ฝึก กรรม-ฐาน ด้วยภาษาที่เข้าใจง่าย

ในห้อง 'ประสบการณ์อภิญญา' ตั้งกระทู้โดย ธรรม-ชาติ, 16 ตุลาคม 2013.

  1. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,566
    ค่าพลัง:
    +9,966
    +++ "สูงสุด กลับสู่ สามัญ" นั้นถูกต้องแล้ว แต่ปกติคนทั่วไปจะนับถือพวก "สูงสุด กลายเป็น ตัวประหลาด" มากกว่าแถมยังเอา "ตรรกะมาเป็นเหตุผล ลากกันมายาวเหยียดซะอีก" ตรงนี้ต้องฝึก "มองให้เห็น วงจรกรรม ที่อยู่ในหัว" หรือ "มองให้เห็น ตัวพูดมาก ของบุคคลเหล่านั้น" ก็ได้ แล้วจะเข้าใจในเรื่อง "ต้นกรรมส่วนบุคคล" ได้เอง
    +++ อือ... ใช่ ไอ้อย่างงั้้นมันบานจน "แฉ่ง" ไปหมด หุบไม่ลงต้องให้หมอช่วยละ
    +++ ตรงนี้แหละที่ หลวงตามหาบัวท่านว่า "กิเลสมันระงมอยู่ในหัวทั้งวัน" มันพล่ามของมันตลอดเวลา แต่หลังจากที่มัน "แยกตัวพ้นออกไปจากเราแล้ว" มันก็เป็นเหมือนกับ "ตัวตลกตัวหนึ่ง" เท่านั้นเอง และตรงนี้แหละที่เรียกว่า "แยกกาย แยกจิต" ตัวจริง เพราะ "จิต (วจีจิต) มันแยกหลุดออกจากเราไปเลย" ตรงนี้เป็น "วิมุติญาณทัศนะ (รู้จนกลายเป็นเห็น การหลุดพ้น ออกจากเรา)" ตรง ๆ ตามอาการ และ ตัวอักษร นั่นเอง
    +++ อือ... ใช่ ตัวพูดมาก ตัวนี้แหละ "มันเป็นจ้าว ของภาษาและสรรพเสียงทั้งมวล" จะให้มันพูดเลียนแบบเสียงคน หรือ เสียงสัตว์ก็ได้ ตัวมันเป็น "ล่ามแห่งเสียงทั้งหมด" หากฝึกมันให้ดี และใช้งานมันได้แล้ว ก็จะได้ในสื่งที่เรียกว่า "จตุปฏิสัมภิทาญาณ" นั่นแหละ ตัวนี้เป็น "ของจริง" ซะด้วย คิดเองเออเองไม่ได้หรอก ต้องเห็นมัน ฝึกมัน จึงจะใช้งานมันได้
    +++ นั่นแหละ "ตัวพูดมาก มันทำหน้าที่ของมัน" มันผลิตผลงานของมันออกมาเอง ไม่ว่ามันจะ "ส่งออก หรือ รับเข้ามาก็ตาม" หากเรา "ตรึง" มันแล้ว มันก็จะทำ "Report" ให้เราออกมาเอง โดยไม่ต้องทำอะไรเพิ่มเติมเลย ตรงนี้คือ "เจโตปริยะญาณ รวมทั้งการมีล่ามคอย แปล ให้ออกมาเป็นภาษา (ที่เข้าใจง่าย)" ทั้งขาเข้าและขาออก นั่นเอง

    +++ ควรฝึกจนกว่าจะจับมันมาใช้งานได้ นะครับ
     
  2. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,566
    ค่าพลัง:
    +9,966
    +++ ป่าว อาการตรงนี้เรียกว่า "สดุ้ง" ตะหาก ส่วนอาการ "ใจหาย" จะเป็นอาการที่ "ตัวดู ขยายตัวแบบเฉียบพลัน" และทิ้งร่องรอยแบบ "กิริยาจิต" ชำแรกออกจากร่าง เหมือนกับ "ตัวดูหายไป" นั่นแหละ

    +++ อาการ "สดุ้ง" เป็น "ขาเข้า" ส่วนอาการ "ใจหาย" เป็น "ขาออก" ลอง map จิตกลับไปดูอีกทีซิ แล้วจะชัดเจนขึ้นมาเอง นะครับ
     
  3. เมิล

    เมิล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    421
    ค่าพลัง:
    +3,132
    ไปฝึกกับหนังเรื่อง Transformer 4 มาคะ Michael Bay การันตีความมันส์
    ตอนที่หนังมันส์ อาการอินเริ่มก่อตัว พลังงานที่อยู่รอบ ๆ ตัวเริ่มหนาแน่นหนักขึ้นเรื่อย ๆ
    ตัวดูกำลังจะพุ่งไป เมิล"รู้" ตัวดู อาการจะคล้าย ๆ กับตรึงไม่ให้ตัวดุพุ่งไปนะคะ แล้วก็ "อยู่" กับพลังงานหนัก ๆ ต่อไป มันก็จะคลายตัวไปเองคะ
     
  4. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,566
    ค่าพลัง:
    +9,966
    ไปฝึกกับหนังเรื่อง Transformer 4 มาคะ Michael Bay การันตีความมันส์

    +++ อือ... Michael Bay การันตีความมันส์ในหนัง แต่การฝึก "มหาปัฏฐาน" การันตีความมันส์ นอกหนัง

    ตอนที่หนังมันส์ อาการอินเริ่มก่อตัว พลังงานที่อยู่รอบ ๆ ตัวเริ่มหนาแน่นหนักขึ้นเรื่อย ๆ

    +++ ให้สังเกตุ "พลังงานที่อยู่รอบ ๆ ตัวเริ่มหนาแน่นหนักขึ้นเรื่อย ๆ" ตัวนี้ว่า มันเป็น "อารัมมะณะปัจจะโย" ธรรมารมณ์ ในขณะก่อตัว หรือไม่
    +++ ใช้สถานการณ์จริง ในชีวิตประจำวัน หมั่นสังเกตุ อาการก่อตัวของ "พลังงานรูปนี้" ที่มีต่อ "สิ่งเร้าที่มาจากภายนอก" ให้ดี ๆ ตลอดเวลา แล้วจะพบเงื่อนงำอะไรบางอย่างได้ไม่ยาก
    +++ การฝึก "มหาปัฏฐาน" ในระดับนี้ จะพบ "สภาวะผู้สร้าง และ ผู้ถูกสร้าง" ได้ไม่ยาก
    +++ ไม่นานก็จะเริ่มเข้าใจในสิ่งที่ผมเคยพูดไว้ว่า "พระพุทธเจ้า และ ครูบาอาจารย์ ใช้วิธี สร้างขันธ์ ในการปรากฏตัวกลับมา" และตรงนี้คือ "เงื่อนงำในการสร้างขันธ์" ดังนั้น ฝึกให้ดี ๆ

    +++ การฝึก "มหาปัฏฐาน" หรือ ภาคขากลับ ของ "มหาสติปัฏฐาน 4" นี้ แท้จริงแล้วมันจะ "ไร้รูปแบบ โดยสิ้นเชิง" และจะเริ่มจากตรงไหนก่อนก็ได้ แต่สำหรับนักศึกษาผู้ที่เริ่มเข้า "มหาปัฏฐาน" ใหม่ ๆ ควรฝึก "อธิปะติปัจจะโย" (ใส้เทียน) ให้มั่นคงเอาไว้ก่อน จนกว่าจะเห็น "อนันตะระปัจจะโย = การแตกชั้นที่ไม่มีที่สิ้นสุด สะมะนันตะระปัจจะโย = การแตกชั้นที่มีสภาพแบบเดียวกัน จนเห็น สะหะชาตะปัจจะโย = การแตกชั้นที่เกิดขึ้นมาพร้อม ๆ กัน" (เข้า ปัฏฐาน จนเห็น การแตกชั้นต่าง ๆ พร้อมกัน เท่าเทียมกัน ไม่มีที่สิ้นสุด เหมือน ๆ กัน)

    +++ อาการที่กล่าวมานี้จะเป็นอาการเดียวกันกับ "สรรพเพธัมมาอนัตตา" ที่เคยฝึก คือ แต่ละจุดหย่อมที่ถูกรู้นั้นนับไม่ถ้วนไม่มีที่สิ้นสุด (อนันตะระปัจจะโย) มีมิติใครมิติมันแบบเดียวกัน (สะมะนันตะระปัจจะโย) และ ในยามที่สภาวะรู้เสถียรภาพแล้ว มันรู้ทั้งหมดในเวลาเดียวกัน (สะหะชาตะปัจจะโย)

    +++ ความแตกต่างระหว่างการฝึก 2 อย่างนี้อยู่ที่ การฝึกมหาสติ จะเริ่มจาก "ฐาน จนพ้น กรรม ถือว่าฝึกจบ" แต่การฝึกมหาปัฏฐาน จะเริ่มจาก "สภาวะรู้ที่พ้นกรรม จนเข้าใจกระบวนการ สร้างขันธ์จนจบวงจรการทำงานของ กรรม วิบาก และ ความไม่รู้จบของ วัฏฏะ" สามารถกล่าวได้ว่า อันหนึ่งเป็น "อนุโลม" ส่วนอีกอันหนึ่งเป็น "ปฏิโลม" ของวงจร ปฏิจจะสมุปบาท ก็ได้

    ตัวดูกำลังจะพุ่งไป เมิล"รู้" ตัวดู อาการจะคล้าย ๆ กับตรึงไม่ให้ตัวดุพุ่งไปนะคะ แล้วก็ "อยู่" กับพลังงานหนัก ๆ ต่อไป มันก็จะคลายตัวไปเองคะ

    +++ อาการตรงนี้หากจะใช้ "ภาษาของมหาปัฏฐาน" แล้ว อาจจะปวดหัวนิดหน่อย แต่ก็ให้เอาการ "แกะรอยตามอาการ" ไว้เป็นหลัก ก็จะพอเข้าใจได้ไม่ยาก แต่ก็ไม่ง่ายนัก

    +++ ตรงที่ "ตัวดูกำลังจะพุ่งไป" ตรงนี้เป็น "นิสสะยะปัจจะโย"
    +++ "อาการจะคล้าย ๆ กับตรึงไม่ให้ตัวดุพุ่งไป" ตรงนี้เป็น "อุปนิสสะยะปัจจะโย" ที่เกิดจากการฝึก และ "อยู่กับรู้"
    +++ ตรง "อาการตรึง" ตรงนี้เป็น "กัมมะปัจจะโย"
    +++ อาการ "อยู่กับพลังงานหนัก ๆ" เป็น "อาเสวะนะปัจจะโย" (ไม่ใช่ อะเสวะนา ในมงคลสูตร ซึ่งเป็นการ "ย้าย")
    +++ อาการ "คลายตัวไป" เป็น "วิปากาปัจจะโย"
    +++ เริ่มต้นจากอาการ "ตัวดูเตรียมพุ่ง" จนถึง "การคลายตัวไปเอง" ทั้งหมดเป็น "อัญญะมัญญะปัจจะโย" หรือเรียกได้ว่า "จบวงจรการทำงานในคาบหนึ่ง ๆ" ก็ได้

    +++ สิ่งหนึ่งที่จะต้องสังเกตุให้ชัดเจนในการฝึก "มหาปัฏฐาน" นี้ให้ดีมาก ๆ ก็คือ "การใช้ภาษา" ในหมวดนี้เป็น "การใช้ภาษาที่ตรงตามอาการ" ที่ผมเคยกล่าวไว้ในหลาย ๆ โพสท์ และผู้ใดที่ฝึกจน "เห็น" อาการเหล่านี้ได้เท่านั้น จึงจะรู้ได้ว่า "คำศัพท์ไหน เป็น อาการใด" และที่สำคัญที่สุด "คำแปลจาก กูเกิ้ล ที่มีในหมวดนี้ หลายตัวเป็นคำแปลที่ สื่อความหมายอะไรไม่ได้เลย" เพราะผู้แปล "ไม่สามารถฝึกจนเห็นอาการเหล่านี้ได้้"

    +++ "การใช้ภาษาที่ตรงตามอาการ" ในแต่ละยุคแต่ละสมัย คือ "การใช้ภาษาในหมวด มหาปัฏฐาน" จาก "เหตุปัจจะโย จนถึง อะวิคะตะปัจจะโย" นั้นเป็นภาษาที่ "ใช้ระบุอาการเมื่อ 2550 กว่าปีมาแล้ว" เปรียบเทียบได้กับคำว่า "อายตนะนิพพาน หรือ ญาณทัศนะ" เป็นภาษาที่เก่าแก่นานมาแล้ว แต่มาในยุคหลวงปู่มั่นท่านเรียกมันว่า "ตาสติตาปัญญา" ภาษาต่างยุคกันนี้ "ชี้ไปที่อาการเดียวกัน" ดังนั้น "ผู้ใดที่ฝึกได้ แต่ ใช้ภาษาโบราณไม่เป็น" ก็ไม่เป็นไร ให้ถือ "นิสัย" แบบพระป่าในสายหลวงปู่มั่นไว้ก่อนว่า "ให้ใช้ภาษา ให้ตรงกับอาการ ในยุคสมัยแห่งตนเอาไว้ก่อน" ก็แล้วกัน นะครับ
     
  5. จิตวิญญาณ

    จิตวิญญาณ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    274
    ค่าพลัง:
    +679
    +++ "สูงสุด กลับสู่ สามัญ" นั้นถูกต้องแล้ว แต่ปกติคนทั่วไปจะนับถือพวก "สูงสุด กลายเป็น ตัวประหลาด" มากกว่าแถมยังเอา "ตรรกะมาเป็นเหตุผล ลากกันมายาวเหยียดซะอีก"

    ตั้งแต่ฝึกจนถึงวันนี้ ไม่ได้เล่าอะไรให้ใครฟัง เลยไม่มีใครรู้น่ะค่ะ จะมีที่รู้ก็ที่นี่ เล่าประสบการณ์เฉพาะที่นี่ ช่วงที่ฝึก ถ้ามีใครบอกว่าควรปฎิบัติอย่างโน้นอย่างนี้ ก็รับฟังนะคะ แต่เราจะวางไว้หมดเลยค่ะ เพราะถ้าไม่เช่นนั้นแล้ว อาจจะทำให้เราไขว้เขว สับสน และอาจจะทำให้การฝึกหยุดชงักได้ แนวทางไหนที่ถูกจริตตัวเองก็ให้ไปแนวทางนั้น เหมือนคนเดินทางนั่นแหล่ะค่ะ เขามีให้เลือกอยู่แล้ว จักรยาน สามล้อ รถยนต์ รถไฟ เรือ เครื่องบิน หรือจะเดินเอง ได้ทั้งนั้น ทั้งนี้ส่วนหนึ่งจะขึ้นอยู่กับปัจจัยคือบารมีเก่าด้วย สำหรับเราแล้ว คุณธรรม-ชาติ เป็นครูบาอาจารย์ท่านแรกและก็เป็นท่านสุดท้ายที่สามารถสอนเราจนจบ และเป็นทางสายตรงสำหรับเรา ส่วนใครจะอ้อมไปทางไหนก่อนก็เรื่องของเขา แต่สุดท้ายปลายทางเดียวกัน จุดประสงค์ ฝึกเพื่อต้องการหลุดพ้นจากวงจรอุบาท หมายถึงวงจรการเวียนว่ายตายเกิด โลกมนุษย์มันเต็มไปด้วยกิเลสและกองขยะ เราเห็นตัวเราเป็นทั้งกิเลสและก็เป็นขยะ ถ้าฝึกเพื่อกลายเป็นตัวประหลาด มีคนนับถือกราบไหว้นี่ก็ขอลาล่ะค่ะ

    เมื่อหลายปีก่อนนู้น ก่อนที่จะเจอคุณธรรม-ชาติ สอนที่เว็บนี้ มีอยู่ครั้งหนึ่ง ม้าทรงเขาเลือกจะให้เป็นร่างทรงของพระแม่กวนอิม เราก็คิดในใจ “โอย เซาเด้อ บ่เอา บ่เอา เอ็ดนำบ่เป็นดอก ยิ่งถ้ามีคนมาไหว้ข้อย ข้อยอายตัวเองคัก” มีอยู่ครั้งหนึ่ง เขาให้นั่งนิ่งหลับตา เราก็ทำ เพราะเกรงใจเขา แบบว่าไม่อยากขัดใจใครน่ะค่ะ ตอนที่นั่งหลับตา จะมีคนจุดกำยานแล้วเอาควันมารมที่ใบหน้า ผ่านไปแป๊บเดียวคนข้างๆเรียบร้อยโรงเรียนจีน ส่วนเรา ผ่านเกือบชั่วโมงก็ยังไม่มีอะไรเกิดขึ้น ที่เกิดขึ้นคือแพ้ควันกำยาน เมาควันกำยานเกือบตาย ตอนหลังไม่ไป เพราะเรารู้ว่าเส้นทางนั้นไม่ใช่ทางของเรา


    +++ ตรงนี้ต้องฝึก "มองให้เห็น วงจรกรรม ที่อยู่ในหัว" หรือ "มองให้เห็น ตัวพูดมาก ของบุคคลเหล่านั้น" ก็ได้ แล้วจะเข้าใจในเรื่อง "ต้นกรรมส่วนบุคคล" ได้เอง

    ฝึกค่ะ อาจจะไปช้า เพราะฝึกในขณะจิตปกติ ก็มีนะคะที่สังเกตุเห็นตัวพูดมากของแต่ละคนที่ส่งเข้ามา แตกต่างกัน บางคนมาแบบเงียบนิ่ง คงเข้าสมาธิมาตรวจดูจิตเราเฉยๆ บ้างก็มาแบบร้อนวูบวาบบริเวณหน้า บ้างก็พูดล่วงเกิน บ้างก็มีแต่โทสะ หยาบคาย ด่าไม่หยุด พูดปรามาสล่วงเกินครูบาอาจารย์เราก็มี ผีมากวนก็มี พวกนี้อารมณ์ที่ได้สัมผัสคือ ไม่ชอบ เกลียดชัง หงุดหงิด เวลามาที จะรู้ค่ะ คันยุบยิบแล้วก็หาย แต่จิ้งจกที่บ้านจะร้อง เดินไปที่ห้องครัว ตัวที่อยู่ห้องครัวร้อง เดินไปหน้าบ้าน ตัวที่อยู่หน้าบ้านร้อง เดินไปดูผักริมรั้ว ตัวที่อยู่ต้นปาล์มริมรั้วร้อง เดินขึ้นไปบนบ้าน ตัวที่อยู่บนบ้านร้อง มันคงร้องคาราโอเกะให้เราฟังน่ะค่ะ แต่บางครั้งก็เอือมระอากับพวกนี้ม๊ากมาก นี่ถ้าเกิดคึกๆขึ้นมาเมื่อไหร่ กะว่าจะจับมาตั้งวงสตริงค์ให้มันเล่นดนตรีให้ฟังเลยนะเนี่ย บางที ที่มาแรงๆ ก็เคยลองสอนเขา เขาก็ฟังนะคะ

    สุดท้าย ด้วยความที่ฝึกจนได้มารู้มาเห็นว่า เราไม่ใช่เรา พอมาถึงจุดนี้แล้ว เหมือนกับว่าที่ฝึกมาทั้งหมด ไม่มีอะไรเลย จะเห็นความต่างก็ตรงที่ไม่ทุกข์ จะพูดว่าที่ไม่ทุกข์เพราะปล่อยวางก็ไม่ใช่ เพราะมันเป็นอะไรที่อยู่เหนือกว่าคำว่าปล่อยวาง คือมันไม่มีอะไรเลย น่ะค่ะ
     
  6. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,566
    ค่าพลัง:
    +9,966
    +++ เรื่อง "สูงสุด กลายเป็น ตัวประหลาด" นี้มักจะจับคู่เข้ากันได้กับ "นักปั้นพระ" ซึ่งนักปั้นพระพวกนี้ มักจะชอบ "ตั้งกฏเกณฑ์" ต่าง ๆ มาบีบบังคับพระให้ทำตาม "วินัยที่ตนตั้งขึ้นมา" ประเภท "เป็นพระต้องทำอย่างนั้้น เป็นพระห้ามทำอย่างนี้" ต่าง ๆ ซึ่งทั้ง 2 ประเภทนี้ จะถูกกรรมบังตา ให้มองความเป็นจริงไม่เห็น และในชาตินี้ "จะปฏิบัติธรรมไม่ได้" (ตัดมรรคผล) เพราะวิบากที่ติดตามมาจากทั้งการเป็น นักปั้นพระ และ ตัวประหลาด ทั้งหลาย ยังมีตัวประหลาดบางตัว "ชอบเดินบนกลีบดอกไม้" จนต้องจ้างแรงงานต่างด้าวให้คอยโปรยกลีบดอกไม้ให้ตนเดิน อีกตะหาก

    +++ "พวกตัวประหลาด" มักจะมีแหล่งกำเหนิดมาจาก "มิจฉาสมาธิ" ส่วนพวก "นักปั้นพระ" มักจะมาจาก "พวกที่ถิอศิล ที่ขัดกับความเป็นจริง" (ศีล และ พรต ปรามาส) นับว่า "น่าอนาถ" ทั้งคู่

    +++ มีเรื่องจะเล่าให้ฟัง เมื่อตอนที่ผมยัง ออกธุดงค์ถือวิเวกตามป่าเขาและเกาะแก่งอยู่ ผมเคยเจอพระที่ไปอบรมกับพวกคลอง 3 ปทุมธานี เล่าให้ผมฟังว่า อาจารย์ของเขา "เก่งกรรมฐานมาก จนถึงกับ สามารถไปพบกับ พระพุทธเจ้าฝ่ายมารได้" และ พระพุทธเจ้าฝ่ายมารนี้มีลักษณะคือ 1. บำเพ็ญบารมีมานานกว่าพระพุทธเจ้าฝ่ายขาว 2. เป็นพระพุทธเจ้าฝ่ายดำ ไม่ใช่ฝ่ายขาว 3. มีฤทธิ์มากกว่าพระพุทธเจ้าฝ่ายขาว (รู้สึกว่าจะมีการต่อรองกัน แบบนักการเมือง ระหว่างพระพุทธเจ้าทั้ง 2 ฝ่ายอะไรพวกนั้น)

    +++ มาภายหลังผมจึงทำการ map จิตดูว่า "เหตุ" ทั้งหมดมาจากไหน ก็ไปเจอเอาแบบตรง ๆ ว่า เรื่องทั้งหมดมาจากการที่ "ธัมมะไชโยโห่ฮิ้ว" อ่านตำราแล้วไปเจอเรื่องของ พระพุทธเจ้าที่ทรงพระนามว่า "พระไภษัชยคุรุไวฑูรย์ประภาตถาคต" ที่อยู่ใน "วิสุทธิไพฑูรย์โลกธาตุ" (รายละเอียดตรงนี้้มีใน กูเกิ้ล) จากนั้นเจ้้าสำนักคลอง 3 ก็เลย จินตนาการมาเป็นลำดับคือ

    1. พระวรกายมีสี "น้ำเงินเข้ม" (ผลึกแก้วไพฑูรย์) ดูคล้าย "ดำ" จึงกลายมาเป็น "พระพุทธเจ้า ดำ" (จิตที่เพ้อเจ้อ อยู่ในระดับ อุปจาระสมาธิ แล้วตกลงสู่ "ภวังค์จรณะ" แบบเต็ม ๆ)
    2. ด้วยความยึดติดกับ "คำศัพท์เพียงคำเดียว คือ ดำ" จึงโยงตรรกะมายัง "มาร" (การโยงตรรกะเกิดขึ้นใน จิตปกติ แต่พอเข้าสมาธิต่างยก "ภวังค์จรณะ" จึงทำการ "ประกบคำศัพท์" ให้โดยอัตโนมัติ)
    3. ด้วย จิตที่ติดยึดกับคำศัพท์ที่ไม่ตรงกับอาการจริง จึงกลายมาเป็น "พระพุทธเจ้า ฝ่ายมาร หรือ ฝ่ายดำ" (จากมิจฉาทิฐิ สู่ มิจฉาสมาธิ ออกผลมาเป็น "มิจฉาสังกับโป" (Wrong Concept))

    4. ด้วยเหตุที่ "พระพุทธะไภษัชยคุรุไวฑูรย์ประภาตถาคต" ท่านบำเพ็ญบารมีแบบเดียวกันกับ "พระศรีอาริยะเมตไตร หรือ พระกุกกุสันโธ" ซึ่งเป็นการบำเพ็ญแบบนานที่สุด และ มีบารมีมากที่สุด จนทำให้ "ไชโยโห่ฮิ้ว" สรุปเอาเองว่า "พระพุทธเจ้าฝ่ายมาร มีบารมีและมีฤทธิ์มากกว่า พระพุทธเจ้าฝ่ายขาว" (พระพุทธเจ้าฝ่ายขาว ในจิตของ ธัมมะไชโยโห่ฮิ้ว นั้นมุ่งเล็งตรง พระพุทธเจ้าสมณโคตม แบบตรง ๆ เลยทีเดียว)

    5. จากนั้นจึงเป็น "การปรุงแต่งเพ้อเจ้อแบบต่อเนื่อง" บางครั้งจิตก็ตกอยู่แค่ ขณิกะสมาธิ แต่ส่วนใหญ่จะเป็น "ภวังค์จรณะ" ของอุปจาระสมาธิ แทบทั้งสิ้น
    6. การ "เติมเชื้อไฟแห่งมิจฉาทิฐิ" มักจะเกิดขึ้นกับระดับ ขณิกะสมาธิ พอได้ Concept ใหม่ ๆ ก็จับมันยัดเข้าสู่ความปรุงแต่งต่อไปใน "ภวังค์จรณะ" ไปเรื่อย ๆ
    7. บางขณะ บางเวลา "ภวังค์จรณะ" สามารถพัฒนาตนเองเข้าสู่ "รูปฌาน 4" ได้ เพียงแต่ ธรรมารมณ์ที่ครอบงำอยู่นั้นเป็น "ทุคติ" แต่ "ไชโยโห่ฮิ้ว" ถูกฝังอยู่ข้างในนั้้น ออกมาไม่ได้

    8. ในยามที่ต้องปฏิบัติหน้าที่กับเหล่าศิษย์ หรือ ฆราวาส จึงมีการพูดถึงเรื่อง "พระพุทธเจ้าฝ่ายมาร" นี้ออกมา โดยที่ "ต้นเหตุ" เป็นอย่างหนึ่ง พอผ่านความเพ้อเจ้อแล้ว ผลลัพธ์จึงออกมา อีกอย่างหนึ่งไปเลย

    +++ อุทาหรณ์สอนใจ ผู้ที่นิยมใน ฤทธิ์เดช ต้องการใช้ผลของ ฤทธิ์เดช โดยไม่ผ่านกระบวนการ "เห็นขันธ์ ฝึกขันธ์ ใช้ขันธ์" มาก่อน มักจะตกเป็นเหยื่อของ "ภวังค์จรณะ" แทบทั้งสิ้น เพราะเรื่องของฤทธิ์เดชนั้น เป็นเรื่องของ กระบวนการในการใช้ขันธ์ตรง ๆ ทั้งสิ้น ไม่นอกเหนือออกไปจากนี้ได้เลย

    +++ ดังนั้น นักศึกษา ในกระทู้นี้ ควรฝึกให้เข้าถึงการฝึกในชั้น "มหาปัฏฐาน" ให้ได้ ก็จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อพระพุทธศาสนา ทั้งต่อตนเองและผู้อื่น จนเป็นวงกว้างกว่าเดิม นะครับ

    +++ ถูกแล้ว "ตัวพูดมาก คือ จ้าวแห่งการสื่อสารทางจิต" ยามใดที่ ตัวพูดมาก โผล่เข้ามา ให้สังเกตุ ธรรมารมณ์ ที่ครอบคลุมตัวมันด้วย ตรงนั้นคือ "ภูมิ" ที่ครอบงำมันอยู่ แต่ "ปล่อยให้มันสื่อสารไปเรื่อย ๆ" ในขณะที่มัน "ยังพูดมากอยู่" ให้จิ้ม "แบบ แตะเบา ๆ ลงไปที่ใจกลางของมัน" มันก็จะแสดง "ภาพในจิต อันเป็น ภพ" ของตัวมันเองออกมา จากนั้น เราจึงออกมาข้างนอก คล้ายกับการ "ถอน แต่ไม่ได้ ถอน" คือออกมาอยู่ข้างนอก แต่ให้มันยังมีอยู่ เราก็จะได้ Concept ของมัน (เจตนา) ตรงนี้เรียกว่า "ได้ครบชุด" ทั้ง ภพ ภูมิ เจตนา และ ภาษา ในที่เดียวกัน

    +++ ว่าง ๆ ยามที่ "ตัวพูดมาก" มันออกไปอยู่ข้างนอก ก็ลองส่งมันให้ไป แหย่ พวกจิ้งจกดูเล่น ๆ ว่าพวกมันจะ สื่อสารกับตัวพูดมากของเราได้ยังไง หากได้ผลลัพธ์อย่างไรก็มาโพสท์แบบ เล่าสู่กันฟัง ในนี้ก็แล้วกันนะครับ

    +++ ถูกแล้ว พระอุปัชฌาย์ ของผมเคยเปรย ๆ กับผมไว้ว่า "เมื่อถึงที่สุดแล้ว มันไม่มีอะไรเป็นอะไรหรอก" ทุกอย่างเป็นเรื่องของ "ความหลง" ทั้งสิ้น ดังนั้นทุกอย่างจึงเป็นเรื่องของ "การหลงขันธ์ อยู่ข้างในขันธ์ และ เป็นทาสของขันธ์ เท่านั้นเอง" จนกว่าจะฝึกจนถึง "การเห็นขันธ์ ฝึกขันธ์ และ ใช้ขันธ์ได้" และเมื่อถึงเวลาอันสมควรแล้วก็จะ "วางขันธ์ได้" ตามความเป็นจริง ด้วยการ "เดินจิตครั้งสุดท้าย" นั่นเอง ทุกอย่างก็มีแค่นี้เท่านั้นแหละครับ ไม่มีอะไรมากสำหรับ สติ ระดับที่ 9 นะครับ
     
  7. เมิล

    เมิล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    421
    ค่าพลัง:
    +3,132
    มายกมืออีกคน ว่ามันไม่มีอะไรเป็นอะไรจริงๆ
    ไม่มีการตัดสินว่าใครดีใครชั่ว ไม่มีใครทำดี ไม่มีใครทำเลว มันแค่เป็นอย่างที่เป็น
    เวลาที่เมิลนึกย้อนกลับไปตอนก่อนฝึก เทียบกับตอนนี้ ภายในเวลาเพียง 1 ปี เมิลเปลี่ยนไปเยอะจริง ๆ คนที่เคยเกลียดก็ไม่เกลียดแล้ว กลายเป็นความเข้าใจแทน พอเราเห็นขันธ์ของเราว่ามันทำงานยังไง เราก็เข้าใจว่าของเขาก็ทำงานแบบเดียวกัน ความยึดมั่นถือมั่นว่ามันต้องเป็นแบบนี้แบบนั้นสิก็เลยหายไป ขอบคุณพี่มาก ๆ เลยคะ ที่เปิดกระทู้สอน
    แล้ว ภาษาของมหาปัฏฐาน อ่านแล้วให้ปวดหัวเยอะเลยคะ แต่ map กับอาการแล้วก็เข้าใจอยู่คะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 กรกฎาคม 2014
  8. Apinya17

    Apinya17 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    775
    ค่าพลัง:
    +3,023
    :'( มีแต่พลังงานค่ะ เหลือล้นมากมาย อดีนาลีนตรึม ส่งต่อได้ด้วย จูงใจคนได้ด้วย

    เรื่องความเป็นทิพ รู้สึกด้วยใจว่า คิดถึงใคร ท่านผู้นั้นรับรู้และมาให้กำลังใจค่ะ
    ช่วงนี้จิตไม่เศร้าหมองค่ะ ไม่เอาเรื่องข่าวร้ายๆทางโลกมาใส่ใจ
     
  9. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,566
    ค่าพลัง:
    +9,966
    มายกมืออีกคน ว่ามันไม่มีอะไรเป็นอะไรจริงๆ ไม่มีการตัดสินว่าใครดีใครชั่ว ไม่มีใครทำดี ไม่มีใครทำเลว มันแค่เป็นอย่างที่เป็น

    +++ นั่นแล... ถูกต้องแล้ว ตรงนี้เท่านั้นที่เป็น "รากฐานของการมอง กฏแห่งกรรม ที่แท้จริง" การที่สามารถข้าม "ความดี-ความชั่ว" ได้ จึงทำให้เห็นและเข้าใจกฏเกณฑ์การทำงานของ "กรรม" ได้ การเห็น "การทำงานของ มโนกรรม" ตรงนี้เป็น Pure Science ที่แท้จริง แล้วจะทำให้ "รู้แจ้ง" ได้ว่า

    1. ธรรมารมณ์ที่ห่อหุ้มจิต คือ นามที่เป็น ภูมิ
    2. ค่าความยึด หรือ "จิตมุ่ง" เป็น รูปที่เป็น ภพ
    3. จิตที่มุ่ง และ เคลื่อนไปยังจุดมุ่งหมายแล้ว คือ จุติ (จิตส่งออก)
    4. ภาษา (ตัวพูดมาก) ที่ Imprint ในขณะนั้นกำหนด ชาติตระกูล

    +++ ให้กลับไปอ่านทบทวนเปรียบเทียบกับ หน้า 23 โพสท์ที่ 444 "จิตมาร" ภาคที่ 2 ที่คุณ ปุณฑ์ ยกมาจากโพสท์ของผมในกระทู้ "หูดับ" ก็จะทราบรายละเอียดได้ชัดเจน
    +++ อีกประการหนึ่งที่ไม่เคยมีใครพูดถึงเลยก็คือ "ปฏิจจสมุปบาทนั้น คือ การแจง กฏแห่งกรรม ที่รวบเอา วิชชา 3 ไว้ในนั้นด้วย"
    +++ ดังนั้นผู้ที่ "เห็นขันธ์ และ เรียนรู้ขันธ์" ได้ตามความเป็นจริง ย่อมได้ "วิชชา 3" โดยอัตโนมัติ หากฝึกไปจนถึงการ "ฝึกขันธ์ และ ใช้ขันธ์" อะไรจะเกิดขึ้น ผู้ที่ทำได้เท่านั้น จึงรู้

    เวลาที่เมิลนึกย้อนกลับไปตอนก่อนฝึก เทียบกับตอนนี้ ภายในเวลาเพียง 1 ปี เมิลเปลี่ยนไปเยอะจริง ๆ คนที่เคยเกลียดก็ไม่เกลียดแล้ว กลายเป็นความเข้าใจแทน พอเราเห็นขันธ์ของเราว่ามันทำงานยังไง เราก็เข้าใจว่าของเขาก็ทำงานแบบเดียวกัน ความยึดมั่นถือมั่นว่ามันต้องเป็นแบบนี้แบบนั้นสิก็เลยหายไป ขอบคุณพี่มาก ๆ เลยคะ ที่เปิดกระทู้สอน

    +++ ภายใน 1 ปี หากเปรียบเทียบกับ การฝึกแบบ เพ่งพระ กับแบบนี้ ก็ย่อมสามารถที่จะแยกได้ว่า อย่างใด ฝึกแบบความเชื่อ และอย่างใด ฝึกแบบความจริง ได้ไม่ยาก ผลที่ออกมานั้น แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ดังนั้้นมันเป็นเรื่องที่เรียกว่า แล้วแต่ใครจะเจอ ก็เท่านั้นเอง

    +++ ผู้ใดที่สามารถเรียนรู้ "กฏแห่งกรรม" ได้ตามความเป็นจริง รวมทั้งการฝึก "อยู่-ย้าย" ได้ ย่อมมีขีดความสามารถที่จะ "อยู่-ย้าย-สร้าง" ธรรมารมณ์ที่ "ตัวดู" เสพอยู่ (อาเสวะนะปัจจะโย) ไม่ว่าจะใช้ ตัวดู หรือ สภาวะรู้ เป็นไส้เทียน (อธิปะติปัจจะโย) ก็ตาม ย่อมสามารถ "เลือกกรรมได้" ดังนั้นสิ่งที่เรียกกันว่า ฝึกจนถึงขั้น "ปิดอบาย" จึงเกิดขึ้นได้ตามความเป็นจริง โดยไม่ต้องเสียเวลาโดยเปล่าประโยชน์ด้วยการต้องไปง้อกับ "ความเชื่อ" แต่ประการใดทั้งสิ้น

    +++ การฝึก "อยู่-ย้าย-สร้าง" ตรง ๆ ไปที่ "ตัวดู" ทำให้สามารถ "เข้า-ออก-อยู่" ไปตาม ภพภูมิ ต่าง ๆ ได้ ตรงนี้จะเรียกว่า The Traveler ก็ได้ ฝึกตรงนี้ให้ดี ๆ แล้วจะสามารถเข้าใจได้ว่า "หลวงปู่พระครูเทพโลกอุดร" สามารถมีอยู่จริง ตามความเป็นจริงได้หรือไม่

    แล้ว ภาษาของมหาปัฏฐาน อ่านแล้วให้ปวดหัวเยอะเลยคะ แต่ map กับอาการแล้วก็เข้าใจอยู่คะ

    +++ เป็นธรรมดาของภาษาเมื่อ 2550 กว่าปีมาแล้ว ในยามที่จะนำมาใช้อ้างอิงให้เข้ากับภาษาในปัจจุบัณขณะ ก็ต้องใช้การ map กับอาการที่เกิดขึ้นจริงเท่านั้น แบบเดียวกันกับ การเรียนภาษาอังกฤษในโรงเรียนสมัยก่อน พอเรียนแล้วก็นึกว่าตนเองรู้ภาษา แต่พอไปดู หนังฝรั่ง ที่ไม่มีบรรยายไทยประกอบ กลับกลายเป็นว่า "ดูหนังไม่รู้ภาษาที่พูด" กว่าจะรู้ตามหนังได้ ก็ต้องดูกันหลายรอบ พอดูหลายรอบหลายเรื่อง ก็เข้าใจได้มากขึ้น แต่พอไปอยู่ต่างประเทศ ก็รู้ได้อีกว่า "ภาษาที่รู้นั้น ยังไม่พอและยังไม่ตรงกับสถานการณ์ตามความเป็นจริง" รวมทั้งความละเอียดที่เรียกว่า sense ของภาษาในปัจจุบันขณะของขณะนั้น ๆ

    +++ ดังนั้น "การใช้ภาษาให้ตรงกับอาการที่เกิดขึ้นจริง" จึงเป็น "หัวใจของ มหาปัฏฐาน" ไม่ว่าจะเป็นภาษา บาลี อังกฤษ ไทย จีน หรือภาษาอื่น ๆ หากไม่สามารถ map ภาษาให้ตรงกับอาการได้ จะเรียกว่า "มหาปัฏฐาน" ไม่ได้เลย

    +++ เรื่องของ "มหาปัฏฐาน" เป็นเรื่องของ การ "อยู่" ในสภาวะธรรมหนึ่ง ๆ ด้วยการตั้งสภาวะธรรมหนึ่งเป็นประธาน (อธิปะติปัจจะโย) และ "รู้" สภาวะต่อเนื่องของมัน จากนั้นจึง "อยู่-ย้าย ไปมา" ในสภาวะธรรมต่อสภาวะธรรม ก็จะรู้ วงจรแบบ ไม่รู้จบ

    +++ การทำ "อยู่-ย้าย-ปัฏฐาน" สามารถทำ อธิปะติปัจจะโย ได้ทั้ง ตัวดู (พุทธภูมิ) และ สภาวะรู้ (อริยะภูมิ) ทั้งคู่ นักศึกษาในกระทู้นี้ มีผู้ที่สามารถทำ อธิปะติปัจจะโย ด้วย "ตัวดู" (พุทธภูมิ) ได้ และ พุทธภูมิ ผู้ใดที่ทำตรงนี้ได้ ก็จะย่นย่อระยะเวลาที่จะได้ พุทธทำนาย ได้เร็วขึ้น ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดาใน วงจรของกฏแห่งกรรม นะครับ
     
  10. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,566
    ค่าพลัง:
    +9,966
    มีแต่พลังงานค่ะ เหลือล้นมากมาย อดีนาลีนตรึม ส่งต่อได้ด้วย จูงใจคนได้ด้วย

    +++ ให้อยู่ในระดับนี้ไปเรื่อย ๆ และให้สังเกตุถึงความสามารถในการ "แผ่พลังงาน" ออกมานอกตัวด้วย
    +++ ให้สังเกตุสภาวะ "ในขณะ เร่ง-ลด" ที่มีต่อผลกระทบต่อ "จิต-อารมณ์-ภายในร่าง-ภายนอกร่าง-สิ่งรอบข้าง" ทั้งหมด หากทำได้ให้รวม "บรรยากาศรอบนอกตัว ในบริเวณนั้นด้วย"

    เรื่องความเป็นทิพ รู้สึกด้วยใจว่า คิดถึงใคร ท่านผู้นั้นรับรู้และมาให้กำลังใจค่ะ

    +++ ตรงนึ้แสดงถึง กำลังอยู่ในรอยต่อของ "กายเวทนา-กายจิต" แต่ควรฝึกเรื่องการแปรรูปพลังก่อนที่จะ ข้ามรอยต่อนี้
    +++ การฝึกแปรรูปพลังงานเบื้องต้น ให้เริ่มจาก การเข้ากายเวทนา 100 และลดลงมาถึง 0 ก็จะพบได้ว่า ในขณะเต็ม 100 นั้นจะอยู่ในสภาพ "ทรงพลังเปี่ยมล้น" หนักแน่นมั่นคงประดุจขุนเขา ตรงนี้ใช้ภาษาได้ว่า เป็น "ธาตุดิน" และยามที่ลดลงมาถึง 0 ก็จะอยู่ในสภาพ "โล่งโปร่งเบาสบาย" เรียกว่า "อากาศธาตุ" เมื่อคุ้นเคยกับความแตกต่างตรงนี้แล้ว ให้อยู่ตรงกลาง ๆ ประมาณที่ 50 จากนั้นจึง "ใช้จิต" ให้แปรสภาพ "กายเวทนา" ให้ไหลเวียนประดุจ "กระแสน้ำไหลไปมา ทั้งใน และ นอกร่าง" เมื่อชำนาญมากขึ้น ก็ให้ลดลงมาที่ประมาณ 10 ก็จะพบได้ว่า "กระแสไหลของน้ำ กลายสภาพมาเป็น กระแสไหลของลม" ให้จับสังเกตุตรง "รอยต่อของการเปลี่ยนสภาวะธาตุ ตรงนี้ให้ดี"

    +++ ให้จับรอยต่อของ ธาตุ ก่อนที่จะเปลี่ยนรูปให้ชำนาญ เมื่อชำนาญแล้ว ก็ให้ เดินจิต แบบตรง ๆ ที่ รอยต่อ แบบ จุดต่อจุด และให้ "รู้" สภาพทั้งภายนอกภายในทั้งหมด ประกอบกันไปด้วย

    ช่วงนี้จิตไม่เศร้าหมองค่ะ ไม่เอาเรื่องข่าวร้ายๆทางโลกมาใส่ใจ

    +++ ขณะที่ยังอยู่ในขั้นตอนการฝึกนี้ การวางเรื่องภายนอกไว้ก่อน ถือว่าเป็นการสมควร หากจะรู้อะไรก็ตามให้ควรเป็นไปตามลำดับดังนี้ 1. รู้ตน ก่อนที่จะ 2. รู้ท่าน ก่อนที่จะ 3. รู้โลก ก่อนที่จะ 4. รู้วัฏฏะ พยายามอย่าโดดข้ามขั้นตอน ไม่งั้น "ความหลง" จะมาเยือนแน่นอน นะครับ
     
  11. เมิล

    เมิล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    421
    ค่าพลัง:
    +3,132
    พี่คะ
    ตอนนี้ที่เมิลฝึกอยู่คือทำสภาวะรู้เป็นไส้เทียนในตัวดู แล้วยังมีทำไส้เทียนในสภาวะรู้อีกทีเหรอคะ
    หลวงพ่ออัญญาโกณทัญญะท่านเห็นอะไรคะ ท่านเห็นตั้งแต่วงจรปฎิจจสมุปบาททั้งขาไปขากลับเลยไหมคะ ในเมื่อวงจรนี้ก็คือการทำงานของขันธ์ล้วนๆ

    วันนี้ทีไรคิดถึงท่านทุกทีเลยคะ
     
  12. mobilelizard

    mobilelizard เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    558
    ค่าพลัง:
    +4,678
    ผมเองจริงๆ เพิ่งทำได้ปีหน่อยๆ แต่ตั้งแต่ไปเจออะไรๆ มาก็ทำให้เข้าใจอะไรดีขึ้น แต่เพราะคนอื่นเขาไม่รู้เรื่องด้วย เลยเล่าอะไรมากไม่ได้ แต่เล่าให้คนในบ้านฟัง

    อย่างผมเห็นเทวดานางฟ้าจำนวนมหาศาลเปลี่ยนภพต่อหน้าต่อตา ภาพที่เห็นคือความสุดยอด พอผมทำการค้นคว้าถึงสิ่งที่พบ จึงทำให้ผมโยงไปเรื่องอีกศาสนาด้วยซ้ำเพราะสิ่งที่เจอมามันเหมือนกันมาก ผมจึงว่าอีกศาสนาเขาก็เหมือนจะรู้ความจริงของภพภูมิ เพราะถ้าไม่รู้ไม่มีทางเล่าออกมาได้ตรงแบบนั้น ทั้งเรื่องการเปลี่ยนภพและเรื่องอื่นๆ เล่าออกมาแบบไม่เห็นมาพูดไม่ได้เลย

    แต่ก็ได้แต่เล่าให้คนในบ้านฟัง หวังว่าวันหนึ่งจะเล่าให้คนทั่วๆ ไปได้ฟังได้
     
  13. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,566
    ค่าพลัง:
    +9,966
    ตอนนี้ที่เมิลฝึกอยู่คือทำสภาวะรู้เป็นไส้เทียนในตัวดู แล้วยังมีทำไส้เทียนในสภาวะรู้อีกทีเหรอคะ

    +++ สภาวะรู้เป็นไส้เทียน นั้นเป็นเรื่องของ "อริยะภูมิ" เท่านั้น เพราะมีแต่อริยะภูมิที่ "รู้" และ "เป็น" สภาวะรู้
    +++ พุทธภูมิ และ ภูมิใดก็ตาม หาก "ตกหยั่งลงมาในสภาวะรู้" ก็จะ "ตกเข้ากระแสแห่งสภาวะรู้ โดยไม่หวลกลับ" และใช้เวลาไม่เกิน 7 ชาติ ก่อนที่จะ "เป็น" สภาวะรู้เต็มตัว

    +++ พุทธภูมิ มาได้สูงสุดแค่ทำ "ตัวดูเป็นใส้เทียน" เท่านั้น หากเกินตัวดูออกมาเมื่อไรก็จะ "ตกกระแสแห่งสภาวะรู้" ทันที ดังนั้น พุทธภูมิ ใดก็ตามที่สามารถ "ทำตัวดูเป็นใส้เทียนได้" จึงอยู่ใกล้ พุทธทำนายเป็นอย่างยิ่ง เหลือรอโอกาสเพียงแค่พบเจอ พระพุทธองค์ เท่านั้น (ตรงนี้จะรอในชั้น พรหม และการทำปัฏฐานด้วยตัวดูนี้ อยู่เกิน อาภัสสรพรหม ดังนั้น จึงมีขีดความสามารถในการผ่าน ประลัยกัลป์ในชั้น "อสงไขย" ได้)

    +++ แต่จะเจอ พระพุทธองค์ องค์ไหน ก็ต้องแล้วแต่ บารมีและการอฐิษฐานไปตามวงจรของ "กฏแห่งกรรม" ว่าจะสัมฤทธิ์ผลเมื่อไรยามใด รวมทั้งต้องบำเพ็ญต่อ แบบใด ตรงนี้มีแต่ พระพุทธองค์ เท่านั้้นที่จะทราบ ผมส่งให้ได้แค่การทำปัฏฐานโดยใช้ "ตัวดูเป็นใส้เทียน" ก็ถือได้ว่า ตรงนี้ "จ่ออยู่หน้าประตูแล้ว" และไม่มีใคร "ส่ง" ได้ไกลกว่านี้อีกแล้ว

    หลวงพ่ออัญญาโกณทัญญะท่านเห็นอะไรคะ

    +++ ในครั้งแรกท่านเห็น "สิ่งใดสิ่งหนึ่ง" "เกิดดับ" "อัตโนมัติ" (เป็นธรรมดา)
    +++ ให้เทียบเคียงกับการฝึกของ เมิล ที่เห็น "สิ่งใดสิ่งหนึ่ง" "มิติใดมิติหนึ่ง" "สภาวะธรรมใดสภาวะหนึ่ง" ที่ "เกิดดับอัตโนมัติ ในมิติแห่งตนนั้น ๆ" ที่สวนจัตุจักร
    +++ "สิ่งใดสิ่งหนึ่ง" ในที่นี้ไม่ได้หมายถึง "สิ่ง ๆ เดียว" แต่หมายถึง "สรรพสิ่ง" เพียงแต่ "ภาษาที่ใช้" นั้นใช้คำว่า "สิ่งใดสิ่งหนึ่ง" เพราะมันเป็น "อาการใดอาการหนึ่ง ของสรรพสิ่ง เป็นอาการเดียวกัน" แม้มันจะมีอยู่อย่าง นับไม่ถ้วนก็ตาม "แต่สรรพสิ่งมีอาการ เกิดดับ อัตโนมัติ" เหมือนกันทั้งหมด

    ท่านเห็นตั้งแต่วงจรปฎิจจสมุปบาททั้งขาไปขากลับเลยไหมคะ ในเมื่อวงจรนี้ก็คือการทำงานของขันธ์ล้วนๆ

    +++ ผู้ที่ได้ "ปฏิสัมภิทาญาณ" มักจะรู้ทั้ง ขาไปและขากลับ แต่ไม่ทุกท่านเสมอไป พระภิกขุในครั้งพุทธกาล หากได้ฟัง "มหาปัฏฐานสูตร" ก็จะได้ทุกท่าน

    +++ ส่วนท่านพระอัญญาโกณทัญญะได้ฟัง "อนัตตลักขณสูตร" 4 ตอน คือ

    +++ ตอนที่ 1 พระบรมศาสดาได้ทรงแสดง รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ว่าเป็นอนัตตา มิใช่อัตตาตัวตน (ผลลัพธ์คือ ขันธ์ 5 ถูกรู้)
    +++ ตอนที่ 2 พระบรมศาสดาได้ทรงแสดง ขันธ์ 5 เป็นทุกข์ (แปรปรวน แปรสภาพ)

    +++ ตอนที่ 3 พระพุทธเจ้าได้ตรัสรุปลงว่า รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ทั้งห้านี้ที่เป็นส่วนอดีตก็ดี เป็นส่วนอนาคตก็ดี เป็นส่วนปัจจุบันก็ดี เป็นส่วนภายในก็ดี เป็นส่วนภายนอกก็ดี เป็นส่วนหยาบก็ดี เป็นส่วนละเอียดก็ดี เป็นส่วนเลวก็ดี เป็นส่วนประณีตก็ดี อยู่ในที่ไกลก็ดี อยู่ในที่ใกล้ก็ดี ทั้งหมดก็สักแต่ว่าเป็นรูป เป็นเวทนา เป็นสัญญา เป็นสังขาร เป็นวิญญาณ ควรเป็นด้วยปัญญาชอบตามที่เป็นแล้วว่า นี่ไม่ใช่ของเรา เราไม่ใช่นี่ นี่ไม่ใช่ตัวตนของเรา

    =========================================================================
    *** ตอนที่ 3 นี่แหละ ขันธ์ 5 ที่เป็น "ส่วนอดีตก็ดี เป็นส่วนอนาคตก็ดี เป็นส่วนปัจจุบันก็ดี" "เป็นส่วนภายในก็ดี เป็นส่วนภายนอกก็ดี" "เป็นส่วนหยาบก็ดี เป็นส่วนละเอียดก็ดี" "อยู่ในที่ไกลก็ดี อยู่ในที่ใกล้ก็ดี" หาก map จิตตามก็จะรู้ได้ว่า "ตรงนี้ทั้งหมด มีสภาวะรู้ เป็นใส้เทียน" มิฉะนั้น "จะเดินจิตตาม อนัตตลักขณสูตร ของพระพุทธองค์ ไม่ทัน"
    =========================================================================

    +++ ตอนที่ 4 พระพุทธเจ้าได้ทรงแสดง "ผล" ทีเกิดแก่ผู้ฟังและเกิดความรู้เห็นชอบว่า อริยสาวก คือ ผู้ฟังผู้ประเสริฐซึ่งได้สดับแล้วอย่างนี้ ย่อมเกิดนิพพิทา ในขันธ์ 5 เมื่อหน่ายก็ย่อม วาง เมื่อ วาง ก็ย่อมวิมุตติ คือ หลุดพ้น เมื่อวิมุตติ ก็ย่อมมีญาณ คือความรู้ว่าวิมุตติ หลุดพ้นแล้ว และย่อมรู้ว่า ชาติ คือ ความเกิดสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำได้ทำสำเร็จแล้ว ไม่มีกิจอื่นที่จะพึงทำเพื่อความเป็นเช่นนี้อีกต่อไป

    +++ คำตอบคือ "ท่านได้ทั้ง 2 ทาง" นั่นแหละ

    วันนี้ทีไรคิดถึงท่านทุกทีเลยคะ

    +++ พระอัญญาโกณฑัญญะตั้งจิตปรารถนาไว้ตั้งแต่ครั้งพระพุทธเจ้าปทุมุตตระ และใช้เวลา 100,000 กัปป (พุทธภูมิติดตาม)
    +++ เมิล คงไม่ได้ตั้งจิตเอาไว้ และอาจจะโอ้เอ้ในภูมิไหนก็ได้ 2550 ปีมันแผลบเดียวเท่านั้น (พรหมยัง "หาาว" ไม่ทันเสร็จเลย) ผ่านไปแล้ว นะครับ
     
  14. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,566
    ค่าพลัง:
    +9,966
    ผมเองจริงๆ เพิ่งทำได้ปีหน่อยๆ แต่ตั้งแต่ไปเจออะไรๆ มาก็ทำให้เข้าใจอะไรดีขึ้น แต่เพราะคนอื่นเขาไม่รู้เรื่องด้วย เลยเล่าอะไรมากไม่ได้ แต่เล่าให้คนในบ้านฟัง

    +++ 1. กาละ 2. เทศะ 3. ปุคคละ ทั้ง 3 นี้เท่านั้นที่เป็น ปัจจัยในการพิจารณาว่า เรื่องใดสมควรและไม่สมควรในการเล่า
    +++ 1. กาละ เมื่อมีเหตุอันควรในการเล่า และการเล่านั้น match กับสถานการณ์ ถือว่า "ผ่าน"
    +++ 2. เทศะ สถานที่ ๆ เหมาะสมในการเล่า ในที่นี้หมายถึง "ห้อง และ กระทู้" ที่สมควร หาก match กันก็ "ผ่าน"
    +++ 3. ปุคคละ บุคคลที่สมควรเล่า คือ มีปัญญาที่จะล่วงรู้ได้ว่า อะไรเป็นอะไร และ รู้ว่าเป็นจริงได้หรือไม่ หาก match กันก็ "ผ่าน"

    +++ ให้ใช้ องค์ประกอบทั้ง 3 พิจารณาร่วมกัน หากสมควร "ผ่าน" ก็เล่าสู่กันฟังได้ หากไม่สมควรก็อย่าเพิ่งเล่าก็แล้วกัน

    อย่างผมเห็นเทวดานางฟ้าจำนวนมหาศาลเปลี่ยนภพต่อหน้าต่อตา ภาพที่เห็นคือความสุดยอด พอผมทำการค้นคว้าถึงสิ่งที่พบ จึงทำให้ผมโยงไปเรื่องอีกศาสนาด้วยซ้ำเพราะสิ่งที่เจอมามันเหมือนกันมาก ผมจึงว่าอีกศาสนาเขาก็เหมือนจะรู้ความจริงของภพภูมิ เพราะถ้าไม่รู้ไม่มีทางเล่าออกมาได้ตรงแบบนั้น ทั้งเรื่องการเปลี่ยนภพและเรื่องอื่นๆ เล่าออกมาแบบไม่เห็นมาพูดไม่ได้เลย

    แต่ก็ได้แต่เล่าให้คนในบ้านฟัง หวังว่าวันหนึ่งจะเล่าให้คนทั่วๆ ไปได้ฟังได้

    +++ คนทั่วไป "ยาก" ที่จะครบองค์ประกอบในข้อที่ 3 แต่คนในกระทู้นี้ "เป็นข้อยกเว้น" นะครับ
     
  15. *ธรรมดา*

    *ธรรมดา* เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    72
    ค่าพลัง:
    +924
    อิอิ ไม่เล่าในกระทู้นี้ให้ฟังบ้างหละครับ พี่ mobilelizard
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 11 กรกฎาคม 2014
  16. เมิล

    เมิล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    421
    ค่าพลัง:
    +3,132
    พี่ Mobilelizard อ่านแล้วให้สงสัย
    1. เทวดานางฟ้าเหล่านั้นเขาเปลี่ยนจากภพอะไรไปเป็นภพอะไรคะ
    2. เหตุปัจจัยที่ทำให้เขาเปลี่ยนภพต่อหน้าต่อตาพี่
    3. อีกศาสนาคือศาสนาอะไรคะ คล้ายกันยังไง
     
  17. เมิล

    เมิล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    421
    ค่าพลัง:
    +3,132
    พี่ธรรม-ชาติ คะ ขอบพระคุณพี่มากคะ กระจ่างแจ้งจริง ๆ
    เมิลสงสัยตรงประโยคนี้คะ "หากเกินตัวดูออกมาเมื่อไรก็จะ "ตกกระแสแห่งสภาวะรู้""
    เกินตัวดู คืออะไรคะ
    เมิลจะไม่โอ้เอ้แล้วคะ ทุกวันนี้ก็อยู่กับความว่างเป็นแกนกลางในตน
     
  18. mobilelizard

    mobilelizard เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    558
    ค่าพลัง:
    +4,678
    อะจ๊าก ขอเล่าเป็นเรื่องเห็นดวงจิตชาวบ้านละกันครับ

    เมื่อเช้าเห็นดวงจิตแฟน เป็นแสงสว่างดวงเล็กๆ ที่กำลังหลับอยู่ วิ่งไปวิ่งมา ไปหูแฟนมั่งไปหน้ามั่ง เหมือนเวลาเราใช้จิตส่งไปที่มือแล้วรู้สึกเด่นชัดข้างในมือ (ที่เคยบอกให้รินๆ ลองทำ) นี่ ก็เหมือนเวลาแฟนผมส่งไปนั่นไปนี่ ดวงจิตมันก็วิ่งไปตามที่ตัวดูส่งไปเป็นแสงสว่าง

    บางทีถอดออกมแต่กายธรรมรมณ์มองกลับไป ยังเห็นแสงของดวงจิตตัวเองอยู่จุดที่กายเนื้ออยู่เลย เพราะไม่ได้เอามาด้วย 555
     
  19. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,566
    ค่าพลัง:
    +9,966
    อสังขตธรรม อณู เหตุปัจจโย สังขตธรรม ตัวดู วิญญาณขันธ์

    +++ เกินตัวดู คือ อะไร ให้ฝึกจาก ตรงนี้ไปก็จะได้ "คำเฉลยจากการปฏิบัติ" ออกมาเอง

    +++ เอาละ ตอนนี้ก็เข้าพรรษาแล้ว จัดว่าสมควรเป็น "ฤดูแห่งการ เร่งความเพียร ของผู้ฝึกฝนในกระทู้นี้ก็แล้วกัน"

    +++ สำหรับผู้ที่ยังปรารถนา "พุทธภูมิ" อยู่ ก็ให้เร่งฝึกให้ถึง สติระดับที่ 5. "อยู่กับตน" ให้ชำนาญ (ทั้ง 3-5) จากนั้นให้ใช้ "ตน" เป็นแก่นของ "กายเวทนา" และ "กายเนื้อ" ในเวลาเดียวกัน อันเป็นการ "คร่อมมหาสติ 2 ฐาน" เมื่อชำนาญแล้วก็จะพบ "การกระพริบกระเพื่อมจากการกระทำของจิต" ที่เรียกว่า "กิริยาจิต" เมื่อรู้และคุ้นเคยกับ "กิริยาจิต" แล้วก็ให้ยังคง "ตน เป็นแก่นของทั้งหมด" ก็จะได้ "ตัวดูเป็น อธิปะติปัจจะโย" อันเป็นการฝึก "มหาปัฏฐาน" ที่มี "ตัวดูเป็นใส้เทียน" ผลลัพธ์ที่ต่อออกมาจากตรงนี้ ก็จะชี้แจงให้เป็นประเด็นตามเหตุและปัจจัยในภายหลัง

    +++ สำหรับผู้ที่ฝึกอยู่ในระดับ 9 "อยู่กับความเป็นจริง" และผู้ที่มาใหม่ที่ต้องการ" ฝึกอย่างเดียว โดยที่ไม่ต้องรู้อะไรมาก" และตั้งใจว่า แค่ "สุขวิปัสโก" ก็พอแล้ว รวมทั้งผู้ที่ต้องการฝึก "มหาปัฏฐาน" จาก "อวิชชา จนถึง ปลายทางของปฏิจจสมุปบาท" ก็สามารถร่วมเริ่มต้นด้วยกันได้ เพราะจะ "เริ่มต้นพร้อมกัน" จากตรงนี้

    +++ การเริ่มต้นในขั้นแรก (แม้ว่าจะไม่เคยฝึกอะไรมาก่อนก็ตาม ก็เริ่มได้เลย) ให้ทำดังนี้

    +++ 1. ให้หลับตา "แล้วทำให้ตนเองไม่รู้" สัก 2-3 นาที (เทียบกับอย่างอื่นแล้ว "ไม่นานเลย")
    +++ 2. ผลลัพธ์ที่เกิดคือ "มันก็รู้อยู่ดีนั่นแหละ ว่า ไม่รู้อะไรเลย"

    +++ หมายเหตุ ตรงนี้คือ "อยู่กับรู้" (ที่ไม่จำเป็นจะต้องไปรู้อะไร) ที่สำคัญที่สุดตรงนี้คือ "สภาวะที่รู้อยู่นี้" เรียกว่า "สภาวะรู้" ส่วน "การทำให้ตนเองไม่รู้" นั้นจะใช้คำศัพท์ง่าย ๆ ว่า "ดับ" ก็แล้วกัน

    +++ 3. เมื่อรู้ทั้ง "สภาวะรู้ และ การดับ" แล้ว ให้ "อยู่กับสภาวะรู้เฉย ๆ" เท่านั้นเอง

    +++ ตรงนี้ "ไม่มีอะไรยาก" เพราะไอ้ที่ยากก็มีเพียงแค่ "ไม่ได้ทำ" เท่านั้นเอง และจากตรงนี้ลงไป ผู้ที่ไม่ได้ทำก็จะ "หลุดและตาม อะไรไม่ทัน" อีกต่อไป

    +++ 4. หลังจาก "ดับ" และ "รู้อยู่เฉย ๆ" แล้ว แป็ปเดียวก็จะเกิด "สิ่งที่ รบกวนการ รู้เฉย ๆ เกิดขึ้น" ผลลัพธ์คือ "เกิดการ ดู" เจ้าสิ่งรบกวนนั้น ตรงนี้แหละ "มหากาพย์แห่งวัฏฏะสงสาร" ได้เริ่มขึ้น
    +++ 5. เมื่อเกิด "การดู" ขึ้นเมื่อไร ก็ให้ "ดับ" การดูนั้นลง จนชำนาญในการ "ดับ" แล้วกลับมา "รู้เฉย ๆ" ตรงนี้ไม่ต้องทำมาก เพียงแค่ให้ "พอคุ้น ๆ" ก็ได้

    =======================================================================
    เมื่อคุ้นแล้วสำหรับผู้ต้องการเพียงแค่ "สุขวิปัสโก" ก็ให้สังเกตุเอาเฉย ๆ ว่า

    1. สภาวะรู้นี้ "เกิด-ดับ" ได้หรือไม่
    2. สภาวะรู้นี้ "ทุกข์ตั้งอยู่" ได้หรือไม่
    3. สภาวะรู้นี้ "เป็นอมตะธรรม" ใช่หรือไม่

    4. ยามใดที่ "การดู" เกิดขึ้น ผลลัพธ์ต่อเนื่องของมันเป็นอย่างไร
    5. ตัวที่ทำการ "ดู" นั้น สามารถ "ถูกรู้" ได้หรือไม่
    6. ดับการดูเมื่อไร ก็กลายเป็นรู้ ใช่หรือไม่

    7. ทั้งหมดนี้ "เป็นสัจจธรรม" ใช่หรือไม่

    สำหรับผู้ที่ต้องการแค่ "สุขวิปัสโก" ก็ฝึกฝนเพียงแค่นี้ จาก 1-5 ข้างบน แล้วค่อย ๆ สังเกตุ 7 ข้อในที่นี้ คำตอบต่าง ๆ ก็จะค่อย ๆ ทยอยตัวมาเอง
    =======================================================================

    สำหรับผู้ที่ต้องการฝึกมหาปัฏฐาน ก็ให้ฝึกต่อไปยังข้างล่างนี้

    +++ 6. จากข้อ 4 สิ่งที่รบกวน "สภาวะรู้" ตรงนี้หาก "ไม่ทัน" ก็ให้ทำการ "ดับตัวดู" แล้วกลับมาเป็น "สภาวะรู้เหมือนเดิม" สักหลาย ๆ ครั้ง
    +++ 7. พอเริ่มชำนาญแล้ว "ตัวดู จะเริ่มไม่ปรากฏ" แต่ "สภาวะรู้ กับ สิ่งแปลกปลอมที่เคลื่อนตัวไปมา" ยังมีอยู่
    +++ 8. จะเริ่ม "รู้ที่กลายเป็นเห็น" (ญาณทัศนะ) สภาวะที่เคลื่อนตัวไปมานี้ "โดยไม่ต้องดู" และตรงนี้จะเป็น "สังคตธรรม VS อสังคตธรรม" ซึ่งมีอยู่จริง "ทั้งคู่"

    +++ 9. ตัวที่เคลื่อน ที่เห็นโดย สติบริสุทธิ์ (ญาณทัศนะวิสุทธิ) นี้ จะมีสภาพเป็น "อณู" หรือ ภาษาปัจจุบันเรียกมันว่า "อนุภาคเคลื่อนที่" นั่นแหละ
    +++ 10. การเคลื่อนที่ของมัน จะทิ้งร่อยรอยของการเคลื่อนตัว ที่มีลักษณะเป็นแบบเดียวกันกับ "คลื่นที่เกิดมาจากหัวเรือที่แหวกน้ำไป"

    +++ 11. คลื่น ที่มาจากการเคลื่อนตัวของอณูนี้ ทำให้สภาวะรู้เกิดความเปลี่ยนแปลง เป็นหย่อมความกด (ภาษาของ อุตุนิยมวิทยา)
    +++ 12. หย่อมความกด "จะเล็งศูนย์กลาง ไปยังอณู" หรือเรียกว่า "หย่อมความกดมี อณู เป็นโฟกัส" ก็ได้
    +++ 13. อาการของ "อณู" ที่มีแรงดึงดูด จะทำให้ "หย่อมความกด" รวมตัวเข้าหามัน
    +++ 14. เมื่อ "การรวมตัวเกิดขึ้นสำเร็จ" หลุมดำแห่ง "วิญญาณขันธ์" ย่อมเกิดขึ้น (กำเนิดหลุมดำ กำเนิดวิญญาณขันธ์ กำเนิดตัวดู)

    *** หมายเหตุ หากชำนาญในข้อ 8 อาการคลื่นกระทบจากข้อ 10 ก็จะกลายเป็นแค่ คลื่นที่เคลื่อนตัวไปใน "ความว่าง" เฉย ๆ ***

    =======================================================================
    พระไตรปิฎก เล่มที่ 12 พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ 4 มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ (321 ปาสราสิสูตร)

    "กาลนี้ ธรรมนี้เราบรรลุได้โดยยาก บัดนี้ ไม่ควรประกาศ ธรรมนี้ไม่เป็นธรรมที่ชนผู้มีราคะโทสะหนาแน่นตรัสรู้ได้โดยง่าย ชนผู้มีราคะกล้า ถูกกองความมืดหุ้มห่อไว้ ย่อมไม่เห็นธรรม ที่ยังสัตว์ให้ถึงที่ทวนกระแสโลก ละเอียด ลึก เห็นได้โดยยากเป็นอณู"

    ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อเราคิดเห็นเช่นนี้ ก็มีจิตน้อมไปเพื่อความเป็นผู้ขวนขวายน้อย ไม่น้อมไปเพื่อแสดงธรรม
    =======================================================================

    +++ สภาวะธรรมตรงนี้ "แม้แต่พระพุทธองค์" ก็ยังทรง "ท้อใจ" ดังนั้นจึงย่อมไม่ใช่เป็นเรื่องง่าย เพียงแต่ว่า ผู้ที่ฝึกอยู่ใน สติระดับ 9 น่าจะมีขีดความสามารถเพียงพอที่จะ "เห็น" ได้ ดังนั้นผมจึงโพสท์ "กำเนิดแห่งอวิชชา" เอาไว้ตรงนี้ และตรงนี้แหละที่ชี้ชัดได้ว่า "อณู" (อนุภาคเคลื่อนที่) คือ "เหตุปัจจโย" ที่ก่อกำเนิด "อารัมมะณะปัจจะโย" และเป็น "อวิชชา" เริ่มต้น

    +++ ยามใดที่ "สภาวะรู้" เริ่มจับ (กำเนิดตัวดู) ก็จะเกิด อาการของ "สภาวะธาตุเริ่มต้น" มีสภาพประดุจ "สภาวะหมอกที่ก่อตัว" (อวิชชา) ก่อนที่จะมีสภาพที่ชัดเจนมากขึ้น และเริ่มกลายมาเป็นพลังงานก่อตัว (ธรรมารมณ์ อารัมมะณะปัจจะโย) ก่อให้เกิดการหมุนวนประดุจ วังน้ำวน หรือ พายุหมุน (สังขารา คือ ความปรุงเข้ามา แต่งเข้ามา ของพลังงาน) และในวังวนนี้ "ก็เริ่มก่อตัวขึ้นของรังสีและแสงต่าง ๆ เข้ารวมตัวกัน" (กำเนิดแห่ง รูปธรรม)

    +++ ณ ใจกลางแห่งวังวนนี้ "ตาแห่งการรู้เห็น" (ตาจิต ดวงจิต) ก็เกิดขึ้นมาจากการรวมตัวของแสงและรังสีต่าง ๆ นั้น ทั้ง "ตัววังวน และตาของมัน" ก็กลายเป็นสภาพที่เป็น "ตัวตน" ขึ้น ตรงนี้คือ "อัตตาจิต ตัวดู กายธรรมารมณ์ และกายจิต" และเป็น "ตัวกูของกู" โดยสมบูรณ์ โดยที่ "ตัวของมัน เป็นนาม เป็นธรรมารมณ์" ส่วนที่ "ตาของมัน เป็นรูป เป็นจิต" และเป็น ขันธ์ตัวแรก คือ "วิญญาณขันธ์" นั่นแหละ

    +++ พรรษานี้ให้ "ลองฝึก" กันที่ตรงนี้ดู เริ่มจาก ดับ - รู้ - อนุภาค - กำเนิดธาตุ - การรวมตัว - กำเนิดแห่งหลุมดำของ "ตัวดู" - จนถึง กำเนิดรูปนาม ต่าง ๆ นะครับ
     
  20. mobilelizard

    mobilelizard เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    558
    ค่าพลัง:
    +4,678
    1. เทวดานางฟ้าเหล่านั้นเขาเปลี่ยนจากภพอะไรไปเป็นภพอะไรคะ

    เปลี่ยนจาก ภูมิเทวา ไปเป็น อากาศเทวา

    2. เหตุปัจจัยที่ทำให้เขาเปลี่ยนภพต่อหน้าต่อตาพี่

    ถอดกายจิตไปเจอพวกเขา ทำปัฏฏาน แล้ว "เข้าฐาน" ค้างไว้ ภพภูมิจะยืนตรงหยุดนิ่งหมด แล้วค้างไว้อย่างนั้นไปเรื่อยๆ อย่าขยับไปไหน เดี๋ยวรู้เลย...

    สิ่งที่เจอคือ ภพภูมิเริ่มมีแสงสีแดงบนตัวแล้วบนกลายเริ่มมีแสงสว่าง แล้วปีกงอก ปีกยาวขาวแล้วสวยมาก แล้วท้องฟ้าเปิดออกเป็นรูกว้างแล้วแสงส่องลงมา แล้วพวกเขาหล่าวนั้นก็บินขึ้นไปบนฟ้า จากรอบทิศทาง ท้องฟ้าเปิดช่องใหญ่ แต่เนื่องจากมีจำนวนมาก ก็ยัดกันเข้าไปใหญ่ จนไม่มีทางเข้า ท่านยมพบาลโผล่ออกมาจากรู พร้อมผู้ช่วย ท่านยมพบาลตัวใหญ่กว่าพวกเทวดานางฟ้ามาก แล้วทั้งสองช่วยกันรีบลากเทวดานางฟ้าเข้าไปในรู เสร็จแล้วผมก็คุยกับท่านยมพบาล เป็นครั้งแรกผมได้คุยแบบเจอหน้า ก่อนหน้าเคยคุยแบบโทรจิต


    พอผมเล่าให้คุณธรรมชาติ คุณธรรมชาติบอกว่า:

    +++ คราวหน้า "อย่าเปลี่ยนภูมิโดยพละการ" เพราะ "วงจรกรรมเป็นเรื่องซับซ้อน" แบบเดียวกันกับเข้า Time machine แล้วไปเปลี่ยนแปลงอะไรในประวัติศาสตร์ ซึ่งผลที่ตามมาคือ การเปลี่ยนแปลงใน ปัจจุบัน และ อนาคต ของ วงจรกรรมเหล่านั้น

    +++ ที่ยมบาลรีบขึ้นมานั้น เป็นการ "รีบเร่ง" อุดช่องว่างรูโหว่ของ วงจรกฏแห่งกรรม ไม่ให้ลุกลามใหญ่โตออกไปอีก

    +++ ยังดีที่ไม่ลงไป "ปล่อยสัตว์นรก ให้ออกมาเพ่นพ่านบนโลกมนุษย์ ไม่งั้น เหล่ามารร้ายต่าง ๆ ก็จะทำให้ "โลกมนุษย์ไม่เหมาะสำหรับมนุษย์อีกต่อไป"

    +++ เรื่องแบบนี้ "ต้องรอบคอบให้มาก" นะครับ



    3. อีกศาสนาคือศาสนาอะไรคะ คล้ายกันยังไง

    อันนี้เป็นความคิดผมเองนะครับ ถือว่าช่างมันละกัน เพราะเดี๋ยวจะพากันหลง 555
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 กรกฎาคม 2014

แชร์หน้านี้

Loading...