรยายนะ เหมือนอีทีหรือมนุษย์ต่างดาวในหนังเลย แก้วก็ไม่เคยได้ยินมาก่อนในชีวิตว่ามีวิญญาณมนุษย์ต่างดาวมาอยู่ในโลก แถมเป็นบ้านของแก้วอีกด้วย เขายืนยันว่า เขาเห็นจริงๆ เขารักษาและเคารพศีลห้า เขาไม่เคยกล้าพูดปด แก้วเลยให้เขาสื่อถามเด็กๆว่ามาจากไหน เขาส่งกระแสจิตถามเด็กๆได้คำตอบมาว่า ไม่ได้อาศัยอยู่ในโลกนี้มาก่อน มีผู้พาพวกเขามาอยู่ที่นี่ ถ้าถึงเวลาก็จะมารับกลับ แก้วยิ่งแปลกใจหนัก ถามว่าทำไมถึงต้องมาอยู่ที่บ้านนี้ คำตอบผ่านมาบอกว่า เขามีหน้าที่มาดูแลแก้ว แก้วเลยถามว่าถ้างั้นอยู่ที่ไหนของบ้าน เขาตอบว่า ถ้าตอนกลางวันแก้วอยู่บ้านเขาก็เข้ามานั่งเล่นใกล้ๆ บางทีก็นั่งดูทีวีด้วย ลักษณะการนั่งจะนั่งเรียงแถวกัน นั่งชันเข่าโดยส่วนก้นนั่งบนพื้น เขาบอกเพื่อนว่าที่บ้านเมืองเขาไม่มีแบบนี้ (หมายถึงทีวี) แต่ถ้าแก้วออกมาทำงานเขาจะไปนอนเล่นที่พุ่มต้นแก้วใกล้ๆประตูรั้วบ้าน ซึ่งก็ประหลาดมากที่พุ่มต้นแก้วนั้น สูงประมาณ 1 เมตร ช่วงนั้นไม่เคยแตกยอดให้สูงกว่านั้นเลยไม่ว่าจะได้น้ำได้ปุ๋ย สูงเท่าเดิมตั้ง 2-3 ปี จนกระทั่ง เมื่อ2 ปีก่อน เพื่อนของแก้วคนนี้(ภายหลังเธอมาเที่ยวบ้านแก้วบ่อยๆ ทุกครั้งที่มาเขาชอบโบกมือทักทายเด็กๆกลุ่มนี้เสมอ)บอกว่าเด็กๆรูปร่างประหลาดได้กลับไปสู่โลกของเขาแล้ว และเขาฝากลาแก้วด้วย ตั้งแต่นั้นมาพุ่มต้นดอกแก้วก็แตกยอดสูงตามปกติของต้นไม้ทั่วๆไป ก่อนที่จะรู้จักเพื่อนคนนี้ ครั้งหนึ่งคนใช้ที่บ้านเช็ดรถเสร็จแล้วลืมล็อคประตูรถก่อนปิดประตูบ้าน เช้ารุ่งขึ้น เธอเล่าให้แก้วฟังว่าเธอฝันว่าเธอเดินออกประตูบ้าน เห็นเด็กเล็กหลายคนกำลังเล่นในรถของแก้ว พอเช้าขึ้นเธอตื่นมาดูรถจึงรู้ว่าลืมล็อครถ ทุกวันนี้แก้วก็ยังไม่เข้าใจว่าเป็นไปได้อย่างไร หรืออาจเป็นเพราะแก้วชอบอ่านหนังสือพวกนี้ แต่เพื่อนคนที่เห็นเขาไม่ค่อยสนใจเรื่องอ่านหนังสือเหมือนแก้ว หลังจากนั้นไม่นาน มีอยู่ 2-3 ครั้ง เวลาแก้วยืนที่ระเบียงชั้นสองห้องนอน แก้วเคยเห็นยานประหลาด(เห็นไกลๆ แต่การเคลื่อนไหวจะบินสูงต่ำซ้ายขวาอย่างรวดเร็ว ต่างจากการเคลื่อนที่ของเครื่องบิน)บินอยู่ห่างๆ ส่งไฟกระพริบทักทาย แก้วรีบโทรศัพท์หาเพื่อน เขาตอบมาว่า เป็นเด็กๆกลุ่มนั้นแหละเขามาเยี่ยม เขากระพริบทักทายประมาณ ไม่ถึง 10 นาที แล้วบินหายลับไป
    (ขณะแก้วเขียนเล่าเรื่องนี้ก็โทรฯบอกเพื่อนคนนี้ ว่าจะเอามาโพสต์ให้เพื่อนๆห้องวิทย์อ่าน เพราะเก็บเรื่องนี้ไว้หลายปีแล้ว)(b-wow) (b-wow) คุณพี่นักเขียน ช่วยอธิบายให้ความรู้แก้วเรื่องนี้ ด้วยนะคะ
     
  6. yutkanlaya

    yutkanlaya เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    865
    ค่าพลัง:
    +4,403
    วาโยธาตุ อากาศธาตุ ยุคพุทธกาล
    วาโย = วายุ = พายุ = ลม พัด ลม เพ พอดีก็เย็น แรงก็ทำลาย
    อากาศ = ธาตุ ที่ใช้หายใจ ให้ชีวิ อธิบายด้วยโมเลกุล มิได้

    อากาศ อวกาศ ยุคปัจจุบัน
    อากาศ เต็มไปด้วย โมเลกุล ต่างๆมากมาย ใช้อธิบายทางวิทย์ฯ
    อวกาศ เต็มไปด้วย โมเลกุล ต่างๆมากมาย ดวงดาวต่างๆ ใช้อธิบายเรื่อง จักรวาล
    ลม พายุ ยุคปัจจุบัน
    เกิดจากการไหล ของ มวลโมเลกุลทั้งหลาย ที่เรียกรวมๆว่า อากาศ
    น้ำ อากาศ เรียกว่า ของไหล
    มีกฎการไหล ตามหลัก ฟิสิกส์ เทอร์โมไดนามิกส์ หาอ่านได้ใน หนังสือฟิสิกส์ ทั่วไป
    การไหล ง่ายๆ จากสูง ไปหาต่ำ น้ำ จากที่สูง ไปหาที่ต่ำ, ลม พายุ จากอุณหภูมิสูง ไป ต่ำ,การแพร่สาร จาก ความหนาแน่น สูงไปต่ำ ยกเว้น ไฮโล ที่ไม่แน่นอน
    ในยุคพุทธกาล
    พระพุทธองค์ ไม่มีเครื่องมือวิทยาศาสตร์ จับวัดระดับ โมเลกุล อะตอม จึงอธิบายให้มนุษย์ทั่วไป เข้าใจง่ายๆ ได้ด้วยคำ รวมๆว่า ธาตุ แต่พระองค์ทรงรู้ว่ามี

    ธาตุยุคพุทธกาล
    ดิน = หิน ดิน ทราย ไม้ กาย แต่มนุษย์ยุคนี้ คือ อะตอมธาตุ ทุกชนิด เคมี ตารางธาตุ
    น้ำ = น้ำใน ห้วย หนอง คลอง บึง ทะเล ฝน กาย มนุษย์ยุคนี้คือ H2O
    ลม = ดังข้างต้น
    ไฟ = เปลวไฟ ความร้อน ใช้เผา ไข้ ยุคนี้ คือ พลังงาน ความร้อน ระเบิด
    (good) (good) (good) :) :) :) (b-cap)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 กันยายน 2007
  7. yutkanlaya

    yutkanlaya เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    865
    ค่าพลัง:
    +4,403
    ลม
    อากาศ
    วิญญาณ
    นี่แหละ ไคลแมกซ์ แห่งธรรม แห่งการรู้แจ้ง
    วิญญาณดั้งเดิม บริสุทธิ์ ของมนุษย์และสรรพสิ่ง คือ ช่องว่าง ความว่าง ที่บรรจุ ลม อากาศ ธาตุต่างๆและ สรรพสิ่งทั่วทั้งมหาสากลจักรวาล นั่นเอง
    และคือ จิตจักรวาล หนึ่งเดียว นิพพาน นั่นเอง ที่ค้นหา
    (good) (good) (good) (good) (good) :) :) :)
    สู้ต่อไป..นักรบ แห่งการรู้แจ้ง
    ง่ายๆ ทำลาย กิเลส เกาะติด จิตใจ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 กันยายน 2007
  8. Chalhoei

    Chalhoei เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    289
    ค่าพลัง:
    +3,166
    โอแม่จ้าว ! ผมว่าคุณ mead หัวหน้าชั้นเราหล่อแล้ว อาจารย์ เม้าท์ ยังหล่อกว่าอีก ฮะ แต่ผมว่าเซลต่างๆตอนนี้ตงเปลี่ยนเป็นคนใหม่แล้ว และจิตวิญญาณก็เปลี่ยนเป็นจิตวิญญาณที่มีความรู้เพียบ แต่เราจะย้อนกลับไปสู่ต้นกำเนิดยังไงเนีย ยังสงสัยอยู่ กำลังรออาจารย์อยู่ครับ
     
  9. Falkman

    Falkman พลังจิตนานาชาติ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    19,726
    ค่าพลัง:
    +77,792
    [​IMG]

    [​IMG]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 กันยายน 2007
  10. leogirlw99

    leogirlw99 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    2,501
    ค่าพลัง:
    +4,765
    กลับมาลองรื้อๆในแผ่นซีดีที่เก็บข้อมูลเก่าๆดู ในที่สุดก็เจอ
    ปกตินกจะformatเครื่องบ่อยมาก ทั้งตั้งใจและไม่ตั้งใจ
    ข้อมูลเก่าๆบางส่วนที่ไรท์เก็บไว้ก็ยังอยู่ แต่เยอะเหมือนกันที่หายไปแล้ว
    ดูหน้าตัวเองตอนเด็กๆแล้วก็ขำๆดี จมูกบานๆไงไม่รู้แต่เอาน่าต้องกล้าโชว์หน่อย

    [​IMG] [​IMG] [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 กันยายน 2007
  11. leogirlw99

    leogirlw99 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    2,501
    ค่าพลัง:
    +4,765
    พี่MOUNTAIN ดูไปดูมาว่าหน้าพี่คุ้นๆนา
    อ๋อ นึกออกล่ะ หน้าเหมือนพระเอกเรื่อง season changeเลย
    แหม่ สงสัย วัยรุ่นสาวกรี๊ดตรึม อิอิ
     
  12. nova_analai

    nova_analai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    809
    ค่าพลัง:
    +7,489
    คุณจิตต์เสื้อเขียวใช่ไหมเอ่ย?
     
  13. zipper

    zipper เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กันยายน 2004
    โพสต์:
    5,226
    ค่าพลัง:
    +10,590
    ความฝันในวัยเด็กตัวเองจำไม่ค่อยได้แฮะ อีกทั้งความจำสมัยเด็กก็จำไม่ค่อยได้ซะด้วย บางครั้งดูภาพตัวเองตอนเด็ก ก็จำไม่ได้ว่าเคยทำอะไรอย่างนี้ด้วยเหรอ

    แต่ความฝันที่ประทับใจก็มี เป็นความฝันที่ว่าตัวเองสามารถเหาะได้ เคยฝันถึงเรื่องนี้สองครั้ง

    ตอนเด็กนั้นเคยมีจินตนาการว่า กำหนดให้เลือด(หรือพลังก็ได้) ไปรวมกันที่แขนซ้ายเยอะๆ แล้วก็จะรู้สึกว่าแขนซ้ายอุ่นขึ้นหน่อย ตอนนั้นก็ไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือเปล่าเพราะตอนนั้นก็ยืนหน้าเสาธงแดดก็ส่อง ที่รู้สึกร้อนขึ้นก็เพราะแสงแดดหรือเปล่า ก็เลยลองทำตอนหน้าหนาวดู ก็ไม่รู้สึกว่าร้อนก็เลยเลิกไป
    อีกอย่างนึงตอนเด็กนั้นเคยมีท่าวิ่งแปลกๆ ที่วิ่งเป็นเอง ก็คือว่าขาข้างนึงอยู่ข้างหน้า อีกข้างนึงอยู่ข้างหลัง ข้างที่อยู่ข้างหลังก็เป็นตัวยันให้วิ่งไป (ไม่รู้จินตนาการกันได้หรือเปล่า)

    ส่วนเรื่องวาดภาพ ช่วง 3-4 วันมานี้ ไปเจอโปรแกรมวาดภาพมารู้สึกติดใจอยากวาดรูปไงไม่รู้ อาจจะเพราะโปรแกรมนี้มีลูกเล่นเยอะมั๊ง มันสามารถจำลองพวกฝีแปรงพู่กัน, แอร์บรัช, ดินสอ, สีเทียน ฯลฯ อะไรได้ ก็มีลองวาดรูปเล่นเหมือนกันแต่ไม่ค่อยสวยเท่าไหร่หรอก ตอนเด็กชั่วโมงศิลปะที่ไร ไม่ค่อยมีรูปส่งครูเลย คิดไม่ค่อยออกว่าจะวาดอะไร

    อันนี้เป็นรูปไฟ ที่วาดเล่นๆ

    <a href="http://img61.imageshack.us/my.php?image=no2yq4.png" target="_blank"><img src="http://img61.imageshack.us/img61/812/no2yq4.th.png" border="0" alt="" /></a>

    ส่วนเรื่องที่คุณจิตต์ประภัสสรให้ทายใจนั้นคิดว่า 3 สิ่งนั้นคงเป็น....
    1. เครื่องแต่งกายที่เป็นอียิปต์
    2. ดวงตา
    3. สร้อยคอที่มีรูปด้วง

    ส่วนอันนี้เป็นรูปตอนสมัยอนุบาลโน้นแหน่ะ ไม่มีสแกนเนอร์ต้องเอากล้องถ่ายจากรูปอีกทีนึง

    <img src=http://img101.imageshack.us/img101/8941/rimg0138resizefj1.jpg>

    ปล. ส่วนเรื่องคำว่า ปูขาเก เซมารู เป็นชื่อของคนเขียนบล็อคนะ ที่เป็นเจ้าของรูป

    http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=pookhakae
     
  14. leogirlw99

    leogirlw99 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    2,501
    ค่าพลัง:
    +4,765
    "หากเธอกลัวความฝันของเธอ เธอกลัวตนเอง"
    อิสระแห่งความปรารถนา หน้า 173

    จะหลับก็ยังไม่อยากหลับ อยากรู้ว่าพี่นักเขียนจะทำอะไรกับรูปพวกเรา อิอิ
    ดูรูปแต่ละคนก็น่ารักน่าชังกันทั้งนั้นเลย แต่นั่งดูรูปตัวเองก็ยังตลกอยู่ดี
    เด็กๆชอบแคะขี้มูกมาก รูจมูกถึงได้บานอย่างนี้เนี่ย ดั้งก็แมบๆโตมาดั้งมันก็ขึ้นมาเอง
    คนเราก็มีการเปลี่ยนแปลงจากวัยเด็ก..สู่วัยรุ่น..สู่วัยกลางคน
    สรีระที่เปลี่ยนแปลงไปพร้อมกับความคิด เติบโตขึ้นไปพร้อมๆกัน
     
  15. nova_analai

    nova_analai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    809
    ค่าพลัง:
    +7,489
    ฺThrough our time machine

    หนูน้อย-สาวน้อย-หนุ่มน้อย รูปงามทั้งหลาย เชิญทางนี้ค่ะ
    น่ารักมากๆทุกคนเลยละค่ะ

    พี่นักเขียนต้องอาศัย Time Machine กลับไป ถ้าจะไกลมากกว่าเพื่อน สู่ตัวตนเมื่อตอนอายุ 3 ขวบ กับ 5 ขวบค่ะ

    อย่าเพิ่งเก็บภาพเข้ากรุไปนะ เราจะเก็บไว้ใช้ในแบบฝึกหัดต่อไปด้วยค่ะ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • Three.jpg
      Three.jpg
      ขนาดไฟล์:
      194.8 KB
      เปิดดู:
      110
    • Five.jpg
      Five.jpg
      ขนาดไฟล์:
      50 KB
      เปิดดู:
      82
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 กันยายน 2007
  16. nova_analai

    nova_analai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    809
    ค่าพลัง:
    +7,489
    พิสูจน์สมการ ความฝัน vs ความเป็นจริง

    พี่นักเขียนขอให้พวกเรานำภาพในวัยเด็กมา post เพื่อพิสูจน์สมการต่อไปนี้คือ :

    1. ความปรารถนาอย่างแรงกล้า + ความมุ่งมั่น + เจตนา = ความฝันที่กลายมาเป็นความเป็นจริง

    ให้พวกเราพิจารณา ตัวตนของหนูน้อย-สาวน้อย-หนุ่มน้อย ในภาพนั้น ผู้เคยมีความฝันและจินตนาการว่า ชีวิตของเขาจะเติบโตขึ้นเป็นอย่างไร พิจารณาไตร่ตรองว่า ความใฝ่ฝันเหล่านั้น มีอะไรที่กลายมาเป็นความเป็นจริงแล้วบ้าง และมันกลายมาเป็นความเป็นจริงได้อย่างไร ให้หวลคิดถึงอารมณ์-จินตนาการและความรู้สึกนึกคิดของหนูน้อย-สาวน้อย-หนุ่มน้อยผู้นั้น อยู่กับความรู้สึกที่ที่ว่า เรารู้เห็นฝันของหนูน้อย-สาวน้อย-หนุ่มน้อยผู้นั้นมาแล้วอย่างทะลุปรุโปร่ง และมองเห็นกระบวนการทั้งทางด้านอารมณ์-จินตนาการและความรู้สึกนึิกคิด ตลอดจนกระทำ การตัดสินใจ ที่เหนี่ยวนำไปสู่การทำให้ฝันนั้นเป็นจริง

    จากนั้นให้พวกเราพิจารณาสมการข้างต้น แล้วตอบคำถามตนเองว่า สมการนี้เป็นจริงหรือไม่? อย่างไร? ถ้าเขียนลงเป็นรายการได้จะดีมาก เพราะจะทำให้เราเห็นโครงสร้างของปัจจัย หรือตัวแปรต่างๆ เห็นปัจจัยหรือตัวแปรที่ผลักดันให้เรามีความปรารถนาอย่างแรงกล้า มีความมุ่งมุั่น และ เจตนา ซึ่งโดดเด่นกว่าความปรารถนาอื่นๆที่อาจจะไม่ได้มีแรงผลักดันมากเท่าความฝันนี้ และยังไม่เคยเป็นความเป็นจริงมาตราบจนทุกวันนี้ บางความฝันก็ถูกปลิดทิ้งไปและไม่เคยเป็นสาระสำคัญอีกเลยในเส้นทางแห่งความเป็นไปได้ที่เรารู้เห็นและจดจำได้


    2. ความกลัว + ความลังเลสงสัย + ความไม่แน่ใจ = ความฝันที่ไม่เคยเป้นจริง

    ให้พวกเราพิจารณา ตัวตนของหนูน้อย-สาวน้อย-หนุ่มน้อย ในภาพนั้น ผู้เคยมีความฝันและจินตนาการว่า ชีวิตของเขาจะเติบโตขึ้นเป็นอย่างไร พิจารณาไตร่ตรองถึงความกลัว ความลังเลสงสัย ความไม่แน่ใจ ที่เกิดขึ้นกับเขา หาให้พบว่าความรู้สึกในแง่ลบเหล่านั้นมีต้นกำเนิดมาจากไหน เช่น มาจากคำวินิจฉัยของครู พ่อแม่ พี่น้อง ผู้ใหญ่ เพื่อน หรืิอประสบการณ์จำเพาะที่ฝังใจ ฯลฯ ให้หวลคิดถึงอารมณ์-จินตนาการและความรู้สึกนึกคิดของหนูน้อย-สาวน้อย-หนุ่มน้อยผู้นั้น หาให้พบความรู้สึกในแง่ลบเหล่านั้น หากเป็นสิ่งที่สะเทือนใจ ให้เผชิญกับมันและบอกกับตนเองว่า "ฉันไม่ได้อยู่ในวัยและสถานภาพที่จะต้องยอมรับคำวินิจฉัยในแง่ลบ หรือความฝังใจในแง่ลบๆนั้นอีกต่อไปแล้ว ฉันเคยมีความเชื่อในแง่ลบนั้น แต่มันเป็นเพียงความเชื่อของฉัน ที่ทำให้ฝันของฉันไม่มีโอกาสกลายเป็นความเป็นจริง มาถึงวันนี้ ฉันมีสิทธิ์ที่จะเปลี่ยนความเชื่อ และฉันเลือกที่จะเชื่อว่า คำวินิจฉัยเหล่านั้นไม่ใช่ความเป็นจริง"

    ใครที่มีสุขภาพไม่ดีในขณะนี้ แต่เคยแข็งแรงดีตอนเป้นเด็ก ให้หวลนึกคิดถึงความแข็งแรงสมบูรณ์ในวัยนั้นๆ เหนี่ยวนำความรู้สึิกแข็งแรงสมบูรณ์ เหนี่ยวนำผิวพรรณและความสมบูรณ์พูนสุขนั้นๆกลับคืนมาสู่งอารมณ์-จินตนาการและความรู้สึกนึกคิดในปัจจุบัน

    ใครที่กำลังประสพกับปัญหาสัมพันธภาพ ปัญหาการเงิน ฯลฯ ให้หวลคิดถึงประสบการณ์ความหลังในวัยที่เราปลอดปัญหาทั้งหลาย เหนี่ยวนำความรู้สึกที่ดีนั้นๆกลับคืนมาสู่งอารมณ์-จินตนาการและความรู้สึกนึกคิดในปัจจุบัน

    นอกจากนี้ให้จินตนาการเห้นตัวเราในอนาคต ซึ่งมีสุขภาพดี มีสัมพันธภาพดี ไร้ปัญหาการเงิน มีชีวิตที่เต็มไปด้วยความสมบูรณ์พูนสุข มีมากมายเหลือเฟือพอที่จะช่วยเหลือผู้อื่นได้ตามปรารถนาอย่างเต็มที่ ให้อยู่กับความคิดและความรู้สึกนึ้อย่างน้อยวันละ 5-10 นาที ทำให้ได้ติดต่อกัน 21 วัน อย่าขาดตอน แล้วพิจารณาดูว่า สุขภาพ สัมพันธภาพ และปัญหาทั้งหลายของเราเปลี่ยนไปอย่างไรบ้างเมื่อครบ 21 วัน พี่นักเขียนขอให้พวกเราส่งข่าวความคืบหน้าด้วย เพราะจะเป็นประโยชน์กับทุกคนมาก

    ก่อนจะลงมือพิสูจน์สมการนี้ มาฟังเพลงเพราะๆ ให้ชุ่มชื่นหัวใจกันหน่อยค่ะ

    (rose)When You Believe(rose)
    Prince of Egypt soundtrack - The Prine Of Egypt

    Many night's we've prayed
    With no proof anyone could hear
    In our hearts a hopeful song
    We barely understood,
    Now we are not afraid
    Although we know there's much to fear
    We were moving mountains
    long before we knew we could

    Miriam (chorus)

    There can be miracles
    When you believe
    Though hope is frail
    It's hard to kill
    Who knows what miracles
    You can achieve
    When you believe
    Somehow you will
    You will when you believe

    Tzipporah

    In this time of fear
    When prayer so often proved in vain
    Hope seemed like the summer birds
    Too swiftly flown away
    Yet now I'm standing here
    With heart so full I can't explain
    Seeking faith and speaking words
    I never thought I'd say

    Miriam and Tzipporah (chorus)

    There can be miracles
    When you believe
    All hope is frail
    Its hard to kill
    Who knows what miracles
    You can achieve
    When you believe
    Somehow you will
    You will when you believe

    Hebrew Children

    A-shir-ra la-do-nai ki ga-oh ga-oh
    (I will sing to the lord for he has triumphed gloriously)
    A-shir-ra la-do-nai ki ga-oh ga-oh
    (I will sing to the lord for he has triumphed gloriously)
    Mi-cha-mo-cha ba-elim adonai
    (Who is like You, oh Lord, among the celestial)
    Mi-ka-mo-cha ne-dar-ba-ko-desh
    (Who is like You, majestic in holiness)
    Na-chi-tah v'-chas-d'-cha am zu ga-al-ta
    (In Your Love, You lead the people You redeemed)
    Na-chi-tah v'-chas-d'-cha am zu ga-al-ta
    (In Your Love, You lead the people You redeemed)
    A-shi-ra, a-shi-ra, A-shi-ra.......

    Hebrews (Chorus)
    There can be miracles
    When you believe
    Though hope is frail
    Its hard to kill
    Who knows what miracles
    You can achieve
    When you believe
    Somehow you will
    Now you will
    You will when you believe......

    Miriam and Tzipporah

    You will when you believe (rose)

    http://www.lyricskeeper.com/prince_...he_prine_of_egypt_when_you_believe-lyrics.htm

    หากไม่มี QuickTime กรุณา download เพื่อใช้สำหรับฟังเพลง
    PC user - Free Download http://www.softwarepatch.com/internet/quicktime.html
    Apple Macintosh User - Free Download
    http://www.apple.com/quicktime/download/
     
  17. nova_analai

    nova_analai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    809
    ค่าพลัง:
    +7,489
    ถามได้้เสมอนะคะ กฎห้องวิทย์ฯ "ห้ามเกรงใจ เพราะหัวใจใฝ่รู้" ทุกความเห็นและทุกคำถามมีความหมายและมีประโยชน์เสมอ หากพี่นักเขียนตอบไม่ได้ พวกเราอีกหลายคนช่วยตอบแน่นอน (rose)(rose)(rose)
     
  18. yutkanlaya

    yutkanlaya เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    865
    ค่าพลัง:
    +4,403
    ไม่เคยฝัน นานหลายปีแล้ว
    เป็นเพราะอะไรครับ?????
    คุณนักเขียน ช่วยคิดทีครับ
     
  19. nova_analai

    nova_analai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    809
    ค่าพลัง:
    +7,489
    การรักษาโรคด้วยพลังจิต

    พี่นักเขียนชื่นชมความรู้และการปฏิบัติอันเป็นธรรมชาติที่มีคุณค่ามากๆของคุณเฉลยที่บอกให้ใครๆอย่าร้องไห้ และให้ช่วยกันคิดในแง่บวกต่อผู้ป่วย เพราะการร้องไห้เป็นการสร้างกระแสแห่งความหมดหวังที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไป ไม่ว่าผู้ป่วยจะรู้เห็นด้วยประสาทสัมผัสทั้งห้าหรือไม่ก็ตามว่าญาติมิตรร้องไห้ แต่ผู้ป่วยจะสัมผัสได้ด้วยประสาทสัมผัสที่หกเสมอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเขาอยู่ในอาการ Coma เขาจะรับรู้ได้หมด

    พี่นักเขียนได้เคยแนะนำหนังสือของ Dr. Raymond Moody และ Dr. Elizabeth Kuber Ross ซึ่งเป็นคุณหมอที่เก็บหลักฐานไว้มากมายว่าผู้ป่วยที่เข้าขั้น Coma รู้เห็นความเป็นไปในห้องผ่าตัด ใน ICU และความเป็นไปที่บ้านของตนเอง หรือที่ทำงานได้หมด รู้ถึงอารมณ์และความรู้สึกของทุกคนที่มีสัมพันธภาพกับเขา

    1. จากบทฝึกฝนให้สัมผัสกับธรรมชาติของจิตวิญญาณที่ท่านอาจารย์อนาลัยให้ไว้และพี่นักเขียนได้เคยนำมาเสนอเป็นบทฝึกฝนปฐมฤกษ์ (คุณ Mead ทำสารบัญไว้ให้ในหน้า 1ค่ะ)
    ท่านอาจารย์อนาลัยกล่าวว่าจิตวิญญาณเป็นพลังงานที่แผ่กระแสหรือรัศมีออกไปทุกทิศทางจากร่างกายตัวตนทุกรูปกาย หรือจากจิตวิญญาณทุกหน่วยออกไปจนสุุดจักรวาล หรือกล่าวได้ว่าออกไปอย่างไร้ขีดจำกัด ท่านสอนให้พวกเราเริ่มต้นด้วยการใช้จินตนาการก่อน แต่แล้วท่านก็สรุปให้ฟังว่า หากเรามองเห็นได้ด้วยตา เราจะตระหนักได้ว่าตามธรรมชาติความเป็นจร้งพลังงานพุ่งออกไปในลักษณะดังกล่าวจริงๆ ไม่ใช่เพีียงแค่จินตนาการ แต่การใช้จินตนาการช่วยทำให้เราเห็นภาพที่ไม่อาจเห็นได้ด้วยตาเปล่า

    2. การส่งพลังออกไปให้อย่างเจาะจงนั้น มีผลต่อผู้รับสูงกว่าการส่งออกไปโดยไม่เจาะจง ท่านอาจารย์อนาลัยได้กล่าวไว้ในหนังสือ โนวา อนาลัย ขยายความ ธรรมชาติของชาติภพ (หน้า 35) ว่า
    สติ เป็นปัจจัยกำหนดทิศทาง
    อารมณ์ เป็นพลังสำคัญที่ผลักดันจิตวิญญาณให้ไปสู่จุดหมาย

    ดังนั้นการมีสติ และส่งพลังงานออกไปอย่างเจาะจง ด้วยอารมณ์เมตตา อารมณ์รัก ที่ปรารถนาให้ผู้ป่วยมีชีวิตอยู่ต่อไป หายจากโรคภัยไข้เจ็บย่อมทำให้ผู้ป่วยได้รับพลังอย่างแน่นอน การเหนี่ยวนำพลังไปสู่ผู้ป่วยทำได้ด้วยอารมณ์รักและเมตตาและปรารถนาอย่างแรงกล้าให้ผู้ป่วยหายจากโรคและความเจ็บปวด การรักษาโรคให้ผู้อื่นจึงทำได้ไม่ยากหากเริ่มต้นด้วยการรักษาคนรักคนใกล้ตัวก่อน

    3. พลังงานตือจิตวิญญาณ จิตวิญญาณคือพลังงาน ดังนั้นพลังรักษาโรคก็เป็นไปตามธรรมชาติของจิตวิญญาณคือ อยู่นอกเหนือกฏเกณฑ์ของช่องว่าง-ระยะทางและกาลเวลา ซึ่งหมายความว่า รักษาทางไกลได้ และเวลาที่ส่งกับเวลาที่รับปราศจากความหมาย หากบอกผู้ป่วยว่าจะส่งพลังไปรักษาให้โดยไม่นัดวันเวลา ยกตัวอย่าง หากผู้ป่วยมีอาการเจ็บปวดอย่างรุนแรงในเวลาบ่ายโมง ผู้ส่งพลังไปรักษาทำการส่งพลังให้ในเวลาบ่าย 3 โมง ผู้ป่วยอาจหายเจ็บปวดเวลาบ่าย 2 โมง และการรับพลังก็ทำให้หายขาดได้อย่างฉับพลัน และอาจหายได้อย่างถาวร ถ้าไม่หายขาด ต้องส่งพลังเป็นระยะอย่างสม่ำเสมอ ไม่ได้เขียนเวลาผิดนะคะ แต่ต้องการแสดงให้เห็นว่า เวลารักษากับการหายไม่เกี่ยวพันกับเวลาจริงๆ แต่ใันภาพรวมแล้วการรับและการส่งพลังต้องเกิดขึ้น ผู้ป่วยนั้นๆจึงหายได้ในเวลาบ่าย 2 โมง ซึ่งถ้่าหากผู้ส่งไม่ส่งพลังตอนบ่าย 3 ตามที่สัญญาไว้ ผู้ป่วยอาจไม่หาย และในทางกลับกัน หากผู้ส่งพลังไปรักษา ส่งไปล่วงหน้ายาวนาน 1 ปี ก่อนที่ผู้ป่วยจะป่วย เมื่อเขาป่วยลงและมีการติดต่อสื่อสารเกิดขึ้น ทำให้ผู้ที่เคยส่งพลัง ซึ่งอาจส่งในความฝันปีที่แล้วฉุกคิดขึ้นมาได้ว่าเคยฝัน พลังที่ถูกส่งออกไปอาจตกค้างอยู่อากาศ หรือเรียกว่า suspended อยู่ เมื่อผู้รับต้องการและยอมรับ พลังงานที่ suspended หรือตกค้างอยู่นั้นก็ดำเนินต่อไปสู่ผู้ป่วยได้ เพราะพลังงานไม่เคยสูญหาย

    คุณเฉลยพูดถูกต้องที่ว่า คนป่วยรักษาตนเองด้วยความเชื่อของเขา ไม่ว่าเราจะส่งพลังไปให้หรือไม่ เขาก็ไม่อาจหายป่วยได้หากเขาปราศจากความเชื่อ และความเชื่อนั้นๆไม่ได้หมายความว่า เชือว่าเราจะรักษาโรคให้เขาได้ แต่เชื่อว่าตัวเขาจะหายป่วยได้ ความเชื่อดังกล่าวหมายถึงความศรัทธาในจิตวิญญาณของตนเอง ศรัทธาและเชื่อถือในธรรมชาติว่า จิตวิญญาณอันเป็นร่างกายเนื้อหนังมีพลังอำนาจที่จะรักษาโรคให้ตนเองได้ และการเห็นหน้าค่าตาเป็นการสะกดจิตที่ได้ผลมากกว่าการไม่เห็นหน้าตา แต่ในบางกรณีเมื่อผู้ป่วยสิ้นหวังและรับทราบถึงการช่วยเหลือจากทางไกล การไม่เห็นหน้าตาผู้ส่งพลังกลับได้ผลมากกว่าเดิมก็มี เพราะการไม่เห็นทำให้ผู้ป่วยปราศจากวิตกวิจารณ์ที่อาจเกิดขึ้นจากการเผชิญหน้าโดยตรง เช่นวิตกวิจารณ์จากการเห็นบุคลิกภาพของผู้รักษาแล้วเกิดความไม่เชื่อถือ เป็นต้น

    หากผู้ป่วยมีความศรัทธาในจิตวิญญาณของตนเองและเชื่อถือในธรรมชาติ ร่างกายของเขาก็พร้อมที่จะหายป่วยไปแล้วกว่าครึ่ง การส่งพลังไปช่วยไม่ว่าส่งในระยะใกล้หรือไกล เปรียบได้กับพลังเสริมหรือพลังสมทบที่ช่วยให้ผู้ป่วยหายได้เร็วขึ้น

    พี่นักเขียนเผชิญกับประสบการณ์ชีวิตที่สูญเสียผู้ที่เรารักไปหลายครั้งหลายหน ได้ยินผู้ใหญ่พูดกันลับหลังผู้ป่วยว่าเขาเตรียมใจให้ผู้ป่วยไปอย่างสงบ เมื่อก่อนนี้ไม่เคยมีความรู้แม้จะไม่เห็นด้วยก็ไม่กล้าออกความเห็น และยิ่งเมื่อเป็นเด็กรู้สึกโกรธหรือต่อต้านโดยไม่ทราบสาเหตุแต่ก็ไม่กล้าแสดงออกเพราะคิดว่าผู้ใหญ๋ถูกเสมอ

    3-1 พลังที่เราส่งไปให้ ไม่ว่าเขาจะเชื่อหรือไม่เชื่อ พลังนั้นๆไปถึงผู้ป่วยเสมอ แต่จะได้รับผลกระทบหรือไม่อยู่ที่ความเชื่อของเขา เช่นเดียวกับการที่เราพูดหรือส่งเสียงดัง ผู้ที่อยู่ในรัศมีที่จะได้ยินได้ ย่อมได้ยินเสมอ ผู้ป่วยที่ไม่เชื่อว่าตนเองจะหายป่วยได้ก็เปรียบเสมือนคนที่ได้ยินแต่ไม่ได้ฟัง เสียงนั้นๆจึงไร้ผล ไร้ประโยชน์กับเขา ผู้ป่วยที่เชื่อว่าตนเองจะหายป่วยได้ก็เปรียบเสมือนคนที่ได้ยินและฟังสาระด้วย เสียงที่ได้รับจึงมีผลต่อเขาและรับประโยชน์ได้

    3-2 ยานอนหลับแม้ว่าจะช่วยให้ประสาทสัมผัสทั้งห้าปิด และทำให้ประสาทสัมผัสที่หกทำงานได้โดยปราศจากการขัดขวาง และทำให้ร่างกายได้พักผ่อนหรืออยู่ในภาวะที่ไม่ต่อต้านการรักษาอย่างเป็นธรรมชาติได้ดีขึ้น แต่ท่านอาจารย์อนาลัยก็กล่าวไว้ใน จิตวิญญาณประสานกายว่า ยาบางชนิดที่กดประสาท ทำให้สติสัมปชัญญะขาดความคมชัดและทำให้เกิดอารมณ์ที่ไม่พึงปรารถนา ยาบางอย่างผลักดันให้ผู้ป่วยถึงขนาดฆ่าตัวตายก็มี ซึ่งเป็นข่าวบ่อยๆในอเมริกา โดยเฉพาะอย่างยิ่งยานอนหลับ

    3-3 ยาที่แพทย์ให้มีทั้งผลดีและผลเสียควบคู่กันไปเสมอ หากเราอ่านฉลากยาทุกชนิด เราจะพบว่า ไม่มียาชนิดใดเลยที่มีแต่สรรพคุณทางบวกโดยไม่มีผลข้างเคียงในแง่ลบ ลูกชายของพี่นักเขียนเคยเล่นฟุตบอลล์ แล้วหลังยอกอย่างหนัก ปวดมาก ไปหาหมอให้ยามาขนานหนึ่ง ซึ่งมีสรรพคุณคือคลายกล้ามเนื้อ ทานแล้วจะง่วง ทำให้นอนหลับง่าย หลับแล้วไม่ต้องทนปวด แต่ผลข้างเคียงที่พี่นักเขียนอ่านพบโดยที่หมอบอกว่าให้อ่านและพิจารณาเอาเองว่าจะให้ลูกทานหรือไม่ (เป็น practice ที่หมออเมริกันต้องทำตามกฏหมายคือแจ้งให้ผู้ปกครองตัดสินใจในการให้ยาลูก) ผลข้างเคียงของยาดังกล่าวเขียนไว้ว่า เลือดออกในกระเพาะอาหาร และหัวใจวาย-ตาย อ่านจบพี่นักเขียนก็เอายาทิ้งลงท่อน้ำไปเลย แล้วเอาน้ำแข็งใส่หลังให้ลูก สลับกับกระเป๋าไฟฟ้า ตลอดคืน พอเช้าขึ้นพี่นักเขียนก็รักษาด้วยพลังฝ่ามือให้ มองเห็นในจินตภาพเหมือนวัตถุทรงกระบอกขนาดยาวประมาณ 2 นิ้ว 5 อัน ฝังอยู่ในบริเวณกระดูกก้นกบขึ้นมาถึงเอวด้านหลัง ก็ใช้จินตภาพถึงเอาออกมาจนหมด

    ลูกตื่นขึ้นมาเล่าความฝันให้ฟังว่า ฝันว่าเป็นทหารอังกฤษในสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง แล้วถูกฝ่ายตรงข้ามใช้ปืนยาวยิงจากด้านหลังแล้วเขารู้ตัวว่าเขาตาย ลูกกระสุนฝันในตรงด้านล่างของหลังหลายนัด พี่นักเขียนเข้าใจถึงความสัมพันธ์ของความฝันกับโรคภัยไข้เจ็บ ซึ่งเป็นไปข้ามชาติภพตามที่ท่านอาจารย์อนาลัยกล่าวถึงใน จิตวิญญาณประสานกาย และได้เผชิญกับการรักษาโรคผู้ป่วยรายอื่นๆอีก ซึ่งทำให้เขิาใจถึงความซับซ้อนของจิตวิญญาณและความทรงจำข้ามชาติภพ

    พี่นักเขียนเคยทำงานทางด้านผลิดสื่อการสอนอยู่ในคณะแพทย์ศาสตร์ โรงพยาบาลใน Kansas City มีเพื่อนเป็นหมอและเภสัชกร เขาบอกกับพี่นักเขียนตามตรงว่า ยาทั้งหลายมีคุณสมบัติเหมือนกันหมดคือ เป็น Placebo? Effect (พลา-ซี-โบ้ เอฟ-เฟ็กท์) ซี่งหมายถึงว่า มีผลต่อผู้ป่วยด้วยความคิดและความเชื่อของผู้ป่วยเอง ยาบางชนิดในท้องตลาดแม้มีราคาแพงมาก ก็เปรียบได้กับน้ำตาลหรือน้ำกลั่น คือไม่ช่วยหรือทำอะไรกับร่างกายเท่าไรนัก เพราะหากใส่ต้วยาที่ส่งผลกระทบได้อย่างฉับพลันก็ทำให้ต้นทุนการผลิตสูง และเสียงต่อผลข้างเคียงที่ทำให้บริษัทยาอาจถูกฟ้องร้องได้ง่ายถ้ามีคนตาย แต่เขาก็ยอมรับว่า ไม่ว่าบริษัทยาจะใส่ตัวยามากหรือน้อย ก็ไม่ใช่ปัจจัยที่แท้จริงที่ส่งผลต่อราคายา ยาแพงๆบางทีก็ขายสรรพคุณ และทำให้เกิด Placebo Effect ได้ผลมากขึ้นไปอีกก็มี

    นอกจากนี้หมอยังเล่าถึงการทดลองจริงให้ฟังว่า เขาเอาคนปกติ 10 คนไปขังไว้ในห้องทดลองเล็กๆขนาด 3x3เมตรที่ไม่มีหน้าต่าง ร่วมกันผู้ป่วยที่เป็นหวัดหนึ่งคน โดยฉีดยาซึ่งเป็นเพียงน้ำกลั่นให้คนดีึทั้ง 10 และบอกกับพวกเขาว่า ได้ฉีดวัคซีนป้องกันโรคหวัดให้แล้ว จากนั้นอีตาผู้ป่วยก็ต้องทำหน้าที่ไอ-จาม-และสั่งน้ำมูกเผยแพร่หวัดเป็นเวลากว่าชั่วโมง เท่านั้นยังไม่สะใจ จากนั้นคุณหมอนักวิจัยผู้ปราณีก็นำเอา cotton bud ป้ายน้ำมูกจากจมูกของคนที่เป็นหวัด แล้วนำไปแจกจ่ายป้ายจมูกคนดีอีก 10 คนในห้องนั้นด้วย ผลปรากฏว่าไม่มีใครป่วยลงด้วยโรคหวัดเลย จากนั้นเขาก็ทำการทดลองเช่นเดิมกับคนดีอีก 10 คน แต่คราวนี้ไม่ได้ฉีดน้ำกลั่นให้ ปรากฏว่า 5 คนป่วยลงด้วยโรคหวัด อีก 5 คนสบายดีเป็นปกติ คุณหมอเขาได้ทำการทดลองอีกหลายครั้งจนได้ผู้ร่วมทำการทดลองเป็นพันราย ได้ผลใกล้เคียงเหมือนเดิม อย่างมากจะมีสัก 1-2 คนที่ได้รับการฉีดน้ำกลั่นแล้วก็ยังป่วย แต่ผู้เข้าทดลองในห้องที่ไม่ได้รับน้ำกลั่นจะตกทีผลสรุปประมาณ 50-50

    มาปัจจุบันนี้ พี่นักเขียนมีความคิดและเข้าใจเช่่นเดียวกับคุณเฉลย และบอกกับใครๆว่าห้ามร้องไห้แม้แต่เมื่อมีผู้ตายจากไป เพราะมีความเชื่อว่า การร้องไห้ทำให้จิตวิญญาณของผู้ตายมีความเป็นห่วงกังวลกับผู้อยู่ แต่หากพูดกับผู้ที่ไม่เข้าใจเขาก็อาจไม่พอใจจึงไม่เคยพูด แต่ใจจริงแล้วคิดเช่นนั้น ตนเองไม่เคยร้องไห้เวลาไปงานศพ หากพบเห็นใครไปร้องไห้ฟูมฟายในงานศพจะรู้สึกเศร้าแทนคนตาย บางครั้งก็แว้บเห็นคนตายเดินวนอยู่ในศาลาไปไหนไม่ถูก พี่นักเขียนจะหัวใจเต้นเหมือนแทบจะระเบิดออกมานอกอก รู้ว่าไม่ใช่ใจเรา แต่เป็นอารมณ์และความรู้สึกของผู้ตาย หากเผชิญกับภาวะเช่นนั้น พอพระเริ่มสวดก็ตาลืมไม่ขึ้นทุกครั้ง คนตายจะมาสื่อโดยรู้สึกเหมือนว่าใจเขามาเป็นใจเรา ถูกบางสิ่งบางอย่างดลใจให้ไปสำรวจสมาชิกครอบครัวที่คนตายห่วงมากที่สุดด้วยการถามไถ่ทุกข์สุขเขา ซึ่งเขามักบอกว่าเขาไม่เป็นไร เขาจะดำเนินชีวิตต่อไปได้ บางคนบอกด้วยซ้ำไปว่า หมดห่วงเพราะคุณพ่อหรือคุณแม่ของเขาพ้นทุกข์เสียที เมื่อได้ยินเช่นนั้นแทนผู้ตายแล้ว อาการหัวใจเต้นแทบจะออกมานอกอกจะหายไปอย่างฉับพลัน เป็นเช่นนั้นบ่อยจนไม่ไปงานศพหลายปี ไม่ใช่เพราะว่ากลัว เป็นคนไม่เคยกลัวผีมาแต่เด็ก แต่เกรงว่าคนใกล้ชิดผู้ตายจะวิตกวิจารณ์หรือรับไม่ได้หากไปถามไถ่ความรู้สึกของเขาเช่นนั้น

    พี่นักเขียนได้เริ่มต้นสนใจเกี่ยวกับการรักษาโรคด้วยฝ่ามือ (Reiki) และรักษาโรคด้วยพลังจิต หลังจากเรียนสมาธิไปได้หลายปี เพราะเผชิญกับการเคลื่อนไหวของพลังงานเช่นที่คุณน้อง penpilai เล่ามาให้ฟัง

    ท่านอาจารย์อนาลัยได้กล่าวว่า ปาฏิหารย์คือธรรมชาติอันปราศจากการขัดขวาง

    ประสบการณ์ที่คุณเฉลยพบสำหรับผู้ป่วยรายนี้ย่อมเป็น ปาฏิหารยฺ์ (rose)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 กันยายน 2007
  20. nova_analai

    nova_analai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    809
    ค่าพลัง:
    +7,489
    ความฝันกับการจดจำความฝัน

    หากศึกษาจากหนังสือความฝันกับวิถีแห่งจิตวิญญาณของท่านอาจารย์อนาลัย และศึกษาจากจิตวิทยาเกี่ยวกับการนอนหลับ คือเรื่อง REM และ NREM ซึ่งเกี่ยวกับภาวะจิตและการกลอกของลูกตาตั้งแต่คนเราเริ่มหลับไปจนถึงหลับลึกและฝัน จะพบว่า ไม่มีคืนใดที่คนเราปราศจากความฝัน แต่ถ้าเราตื่นมาจำความฝันไม่ได้ เรามักจะบอกว่าเราไม่ฝัน

    ท่านอาจารย์อนาลัยกล่าวไว้ว่า ความฝันเปรียบเสมือนแบบพิมพ์เขียวที่เรานำไปใช้สร้างประสบการณ์ชีวิตในแต่ละวัน ซึ่งเราได้วางแผนล่วงหน้า และมีรายละเอียดต่างๆมากมายในความฝันที่เป็นข้อมูลที่ช่วยให้เราทำการตัดสินใจต่างๆได้ในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่ดูเสมือนจิบจ้อยเพียงใดก็ตาม ซึ่งหากปราศจากการเตรียมการล่วงหน้าในความฝัน ชีวิตประจำวันของเราจะไม่ง่ายอย่างที่มันเป็นไป

    เมื่อเราคิดหรือเชื่อว่าเราไม่ฝัน เรามักเข้านอนโดยไม่ตั้งจิตที่จะรู้เห็นหรือจดจำอะไร แล้วก็เราก็ตื่นโดยไม่ค่อยจะใช้ความพยายามที่จะทบทวน เมื่อมันเป็นไปบ่อยเข้า การไม่จำความฝันมักกลายเป็นนิสัย แม้แต่พี่นักเขียนเอง หากเดินทางไกลติตต่อกันหลายสัปดาห์ ไม่มีเวลาจดหลายวันติดต่อกัน ก็ตืนขึ้นมารู้สึกเสมิือนว่าไม่ได้ฝัน แต่ด้วยความเคยชิน ตกบ่ายทำธุระอื่นๆจะผุดขึ้นมาบ้างทำให้จำได้ แต่ไม่มากเท่าที่เคย พอกลับบ้านก็ต้องเข้าวินัยเดิมจึงจะฝัน จดจำและจดได้

    ขอรวบตอบน้อง mindanaric ไปด้วยอีกคนนะคะที่บ่นอุบมา 2 วันก่อนว่าจำฝันไม่ได้เหมือนกัน ให้กลับไปดูสารบัญที่หัวหน้าห้องวิทย์ คุณ Mead ทำสารบัญไว้ให้ มีเรื่องที่เคยบรรยายไปแล้วเกี่ยวกับวิธีการฝันอย่างไรให้คมชัด และ ที่ website : http://www.novaanalai.com/novaanalai/9C16FCAC-1F7C-11DC-82DA-000D932ED860.html ซึ่งพี่นักเขียน เขียนเรื่องฝึกฝันไว้ ลองไปอ่านดูนะคะ

    ก่อนนอนให้ตั้งจิตว่าขอฝัน ขอรู้ ขอเห็น และขอจดจำ พอตื่นขึ้นตอนเช้าให้ฝึกคือ อย่าเคลื่อนไหวร่างกาย ตามปกติแล้วจิตจะตื่นก่อนกายเสมอ ให้นอนนิ่งๆแลัวจับอารมณ์ว่า มีอารมณ์อะไรตกค้างมาจากความฝันบ้าง แล้วอารมณ์นั้นจะทำให้จำความฝันได้บ้าง แรกๆอาจไม่ปะติดปะต่อเป็นสาระ แต่ถ้าลองจด ได้เท่าไร 2-3 คำ 2-3 บรรทัดก่อนก็จด ลงวัันที่ไว้ด้วย จะพบว่าจดจำได้มากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อตระหนักได้ว่าฝันทุกคืนแล้ว ขั้นต่อไปให้ตั้งจิตว่าต้องการฝันเพื่อรู้เห็นเรื่องอะไร

    แม้ตื่นขึ้นมาทวนความฝันแล้วเรื่องราวเสมือนห่างไกลโจทย์ หรือเรื่องราวที่ตั้งจิตไว้ก่อนนอน ก็ให้จดไว้ การจดฝันให้จดอย่างซื่อตรงที่สุด ห้ามตีความหมาย ห้ามพยายามปรับเปลี่ยนเรื่องให้ดู make sense กว่าที่รู้เห็นมา จดให้ตรงที่สุดที่จะเป็นไปได้ จดไม่ได้ sketch เป็นภาพได้ก็ให้ sketch ไว้ บางครั้งความฝันเก่าแก่มาปรากฏเกี่ยวพันกับความเป็นจริง 2-5 ปีให้หลังหรือล่าช้าไปกว่านั้นก็มี

    ท่านอาจารย์อนาลัยกล่าวไว้ในหนังสือ ความฝันกับวิถีแห่งจิตวิญญาณ บทที่ 5 ความฝันกับการจดจำความฝัน ซึ่งอธิบายถึงเหตุผลและความสำคัญของการฝัน หากเรารู้ถึงความสำคัญและประโยชน์ของความฝันได้อย่างลึกซึ้งขึ้น พี่นักเขียนเชื่อว่า เราจะรักที่นอนหลับและฝัน เพราะรู้คุณค่าของความฝัน และทำให้เราเต็มใจและคาดหวังที่จะจดจำมัน และทำให้จดจำได้จริงค่ะ (rose)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 กันยายน 2007

แชร์หน้านี้

Loading...