วิริยาธิกะพิเศษบันทึก

สวัสดีท่านทั้งหลาย

ขออนุโมทนาในกุศลเจตนา ที่ท่านทั้งหลายได้กระทำแล้วด้วยดี สาธุ

ท่านพี่ Armarmy มาตั้งคำถามไว้ เรื่องความไม่ประมาท ก็อยากจะเข้ามาคุยสักหน่อย อย่าเรียกว่าตอบคำถามเลย เพราะว่าตัวเราไม่มีความรู้ ความสามารถอะไร กับเขานะ อาจจะมีความรู้อยู่บ้าง มันก็เป็นเพียงแค่หางอึ่งเท่านั้นนะ

ไม่ประมาท น่าจะหมายถึง ตั้งตนอยู่ในศีล ในธรรม ตามคำสอนขององค์สมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า

ละเว้นความชั่วทั้งปวง

กระทำความดีทุกอย่าง เท่าที่จะกระทำได้

ทำจิตใจให้ผ่องใส ห่างไกลจากกิเลส ตัญหาทั้งปวง

น่าจะอยู่ในแนวนี้ ความไม่ประมาทที่ว่าไว้

เกี่ยวกับในเรื่องอนาคตของประเทศไทยนั้น ท่านผู้รู้ได้พยากรณ์เอาไว้ ก็คงเป็นไปตามนั้น ส่วนในรายละเอียด ก็ยังมีปลีกย่อยอีกมากมาย ท่านคงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องบอกเอาไว้นะ บอกแค่เพียงกรอบใหญ่ ๆ กว้าง ๆ ที่เป็นหลักสำคัญเท่านั้น ลงในรายละเอียดมาก ก็จะสงสัยกันมาก เพราะวันเวลายังมาไม่ถึง แต่ว่าก็มีหลายเรื่อง ที่ความจริงปรากฏแล้ว แต่ท่านทั้งหลาย ก็อาจจะไม่เข้าใจ และนึกไม่ถึงเท่านั้นเอง

อันที่จริงอะไรมันจะเกิด ไม่สำคัญ ท่านว่าให้ระวังอยู่จุึดเดียวก็คือ ระวังจิตใจของตนเอง ดูจิตของตนเองเป็นสำคัญ หาความเลวในใจให้เจอ หาความเลวเจอเมื่อไร ก็พยายามเอาชนะความเลวที่ว่านั้น ให้จงได้ ด้วยพระธรรมคำสอนขององค์สมเด็จพระประทีปแก้ว เมื่อหาความเลวในใจของตนเองไม่เจอแล้ว ก็จะพบความดีเองหละนะ

ถ้าจะพิจารณากันให้ดีแล้ว จะพบว่า โลกมนุษย์ ก็ดี เทวโลก ก็ดี หรือแม้แต่ พรหมโลก ก็ดี มีความวุ่นวาย (มากน้อยแล้วแต่) สาเหตุก็มาจาก กิเลส และตัญหา ที่อยู่ภายในจิตใจนั้นเองนะ

สิ่งที่น่ากลัวที่สุด ก็คือ ความโลภ ความโกรธ และความหลง ที่อยู่ในใจนั่นแหละนะ เพราะว่า ทั้งสามสิ่งนี้ เป็นต้นเหตุ ของความทุกร์ทรมานทั้งหลายทั้งปวง

และก็ด้วยเพราะว่า บรรดาสรรพสัตว์น้อยใหญ่ทั้งหลาย ที่เวียน ว่าย ตาย เกิด ในวัฏฏะสงสาร เกิดจาก กิเลส และตัญหานั่นเอง เป็นเครื่องผลักดัน ให้ต้องหมุนเวียน อยู่ในกองทุกข์ กันอย่างไม่มีที่สิ้นสุดลงได้

ก็เพราะเจ้ากิเลส คือความอยากนั้นเอง ที่ทำให้สรรพสัตว์ทั้งหลาย ต้องทนทุกข์ทรมาน เพราะการเกิด กันอย่างหาจุดจบไม่ได้ จึงเป็นเหตุให้ ท่านผู้ประเสริฐทั้งหลาย ตั้งใจในการบำเพ็ญบารมี อย่างยาวนาน และยากลำบากยิ่ง เพื่อที่จะแสวงหาหนทาง ที่จะนำพาสรรพสัตว์น้อยใหญ่ทั้งหลาย เหล่านั้น ให้ก้าวพ้นไปเสียจากกองทุกข์

ถ้าท่านทั้งหลาย สามารถมองดู การเวียน ว่าย ตาย เกิด ของบรรดาสรรพสัตว์ทั้งหลาย ไม่ว่า จะเป็น มนุษย์ , สัตว์เดรัจฉาน , เปรต ,อสูรกาย, สัตว์นรก, แม้แต่ เทวดา และ พรหมทั้งหลาย ที่กล่าวมานี้ ต่างก็ต้องเวียน ว่าย ตาย เกิด ในวัฏฏะสงสาร กันไปอย่างไม่จบสิ้นได้

ถ้าท่านมองเห็นได้ และดูกันไป ย้อนหลังกลับไปในอดีต นานเท่านาน มาถึงปัจจุบัน และมองไปข้างหน้า อนาคต ที่ำไกลแสนไกล ท่านจะพบว่า มันก็เวียน วน อยู่อย่างนั้น ทุกข์ สุข เวียน ว่าย สลับกันไป สลับ กันมา หาจุดจบ หาจุดสิ้นสุดไม่ได้เลย ไม่มีความแน่นอนอะไร ดวงจิตทั้งหลาย ต่างก็ได้เวียน ว่าย หมุนเวียน สลับสับเปลี่ยน ภพภูมิกันไป จากสุขคติภูมิ สลับตกไปในทุกข์คติภูมิ จากทุกข์คติภูมิ กลับกลับมายัง สุขคติภูมิ

มันก็หมุนเวียน กันอยู่อย่างนั้น เหมือนวัวพันหลัก ไม่อาจที่จะหลุดออกไปได้เลย น่าเวทนายิ่งนัก คือ มีความสุข ก็สุขไม่จริง สุขได้ชั่วครั้งชั่วคราว แล้วก็ต้องจากไป

ถ้าท่านได้มองเห็นตามที่กล่าวมาแล้ว และกลับมาดูสภาพความเป็นจริง ที่มนุษย์โลกในเวลานี้ กระทำสิ่งต่าง ๆ กัน จะเห็นได้ว่า น่าเวทนายิ่งนัก เพราะว่าส่วนใหญ่แล้ว มนุษย์ มักจะหลงไปในสิ่งชั่ว สิ่งเลว ก่อกรรมทำเข็ญ อาฆาต พยาบาท จองเวร กัน โดยไม่รู้ตัวหรอกนะว่า ได้ผูกภพผูกชาติ กันไว้ ด้วยแรง อาฆาตพยาบาท ซึ่งจะส่งผลทำให้ ต่างก็ต้องกลับมาสลับสับเปลี่ยน เกิด แล้วตาย ตาย แล้ว เกิด เพื่อชดใช้เวรกรรม กัน อย่างไม่มีที่สิ้นสุด

ให้ท่านค่อย ๆ คิด ค่อย ๆ พิจารณา กันไปในความจริงที่กล่าวมานี้ คิดแบบเบา ๆ ทำใจให้สบาย ให้เห็นข้อเท็จจริง อย่างทั่วถึง ท่านจะเกิดความสลด และสังเวช เป็นอย่างมากนะ

มนุษย์ทุกคน มีกรรมเป็นของตัว มีกรรมเป็นเครื่องบ่งชี้ และมีกรรมเป็นเครื่องนำพาไป

 

ช่วงนี้งานของผมนี่มันมากขึ้นไปอีกจากที่มากอยู่แล้ว เลยทำให้ไม่ค่อยมีเวลามาคุย ก็เปิดบ้าน24ชั่วโมง น้ำมีเต็มโอ่ง พร้อมทั้งข้าวสารอาหารแห้งไว้รับแขก

ก็ว่ากันไปพรางๆก่อนนะครับ

เรื่องของความไม่ประมาท ก็ฝากถึงหมู่คณะนะครับ เอาแค่รู้ตัวกันว่าสัตว์โลกเกิดเท่าไรตายกันเท่านั้น อย่างที่คุณน้อง03ว่า ตามที่พระท่านสอน ตามที่ครูบาอาจารย์ท่านสั่ง

อนาคตดีก็ตาย อนาคตไม่ดีก็ตาย
เมืองไทยดีขึ้น จะมั่งคั่งสมบูรณ์เพียงใดเราก็ตาย
สิ่งปลูกสร้างจะใหญ่โตโอ่โถงสะดวกสะบายเพียงใด เราก็แค่อาศัยมันได้แค่ชั่วคราว
แม้ในสถานที่สาธารณะเราก็อยู่ได้ชั่วคราว รวมความว่าสิ่งของนอกกายไม่มีอะไรเป็นของเรา

กายของเราเองนี้ไม่ช้าไม่นานมันก็จะต้องเสื่อม ต้องสลาย ต้องไปจากใจที่เคยรักเคยทนุถนอมมัน กายภายนอก คือกายของคนอื่น

กายภายในคือกายของเรา มันเกิดขึ้น ตั้งอยู่พักเดียว แล้วก็เสื่อมไปวันละเล็กละน้อย จนไม่มีอะไรเหลือ

ถามตัวเองตายแล้วจะไปใหน
พร้อมที่จะตาย พร้อมที่จะไปสถานที่ใหม่หรือยัง

หากเราแค่หยุดส่งกระแสใจไปตามกระแสของโลก เราก็จะเริ่มมองเห็นคำว่าความประมาทตามหลักพระธรรมคำสั่งสอน

หากเราคิดว่าเราจะไปใหนเราก็จะเตรียมตัวถูกตามสถานที่ ที่เราจะไป
หากเราจะไปวัดเราก็คงต้องอาบน้ำ แต่งตัวให้มันเหมาะมันสมกับวัดที่เราจะไป แต่งตัวเรียบร้อย หิ้วปิ่นโตอาหาร พร้อมทั้งธูปเทียนดอกไม้ อาหารถวายพระ ธูปเทียนดอกไม้สำหรับบูชาพระ ใจที่พร้อมจะฟังเทศฟังธรรมคำสั่งสอน

หากเราเป็นคนไม่รู้ตัวมั่วไปทั่ว ก็คงจะหิ้วขวดยาดองแมวสลัดขนเข้าไปนั่งดวดหน้าธรรมมาส แล้วหากสมมุติว่าเป็นเทวะสะภา บนดาวดึงค์เทวโลก ก็คงโดนแข้งเทวดาได้เช่นกัน ไม่ใช่ว่าเทวดาจะยันมนุษย์ด้วยเท้าด้วยแข้งแล้วจะผิดกติกา

พุทธภูมิไปตามประสาพุทธภูมิ ที่ต้องเดินทางไกลมาก ทุนต่างๆที่จำเป็น สำหรับผม ผมเตรียมของผมทุกรูปแบบเท่าที่จะมีกำลังลากไปได้ ระหว่างทางก็ต้องคอยประคับประคองทั้งตัวเอง ทั้งหมู่คณะทั้งหมดให้รอดปลอดภัยจากภัยอันตรายสารพัดอย่าง

เดี๋ยวมาต่อนะครับ

 

วันนี้วันพระแรม๘ค่ำเดือนสิบ

หากกลับมาเกิดเป็นมนุษย์ จะต้องเตรียมอะไรมาบ้าง

 

สวัสดีครับ พี่ พีซีโอ พี่ๆน้องๆทุกๆท่าน ที่ ๑๗ / ๙ / ๕๗ ({) สวัสดีครับ พ่อแม่พี่น้องทั้งหลาย ผมไม่ได้เข้ามาเสียหลายวัน มัวแต่ยุ่งอยู่เกี่ยวกับการจัดงาน หล่อพระหรือเตรียมงาน เพื่อให้ลุล่วงไปด้วยดี บัดนี้ งานก็เสร็จลุล่วงไปได้ด้วยดีครับ ตามสมควรอัตภาพครับ จึงนำภาพในวันงานมา ให้พี่ๆน้องๆ ได้ชมกัน ตามสภาพ ความเป็นจริง ก็มีผู้คนมาร่วมงานหล่อพระ ก้หลายร้อยคนอยู่ และมีผู้ใจบุญใจกุศลนำอาหารคราวหวาน มา ร่วม เลี้ยงพระพี่น้อง ๗-๘ ที่ด้วยกัน เรียกว่า ของกิน เหลือเฝือ เหลือดีกว่า ขาดนะครับพี่ๆน้องๆ ตอนคนมากันผมมัวแต่ยุ่งเรื่อง งานต่างๆ เยอะๆ เลยไม่รับ เชิญหรือคุยด้วย ต้องขออภับด้วยนะครับ อะไรผิดพาด ขาดหล่นตกล่อง ไปต้องขอภัยเป็นอย่างสูงครับ ขอเชิญชมภาพครับผม

 

สวัสดีครับ พี่ พีซีโอ พี่ๆน้องๆทุกๆท่าน ที่ ๑๗ / ๙ / ๕๗ สวัสดีครับ พ่อแม่พี่น้องทั้งหลาย ผมไม่ได้เข้ามาเสียหลายวัน มัวแต่ยุ่งอยู่เกี่ยวกับการจัดงาน หล่อพระหรือเตรียมงาน เพื่อให้ลุล่วงไปด้วยดี บัดนี้ งานก็เสร็จลุล่วงไปได้ด้วยดีครับ ตามสมควรอัตภาพครับ จึงนำภาพในวันงานมา ให้พี่ๆน้องๆ ได้ชมกัน ตามสภาพ ความเป็นจริง ก็มีผู้คนมาร่วมงานหล่อพระ ก้หลายร้อยคนอยู่ และมีผู้ใจบุญใจกุศลนำอาหารคราวหวาน มา ร่วม เลี้ยงพระพี่น้อง ๗-๘ ที่ด้วยกัน เรียกว่า ของกิน เหลือเฝือ เหลือดีกว่า ขาดนะครับพี่ๆน้องๆ ตอนคนมากันผมมัวแต่ยุ่งเรื่อง งานต่างๆ เยอะๆ เลยไม่รับ เชิญหรือคุยด้วย ต้องขออภับด้วยนะครับ อะไรผิดพาด ขาดหล่นตกล่อง ไปต้องขอภัยเป็นอย่างสูงครับ ขอเชิญชมภาพครับผม ภาพในงาน อาทิตย์ที่ ๑๔/๙/๕๗ ที่ผ่านมาครับ

 

สวัสดีครับ พี่พีซีโอ พี่ๆน้องๆทุกๆท่าน ภาพในงานของวันอาทิตย์ ที่ ๑๔/๙/๕๗ ขอเชิญดูภาพต่อนะครับ และ อนุโมทนาสาธุบุญด้วยกัน ทุกดวงจิตมาด้วยศรัทธาประสาธะ ที่จะมาหล่อองค์พระด้วยตนเอง ที่มาไม่ได้ ก็อนุโมทนาสาธุการร่วมกันนะครับ บุญใหญ่จริงๆ โอกาศดีแบบนี้หาได้ยากครับ ถึงจะเป็นปูน หรือปูนพลาศเตอร์ สร้างด้วยเงิน หรือทองคำ มีอนิสงฆ์เท่ากันเหมือนกัน ตามที่ครูบาอาจารย์ ทั้งหลายท่านได้กล่าวเอาไว้ เป็นปูน ดูแลง่าย รักษาง่าย ไม่ต้อง กลัวใคร จะมารักโขมยไป แต่ต้นทุนในการสร้างใช่ว่าจะถูกนะครับพี่น้อง แพงเอาการครับ

 

โมทนาสาธุอย่างยิ่ง กับทุกรายการบุญทานกองการกุศลทั้งปวงของพี่บุญทรงนะครับ

 

ภาพในงานของวันอาทิตย์ ที่ ๑๔/๙/๕๗ ขอเชิญดูภาพต่อนะครับ และ อนุโมทนาสาธุบุญด้วยกัน ทุกดวงจิตมาด้วยศรัทธาประสาธะ ที่จะมาหล่อองค์พระด้วยตนเอง ที่มาไม่ได้ ก็อนุโมทนาสาธุการร่วมกันนะครับ บุญใหญ่จริงๆ โอกาศดีแบบนี้หาได้ยากครับ ถึงจะเป็นปูน หรือปูนพลาศเตอร์ สร้างด้วยเงิน หรือทองคำ มีอนิสงฆ์เท่ากันเหมือนกัน ตามที่ครูบาอาจารย์ ทั้งหลายท่านได้กล่าวเอาไว้ เป็นปูน ดูแลง่าย รักษาง่าย ไม่ต้อง กลัวใคร จะมารักโขมยไป แต่ต้นทุนในการสร้างใช่ว่าจะถูกนะครับพี่น้อง แพงเอาการครับ

ในงานนี้ จะรายงานรายได้ทั้งหมด ให้พี่น้องได้ทราบ ไปตามลำดับ มีผู้ โอนเงินร่วมทำบุญเข้า มาในธนาคารออมสิน ทั้งสิ้น เป็นเงิน ๑๙,๐๘๕ บาท ๒๕ สต. รวมกับวันงาน รายได้ ผู้ร่วมบุญ ๑๖๔,๙๔๖ บาทครับ รวมเงินในบัญชี เป็น ๑๘๔,๐๓๑ บาท หลังจากงานเลิกแล้ว เงินตามมาอีก หมื่นกว่าบาท ยังไม่รวมครับ ยังเช็กไม่เสร็จ ยังยุ่งอยู่ครับ และรายจ่ายในงาน ก็น่าจะเกิน ๕ หมื่น เดี๋ยวจะรายงานให้พี่น้องทราบ ที่ สร้าง ฐานพระก็ดี พื้นก็ดี จ่ายไปทั้งสิ้น ก่อนงาน ยังไม่ลงตัวมันมากกว่านั้น เอาคร่าวๆก่อนครับ ไม่รวมวันงาน จ่ายจริงทุกอย่าง ๑๒๔,๑๑๓ บาท และที่ผมออกไปอีกเยอะไม่ได้จดครับ ของทุกอย่างต้องซื้อหมด ของที่เขาบริจาคมาไม่ได้คิดราคาเอามารวมครับ


และในวันงานจ่ายกะว่าจะ ทำให้เสร็จในวันนี้ครับถ้าไม่ไปทำธุระ และวันนี้ เข้ามาใน กระทู้ ได้มี คุณดวงพรอยู่ สงขวา บูชาวัตถุมงคล พร้อมทำบุญ ๓,๕๐๐ บาท เดี๋ยววันนี้จะไปปรับสมุดดูครับ ธนาคาร ออมสิน ไม่มีรายการ บอกรายรับ รายจ่าย ต้องไปปรับสมุดเท่านั้นครับผม วันนี้ถ้ายังไม่เสร็จเพราะไปทำธุระ ก็คงเป็นวันอื่นต่อไปจะแจ้งให้พี่น้องได้ทราบและอนุโมทนาสาธุกันครับผม

 

อนุโมทนาบุญทั้งหมดกับ พี่บุญทรง ด้วยนะครับ สาธุ สาธุ

 

" การให้ทานที่มีผลในชาตินี้ " โดยพระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยานวัดท่าซุง"

เอามาฝากทุกท่าน และก็ขอให้พี่บุญทรงและคณะทั้งหมดจงได้ผลอานิสงค์ที่ทำอย่างดียิ่งแล้วนี้โดยฉับพลันทันทีนะครับ

ผู้ถาม: "เวลามีคนมาขอทานหน้าบ้าน เขามักจะขอโดยการร้องเพลงยาวๆ ฟังแล้วอดสงสารไม่ได้ค่ะ แต่บางทีก็รำคาญต้องรีบบอกให้หยุดร้อง ให้สตางค์แล้วก็ให้เขาไปเร็วๆ อย่างนี้จะเป็นอะไรไหมคะ....?"

หลวงพ่อ: "ไม่เป็นไรหรอกหนู เมื่อสมัยบวชใหม่ ๆ หลวงพ่อปานบอกว่า ถ้าจะให้ทานคนขอทานอย่าให้เขาพูดมาก หมายความว่าพอมาถึงไม่ต้องให้ยกมือไหว้พูดขอ ถ้าเขาจะขอก็บอกไม่ต้องฉันให้แล้ว ฉันเต็มใจให้แล้ว คือว่าเราจะให้ใคร อย่าให้เขาพูดมาก อย่าให้เสียเวลา ให้เร็ว ๆ ที่สุด ตั้งใจเป็นการสงเคราะห์จริงๆ แล้วผลมันให้ในชาตินี้ ฉันทดสอบมาแล้วเป็นความจริง....

การให้ทานโดยไม่เตรียมการไว้ก่อน ใครมาเราก็ได้เราให้ได้ ถ้าทำอย่างนี้เสมอ ๆ คนมาขอทาน เราไม่ยอมให้พูดขอ รีบควักเลย แล้วมันจะมีผลในชาตินี้ คือสิ่งที่เราขัดข้องคิดว่าจะไม่ได้มันจะโผล่ เราก็ให้เท่าที่จะให้ได้ เขาไม่บังคับเรานี่ พอทำไปไม่กี่ปีก็เริ่มให้ผล ของที่มันจะได้มามันมีการคล่องตัวมากขึ้น

แต่เวลาให้ เราอย่าไปคิดถึงผลอันนี้นะ ต้องให้ด้วยการสงเคราะห์จริง ๆ คือตัดไปเลย มันได้เท่าไหร่ก็ช่าง ถ้าไปคิดว่าเราต้องการให้เพื่อต้องการผลตอบแทนผลจะถูกตัดเพราะเป็นการให้ทานที่ประกอบด้วยความโลภ

พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า "ตุลิตะ ตุลิตัง สีฆะ สีฆัง" ธรรมของเรามิใช่เป็นเครื่องเนิ่นช้า ต้องเร็ว ๆ ไว ๆ

คัดบางส่วนจากหนังสือหลวงพ่อตอบปัญหาธรรม ฉบับพิเศษ เล่ม 3

 

สวัสดีท่านทั้งหลาย

ขออนุโมทนา ในกุศลเจตนาที่ท่านทั้งหลายได้กระทำแล้วด้วยดี สาธุ

ท่านผู้รู้บอกไว้ว่า คนเรานั้นแบ่งได้เป็นสองอย่าง คนดี กับ คนเลว

แต่ว่าผู้คนทั้งหลายในโลกใบนี้ ต่างก็สมมุติกันไปต่าง ๆ นานา ด้วยการแต่งตั้ง ยศฐา บรรดาศักดิ์ต่าง ๆ ตามแต่พึงจะนึกคิดกันไป

ไม่ว่าจะเป็นยศฐาบรรดาศักดิ์ ทางหน้าที่การงาน ทั้งภาคเอกชน หรือภาคเจ้าหน้าที่ของรัฐ และแม้กระทั้งบรรดาศักดิ์ ที่สมมุติ กันไปตาม ความมั่งมีในทรัพย์สินเงินทอง

แต่สุดท้ายทุกคน ก็ต้องตายจากกันไป ไม่มีใครที่จะเอา ยศฐาบรรดศักดิ์ต่าง ๆ ที่ต่างก็สมมุติกันไปนั้น ติดตัวไปได้สักคน จะมีก็แต่ ความดี และความชั่ว เท่านั้น ที่จะเป็นทุนติดตัวกันไปในทุกภพ ทุกชาติ

ถ้าท่านทั้งหลายจะพิจารณาในเรื่องที่กล่าวมานี้ให้ดี จะพบได้ว่า ระยะเวลาของการดำรงค์ชีวิต อยู่บนโลกมนุษย์ นั้น ช่างสั้นนัก ไม่เกิน 100 ปี หรือว่าคนที่เกิน 100 ปี ก็มีไม่กี่คน

เมื่อความจริงเป็นเช่นนี้ แต่ผู้คนทั้งหลาย ก็หาได้คิดคำนึงถึง หรือว่า ทำความเข้าใจให้กระจ่างในความจริงตามที่กล่าวมาไม่ แต่กลับปล่อยตัว ปล่อยใจ ให้เป็นไปตามอำนาจแห่ง กิเลส และตัณหา อุปาทานต่าง ๆ หลงยึดติดใน สิ่งสมมุติต่าง ๆ ที่ตัวเองคิดกันไปเองทั้งนั้น

แต่ความจริง ก็มีอยู่เพียงว่า คนเรา เกิดมาตัวเปล่า ตายไป ก็ไปตัวเปล่า เช่นเดียวกัน จะมีแต่เพียง กรรมดี และกรรมชั่ว เท่านั้น ที่จะติดตัวไปได้

และความวุ่นวาย ของมนุษย์โลกทั้งหลาย ไม่ว่าจะอยู่ในประเทศใด ในขณะนี้ มีสาเหตุมาจากการปล่อยให้ใจ ถูก ความโลภ ความโกรธ และความหลง เข้าครอบงำ พากันหลงดิ้นรนไขว่คว้าเพียงความว่างเปล่า ไม่มีอะไร เพราะสุดท้าย ทุกอย่าง ก็ต้องมลายหายไป ไม่อาจทรงสภาพอยู่ได้ เป็นอนัตตา

จะมีก็แต่เพียง ท่านผู้เจริญ ท่านผู้ที่เป็นผู้รู้ เท่านั้น ที่พากันขวนขวาย กระทำความดี ทำบุญ ทำกุศล ในบวรพระพุทธศาสนา เนื้อนาบุญเหล่านี้ จะเป็นเครื่องนำพา ท่านผู้ประเสริฐทั้งหลายเหล่านั้น ไปสู่สุขคติภูมิ

ที่เราเขียนมาอย่างนี้ ก็ไม่มีอะไรมาก เพียงแต่อยากให้ได้คิดกันบ้างเท่านั้นเอง

อันที่จริงแล้ว การที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ และได้พบพระพุทธศาสนา จัดว่าบุญใหญ่มากนะ เป็นโอกาสที่หาได้ยากยิ่ง ยากเสียยิ่งกว่าการงมเข็มในมหาสมุทรอีกนะ

เมื่อท่านทั้งหลายได้มีโอกาสเกิดมาเป็นมนุษย์ และได้พบพระพุทธศาสนา แล้ว ควรอย่างยิ่งที่จะให้โอกาสอันดีนี้ สร้างบุญสร้างกุศลกันต่อไป อย่าปล่อยให้เวลาผ่านเลยไป อย่างสูญเปล่า

ตัวของเราเองนั้น ก็ไม่ได้มีความดีอะไร จิตใจของเรานั้นยังเต็มไปด้วยกิเลส และตัญหา คือยังมีความเลวจัดอยู่มากนะ เพียงแต่ว่า ได้สดับตรับฟัง ความดีจากท่านผู้รู้ และทำความเข้าใจได้บ้างเล็กน้อย และด้วยความรู้ ความเข้าใจ แค่เพียงหางอิ่งของเรานี้ ก็เพียงแค่อยาก จะมาบอกกับท่านทั้งหลาย เท่านั้นเอง

ตั้งแต่เป็นเด็กแล้ว เราชอบคิดว่า ทำไม คนเราถึงต้องเกิดมา ฆ่าฟันกัน ต้องมา ทำไม่ดีต่อกัน โกรธกัน ขโมยของกัน และอื่นๆ ที่เป็นการละเมิดศีลห้า และกุศลกรรมบทสิบประการ

เราก็คิดเลยไปว่า ทำไม ผู้คน ถึงไม่อยู่ในศีลห้าประการ เพื่อให้สังคมสงบสุข ขโมย ขโจร ก็ไม่มี ไม่มีใคร ล่วงละเิมิดผู้ใด คุกตาราง ก็ไม่ต้องมี ทหาร ตำรวจ ก็ไม่ต้องมี เพราะไม่มีใครเบียดเบียนใคร

ขอเพียงแค่คนเรา รักษาศีลห้า เพียงเท่านี้ โลกมนุษย์ ก็สงบสุขแล้ว และเราก็ยังฝันอีกว่า เมื่อไรนะ ที่ผู้คนโดยส่วนใหญ่ของโลกใบนี้ จะอยู่กันด้วยศีลห้า และกุศลกรรมบทสิบประการ

เมื่อวันเวลานั้นมาถึง โลกนี้คงมีความสุขไม่น้อยเลยนะ จะเดินไปไหน ก็มีแต่ร้อยยิ้มให้กัน ด้วยความเมตตา กรุณา คนเราพยายาม ศึกษาในเรื่อง การปกครอง และการดำเนินชีวิต เพื่อแสวงหาความสงบสุข แต่ที่จริงแล้ว ความสุข อยู่แค่เอื้อมเท่านั้นเอง

ขึ้นอยู่กับว่า ท่านจะเอื้อมหยิบ ความสุขที่ว่านี้มาอยู่ที่ตัวท่านหรือเปล่าเท่านั้น

พระท่านว่า โยนกนครแห่งนี้ (ประเทศไทย) จะเป็นแผ่นดินที่รักษาพระพุทธศาสนา ให้คงอยู่ และิเจริญรุ่งเรื่อง จนครบอายุพระศาสนา คือ 5000 ปี

เราก็ได้แต่หวังว่า ท่านทั้งหลายจะเข้าใจ และเป็นส่วนหนึ่ง ในการรักษาพระพุทธศาสนา ให้คงอยู่ และเจริญรุ่งเรืองสืบไป ตามพุทธดำรัส

 

({) สวัสดีครับ พี่พีซีโอพี่ๆน้องๆทุกๆท่าน แต่วันนี้ผมได้ไปหล่อพระต่อ ที่สำนักสงฆ์เขากะจีมา โดยใช้พิมสมเด็จองค์ปฐมที่เราสร้างกัน เพราะท่านพระ อ.ณัฐวุฒิ จะสร้างพระพุทธเจ้าให้ครบ ๒๘ พระองค์ ค่อยๆหาเจ้าภาพ หล่อไปเรื่อยๆจนครบครับ วันนี้ที่หล่อ เป็นองค์ที่ ๑๕ ครับผม ผมจึงนำภาพในการหล่อ มาให้ชมกันและอนุโมทนาสาธุกันครับผม

 

โมทนาสาธุอย่างยิ่ง กับทุกรายการบุญทานกองการกุศลทั้งปวงของพี่บุญทรงนะครับ

วันนี้วันพระใหญ่ขึ้นสิบห้าค่ำ เดือบสิบ เป็นวันสารทไทย ชาวใต้ตอนล่างถือว่าเป็นวันสำคัญพากันไปวัดทำบุญ อุทิศส่วนกุศลให้กับญาติมิตรที่ล่วงลับไปแล้ว ร้านค้าต่างๆในตัวเมืองปิดกันเป็นส่วนใหญ่ ก็เท่าที่สังเกตมาชาวสงขลาเขาก็ทำบุญให้ทานไม่น้อยกว่าที่ใหนเหมือนกัน บรรยากาศเล็กๆเอามาฝากครับเป็นรูปที่คนเดินทาง การจราจรหนาแน่นพอให้รู้ว่าเขาพากันไปทำบุญกันมาก

อันดับแรกสองแก้วเขาหาดอกไม้มาถวายพระก่อนวันพระหนึ่งวัน เอาแบบล่วงหน้า กลัวว่าไม่ทันพี่บุญทรง

 

ขอเชิญร่วมบุญสร้างพระสมเด็จองค์ปฐม,สมเด็จองค์ปัจจุบัน,พระปัจเจกพุทธเจ้า permalink



ขอเชิญร่วมบุญสร้างพระสมเด็จองค์ปฐม,สมเด็จองค์ปัจจุบัน,พระปัจเจกพุทธเจ้า,หลวงพ่อศักดิ์สิทธิ์,หลวงปู่ปาน,หลวงพ่อฤาษีลิงดำ (หลวงพ่อ พระราชพรหมยานเถระ) หลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า รวม ๗ องค์ครับ


เบอร์โทรศัพบ้าน 056-511-971
มือถือ 086-169-7786 - 081-8866-104
ธนาคาร ออมสิน ออมทรัพย์ สาขา อุทัยธานี
บัญชีเลขที่ 020-108-44246-6
บุญทรง ทองคง


สวัสดีครับ พี่พีซีโอ พี่ๆน้องๆทุกๆท่าน ไม่เอ่ยชื่อเอ่ยนามอย่าว่ากันนะครับ พ่อแม่พี่น้องทั้งหลาย หลังจาก ได้ทำการหล่อพระ เสร็จ ช่างทางโรงงานได้มาทำให้ อีก ๑ วัน หยุดไป ๔ วัน พรึ่งเริ่มมาทำให้ ได้ ๒ วัน และวันนี้น่าจะมาทำซุ้มเรือนแก้ว ให้แล้วเสร็จได้ ถ้าช่างไม่ไปทำการหล่อพระที่อื่นต่อนะครับ เดี๋ยวถ้าช่าง ทำซุ้มเรือนแก้วเสร็จเมื่อไหร่ผมจะ ถ่ายรูปพระที่ทำเสร็จแล้วมาให้พี่น้องได้ชมกันครับ และคงต้องปล่อย ไว้องค์หนึ่งคือ สมเด็จองค์ปัจจุบัน ยังไม่ฉาบปูน และติดซุ้มเรือนแก้ว เมื่อไหร่ หาช่างมาทำการฉาบหรือติดซุ้มเรือนแก้วได้ ก็จะทำต่อได้ครับเรื่อง สีนี้ต้องปล่อยให้ ปูนที่ฉาบองค์พระ ไว้แห้งสนิท ก่อน น่าจะปีใหม่ไปแล้วโน่นแหละครับ ถึงจะทำการ พ่นสีทองคำ


ต้องใช้งบอีกหลายหมื่นบาท ค่าสีทองคำครับ กะว่าจะใช้สีอย่างดีราคาแพง จะได้อยู่นานๆหน่อยครับ ใครจะเป็นเจ้าภาพ สีทองคำก็ขอเชิญเป็นเจ้าภาพได้นะครับ และเมื่อองค์พระ สร้าง มาแล้วนี้ ก็อยากจะหาเจ้าภาพ ทำการ หล่อเสาร์ และหลังคา เมทัชชีลสีแดง อยากได้แบบ หลังคา ทรงไทย และต่อ พรรณไรออกด้านข้าง เพื่อ ได้ ทำการ สร้างห้องสมุด มีหนังสือธรรมมะ และหนังสือต่างๆถ้ามีผู้คน บริจาค แต่หนังสือธรรมะของหลวงพ่อหลวงปู่ต่างๆ ผมมี อย่างน้อยเป็น ๑๐๐ เล่ม เพื่อไว้ ให้ท่าน สาธุชนคนทั่วไป ทั้งใกล้และไกล ได้อ่านและศึกษากันครับ และทำห้องพัก ห้องส้วม ไว้ ให้ผู้คนที่ผ่านไปมาได้ ใช้สอยตามอัตภาพ ตอนนี้ได้แต่คิดและฝันไว้ก่อนครับ


พระที่สร้างขึ้น เพื่อดวงวิญญาณต่างๆได้ กราบไหว้ บูชาและสาธุชนทั่วไปกราบไหว้ ถวายเป็น พุทธบูชา ธรรมบูชา สังฆบูชา เพื่อ ชาติ ศาสนา พระมหากษัติย์ และถวายเป็นพระราชกุศลแด่ พ่อหลวง แม่หลวงของแผ่นดิน ขอเชิญชมภาพครับผม

 

....สังฆทาน.. "พระพุทธ ปฎิมา " ในพระบวรพุทธศาสนา... นั้น เหล่า ผู้เวียนว่าย ในวัฎสงสาร มีโอกาสอันสุดพิเศษ เท่านั้น จึงจะมีโอกาส เกิดเป็นมนุษย์ เเล้ว ใด้ บำเพ็ญทาน อันยิ่งใหญ่นี้


...ขอ โมทนาสาธุ อย่างสูงสุด...ครับ ...พี่ บุญทรง เเละ พี่ๆน้องๆทุกท่าน

 

สวัสดีท่านทั้งหลาย

ขออนุโมทนา ในกุศลเจตนาที่ท่านทั้งหลายได้กระทำแล้วด้วยดี สาธุ

วันนี้ขอนอกเรื่องหน่อยนะ ขอนำเรื่องเหตุการณ์ที่ US Airstrikes on ISIS มาเล่าสู่กันฟังสักหน่อย

ตามที่ได้ดูจากข่าว ก็มีกลุ่มหัวรุนแรง ที่เรียกตัวเองว่า กลุ่ม ISIS หรือ ISIL ที่มีความต้องการที่จะสถาปนารัฐอิสลามขึ้นมา (Islamic State) โดยในขณะนี้ได้บุกเข้ายึดได้ดินแดนบางส่วนของ ประเทศซีเรีย และ อิรัค และโดยยึดผ่านตะเข็บชายแดนของทั้งสองประเทศ

ISIS มีแนวคิดที่ว่า จะสถาปนารัฐอิสลามขึ้นมา คล้าย ๆ กับอนาจักรบาบิโลเนียน ในอดีต ที่มี กาหลิบ หรือเจ้าผู้ครองนคร เป็นองค์ประมุข ในสมัยอนาจักรบาบิโลเนียน นั้น กินเนื้อที่ครอบคลุมไปทั้ว เกือบทุกประเทศที่เป็นโลกอาหรับ ในเวลานี้ องค์กาหลิบ นี้เปรียบเหมือนตัวแทนของ พระมะหะหมัด คือพระผู้เป็นเจ้านั่นเอง มีอำนาจปกครองอนาจัุกร และเป็นผู้นำทางจิตวิญญาน เป็นผู้นำศาสนาไปในตัว ยิ่งใหญ่กว่ากษัตริย์ทั่ว ๆ ไป ควบคุมการทหาร การปกครอง กฏหมาย ประชาชน และเป็นศูนย์รวมความศรัทธาทางศาสนา เข้าไว้ด้วยกัน พูดง่าย ๆ ก็คือ ใครที่ขึ้นเป็นองค์กาหลิบ ก็เหมือนเป็นตัวแทนแห่งองค์พระอัลเลาะนั่นเอง

ที่เรานำเรื่องนี้มาเล่า เพราะเห็นว่าเป็นเรื่องสำคัญ และกำลังกระทบต่อความเป็น ความตาย ของผู้คนจำนวนมาก ในพระคัมภีร์ใบเบิ้ลก็ดี หรือในคัมภีร์ อัลกูระอาน ก็ดี จะมีเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับคำทำนายที่ว่า ในอนาคต คือนับจากช่วงเวลาที่พระศาสนา ทั้งสอง ได้ถือกำเนิดขึ้น มาถึงเวลา ก็น่าจะราว ๆ ในปัจจุบันนี้ โลก จะรวมเป็นหนึ่ง ภายใต้พระเจ้าองค์เดียวกัน ผู้คนจะอยู่เย็นเป็นสุขกันทั่วหน้า จะไม่มีการแบ่งแยกเป็นประเทศต่าง ๆ อีกต่อไป

ตรงนี้แหละ นะ ต่างฝ่าย ก็ต่าง มีคำทำนายของตนเอง เราก็มาวิเคราะห์ตรงนี้นะ เราชื่อว่า ท่านผู้ที่ให้กำเนิด ศาสนาทั้งสองนั้น คือทั้งคริสต์ และอิสลาม ต่าง ก็ล้วน ต้องการให้มนุษย์ มีความสุข อยู่ในศีล ในธรรม มีเมตตา กรุณาต่อกัน คือพระธรรม คำสอน ที่แท้จริงขององค์พระศาสดาของทั้งสองศาสนา ต่างล้วนสอนให้ผู้คนอยู่เย็นเป็นสุข ไม่เบียดเบียนผู้ใด คือสอนแต่สิ่งที่ดีงามนะ ไม่อย่างงั้น แต่ก่อน ที่องค์พระศาสดาของทั้งสองศาสนา จะประกาศพระศาสนา ก็ยังไม่มีศาสนาบนโลก แต่พอประกาศ พอทรงเมตตา สั่งสอนพระธรรม แต่ผู้คนทั้งหลายแล้ว ผู้คน ก็บังเกิดความศรัทธา เพราะฟังแล้ว ปฏิบัติตามแล้ว มีความสุขจริง มีความสงบสุข ก็แสดงว่า พระธรรมที่แท้จริงของทั้งสอง ศาสนา ต่างก็ล้วนแต่เป็นความดีงาม นำมาซึ่งความสงบสุขของ มนุษย์โลกนะ

แต่ก็เพราะว่า ผู้คนในรุ่นต่อ ๆ มา ก็บรรดานักบวชนี่แหละ ตัวดี ที่บิดเบือนคำสอน ขององค์พระศาสดา แต่งเติม สิ่งต่าง ๆ เข้าไป โดยอาศัย ความศรัทธาที่มีอยู่เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว บิดเบือนให้ผู้คนกระทำสิ่งต่าง ๆ เพื่ออำนาจ และผลประโยชน์ของตนเอง และพรรคพวก โดยมักจะอ้างว่าเป็นพระประสงค์ของพระผู้เป็นเจ้า ทำแล้วจะได้ขึ้นสวรรค์ไปอยู่กับพระเจ้า ถึงขนาด ว่า ฆ่าศัตรูได้ แล้วไม่บาป ฆ่าเพื่อพระเจ้า ตายไปจะได้ไปอยู่กับพระเจ้า

และก็บิดเบือนคำสอน คำทำนาย กันต่อไป จนเป็นที่มาของ Islamic State อย่างที่เป็นอยู่ที่ ซีเรีย และอิรัค ในเวลานี้

ลองคิดดูด้วยเหตุ และผล อย่างง่าย ๆ นะ คนเรา แรกเริ่มเดิม ที่ ก็ไม่มีศาสนาอะไร ให้ยึดเหนี่ยวนะ ผู้คน ก็ก่อกรรมทำเข็ญ ต่าง ๆ นานา กระทำความชั่ว ความเลว ต่าง ๆ ผู้คนในสังคมก่อนที่จะมีศาสนาต่าง ๆ ก็ อยู่กันอย่างไร้ความเมตตา ปราณีกัน เป็นคน แต่ ก็มีจิตใจ โหดเหี้ยม เยื่ยงสัตว์เดรัจฉาน ต่อมา ก็ด้วยพระบารมี ของท่านผู้ที่ทรงมีบุญญาธิการ คิดค้น พระธรรม และก่อตั้งคำสอน เป็นศาสนาให้ผู้คนได้ยึดเหนี่ยวจิตใจ ในความดีพื้นฐาน เมื่อโลกใบนี้ มีศาสนาต่าง ๆ ขึ้นมาแล้ว ใหญ่ ก็ ศาสนาคริสต์ และอิสลาม ผู้คนที่นับถือทั้งสองศาสนา ก็อยู่ด้วยกันอย่างมีความสงบสุข

เราขอยืนยันว่า พระธรรมคำสอนที่มาจากองค์พระเยซูคริสต์ และองค์พระนบีโมอัมหมัด ล้วนแต่สอนให้คนเป็นคนดี มีความเมตตา กรุณา ต่อกันและกัน ซึ่งถ้าได้ประพฤติ ปฏิบัติตามพระธรรมคำสอนอย่างแท้จริงแล้ว มนุษย์โลก ก็จะอยู่ร่วมกันได้อย่างมีความสุข แม้ว่า จะนับถือกันคนละศาสนาก็ตาม เพราะว่า ทั้งสองศาสนา สอนให้คนมีเมตตา ไม่เบียดเบียนซึ่งกันและกัน

เป็นเพราะ มีนักบวช บางคน บางกลุ่ม ในเวลาต่อมา ที่บิดเบือนคำสอน และคำทำนาย ในพระคัมภร์ นำมาให้เกิดประโยชน์ต่อตนเอง ผู้คนถึงได้เข่นฆ่า กันอย่างโหดเหี้ยม และอัมหิต อย่างที่เป็นอยู่ในเวลานี้ ในสงคราม ของกลุ่ม นักรบ ฌีฮัด หรือว่า Isis ที่กำลังสู้รับกับ โลกตะวันตก มีอเมริกา เป็นผู้นำ ในเวลานี้

ในเรื่องของคำทำนายในพระคัมภีร์ ของทั้งสองศาสนานั้น ดั่งเดิมแท้จริง ก็กล่าวเพียงว่า ต่อไป ผู้คน จะเข้าใจกัน จะอยู่รวมกันเป็นหนึ่งเดียว คือไม่มีแบ่ง ว่าเป็นคนชาติโน้น ประเทศโน้น จะอยู่ด้วยกันด้วยความ เมตตา กรุณา แม้นว่า จะนับถือศาสนาอะไร ก็อยู่ร่วมกันได้ อย่างสงบสุข เพราะผู้คน จะเข้าใจกันมากขึ้น หลังจากที่ สู้รบ ทำสงครามใหญ่ กันมาอย่างยาวนาน จนผู้คน ของทั้งสองศาสนา ต่าง ก็ล้มตาย กันไป ฝ่ายละครึ่งหนึ่ง ไม่น้อยนะ ครึ่งหนึ่ง ของผู้คนที่นับถือ ทั้งสองศาสนา

พูดง่าย ๆ ก็คือ พระคัมภีร์ บอกไว้ ว่าต่อไป ผู้คน ก็ต้องขัดแย้งกันเอง เพราะว่ามีการบิดเบือนคำสอน นำไปแสวงหาผลประโยชน์ จนต้องเกิดสงครามระหว่างศาสนา รับกัน จนเข่นฆ่าผู้คนกันไปมากมาย จนอ่อนล้า และในที่สุด ต่างฝ่าย ก็ต่าง เต็มใจที่จะเลิกลากันไปเอง เพราะว่า

เมื่อเข่นฆ่ากันไปมาก ๆ เข้า จนผู้คนของทั้งสองฝ่าย ตายไปฝ่ายละประมาณ ครึ่งหนึ่ง ก็น่าจะเป็นหลายสิบล้านคนหละนะ ก็เล่นฆ่ากันมากเสียขนาดนั้น มันก็ย่อมจะอ่อนล้าเป็นธรรม และก็คงเห็นความจริงกันนะว่า ฆ่ากันไปอีกก็ไม่เกิดประโยชน์อันใด ต่อให้ฆ่ากันหมดทั้งโลก ก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา เป้าหมาย ก็เพียงเพื่อ ให้ผู้คนรวมกันเป็นหนึ่งเดียว พอฆ่ากันไปมาก ๆ ก็เริ่มจะเห็นว่า การที่จะไปบังคับ ให้คนอื่น เข้ามานับถือศาสนาของตน มันไม่ได้ ไปฆ่าเข้าก็ไม่ได้อะไร มีแต่ความเกลียดชัง จองเวร กันไปไม่มีที่สิ้นสุด

พอฆ่ากันจนหมดแรง ทั้งสองฝ่าย ก็จะได้ประจักษ์ความจริงที่ว่า มนุษย์เรานั้น เกิดมาตัวเปล่า ตายไป ก็ไปตัวเปล่า จะมีแต่เพียง ความดี และความเลวเท่านั้น ที่จะติดตัวไปกันไป และจะเข้าใจได้ว่า ภายใต้คำสอน ของทั้งสองศาสนา ต่างล้วนแต่ให้ผู้คนเป็นคนดี มีเมตตา ต่อกัน เมื่อเข้าใจความจริงได้อย่างนั้นแล้ว ก็เลิกรบกันไปเอง

ผู้คน ก็จะเปลี่ยนความคิด หันหน้าเข้าหากัน สลัดความเกลียดชังกันออกไปจนหมดสิ้น มีแต่คำสอนที่แท้จริง ของศาสดาของตน คือให้ผู้คนอยู่ร่วมกันด้วยเมตตา ไม่เบียดเบียนกัน ช่วยเหลือกัน ผู้คน ก็จะสามารถรวมกันเป็นหนึ่งเดียวได้ ดังคำทำนายที่ปรากฏในพระคัมภีร์ ของทั้งสองศาสนา

แต่ว่ารายละเอียด ต่อจากนั้นยังมีอีกมาก ก็เอาเพียงเท่านี้นะ เขียนมา เพื่อเตือนสติ ไม่ต้องการให้ผู้คน ต้องมาเข่นฆ่ากัน เป็นจำนวนมาก ที่กำลังจะเกิดขึ้นนะ

แม้ว่า กฏของกรรม บังคับ ให้ต้องเป็นอย่างนั้น แต่เราก็คิดว่า น่่าจะพอมีหนทาง ที่จะผ่อนหนักให้เป็นเบาได้นะ

อย่างเช่นแทนที่จะต้องเข่นฆ่ากัน ตายกันฝ่ายละ 40 ล้านคน ก็ให้น้อยลงสักหน่อย เหลือแค่ 1-2 ล้าน คน ก็พอนะ ครั้งจะทำให้ทุกอย่างเรียบร้อย ไม่เข่นฆ่ากันเลย มันก็จะเป็นการฝืนกฏของกรรมมากเกินไป เรื่องที่มันจะต้องชดใช้กรรมกัน มันก็ต้องปล่อยให้ชดใช้กันไป

แต่ว่าอะไร ที่พอจะผ่อนจากหนัก ให้เป็นเบาได้ เราคิดว่า ก็ควรจะทำให้นะ

ใครจะว่าอย่างไรก็ตาม แต่สำหรับเราแล้ว เราเชื่อว่า องค์พระเยซูคริสต์เจ้า และองค์ท่านนบีโมอันหมัด พระศาสดา ของทั้งสองศาสนา ท่านก็น่าจะมีความเห็นคล้าย ๆ เรานะ คือไม่ต้องการให้ผู้คนต้องมาเข่นฆ่า กันมากมาย อย่างที่จะเกิดขึ้นในไม่ช้านี้นะ

เราขอตั้งสัจจะอธิษฐาน ด้วยบุญบารมีแห่งเราที่ได้กระทำมาแล้วด้วยดี ขอให้ผู้คนทั้งหลาย ของทั้งสองศาสนานั้น จงอ่อนโยนลงกันไปทั้งสองฝ่าย จนสุดท้าย สามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างสงบสุข และขอบารมีความดี ขององค์พระศาสนาทั้งสองพระองค์ จงเข้ามาช่วยด้วยเช่นกัน เพื่อให้สันติสุข บังเกิดแก่ชาวโลก สืบไป

ตัวของเราไม่มีความดีอะไรหรอกนะ แค่เพียงอย่างเห็นโลกใบนี้ เป็นโลกที่อบอวล ไปด้วย ศีล ด้วยธรรม ให้กลิ่นหอมแห่งศีล และธรรม กระจายไปทั่วทั้งโลก เพื่อให้มนุษย์ ทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นผู้ใด เป็นชนชาติใด นับถือศาสนาอะไร ต่างก็ต้องตายเหมือนกัน เพื่อให้เขาเหล่านั้น อยู่เย็นเป็นสุขกันโดยทั่วหน้า เรามีความตั้งใจแต่เพียงเท่านี้เอง

 

ผมเองก็ไม่อยากให้เกิดการรบราฆ่าฟันกันเลยแม้แต่น้อย การสู้กับความลำบากยากเข็ญเพื่อแค่ปากท้อง ของตัวเอง ของครอบครัว ของคนในปกครอง ของหมู่คณะมันก็หนักหนาสาหัสอยู่แล้วในการที่แค่ให้พอมีพอกิน


เมื่อรู้เห็นว่าใครเขารบกันก็สลดหดหู่ใจ เวทนาในอกุศลผลกรรมของพวกเขา แต่ขึ้นชื่อว่ากฏของกรรมไม่มีใครฝืนได้ บางคนบางท่านผ่อนหนักเป็นเบาได้ แต่ตัวของเขาเองก็ต้องมีใจด้วย

บางท่านแม้พระท่านเมตตาสงเคราะห์แต่กรรมหนัก ใจที่มันขุ่นมันมัวจนมองอะไรไม่ออก มองอะไรไม่เห็นพระท่านก็ยังสงเคราะห์ไม่ได้ก็ต้องปล่อยเขาไป

ก็ขอให้คนที่ยังพอมีกำลังใจที่ไม่มืดมัวจนเกินไป ก็ให้ระวังใจของเราเข้าไว้ เมื่อสุดวิสัยก็ต้องอุเบกขา วางกำลังใจที่มันไม่ไปเศร้าโศก หรือยินดีไปกับเขา เมตตา ความรักเรามีให้แล้ว
กรุณา ความสงสารเราก็มีให้แล้ว
มุทิตา ความชื่นชมยินดีเมื่อใครเขาได้ดีมีสุข เราก็มีให้เขาแล้ว
อุเบกขา หากว่ามันเกินวิสัยที่จะหยิบยื่นสิ่งหนึ่งสิ่งใดให้ใคร


ลองดูตัวอย่างเรื่องนี้นะครับ

ศีลขาดเป็นปกติตายแล้วไปรออยู่ที่สำนักท่านพระยายมราชแล้วไปเป็นสัมภเวสี​

"..วันที่ 6 ตุลาคม 2531 เวลา 8 นาฬิกาตรง ท่านลุงพุฒิ (พระยายมราช) มาชวนไปสำนักของท่าน มีธุระด่วนแต่เรื่องมีไม่มาก บอกแล้วท่านก็เดินกลับไป เวลานั้นหลวงพ่อกำลังนมัสการพระอยู่ พระท่านบอกว่า "ไปเถอะมีธุระไม่มากแต่เนื่องด้วยเธอ ท่านพุฒิท่านจะสงเคราะห์คนบาปที่หาบุญได้ยากเต็มที" จึงคิดในใจว่าท่านลุงนี่ท่านสงเคราะห์ดะ คนมีแต่บาปไม่มีบุญจะช่วยได้อย่างไร แต่เมื่อท่านมาตามและพระท่านก็เห็นชอบจึงไปตามที่ท่านสั่ง เมื่อไปถึงพบแม่น้อย แก้วแดง และตานา นั่งอยู่ก่อน ทั้งสองท่านมีความสุขไปนานแล้ว ท่านแต่งตัวสวยในเครื่องแบบปกติของท่าน

แม่น้อย แก้วแดง เป็นความหวังพระนิพพานในบรรดานักปฏิบัติชุดแรกที่เริ่มสอนพระกรรมฐาน

เป็นอันว่า เมื่อพบท่านทั้งสองแล้ว ถามท่านว่า "ท่านมาทำไม" ท่านตอบว่า "ท่านพระยายมราชไปเชิญให้มา ยังไม่รู้เหมือนกันว่าให้มาทำไม" เมื่อพบท่านลุงท่านบอกว่า "คอยประเดี๋ยวเจ้าหน้าที่กำลังไปพาจำเลยมา" เห็นเจ้าหน้าที่เข้าไปในกลุ่มคนกลุ่มใหญ่ เข้าไปเกือบถึงก้นกลุ่ม จึงพาคนนั้นออกมา คนนี้รูปร่างสูงโปร่ง หน้าตาเหมือนคนเมาอยู่ตลอดวัน เมื่อเธอมาถึงแล้ว ท่านลุงบอกว่า "ความจริงยังไม่ถึงวาระที่จะสอบสวนเธอ แต่เห็นว่าพรุ่งนี้คุณจะไปกรุงเทพฯ ซึ่งเป็นงานหนักมากใช้เวลาหลายวัน และเมื่อวาระของเธอคนนี้ถึงการสอบสวน ก็เป็นขณะที่คุณอยู่กรุงเทพฯ พอดี ผมก็ไม่มีโอกาสตามคุณมาได้ จึงลัดคิวให้ออกมาก่อน" ถามท่านว่า "เขามีบาปอะไรบ้าง"

ท่านบอกว่า "บาปไม่มากแต่บาปเป็นอาจินคือดื่มสุราเป็นปกติ ศีลขาดเป็นปกติ ร่วมมือกับคนที่โกงเงินสงฆ์มาเป็นส่วนตัว เพราะได้ส่วนแบ่งเป็นปกติ แต่เห็นว่ายังมีความเป็นธรรมอยู่บ้างที่ไม่นินทาคุณและจิตไม่เลวไปตามพวกพ้องที่เลว จึงให้คุณมา อภัยสิ่งที่เธอพลาดพลั้งไปในคุณ เพื่ออโหสิกรรมให้เธอ แม่น้อย พ่อนา นี่ก็เหมือนกัน เธอเคยนินทาตามคนอื่น จึงขอร้องให้มาเพื่อให้อภัยเธอ จะได้ประวิงเวลาลงนรก" ถามท่านว่า "จะเอาไปไหน" ท่านบอกว่า "หลายขุมและมากขุมอยู่ แต่ขุมแรกที่จะลงคือขุมที่ 7 ก่อน"

แล้วท่านก็จัดการให้เธอขอขมาโทษ ทั้งสามท่านก็กล่าวอโหสิกรรมให้เธอ ถามท่านว่า "เมื่ออโหสิกรรมแล้ว เธอจะอยู่ที่ไหน" ท่านบอกว่า "ไปรอการลงนรกอยู่ก่อนโดยมีโอกาสเป็นสัมภเวสี 30 ปีมนุษย์ ในระหว่างนี้ถ้าญาติทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้ถูกจังหวะ ก็สามารถไปเป็นเทวดาได้ ถ้าทำไม่ถูกจังหวะและเมื่อครบ 30 ปีแล้วก็ไปนรกขุมที่ 7"

ถามท่านว่า "ทำอย่างไรชื่อว่าถูกจังหวะ" ท่านบอกว่า "ให้ถวายสังฆทานของครบกับพระสุปฏิปันโนตั้งแต่พระโสดาบันขึ้นไปแล้วอุทิศส่วนกุศลให้แก่เธอแต่ผู้เดียว เท่านี้พ้นไปสวรรค์ก่อน หรือจะถวายพระองค์เดียวแทนสงฆ์ แต่พระองค์นั้นต้องเป็นพระอรหันต์ อย่างนี้จึงพ้นได้ แต่ถ้าบุญหมด เมื่อเป็นเทวดาไม่ทำบุญต่อให้ได้ถึงพระโสดาบัน หมดบุญก็ลงมาเข้านรกขุมที่ 7 ทันที" ถามท่านว่า "แล้วโอกาสสำหรับเขาจะมีไหม" ท่านส่ายหน้าบอกว่า "คนนี้ไร้ปัญญา ไม่เคารพพระดี บูชาคนเลวที่ไม่ได้บวชพระ หรือถ้าจะบูชาพระก็ชอบบูชาพระเลวที่ไม่เคารพในพระธรรมวินัย ฉะนั้นเท่าที่พูดมาไม่มีผลสำหรับเธอเลย แต่ผมก็ช่วยตามกำลังของผม ช่วยแล้วเธอช่วยตัวเองไม่ได้ ก็ต้องถือว่าเป็นกรรมของเธอ" ถามท่านว่า "เมื่อเป็นสัมภเวสีช่วยตัวเองได้อย่างไร"

ท่านบอกว่า "สัมภเวสีเป็นผีอิสระไม่ได้อยู่ในกรอบบังคับของใคร ถ้าเห็นว่า บุตร ธิดา ภรรยา ญาติหรือเพื่อน ที่พอมีอารมณ์จะรับได้ก็เข้าฝันบอกจริยาที่ทำบุญ เมื่อเขาทำให้ตามนั้นก็มีผลเป็นเทวดา แต่ทว่าจิตใจของเธอมัวมาก คิดว่ายากที่จะพ้นนรกขุมที่ 7"

*คัดลอกจากหนังสือ ตายไม่สูญ...แล้วไปไหน เรื่องที่ 125 หน้า 266 โดยพระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดท่าซุง จ.อุทัยธานี

 

({) วันนี้มีรูป สมเด็จ องค์พระปฐม ที่ติดซุ้มแล้ว มาฝากครับ พึ่งเสร็จ และจะติดซุ้ม ของสมเด็จองค์ปัจจุบัน แต่ต้องรออีกนานกว่าช่าง จะว่างหรือมีงานน้อย จะมาติดซุ้มให้ น่าจะหลัง
ปีใหม่ไปแล้ว หลังจากนี้ ต้อง อาจจะให้ ช่างที่อื่น มา หล่อเสาร์ไว้ เพื่อเตรียมหาเงิน หรือหาเจ้าภาพร่วม สร้างหลังคาครอบพระต่อไป ครูบาอาจารย์ท่านได้ พูดไว้ ไม่ควรสร้างพระตากแดด และ ตอนที่เรามีบารมีเต็ม จะทำให้ได้ มรรคผลนิพพานยาก อันไม่สมควรสร้างพระตากแดด แต่ก็จะพยายาม ทำให้แล้วเสร็จแต่ละอย่าง ยังหาเจ้าภาพหลังคาไม่ได้ ผู้ใดจะประสงค์ เป็นเจ้าภาพ เสาร์ หรือ หลังคา เมทัสชิลอยากได้หลังคาทรงไทย ถ้าเป็นไปได้น่ะครับ

 

--------------------------------------------------------------------------------

({) วันนี้มีรูป สมเด็จ องค์พระปฐม ที่ติดซุ้มแล้ว มาฝากครับ พึ่งเสร็จ และจะติดซุ้ม ของสมเด็จองค์ปัจจุบัน แต่ต้องรออีกนานกว่าช่าง จะว่างหรือมีงานน้อย จะมาติดซุ้มให้ น่าจะหลัง
ปีใหม่ไปแล้ว หลังจากนี้ ต้อง อาจจะให้ ช่างที่อื่น มา หล่อเสาร์ไว้ เพื่อเตรียมหาเงิน หรือหาเจ้าภาพร่วม สร้างหลังคาครอบพระต่อไป ครูบาอาจารย์ท่านได้ พูดไว้ ไม่ควรสร้างพระตากแดด และ ตอนที่เรามีบารมีเต็ม จะทำให้ได้ มรรคผลนิพพานยาก อันไม่สมควรสร้างพระตากแดด แต่ก็จะพยายาม ทำให้แล้วเสร็จแต่ละอย่าง ยังหาเจ้าภาพหลังคาไม่ได้ ผู้ใดจะประสงค์ เป็นเจ้าภาพ เสาร์ หรือ หลังคา เมทัสชิลอยากได้หลังคาทรงไทย ถ้าเป็นไปได้น่ะครับ

 

สวัสดีท่านทั้งหลาย

ขออนุโมทนา ในกุศลเจตนา ที่ท่านทั้งหลายได้กระทำแล้วด้วยดี สาธุ

กราบขอบพระคุณท่านพี่ PCO ที่เป็นห่วง และเตือนสติเรานะ ตลอดจนชื่นชมกับบุญใหญ่ที่ท่านบุญทรงพระเครื่อง ได้ทำ ชื่นใจจริง ๆ

อันที่จริงในเรื่องของกลุ่ม ISIS ที่เป็นอยู่ในขณะนี้ เราก็ไม่ได้สนใจอะไรหรอกแต่เดิมที แต่พอได้อ่านข่าว (ต่างประเทศ) ไม่รู้เป็นอย่างไร ใจมันก็พุ่งเข้าไปสนใจ

พระเยซูคริสต์ ก็ทราบกันดีว่า ที่จริงแล้วท่านเป็นพระโพธิสัตว์ ปรารถนาในพระโพธิญาน เช่นกันนะ ส่วนท่านนะบีโมฮัมหมัด หรือพระมะหะหมัด ศาสดาในศาสนาอิสลาม นั้น เราก็ไม่ทราบว่าท่านปรารถนาอะไร แต่ก็คิดว่า ท่านเป็นนักบุญใหญ่ นำพาผู้คนให้มีความสุข พ้นทุกข์ ตามกำลังของท่าน

และตามประวัติ มีอยู่ว่า ในอดีต ก่อนที่ คริสต์ศาสนา และอิสลาม จะบังเกิดขึ้น นักบุญ โมเสส ได้รับพรจากพระเจ้า คือบัญญัติสิบประการ โมเสสได้นำบัญญัติทั้งสิบประการ มาสั่งสอนผู้คน ในจำนวนนั้น มีท่าน อับราฮัม ได้รับถ่ายทอดคำสอนมาจากท่านโมเสส อับราฮัม มี ภรรยา 2 คน คนแรกมีบุตร 1 คน คนที่สอง ก็มีบุตรอีก 1 คน

ภรรยาคนแรก มีเชื่อสายยิว ส่วนภรรยา คนที่สอง มีเชื่อสาย อาหรับ ต่อมา บุตรทั้งสอง เกิด ไม่ค่อยจะถูกกันเท่าไร เพราะว่า มีพี่น้อง มาจากเชื้อสายต่างกัน ก็จะมีวัฒนธรรม ที่แตกต่างกัน หลายเรื่อง ก็เชื่อกันไปคนละอย่าง

ทางบุตรที่เกิดจากภรรยาคนแรก ต่อมาก็ให้กำเนิด พระเยซูฯ ส่วนบุตรของภรรยาคนที่สอง ต่อมา ก็ให้กำเนิด ท่านนะบีโมฮัมหมัด

จะเห็นว่า ทั้งพระเยซูฯ และท่านมะหะหมัด เป็นพี่น้องกัน เดิม ก็นับถือพระเจ้าองค์เดียวกัน คือพระเจ้าจากการบอกกล่าวของนักบุญโมเสส

ด้วยเหตุนี้ หลาย ๆ ส่วนในคัมภีร์ใบเบิ้ล และคมภีร์อัลกูรอาน จึงมีเรื่องราวที่คล้ายคลึงกัน ตรงนี้ไงที่เราว่า ต้นกำเนิดของทั้งสองศาสนา มีแต่สอนให้คนเป็นคนดี ไม่เบียดเบียนกัน แต่สาวกรุ่นหลังต่าง ๆ หาก ที่บิดเบือนคำสอน แสวงหาประโยชน์ใส่ตน ตั้งตนเป็นใหญ่ สร้างเรื่องของตนเองขึ้นมา

เรามีความเห็นใจตรงที่ว่า ทั้งท่านผู้ที่นับถือศาสนาคริตส์ ก็ดี และศาสนาอิสลาม ก็ดี เดิมที่ มีหลักการเดียวกัน คือทำให้ผู้คนมีความสันติสุข ไม่เบียดเบียนกัน ช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ ด้วยความเมตตา กรุณา

แต่เป็นเพราะ ถูกกลุ่มสาวก รุ่นหลัง เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตน บิดเบือนคำสอน โดยอาศัยศรัทธา ในศาสนา เป็นเครื่องมือ ทำให้ ผู้คนที่นับถือ ทั้งสองศาสนา ถึงได้ มีความขัดแย้ง กันอย่างรุนแรงอยู่ในเวลานี้

เรายังคิดไปนะว่า นักบุญโมเสส ได้รับบัญญัติสิบประการ น่าจะมาจากเทวดาผู้ใหญ่ท่านหนึ่งนะ บัญญัติสิบประการ พิจารณาแล้ว ก็คือ กุศลกรรมบทสิบประการ นั่นเอง พระเจ้าที่ พูดถึงกัน ก็อาจจะเป็นเทวดา หรือว่า พระท่าน ที่อยู่เบื้องบน ที่โปรดเมตตา เหล่ามนุษย์ ในที่นั้น ช่วงเวลานั้น ที่ไม่มีอะไรเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจเลย ท่านคงเห็นแล้วว่า ปล่อยไป มนุษย์เหล่านี้ ก็จะมีอบายภูมิ เป็นที่ไปอย่างแน่นอน

ก็เลย มาบอกสัญญาน กับนักบุญโมเสส ที่มีบารมีมากพอ จะรับรู้เรื่องศีล เรื่องธรรม ได้บ้าง

คือเราก็เพียงแค่เห็นใจเพื่อมนุษย์ด้วยกัน ที่จริง ๆ แล้ว ต่างก็มุ่งหวัง ความสงบสุข ความร่มเย็น อยู่ในหลักธรรม เช่นเดียวกัน แต่ ถูกบิดเบือนไป จากความเป็นจริง จนก่อกรรมทำเข็ญ อย่างใหญ่หลวง อยู่ในเวลานี้

เมื่อไหรนะ ที่ศีลธรรม อันเป็นหลักการสากล ของมนุษย์เรา คือศีลห้า หรือกุศลกรรมบทสิบประการ หรือว่าบัญญัติสิบประการ ก็เรื่องเดียวกัน จะนำพาให้ผู้คนทั้งหลาย ได้อยู่กันอย่างสงบสันติ และมีความสุขด้วยกันอย่างถ้วนหน้า

ไม่เลือกว่า จะเป็นคนชาติใด ศาสนาอะไร อยู่ที่ไหน ก็มีหลักการศีลธรรม พื้นฐานแบบเดียวกันนี้ เป็นเครื่องหล่อหลอม ให้อยู่ร่วมกันได้อย่างสันติ สงบสุข

อันที่จริง ความฝันของเรา มันก็เป็นอย่างนี้มาตั้งแต่เราเป็นเด็กแล้วนะ คือเราฝันอยากให้ผู้คน ไม่ต้องมารบราฆ่าฟันกัน ไม่ต้องมาแบ่งแยกกัน มีเมตตา กรุณา ต่อกัน ไม่มีโจรผู้ร้าย อยู่ร่วมกัน โดยไม่แบ่งชั้นวรรณะ ไม่แบ่งประเทศอะไร เป็นประชาชนชาวโลกเหมือนกัน ผู้คนยิ้มแย้มให้กัน ไปทั้งหมด

เราฝันอย่างนี้จริง ๆ มาตั้งแต่เด็กแล้ว และปัจจุบันนี้ก็แก่แล้ว อายุ ก็ 55 ปีแล้ว ความฝันอย่างนี้ก็ยังอยู่เช่นเดิมไม่เปลี่ยนแปลง ได้เห็นผู้คนต้องมาเข่าฆ่ากัน เรารู้สึกปวดร้าว และสงสารนะ คนเราเกิดมาแล้ว ก็ต้องตายเหมือนกัน ควรจะสามารถอยู่ ร่วมกันได้ อย่างสงบและสันติ

เพระว่ามนุษย์ทุกคน ไม่ว่าจะเป็นคนชาติใด ต่างก็ต้องการความสงบสุข ด้วยกันทั้งนั้น เมื่อไรนะ ที่ความฝันของเราจะเป็นจริงสักที

วันที่ผู้คนทั้งโลก ไม่แบ่งแยกกัน อยู่รวมกันเป็นหนึ่งเดียว คือมีศีล มีธรรม ร่วมกัน สงบ สันติ และเมตตาต่อกัน