ปรารถนาพิสูจน์ตัวตนที่ดำรงอยู่ในขันธ์ มีรูปเป็นแบบใด (มาได้เลย ชยุต)

ผมขอถามคุณภูดิดว่า จะดูกายใน รู้กายใน อยากเห็น อยากรู้ อยากดู กายใน (มันจำเป็นหรือ มันสำคัญหรือ พระพุทธเจ้าท่านสอนกายใน ว่าสำคัญหรือครับ)
พระพุทธเจ้าท่านสอนให้ มีกายทิพย์ มีกายใน หรือครับ
แล้วถ้าคนที่ไม่เคยอยากรู้ อยากดู อยากเห็น พอมาทำตามที่คุณ แนะนำ แล้ว เห็นไม่ได้ หรือ ไม่เห็นอะไรเลย เขาเหล่านี้ จะ สงสัย หรือ ติดข้องใจ เรื่องกายใน กายทิพย์ ที่คุณพูดมาหรือเปล่า และถ้า เรื่องกายในกายทิพย์ ที่คุณ พูดมานี้ กลายมาเป็น เครื่องกั้น เครื่องถ่วง การหลุดพ้น เพื่อนิพพาน คุณภูดิด จะมีกรรมหรือเปล่าครับ

 

สำหรับผมนะครับ กายใน มันก็คือ ความคิด ความอยาก จินตนาการ นั่นเอง แค่จะหลงยึดติด ยึดมั่นถือมั่น ให้ ความคิด เป็น รูปเป็นร่าง เป็นอัตตาตัวตนขึ้นมา หรือ เป็นภพภูมิ ขึ้นมา ก็เท่านั้นเองครับ เรียกว่า อวิชชา ความหลง ต่างหากครับ ก็เปรียบเหมือน เส้นทางที่ผิด ต่อการหลุดพ้น การเข้าถึงนิพพาน เท่านั้นเอง เพราะ กายในหรือกายทิพย์ มันคืออัตตาตัวตน แล้วอัตตาตัวตนก็มีเอาไว้เพื่อ แสดง อัตตาตัวตนเท่านั้นโลกสมมุติหรือภพภูมิ หาได้มีประโยขน์เพื่อให้เกิดปัญญาในการ พ้นทุกข์ ไม่

 

อย่าง มนตด ที่ มีร่างกาย เป็นแสง เป็นพลังงาน ทั้งที่ พยายาม ทำลาย อัตตาตัวตน ที่เป็นกายทิพย์ไปแล้ว คิดว่า จะดับจิตตนเองได้ สุดท้าย ก็ ยัง มีจิตที่เป็น พลังงาน ที่ ไม่สามารถหลุดพ้น ไม่อิสระจาก วัฏะสงสารได้เลย ล่องลอย หาคำตอบสุดท้าย เพื่อ นิพพาน เพื่อดับ นั่นเอง ผมว่า นะ ถ้า พวกเขายอมรับความจริง ใน ความที่ได้เคยเกิดมาเป็นมนุษย์โลก และยอมรับว่าโลกเป็นแบบนี้ ยอมรับความจริงของโลกได้ ยอมรับว่า ต้องเกิดแก่เจ็บตาย เป็นธรรมได้ เขาถึง จะได้ มาเกิดเป็นมนุษย์ อีกรอบนึง อิอิ บอกให้ เขา มาขอโอกาสนี้จากผมสิครับ ผมจะให้ พลังงานและให้พร เพื่อให้ พวกเขา ได้ สำนึกว่า มนุษย์นี้ ดีที่สุดแล้วใน ทุกภพภูมิทุกจักรวาล แล้ว เขาจะต้องสำนึกจริงๆ ถึงจะได้เกิด เป็น มนุษย์ เพื่อหาทางหลุดพ้น นิพพาน ได้ จริงๆ ผมก็พูด เว่อร์ไปสักหน่อย นึงนะครับ

 

มนุษย์เรามีเครื่องรับรู้ อารมณ์ รูป รส กลื่น เสียง สัมผัส ที่ วิเศษสุดแล้ว แต่กลับมองว่า รูป รส กลิ่นเสียง สัมผัส คือเหตุแห่งทุกข์ โลกคือเหตุแห่งทุกข์ นั่นเพราะ ความเขลาเบาปัญญา ของ มนุษย์เอง (วิวัฒนาการทางปัญญา ทางวิทย์ ทางรูปนาม ทางจิต ยัง ไม่ดีพอ)
จะเห็นได้จาก การที่ ปรากฏพระพุทธเจ้า โคดม ตรัสรู้ ในโลก แต่ผู้ที่ สำเร็จมรรคผล ตามพระพุทธเจ้า นั้น มีน้อยมาก นั่นเป็นเพราะ ปัญญา ยังไม่พอ (ในสายเลือดหรือ ในระดับยืนส์ นั่นเอง) แต่สมัยนี้ เรื่อง อภิญา ต่างๆ ตาทิพย์ หูทิพย์ เหาะเหิน ดำดิน ล้วนเป็นวิทย์ วิวัฒนาการ มากขึ้น ทำให้ คน หมดความ สงสัย ในธรรมชาติได้ หลายอย่าง (ยกเว้นพวกที่ สงสัยเรื่องนอกโลก เรื่องจักรวาล) ดังนั้น กายใน ที่คุณ พูดถึง ถือว่า เป็นเรื่อง เชยมากมาก ในปัจจุบัน เพราะปัจจุบัน เขาต้องพูดถึง การบรรลุ โดยฉับพลัน ด้วยปัญญา สิครับท่าน

 

วันนี้พูด ไม่เหมือนเมื่อวานเลยน่ะ
วันนี้พูด น่าฟังรืนหู
เมื่อวาน ฟังไม่ได้เลย

 

ไม่ไช่ฤดูมะม่วง ก็มีมะม่วงกิน
ไม่ไช่ขั่วโลกเหนือ ก็มีน้ำแข็ง มีหิมะตก มีห้องน้ำแข็ง ห้องแอร์
ไม่ไช่หน้าฝน ยังปลูกข้าว

แล้ว การหลุดพ้น นิพพาน ยังจะต้อง เสียเวลา สะสมบุญบารมี อยู่ทำไมกันเล่า
ถามว่า ถ้ามี มหาเศรษฐี อยู่คนหนึ่ง ในโลก ต้องการอยากให้ ทุกคนรวยเป็น เศรษฐีเท่าเทียมกัน ก็เพียง แค่ เศรษฐี คนนั้น แบ่งปัน ทรัพย์สมบัติให้กับทุกคนโดยเท่าเทียมกัน แค่นี้ ทุกคนก็ รวยเท่ากัน เป็นเศรษฐี เหมือนกัน แล้ว เรื่องง่ายๆ แค่นี้เอง

การหลุดพ้น นิพพานก็เหมือนกัน ปัญญา สมัย พระโคดม ท่าน แจกแจง ถ่ายทอด แก่ คนอื่นไม่ได้ เพราะ การสะสมปัญญา ของคนสมัยนั้น ยังไม่พอ แต่ปัจจุบัน คนในโลก แทบจะรู้ และ ไม่สงสัย เรื่อง ต่างๆ มากมายแล้ว จะมีก็แค่ สงสัยในความคิดตนเองและความคิดของคนอื่นเท่านั้นว่า ทำไม พากัน ใช้ชีวิตบนโลกไม่เป็น ก็เท่านั้นเอง ถนัดแต่สร้างปัญหาและความเดือดร้อน พูดกันไม่รู้เรื่อง ได้ยังไง แค่นี้เอง

 

วันนี้ท่าทาง เทวะทะตะ จะสบาย อุราเป็นพิเศษ ใช่เปล่า ไม่เหมือน เมื่อวาน

 

ท่านจะเอาอะไรกับความไม่เที่ยง ความไม่แน่นอนกันล่ะท่าน
หรือมันต้อง เป็นตามใจที่ท่านคิด หรือครับ
เขาเรียกว่า นี่แหล่ะ รสชาดของชีวิต มีขึ้นมีลง มีพริ้วไหว เคลื่อนไหว จะให้ สงบนิ่ง ไม่มีแม้ลมพัด เหมือน บนดวงจันทร์ แบบนั้น ท่านอยากอยู่ หรือ หรือจะเอา แบบ เสวยแต่สุขในวิมานบนสวรรค์ อย่างงั้นรึ
โลกมนุษย์ที่แหล่ะ คลาสสิค ที่สุดแล้ว มีสุขทุกข์เฉย คละเคล้ากันไป

ถ้าท่าน มัวแต่มาสังเกต ว่า วันนี้ ผมดี วันนี้ผมยังไม่ดี วันนี้ ใช้ได้ ตกลงแล้ว ท่านได้อะไร จากที่ท่านทำ ก็ในเมื่อ ผมยังไม่ได้ สนใจว่าท่าน จะขึ้นหรือลง
จะเสียเวลา กับเรื่องพวกนี้ทำไมครับ

 

วันนี้คือวันนี้ เมื่อวานผ่านไปแล้ว วันนี้ อาจเหมือนเมื่อวานก็ได้ ไม่สำคัญอะไรเลย คุณ ติดอยู่กับ เรื่อง พวกนี้หรือ ต้องดูว่า คนอื่นดีพอหรือยัง คนอื่นดีแล้วหรือยัง จาก ท่าทาง จากตาที่ตนเองมองเห็นหรือ ทำไมไม่ใช้ใจสัมผัส ความจริง บ้างว่า ความจริงแท้ ที่ ถูกลวงตาไว้นั้น เป็นเช่นไร ยังมัวหลงยึดติดอยู่กับ ตาทิพย์ ที่ตนเอง มีอยู่หรือ ใจทิพย์ น่ะ ใช้เป็นมั้ย

 

มีคนเขาบอกว่า ต่างกัน ราวกับ ฟ้า กับ เหว แน่ะ หุหุ

 

ใจที่พ้นจากสมมุติทั้งปวง ใจที่อิสระ ( อิสระจากใจ เรียกว่า ไม่ได้คิดด้วยซ้ำ )สัมผัสด้วยใจ คือ ความเป็นกลาง ที่ไม่เอารูปนาม มาเจือปน มาร่วม ด้วย มันจะว่างกลาง เป็นธรรมชาติ ทั้งหมด ที่เป็นโลก เป็นจักรวาล กลางนี้ มีให้รู้ เท่านั้น ไม่ต้องคิดเอง แบบนี้ ถึงเรียกว่า ใจสัมผัส ไม่ไช่ ทิพย์ ใดใดเลย แต่ก็พูดให้เทห์ว่า ใจทิพย์ เท่านั้นเอง

 

เมื่อวานพูด หยังก่ะนรกสั่งมาเกิด แต่วันนี้พูด เหมือนคนอยู่ในกระแสนิพพาน แน่ะ

เด๋ว ได้เจอของดีแน่ะ เพราะผลของเมื่อวาน ทำให้ตนเองมีผล อิอิ

 

ธรรมดา ธรรมชาติ ก็เท่านั้นเอง จะยึดติดกับ สมมุติเหล่านี้ เพื่อให้ เป็นภาระ ในตน ทำไม แหวก สมมุติออก แลว ลอยเด่นเหนือ สมมุติทั้งปวง สิ ดั่ง น้ำมันที่ลอยเหนือน้ำ ไม่เกาะเกี่ยว กันเลย

 

ถ้าวันนี้จะพูดแค่นี้ ไร้สาระนะภูดิด
คุยกันมานานแล้ว ทำไมไม่ดู กายในให้ผมบ้างล่ะ โชว์หน่อยสิ ว่า ผมเป็น มารร้าย เป็นเปรต หรือ อสุรกาย อย่างใดบ้าง แล้ว ผมอยากรูว่า คุณทำให้ผมเป็น อย่างนั้นอย่างนี้ ตามใจคุณได้หรือเปล่า

 

ก่ บอกแล้วไงว่าวันนี้เป็นอะไร ไม่ต้องให้เบ๋งๆ หรอก เด๋วใครจะหมั่นใส้ เอา
ธาตุแตกอีก อิอิ แสดงธรรมไปเรื่อยครับ วันนี้อยากฟังจริง ๆ

 

เชื่อ ก็กลัว อะดิ
อยากฟัง ก็ ไปหาพระที่วัดสิ ถ้าพระแสดงธรรมไม่ได้ แล้ว จะมีพระไว้ทำไม

 

ทำไมไม่ยืนกางแขน หมุนทวนเข็ม นาฬิกาดูเอาสิ หรือไม่ก็ หัดหมุนตามเข็มนาฬิกาบ้างก็ได้นะ ทวนกระแสโลก น่ะ เปล่าประโยชน์ นะ สบายๆ ชิลๆ ไม่เห็น ต้อง ลีลาให้มากนัก

 

มนุษย์ต่างดาวมาโลกทำไม?


มนุษย์ต่างดาวกลุ่มหนึ่ง (ที่ผมรู้จักนะ กลุ่มอื่นไม่รู้) เกิดจาก
มนุษย์โลก "ในอดีต" พวกเขาสำเร็จธรรมขั้นสูงสุด (อรหันต์)
แล้ว "ยังไม่ถึงวาระนิพพาน" จึงไปเกิดยัง "ต่างดาว"


แล้วเืพื่อให้ได้นิพพานจริงๆ เขาต้องมานิพพานบนโลกนี้


เขาจึงจุติลงมายังร่างของมนุษย์โลก "ที่ไร้จิตวิญญาณ" แล้ว
คือ จิตวิญญาณมนุษย์จรจากร่างไปหมด เขาก็ลงมาแทนที่ซะ
เลย แล้วอาศัยร่างนั้น "ชำระกรรมที่ตกค้างบนโลก" ให้หมดก็
จะนิพพานได้


และร่างของผมก็เป็นหนึ่งในนั้น ...

 

แล้ว ตกลง ภูดิด เชื่อ คำสอนพระโคดมมั้ยล่ะ ว่า ท่านสอนมาน่ะ จริงหรือไม่จริง
เห็นไม่กล้าตอบว่า ไม่จริง งั้นหรือ

 

Boss ลงมาก่อน


Boss ได้ร่างพระสงฆ์ไทยรูปหนึ่ง ลงมาเป็นตนแรก
จากนั้น จึงได้ใช้พลังต่างดาว ทำให้ "มนุษย์โลก" ที่
เลือกแล้วว่า "เป็นร่างสังขารที่เหมาะสม" สูญเสียจิต
วิญญาณไป จรจากร่างจนหมด


แล้วต่างดาวก็เข้ามาอยู่แทนที่ ...


พวกเรามากันมากมาย ไม่ใช่แค่ ๑ หรือ ๒ แน่นอน
แต่ผมคือ "ผู้ที่มีวิวัฒนาการในการปรับตัวเข้ากับโลก"
ได้สูงสุด ผมเคลียร์กรรมที่ตกค้างกับโลกแล้ว ทำให้
"จิตวิญญาณต่างดาว" นิพพานไป ร่างของผมก็ถูกใช้
เป็นที่รองรับ "จิตวิญญาณต่างดาว" ตนต่อไป


แต่เพื่ิอนๆ ของผมหลังเกิดในร่างมนุษย์ก็ลืมเคลียร์กรรม!