จิตพร้อม? รับภัยพิบัติ

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย ภูภู, 6 เมษายน 2012.

  1. อุษาวดี

    อุษาวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2012
    โพสต์:
    531
    ค่าพลัง:
    +12,151
    กรรมของผู้ขัดขวางบุญของผู้อื่นตกนรกหลายแสนปีไม่เคยได้ฉันจนอิ่มเลยแม้แต่มื้อเดียว

    สิ่งที่เราพึงระมัดระวังเป็นอย่างยิ่งก็คือ ในเวลาที่มีคนตั้งใจจะ
    ทำบุญ แล้วเราไปขัดขวางเขา ไม่ว่าจะด้วยวิธีไหนก็ตาม เราก็ได้ทำบาปลงไปแล้ว

    เหมือนเรื่องราวของพระโลสกะ (อรรถกถาเล่มที่ 56 พระสุตตันนปิฏก
    ขุททกนิกาย ชาดก ภาค1 หน้าที่ 2 อรรถกถาโลสกชาดก
    ที่ 1) ที่เคย ขัดขวางบุญของผู้อื่น โดยในชาติหนึ่งท่านเป็นเจ้าอาวาส
    ของวัดหนึ่ง แล้วมีพระธุดงค์มาแถวนั้นและพักในวัดของท่าน

    เย็นวันนั้นมีเศรษฐีมาฟังธรรมจากพระธุดงค์ แล้วได้นิมนต์ท่าน
    และพระธุดงค์รูปนั้นเพื่อถวายอาหารในวันรุ่งขึ้น แต่พอตอนเช้าท่าน
    กลัวว่าเศรษฐีจะชอบใจพระธุดงค์มากกว่าตน ท่านจึงเคาะระฆังเบาๆ
    แล้วออกไปที่บ้านเศรษฐีคนเดียว ท่านบอกเศรษฐีว่าสงสัยพระธุดงค์
    จะขี้เกียจ จึงยังไม่ตื่น แล้วท่านก็ฉันอาหารรูปเดียว

    พอฉันเสร็จ เศรษฐีคนนั้นก็ได้ฝากอาหารให้ท่านนำไปให้พระธุดงค์
    ด้วย แต่ท่านกลัวว่าหากพระธุดงค์ได้อาหารแล้วจะติดใจและอยู่ต่อ
    ท่านจึงได้นำอาหารไปทิ้งทั้งหมด

    ด้วยผลบาปนั้นเอง ทำให้ท่านต้องตกนรกหลายแสนปี แล้วก็มา
    เกิดเป็นยักษ์ 500 ชาติ เกิดเป็นสุนัข 500 ชาติ โดยที่ทุกชาติจะ
    ไม่ได้กินจนอิ่มเลย นอกจากมื้อสุดท้ายก่อนตายเท่านั้น พอมาเกิด
    เป็นคน ก็ต้องอยู่ด้วยความลำบาก ได้กินข้าวทีละเม็ดจากพื้นที่เขาใช้เทน้ำล้างหม้อข้าว

    หลังจากนั้นพระสารีบุตรมาพบก็ชวนให้บวช แม้จะเป็นพระ ท่าน
    ก็ยังไม่ได้ฉันจนอิ่ม และด้วยบาปที่ท่านทำมา ใครใส่บาตรท่าน
    เพียงนิดหน่อย คนก็จะเห็นเหมือนเต็มบาตรแล้ว จึงไม่ถวายอะไร
    ให้อีก และด้วยผลบาปที่เคยทำมา บางคนอาหารที่คนนำมาถวาย
    ให้ท่านก็จะหายไป

    ต่อมาท่านเจริญวิปัสสนาจนบรรลุอรหันต์ แม้จะเป็นพระอรหันต์
    แต่ท่านก็ยังไม่เคยได้ฉันจนอิ่มเลยแม้แต่มื้อเดียว จนวันสุดท้ายของ
    ชีวิต พระสารีบุตรท่านทราบว่าวันนี้ท่านจะปรินิพพาน จึงคิดจะให้ท่าน
    ได้ฉันจนอิ่มให้ได้ ด้วยการชวนท่านไปบิณฑบาตด้วยกัน แต่ด้วยบาป
    ที่ท่านได้ทำมา ทำให้ชาวบ้านไม่สนใจแม้แต่จะยกมือไหว้พระสารีบุตร

    พระสารีบุตรจึงให้ท่านกลับไปรอที่วัด พระสารีบุตรจึงได้บิณฑบาตร
    แล้วจึงให้คนนำอาหารที่ได้มอบให้พระโลสกะ แต่ด้วยบาปของท่าน
    ทำให้คนที่รับอาหารนั้นลืมแล้วกินเอง

    พอพระสารีบุตรกลับมาถามพระโลสกะ ก็พบว่ายังไม่ได้ฉันอะไรเลย
    พระสารีบุตรจึงเข้าไปบิณฑบาตรในวัง ได้ขนม 4 อย่างมาจนเต็มบาตร
    พระสารีบุตรต้องถือบาตรให้ พระโลสกะจึงได้ฉันจนอิ่มก่อนตาย
    (เพราะถ้าหากให้ท่านถือเอง อาหารอาจจะหายไป)

    มาจากหนังสือ บุญใหญ่ พลิกชีวิต
    Cr: ศูนย์บรรเทาทุกข์ผี ทั่วประเทศ
     
  2. มาลินี UK

    มาลินี UK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    807
    ค่าพลัง:
    +12,713
    พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสแก่

    พระอานนท์ว่า "ดูก่อน อานนท์ ธรรมก็ดี วินัยก็ดี อันเีาแสดงแล้ว

    บัญญัติแก่เธอทั้งหลาย ธรรมและ วินัยอันนั้นจักเป็นศาสดาของพวกเรา

    เมื่อร่างกายนี้ได้ตายไปแล้ว. พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า

    "ธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา"

    "นิพพานเป็นความสุขอย่างยิ่ง" พระธรรมคำสอนของหลวงพ่อปาน วัดบางนมโค.

    กราบน้อมรับพระธรรมคำของท่านเจ้าค่ะ กราบองค์ท่านด้วยเศียรเกล้าค่ะสาธุ...
     
  3. Golden Sky

    Golden Sky เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    575
    ค่าพลัง:
    +8,976
    สาธุค่ะ คุณ natatik ขอเป็นกําลังใจให้คุณนะค่ะ ถ้ามารไม่มีบารมีก็ไม่เกิดค่ะ ที่คุณกําลังต่อสู้อยู่นั้นเป็นการทดสอบกําลังใจของคุณค่ะ เพราะท่านจะรู้ว่าคุณจะมีกําลังแค่ไหน? เพราะทางธรรมพอเราจะเข้ามาปฏิบัติ มารก็จะขวางทันที่ คนที่ทําดีจึงทําได้ยากค่ะ พอเราเอาชนะกิเลสขั้นหยาบได้แล้ว แต่ขั้นละเอียดก็ตามมาเพราะเราแต่ก่อนไม่เห็นเพราะจิตยังไม่นิ่งพอ แต่พอจิตนิ่งพวกสัญญาเก่าๆที่คุณได้รับรู้นี้ก็จะมาในความคิดของคุณเอง... แต่จริงๆแล้วก็จิตนั้นแหละเป็นผู้ผลิตออกมา แต่เราไม่รู้เราไม่ทันเราจึงต้องทุกข์ เหมือนเราตามตะครุบเงาของเราเอง...ตามเท่าไหร่ก็ไม่เจอ เราก็เลยเมื่อยเปล่า ขอให้คุณกําหนดลงที่จิตนะค่ะ "เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ" นี่เป็นของละเอียด ต้องใช้"วิปัสสนา"เข้าช่วยค่ะ ขอเป็นกําลังใจให้คุณผ่านพ้นทุกข์ไปได้ด้วยดีด้วยเทอญ
     
  4. มาลินี UK

    มาลินี UK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    807
    ค่าพลัง:
    +12,713
    " พระอรหันต์ทุก ๆ องค์ไม่เกิดทั้งนั้น"

    ถ้าหากว่าจะเกิด เพราะวิสัยกิเลสมันเหนือธรรมอยู่. ธรรมแทรกเข้าไปพอให้คนได้

    ทำดีได้ ก็ไปเกิดในสถานที่ดีเสีย ต่อเมื่อธรรมได้มีกำลังเต็มอำนาจของตนแล้ว ปัดออก

    หมด. ขึ้นชื่อว่าเชื้อแห่งความเกิดไม่มีภายในจิตใจดวงนั้นเลย จิตดวงนั้นก็กลายเป็น...

    อรหัตตจิต เป็นวิสุทธิจิต ถ้าเป็นบุคคลที่เรียกว่า อรหัตตบุคคล แล้วหมดที่นี่เชื้อหมด

    นั่นล่ะ...ผู้ไม่เกิดจริงๆ...ผู้ที่ท่านไม่เกิด ท่านก็รู้
    เทวทัตพาให้เกิดนั่นแหละ พอตัวนี้ถูกกำจัดออกหมดแล้ว ก็เหลือแต่จิตบริสุทธิ์ล้วนๆ แล้ว

    ดวงใดก็ตาม พระอรหันต์มีกี่หมื่น กี่แสน กี่ล้านองค์ก็ตามไม่เกิดทั้งนั้น ท่านผู้นี้เป็นผู้สำรอก

    ออกหมดแล้ว ถ้าเราจะเทียบก็เทียบเหมือนกับว่า ข้าวที่เราหุงสุกมาแล้วนี้เอาอะไรไปเกิด

    เอาเปลือกมันออกก็ยังไม่แน่ใจนัก บางทีเชื้อมันฝังอยู่ภายในอาจเกิดได้ เอามาหุงต้มเสีย

    ให้สุกเต็มที่เสียแล้วเอาอะไรเกิดที่นี่...

    พระอรหันต์ หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน. วัดป่าบ้านตาด จังหวัดอุดรธานี.........

    กราบน้อมรับพระธรรมคำสอนขององค์ท่านด้วยเศียรเกล้าเจ้าค่ะสาธุ...กราบ ๆ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 พฤษภาคม 2013
  5. มาลินี UK

    มาลินี UK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    807
    ค่าพลัง:
    +12,713
    ข้อความเดิม Natatik and Golden SKY

    ขออนุโมทนากับท่านทั้งสองค่ะ ที่ท่านมีคำถามและคำตอบเป็นกำลังใจ

    ซึ่งกันและกันเพื่อให้หลุดพ้นกับสัญญาทั้งหลายทั้งปวง การที่สัญญาเก่าผุดขึ้น

    นั้นเกิดขึ้นกับผู้ปฏิบัติที่กำลังจะหลุดพ้น เพราะเป็นสัญญาเก่าๆที่จะคอยเตือน

    เราให้ได้รู้ว่าที่ผ่านมาทั้งความดีและไม่ดีที่เราได้กระทำผ่านมานั้นออกผลอย่างไร

    สัญญาที่ทำดีมาจะผุดขึ้นในความทรงจำยากกว่า ทำไม่ดี เพราะสัญญาตัวไม่ดี

    นี้เขาแสดงผลขึ้นให้เรานั้นมีความไม่ประมาทอีก.ให้พยายามทำต่อไปทำไปเรื่อยๆ

    แล้วการปฏิบัติของเราจะพบตัวเราเอง ไม่ต้องไปวิตกกับมัน...สามเดือนที่ปฏิบัติ

    ผ่านมาเจอแต่สัญญาเก่าที่ผ่านมา ยังดีกว่าไม่เจอ ไม่รู้ ไม่เห็นสิ่งที่เปลี่ยนแปลง

    ในตัวเอง เพราะผู้เขียนก็เจอแบบนี้มาแล้ว แต่ชนะมันได้ด้วยความพยายาม

    ขอเป็นกำลังใจให้ค่ะ ทุกสิ่งมีเกิดก็ต้องมีดับเป็นธรรมดาค่ะ ขอให้การปฏิบัติ

    ของท่านจงผ่านพ้นไปด้วย สติ และปัญญา และความพยายาม อย่าได้มีหมู่มารใดๆกั้นขวางได้เลยและ

    ขอให้ท่านผู้อ่านทุกๆท่านมีดวงตาเห็นธรรมยิ่งๆขึ้นไปค่ะสาธุอนุโมทนานะคะ...
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 พฤษภาคม 2013
  6. natatik

    natatik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 มกราคม 2012
    โพสต์:
    873
    ค่าพลัง:
    +3,607
    ขอบคุณ พี่มาลินี UK และพี่Golden SKY ที่ได้ให้ข้อคิดดี ๆ และคำแนะนำ
    ติ๊กน้อมรับไปปฏิบัติค่ะ พี่ ๆ บางท่านก็คงจะก้าวผ่านจุดนี้กันไปแล้ว เห็นแล้วก็คงคิดว่าสุดท้ายแล้ว เดี๋ยวทุกอย่างก็ต้องผ่านไปได้
    ติ๊กจะพยายาม ก้าวข้ามมันไปให้ได้ค่ะ ขอบคุณทุกกำลังใจจากทุก ๆ ท่านนะค่ะ
     
  7. Linda2009

    Linda2009 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    956
    ค่าพลัง:
    +9,998
    จากหนังสือรวมคำสอนธรรมปฏิบัติของหลวงพ่อฤาษีลิงดำหน้า191-193คัดมาบางส่วน
    .............................................................................................

    เป็นอันว่า ถ้าจิตมีราคะก็ตัดด้วย อสุภกรรมฐาน อสุภ แปลว่า ของไม่สวยงาม ดูหาความจริงว่า ถ้าเราไม่ชะระล้างมันนี่มันจะเป็นอย่างไร ในที่สุดมันจะทรุดโทรม เศร้าหมอง นี่ถึงเนื้อแท้ของมันจะเป็นอย่างไร ในที่สุดมันก็ทรุดโทรม เศร้าหมอง นี่ถึงเนื้อแท้ของมัน นี่เมื่อพิจารณาร่างกายด้วย กายคตานุสติ กรรมฐาน คิดว่ากายนี้ประกอบไปด้วย ธาตุ 4 คือ ธาตุน้ำ ธาตุดิน ธาตุลม ธาตุไฟ แบ่งออกมาเป็นอาการ 32 มี ผมขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ เป็นต้น ทุกส่วนที่มีร่างกายมันสะอาดตรงไหน สกปรกตรงไหน ค่อยๆ คิด
    และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้าเราป่วยก็ต้องเอาจิตเข้าไปตั้งว่าขันธ์ 5 คือ ร่างกายทั้งร่างกายของเรา นี่มันดีหรือมันไม่ดี ตั้งแต่เกิดมาแล้วไอ้เจ้ากายมันสร้างใจของเราให้เป็นทุกข์ เพราะอะไร เพราะว่ามันดี ตั้งแต่เกิดมาแล้ว ไอ้เจ้ากายมันสร้างใจให้เกิดทุกข์ เป็นทุกข์เพราะไม่มีอาหารจะกิน ต้องเหน็ดเหนื่อยทุกอย่าง เรื่องอาหาร เป็นทุกข์เพราะไม่มีของจะใช้ เป็นทุกข์เกรงจะไม่มีบ้านจะอยู่ เป็นทุกข์เพราะเกรงว่ามันจะป่วยไข้ไม่สบายเราก็หาทรัพย์สินทั้งหลายมาประคองกาย นี่แสดงว่า ร่างกายไม่ดี มันเป็นทุกข์ ทำให้ใจต้องดิ้นรน
    ก็เป็นอันว่าคิดว่าใจของเรานี้ที่องค์สมเด็จพระทศพลกล่าวว่า มันไม่ใช่เราไม่ใช่ของเรา นี่เป็นของจริง ในเมื่อร่างกายมันไม่ดีอย่างนี้แล้ว บรรดาท่านพุทธบริษัทชายหญิงพยายามตัดกำลังใจเสีย ว่าถ้าจิตจะพึงมีราคะ มีความกำหนัดยินดีในร่างกาย จงวางภาระมันเสีย ค่อยๆ วาง อย่าไปวางแรงเดี๋ยวมันจะแตก ร่างกายถ้าไม่มั่นคง จิตใจถ้าไม่มั่นคง วางแรงมันแตกค่อยๆ วางตามกำลังใจที่มันจะพึงวางได้ การวางได้น้อยอย่างพระโสดาบัน พระโสดาบันวางได้แบบเบาๆ ยังมีความรักในระหว่างเพศ แต่มีอยู่ในขอบเขตของศีล คือ ไม่ทำกาเมสุมิจฉาจาร พระโสดาบันวางความโกรธได้ โดยที่ยังมีความโกรธได้ โดยมีความโกรธขังใจ แต่ว่าไม่ทำร้ายใครด้วยอำนาจ เกรงว่าศีลจะขาด พระโสดาบันวางความหลงได้ คือ พระโสดาบันยังต้องการความสวยสดงดงาม พระโสดาบันก็ไม่ลืมความตาย
    อย่างเรื่องนางวิสาขามีเครื่อง มหาดาปสาธน์ วันหนึ่งไปสดับพระธรรมเทศนาขององค์สมเด็จพระบรมโลกนาถ ลืมเครื่อง มหาลดาปสาน์ มีราคา 16 โกฏิไว้ เมื่อหญิงคนใช้วิ่งไปดู ถ้าหากเธอบอกว่า ถ้า พระอานนท์ เก็บไปแล้ว ก็ไม่ต้องเอามา ก็พอดี พระอานนท์ เก็บไว้ก่อน พอรุ่งขึ้นเช้า นางก็ขอประกาศถวายองค์สมเด็จสมเด็จพระชินวร คือ ประกาศถวายแล้วก็ขายเจ้าของบำรุง เอาเงินบำรุงสงฆ์ เงินมันตั้ง 16 โกฏิ ไม่มีชาวบ้านเขาซื้อ นางวิสาขาก็ซื้อเอง ซื้อเองแล้วเงิน 16 โกฏิ บำรุงพระพุทธศาสนา
    เป็นอันว่า พระโสดาบันยังมีความต้องการสวย แต่ก็ไม่เมาในความสวย มีจิตมุ่งมั่นในการให้ทานเป็นสำคัญ ฉะนั้นตระกูลที่เป็นอริยเจ้า คือตั้งแต่พระโสดาบันขึ้นไป จะเห็นว่า ตระกูลนั้น หรือ บุคคลนั้นจะมีจิตมุ่งมั่นไปในทานกองการกุศล ถ้าตระกูลใดเป็นพระเสขบุคคล คือ เป็นพระอริยเจ้าตั้งแต่พระโสดาบันขึ้นไป ห้ามพระสงฆ์ขอของเด็ดขาด ถ้าไปขอท่านมีความสงสารให้ ดีไม่ดีท่านขอหยิบขอยืมกู้ยืมเขามาให้ นี่เป็นการทำลายศรัทธาของบรรดาท่านพุทธบริษัท
    ฉะนั้นสำหรับวันนี้ ก็ขอเตือนบรรดาท่านพุทธบริษัทในด้าน จิตตานุปัสสนามหาสติปัฏฐาน ว่าทุกๆ วันจิตคิดไว้เสมอว่า เวลานี้เรามีราคะไหม ถ้าจิตมีราคะก็จงรู้ว่าจิตของเรามีราคะ แล้วเมื่อรู้แล้ว ก็อย่าคิดว่าราคะนี้เป็นปัจจัยทำลายความดีของอารมณ์ ทั้งนี้เพราะอะไร เพราว่า มันจะทำความวุ่นวายให้เกิดขึ้นแต่ปกติเราเกิดมาราคะมันก็มีอยู่แล้ว ในเมื่อราคะมีอยู่แล้วเราก็พยามยามแก้ไขค่อยๆ แก้ ค่อยๆ ไข ค่อยๆ วาง จะไปนึกว่าวางทีเดียวมันให้หมด ใช้วิธีมีอารมณ์รักอยู่หนึ่ง คือ มีจิตกำหนดไว้เสมอ เมื่อเราต้องมีคู่ผัวเมียอยู่ด้วยกันในระหว่างเพศ เมื่ออยู่แล้วก็แล้วไป มีแล้วก็แล้วกันไป ภาระใดเป็นภาระของสามีภรรยาที่ต้องทำตามหน้าที่ให้ครบถ้วน แต่จิตนี้ก็คิดไว้เสมอว่า สิ่งทั้งหลายเหล่านี้มันเป็นปัจจัยของความทุกข์ มันไม่เป็นปัจจัยของความสุขมันจะเกิดขึ้นมาเพราะเราไม่มีราคะจิต ปราศจากความหนักในเมื่อจิตมันมีราคะกำหนดจับอยู่อย่างนี้มันความหนัก จิตใจเราจะปราศจากความดี สิ่งที่เราต้องการก็คือ พระนิพพาน ตามที่องค์สมเด็จพระชินศรีทรงแนะนำ นี่เราทำอย่างไร มีคู่ครองอยู่ ๆ จะมาแยกทางกันมันก็เกิด มันไม่ใช่ของดี ทางที่ดีก็พึงมีอยู่ว่า คิดไว้เสมอว่า สภาวะมีคู่ครองมันเป็นไปแล้วด้วยอำนาจกิเลส ก็เป็นไปแต่ว่าให้มันเป็นไปเฉพาะชาตินี้ชาติสุดท้าย กำลังใจของเรามีความต้องการอย่างเดียวคือ พระนิพพาน เราจะพยายามหาทางกำจัดราคะ กิเลสที่มีอยู่ในจิตให้สลายตัวไปให้ได้ ทีนี้เราทำอย่างไร ก็พยายามจับหาความจริงให้มันพบ หาความจริง ร่างกายของผู้ชาย ผู้หญิง สัตว์ มันสกปรกหรือสะอาด หาความจริงให้มันพบ หาความจริงร่างกายของคนอื่นมันหายาก หาจากเราเองมันหาง่าย ที่พระพุทธเจ้าให้ดูภายในกาย คำว่า ภายในกายก็หมายถึงว่า กายของเรานี่มันจะสะอาดหรือมันสกปรก กายประกอบด้วยอะไร
    กายประกอบไปด้วย ธาตุ 4 คือ ธาตุน้ำ ธาตุดิน ธาตุลม ธาตุไฟ



    จากหนังสือรวมคำสอนธรรมปฏิบัติของหลวงพ่อฤาษีลิงดำหน้า191-193คัดมาบางส่วน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 พฤษภาคม 2013
  8. มาลินี UK

    มาลินี UK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    807
    ค่าพลัง:
    +12,713
    วิสุทธิเทพ นั้นหมายถึงว่า เทวดาที่บริสุทธิ์ ได้แก่ พระอรหันต์ท่านสมมุติเทพ

    ...ได้แก่ ผู้ใหญ่ที่เราสรรเสริญ เช่น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว นี้ก็เรียกว่า สมมุติเทพ

    เทวดาโดยสมมุติ...เราก็ยกตัวของเราให้เป็นมนุษย์ที่ดีมีศีลธรรม แล้วยกตัวของเราให้เป็น

    เทวดา ด้วยความมีศีลธรรมสูงขึ้นเป็นลำดับลำดับ จนก้าวไปสู่วิสุทธิเทพ เทวดาด้วย

    ความบริสุทธิ์...ได้แก่ พระอรหันต์ท่าน เป็นไปได้จากบุคคลแต่ละคนที่บำเพ็ญธรรม

    ...ไม่นอกเหนือจากเรานี้ไปเลย ให้พากันยกตรงนี้นะยกตัวเอง....

    องค์หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน ท่านได้เมตตาฝากไว้เมื่อ ...

    วันที่ ๑๑ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๔๙.กราบน้อมรับพระธรรมคำสอนเจ้าค่ะกราบ กราบๆ.
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 พฤษภาคม 2013
  9. มาลินี UK

    มาลินี UK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    807
    ค่าพลัง:
    +12,713
    พระอาจารย์ปสันโนท่านสอนไว้...

    ในการที่มีสติคอยกำกับไว้ ได้เห็นว่าเกิดอารมณ์ภายในจิตใจของเรา จะเป็นอารมณ์

    ที่ดีก็ตามไม่ดีก็ตาม ชอบใจก็ตามไม่ชอบใจก็ตาม ก็สักแต่ว่าอารมณ์ ส่วนใหญ่ไม่เห็น

    อย่างนั้น มีอารมณ์เกิดขึ้นอย่างไร ก็มีเหตุผลเพียบพร้อมที่จะถือว่าเป็นเรา...และสมควรที่

    จะมีความคิดความรู้สึกอย่างนั้น...จะเป็นความชอบใจ รักพอใจ ก็มีเหตุผลพร้อม มันสมควร

    น่ามีอย่างนั้น จะมีความไม่ชอบใจเกิดขึ้น มีความเกลียด มีความลำคาญเหตุผลก็มาพร้อม

    มาบอกเราว่าสมควรแล้ว...เขาน่าเกลียดมาก เขาไม่ควรทำอย่างนั้นมันไม่ควรเป็นอย่างนี้

    สมควรที่จะมีความรู้สึกที่เครียด...ที่เกลียดที่ชัง แต่ไม่สังเกตดูว่ามีความรักก็ดีมีความชังก็ดีมันทุกข์ทั้งนั้น

    เป็นเรื่องที่ไม่สังเกต มีแต่ตามหลังว่า เอ...ทำไมฉันทุกข์อย่างนี้ไม่เห็นว่าตัวเองเป็นผู้สร้าง

    ...ไม่เห็นว่าตัวเองเป็นผู้หลง.....

    ... คัดจากหนังสือทางแก้ทุกข์ พระอาจารย์ ป สั น โน วัดป่าอภัยคีรี มลรัฐแคริฟอร์เนีย..

    กราบขอบพระคุณท่านพระอาจารย์ค่ะที่มีหนังสือธรรมะดีๆมาให้ศึกษากราบนมัสการค่ะ...
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 พฤษภาคม 2013
  10. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    46,997
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,043
    ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 1 คน และ บุคคลทั่วไป 0 คน ) [ แนะนำเรื่องเด่น ]
    supatorn
    มาแล้ว ช่างป้ายแปะ สนุกจังเลย ธรรมะคือธรรมชาติ คิดเป็นก็เป็นธรรมะบรรเทิง:cool:
    ฟังเพลงฝาหรั่งหน่อยค่ะ
    Johann Strauss - Vienna Waltz

    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=U4J0MKsG_is]Johann Strauss - Vienna Waltz - YouTube[/ame]
     
  11. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    46,997
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,043
    *********************************
    อนุโมทนาสาธุค่ะคุณน้องลินดา
     
  12. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    46,997
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,043
    คิดเป็นก็เห็นธรรม
    ศิษย์ “อาจารย์ครับเราควรมองชีวิตของเรานี้อย่างไรจึงจะทำให้เราใช้ชีวิตได้อย่างคุ้มค่าที่สุดครับ”

    อาจารย์ “เออ วันนี้มาแปลก ถามแปลกๆ เจ้ามีอะไรในใจหรือเปล่า?”

    ศิษย์ “คือว่าพออายุผมเลยวัยหนุ่มสาวมา หน้าตาก็มีริ้วรอย มีตีนกา เส้นผมก็เริ่มหงอกเริ่มบางลงทุกที ส่องกระจกทีไรใจมันหดหู่ชอบกล อยากให้อาจารย์ช่วยให้แง่คิดดีๆ เผื่อว่าจะทำให้สบายใจขึ้นสักหน่อยน่ะครับ”

    อาจารย์ “มีความจริงประการหนึ่งก็คือ เราจะเห็นคุณค่าของสิ่งใด ก็ต่อเมื่อเราได้สูญเสียสิ่งนั้นไปแล้วเสมอ

    ในวัยเด็กเราก็มีทุกข์บ้าง มีสุขบ้าง
    ในวัยหนุ่มสาว เราก็มีทุกข์บ้าง มีสุขบ้าง
    ในวัยชรา เราก็มีทุกข์บ้าง มีสุขบ้าง
    ไม่มีวัยใดเลยที่เรามีแต่ความสุข
    ไม่มีวัยใดเลยที่เรามีแต่ความทุกข์
    แต่เพราะความเป็นคนช่างคิดช่างฝันออกไปนอกตัวเอง
    จากภาพในจินตนาการที่วาดไว้ ความคาดหวังจากความไม่รู้จริง
    เราจึงไม่เคยมีความสุขในปัจจุบัน

    ในวัยเด็ก เราอยากเป็นผู้ใหญ่
    ในวัยผู้ใหญ่เราก็อยากกลับไปเป็นเด็ก

    เราจะรู้ว่าวัยเด็กสดใสเพียงใด ก็ต่อเมื่อ
    เราเข้าสู่วัยหนุ่มสาว
    เราจะรู้ว่าวัยหนุ่มสาว มีค่าเพียงใด
    ก็ต่อเมื่อเราเข้าสู่วัยชรา
    เราจะรู้ว่าวัยชรานั้นสำคัญเพียงใด
    ก็ต่อเมื่อเรา ใกล้จะต้องออกเดินทางอีกครั้งหนึ่ง
    เพื่อไปสู่ภพหน้าเสียแล้ว

    เจ้าลองคิดดูสักนิดซิว่า จะมีประโยชน์อะไรที่จะมีความสุขมาทั้งชีวิต เพื่อที่จะต้องทุกข์ระทมในเมื่อวาระสุดท้ายของชีวิตใกล้จะมาถึง

    เปรียบ เสมือนการสอบไล่ที่ใกล้จะมาถึง เพื่อนฝูง ความสนุกสนานเพลิดเพลินตลอดทั้งเทอม ย่อมเทียบไม่ได้กับความรู้ทั้งหมดที่จำเป็นต้องใช้ในการสอบให้ผ่าน

    นี่ คือวาระสำคัญที่สุดในชีวิตที่เราจะใช้ประสบการณ์การผ่านความสุขและความทุกข์ ในชีวิต มาใช้ในการศึกษาธรรมเพื่อที่จะเตรียมเสบียงเพื่อเดินทางต่อ หรือจะเตรียมพละกำลังเพื่อที่จะฝ่าให้พ้นออกจากความทุกข์ในสังสารวัฏ ให้ได้ ในชาตินี่เอง

    ศิษย์ “ผมเริ่มมีกำลังใจขึ้นบ้างแล้ว เริ่มรู้สึกว่าวัยชรานี่ก็สำคัญไม่น้อยเลยครับ ”
    อาจารย์ “ สิ่งที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งก็คือการมองให้ตรงกับสภาพที่เป็นจริง ถึงบทบาทและคุณค่าที่สังคมเขามองในคนหนุ่มสาวและคนชรา

    เมื่ออยู่ในวัยหนุ่มสาว สิ่งที่คนมองว่ามีคุณค่าคือรูปลักษณ์ภายนอกอันคือ หน้าตา รูปร่าง ท่าทางที่สวยงาม
    เมื่อ เข้าสู่วัยชรา สิ่งที่คนมองในคนๆนั้น คือ คุณค่าทางจิตใจอันได้แก่ ความเมตตา ความมีน้ำใจ และความดีที่บุคคลคนนั้น กระทำต่อคนรอบข้าง และสังคมส่วนรวม
    ผู้สูงวัยแต่ไร้ ความดี ย่อมไม่มีผลต่อการสร้างจิตสำนึกที่ดีของคนรุ่นหลังเพื่อที่จะจดจำเป็นเยี่ยง อย่าง และจรรโลงให้สังคมให้งดงามและร่มเย็นต่อไปจะมีคุณค่าสิ่งใดเหลืออยู่เมื่อ ตายจากไป

    ชีวิตนี้เป็นของไม่ คงทน เสมือน แม่น้ำที่มีน้ำเต็มฝั่งย่อมมีแต่จะไหลเรื่อยไปไม่ย้อนกลับชีวิตก็ล่วงจากวัย เยาว์ สู่หนุ่มสาวและแก่ชรา เสมือนหยาดน้ำค้างบนใบหญ้ายามรุ่งอรุณเมื่อพระอาทิตย์สาดแสงส่องมาก็หายไป เสมือนเกลียวคลื่นที่ทยอยกันแตกสลายเมื่อพัดเข้าสู่ฝั่ง เรา ไม่ควรประมาทในอายุและวัยที่ยังเหลืออยู่ว่า ยังไม่ใกล้ต่อความตาย สิ่งที่เหลือไว้ในชีวิตคน ๆ หนึ่งเมื่อตายจากกัน ก็มีแต่ความดีงามที่พอจะเหลือให้คนรู้จักหรือญาติสนิทมิตรสหาย ได้จดจำก่อนลืมเลือนไปตามกาลเวลาเท่านั้นเอง สิ่งที่จะเป็นที่พึ่งติดตามตัวเราไปทุกภพทุกชาติที่แท้จริง ก็ คือบุญกุศลและการภาวนา เมื่อเราได้ผลของการภาวนาอันนำความสุขสงบมาสู่จิตใจของเรา ชนิดไม่ต้องดิ้นรนแสวงหาความสุขจากสิ่งนอกกายอีก สิ่งนั้นแหละคือที่พึ่งที่แท้จริงในชาติปัจจุบัน เรา จึงจะปล่อยวางร่างกาย อันเสมือนเรือไม้รั่วใกล้จมจากการผุพัง เพราะเราได้ขึ้นสู่เรือแห่งธรรมอันมั่นคงแน่นหนา โดยสารไปสู่ความสงบเย็นแล้วนั่นเอง

    ศิษย์ “อาจารย์พูดได้ดีมากครับ ผมจะจดจำนำไปใช้เพื่อไม่ให้เสียทีที่เกิดมาแล้วชาติหนึ่ง มิได้ปล่อยวันเวลาในชีวิต ให้สูญไปโดยไร้ประโยชน์เลยครับ”

    ขอบคุณที่มา :: นิทานธรรมะ ให้ข้อคิดดีมาก - ความทรงจำสีจาง
    ****************************
    ขอให้เจริญในธรรมทุกๆท่านค่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 พฤษภาคม 2013
  13. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    เหตุผลโลกๆ
    เหตุผลของมนุษย์ เหตุผลทางโลก หาประมาณมิได้
    เพราะเป็นเหตุผลที่ไม่มีวันจบสิ้น ไม่มีวันสงบสุขไปได้
    ตราบใด จิตของพวกเรายังไม่นิ่งหรือยังไม่สงบ
    แต่ถ้าจิตคนเรายังนิ่งไม่เป็นย่อมมีเหตุผล108ประการ เป็นเหตุผลที่คอยจะเข้าข้างตนอยู่เสมอ
    นี่คือเรื่องจริง ยิ่งถ้าเป็นเหตุผลของคนสองคนที่จิตยังไม่นิ่ง ต่างก็จะยึดเหตุผลของตนเป็นหลัก
    ท้ายที่สุดย่อมก่อความไม่สงบสุขมาสู่กันและกันเอง เพราะต่างคน ต่างเหตุผล ต่างไม่ยอมกัน
    แพ้ไม่เป็นหรือจ้องจะเอาชนะอย่างเดียว ผิดหรือถูกไม่รู้ก็จะค้านอย่างเดียว

    เป็นไงบ้าง พวกเราพอจะรู้ความจริงของมนุษย์โลกหรือตัวเราเองบ้างหรือยัง?
    ตามที่เราบอกคนนั้นยุ่งหรือโลกใบนี้วุ่นวาย โทษแต่คนอื่นหรือสิ่งอื่น แต่ไม่เคยโทษตนเองเลย
    เห็นไหม เห็นหรือยัง มนุษย์อึ๊เหม็น พยายามบอกตนเองดีเสมอ ดีกว่าคนอื่นหรือดีกว่าสิ่งอื่นๆ

    สรุปแล้วมนุษย์โลกยุ่งที่สุดและวุ่ยวายที่สุด
    เห็นไหม เห็นหรือยัง ปัญหามนุษย์ไม่เห็นมีอะไรมาก แต่ถ้าเอาจิตเรานิ่งหรือชนะใจตนเองได้
    ปัญหาทุกอย่างก็จบลงด้วยดีทันที มองโลกในแง่ดีทันที ไม่ไปโทษคนอื่นและสิ่งอื่นอีกต่อไปฯ
    ความสุขภายนอกอย่าหลงไปตามหาให้เสียเวลา อย่าเอาความสุขไปฝากไว้ที่คนอื่นหรือสิ่งอื่น
    เพราะความสุขที่แท้จริงของคนเราก็อยู่ภายใน นั่นก็คือ จิตตนเองเท่านั้น
    ตราบใด ถ้าจิตยังนิ่งไม่เป็นหรือนิ่งไม่ได้ เราก็อย่าไปหวังว่าตัวเราหรือโลกใบนี้จะสงบสุขเลย
    เพราะที่ไม่สงบสุขนั้น ก็คือจิตใจของเราเอง มิใช่คนอื่น สิ่งอื่นหรือโลก
    แต่ถ้าจิตเรามันนิ่งสงบเพียงอย่างเดียว ต่อให้คนอื่น สิ่งอื่นหรือโลกจะวุ่นวาย ไม่สงบสุขสักปานใด
    เราก็ยังอยู่อย่างสงบสุขได้ ไม่เดือนร้อน ร้อนรนจนทนไม่ไหว

    เพราะฉะนั้นฯเหตุผลของมนุษย์ เหตุผลทางโลก
    จึงไม่มีผลหรือไม่มีอิทธิพลกับคนที่มีจิตใจสงบสงัดหรือเยือกเย็น
     
  14. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    ถามตรง ตอบตรง
    สัญญาเก่าหรือกรรมเก่า ขอให้จดจำเอาไว้อยู่อย่างนึง ก็คือไม่มีผู้ใดจะหลีกหนีพ้นกฎแห่งกรรม
    อย่าเพิ่งปักใจเชื่อคนอื่นว่า..แก้กรรมให้กันได้ เพราะคนที่กำลังช่วยคนอื่นแก้กรรม หารู้ไม่
    ท่านกำลังฝืนกรรม กำลังล่วงเกินกฎแห่งกรรม สำหรับผู้ที่กำลังช่วยแก้กรรมให้คนอื่น นั่นแสดงว่า
    กำลังยอมรับกรรมคนละครึ่ง อาจทำได้แค่ชั่วคราวเท่านั้น เพราะเป็นการแก้ปัญหาปลายเหตุ
    การแก้ไขหรือแก้ปัญหาที่ถูกต้องนั้น ก็คือ เราจะต้องแก้ที่ต้นเหตุ!
    และเจ้าตัวหรือเจ้าของกรรมนั้น จะต้องเป็นฝ่ายแก้ด้วยตนเองด้วย

    ผู้ที่กำลังกระทำดี กำลังปฎิบัติดี ปฎิบัติชอบหรือปฎิบัติธรรม อย่ามัวสนใจ อย่าปักใจอยู่กับอดีต
    เช่น เคยทำอะไรไม่ดีไม่งามหรือผิดศีลธรรม กรรมโดยเฉพาะกรรมที่ไม่ดีทั้งอดีตชาติหรือชาตินี้
    ไม่ว่าทั้งดีหรือไม่ดีก็ตาม ก็อย่าไปให้ความสำคัญ เพราะไม่มีประโยชน์ต่อมรรคผลของตนเอง
    ผู้ปฎิบัติต้องอยู่แต่เฉพาะในธรรมปัจจุบัน ทุกขณะจิต ทุกขณะลมหายใจ เท่านั้น
    ส่วนอดีตหรืออนาคต อย่าไปสนใจ อย่าให้ความสำคัญ อย่านำมายุ่งเกี่ยว เพราะการปฎิบัติจะตกต่ำ
    แต่จะมีผลเฉพาะกับผู้ปฎิบัติที่มีอินทรีย์ยังไม่แก่กล้า ที่มีสติปัญญาน้อย ที่เจริญสติไม่ต่อเนื่อง
    ปัญญาจึงเกิดบ้างไม่เกิดบ้าง เมื่อไหร่ถ้าเรามีสติมากก็จะมีปัญญา แต่ถ้าเผลอสติ ปัญญาไม่ต้องถึง
    คือไม่มี เมื่อเราไม่มีปัญญา ก็แปลว่าเราไม่รู้ สอบไม่ผ่าน วิปัสสนาก็จะกลายเป็นวิปัสสนึกไป(คิดเอาเอง)
    ปล่อยวางไม่ได้ อาจได้เป็นบางครั้งหรือปล่อยวางไม่สนิทใจ เป็นต้น

    ผู้ปฎิบัติอย่าลืมว่า..ผู้ที่ทำหน้าที่ละ-ปล่อย-วางกับทุกสิ่งได้นั้น ก็คือจิตของเราเอง(เท่านั้น) มิใช่กายเรา
    กว่าเราจะรู้ กว่าเราจะปล่อยวางกับทุกสิ่งได้ เราต้องเจริญสติให้มาก เพื่อผลิตปัญญาให้กับจิตเรา
    เพราะจิตเราจะปล่อยวางด้วยตัวปัญญา

    เพราะฉะนั้น อยากบรรลุธรรม อยากมีดวงตาเห็นธรรม อยากออกจากทุกข์ตนเองได้อย่างถาวร
    จะต้องเจริญสติภาวนากรรมฐานให้ครบองค์ประกอบ ก็คือเจริญสมถะกรรมฐาน(เจริญสติ เจริญสมาธิ)
    และวิปัสสนากรรมฐาน(เจริญปัญญาให้เป็นปัญญาญาณหรือญาณ แปลว่าหยั่งรู้หรือผู้รู้แจ้งแทงตลอด)

    สำหรับน้องติ๊ก จะต้องเข้าไปให้ถึงธรรมปฎิบัติหรือเจริญสติภาวนาให้ได้
    โดยการนำจิตมาเดินมรรคมีองค์๘(ศีลสมาธิปัญญา) เจริญสติจนกว่าจิตจะนิ่งเป็นสมาธิเป็นปัญญา
    จึงจะพบดวงจิตของตน(จิตในจิต) แล้วถึงจะพบธรรมในจิต(ธรรมในธรรม)ภายหลัง
    (ทำจิตเกาะพระให้ได้ก่อนเห่อ ละหยาบให้ได้ก่อนแล้วค่อยไปละนามละเอียดภายหลัง)
    ทำจิตให้ละเอียดก่อน(สมถสมาธิ)จิตถึงจะมีปัญญา และนำตัวปัญญานี้ไปวิปัสสนาในธรรมที่ยังติดค้างอยู่
     
  15. natatik

    natatik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 มกราคม 2012
    โพสต์:
    873
    ค่าพลัง:
    +3,607
    อนุโมทนา กับพี่ภูนะค่ะ
    ที่เมตตาแนะนำแนวทางปฏิบัติ ติ๊กจะน้อมรับไปปฏิบัติค่ะ
     
  16. อุษาวดี

    อุษาวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2012
    โพสต์:
    531
    ค่าพลัง:
    +12,151
    คนเรานี่เกิดตาย ๆ ไม่รู้กี่ภพกี่ชาติจนจำกันไม่ได้
    ลืมสัญญาเดิมหมด บางคนจำกันไม่ได้
    เอาลูกทำผัวบ้าง เอาพ่อทำผัวบ้าง
    เมามัวในการเวียนว่ายไม่จบสิ้น น่าสงสาร

    ในเมื่อเกิดมาแล้ว เกิดเพื่อดับกิเลสตนเองสิ !
    ให้ละกามเด็ดขาดในภพนี้ ตัดให้ขาดจากการเป็นของคู่
    ปุถุชนเต็มขั้น หนาด้วยกิเลส ได้แต่ศึกษา
    ไม่นำมาปฏิบัติ แล้วจะรู้แจ้งอย่างไรเล่า !?

    เราชาวพุทธ ให้เร่งเจริญอริยมรรค ๔ อริยผล ๔
    ศาสนาอยู่ที่ขันธ์ ๕ มิใช่อยู่ที่อื่นเลย
    อย่าได้ประมาทนิ่งนอนใจนะ !
    ให้ศรัทธามั่น ในโลกุตตรธรรม
    จะได้รู้แจ้งธรรม พ้นเกิด แก่ เจ็บ ตาย

    หลวงปู่บุดดา ถาวโร
    Cr: Dhammacafe.com (ธรรมะคาเฟ่ดอทคอม :: ผ่อนพัก ตระหนักรู้)
     
  17. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=ShPx2JgdvBk]อยู่เพื่อใคร Bird Thongchai - YouTube[/ame]

    แด่..ผู้ที่หวังพระนิพพานชาตินี้
    เพียงตัดขันธ์๕เด็ดขาดกันนะลูกหลานเอ๋ย..ทำกันได้ไหม๊
     
  18. Natcha@uk

    Natcha@uk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    618
    ค่าพลัง:
    +9,444
    [​IMG]
     
  19. Natcha@uk

    Natcha@uk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    618
    ค่าพลัง:
    +9,444
    มาหัดรู้สึกตัวกันให้มากๆ และให้บ่อยๆ ทุกครั้งที่เผลอ

    เราต้องมีความตั้งใจ บอกตัวเองว่า “ต่อแต่นี้ไป ข้าพเจ้าจะเจริญสติอยู่ทุกเมื่อ”
    ไม่เว้น เวลาไหนก็ได้ นึกขึ้นได้เมื่อไร เจริญสติทันที รู้ตัวทันที หัดให้รู้สึกตัวทันที การเจริญสติให้รู้สึกตัวทันที อย่าคอยเวลา อย่าคอยว่า “เดี๋ยว ๆ เราไปเดินจงกรมตรงนั้น”แต่ระหว่างที่เดินไปที่จงกรมไม่ได้เจริญสติ “เดี๋ยว ๆ เราไปนั่งกรรมฐานตรงหน้าพระที่ห้องประชุมเสียหน่อย” แต่ระหว่างเดินไปไม่ได้เจริญสติเลย ขณะลงนั่งก็ไม่มีสติ จะไปเริ่มมีสติเอาตอนนั่งเรียบร้อยแล้วเท่านั้นหรือ ? เลยกลายเป็นตั้งหลักมากไปจนเกร็งอีก อย่างนี้ไม่ใช่การมีสติในกาลทุกเมื่อ ฉะนั้น ตั้งแต่นี้ไป เราจะต้องหัดรู้ทันที ใส่ใจรู้สึกตัวทันที ไม่ต้องคอยเวลาอะไร รู้ตัว...รู้ทันที ใส่ความรู้สึกไปในตัวทันที


    พระอาจารย์สุรศักดิ์ เขมรังสี
     
  20. มาลินี UK

    มาลินี UK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    807
    ค่าพลัง:
    +12,713
    พระพุทธศาสนาของเรานี้คือศาสนาชั้นเอกอุ เราไม่ได้ยกอะไรมาเป็นคูแข่งขันกัน

    แต่เรายกมาตามหลักธรรมชาติที่เลิศเลอ ไม่มีลัทธิใด ศาสนาใดที่จะเลิศเลอยิ่งกว่าพุทธ

    ศาสนาของเรา ซึ่งตรัสรู้ขึ้นมาด้วยความชอบธรรม คือ ในท่ามกลางแห่งอริยสัจ ๔ .

    อริยสัจ ๔ คือ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค นี้เรียนโดยย่อ ๆ ว่า นี้เป็นโรงงานอัน

    ใหญ่หลวงครอบแดนโลกธาตุที่บรรดาพระพุทธเจ้าทั้งหลายทุก ๆ พระองค์ พระปัจเจก

    พุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ ทรงปฏิบัติขึ้นมาตามอริสัจนี้ ถึงความเลิศเลอหาประมาณไม่ได้

    เรียกว่าพ้นจากแดนสมมุติ โดยการทั้งปวง ธรรมกับใจเป็นอันเดียวกัน...

    ...ใจกับธรรม ธรรมกับใจเป็นอันเดียวกัน เพราะใจเป็นภาชนะเป็นผู้สัมผัสสัม

    พันธ์ธรรมทั้งหลาย เมื่อเต็มที่แล้วก็กลายมาเป็นธรรมกับใจเป็นอันเดียวกัน

    ...สรุปความลงเรียกว่า ใจเป็นธรรมธาตุุุ...

    พระมหาบัว ญาณสัมปันโน หรือหลวงตามหาบัว ท่านเทศไว้ เมื่อ ๑๘ ก.ย ๒๕๔๒.

    กราบองค์หลวงตาด้วยเศียรเกล้าเจ้าค่ะ กราบ กราบ กราบ.........
     

แชร์หน้านี้

Loading...