WarRoom - อาสาสมัครเตรียมการเฝ้าระวังประสานงานเตรียมพร้อมเพื่อรองรับสถานการณ์ปี 2013

การประเมินคาดคะเนทิศทางของพายุจาก wunderground

 

จาก Tropical Storm Risk (TSR) for long-range forecasts of hurricane, typhoon and cyclone worldwide
คาดการณ์อีก 24/36/48 ชม.ข้างหน้า

 

ช่วงเวลาไม่ห่างจากตอนพายุเกร์เกิดซักเท่าไหร่เลย แถมจุดที่จะผ่านตามที่หลายๆสำนักคาดการก็เป็นจุดเดียวกับพายุเกร์ซะด้วย "บางสะพาน" ได้แต่หวังว่าจะไม่เกิดอย่างอดีต

พายุไต้ฝุ่นเกย์ (อังกฤษ: Typhoon Gay) เป็นพายุหมุนเขตร้อนทรงพลังซึ่งสร้างความเสียหายอย่างหนักในจังหวัดชุมพรและประเทศอินเดียฝั่งตะวันออกในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2532 เป็นพายุไต้ฝุ่นครั้งเลวร้ายที่สุดที่เกิดขึ้นในคาบสมุทรมลายูรอบ 35 ปี[1] พายุก่อตัวขึ้นเมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน ในอ่าวไทยตอนล่าง ข้ามคาบสมุทรมลายู เคลื่อนเข้าไปในมหาสมุทรอินเดียเหนือ และทวีกำลังแรงขึ้นเป็นพายุหมุนระดับ 5 ก่อนขึ้นฝั่งในประเทศอินเดีย และสลายตัวเหนือเทือกเขากัตส์ตะวันตกในอินเดีย เมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน พายุนั้นไม่แปลกเฉพาะแต่เพียงเป็นพายุหมุนเขตร้อนเพียงลูกเดียวที่พัดถล่มประเทศไทยขณะมีความเร็วลมในช่วงพายุไต้ฝุ่น (120 ไมล์ต่อชั่วโมงเมื่อขึ้นฝั่ง) เท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงการก่อตัวขึ้นในอ่าว ขนาดที่เล็ก[2] ความหนาแน่นที่สูง และข้อเท็จจริงที่ว่าพายุนี้มีพลังอยู่ในแอ่งพายุหมุนเขตร้อนสองแอ่ง ซึ่งไม่ปกติสำหรับพายุหมุนเขตร้อน

วันที่ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2532 เวลา 08.30 น. พายุไต้ฝุ่นเกย์เคลื่อนเข้าสู่ภาคใต้ตอนบนด้วยความเร็วถึง 185 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ซึ่งเป็นความเร็วของพายุไต้ฝุ่นในระดับ 3 ถล่ม อำเภอเมืองประจวบคีรีขันธ์ บางสะพานน้อย และบางสะพาน ก่อนขึ้นฝั่งที่อำเภอท่าแซะ และปะทิว จังหวัดชุมพร ทำให้เกิดคลื่นพายุซัดฝั่ง ที่อำเภอบางสะพานน้อย บางสะพาน ท่าแซะและปะทิว[3]

ที่มาจาก http://th.wikipedia.org/wiki/พายุไต้ฝุ่นเกย์

 

สถิติพายุหมุนเขตร้อนที่เคลื่อนเข้าไทยในคาบ 61ปี(2494-2554) มาลองดูกันครับผมเลือกเอาเฉพาะช่วงเดือนพฤศจิกายนมาให้ดูกัน

 

สงสัยจะเป็นข่าวดี แต่อยากให้ไปตกที่แล้งๆมากกว่า
น้ำในเขื่อนบางจุดน้ำน้อยเริ่มวิกฤตแล้ว--"

TSR คำนวนเส้นทางพายุ 25W ล่าสุดจะไม่เข้าอ่าวไทย และมีแนวโน้มสลายตัว





B5 - War Room Falkman

 

ประกาศกรมอุตุนิยมวิทยา
"พายุดีเปรสชัน"

ฉบับที่ 5 ลงวันที่ 15 พฤศจิกายน 2555

เมื่อเวลา 0100 น. วันนี้ (15 พ.ย.) พายุดีเปรสชันบริเวณทะเลจีนใต้ตอนล่าง มีศูนย์กลางอยู่ห่างประมาณ 150 กิโลเมตร ทางตะวันออกเฉียงใต้ของเมืองโฮจิมินห์ ประเทศเวียดนาม หรือที่ ละติจูด 9.5 องศาเหนือ ลองจิจูด 108.0 องศาตะวันออก มีความเร็วลมสูงสุดใกล้ศูนย์กลาง 55 กม./ชม. กำลังเคลื่อนตัวทางตะวันตกค่อนทางเหนือเล็กน้อยอย่างช้าๆ คาดว่าจะเคลื่อนผ่านปลายแหลมญวนลงสู่อ่าวไทยตอนบนในช่วงวันที่ 16-17 พฤศจิกายน 2555 หลังจากนั้นในวันที่ 18 พฤศจิกายน 2555 จะลงสู่ทะเลอันดามัน ลักษณะเช่นนี้ทำให้ในช่วงวันที่ 15-18 พฤศจิกายน นี้ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง ภาคกลาง ภาคตะวันออก และภาคใต้ มีฝนเพิ่มมากขึ้นโดยเฉพาะภาคใต้ตอนบนบริเวณจังหวัดเพชรบุรี ประจวบคีรีขันธ์ และชุมพร มีฝนตกหนักบางแห่ง ส่วนคลื่นลมบริเวณอ่าวไทยจะมีกำลังแรงขึ้น โดยจะมีคลื่นสูง 2-4 เมตร

อนึ่ง บริเวณความกดอากาศสูงกำลังค่อนข้างแรงที่แผ่เสริมลงมาปกคลุมประเทศไทยตอนบนในวันที่ 17 พฤศจิกายน 2555 ทำให้ภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มีอากาศเย็นกับมีลมแรง



ประกาศ ณ วันที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555 เวลา 05.30 น.


B5 - War Room Falkman

 

เขื่อนลำปาวเหลือน้ำ 18%

วันพุธที่ 14 พฤศจิกายน 2555 เวลา 00:01



นายสมหมาย ดอกบัว หัวหน้าฝ่ายจัดสรรน้ำและปรับปรุงระบบชลประทาน โครงการส่งน้ำและบำรุงรักษาลำปาว เปิดเผยว่า ขณะนี้ปริมาณน้ำในเขื่อนลำปาว จังหวัดกาฬสินธุ์ มีปริมาณค่อนข้างต่ำเพียง 349 ล้านลูกบาศก์เมตร (ลบ.ม.) หรือคิดเป็นร้อยละ 18 ของระดับกักเก็บ โดยเป็นปริมาณน้ำที่ใช้การได้เพียง 249 ล้าน ลบ.ม. หรือคิดเป็นร้อยละ 13 ของระดับกักเก็บเท่านั้น (ณ วันที่ 9 พ.ย. 55) เนื่องจากในปีนี้ปริมาณฝนตกลงในพื้นที่เหนือเขื่อนค่อนข้างต่ำ ทำให้น้ำไหลเข้าเขื่อนน้อย ซึ่งปกติจะมีน้ำไหลเข้าเขื่อนปีละ 1,985 ล้าน ลบ.ม. แต่ในปีนี้จนถึงปัจจุบันมีน้ำไหลเข้าเขื่อนเพียง 688 ล้าน ลบ.ม. เท่านั้น

สำหรับผลกระทบที่ได้รับจากพายุที่ผ่านมามีน้อยมาก เนื่องจากพายุได้เปลี่ยนทิศทาง ให้มีปริมาณน้ำไหลเข้าเขื่อนตั้งแต่วันที่ 5-9 ตุลาคม 2555 เพียง 9.72 ล้าน ลบ.ม.เท่านั้น ในขณะที่จะต้องปล่อยน้ำ เพื่อการทำนาปี ตลอดจนการอุปโภค-บริโภค การอุตสาหกรรม และการรักษาระบบนิเวศในลำน้ำปาวในช่วงเวลาดังกล่าวถึง 26.62 ล้าน ลบ.ม.

อย่างไรก็ตามก่อนในช่วงนี้คาดว่าจะมีฝนตกทำให้มีน้ำไหลเข้าเขื่อนอีกประมาณ 100 ล้าน ลบ.ม. ซึ่งจะมีปริมาณน้ำในเขื่อนที่ใช้การได้จะมีประมาณ 470 ล้านลบ.ม. จากปริมาณความจุในระดับกักเก็บสูงสุด 1,980 ล้าน ลบ.ม. หรือประมาณร้อยละ 24 ของปริมาณการกักเก็บ ซึ่งจะเพียงพอสำหรับใช้ในช่วงก่อนการเก็บเกี่ยวการทำนาปีในพื้นที่ของโครงการส่งน้ำและบำรุงรักษาลำปาว ประมาณเดือนตุลาคม-พฤศจิกายน 2555 รวมทั้งน้ำเพื่อการอุปโภค-บริโภค การอุตสาหกรรม และการรักษาระบบนิเวศในลำน้ำปาวเท่านั้น

B5 - War Room Falkman

 

ฟิลิปปินส์ระทึกแผ่นดินไหวภาคกลาง

วันพุธที่ 14 พฤศจิกายน 2555 เวลา 18:44 น.



แผ่นดินสะเทือน 5.8 ริคเตอร์ ใต้ทะเลนอกชายฝั่งเกาะทางภาคกลางของฟิลิปินส์ เผยแรงไหวอาจสร้างความเสียหายได้

วันนี้ (14 พ.ค.) สำนักข่าวเอเอฟพีรายงานจากกรุงมะนิลา ประเทศฟิลิปปินส์ ว่า เกิดแผ่นดินไหวค่อนข้างรุนแรง วัดได้ 5.8 ริคเตอร์ เขย่าพื้นที่ภาคกลางของฟิลิปปินส์ เมื่อช่วงบ่ายของวันพุธ เจ้าหน้าที่ท้องถิ่นเตือน แรงไหวอาจสร้างความเสียหายได้ โดยสถาบันภูเขาไฟและแผ่นดินไหวฟิลิปปินส์ ในกรุงมะนิลา แจ้งว่า แผ่นดินไหวครั้งนี้เกิดขึ้นเมื่อเวลา 13.21 น. ตามเวลาท้องถิ่น (12.21 น. ตามเวลาในประเทศไทย) จุดกำเนิดอยู่ไม่ลึกใต้ทะเล ห่างชายฝั่งทางทิศตะวันตกของเกาะเนกรอสราว 71 กม. ซึ่งจากการประเมินสถานการณ์เบื้องต้น เชื่อว่าแผ่นดินไหวครั้งนี้อาจก่อให้เกิดความเสียหาย ต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน ที่อาศัยอยู่ตามแนวชายฝั่งใกล้จุดศูนย์กลางได้ โดยเจ้าหน้าที่ได้รับรายงานจากประชาชนว่า แผ่นดินไหวครั้งนี้ทำให้พื้นดินไหวสะเทือนรุนแรง ตลอดแนวชายฝั่งทางตะวันตกของเกาะเนกรอส

อย่างไรก็ตาม นายเอลิจิโอ คาลาออร์ ผอ.สำนักงานป้องกันพลเรือนในเขตพื้นที่ กล่าวว่า ยังไม่ได้รับรายงานความเสียหาย หรือมีผู้บาดเจ็บล้มตายแต่อย่างใด.

B5 - War Room Falkman

 

ทัพสหรัฐตั้งสถานีเรดาร์ในออสเตรเลีย

วันพุธที่ 14 พฤศจิกายน 2555 เวลา 20:17 น.



วันนี้ (14 พ.ย.) สำนักข่าวเอเอฟพีรายงานจากเมืองเพิร์ธ ประเทศออสเตรเลีย ว่า กองทัพสหรัฐอเมริกาประกาศจะตั้งสถานีเรดาร์ประสิทธิภาพสูง และสถานีกล้องส่งทางไกลอวกาศ ในประเทศออสเตรเลีย ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของแผนการปรับยุทธศาสตร์ใหม่ ที่จะเน้นมาทางภูมิภาคเอเชีย

โดยในระหว่างการแถลงข่าวร่วมที่เมืองเพิร์ธ ออสเตรเลีย ในวันนี้ นายสตีเฟน สมิธ รัฐมนตรีกลาโหมออสเตรเลีย กล่าวว่า การติดตั้งสถานีเรดาร์ระบบ ซี-แบนด์ ของกองทัพสหรัฐ จะช่วยเสริมประสิทธิภาพการตรวจตรา เศษชิ้นส่วนในอวกาศในส่วนนี้ของโลก ขณะที่ นายลีออน พาเนตตา รัฐมนตรีกลาโหมสหรัฐ กล่าวว่า ถือเป็นก้าวกระโดดครั้งสำคัญ ของความร่วมมือทวิภคีด้านอวกาศ และถือเป็นเขตแดนใหม่ที่สำคัญของสหรัฐ ในการปรับความสมดุลในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก

ข้อตกลงร่วม สหรัฐ-ออสเตรเลีย เรียกร้องให้มีการติดตั้งระบบเรดาร์ ซี-แบนด์ ของกองทัพอากาศสหรัฐ ในพื้นที่ซีกโลกใต้ ซึ่งจะทำให้อเมริกาสามารถตรวจตรา สะเก็ดชิ้นส่วนอวกาศ รวมทั้งการปลอ่ยจรวดสู่อวกาศของจีน ได้ดียิ่งขึ้นกว่าเดิม นายพาเนตตากล่าวย้ำว่า ระบบเรดาร์ที่จะติดตั้ง สามารถตรวจตราสอดส่องได้ทั่วทุกพื้นที่ของเอเชีย

ออสเตรเลียยังตกลงที่จะให้สหรัฐติดตั้งกล้องตรวจการณ์อวกาศ เอสเอสที (SST : Space Surveillance Telescope) รุ่นใหม่ ซึ่งออกแบบเพื่อติดตามตรวจสอบวัตถุขนาดเล็กในอวกาศได้สูงถึง 35,000 กม. จากพื้นโลก โดยกล้องรุ่นนี้ผลิตโดย สำนักงานโครงการวิจัยก้าวหน้าด้านการกลาโหม (ดาร์ปา) ซึ่งเป็นหน่วยงานวิจัยเทคโนโลยีขั้นสูงของกระทรวงกลาโหมสหรัฐ และออสเตรเลียนับเป็นจุดที่เหมาะสมที่สุด สำหรับการติดต้องกล้องชนิดนี้

ข้อตกลงสะท้อนให้เห็นถึงความสัมพันธ์ด้านความมั่นคง ที่กระชับแน่นมากขึ้น ระหว่างสหรัฐและออสเตรเลีย และความมุ่งเน้นยิ่งขึ้นของเพนตากอนต่ออวกาศ ซึ่งถือว่าเป็นสมรภูมิใหม่ ขณะที่จีนกำลังพัฒนาศักยภาพจนมีความคืบหน้าอย่างรวดเร็ว.





B5 - War Room Falkman

 

ถอดรหัสลับ"โอบามา"เยือนไทยพม่า เขมร รื้อใหม่เกมดุลอำนาจในภูมิภาคเอเซีย

วันที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555 เวลา 10:26:57 น



เพียงแค่ 18 วันหลังจากประธานาธิบดีบารัค โอบามา กลับเข้ามาดำรงตำแหน่งได้กำหนดการทัวร์เอเชีย ระหว่างวันที่ 17-20 พฤศจิกายน 2555การเดินทางมาเอเชียในครั้งนี้มีเป้าหมายไปที่กัมพูชา พม่า และไทย ประธานาธิบดีบารัค โอบามายังมีกำหนดการเข้าร่วมประชุมสุดยอดเอเชียตะวันออก(East Asia Summit-EAS) และพบกับผู้นำจากประเทศต่างๆของอาเซียน(ASEAN) ที่ประเทศกัมพูชา

ประธานาธิบดีบารัค โอบามาและนางฮิลลารี คลินตัน จะเดินทางไปย่างกุ้ง อดีตเมืองหลวงของพม่าเพื่อพบนางอองซาน ซูจีในวันที่ 19 พฤศจิกายน 2555 และประธานาธิบดีเต็ง เส่งที่เมืองย่างกุ้งด้วยเช่นกัน

โฆษกของประธานาธิบดีเต็ง เส่งออกมากล่าวถึงเรื่องนี้ว่า ยินดีต้องรับการเดินทางมาพม่าของประธานาธิบดีบารัค โอบามา และการเดินทางมาในครั้งนี้แสดงให้เห็นว่าสนับสนุนกระบวนการทำให้เกิดประชาธิปไตยในพม่าของประธานาธิบดีเต็งเส่งและนางอองซาน ซูจีในฐานะที่เป็นสมาชิกในรัฐสภาและประชาชนชาวพม่าคนหนึ่งเชื่อว่าจะเป็นแรงผลักดันต่อกระบวนการปฏิรูปประชาธิปไตยในพม่าด้วย

การเยือนภูมิภาคทันทีนี้ภายหลังจากที่กลับเข้ามาเป็นประธานาธิบดีอีกครั้งมีนัยสำคัญที่แสดงให้เห็นว่านอกจากจะให้ความสนใจกับเรื่องเศรษฐกิจที่กำลังจะเติบโตในภูมิภาคนี้แล้วยังต้องการเข้ามามีบทบาทในการจัดการความขัดแย้งทางเชื้อชาติในประเทศพม่าด้วยการเดินทางมาเยือนกัมพูชา และพม่าของประธานาธิบดีบารัค โอบามาเป็นสิ่งที่น่าจับตามองเพราะไม่เคยมีประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาคนไหนเคยเดินทางมายังสองประเทศนี้มาก่อน

ทิศทางด้านนโยบายต่างประเทศของประธานาธิบดีบารัค โอบามาในสมัยที่สองนี้จึง มีท่าทีเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมที่มีมุมมองในด้านต่อต้านการก่อการร้ายมาเป็นมุมมองในเชิงการพัฒนาแทน ซึ่งอาจจะได้การตอบรับที่ดีจากประเทศเหล่านี้มากกว่า

หนังสือพิมพ์นิวยอร์ก ไทม์ ฉบับวันที่ 9 พฤศจิกายน 2555 ได้พูดถึงในประเด็นนี้ว่า การเดินทางมาเอเชียในครั้งนี้เป็นความตั้งใจที่จะคานอำนาจของจีนในภูมิภาคนี้ ซึ่งจีนเองมีท่าทีที่จะเข้าไปครอบงำและเข้าไปแทรกแซงประเทศเพื่อนบ้านบ่อยขึ้น

พม่านั้นถูกโดดเดี่ยวมาเป็นระยะเวลานานจากนานาประเทศในเรื่องของการมีผู้นำรัฐบาลทหารที่กดขี่ประชนชนและการละเมิดสิทธิมนุษยชนพม่าเป็นดินแดนที่อุดมไปด้วยทรัพยากรธรรมชาติ มีการติดต่อค้าขายกับจีน และในทางพฤตินัยอาจกล่าวได้ว่าเป็นพม่าพันธมิตรกับจีน โดยที่จีนได้รับผลประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติในพม่าและได้รับผลกำไรอย่างมหาศาล อย่างไรก็ตามเมื่อปีที่ผ่านมา จีนพบกับอุปสรรคในพม่าจากการที่รัฐบาลพม่าเลื่อนการก่อสร้างเขื่อนขนาดใหญ่มูลค่า 3.6 พันล้านเหรียญสหรัฐฯออกไปเพราะมีประชาชนพม่าออกมาประท้วงคัดค้านการสร้างเขื่อน และรวมถึงถานการณ์ความตึงเครียดในเรื่องของท่อแฝดส่งก๊าซกับน้ำมันข้ามประเทศพม่า-มณฑลยูนานของจีนด้วย


การที่ประธานาธิบดีบารัคโอบามาพยายามสร้างความสัมพันธ์กับพม่านั้นอาจจะช่วยทำให้พม่าเปิดประเทศมากขึ้นและไม่โดดเดี่ยวหมือนอย่างที่เคยเป็นมาโอบามาต้องชักจูงรัฐบาลพม่าในประเด็นเกี่ยวกับการหยุดสังหารชีวิตประชาชนอย่างโหดร้าย การทำลายทรัพย์สินอย่างปราศจากความปราณี และในประเด็นการที่พม่าปฏิเสธความเป็นพลเมืองของชาวมุสลิมโรฮิงยา ชาวโรฮิงยาเป็นแสนคนถูกสังหารในการปะทะกันอย่างดุเดือด และมีบางส่วนได้หลบหนีไปยังประเทศเพื่อนบ้าน

องค์กรนิรโทษกรรมสากลได้รายงานว่ามีชาวโรฮิงยานับพันๆคนถูกฆ่าถูกข่มขืน เฆี่ยนตี และถูกจับกุมอย่างไม่มีสาเหตุในขณะที่ชาวโรฮิงยาอีกจำนวน 50,000-90,000 คนถูกขับไล่ออกนอกประเทศ และเมื่อฤดูร้อนที่ผ่านมาชาวโรฮิงยามากกว่า 20,000คนถูกสังหารไปในการปะทะกันครั้งล่าสุด และเฉพาะเพียงแค่ในเดือนพฤศจิกายนเดือนนี้ก็มีชาวโรฮิงยากว่า 140 คนถูกสังหารตายไปแล้ว คนกลุ่มนี้ไม่มีสิทธิอย่างเช่นพลเมืองของพม่า พวกเขาถูกปฏิบัติอย่างคนไร้สัญชาติ

ประธานาธิบดีเต็ง เส่งของพม่าประกาศว่าชาวมุสลิมโรฮิงยา 8 แสนคนควรจะต้องถูกไล่ออกจากประเทศพม่าและส่งไปยังค่ายผู้ลี้ภัยของสหประชาชาติ ซึ่งเป็นการกล่าวที่แสดงถึงเลือกปฏิบัติอย่างชัดเจน

ดังนั้นเพื่อให้การเยือนพม่าในครั้งนี้เกิดผลสำเร็จและมีความหมาย ประธานาธิบดีบารัค โอบามาจะต้องหยิบประเด็นเรื่องชาวโรฮิงยาขึ้นมาพูดคุยกับทั้งประธานาธิบดีเต็ง เส่ง และนางอองซาน ซูจี รวมถึงประเด็นที่ท้าทายเรื่องประชาธิปไตยของพม่าและสิทธิของชนกลุ่มน้อยด้วย

จีน ปากีสถาน มีความสัมพันธ์ที่ดีกับพม่า อาเซียนพัฒนาความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นขึ้นกับพม่าเช่นกัน การค้าของอินเดียกับพม่าก็เติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง สำหรับความสัมพันธ์ของสหรัฐอเมริกากับพม่านั้นได้มีการปรับความสัมพันธ์กันมาตั้งแต่ในสมัยรัฐบาลที่ปกครองโดยประชาชน(แบบไม่เต็มตัว)ขึ้นมามีอำนาจเมื่อปีที่แล้วซึ่งเป็นการสิ้นสุดการปกครองโดยทหารที่ปกครองมากว่า 50 ปี

นางออง ซาน ซูจีเข้าพบประธานาธิบดีบารัค โอบามาเมื่อวันที่ 19 กันยายนที่ผ่านมาซึ่งน่าจะเป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้โอบามามีแผนการไปเยือนพม่า

หากเรามองในแง่ดีการเดินทางไปพม่าของประธานาธิบดีบารัค โอบามาอาจจะเป็นการเร่งให้เกิดการปฏิรูปทางการเมืองของพม่าให้เป็นไปอย่างต่อเนื่องซึ่งพม่าเองก็พร้อมที่จะเปิดกว้างในการทำธุรกิจระหว่างประเทศแล้ว


นักวิเคราะห์หลายคนเชื่อว่านโยบายของสหรัฐอเมริกาได้รับผลกระทบจากกรณีของอัฟกานิสถานเมื่อช่วงทศวรรษที่แล้วซึ่งทำให้เศรษฐกิจเสื่อมถอยอย่างมากการหันเหเข้ามาสู่เอเชียตะวันออกอาจจะช่วยชดเชยด้านการเสื่อมถอยทางเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกา และการปรับความสัมพันธ์กับพม่าอาจจะช่วยส่งเสริมผลประโยชน์ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ให้มากขึ้นได้

ก่อนหน้านี้นางฮิลารีคลินตัน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของสหรัฐอเมริกาได้ไปเยือนพม่าเมื่อ ปีพ.ศ.2551 และไปย่างกุ้งเมื่อเดือนธันวาคมปีที่แล้ว ซึ่งถือว่าเป็นการกรุยทางเพื่อให้ประธานาธิบดีบารัค โอบามาเดินทางไปพม่าในครั้งนี้ และการยกเลิกมาตรการคว่ำบาตรต่อพม่าก็มีขึ้นในเวลาเดียวกันกับการเดินทางไปพม่าของเขาเช่นกัน

การเดินทางไปพม่าของประธานาธิบดีบารัค โอบามาจะเป็นเหตุการณ์ที่สำคัญในประวัติศาสตร์ของภูมิภาคเลยทีเดียว ชาวอเมริกันตระหนักดีว่าพม่านั้นมีความใกล้ชิดกับจีนมากขึ้นในช่วงระยะเวลาที่พม่าถูกคว่ำบาตร ซึ่งควรจะแก้ไขสถานการณ์่นี้โดยเร็ว

นอกจากนั้นการไปพม่าของนายโอบามาอาจจะมีผลต่อนโยบายของสหรัฐอเมริกาต่อเอเชียตะวันออกด้วย เช่นนโยบายต่อเกาหลีเหนือ ปัญหาของเกาหลีเหนืออาจจะทำให้ความตึงเครียดขึ้นภูมิภาคในด้านความมั่นคง และแพร่กระจายออกไปสู่ญี่ปุ่น จีน เกาหลีใต้และรัสเซีย ภูมิภาคเอเชียตะวันออกจึงกลายมาเป็นส่วนสำคัญส่วนหนึ่งในนโยบายมองไปข้างหน้า(Forward)ของนายโอบามา

มีการเปรียบเทียบการเดินทางมาพม่าของประธานาธิบดีบารัคโอบามากับการเยือนจีนของประธานาธิบดีริชาร์ด นิกสันเมื่อปีพ.ศ.2515 เมื่อครั้งที่จีนกำลังเปิดประเทศ อย่างไรก็ตามนี่เป็นกลยุทธ์ที่สำคัญของพม่าในการดึงดูดความสนใจจากสหรัฐอเมริกา

การเดินทางมาครั้งนี้ยังถูกคาดหวังว่าช่วยเสริมสร้างความเจริญเติบโต ความก้าวหน้าและความร่วมมือซึ่งกันและกันระหว่างสหรัฐอเมริกาและเอเชียด้วย พม่าเป็นประเทศที่มีความสำคัญในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เป็นประเทศที่ติด 1 ใน 50 ประเทศที่ใหญ่ที่สุดในโลกเมื่อพิจารณาจากขนาดของประเทศกับประชากรจำนวน 48 ล้านคน พม่ามีพรมแดนติดกับจีน อินเดียและไทย

ประธานาธิบดีบารัค โอบามายังมีกำหนดการเยือนประเทศพุทธอย่างกัมพูชา และไทย โดยหวังว่าจะพยายามสนับสนุนให้เกิดความสมัครสมานกลมเกลียวและความสงบเรียบร้อยขึ้นในสังคมที่มีความแตกต่างกันทางศาสนาโดยเฉพาะอย่างยิ่งระหว่างกลุ่มผู้นับถือศาสนาพุทธและกลุ่มที่นับถือศาสนาอิสลามในพม่า

"โอบามา"ทัวร์"เอเซีย"คราวนี้น่าจะช่วยทำให้ภาพลักษณ์ของสหรัฐอเมริกาดูดีขึ้นและมีท่าทีอ่อนลงในภูมิภาคเอเชียตะวันออกด้วย

===============================================================
ผู้เขียน ดร.ประพีร์ อภิชาติสกล
ผู้อำนวยการศูนย์อเมริกันศึกษา
ภาควิชารัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ

ถอดรหัสลับ"โอบามา"เยือนไทยพม่า เขมร รื้อใหม่เกมดุลอำนาจในภูมิภาคเอเซีย


B5 - War Room Falkman

 

B5 - War Room Falkman

 

=ฝากข่าวประชาสัมพันธ์=

วิกฤต! โลหิตหมดคลัง สภากาชาดไทยวอนประชาชนบริจาคช่วยผู้ป่วยด่วน

2012-11-15 11:28:29



สภากาชาดไทย เผย ปริมาณโลหิตบริจาคลดลงเหลือวันละ 1,200 ยูนิต ขณะที่ยอดขอใช้โลหิตทั่วประเทศเพิ่มสูงเกิน 2 เท่าของโลหิตบริจาค ส่งผลให้ไม่เพียงพอ วอนประชาชนช่วยกันบริจาค เมื่อวันที่ 14 พ.ย.55 เวลา 17.25น. สภากาชาดไทย ประชาสัมพันธ์ผ่านเว็บไซต์ วอนประชาชนไปบริจาคโลหิตเพื่อช่วยเหลือผู้ป่วย เนื่องจากขณะนี้ ปริมาณโลหิตบริจาคลดลงเหลือ วันละ 1,200 ยูนิต ขณะที่ยอดขอใช้โลหิตของผู้ป่วยในโรงพยาบาลทั่วประเทศเพิ่มสูงเกิน 2 เท่าของโลหิตบริจาค ถึงวันละ 5,000 ยูนิต ส่งผลให้ไม่มีโลหิตเพียงพอสำหรับผู้ป่วยจำนวนมาก

แพทย์หญิงสร้อยสอางค์ พิกุลสด ผู้อำนวยการศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ เปิดเผยว่า ด้วยขณะนี้ ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย ประสบปัญหาจัดหาโลหิตไม่ได้ตามเป้าหมาย คือ จะต้องได้รับโลหิตบริจาควันละอย่างน้อย 1,500 ยูนิต จึงจะเพียงพอสำหรับผู้ป่วย แต่สถานการณ์โลหิตตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน2555 เป็นต้นมา จนถึงขณะนี้ พบว่ามีผู้บริจาคโลหิตลดลง จากเดิมที่ได้รับโลหิตบริจาควันละ 1,500 - 2,000 ยูนิต เหลือเพียงวันละ 1,200 ยูนิต ทำให้ไม่มีโลหิตสำรองคงคลัง ซึ่งตามมาตรฐานต้องมีโลหิตสำรอง วันละอย่างน้อย 3,000 ยูนิต จึงจะเพียงพอสำหรับผู้ป่วย

ในขณะที่ยอดการขอใช้โลหิตสำหรับรักษาผู้ป่วยของโรงพยาบาลต่างๆทั้งกรุงเทพฯ ปริมณฑล และ จังหวัดใกล้เคียงกว่า 120 แห่ง มีจำนวนเพิ่มสูงเกิน 2 เท่าของโลหิตที่ได้รับบริจาค คือวันละ 5,000 ยูนิต แต่ศูนย์บริการโลหิตฯ สามารถจ่ายโลหิตให้ได้เพียงวันละ ประมาณ 1,400 ยูนิต เท่านั้น จึงขอวอนประชาชนร่วมบริจาคโลหิตเพื่อช่วยเหลือผู้ป่วยจำนวนมาก บริจาคโลหิต ได้ที่ ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ ถนนอังรีดูนังต์

เวลาเปิดรับบริจาคโลหิต

วันจันทร์, พุธ, ศุกร์ เวลา 08.00-16.30 น.
วันอังคารและพฤหัสบดี เวลา 07.30-19.30 น.
วันเสาร์-อาทิตย์และวันหยุดนักขัตฤกษ์ เวลา 08.30-15.30 น
.
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่

ฝ่ายประชาสัมพันธ์และจัดหาผู้บริจาคโลหิต โทร. 02-256-4300 , 02-263-9600-99 ต่อ 1101

คุณสมบัติผู้บริจาคโลหิต

1. มีน้ำหนัก 45 กิโลกรัมขึ้นไป
2. อายุระหว่าง 17 ปี ถึง 70 ปีบริบูรณ์
- ถ้าเป็นผู้บริจาคครั้งแรกต้องอายุไม่เกิน 55 ปี
- ถ้าอายุ 17 ปี ต้องมีหนังสือยินยอมจากผู้ปกครอง
- ถ้าอายุ 60-70 ปี ต้องมีหนังสือรับรองจากแพทย์
3. มีสุขภาพสมบูรณ์แข็งแรง ไม่มีโรคประจำตัว ไม่อยู่ระหว่างไม่สบายหรือรับประทานยาใดๆ
4. ไม่มีพฤติกรรมเสี่ยงทางเพศ หรือติดยาเสพติด
5. สตรีไม่อยู่ในระหว่างตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร และไม่มีการคลอดบุตรหรือแท้งบุตรภายใน 6 เดือนที่ผ่านมา

การเตรียมตัวก่อนบริจาคโลหิต

- นอนหลับให้เพียงพอ ในเวลาปกติคืนก่อนวันบริจาค
- รับประทานอาหารที่มีธาตุเหล็กสูง และยาธาตุเหล็กเพิ่ม
- รับประทานอาหารมื้อหลักก่อนมาบริจาคโลหิต หลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมันสูง เนื่องจากจะทำให้สีของพลาสมาผิดปกติเป็นสีขาวขุ่น ไม่สามารถนำไปใช้ได้
- ดื่มน้ำ 3-4 แก้ว และเครื่องดื่มเหลวเพิ่ม เช่น น้ำผลไม้ นม น้ำหวาน เพื่อเพิ่มปริมาณ โลหิตในร่างกาย จะช่วยป้องกันอาการแทรกซ้อน เช่น มึนงง อ่อนเพลีย หรือวิงเวียนศีรษะภายหลังบริจาคโลหิต
- ไม่มีอาการมึนเมาจากการดื่มแอลกอฮอล์ หรืออื่นๆ ขณะบริจาคโลหิต
- สวมใส่เสื้อผ้าที่แขนเสื้อไม่คับเกินไป สามารถดึงขึ้นเหนือข้อศอกได้อย่างน้อย 3 นิ้ว
- เลือกแขนข้างที่เส้นโลหิตดำใหญ่ชัดเจน ที่สามารถให้โลหิตไหลลงถุงได้ดี ผิวหนังบริเวณที่จะให้เจาะ ไม่มีผื่นคัน หรือรอยเขียวช้ำ ถ้าแพ้ยาทาฆ่าเชื้อ เช่น แอลกอฮอล์ ให้แจ้ง เจ้าหน้าที่ทราบล่วงหน้า
- ทำตัวตามสบาย อย่ากลัว หรือวิตกกังวล
- ไม่ควรเคี้ยวหมากฝรั่ง หรืออมลูกอมขณะบริจาคโลหิต
- ขณะบริจาคควรบีบลูกยางอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้โลหิตไหลได้สะดวก หากมีอาการ ผิดปกติ เช่น ใจสั่น วิงเวียน มีอาการคล้ายจะเป็นลม อาการชา อาการเจ็บที่ผิดปกติ ต้องรีบแจ้งให้พยาบาลหรือเจ้าหน้าที่ในบริเวณนั้นทราบทันที
- หลังบริจาคโลหิตเสร็จเรียบร้อย ห้ามลุกทันที ให้นอนพักสักครู่จนกระทั่งรู้สึกสบายดี จึงลุกไปดื่มน้ำ และรับประทานอาหารว่างที่จัดไว้รับรองหลังบริจาคโลหิต
- ดื่มน้ำมากกว่าปกติ เป็นเวลา 1-2 วัน
- หลีกเลี่ยงการทำซาวน่า หรือออกกำลังกายที่ต้องเสียเหงื่อมากๆ งดใช้กำลังแขนข้างที่เจาะ รวมถึงการหิ้วของหนักๆ เป็นเวลา 24 ชั่วโมง ภายหลังการบริจาคโลหิต
- ถ้ามีอาการเวียนศีรษะคล้ายจะเป็นลม หรือรู้สึกผิดปกติ ให้รีบนั่งก้มศีรษะต่ำระหว่างเข่า หรือนอนราบยกเท้าสูงจนกระทั่งมีอาการปกติจึงลุกขึ้น และเดินทางกลับ ป้องกันอุบัติเหตุจากการล้ม
- ถ้ามีโลหิตซึมออกมาจากรอยผ้าปิดแผล อย่าตกใจ ให้ใช้นิ้วมืออีกด้านหนึ่งกดลงบนผ้าก๊อส กดให้แน่นและยกแขนสูงไว้ประมาณ 3-5 นาที หากยังไม่หยุดซึมให้กลับมายังสถานที่บริจาคโลหิตเพื่อพบแพทย์หรือพยาบาล
- ผู้บริจาคโลหิตที่ทำงานปีนป่ายที่สูง หรือทำงานเกี่ยวกับเครื่องจักรกล ควรหยุดพัก 1 วัน
- รับประทานอาหารที่มีธาตุเหล็กสูง และยาธาตุเหล็กที่ได้รับวันละอย่างน้อย 1 เม็ด จนหมด เพื่อป้องกันการขาดธาตุเหล็ก

ข้อมูล : สภากาชาดไทย

=โมทนาบุญแด่ผู้บริจาคโลหิตทุกท่าน มา ณ ที่นี้ด้วยจ้า= สาธุๆๆ _/\_

B5 - War Room Falkman

 

JTWC ประกาศการสลายตัวของพายุดีเปรสชัน 25W แล้ว (RMNTS)



B5 - War Room Falkman

 

หากสลายตัวแล้วก็ดีครับ จะได้ไม่ต้องลุ้นเพราะกลัวซ้ำรอยแผลเก่า

 

14.24น. แผ่นดินไหวเวียดนาม ขนาด 4.7 ริกเตอร์



B5 - War Room Falkman

 

พึ่งเห็นเวียดนามมีแผ่นดินไหวด้วย....

 

เวียดนามเคยเกิดแผ่นดินไหวมาแล้วใกล้บริเวณเมือง Tamky ชายฝั่งทะเล
แผ่นดินไหวครั้งนี้เขยิบเข้ามาบนบนมากขึ้น ลองเข้าไปดูข้อมูลย้อนหลังได้จ้า


วัน-เวลา *ประเทศไทย ขนาด Lat. Long. ลึก(km.) Phase บริเวณที่เกิด
2012-11-15 14:24:14
2012-11-15 07:24:14 UTC 4.7 15.57 107.51 - 19 ประเทศเวียดนาม

2012-10-22 20:41:29
2012-10-22 13:41:29 UTC 5.2 15.37 108.72 - 13 ประเทศเวียตนาม

2012-10-16 09:30:05
2012-10-16 02:30:05 UTC 4.1 16.30 107.93 - 6 ประเทศเวียดนาม

แผ่นดินไหวในประเทศและใกล้เคียง

B5 - War Room Falkman