ขอคำแนะนำจากผู้รู้ค่ะ เหมือนจิตออกจากร่างตอนนอน

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย Lady_Yuna, 29 กรกฎาคม 2013.

  1. Lady_Yuna

    Lady_Yuna เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 พฤษภาคม 2013
    โพสต์:
    41
    ค่าพลัง:
    +359
    เมื่อวานซืน ขณะที่กำลังนอน แต่ยังหลับไม่สนิทเพราะไม่ค่อยสบาย นอนไปซักพักเดี๋ยวก็ไอ พยายามข่มตาให้หลับ
    พอประมาณตีสาม รู้สึกเหมือนมีเสียงกระซิบที่กระหม่อมว่า " เดี๋ยวจะลอง..ดูนะ ( ประมาณนี้ ฟังไม่ถนัด )"
    จากนั้น หูก็อื้ออย่างมากเป็นเสียงวี้ดหึ่งเป็นจังหวะ แต่ดังมากๆ จนกลบเสียงอื่นไปจนหมด แล้วตัวก็ขยับไม่ได้ รู้สึกตัวแข็งทื่อ ตาลืมได้แบบปรือๆ

    ปรากฎว่ามีแสงสีทองอ่อนพุ่งปรื้ดขึ้นมาจากช่วงท้อง เป็นลำประมาณศอกหนึ่ง และเมีลมหมุนสีขาวๆ หมุนติ้วๆขึ้นตามมา
    รู้สึกได้ว่าตัวแอ่นขึ้นตามลมไปนิดนึง และ ตัวที่นอนอยู่เบาลงไปมาก

    จากนั้นลมหมุนติ้วๆสีขาวนั้นก็แปรสภาพกลายเป็นกลุ่มก้อนพลังงานสีเทา แต่โปร่งแสงมองทะลุได้ (มองไม่ถนัดว่าเป็นรูปร่างอะไร
    เพราะตลอดเวลานี้ หูก็อื้ออย่างมาก ตัวแข็งทื่อ ขยับตัวไม่ได้เลย )

    สักพักกลุ่มพลังงานนี้ก็มาทับที่ร่าง ใจก็คิดว่า โหทับทำไม มันหนักนะ ทันใดนั้นก้อนพลังงานนั้นก็พุ่งพรวดเข้าไปทางปาก
    เหมือนว่าดูดเข้าไปในปากเรา อย่างเร็วมาก พยายามจะเม้มปากไว้ ก็ขยับปากไม่ได้ ได้แต่ภาวนาในใจว่า พุทธัง สรนัง คัจฉามิๆ
    แต่ก็หยุดไม่ให้พลังงานนั้นเข้ามาไม่ได้ จนกระทั่งใกล้จะหมด และเราพอจะขยับริมผีปากได้นิดหน่อย เลยเม้มปากไว้
    เพื่อไม่ให้ก้อนพลังงานเข้าไป แต่ก็เข้าไปในปากจนหมด

    จากนั้น หูก็หายอื้อ รู้สึกตัวหนักขึ้นและขยับได้ตามปกติ

    อยากทราบว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมันคืออะไร เป็นอันตรายไหม ควรปฎิบัติตนอย่างไรดีคะ ขอถามผู้รู้ด้วยค่ะ
    ปกติแล้วเป็นคนชอบสวดมนต์เป็นประจำ มักสวดพาหุง อิติปิโสเท่าอายุ ชินบัญชร ยอดกัณฑ์ หลังสวดเสร็จก็จะ
    แผ่เมตตาให้สรรพสัตว์ เจ้ากรรมนายเวรทุกครั้ง และหากมีเวลาก็จะนั่งสมาธิต่อ แต่วันที่เกิดเหตุการณ์นี้ ติดภาระกิจต่างจังหวัดเลยไม่ได้สวด


    ขอบคุณล่วงหน้านะคะ
     
  2. ฐสิษฐ์929

    ฐสิษฐ์929 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    876
    ค่าพลัง:
    +1,844
    น่าจะมีผลจากพิษไข้นั้นละครับ ไม่เป็นไรหรอกครับ
     
  3. telwada

    telwada เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กันยายน 2004
    โพสต์:
    1,556
    ค่าพลัง:
    +1,817
    คุณเจ้าของกระทู้ขอรับ อ่านและคิดพิจารณาในทางที่ดีนะขอรับ
    คุณ...มีข้อมูลที่ผิดๆเนื่องจากได้รับความรู้ที่ผิด แต่กลับศรัทธาคือมีความเชื่อ จึงเป็นความเชื่อในทางที่ผิดๆ
    มนุษย์ปุถุชนคนธรรมดาทั้่วไป ถ้าจิตออกจากร่าง ก็หมายถึง "ตาย"ขอรับ แต่คุณยังรู้สึกตัว ยังรู้ว่ามีอาการอย่างนั้นอย่างนี้
    ที่เป็นเช่นนั้น เกิดจากการปรุงแต่ง คือ การผสมผสานข้อมูลความจำต่างๆปนเปกันไป จึงทำให้มีความคิดมีความรู้สึกอย่างนั้น จะเรียกว่า คุณฝันไปก็ว่าได้ ซึ่งสาเหตุเกิดจากปัจจัยหลายประการ ในที่นี้จะไม่กล่าวถึง
    แต่จะยกตัวอย่างให้ได้อ่านและทำความเข้าใจเอาไว้ว่า ถ้าตัวจะลอย ก็จะลอยขึ้นทั้งตัว ไม่ใช่จิตออกจากร่าง ข้าพเจ้าเคยมีประสบการณ์ในเรื่องนี้ ครั้งเมื่อยังรับราชการอยู่ ไปถวายอารักขา ที่บ้านหมอกจำแป๊ อ.แม่ฮ่องสอน อากาศที่นั่นเย็นขอรับ นอนห่มผ้าอยู่กางมุ้งด้วย แต่ตกดึก พอได้ยินเสียง พลทหาร สับเปลี่ยนเวรยามกัน ข้าพเจ้าก็รู้สึกว่า ร่างกายของข้าพเจ้า ลอยขึ้น ลอยขึ้นทั้งตัวขอรับ รวมทั้งผ้าห่มด้วย แต่ไม่ออกไปนอกมุ้ง เพราะมุ้งคลุมอยู่ ลอยดันมุ้งขึั้นไปด้วยซ้ำ ถ้าจำไม่ผิดเพราะนานมาแล้วประมาณ สิบห้า ถึง ยี่สิบปี เห็นจะได้ ตอนนั้น ยังไม่รู้จักควบคุมตัวเองมากนัก ตกดึก ไก่มักจะขัน ตั้งแต่ เที่ยงคืน ไปจนถึง ตีสอง ตีสาม โน่นแหละขอรับ นี้เป็นเรื่องจริง และเป็นการเล่าให้ได้รู้ว่า จิตมนุษย์ปุถุชนคนทั่วไปไม่สามารถออกจากร่างกายได้ นอกจากฝันไปเท่านั้น แต่ก็ไม่ใช่ข้อยุตินะขอรับ ยังมีข้อยกเว้นอีกมากมายหลายประการที่มนุษย์ สามารถแบ่งแยก ดวงจิตได้ อ่านให้ดีนะขอรับ "แบ่งแยกดวงจิต" นะขอรับ ไม่ใช่"จิตออกจากร่าง"นะขอรับ
     
  4. มาจากดิน

    มาจากดิน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2008
    โพสต์:
    5,913
    กระทู้เรื่องเด่น:
    10
    ค่าพลัง:
    +2,493
    รวมๆ ไม่เป็นไร

    ได้สังเกตไหมว่าร่างกายเป็นเหน็บไหม
     
  5. Lady_Yuna

    Lady_Yuna เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 พฤษภาคม 2013
    โพสต์:
    41
    ค่าพลัง:
    +359
    อาการเป็นเหน็บ หรือปวดคอไม่มีเลยค่ะ

    ยืนยันว่าไม่มีอาการเหน็บชาหรือเจ็บปวดเลย ขณะนั้นมีแต่หูอื้อวี้ดๆอย่างดังมากจน
    แสบแก้วหู และขยับตัวไม่ได้พอเหตุการณ์จบ ก็อาการหูอื้อหายไป ขยับพลิกตัวได้
    ไม่ชาหรือปวดแต่อย่างใด
     
  6. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,566
    ค่าพลัง:
    +9,966
    อริยะทรัพย์ปรากฏ

    ขอคำแนะนำจากผู้รู้ค่ะ เหมือนจิตออกจากร่างตอนนอน

    +++ กรณีของคุณนั้น เป็นกรณีพิเศษที่ไม่น่าจะเกิดขึ้นได้ สามารถแยกออกมาได้ 2 กรณี และแต่ละกรณีนั้นไม่น่าจะเกิดขึ้นได้ทั้งคู่ ส่วนการอธิบายและแยกแยะประเด็นให้ฟังนั้น ก็ยังไม่ถึงเวลาที่คุณจะเข้าใจได้ในขณะนี้ แต่ผมจะไม่แยกแยะให้ฟังก็ไม่ได้อีกเช่นกัน เพราะมันเป็นเรื่องของ "อริยะทรัพย์ปรากฏ" ดังนั้นขอให้เก็บไว้เป็นเพียงแค่ เอกสารอ้างอิง เท่านั้นนะครับ เรื่องทุกอย่างจะแยกแยะอธิบายไปตามประเด็นและกรณีข้างล่างนี้

    เมื่อวานซืน ขณะที่กำลังนอน แต่ยังหลับไม่สนิทเพราะไม่ค่อยสบาย นอนไปซักพักเดี๋ยวก็ไอ พยายามข่มตาให้หลับ พอประมาณตีสาม รู้สึกเหมือนมีเสียงกระซิบที่กระหม่อมว่า " เดี๋ยวจะลอง..ดูนะ ( ประมาณนี้ ฟังไม่ถนัด )" จากนั้น หูก็อื้ออย่างมากเป็นเสียงวี้ดหึ่งเป็นจังหวะ แต่ดังมากๆ จนกลบเสียงอื่นไปจนหมด แล้วตัวก็ขยับไม่ได้ รู้สึกตัวแข็งทื่อ ตาลืมได้แบบปรือๆ

    +++ เสียงกระซิบที่กระหม่อมว่า " เดี๋ยวจะลอง..ดูนะ ( ประมาณนี้ ฟังไม่ถนัด )" เสียงนี้มีที่มาได้เพียง 2 ทางเท่านั้น

    +++ 1. หากเป็นเสียงผู้อื่น ย่อมเป็นเสียงที่มาจากภพภูมิ ซึ่งตามปกติแล้ว ท่านเหล่านั้น จะไม่เข้ามาแทรกแซงในวงจรจิตของคุณ เว้นไว้แต่ว่าจะมี วาสนาหรือเคยทำบารมีในทางธรรมร่วมกันมาก่อนเท่านั้น และ ย่อมจะต้องถึงเวลาของคุณ ตามสภาวะธรรมของคุณ ด้วยการ "เปิดโสตะวิญญาณ" ของคุณ

    +++ 2. หากเป็นเสียงของตนเอง ย่อมเป็นเสียงที่เกิดจาก "วจีจิตตะสังขารขันธ์" แยกตนออกมาทำงานเอง ซึ่งตนต้องเคยผ่านตรงนี้มาก่อน ไม่จำเป็นต้องเป็นชาตินี้ก็ได้ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ย่อมจะต้องถึงเวลาของคุณ ตามสภาวะธรรมของคุณ ด้วยการ "เปิดโสตะวิญญาณ" ของคุณ ด้วยบารมีธรรมเก่าของคุณเอง

    +++ ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม การ "เปิดโสตะวิญญาณ" ของคุณ ทำให้คุณได้ยิน "คลื่นความถี่สูง" (หูก็อื้ออย่างมากเป็นเสียงวี้ดหึ่งเป็นจังหวะ) ซึ่งเป็นเครื่องชี้สภาวะว่า ในขณะนั้น "คุณมีสติเป็นองค์ประกอบ ในระดับที่รับ คลื่นความถี่สูง ได้" และจากการที่ "ดังมากๆ จนกลบเสียงอื่นไปจนหมด" นั้น คือ การที่จิตของคุณ "ดู และ โฟกัส" ไปยังเฉพาะแถบคลื่นความถี่นั้น กล่าาวได้ว่า "เพ่งไปที่คลื่นความถี่นั้นก็ได้" ทำให้เกิดการรวมตัวของ สมาธิขึ้น

    +++ สติ จากโสตะวิญญาณ ผนวกกับ สมาธิที่อยู่กับคลื่นความถี่สูง ทำให้ สติ สามารถผนึกตัวเป็น สมาธิ ได้ด้วยตัวมันเอง จาก กาย (รู้ตัว)(กายานุปัสสนามหาสติปัฏฐาน) เข้าสู่ เวทนากาย (รู้สึกตัว)(เวทนานุปัสสนามหาสติปัฏฐาน) จึงทำให้เกิดอาการ "รู้สึกตัวแข็งทื่อ" อันเป็นสิ่งเริ่มต้นที่ผมเรียกมันว่า "กายเวทนา" และสามารถลงไปได้ลึกถึงขั้น "ตาลืมได้แบบปรือๆ" แท้จริงแล้ว หากสติสามารถผนึกตัวได้จนเป็นสมาธิ ในระดับหนึ่งแล้ว อาการ ลืมตาแบบพระพุทธรูปย่อมปรากฏมาเอง

    +++ สรุปในจุดนี้ ไม่ว่าเหตุจะมาจาก จิตอื่น หรือ จิตตน ก็ตาม ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นคือ สติสามารถผนึกตัวได้จนเป็นสมาธิในระดับความลึกของ ฌานที่ 3 และพร้อมที่จะเป็น เอกัคตาธรรม อันเหมาะสมกับการแสดง รูปละเอียดของการพยากรณ์ทางเดินในอนาคตของคุณได้ "นิมิตแห่งอนาคตังสญาณ"

    ปรากฎว่ามีแสงสีทองอ่อนพุ่งปรื้ดขึ้นมาจากช่วงท้อง เป็นลำประมาณศอกหนึ่ง และเมีลมหมุนสีขาวๆ หมุนติ้วๆขึ้นตามมา รู้สึกได้ว่าตัวแอ่นขึ้นตามลมไปนิดนึง และ ตัวที่นอนอยู่เบาลงไปมาก

    +++ ทองคำ หรือ สีทอง ในทางพุทธะธรรมมีได้ความหมายเดียวคือ นิพพานธรรม เท่านั้น การที่ "มีแสงสีทองอ่อนพุ่งปรื้ดขึ้นมาจากช่วงท้อง" คือการที่มี นิพพานธรรมออกมาจากตน นั่นคือการพยากรณ์ของ "อริยะทรัพย์ปรากฏ" และ "มีลมหมุนสีขาวๆ หมุนติ้วๆขึ้นตามมา" นั้นคือ "ในขณะที่เป็น ฆราวาส" นั่นเอง

    จากนั้นลมหมุนติ้วๆสีขาวนั้นก็แปรสภาพกลายเป็นกลุ่มก้อนพลังงานสีเทา แต่โปร่งแสงมองทะลุได้ (มองไม่ถนัดว่าเป็นรูปร่างอะไร เพราะตลอดเวลานี้ หูก็อื้ออย่างมาก ตัวแข็งทื่อ ขยับตัวไม่ได้เลย )

    +++ จิตเริ่ม ถอยฌาน ลงมาจาก ลมสีขาว (กายจิต) แปรสภาพกลายเป็นกลุ่มก้อนพลังงานสีเทา (กายเวทนา) หากสามารถมองถนัดได้ ก็จะรู้ได้เองว่า เป็นลักษณะมนุษย์ที่ไม่มี หน้า และ หู ตา แต่อย่างใด และเริ่มถอยลงมาสู่ ฐานกายา (กายเวทนา สู่ กายเนื้อ) อีกครั้ง "หูก็อื้ออย่างมาก ตัวแข็งทื่อ ขยับตัวไม่ได้เลย"

    สักพักกลุ่มพลังงานนี้ก็มาทับที่ร่าง ใจก็คิดว่า โหทับทำไม มันหนักนะ ทันใดนั้นก้อนพลังงานนั้นก็พุ่งพรวดเข้าไปทางปาก เหมือนว่าดูดเข้าไปในปากเรา อย่างเร็วมาก พยายามจะเม้มปากไว้ ก็ขยับปากไม่ได้ ได้แต่ภาวนาในใจว่า พุทธัง สรนัง คัจฉามิๆ แต่ก็หยุดไม่ให้พลังงานนั้นเข้ามาไม่ได้ จนกระทั่งใกล้จะหมด และเราพอจะขยับริมผีปากได้นิดหน่อย เลยเม้มปากไว้ เพื่อไม่ให้ก้อนพลังงานเข้าไป แต่ก็เข้าไปในปากจนหมด

    +++ กายเวทนา (กายพลังงานของกายมนุษย์) พยายามกลับเข้าสู่กายเนื้อ "สักพักกลุ่มพลังงานนี้ก็มาทับที่ร่าง" แต่จากการที่ไม่คุ้นเคย จึงทำให้ "วจีจิตตะสังขาร" พูดออกไปว่า "โหทับทำไม มันหนักนะ" ดังนั้นจึงทำให้ กายเวทนา เลือกที่จะเข้าทางปากเอง ทั้ง ๆ ที่จะเข้าทางไหนก็ได้ ย่อมเข้าสู่กายเนื้อได้เอง

    จากนั้น หูก็หายอื้อ รู้สึกตัวหนักขึ้นและขยับได้ตามปกติ

    +++ เมื่อ กายา + เวทนา + จิตตา รวมตัวกัน ความคุ้นเคยแห่ง อัตตาจิต ที่เรียกว่า "ตน" หรือ ธรรมารมณ์ ย่อมกลับเข้าสู่ภาวะนิสัยตามปกติ
    +++ เมื่อ กาย + เวทนา + สัญญา + สังขาร รวมตัวกัน ความคุ้นเคยแห่ง อัตตาจิต ที่เรียกว่า "วิญญาณ" ของ ขันธ์ 5 ย่อมกลับเข้าสู่ภาวะนิสัยตามปกติ

    อยากทราบว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมันคืออะไร เป็นอันตรายไหม ควรปฎิบัติตนอย่างไรดีคะ ขอถามผู้รู้ด้วยค่ะ ปกติแล้วเป็นคนชอบสวดมนต์เป็นประจำ มักสวดพาหุง อิติปิโสเท่าอายุ ชินบัญชร ยอดกัณฑ์ หลังสวดเสร็จก็จะ แผ่เมตตาให้สรรพสัตว์ เจ้ากรรมนายเวรทุกครั้ง และหากมีเวลาก็จะนั่งสมาธิต่อ แต่วันที่เกิดเหตุการณ์นี้ ติดภาระกิจต่างจังหวัดเลยไม่ได้สวด

    +++ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นคือ อนาคตังสญาณ ที่เกิดจากการ กระตุ้น ของจิตอื่น หรือ จากบารมีธรรมจากตนเอง ก็ได้ และทั้งหมดสรุปออกมาได้ว่า เป็นเรื่องของ "อริยะทรัพย์ปรากฏ" ซึ่งบุคคลที่เกี่ยวพันกับเรื่องนี้ ย่อมสามารถหาทางเดินบนวิถีจิตได้ด้วยตัวของตัวเอง และมักจะมี เหตุบังเอิญที่จงใจ ให้บังเอิญจนเกินไป ในขณะที่ต้องฝ่าด่านทางจิต ให้สามารถลุล่วงไปได้เป็นระยะ ๆ และไปได้ด้วยดีเสมอ ในอนาคตให้ลองสังเกตุ ๆ ดูดี ๆ นะครับ

    ให้ใช้เพียงแค่เป็นเอกสารอ้างอิงเท่านั้นนะครับ นอกนั้นต้องให้ทุกอย่างคลี่คลายเฉลยตัวออกมาเอง จึงจะเป็นการดีที่สุด
     
  7. Lady_Yuna

    Lady_Yuna เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 พฤษภาคม 2013
    โพสต์:
    41
    ค่าพลัง:
    +359
    ขอบคุณ คุณธรรม-ชาติมากๆค่ะที่ให้ความกระจ่าง
    ส่วนตัวแล้วเป็นคนชอบนั่งสมาธิค่ะ สมัยประถมคุณครูที่ร.ร. สอนนั่งสมาธิแบบ
    ภาวนาพุธโท นั่งพร้อมกับเพื่อนๆ มีอยู่หลายครั้งที่นั่งแล้วเหมือนตัวลอยขั้นมา
    พอออกจากสมาธิแล้วลืมตา ปรากฎว่าไปนั่งห่างจากที่นั่งเดิมไกลเลย คนที่นั่ง
    ข้างๆก็ไม่ใช่คนเดิม ก็ไม่เข้าใจในตอนนั้นว่าเกิดอะไรขึ้นและโดนคุณครูดุว่าแอบย้ายที่
    ไม่ตั้งใจทำสมาธิ และภายหลังกลับไปนั่งที่บ้าน นั่งไปแล้วรู้สึกว่าไม่มีตัวอยู่ ไม่มีลม
    หายใจ พอคุณแม่ทราบก็ห้ามไม่ให้ทำอีก เดี่ยวจะเป็นคนบ้า เลยไม่ได้ทำต่อ เพิ่งจะมา
    ปฎิบัติต่อตอนช่วงนี้ค่ะ
     
  8. มาจากดิน

    มาจากดิน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2008
    โพสต์:
    5,913
    กระทู้เรื่องเด่น:
    10
    ค่าพลัง:
    +2,493

    หากต้องการทำสมาธิต่อ ไปสนทนากันต่อที่นี่ครับ

    นิพพานคืออะไร ? - Wunjun Group
     
  9. THE SEVEN

    THE SEVEN เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    154
    ค่าพลัง:
    +870
    จากที่คุณ ธรรม-ชาติ กล่าวเรื่องเปิดโสตะวิญญาณมีความเป็นไปได้สูงครับเพราะคุณ Lady_Yuna น่าจะทำสมถกรรมฐานในอดีตมามาก กำลังฌานดี และมีอภิญญาเก่าแต่เดิม
    เสียงคลื่นความถี่สูง เสียงเหมือนกังหันลมสังกะสีหลายๆอัน เหมือนเป็นเสียงวี๊ดของลมที่ตีกับกังหันลมหลายๆอัน จะมีเสียงวี๊ดและเสียงลม เสียงนี้ดังมาก แต่ผมไม่ได้ยินที่หู ได้ยินที่แหล่งกำเนิดอื่น ความถี่ต่ำก็ได้ยิน หลังจากนั้นก็ได้ยินคนอื่นแผ่เมตตา อุทิศกุศล ที่นั่งห่างเรามาก รวมทั้งเสียงสวดมนต์ พาหุง-มหากาฯ

    คุณ Lady_Yuna ชอบสวดมนต์ อิติปิโส พาหุง-มหากาฯ อยู่แล้ว ประกอบกับทำสมถกรรมฐานดีอยู่แล้ว ตอนนี้ควรเน้นไปที่สติปัฏฐาน4 แนะนำที่วัดอัมพวัน หลวงพ่อจรัญ ฐิตธัมโม เพราะคุณสวดมนต์ตามที่หลวงพ่อแนะนำอยู่แล้ว
    ปฏิบัติซัก7วันต่อเนื่อง สติ สัมปชัญญะ จะได้ต่อเนื่องและมีกำลังให้เกิดปัญญา
    ทำให้ญาณเจริญจนถึงความสำเร็จได้ ทำคราวละ7วันต่อเนื่องจะได้ผลดี อยู่กับกาย-ใจตัวเองต่อเนื่อง
    ถ้า อริยะทรัพย์ปรากฏ ตามที่คุณธรรม-ชาติกล่าว เมื่อโอกาสเรามาถึงพร้อมแล้วต้องรีบทำ
    ถ้าบารมี10 พละอินทรีย์5 เราเกือบเต็มแล้ว ประจวบกับมีอาจารย์ให้กรรมฐานสติปัฏฐาน4ที่ถูกต้องและมีประสิทธิภาพ เมื่อเราปฏิบัติสติปัฏฐาน4 จนบารมีและ พละเต็ม ปัญญาเกิด ก็มีโอกาสบรรลุธรรมได้
    ขอให้ประสบผลสำเร็จ อนุโมทนา
     
  10. Lady_Yuna

    Lady_Yuna เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 พฤษภาคม 2013
    โพสต์:
    41
    ค่าพลัง:
    +359
    ขอบคุณค่ะคุณ The Seven ถ้ามีโอกาสจะลองไปปฎิบัติธรรมที่นั่นดูค่ะ
     
  11. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,566
    ค่าพลัง:
    +9,966
    หากต้องการ รู้แจ้งในเรื่องต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นกับคุณนั้น มหาสติปัฏฐาน 4 สามารถเป็นกุญแจไขคำตอบให้คุณได้ตามที่คุณ THE SEVEN กล่าวมานั่นแหละครับ

    หากจะให้ดีแล้วควรควบ วสี 5 ลงไปในมหาสติปัฏฐาน ไว้ด้วยกัน ซึ่งผมจะโพสท์เอาไว้ให้เทียบเคียงกับวิธีการฝึกส่วนตัวของผม นะครับ
     
  12. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,566
    ค่าพลัง:
    +9,966
    มหาสติปัฏฐาน 4 กับการกำเหนิดของ วสี 5 (วิชชาแห่งการ กำหนดจิต)

    วสี คือความ ชำนาญ ว่องไว ได้ดั่งใจ ในเรื่องของการกำหนดจิต แบ่งอย่างหยาบ ๆ ออกมาได้ 5 ประการ คือ

    1. ปรารถนาที่จะ "เข้า" สมาธิเมื่อใดก็เข้าได้เลย
    2. ปรารถนาที่จะ "ออก" จากสมาธิเมื่อใดก็ออกได้ทันที โดยไม่มีการติดพัน
    3. ปรารถนาที่จะ "เร่ง" สมาธิให้ลึกกว่าเดิมเมื่อใดก็เร่งได้ทันที
    4. ปรารถนาที่จะ "ผ่อน" สมาธิที่เรียกว่า "ถอยฌาน" เมื่อใดก็ทำได้เลย
    5. ปรารถนาที่จะ "แช่-ตรึง-อยู่" ในสมาธิระดับใดก็ได้สมตามความปรารถนาทุกประการ

    อานิสสงค์ของ วสี มีเอนกอนันต์เกินกว่าที่จะบรรยายได้ กล่าวได้อย่างคร่าว ๆ ได้ดังนี้

    1. ผู้ที่ฝึก วสี ย่อมไม่หลงติดกับดักภายในสมาธิ เช่น ติดสุข ติดสงบ ติดภวังค์ ติดรูป ติดนาม และ สมาธิหัวตอ เป็นต้น
    2. ผู้ที่ฝึก วสี ย่อมเป็นผู้ที่ได้ "ธัมมะวิจัยยะ" โดยปริยาย เพราะจะเป็นผู้รู้ในเรื่อง "การกำหนดจิต และผลลัพธ์ของมัน" จวบจน ปฏิจจสมุปบาท ครบวงจร
    3. ผู้ที่ฝึก วสี ย่อมเป็นผู้ที่ "เห็นจิต" "ดูจิต" และ "ใช้จิต" ได้ในเวลาไม่นาน จนกระทั่ง "พ้นแล้วจากความเป็นจิต" (เจโตวิมุติ) ในที่สุด
    4. ผู้ที่ฝึก วสี ย่อมสามารถ "เรียน-รู้-อยู่" ในเรื่องภพภูมิได้ตามความเป็นจริง จนกระทั่ง "พ้นแล้วจากภพภูมิทั้งมวล" และ "อยู่กับรู้" ได้ตามความเป็นจริง
    5. ผู้ที่ฝึก วสี ย่อมได้ "ปฏิสัมภิทาญาณ" เมื่อ "ฝึกและใช้ วจีจิตตะสังขาร" ได้อย่างคล่องแคล่วแล้ว

    ประสพการณ์ และ วิธีฝึกโดยส่วนตัว

    ผมเริ่มต้นการฝึกสมาธิตามแบบฉบับของ สายพระป่าหลวงปู่มั่น คือ อานาปานสติ + พุทโธ เหมือนกับที่คนทั่วไปฝึกฝนกัน เพียงแต่ผมจับสังเกตุได้ว่า ทุกครั้ง ก่อนที่จะมีการถอดจิตออกมาเป็น กายจิต ด้วยรูปฌาน 4 จะต้องผ่านอาการ "ความรู้สึกทั้งตัว" ทุกครั้ง และหลังจากความรู้สึกทั้งตัว จางคลายลง ก็จะเกิดอาการ ตนเองออกมาจากตนเอง เสมอ บางครั้งก็เป็นแบบ ถอดดาบออกจากฝัก บางครั้งก็เป็นแบบ ลุกออกมาจากท่านั่ง แต่ถ้าหากไม่ผ่าน "ความรู้สึกทั้งตัว" (ในช่วงแรก ๆ ของการฝึก) ก็มักจะตกและหลงอยู่ใน "ภวังค์จรณะ" เสมอไป (กับดักของ อุปจาระสมาธิ) ดังนั้น เพื่อความสะดวกในความรวดเร็ว และ ข้ามพ้นกับดักของอุปจาระสมาธิ เพื่อเข้าสู่ระดับของ อัปปนาสมาธิ (ฌาน) โดยตรง ผมจึงตั้ง Key Word ส่วนตัวของผมขึ้นมาว่า "ความรู้สึกทั้งตัว" และ ความรู้สึกทั้งตัว นี้สามารถสร้างได้ง่าย ๆ เพียงแค่ "นั่งให้สบาย ๆ แต่มั่นคง หลับตา ปรับอิริยาบทให้เข้าที่" ยามใดที่อิริยาบทเข้าที่แล้ว จิตจะ "หยุด" "พอใจ" และ "อยู่" กับสภาวะที่เรียกว่า "เข้าที่" นี้ เพียงชั่วครู่ ก่อนที่จะมีอาการ "หลุด" ออกไปอีก จุดที่สำคัญที่สุดในตอนนี้ คือ ยามที่ จิต "หยุด" "พอใจ" และ "อยู่" กับสภาวะ "เข้าที่" นี้ ให้ทำการ "แช่" หรือจะเรียกว่า "วาง" ก็ได้ แล้วปล่อยสภาวะ "เข้าที่" ให้อยู่อย่างนั้น เสมือนกับ "การนอนแช่น้ำ" อย่างไรอย่างนั้น ผลลัพธ์จากการ "แช่" ก็จะทำให้เกิด "ความรู้สึกทั้งตัว" ขึ้นมาเอง

    "ความรู้สึกทั้งตัว" เมื่อปรากฏแล้ว จะพบได้ว่า

    1. มีสภาวะรู้ (สติ) ชัดเจน และ เป็นลักษณะเด่น
    2. มี "ตน" ในขณะนั้น "เป็น" ความรู้สึก หรืออาจกล่าวได้ว่า มี "ตน" ในขณะนั้น "เป็น" สัมปชัญญะ ก็ได้ (เพราะมีสัมปชัญญะ ครบทั้ง 4 ประการคือ 1. สาตกสัมปชัญญะ = รู้การกำหนดของจิต 2. โคจรสัมปชัญญะ = รู้ในปัจจุบันแห่งขณะจิต 3. สัมปายสัมปชัญญะ = ไม่มีทุกข์สามารถอยู่เช่นนั้น ก็อยู่ได้ 4. สัมโมหสัมปชัญญะ = รู้วาระจิตที่ผ่านมาแล้ว และสามารถดึงกลับมา (ระลึก-ตรึง-ปรากฏ) เพื่อ ธัมมะวิจัยยะ ได้)

    "ความรู้สึกทั้งตัว" คือ รอยต่อระหว่าง สมถะ กับ วิปัสสนา

    จาก สัมปายสัมปชัญญะ = ไม่มีทุกข์สามารถอยู่เช่นนั้น ก็อยู่ได้ นั้น หากทำการ "แช่" ตรงนี้ สภาวะ "อยู่เช่นนั้นก็อยู่ได้" ก็จะเริ่มกลายเป็น "พอใจในการอยู่เช่นนั้น" (ปิติ เพลิดเพลิน กายโยกตามจังหวะการเต้นของหัวใจ ฌาน 2) และจะวิวัฒนาการมาเป็น "ความสุขในการอยู่เช่นนั้น" (โล่ง โปร่ง เบา สบาย ใสเป็นแก้ว ฌาน 3) และจะพัฒนามาเป็น "วางสรรพสิ่ง เฉยอยู่เช่นนั้น" (มีเอกัคตาเป็น อุเบกขา ฌาน 4) ตรงนี้เป็น สมถะฌานสมาบัติ จะเป็น รูป-อรูป ก็ได้ แล้วแต่การเดินจิตใน เอกัคตา เป็นตัวหลัก จาก เอกัคตา สู่ เอกัคตา

    จาก สาตกสัมปชัญญะ = รู้การกำหนดของจิต หากทำการ "แช่" ตรงนี้ จะทำให้เกิด การเรียนรู้การทำงานของจิต ว่า กำหนดจิตเช่นไร จะให้ผลลัพธ์ออกมาเป็นอย่างไร ตรงนี้ ตามภาษาสมถะ เรียกว่า วิตก-วิจาร (ฌาน 1) และ ตามภาษา วิปัสสนาเรียกว่า ดูจิต ทั้งหมดไม่มีอาการของ จิตนึก จิตคิด เข้ามาเจือปนแต่อย่างใดทั้งสิ้น และการ "เห็นการทำงานของจิต" นี้ "เป็นการเห็นของ สติ-สัมปชัญญะ" ภาษาของพระป่าท่านเรียกว่า "ตาสติ-ตาปัญญา" และภาษาพระไตรปิฏกเรียกว่า "วิปัสสนาญาณทัศนะ" ตามภาษาในหมวด มหาสติปัฏฐาน 4 เรียกว่า จิตตานุปัสสนามหาสติปัฏฐาน และหากดูลึกลงไปเรื่อย ๆ จนถึงชั้นต้นกำเหนิดของจิต ก็จะอยู่ในระดับที่ไม่มี กายและตัวตน (อรูปฌาน 4) เหลืออยู่แต่เพียง การเรียกรู้ของสภาวะต่าง ๆ ที่ให้กำเหนิด เจตสิก ออกมาแต่อาการ (ดวง) เท่านั้น ภาษาตรงนี้เรียกว่า ธรรมานุปัสสนาม
    หาสติปัฏฐาน ตรงนี้เป็น วิปัสสนาญาณทัศนะวิสุทธิ

    จาก สัมโมหสัมปชัญญะ = รู้วาระจิตที่ผ่านมาแล้ว และสามารถดึงกลับมา (ระลึก-ตรึง-ปรากฏ) เพื่อ ธัมมะวิจัยยะ ได้นั้น สามารถเรียนรู้และเปรียบเทียบได้ในระหว่าง ความเป็นจิต ต่อ ความเป็นจิต ขีดความสามารถของจิต และขีดจำกัดของมัน (อจินไตย = อะจิต+อธิปไตย = จิตไม่มีความเป็นใหญ่เหนือเรื่องนั้น ๆ) จึงรู้ได้ว่า อะไรคือ อภิญญา และอะไร ไม่ใช่อภิญญา รวมทั้ง ความรู้ใบไม้นอกกำมือ ตามกรรมและบารมีของแต่ละจิตส่วนบุคคล รวมทั้ง การใช้เวลาในการเดินทางของจิตที่ผ่านมา

    และทั้งหมดที่กล่าวมานั้นเป็น โคจรสัมปชัญญะ = รู้ในปัจจุบันแห่งขณะจิต ทั้งสิ้น เรียกได้อีกอย่างหนึ่งว่า เจโตปริยะญาณ นั่นเอง

    "ความรู้สึกทั้งตัว" คือ กายชนิดหนึ่ง

    ผมเรียกมันว่า "กายเวทนา" หรือ "กายพลังงานของกายมนุษย์" หรือใครจะเรียกมันว่า "กายแห่งสัมปชัญญะ" ก็ได้ และกายนี้สามารถ "ถอด" ออกจากกายเนื้อ หรือ กายมนุษย์ ได้ เช่นเดียวกันกับ "กายจิต" แต่มีความเหมาะสมในการเรียนรู้ในเรื่องของ "ภูมิ" มากกว่ากายจิต ซึ่งเหมาะต่อการศึกษาในเรื่องของ "ภพ" และเรื่องของ ภพและภูมิ ต่าง ๆ ก็เป็นเรื่องของ รูปและนาม ทั้งสิ้น โดยที่ ภพเป็นฝ่ายรูป ส่วน ภูมิเป็นฝ่ายนาม เรื่องของ รูปและภพ เป็นเรื่องของ กายและจิต ส่วนเรื่องของ นามและภูมิ เป็นเรื่องของ เวทนาและธรรมารมณ์ ทั้งหมดถูกรวบอยู่ภายใน มหาสติปัฏฐาน 4 นี่เองไม่ได้ไปไหนเลย

    "ความรู้สึกทั้งตัว" คือ เวทนานุปัสสนามหาสติปัฏฐาน ที่ควบเอา กายานุปัสสนามหาสติปัฏฐาน ไว้ด้วยกัน สามารถกล่าวได้ว่า เป็นเบื้องต้นแห่ง รูป-นาม หยาบ หากสามารถทำการ "แช่" (ตั้งมั่น-สมาธิ-อยู่) กับมันได้ ก็จะสามารถวิวัฒนาการมาเป็น จิตตานุปัสสนามหาสติปัฏฐาน และ ธรรมานุปัสสนามหาสติปัฏฐาน ได้ด้วย สภาวะของตัวมันเอง ซึ่งเป็นเรื่องของ รูป-นาม ละเอียด จนกว่าจะ "เห็น" การก่อกำเหนิดของนามธรรมชั้นสุดท้ายที่เรียกกันว่า อวิชชา อันเป็นการเริ่มต้นของ สังขตะธรรม (Dynamic Stage) รวมทั้ง "ผู้ให้กำเหนิดอวิชชา" จนถึง อวกาศเดิมแท้อันเป็น อสังขตะธรรม (Static Stage) ที่เป็น สภาวะรู้ และมีมาอยู่ก่อนที่ อวิชชา จะถือกำเหนิดมาอันเป็นเวลาที่ไม่สามารถนับได้

    การฝึก "ความรู้สึกทั้งตัว" เพื่อสร้าง วสี 5

    หลังจากที่ได้ "ความรู้สึกทั้งตัว" แล้ว ให้ทดสอบ การเพิ่ม-ลด ระดับของความรู้สึกตัว ในระดับต่าง ๆ ดู เช่น หากสามารถ เพิ่ม ความรู้สึกตัวจนถึงขนาดเต็มที่และไม่สามารถที่จะเพิ่มได้มากกว่านั้นแล้ว ให้เรียกมันว่า ระดับ 100% และการลดความรู้สึกตัวจนไม่ให้มีเหลืออยู่เลย เรียกว่า 0% ซึ่งจะเหลืออยู่แต่ กายานุปัสสนามหาสติปัฏฐาน โดยไม่มี เวทนานุปัสสนามหาสติปัฏฐาน เข้าเจือปนอยู่เลย ตรงนี้เรียกว่าการเปลี่ยนจาก ฐานเวทนา เข้าสู่ ฐานกายา นั่นเอง

    ฐานที่ดีที่สุดในการฝึกวสี 5 คือ ฐานเวทนา เท่านั้น ให้ฝึก การเข้า-ออก จาก 0-100% แต่ถ้าหากเป็นเรื่องของ การเดินจิต-ปรับจิต ในฐานของ กายเวทนา นี้ ก็ให้ปรับแบบ เพิ่ม-ลด % ต่าง ๆ เช่นในระหว่าง 25-30% หรือ 50-70% เป็นต้น และฝึกในการ "อยู่-แช่" ในระดับต่าง ๆ ก็จะรู้ได้ว่า ในแต่ละระดับของการ แช่ อยู่นั้น จะเกิดปรากฏการณ์ของการเรียนรู้ ในแต่ละระดับแตกต่างกัน เช่น ระดับ 70-90 จะเห็นการกลายสภาพของ กายเวทนา ออกมาในหมวดของ ธาตุ 4 เป็นต้น อันเป็นหมวดวิชาในการศึกษาในเรื่อง ธาตุกัมมัฏฐานต่าง ๆ ระดับ 40-60 เป็นเรื่องของ กายในกาย ระดับ 8-15 ดูกิริยาจิต หรือก่อนนอน หากแช่ในระดับ 70-90 ก็จะสามารถถอดกายเวทนาออกจากร่างได้ หรือ อยู่ในระดับ 0-15 ก็จะเป็นการถอด กายจิต แทน ระดับ 50 จะเห็นการแยกตัวระหว่าง หลับอยู่ส่วนหลับ และ ตื่นอยู่ส่วนตื่น อันเป็นเบื้องต้นของกาาร แยกขันธ์ ต่าง ๆ เป็นต้น

    ทั้งหมดที่กล่าวมานี้ เป็นประสพการณ์และวิธีฝึกส่วนบุคคลของผม ซึ่งไม่ควรนำไปเปรียบเทียบกับตำราอื่นเพราะอาจทำให้เกิดความสับสนขึ้นได้ ให้ใช้เพียงแค่

    ลักษณะเทียบเคียงดูเฉย ๆ กับการปฏิบัติส่วนบุคคล ของคุณดูนะครับ
     
  13. Lady_Yuna

    Lady_Yuna เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 พฤษภาคม 2013
    โพสต์:
    41
    ค่าพลัง:
    +359
    ขอบคุณมากค่ะ ไม่เคยมีใครมาแนะนำแบบนี้มาก่อนเลย งงอยู่ตั้งนาน ขออนุโมทนาค่ะ
     
  14. เมิล

    เมิล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    421
    ค่าพลัง:
    +3,132
    พี่ธรรม-ชาติ จัดเต็ม ขอ copy เก็บไว้อ่านนะคะ
     
  15. guaregod

    guaregod เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    962
    ค่าพลัง:
    +1,009
    ได้ตรวจสุขภาพประจำปีหรือเปล่าครับ ความดันเป็นไงบ้าง
     
  16. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,566
    ค่าพลัง:
    +9,966
    ตามสะดวกครับ เมิลเคยฝึกผ่านวสี 5 ของกายเวทนามาแล้ว จาก สัมปายสัมปชัญญะ ด้วยการเดินจิตแบบ เอกัคตา สู่ เอกัคตา จนถึงจิตเปล่งรังสีประภัสสร (สภาวะของ อาภัสสระพรหม) ที่กล่าวได้ว่า ไม่มีจิตอื่นยิ่งกว่า ก็ผ่านมาแล้ว การแยกขันธ์จนถึง สัพเพธัมมาอนัตตา (ไม่มีอะไรเป็นเรา) ก็ผ่านมาแล้ว สิ่งที่เหลือก็คงมีแต่เพียง ความรู้แจ้งและความสิ้นสงสัยในองค์ประกอบแห่งตน เท่านั้น

    ให้ฝึก เข้าฐาน ปรับ % ของกายเวทนา จากนั้นให้แช่และพยายามแยกแยะระหว่าง รู้กับถูกรู้ ไม่ว่าจะเป็น กายเวทนา หรือ กิริยาจิต ก็ตาม ไม่นานก็จะไปถึงต้นกำเหนิดของมันเองนะครับ
     
  17. mobilelizard

    mobilelizard เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    558
    ค่าพลัง:
    +4,678
    พี่ธรรมชาติครับ

    กายเวทนา กายจิต กายในกาย ถอดออกมาแล้วมันต่างกันยังไครับ
     
  18. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,566
    ค่าพลัง:
    +9,966
    +++ ก่อนอื่นให้ทำความเข้าใจให้ดีก่อนว่า ภาษาที่ผมใช้หลัก ๆ คือภาษาในหมวด มหาสติปัฏฐาน 4 ซึ่งแบ่งไปตามความละเอียดของสภาวะธรรม 4 ประการใหญ่ ๆ ไล่จาก หยาบสุดไปถึงละเอียดสุด หยาบสุดเริ่มจาก กาย (รูปหยาบ) เวทนากาย (นามหยาบ) จิต (รูปละเอียด) เวทนาจิต-ธรรมารมณ์ (นามละเอียด)

    +++ กาย ตามความหมายของผมคือ สภาวะที่ สติ ครองอยู่ (สติปัฏฐาน) หากเป็นสิ่งที่ จิต ครองอยู่เป็น สักกายะทิฐิ
    1. หากสติครอง กายเนื้อ เรียกว่า กายานุปัสสนามหาสติปัฏฐาน มีกายเนื้อเป็นฐานในการครองสติ (รู้ตัว)
    2. หากสติครอง กายเวทนา เรียกว่า เวทนานุปัสสนามหาสติปัฏฐาน มีเวทนากายเป็นฐานในการครองสติ (รู้สึกตัว)
    3. หากสติครอง จิตและกิริยาจิต เรียกว่า จิตตานุปัสสนามหาสติปัฏฐาน มีจิตเป็นฐานในการครองสติ (รู้จิต)
    4. หากสติครอง เวทนาจิต เรียกว่า ธรรมานุปัสสนามหาสติปัฏฐาน มีเวทนาจิตเป็นฐานในการครองสติ (รู้สึกจิต)

    +++ ระหว่าง รู้ กับ รู้สึก ให้เข้าใจว่า รู้=รูป รู้สึก=นาม
    1. รู้ กาย-จิต = รู้ รูปหยาบ-ละเอียด
    2. รู้สึก เวทนากาย-เวทนาจิต = รู้ นามหยาบ-ละเอียด (รวมฌานทั้งหมด ไม่มีข้อยกเว้น)

    +++ สติครองฐาน (วิปัสสนาญาณทัศนะ) กับ จิตครองฐาน (ฌานสมาบัติ)
    สติครองฐาน เป็น มหาสติปัฏฐาน ผลลัพธ์ยามเมื่อฐานถูกแยกจะเป็น ฐานถูกรู้ (โลกียะธรรม) ส่วน สติหรือสภาวะรู้ รู้อยู่ (โลกุตตระธรรม) และ ฐาน ไม่ใช่ สภาวะรู้
    จิตครองฐาน เป็น สักกายะทิฐิ ผลลัพธ์คือ จิตยึดอยู่กับฐาน มีความ "เป็นฐาน" (โลกียะธรรม) เกิดแก่เจ็บตาย ตามฐาน (ภพ-ภูมิ) ไม่มีการแยก แต่ ไปมาพร้อมฐาน

    ยามใดที่ สติ ครองฐาน โดยมีจิตอยู่ภายใน (สติกำกับจิต หรือ จิตอันมีสติเป็นพี่เลี้ยง) ย่อมเห็นและเรียนรู้การทำงานของจิตไปพร้อมกับฐาน เพราะ จิตไปมาพร้อมฐาน ซึ่งเกี่ยวกันกับ การจุติ ภพ-ภูมิ ถอดกาย (ถอดฐาน) รูปกาย (อภิญญา) นามกาย (พลังจิต-ฌานสมาบัติ) ต่าง ๆ

    +++ กายในกาย กับ กายเวทนา และ กายจิต
    กายในกาย เป็น ปรากฏการณ์ที่ สติ สามารถคร่อมได้ทั้ง รูปและนาม ในเวลาเดียวกัน เช่น รู้สึกตัว ย่อม รู้ตัว ไปพร้อมกัน หรือ รู้สึกจิต ย่อมรู้จิตพร้อมกัน เป็นต้น
    กายเวทนา คือ สติอยู่กับ ความรู้สึกตัวโดยมีจิตอยู่ข้างใน เป็น ฐานกายเวทนา เมื่อสติกับจิตปรับตัวได้สมควรในระดับหนึ่ง ฐานนี้ย่อมถอดออกจากกายเนื้อได้
    กายจิต คือ สติอยู่กับ กายเนื้อ (รู้กาย) โดยมีจิตอยู่ข้างนอกกาย (รู้สภาพแวดล้อม) เมื่อจิตปรับตัวได้สมควรในระดับหนึ่ง ฐานจิตย่อมถอดออกจากกายเนื้อได้

    กายเวทนา จะหยาบกว่า กายจิต แต่มีความเหมาะสมกว่าในการฝึกและควบคุมอภิญญา เช่น การฝึกลอยตัว ฝึกชำแรกกำแพง แบ่งตัว ต่าง ๆ และเป็นรากฐานที่สำคัญของ กายจิต เพราะอยู่ใกล้เคียงกับ กายเนื้อ และสามารถเรียกใช้ พลังจิต ได้โดยตรง

    กายจิต ละเอียดกว่า กายเวทนา มีความเหมาะสมกับเรื่องภพ-ภูมิ และการติดต่อสื่อสารทางจิต และการแสดงออกของ รูปละเอียด หากพัฒนามาจาก กายเวทนา ก็สามารถปรับเปลี่ยน ภพ-ภูมิ โดยควบคุมไปที่ ความรู้สึกจิตได้ รวมทั้งเปลี่ยนฌานได้ตามปรารถนา แต่หากไม่เคยฝึกผ่าน กายเวทนามาก่อน ทุกอย่างก็จะเป็นไป ตามยถากรรมที่ ควบคุมไม่ได้

    +++ หวังว่าคงพอเป็นรากฐานแห่งความเข้าใจได้บ้างไม่มากก็น้อย นะครับ
     
  19. แว๊ด

    แว๊ด เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    982
    ค่าพลัง:
    +509
    โอ๊ะ เจอคนอาการคล้ายกัน
     
  20. ใบบัวยังรอ

    ใบบัวยังรอ สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2016
    โพสต์:
    1
    ค่าพลัง:
    +1
    เป็นความฝั่งใจมาตั้งแต่วัยเด็ก ตอนนั้นเราอายุ 10ขวบ
    อาศัยอยู่บ้านในชนบท จังหวัดอุดรธานี คืนนั้น มั่นใจว่าไม่ใช่ฝันไปแน่ๆ
    ราวๆ ตี3 ได้ ตัวเราเองกำลัง เล่นอยู่หน้าบ้านนอกรั่วของบ้าน กระโดดข้าม
    ร่องเล็กๆ สำหรับร่องน้ำไหล อยู่หน้าบ้านตัวเอง ตอนแรก ก็กระโดดไปมาด้วยความสนุก แต่เอะทำไมเรามาเล่นคนเดี่ยว กี่โมง กี่ยามแล้ว หยุดนิ่ง ยืนตรงแข็ง
    เริ่มรู้ตัวแล้วว่า นี่ มัน เป็นเวลายามวิกาลนี้ หันมองไปด้านหลังตามถนน ก็เห็นหมา ของบ้าน อื่นๆ ออกมานอน ตามถนน ตรงหน้าบ้านตัวเอง
    มองไปข้างหน้า ก็เหมือนกัน หมา อี่ขาว ข้างบ้านเรา มันก็นอน และมีตัวอื่นๆ

    นอนบนถนน มีแต่ไฟส่อง ข้างถนนพอให้เห็น เส้นทาง และหมา นอนมั้ง เดินมาก เริ่มตกใจ กลัว เวลานี้เรามาอยู่ตรงนี้ได้งั้ย รีบวิ่งเข้าบ้านวิ่งขึ้นกระได อย่างเหนื่อย กลัวด้วย เข้าไปในห้อง เห็นทุกคนนอนอยู่ ปกติ เห้นตัวเองนอน เอาเท้าตัวเอง กับ ตัวเองที่นอนอยู่ เหยีบเข้าไปทั้ง2ข้าง
    และก็ ตื่นขึ้น ณ ตอนนั้นเลย หันไป มองตัวเอง หัวใจเต้นเเรงมากเหมือนจะออกจากอก นั่งคิด เมื่อกี่ ไม่ได้ฝัน ไม่ได้ฝันแนๆ ทุกอย่าง มันชัด
    ชัดจนเชื่อว่าไม่ใช่ความฝัน เลยอยากพิสูจ ว่า เมื่อกี้ ที่เราเห็น เมื้อกี้ที่เราอยู่ข้างนอก ถ้าเมื่อกี้แค่ความฝัน ตอนนี้ เราคิดไป ก็ลุกขึ้นมอง ออกไปผ่าน กระจกหน้าต่าง มองไป ตรงจุดที่ตะกี้กะโดดเล่น มองไป หมาอี่ขาว กับหมาตัวอื่นๆ ที่ชอบ ออกมานอน ถนน ก็ยัง อยู่ อริยาบท เดิมๆ ตะกี้ ที่เราเห็น ถ้ามันคือความฝัน ทำไม ความจิง ตอนนี้ ที่เราตื่นแล้ว เวลาห่างกัน
    ไม่กี่นาที ทุกอย่าง คือเหตุการเดียวกัน ตัวเเข็ง ไปชั่วขณะ และก็นอน
    และขอให้พรุ่งนี้เช้า ลืมๆๆๆ จดจำอะลัย ไม่ได้ เหมือนความฝันปกติ

    แต่...เราไม่เคยลืม เวลานั้น ได้เลย แม้จะผ่านมากว่า 20ปี
    มีท่านได เคยประสบเหตุการแบบนี้ หรือ พอมีคำอธิบาย ได้ไหม? คือ อะลัย
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 สิงหาคม 2016

แชร์หน้านี้

Loading...