แกะรอยพระพุทธเจ้าในอดีต ทั้ง 3 พระองค์

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย ป้อม, 29 มีนาคม 2013.

  1. ป้อม

    ป้อม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กันยายน 2005
    โพสต์:
    233
    ค่าพลัง:
    +223
    ก่อนหน้าที่พระสมนโคดม หรือพระศรีศากยะมุณี องค์ปัจจุบันจะอุบัติขึ้นทุกท่านทราบกัน ณ ที่นี้ว่าก่อนหน้านั้นมีพระพุทธเจ้าล่วงมาแล้ว 3 พระองค์ในภัทรกัปนี้ นัี่นคือ 1 พระกุกุสันโธ(พระกุกุสันธัส) 2 โกนาคมโน(พระโกนะคมนะ) 3 กัสสโป (พระกัสสะปะ) จึงเกิดข้อถกเถียงกันว่า มนุษย์เรามีอรยธรรมแค่ 2 ล้านปีที่อุบัติขึ้นมา พระพุทธเจ้าทั้ง 3 พระองค์ก่อนจะอุบัติตรงไหนของโลก ในเมื่อโลกยุคนั้นไร้อรยธรรม ยังอยู่ป่าไม่มีการศึกษาพอไม่มีภาษา พระพุทธเจ้าเหล่านี้จะเกิดขึ้นมาได้อย่างไรในโลกนี้ จากการวิจัยของกระผมจากการหาแหล่งที่มาทางวิทยาศาสตร์จากการอ่านหนังสือให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ทั้งใบเบิล พระไตรปิดก และความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ รวมทั้งมนต์พิธีของพระพุทธเจ้า รวมทั้งไปบวชมา 1 พรรษา เป็นเวลา 8 เดือนก็ค้นพบว่า พระพุทธเจ้าทั้ง 3 พระองค์ก่อนไม่ได้อยู่ดาวเคราะห์โลก แต่อยู่ในเอกภพของเราราว 10,000 ล้านปีก่อน ซึ่งอายุของเอกภพเรามีอายุ 14,000 ล้านปี ณ ดาวเคราะห์ที่คล้ายโลกแห่งหนึ่ง นี่คือมงคลจักรวาลใหญ่ถ้าแปลตามฉันลักษณ์ไม่แปลตาม บาลี จะได้ดังนี้

    ..........สิริธิติมะติเตโชชะยะสิทธิมะหิทธิมะหาคุณาปะริมิตะปุญญาธิการัสสะ การเกิดมงคลหรือฤกษ์ดีอันยิ่งใหญ่ที่จะกำเนิดสรรพสิ่งต่าง ๆ ขึ้นบนเอกภพ สัพพันตะรายะนิวาระณะสะมัตถัสสะ สัพพะอันตรายในยุคป่ายุคหิน ภะคะวะโต ไหว้ฟ้าบ้างไหว้ดินบ้าง อะระหะโต รู้บ้างไม่รู้บ้าง
    สัมมาสัมพุทธัสสะ รู้ละ ท์วัตติงสะมะหาปุริสะลักขะณานุภาเวนะ มีบุรุษที่มีลักษณะสมบูรณ์ 32 ประการมาเกิด อะสีต์ยานุพ์ยัญชะนานุภาเวนะ เริ่มบัญญัตตัวอักษร อัฏฐุตตะระสะตะมังคะลานุภาเวนะ กษัตรย์องค์แรกครองบัลลังมีสนมมากมาย ฉัพพัณณะรังสิยานุภาเวนะ นางรังสิยาขึ้นมาโดยฉัพพลันแย่งบัลลังกษัตรย์ไป เกตุมาลานุภาเวนะ สาวน่ารักมาปราบรังสิยา ทะสะปาระมิตานุภาเวนะ สาวสวยครองอำนาจ ทะสะอุปะปาระมิตานุภาเวนะ ทายาทประมิตตาครองอำนาจ ทะสะปะระมัตถะปาระมิตานุภาเวนะ ต่อสู้กับปะระมิตตา สีละสะมาธิ
    ปัญญานุภาเวนะ ใช้ปัญญาวิเคราะห์เพื่อสันติ พุทธานุภาเวนะ ยุคพระพุทธเจ้าอุบัติ ธัมมานุภาเวนะ ยุคพระธรรมคำสอน สังฆานุภาเวนะ ยุคพระสงฆ์ครองอำนาจ เตชานุภาเวนะ ยุคเดชานุภาพพระมหากษัตรย์ อิทธานุภาเวนะ ยุคมืดของขลังและมนต์ดำ พะลานุภาเวนะ ยุคปฎิวัติอุสาหกรรม เญยยะธัมมานุภาเวนะ ยุคเย้ยกันด้วยแสนญานุภาพและธรรม จะตุราสีติสะหัสสะธัมมักขันธานุภาเวนะ ยุครุ่งเรืองมั่งคังทางเศรษฐกิจ นะวะโลกุตตะระธัมมานุภาเวนะ ยุคโลกุตระธรรม 9 แบ่งเป็นการปกครอง 9 จักรวรรดิ์
    อัฏฐังคิกะมัคคานุภาเวนะ 1 ปกครองด้วยมรรค์มีองค์ 8 อัฏฐะสะมาปัตติยานุภาเวนะ 2 อัฐฐะบริขาล 8 ชนิด ฉะฬะภิญญานุภาเวนะ 3 การโคลนมนุษย์ จะตุสัจจะญาณานุภาเวนะ 4 4 วีระบุรุษสาบานปกครองหมู่ดาว ทะสะพะละญาณานุภาเวนะ 5 การปกครองด้วยญานขจัดอาสวะกิเลศ 10 ประการ 6 สัพพัญญตะญาณานุภาเวนะ 6 การปกครองด้วยความกตัญญู เมตตาการุณามุทิตาอุเปกขานุภาเวนะ 7 พรมวิหาร 4
    สัพพะปะริตตานุภาเวนะ 8 การให้เครื่องจักรกลปกครองกันเอง ระตะนัตตะยะสะระณานุภาเวนะ การปกครองด้วยแก้วรัตนะ ตุยหัง สัพพะโรคะโสกุปัททะวะทุกขะโทมะนัสสุปายาสา วินัสสันตุ สัพพะ
    อันตะรายาปิ วินัสสันตุ สัพพะสังกัปปา ตุยหัง สะมิชฌันตุ ทีฆายุตา
    ตุยหัง โหนตุ สะตะวัสสะชีเวนะ สะมังคิโก โหตุ สัพพะทา ฯ อากาสะ-
    ปัพพะตะวะนะภูมิคังคามะหาสะมุททา อารักขะกา เทวะตา สะทา
    ตุม์เห อะนุรักขันตุ ฯ กล่าวถึงการท่องเที่ยวไปในจักรวาล มะหาสะมุททา แปลว่า ทางช้างเผือก เมือมนุษย์ถึงยุคสูงสุดจะสุขโสมนัสเป็นอย่างยิ่ง

    .......... พระพุทธเจ้ากล่าวถึงอายุ เอกภพ 10,000 โลกธาตุ ซึ่งเท่ากับ 1 มหากัป 1 มหากัปมี 4 อสงขัยกัป คือ 40 ยกกำลัง 140 ปี ดังนั้นกว่ากัปจะพินาจยังอีกนานแสนนาน 14,000 ล้านปียังไม่ถึง 1 ส่วนของอายุจริงจักรวาลเลย จึงสรุปได้ว่า พระพุทธเจ้าพระองค์ก่อน เกิดที่จักรวาลอื่นไม่ใช่่จักรวาลนี้ มนุษย์นั้น เคลื่นย้ายมาจากอรยธรรมอื่น ที่มีมาก่อนเราแตกออกมานั่นเอง จากกรทู้ http://palungjit.org/threads/%E0%B8%A1%E0%B8%99%E0%B8%B8%E0%B8%A9%E0%B8%A2%E0%B9%8C%E0%B8%95%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%94%E0%B8%B2%E0%B8%A7%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%94%E0%B8%95%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%AB%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B8%B1%E0%B8%87-%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%A3%E0%B8%9A%E0%B8%AD%E0%B8%81%E0%B8%A7%E0%B9%88%E0%B8%B2-%E0%B9%80%E0%B8%A1%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B9%84%E0%B8%AB%E0%B8%A3%E0%B9%88%E0%B8%88%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%9B.335715/ จึงพอจะรู้ว่าในอณาคตมนุษย์จะติดต่อกัปอณาจักรต่าง ๆ ได้และมีอายุขัยยืนยาวขึ้น ตามที่พระพุทธเจ้าบอก เป็น 80,000 ปี จนถึง 1 อสงขัย ยาวกว่าเทวดาและพรหม ส่วนพระศรีอาร์ คิดว่าโลกเราคงมอดไหม้เพราะด้วงอาทิตย์ไปนานแล้ว แล้วเราอพยพไปยังดาวดวงใหม่ พระศรีอาร์จึงอุบัติ ในโลกที่เหมือนพระพุทธเจ้า เพราะดวงอาทิตย์อีก 500 ล้านปีข้างหน้าจะใหญ่คับระบบสุริยะของเราและกลายเป็นหลุมดำในที่สุดตามกฎฟิสิกส์ ส่วนที่พระพุทธเจ้าบอกว่ามนุษย์เกิดจากพรหม จำพวกหนึ่งมากินง้วนดิน ก็คือมนุษย์ในยุคแรกของเอกภพ ปัจจุบันมนุษย์เหล่านั้นวิวัฒนาการเป็นเทคโนโลยีขั้นพระเจ้า และ พาวิญญาณอพยพมาสร้างโลกเราอีกทีหนึ่งนั่นเอง
     
  2. chuchart_11

    chuchart_11 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    764
    ค่าพลัง:
    +2,932
    ขออนุโมทนาสาธุ ธรรมใดที่ท่านสำเร็จแล้ว ขอข้าพเจ้าสำเร็จด้วยเทอญ สาธุๆๆ
     
  3. Pothipong

    Pothipong สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    1
    ค่าพลัง:
    +3
    เอาเวลามาชำแรกกิเลสในจิตดีกว่าไหม

    ดูที่เขียนมาแล้วอาจจะไม่จริง หรือจริง แต่ความเห็นผมว่าไม่ใช่จากหลักฐานรอยพระพุทธบาทพระพุทธเจ้า 4 พระองค์ อันที่จริงไม่ใช่เรื่องที่ต้องไปคิดให้ไกลเอาเวลามาชำแรกกิเลสในจิตดีกว่าไหม
     
  4. wat48

    wat48 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 เมษายน 2012
    โพสต์:
    22
    ค่าพลัง:
    +448
    อนุโมทนาบุญกับ จขกท ครับท่านศึกษามาดี แต่ต้องอ่านตำราให้มากกว่านี้ครับ เช่น ไตรภูมิพระร่วง หรือเนื้อหาในพระไตรปิฎก"ช่วงกำเนิดโลก"แล้วจึงค่อยสรุปลงไป อย่าได้อนุมานเอาเอง แปลภาษาบาลีเอง เดี๋ยวความเห็นชอบ จะผิดองศาไปกันใหญ่
     
  5. thontho

    thontho เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    398
    ค่าพลัง:
    +612
    ลองพิมพ์ สมเด็จโตเทศน์กัณฑ์เปิดโลก จะเข้าใจ
     
  6. เล็กชิ้นสด

    เล็กชิ้นสด เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 เมษายน 2012
    โพสต์:
    38
    ค่าพลัง:
    +178
    ขออนุญาตท่าน

    ขอตอบดังนี้ครับ
    1. เรื่องตัวเลขอายุจักรวาล ผมจะบอกให้รู้ไว้ว่าเราอาจระบุได้แน่นอนครับ อันเนื่องมาจาก ปัจจัยหลาย ๆอย่าง ซึ่งทฤษฎี เทคโนโลยี เรายังไปไม่ถึง
    2. เราต้องยอมรับว่า เรื่องการมีจุดกำเนิดจักรวาล มันสอดคล้องกับ วัฒนธรรมศาสนาของทางตะวันตก ก็คือเรืองพระเจ้าสร้างโลก (พยายามสร้างความน่าเชื่อถือเพื่อประโยชน์ในการเผยแพร่ศาสนา )
    3. ถามว่า เอ้าแล้วมันไม่จริงหรือที่จักรวาลขยายตัว หลักฐานมากมาย
    ทั้งภาพถ่าย ฮับเบิ้ล ยิงควากซ์ นิวตริโน ฯลฯ
    ต้องตอบสั้นๆ เข้าใจง่าย ๆว่า มนุษย์เรายังรู้ไม่หมด เหมือนกบในกะลาละครับ เราจะไปตัดสิน ด้วยข้อมูลเท่านี้ไม่ได้ มันเหมือนสมัยหนึ่งที่เรายังเชื่อว่าโลกแบนนั้นแหละ ใครไปค้านเข้านี้ โดน..


    ขอตอบดังนี้ครับ
    1. ขออนุญาตคัดลอกมาให้อ่านครับ จาก 11111.html ขอบคุณครับ

    แต่อย่าพึ่งไปเชื่อหนา ดูเป็นข้อมูล แล้วค่อยพิจารณา

    การนับเวลาเป็น...อสงไขย...เขานับกันอย่างไร


    เรื่องของอสงไขย


    เป็นเรื่องของการนับเวลา ของอสงไขย คุณ คนธรรมดา ได้พยายามหาคำตอบมาให้อ่าน อย่างมาก แต่หลังจากผมอ่านแล้ว พบว่า มีการแก้ไขอยู่มาก(พี่คนธรรมดา เป็นคนพบข้อบกพร่องและแก้ไขอันนั้นเองนะครับ) ประกอบกับเรื่องนี้เป็นเรื่องที่น่าสนใจอยู่มาก และเป็นเรื่องที่ผมเองก็ใคร่อยากจะรู้อยู่ไม่น้อย

    หลังจากได้อ่านกระทู้นั้นแล้ว ก็ได้พยายามค้นหา ข้อมูลเท่าที่ผมจะมี และนำมาทำสรุปให้ เพื่อ เพื่อนๆ พี่ๆ และน้องๆ ท่านใดสนใจ จะได้นำไปใช้ประโยชน์ได้อีกต่อหนึ่ง

    การนับ อสงไขย นั้น จะต้องรู้จักกับคำหลายคำต่อไปนี้นะครับ....

    1. อสงไขยปี

    2. รอบอสงไขยปี

    3. อันตรกัป

    4. อสงไขยกัป

    5. มหากัป

    คำทั้งหมดนั้นมีความหมาย

    และมีความสัมพันธ์ กันดังนี้ครับ

    1 รอบอสงไขยปี เป็น 1 อันตรกัป

    64 อันตรกัป เป็น 1 อสงไขยกัป

    4 อสงไขยกัป เป็น 1 มหากัป



    อสงไขยปี เป็นอย่างไร


    ในยุคแรกๆ มนุษย์นั้น จะมีอายุขัยที่ยืนยาวมาก คือจะมีอายุ เท่ากับ เอาเลข 1 นำหน้า แล้วตามด้วยเลข 0 อีก 140 ตัว จำนวนทั้งหมดนี้แหละครับที่เขาเรียกกันว่า อสงไขยปี



    หนึ่งรอบอสงไขยปี เป็นอย่างไร


    ในทุก 100 ปี มนุษย์เราจะมีอายุขัยสั้นลง 1 ปี และจะเป็นอยู่อย่างนี้เรื่อยมา คือ จะมีอายุขัยสั้นลงๆ จนกว่าจะมีอายุขัยที่ต่ำสุด คือ 10 ปี การลดลงของอายุขัยก็จะหยุดลง และจะเริ่มต้น การมีอายุที่ยืนยาวขึ้น จาก 10 ปี เป็น 11 ปี โดยใช้วิวัฒนาการ ทุกๆ 100 ปีเช่นกัน และจะมีการพัฒนาเช่นนี้ ต่อไปเรื่อยๆ

    จนกว่า อายุ จะเท่ากับ อสงไขยปี เช่นเดิม คือ 1 แล้วตามด้วย 140 ศุนย์ กำหนดระยะเวลาทั้งหมดนี้ เราเรียกว่า หนึ่งรอบอสงไขยปี และการที่ครบรอบหนึ่งอสงไขยปีนี้แหละ ก็จะเท่ากับ หนึ่ง อันตรกัป



    อสงไขยกัป เป็นอย่างไร


    เมื่อนับจำนวนอันตรกัป ตามที่พูดมานั้น ได้ครบ 64 อันตรกัป นั้น จึงเรียกว่า อสงไขยกัป

    ทีนี้ผมขอขยายความ คำว่า อสงไขยกัป นิดหนึ่งนะครับ

    อสงไขยกัปนี้ มีอยู่ 4 อสงไขยกัป ด้วยกัน โดยแบ่งเป็นตอนๆ ดังนี้ คือ

    1. สังวัฏฏอสงไขยกัป เป็นอสงไขยกัป ที่ปรากฏในตอนที่โลกถูกทำลาย ซึ่งได้แก่คำว่า สงวฏฏตีต สงวัฏโฏ คือ กัปที่กำลังพินาศอยู่

    2. สังวัฏฏฐายีอสงไขยกัป เป็นอสงไขยกัป ที่ปรากฏในตอนที่โลกถูกทำลายเสร็จเรียบร้อยแล้ว ซึ่งได้แก่คำว่า สงวฏโฏ หุตวา ติฏฐตีติ สงวฏฏฐยี คือ กับที่มีแต่ความพินาศตั้งอยู่

    3. วิวัฏฏอสงไขยกัป เป็นอสงไขยกัป ที่ปรากฏในตอนที่โลกกำลังจะเริ่มพัฒนาเข้าสู่สภาวะปกติซึ่งได้แก่คำว่า วิวฏฏตีติ วิวฏโฏ คือกัปที่กำลังเริ่มเจริญขึ้น

    4. วิวัฏฏฐายีอสงไขยกัป เป็นอสงไขยกัป ที่ปรากฏในตอนที่โลกเจริญขึ้น พัฒนาเรียบร้อยเป็นปกติตามเดิมแล้ว ซึ่งได้แก่คำว่า วิวฏโฏ หุตวา ติฏฐตีติ วิวฏฏฐายี คือกัปที่เจริญขึ้น พร้อมแล้วทุกอย่างตั้งอยู่ตามปกติ

    ทีนี้มีข้อควรทราบไว้คือ สัตว์โลกทั้งหลายเช่นมนุษย์และเดียรฉาน เป็นต้น จะมีชีวิตอยู่ในโลกนี้ได้ก็เฉพาะตอน อสงไขยกัปสุดท้าย คือ วิวัฏฏฐายีอสงไขยกัปนี้เท่านั้น ส่วนในตอน 3 อสงไขยกัปข้างต้น จะไม่มีสิ่งที่มีชีวิตอาศัยอยู่ในโลกนี้เลย



    มหากัป เป็นอย่างไร


    เมื่อนับจำนวนทั้ง 4 อสงไขยรวมกัน เราจะเรียกว่า 1 มหากัป คือ

    1. สังวัฏฏอสงไขยกัป นานถึง 64 อันตรกัป

    2. สังวัฏฏฐายีอสงไขยกัป นานถึง 64 อันตรกัป

    3. วิวัฏฏอสงไขยกัป นานถึง 64 อันตรกัป

    4. วิวัฏฏฐายีอสงไขยกัป นานถึง 64 อันตรกัป

    รวม 4 อสงไขยกัป ก็เป็น 256 อันตรกัป ซึ่งจะเท่ากับ 1 มหากัป

    แต่ทีนี้เวลาบอกว่า พระพุทธเจ้าได้บำเพ็ญเพียร สั่งสมบารมี เป็น 4 อสงไขยกับหนึ่งแสนมหากัป นั้น คำว่า อสงไขยในที่นี้ หมายถึง การนับจำนวนของมหากัป เป็นอสงไขย กับ อีกหนึ่ง แสน มหากัป ครับ

    ตรงนี้แหละครับที่ผมเองก็ยังไม่ค่อยเข้าใจสักเท่าไหร่ว่า การนับ จำนวนของ มหากัปได้ เท่ากับ อสงไขยนั้น เป็นจำนวนเท่าไหร่ ขอฝากไว้ให้ลองคิดกันดูแล้วกันนะครับ

    หมายเหตุ คำว่ากัปและกัลนั้น ต่างก็มีความหมายเหมือนกัน แตกต่างกันที่ คำหนึ่งเป็น ภาษาบาลี อีกคำหนึ่งเป็น ภาษาสันสกฤต แต่ไม่แน่ใจว่าคำใดเป็นบาลี คำใดเป็นภาษาสันสกฤต

    แหล่งข้อมูล จากหนังสือชื่อ ศาสตร์ว่าด้วยการเป็นพระพุทธเจ้า (มุนีนาถทีปนี) สำนักพิมพ์ คณะสังคมผาสุก ผู้แต่ง พระเทพมุนี (วิลาส ญาณวโร) ISBN: 974-7437-92-9

    ในเรื่องของมหากัป นั้น มีการแบ่งมหากัป ออกเป็น 2 ประเภท คือ

    1. ประเภทที่ มีพระพุทธเจ้าลงมาตรัสรู้ เรียกว่า อสุญกัป

    2. ประเภทที่ไม่มี พระพุทธเจ้าลงมาตรัสรู้ สุญกัป

    อสุญกัป คือ กัปที่ไม่สูญจากพระพุทธเจ้า อีกทั้งยังรวมถึง การที่จะมีพระปัจเจกพระพุทธเจ้า พระอริยบุคคล และพระจักรพรรดิ จะได้มาอุบัติในมหากัปดังกล่าวนี้ด้วย

    ในทางตรงกันข้าม สุญกัปคือ กัปที่ไม่มีบุคคลผู้วิเศษเหล่านี้เลย

    หากพูดถึงเรื่องอสุญกัปแล้ว ไม่กล่าวถึงเรื่องต่อไปนี้คงจะไม่ครบถ้วนกระบวนความนะครับ

    ในบรรดาอสุญกัปนั้น คือกัปที่มีพระพุทธเจ้ามาตรัสรู้ ยังมีชื่อเรียกตามจำนวนสมเด็จพระพุทธเจ้าที่เสด็จมาตรัสรู้อีก ดังต่อไปนี้

    1. สารกัป อสุญกัปใดที่มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาตรัสรู้เพียง 1 พระองค์ อสุญกัปนั้นเรียกว่า สารกัป

    2. มัณณฑกัป อสุญกัปใดที่มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาตรัสรู้เพียง 2 พระองค์ อสุญกัปนั้นเรียกว่า มัณฑกัป

    3. วรกัป อสุญกัปใดที่มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาตรัสรู้เพียง 3 พระองค์ อสุญกัปนั้นเรียกว่า วรกัป

    4. สารมัณฑกัป อสุญกัปใดที่มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาตรัสรู้เพียง 4 พระองค์ อสุญกัปนั้นเรียกว่า สารมัณฑกัป

    5. ภัทรกัป อสุญกัปใดที่มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาตรัสรู้ 5 พระองค์ อสุญกัปนั้นเรียกว่า ภัทรกัป

    ในกัป ประเภทสุดท้ายนี้ เป็นกัปที่ประเสริฐที่สุด คือมี พระพุทธเจ้าเสด็จมาตรัส มากที่สุด ด้วยเหตุนี้ เหล่าสัตว์โลก คือ มนุษย์และเทวดาอินทร์ พรหม ผู้ที่มีจิตเป็นกุศลโสภณ ปฏิสนธิด้วยไตรเหตุ ประกอบไปด้วยบุญวาสนาบารมี ย่อมสามารถที่จะกระทำอาสวะกิเลส ให้สูญสิ้นไปจากขันธสัน-ดาน แห่งตนโดยชุกชุม เป็นกัปที่หาได้โดยยากยิ่ง นานแสนนาน จึงจักปรากฏมีในโลกเรานี้สักครั้งหนึ่ง ท่านจึงขนานนามอสุญกัปนี้ว่า ภัทรกัป = กัปที่เจริญที่สุด



    อายุของเหล่าเทวดา


    เทวดาที่จะพูดถึงนี้คือ เทวดาที่อยู่ในชั้นกามวจรทั้ง 6 ชั้น ต่อไปนี้

    1. สวรรค์ชั้น จาตุมมหาราชิกา มีอายุ 500 ปีสวรรค์

    2. สวรรค์ชั้น ดาวดึงส์ มีอายุ 1,000 ปีสวรรค์

    3. สวรรค์ชั้น ยามา มีอายุ 2,000 ปีสวรรค์

    4. สวรรค์ชั้น ดุสิต มีอายุ 4,000 ปีสวรรค์

    5. สวรรค์ชั้น นิมมานรดี มีอายุ 8,000 ปีสวรรค์

    6. สวรรค์ชั้น ปรนิมมิตวสวัตตี มีอายุ 16,000 ปีสวรรค์

    ปัญหาต่อไปคือ ใน 1 วันสวรรค์ของ สวรรค์แต่ละชั้น มีระยะเวลาเมื่อเทียบกับระยะเวลาในโลกมนุษย์ไม่เท่ากันดังนี้

    1. 1 วันของสวรรค์ชั้น จาตุมมหาราชิกา เท่ากับ 50 ปีโลกมนุษย์

    2. 1 วันของสวรรค์ชั้น ดาวดึงส์ เท่ากับ 100 ปีโลกมนุษย์

    3. 1 วันของสวรรค์ชั้น ยามา เท่ากับ 200 ปีโลกมนุษย์

    4. 1 วันของสวรรค์ชั้น ดุสิต เท่ากับ 400 ปีโลกมนุษย์

    5. 1 วันของสวรรค์ชั้น นิมมานรดี เท่ากับ 800 ปีโลกมนุษย์

    6. 1 วันของสวรรค์ชั้น ปรนิมมิตวสวัตตี เท่ากับ 1,600 ปีโลกมนุษย์

    เพราะฉะนั้น อายุของเทวดาในสวรรค์ชั้นต่างๆ ถ้าจะเทียบกับเวลาในมนุษย์จะได้ดังนี้

    1. ชั้น จาตุมมหาราชิกา เท่ากับ 9 ล้านปีมนุษย์ (500 ปีสวรรค์ * 12 เดือน * 30 วัน * 50ปีมนุษย์ )

    2. ชั้น ดาวดึงส์ เท่ากับ 36 ล้านปีมนุษย์ (1,000 ปีสวรรค์ * 12 เดือน * 30 วัน * 100ปีมนุษย์ )

    3. ชั้นยามา เท่ากับ 144 ล้านปีมนุษย์ (2,000 ปีสวรรค์ * 12 เดือน * 30 วัน * 200ปีมนุษย์ )

    4. ชั้น ดุสิต เท่ากับ 576 ล้านปีมนุษย์ (4,000 ปีสวรรค์ * 12 เดือน * 30 วัน * 400ปีมนุษย์ )

    5. ชั้น นิมมานรดี เท่ากับ 2,304 ล้านปีมนุษย์ (8,000 ปีสวรรค์ * 12 เดือน * 30 วัน * 800ปีมนุษย์ )

    6. ชั้น ปรนิมมิตวสวัตตี เท่ากับ 9,216 ล้านปีมนุษย์ (16,000 ปีสวรรค์ * 12 เดือน * 30 วัน * 1,600ปีมนุษย์ )

    ข้อมูลนี้ได้มาจากตำรา ผมไม่แน่ใจว่า ตำราที่ผมอ่านนั้น มีความถูกต้องแม่นยำแค่ไหน ฝากไว้ให้ผู้รู้ช่วยตรวจสอบด้วยแล้วกันครับ

    @ จากคุณกวางน้อย @

    ***เพิ่มเติมในส่วนที่ยังขาดไปหน่อยนะครับ ***

    คำว่า อสงไขย นั้นมี ๒ ความหมาย คือในแง่ที่เป็นตัวเลขสังขยา คือ ตัวเลขที่นับได้ ก็หมายถึงจำนวน ๑ ตามด้วย ๐ อีก ๑๔๐ ตัว ตามที่อธิบายไว้แล้ว แต่ในแง่ที่เป็นอุปมา มันมากมายถึงขั้นนับไม่ได้ นับไม่ไหวแล้ว เอาพระพรหมจากพรหมโลกมานับท่านก็นับไม่ไหว คือมากกว่า ๑ ตามด้วย ๐ อีก ๑๔๐ ตัวไปแล้วครับ

    คราวนี้ก็สงสัยว่าพระโพธิสัตว์ท่านบำเพ็ญปรมัตถบารมีในช่วง ๔ อสงไขยกับเศษแสนมหากัปสุดท้ายนี่นับกันยังไง เขาไม่นับกันเป็นตัวเลขแล้วครับ เพราะนับไม่ได้อย่างที่บอก แต่เขาใช้วิธีนับเป็นช่วงแทน ในช่วง ๔ อสงไขยกับเศษแสนมหากัปสุดท้ายนี้ ล้วนแล้วแต่เป็นสุญอสงไขยครับ คือแต่ละกัปที่ผ่านไปนี่ไม่มีพระพุทธเจ้ามาอุบัติเลย

    ย้อนกลับไปอสงไขยที่ ๕ ก่อนโน้นเป็นอสุญอสงไขย เรียกว่า สัพพผาละอสงไขย มีพระพุทธเจ้ามาอุบัติ ๒,๐๐๐ พระองค์ เมื่อพระองค์ปรินิพพานไปแล้ว กัปก็สูญสิ้นไป แล้วก็เกิดสุญกัปจำนวนหนึ่ง

    .....จากนั้นก็มีสารมัณฑกัปหนึ่ง มีพระพุทธเจ้าอุบัติ ๔ พระองค์ คือ พระตัณหังกร พระเมทังกร พระสรณังกร และพระทีปังกร กัปนี้เขาเรียกว่ากัปแทรก เป็นกัปต้นของอสงไขยที่ ๔ ย้อนหลังไปครับ เพราะพอสิ้นกัปนี้ไปแล้ว ก็เกิดเป็นสุญกัปจำนวนเท่ากับ ๑ ๒ ๓ ....... จนถึง ๑ ตามด้วย ๐ อีก ๑๔๐ ตัว แล้วก็ยังต่อไปอีกแบบนับไม่ได้ นี่แหละครับเรียกว่าอสงไขย อสงไขยนี้ชื่อว่าเสละอสงไขย แล้วเสละอสงไขยสิ้นสุดกันตรงไหน สิ้นสุดอสงไขยนี้ตรงที่มีกัปหนึ่งมาคั่นอยู่ เรียกว่า สารกัป มีพระพุทธเจ้าอุบัติ ๑ พระองค์ คือ พระโกณฑัญญะ

    เมื่อพระองค์ปรินิพพานไปแล้ว กัปก็สูญสิ้นไป แล้วก็เกิดสุญกัปจำนวนมาก จำนวนเท่ากับ ๑ ๒ ๓ ....... จนถึง ๑ ตามด้วย ๐ อีก ๑๔๐ ตัว แล้วก็ยังต่อไปอีกแบบนับไม่ได้ นี่เป็นอีกอสงไขยหนึ่ง อสงไขยนี้ชื่อว่าภาสะอสงไขย แล้วภาสะอสงไขยสิ้นสุดกันตรงไหน สิ้นสุดตรงมีสารมัณฑกัปหนึ่งมาแทรกอยู่ มีพระพุทธเจ้ามาอุบัติอีก ๔ พระองค์ คงพอเข้าใจคำว่าอสงไขยกันนะครับ ถ้าถามว่า แต่ละอสงไขยนี่มันยาวนานเท่ากันไหม ไม่เท่ากันครับ เพราะมันเป็นเพียงอุปมา ไม่สามารถบอกระยะเวลาจริงๆ ได้ อสงไขยหนึ่งอาจจะนานกว่าอีกอสงไขยหนึ่งเป็น ๒ เท่าก็ได้ครับ แต่ที่แน่ๆ คือนานจริงๆ ครับ
    จากคุณ อังคาร

    ดังนั้น ถ้าพิจารณาจากข้อความด้านบน การระบุว่า
    ก็จะไม่ตรงกันนะครับ
     
  7. Giew

    Giew Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มีนาคม 2013
    โพสต์:
    30
    ค่าพลัง:
    +34
    ข้อมุลของคุณยังไม่ตรงน๊ะ ไม่ชัดเจนน๊ะ สอนผิดให้ความรู้ผิดบาปนะ มันต้องให้ถูกทั้งหมด ถึงจะดี ข้อมูลดังกล่าวใครถ่ายถอดไว้ ก็ไม่ได้พูดถึง การอธิบาย ทำให้สับสน วกไปวนมา ถ้าคิดดีทำดี ต้องให้จัดแก้ไขถูกต้อง
     
  8. DuchessFidgette

    DuchessFidgette เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    2,607
    ค่าพลัง:
    +9,301
    โลกเกิดดับมาก่อนโลกปัจจุบันที่เราอยู่ แต่ก็อีกถ้าโลกเกิดดับละพระพุทธเจ้าท้ง 3 พระองค์ ประสูติขึ้นมาในโลกใบก่อนที่โลกเราจะเกิด พระนาม และ อะไรต่างๆก็น่าจะเป็นอีกภาษา อีกภาษาวัฒนธรรม ไม่ใช่สันสกฤษอย่างที่เห็น เรื่องแบบนี้ไม่ขอ ออกความเห็นแล้วกัน เพราะไม่มีความรู้พอ เพราะ
    ขนาดพระอนิลมาล หลานราชวงค์ศากยะเอง ยังบอกว่า ของบางอย่างคนโบราณเขาแต่งเพิ่มให้เป็นนิทาน น่าสนใจ อย่างเรื่องเหาะได้ เพราะถ้าทำได้กันจริงๆ วิทยาศาตร์ต้องเปิดเผยออกมาแล้ว จะมาปดกันอยุ่ทำไม ถ้ามีจริงมาโชว์ให้เห็นกันทั้งโลก ให้คนที่ไม่เชื่อเกิดความศรัทธา แล้วอยากปฏิบัติตามไม่ดีกว่าหรือ.....เราเอาแค่พิสูจน์และปฏิบัติตามเพื่อให้หลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดดีกว่า
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 มีนาคม 2013
  9. phataravudh

    phataravudh เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    465
    ค่าพลัง:
    +2,440
    ท่านเจ้าของกระทู้ ความรู้ที่ท่านมี เพียงเส้นผมแบ่งเป็นล้านซีก แถมยังแปลบทสวดมงคลจักรวาลใหญ่ผิดชะอีก วิสัยของพระพุทธเจ้า ปุถุชนคนธรรมดา ที่มีกิเลส ตัณหา ราคะ ห่อหุ้มอยู่ ไหนจะรู้ได้ แม้แต่พระอรหันตสาวกท่านยังไม่สามารถหยั่งถึง แม้แต่ภิกษุผู้เป็นเลิศทิพพจักษุญาณที่รู้วาระจิตของพระพุทธเจ้าไ้ด้ก็มีเพียงองค์เดียว คือพระอนุรุทธะ ไหนท่านต้องเอาความรู้ผิดๆ ไปเผยแพร่บอกกล่าวคนอื่น บิดเบือนพระพุทธศาสนา กรรมนั้นจะตามทันคุณในชาตินี้อีกไม่นาน.....สัมปจิตฉามิ สัมปติสฉามิ

    มงคลจักรวาลใหญ่ พร้อมคำแปล

    สิริธิติมะติเตโชชะยะสิทธิมะหิทธิมะหาคุณาปะระมิตะปุญญาธิการัสสะ
    สัพพันตะรายะนิวาระณะสะมัตถะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ ทวัตติงสะมะหาปุริสะลักขะณานุภาเวนะ
    อะสีตตะยานุพยัญชะนานุภาเวนะ อัฏฐุตตะระสะตะมังคลานุภาเวนะ ฉัพพันณะรังสิยานุภาเวนะ เกตุมาลานุภาเวนะ
    ทะสะปาระมิตานุภาเวนะ ทะสะอุปะปาระมิตานุภาเวนะ ทะสะปะระมัตถะปาระมิตานุภาเวนะ
    สีละสะมาธิปัญญานุภาเวนะ พุทธานุภาเวนะ ธัมมานุภาเวนะ สังฆานุภาเวนะ
    เตชานุภาเวนะ อิทธานุภาเวนะ พะลานุภาเวนะ เญยยะธัมมานุภาเวนะ
    จะตุราสีติสะหัสสะธัมมักขันธานุภาเวนะ นะวะโลกุตตะระธัมมานุภาเวนะ อัฏฐังคิกะมัคคานุภาเวนะ อัฏฐะสะมาปัตติยานุภาเวนะ
    ฉะฬะภิญญานุภาเวนะ จะตุสัจจะญาณานุภาเวนะ ทะสะพะละญาณานุภาเวนะ สัพพัญญุตตะญาณานุภาเวนะ
    เมตตากะรุณามุทิตาอุเบกขานุภาเวนะ สัพพะปะริตตานุภาเวนะ ระตะนัตตะยะสะระณานุภาเวนะ
    ตุยหัง สัพพะโรคะโสกุปัททะวะทุกขะโทมะนัสสุปายาสา วินัสสันตุ
    สัพพะอันตะรายาปิวินัสสันตุ สัพพะสังกัปปา ตุยหัง สะมิชฌันตุ
    ทีฆายุตา ตุยหัง โหตุ สะตะวัสสะชีเวนะ สะมังคิโก โหตุ สัพพะทา
    อากาสะปัพพะตะวะนะภูมิคังคามะหาสะมุททา อารักขะกา เทวะตา สะทา ตุมเห อะนุรักขันตุ

    คำแปลมงคลจักรวาลใหญ่

    ด้วยอานุภาพแห่งพระมหาปุริสลักษณะ ๓๒ ประการ แห่งพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เป็นพระอรหันต์ผู้ตรัสรู้ชอบโดยพระองค์เอง
    ผู้มีบุญญาธิการอันกำหนดมิได้ ด้วยพระฤทธิ์อันใหญ่ และพระคุณอันใหญ่
    สำเร็จด้วยพระสิริ พระปัญญาเป็นเครื่องตั้งมั่น พระปัญญาเป็นเครื่องรู้ พระเดชและพระชัย ผู้สามารถห้ามสรรพอันตราย
    ด้วยอานุภาพแห่งอนุพยัญชนะ ๘๐ ด้วยอานุภาพแห่งมงคล ๑๐๘ ประการ ด้วยอานุภาพแห่งพระรัศมีมีพรรณ ๖ ประการ
    ด้วยอานุภาพแห่งพระเกตุมาลา
    ด้วยอานุภาพแห่งพระบารมี ๑๐ ประการ ด้วยอานุภาพแห่งพระอุปปารมี ๑๐ ประการ ด้วยอานุภาพแห่งพระปรมัตถปารมี ๑๐ ประการ
    ด้วยอานุภาพแห่งศีล สมาธิ ปัญญา ด้วยอานุภาพแห่งพระพุทธรัตนะ ด้วยอานุภาพแห่งพระธรรมรัตนะ ด้วยอานุภาพแห่งพระสังฆรัตนะ
    ด้วยอานุภาพแห่งพระเดช ด้วยอานุภาพแห่งพระฤทธิ์ ด้วยอานุภาพแห่งพระกำลัง ด้วยอานุภาพแห่งพระเญยยธรรม
    ด้วยอานุภาพแห่งพระธรรมขันธ์ ๘ หมื่น ๔ พัน ด้วยอานุภาพแห่งโลกุตตรธรรม ๙ ประการ ด้วยอานุภาพแห่งอริยมรรค ๘ ประการ
    ด้วยอานุภาพแห่พระสมาบัติ ๘ ประการ ด้วยอานุภาพแห่งพระอภิญญา ๖ ประการ ด้วยอานุภาพแห่งพระญาณในสัจจะ ๔
    ด้วยอานุภาพแห่งพระญาณมีกำลัง ๑๐ ประการ ด้วยอานุภาพแห่งพระสัพพัญญุตญาณ
    ด้วยอานุภาพแห่งพระเมตตา พระกรุณา พระมุทิตา พระอุเบกขา แห่งพระปริตรทั้งปวงด้วยอานุภาพแห่งอันระลึกถึงพระรัตนตรัย
    แม้เหล่าโรค โศก อุปัทวะ ทุกข์ โทมนัส อุปยาส ทั้งปวง ของท่าน จงสิ้นสูญไป แม้เหล่าอันตรายทั้งปวง จงสิ้นสูญไป
    สรรพดำริทั้งหลายของท่านจงสำเร็จด้วยดี ความเป็นผู้มีอายุยืนจงมีแก่ท่าน ท่านจงเป็นผู้มีความพร้อมเพรียงด้วยความเป็นอยู่สิ้น ๑๐๐ ปี ทุกเมื่อ
    เทพเจ้าทั้งหลาย ผู้คุ้มครองสถิตย์อยู่ในอากาศและบรรพตไพรสณฑ์ ภูมิสถาน แม่น้ำคงคามหาสมุทร จงตามรักษาท่านทั้งหลายทุกเมื่อ เทอญฯ

    .....จาก....สาวกภูมิ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 มีนาคม 2013
  10. ป้อม

    ป้อม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กันยายน 2005
    โพสต์:
    233
    ค่าพลัง:
    +223
    อย่าเชื่อพระพุทธเจ้าทั้งหมดครับ ถ้าพูดจริง ๆ ถ้าไม่เข้าข้างพระพุทธเจ้า ก็ คือนิทานทั้งนั้นแหละ คุณรู้จักคำว่ฉันทลักษ์ใหมครับ ไอ้แปลมงคลจักรวาลใหญ่แปลให้ถูกใน กูเกิล มีถมไปแต่แปลแบบ ไม่เชื่อพระพุทธเจ้า ใช้หลักกาลามาสูตร ยกตัวอย่าเช่น คนต่างประเทศฟังคำว่า อึ มีคนต่างประเทศมากมายที่จะรู้ได้ทันทีว่าคือ อุจจาระ นั้นคือหลักฉันทลักษณ์ของภาษาไทย ซึ่งออกเสียงมา คนสามารถเดาได้ว่า สิ่งที่พูดหมายถึงอะไร เช่นกันกับที่ผมแปล แปลตามฉันทลักษณ์ครับไม่ได้แปลตาม บาลี ก็บอกไว้แล้ว แล้วถามหน่อยว่า บาลีมันถูกฉันทลักษณ์ เหรอ ออกเสียงมาไม่น่าจะเป็นอย่างที่แปล ตัวอย่าง คุณลองพิจารณา อภิธรรม 7 ซึ่งมี พระสังคิณี พระวิภังค์ พระัธาตุคถา พระบุคละปัญญัติ พระมหาปัฎฐาน พระคถาวัตถุ พระยะมะกะ มันง่ายมากเลยครับที่จะพิจารณา ในแง่ของฉันทลักษณ์ ว่าคือการ ไว้อาลัย ขอขมา จับวิญญาณ ทำให้เกิดใหม่ สร้างร่างกาย และลงโทษ อย่าไปเชื่อที่พระแปล มากนัก ลองอ่านแล้วนั่งพิจารณาครับ แปลน่ะ เด็กอนุบาลกดกูเกิลก็แปลเป็นครับ ภาษาไทยภาษา อังกฤษ แปลได้ทั้งนั้นแหละครับสมัยนี้ อย่างจตุราสีติสะหัสธัมมัคขัันธานุภาเวนะ ทำไมผมไม่แปลว่า ด้วยอำนาจแห่งพระไตรปิดก 84000 พระธรรมขันธ์ละ ดัันแปลว่า 4ราสี ที่ติ คว่ามยากลำบากเอาแต่สบาย แล้วปั่นขันธ์ 5 ของมนุษย์ แปลตามฉันทลักษณ์ครับ ไม่ได้แปลตาม บาลี
     
  11. phataravudh

    phataravudh เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    465
    ค่าพลัง:
    +2,440
    สิ่งที่คุณแปลคุณแปลจากอุปาทาน ขันธ์ 5 ที่คุณปรุงแต่งขึ้นมาเอง มันไม่ถูกหลักภาษาบาลี
    ไปเรียนบาลี ให้จบเปรียญธรรม 9 ประโยคก่อนค่อยมาแปลใหม่ ไม่ใ่ช่แปลมั่วๆ แปลส่งเดช ทำกับปรามาสพระพุทธเจ้า ปรามาสพระธรรม ทำให้นรกกินกบาลเปล่าๆ
    มีแต่นักคิดศาสตร์ นักคุยศาสตร์ นักโม้ศาสตร์ทั้งหลายแหละที่แปลแบบนั้น หาความเป็นพุทธศาสตร์แท้ไม่มี
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 มีนาคม 2013
  12. wat48

    wat48 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 เมษายน 2012
    โพสต์:
    22
    ค่าพลัง:
    +448
    ถ้าอย่างนั้น พระพุทธเจ้าก็เชื่อถือไม่ได้ ถูกต้องหรือไม่ครับ
    ถ้าเป็นเช่นนี้ พระธรรมก็ผิดด้วยใช่หรือไม่
    ถ้าเป็นเช่นนี้ พระอภิธรรมก็เป็นฉันทลักษณ์หรือบทกลอนที่แต่งขึ้นใหม่ใช่หรือไม่
    ถ้าเป็นเช่นนี้ พระสงฆ์ท่านเห็นประโยชน์อะไรในการบวชและสืบทอด ทั้งปริยัติและปฎิบัติ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 มีนาคม 2013
  13. ป้อม

    ป้อม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กันยายน 2005
    โพสต์:
    233
    ค่าพลัง:
    +223
    คุณไม่เข้าใจเหรอว่าผมจะบอกอะไร

    ที่ผมเห็นความมหัสจรรย์ของมงคลจักรวาลใหญ่แล้วแปลเป็นไทยได้ดังนั้น เพราะผมเลื่อมใสพระพุทธเจ้าก็ตรงนี้น่ะแหละ พระพุทธเจ้าท่านรู้อณาคตด้วย มงคลจักรวาลใหญแปลแบบมั่วก็คือประวัติศาสตร์โลกย่อนั่นเอง ก็เลยรู้สึกว่าพระพุทธเจ้าท่านวิเศษเหมือนนอสตราดามุส ที่สามาถจารึกประวัติศาสตร์โลกจากอณาคตได้ ผมทำให้คนเลือมใสศรัทธา มันผิดตรงไหนเหรอ ถ้าแปลตามอันเดิม ก็งั้น ๆ แหละครับ ผมทิ้งเวปนี้ไป 3 ปีเพราะไร้สาระ แล้วก็ดราม่ามาก ๆ เพิ่งแวะมาเมื่อ 2-3 วันนี้เอง คงต้องบอกลากันอีกแล้วละ แล้วจะไม่มาอีก ไปเสพสุขดีกว่า พระศรีอาร์มาตรัสรู้ ก็คงไม่เข้ามาหรอกครับ เพราะถ้ามาสอนคงตกนรก SAYONARA...
     
  14. Giew

    Giew Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มีนาคม 2013
    โพสต์:
    30
    ค่าพลัง:
    +34
    ผมว่าเจ้าของกระทู้ควรพิจราณา ก่อนโต้ตอบ นะคุณเจ้าของกระทู้แปลเนีย ถือบทที่เอามาโพสลงไปถาม พระที่จบเปรียญธรรม นะครับ เพราะบางที่สิ่งทีเราคิดว่าถูกว่าตรง มันอาจจะมีข้อผิดพลาดตามสมาธิและจิตใจของคนผู้นั้นๆได้ ใจไม่นิ่ง ความถูกต้องก็ไม่นิ่งตาม แล้วอีกอย่างผมสมัครสมาชิกเว้บนี้มา1เดือน พบว่ากระทู้ต่างๆในข้อข้อ วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ มีคนนำเอาข้อมุลที่ไม่ตรงเกี่ยวกับพระพุุทธศาสนามาโพสก็เยอะ คนที่มีความรู้มีปัญญาธรรมหวังที่จะบอกข่าวเล่าต่อนำข้อมุลที่ถูกที่ตรงมาโพสแก้กันก็เยอะ ยุคนี้ เรื่องแบบนี้ถือเป้นเรื่องปกติ มันอยู่ที่จิตใจ ว่าพิจราณาแล้วตรงรึปร่าวเกิดปัญญาในเรื่องนั้นรึปร่าว
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 มีนาคม 2013
  15. โอสถฤาษี

    โอสถฤาษี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    74
    ค่าพลัง:
    +234
    สรุปว่า เป็นพวกวิกลจริตจิตตก ถ้านับถือและศรัทธาในพุทธะจริงๆ แสวงหาทางให้นิพพานให้ตัวเองดีกว่าไหม ความคิดที่เอาเรื่องศาสนาอื่นเข้ามาเจือเนี่ย อย่าทำเลย พวกสอดไส้มาจากระบบอื่นมันมีเยอะแล้ว คนในนี้ไม่ได้โง่ซะทั้งหมดหรอกนะครับ อย่าแสดงตัวตนของท่านเลยจะดีกว่า......
     
  16. รัศมีสีทอง

    รัศมีสีทอง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    129
    ค่าพลัง:
    +391
    ใครไปวิจัยเรื่องพระพุทธเจ้า เตรียมตัวบ้าไว้รอเลย เพราะพุทธวิสัย เป็นอจินไตย ใครวิจัยก็บ้าแล้ว
     

แชร์หน้านี้

Loading...