เป้าหมาย สูงสุด ของชีวิต ที่แท้จริง????

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย yutkanlaya, 19 มิถุนายน 2007.

  1. yutkanlaya

    yutkanlaya เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    865
    ค่าพลัง:
    +4,403
    เป้าหมายชีวิตที่แท้จริง?

    <O:p</O:p
    สุดท้ายมนุษย์ก็ต้องกลับมาพัฒนาตนเองด้วยหลัก ไตรสิกขาและไตรลักษณ์อย่างเข้าใจ เข้าถึง จิตใจ

    เป้าหมายสูงสุดของชีวิต คือ อะไร ??

    <O:p</O:p
    คือ ความสุข ทางใจ กาย ไง แล้วทำอย่างไร หล่ะ??<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    สุข ทุกข์ จน รวย ล้วนอยู่ที่ ความคิด ที่เราพากันคิดเอาเอง ขอถามก่อนว่า พื้นฐานของการมีชีวิต คือ อะไร????
    ความจำเป็นพื้นฐานของการมีชีวิตอยู่ คือกิน ถ่ายทำงาน นอนแล้วคนเรากินข้าวแกงได้เกินพอดีกันหรือไม่??? นอนเกิน 2 ตรม.หรือไม่??? ทำงานอย่างพอดีๆ แต่เต็มประสิทธิภาพของตัวเอง ไม่ขี้เกียจ ถ้าเหลือเกิน ค่าอาหาร ค่าที่พัก ของครอบครัว ก็เก็บไว้ พอไหม??? หรือเราคิดกันว่า ต้องมีบ้านหลังใหญ่ รถคันหรู ลูกน้องมากมาย ให้คนอื่นชื่นชม ว่า เราเก่ง จึงจะมีความสุข <O:p</O:p
    แล้วเขาชมว่า เราดี หรือไม่????????? ดังนั้น ความสุขใจ น่าจะเกิดจาก การทำดี ทำทาน ทั้งต่อตัวเองและผู้อื่น คือการให้อย่างบริสุทธิ์ใจ โดยไม่หวังผลตอบแทน น่าจะสุขใจ อิ่มเอิบใจ ได้ดีที่สุด(ความสุขอย่างอิ่มเอิบใจจะทำให้ร่างกายเกิดการหลั่งสารแห่งความสุขEndorphinมีผลให้เซลล์ร่างกายกระชุ่มกระชวย เต่งตึง ภูมิคุ้มกันดี ไม่มีโรค แก่ช้า ตายยาก ได้ในที่สุด)

    <O:p</O:p
    วิธีการปลูกฝังจิตใจง่ายนิดเดียวเปลี่ยนความคิด??ไง

    ถ้าปรับปรุงจิตใจให้มีสังคหวัตถุสี่ คือ

    <O:p</O:p
    เมื่อเราคิดดี ก็จะ พูดดี ทำดีต่อตัวเองและผู้อื่น คือ ครอบครัว ลูกเมียผัว พ่อแม่ ญาติพี่น้อง เพื่อนๆ คนอื่นๆสิ่งมีชีวิตอื่นๆ รวมทั้ง พระพรหม เทวดาทั้งหลาย ภูติผี สัมภเวสีทั้งหลาย เอย

    <O:p</O:p

    อีกวิธีโดย การปลูกฝังจิตใจให้มี
    พรหมวิหารสี่ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา ต่อสิ่งมีชีวิตและทุกๆสิ่ง หมั่นทำสมำเสมอ
    ด้วยหลักอิทธิบาทสี่ มี ฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสาก็แค่นี้เอง<O:p</O:p
    <O:p</O:p


    เวลามีทุกข์หรือปัญหา ก็เขียนลงกระดาษ ด้วยหลัก อริยสัจจสี่ จากปัญหา ไปหาเหตุ แนวทางแก้ไข แล้วนำไปดำเนินการ นั่นเอง

    <O:p</O:p
    ในที่สุดจิตใจก็จะใส บริสุทธิ์ และนี่คือจักรทิพย์ ดวงแก้วซึ่งมีอยู่แล้วใน มนุษย์เราทุกๆคน<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    <O:p</O:p

    ขอให้ทุกท่าน ประสบแต่ความสุข ความเจริญ ชั่วกาลนานเทอญ<O:p</O:p

    <O:p</O:p

    ขอเพียง เข้าใจ เข้าถึง ว่า จิตใจ เป็นนาย กาย เป็นบ่าว<O:p</O:p

    จะเห็นว่า เมื่อแต่ละคนดี มีความสุขแล้ว ครอบครัวก็จะดี มีสุขด้วย
    เมื่อแต่ละครอบครัวมีความสุข ก็จะมีความสุขกันทั้งหมู่บ้าน
    เมื่อแต่ละหมู่บ้านมีความสุข ก็จะมีความสุขกันทั้งตำบล
    เมื่อแต่ละตำบลมีความสุข ก็จะมีความสุขกันทั้งอำเภอ
    เมื่อแต่ละอำเภอมีความสุข ก็จะมีความสุขกันทั้งจังหวัด
    เมื่อแต่ละจังหวัดมีความสุข ก็จะมีความสุขกันทั้งประเทศ
    เมื่อแต่ละประเทศมีความสุข ก็จะมีความสุขกันทั้งโลก..เลย ง่ายมั้ย



    <O:p</O:p
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 ธันวาคม 2007
  2. NiNe

    NiNe เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มกราคม 2005
    โพสต์:
    4,780
    ค่าพลัง:
    +7,482
    เป้าหมายสูงสุดแห่งชีวิต...รึ?

    สำหรับเราแล้ว เราอยากรู้จริงๆว่าทำไมต้องเกิดมาเป็นเรา ทั้งๆที่เรายังไม่อยากเกิดในตอนนี้ ในเวลานี้ เราอยากเกิดในยุคพระศีรอาริย์เมตไตรพุทธเจ้าต่างหากเล่า นี่ถ้าหากสมมุติว่าเผลอตกนรกลงไปก่อน แล้วเกิดขึ้นอีกทีไม่ทันในยุคของท่าน แล้วใครจะเป็นรับผิดชอบหล่ะหือม์ ...

    เกิดไม่ทันในยุคของสมณโคดมพุทธเจ้าที่ท่านยังดำรงขันธ์แล้วทีหนึ่ง คราวต่อไปจะเกิดทันในยุคของพระศีรอาริย์เมตไตรพุทธเจ้ามั๊ยเนี่ยเรา ตอนนี้ชีวิตก็เฉียดๆ อยู่ปากหลุมแล้ว

    (cry) ...โฮๆๆๆ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 20 มิถุนายน 2007
  3. yutkanlaya

    yutkanlaya เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    865
    ค่าพลัง:
    +4,403
    อย่ายึดติด ในอดีต และ อนาคต อยู่กับปัจจุบันให้ได้ ทำกรรมบวกมากๆๆๆๆๆแล้วจะทำลายกรรมลบในอดีต ได้เอง และจะถึงภพภูมิที่ดียิ่งๆขึ้น เอง
    เทวดาหรือพรหมเอง ยังมีกรรม ต้องกลับมาสู่ วัฎสงสาร อีกเลย เป็นบุญแล้วที่ได้มีโอกาสเกิดมาเป็น มนุษย์ เพราะสามารถ ทำบุญ อุทิศส่วนกุศล เผื่อแผ่ แก่ผู้อื่นได้ ไม่ว่า คน สัตว์ พรหม เทวดา พญายม ภูติผี สัมภเวสี ฯลฯ อย่างเป็นรูปธรรมได้
     
  4. yutkanlaya

    yutkanlaya เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    865
    ค่าพลัง:
    +4,403
    การมุ่งมั่นพัฒนาจิต ด้วยการเจริญสติ ภาวนา นั่งสมาธิ เป็นเพียงหนทาง แห่งการหลุดพ้นของตัวเองผู้เดียว นี่คือ แนวทางของ ปัจเจกพุทธเจ้า
    ถ้าท่านเข้าใจในธรรมแล้ว เผื่อแผ่ ความเข้าใจให้แก่ผู้อื่นด้วย จะเป็นหนทางแห่งการหลุดพ้นโดยทั่วกัน นั่นคือ แนวทางของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
    คือ การนำพาสรรพสัตว์ทั้งหลายให้หลุดพ้น ด้วยกันมากๆๆๆๆๆๆๆๆ
     
  5. The Third Eyes

    The Third Eyes เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 มีนาคม 2005
    โพสต์:
    2,790
    ค่าพลัง:
    +51,007
    สิ่งที่ได้นำพามาตลอด
    การแนะนำ การทำสมาธิ การปฏิบัติธรรม
    เป็นสิ่งที่ มีคนกล่าวถึงและพูดกันมาก
    เป็นหนทางที่ ปัจเจก พระพุทธองค์ได้เคยทำมา

    ก็ขอดักคอไว้ก่อน
    เดี๋ยว คุณ หณุมาณ นำ สาร
    จะต้องเข้ามาบอกว่า ไม่ใช่ สิ่งที่ถูกต้องครบถ้วน
    ว่า เป้าหมายที่แท้จริง คือ "การตั้งสัจจะ"

    การตั้งสัจจะ ในความหมายชอง คุณ หณุมาณ นำสาร
    คือ ทำจริง เช่น ศีลข้อหนึ่ง ห้ามฆ่าสัตว์

    ปกติเราคิดและจำไว้ในใจว่า การฆ่าสัตว์เป็นบาป
    นั่นคือ เราจะหลีกเลี่ยงที่จะไม่ฆ่าสัตว์ โดยไม่จำเป็น

    แต่ในบางโอกาส สัตว์นั้นเป็นอันตราย
    เราก็อาจจะฆ่า เพื่อ เป็นการป้องกันตัว
    เช่น ฆ่ายุง ฆ่ามดคันไฟ ฆ่าหนูที่เข้ามาแอบในบ้าน
    ฯลฯ

    แต่ สัจจะ ของคุณ หณุมาร นำสาร นั้น
    ให้ระบุลงไปเลย ว่า
    ต่อ นี้ไป 1 เดือน จะไม่ ฆ่ายุงแม้แต่ตัวเดียว
    ถ้าทำได้ ก็เพิ่มเวลาไปเรื่อยๆๆ ว่า 2 เดือน 5เดือน
    แล้วก็จะไม่ฆ่ายุงอีกเลย ตลอดชีวิต

    แล้วไล่ตามศีลไปทีละข้อ
    จะไม่ขโมยของคนอื่น นาน 3 เดือน

    ไม่ยุ่งกับกิ๊ก คนอื่น นาน 7 วัน

    ไม่พูดโกหก กับใครนาน 2 อาทิตย์

    ไม่กินเหล้า จนเสียสติ นาน 3 เดือน

    อย่างนี้ ใช่ใหมครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 มิถุนายน 2007
  6. หนุมาน ผู้นำสาร

    หนุมาน ผู้นำสาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    13,692
    ค่าพลัง:
    +51,931
    *** คุณ The Third Eyes เข้าใจถูก ****

    *** เข้าใจถูก ****

    คุณ The Third Eyes เข้าใจถูก...มองเห็นหนทางหลุดพ้น !!!!!!!
    มนุษย์เรา จะหลุดพ้นจากโลกไปได้...คือ ไม่กลับมาเกิดใหม่บนโลกอีก
    จะต้องหมดกิเลสทั้งปวง...คือ หมดนิสัยปลีกย่อยที่ไม่ดีต่างๆ ในตัวเอง
    การจะขจัดนิสัยตัวหนึ่ง....จะต้องตั้งใจจริง ขยัน อดทน ไม่ทำนิสัยนี้ ให้เป็นประจำ
    จากเคยทำได้...๑ ชั่วโมง...ก็จะขยายขึ้นเรื่อย เป็น ๑ วัน..๑ เดือน...๑ ปี
    จนสุดท้าย...ตัวของเรา ก็จะทำได้เองเป็นอัตโนมัติ...คือ ตลอดไป....ไม่ต้องฝืน ไม่ต้องบังคับ
    เมื่อทำได้เป็นปกติ...สมัยก่อนเขาเรียกว่า "ศีล"
    เมื่อเห็นยุงกัด เห็นมดกัด...ก็เข้าใจเขา สงสารเขาที่เกิดเป็นยุง เป็นมด...ใจมันจะเมตตามันเอง
    ตัวเราจะบอกกับตัวเราเองว่า...จะทำอย่างไรกับเขา

    พระอาจารย์ต่างๆ สอนวิธีให้เห็นนรก สวรรค์...เพื่ออะไร !!!!!!!
    เพื่อให้รู้ว่านรก สวรรค์ สามโลกนี้...มีจริง
    เห็นนิพพาน...ว่ามีจริง
    แต่...กลายเป็นว่า...เห็นแล้วไปไม่ถึง
    เพราะ...ไปเข้าใจว่า...วิชาที่ทำให้มองเห็นโลกจิตวิญญาณ...เป็นหนทางสู่นิพพานได้
    แต่...ลืม หรือไม่เข้าใจ...คำตรัสสอนของพระพุทธเจ้า...ที่กล่าวว่า "ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน"
    ซึ่งคือ..."หลักตนพึ่งตน"....
    หมายถึงว่า.... เมื่อเกิดเป็นมนุษย์...ต้องพึ่งการกระทำเก่า การกระทำที่ได้ทำไปแล้ว

    ดังนั้น...สิ่งที่เราจะพึ่งได้ดีที่สุดคือ
     
  7. The Third Eyes

    The Third Eyes เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 มีนาคม 2005
    โพสต์:
    2,790
    ค่าพลัง:
    +51,007
    ขอบคุณ "คุณ หณุมาณ ผู้นำสาร"
    ที่ได้อธิบายเรื่องยากให้เป็นเรื่องง่าย

    ตลอดที่ผ่านมา ระบุแต่เพียงว่า
    การรอดพ้น ต้อง มี "สัจจะ" ตลอด

    ผู้คนที่ธรรมภูมิไม่สุงพอ ก็จะงง
    เพราะ ไม่เข้าใจว่า " สัจจะ" คือ อะไร
    ทำอย่างไร..... เพื่อ อะไร

    สัจจะ ต่าง จาก ศีล อย่างไร
    ศีล 5 ...ศีล 8.... ศีลพระ 227 ข้อ ฯลฯ
    ศีลทั้งหมด เป็น การแนะแนวทาง.เพื่อเดินไปสู่ความว่าง

    คนเราท่องจำศีลมาตั้งแต่จำความได้
    อย่างน้อยก็ต้องได้ ศีล 5

    เมื่อ จำนานๆๆ ก็จะลงไปสู่ สามัญใต้สำนึก (Sub-Concious)
    และสามัญสำนึก ก็จะ คอยเตือน เราว่า ทำอย่างนั้น ไม่ดี

    ฆ่าคนอื่นไม่ดี
    พูดโกหก ไม่ดี
    ยุ่งกับคนอื่น ไม่ดี
    ขโมยไม่ดี
    กินเหล้าไม่ดี

    แต่ในบางโอกาส บางกาละเทศะ
    ทั้งๆๆที่รู้ว่า ไม่ดี เราก็ ทำ

    แต่ถ้าเราสัญญากับตัวเอง ว่า จะไม่ทำ
    จะเป็นการเข้มข้น กว่า
    ถ้าทำตาม สัจจะได้
    ก็เท่ากับ ชนะตัวเอง
    คนที่ชนะตัวเองได้
    คือคนที่ชนะโลก

    อุปมาอุปมัย เหมือน คนที่ไม่เคยขับรถ
    พอจะหัดขับก็นั่งอ่านตำรา ก็รู้หมด

    ว่า ถ้าจะเข้าเกียร์ ต้อง เหยียบคลัชก่อน
    แล้วค่อยๆๆ กดคันเร่ง ปล่อยคลัช ช้าๆๆ
    เพื่อไม่ไห้เครื่องกระตุกดับ ถือพวงมาลัยให้มั่น

    พอจะจอด ก็เหยียบเบรค แล้วเหยียบ คลัชตาม

    การอ่านตำราขับรถก็เหมือน การท่องจำศีล ว่า จะทำอย่างไร

    จะขับรถเป็น ก็ต้อง หัดขับ กับรถจริงๆๆ
    ไม่ใช่หัดขับในกระดาษ

    การขับจริง จะเป็นจริง
    ก็คือเทียบเท่า การ ตั้งสัจจะ แล้ว ทำตามให้ได้
    ถ้าได้ 1 ข้อ
    แล้วข้ออื่นๆๆ จะตามมาเอง โดยไม่ลำบาก

    ขอให้ลอง กำหนด สัจจะ ดูสักข้อ
    ง่ายๆๆในเวลา สั้นๆๆ ที่คิดว่า ทนได้
    เหมือน การอุ่นเครื่อง

    แล้วทุกอย่างก็จะไหลไปเอง
    เพราะมันเคยแล้ว

    การตั้งสัจจะ ไม่เสียเงิน ไม่เสียทอง
    เป็นของฟรี เป็นของที่มีคุณค่าสูงสุดที่มีอยู่แล้วในตัว
    ลองดู ครับ
     
  8. The Third Eyes

    The Third Eyes เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 มีนาคม 2005
    โพสต์:
    2,790
    ค่าพลัง:
    +51,007
    ขอบคุณ "คุณ หณุมาณ ผู้นำสาร"
    ที่ได้อธิบายเรื่องยากให้เป็นเรื่องง่าย

    ตลอดที่ผ่านมา ระบุแต่เพียงว่า
    การรอดพ้น ต้อง มี "สัจจะ" ตลอด

    ผู้คนที่ธรรมภูมิไม่สุงพอ ก็จะงง
    เพราะ ไม่เข้าใจว่า " สัจจะ" คือ อะไร
    ทำอย่างไร..... เพื่อ อะไร

    สัจจะ ต่าง จาก ศีล อย่างไร
    ศีล 5 ...ศีล 8.... ศีลพระ 227 ข้อ ฯลฯ
    ศีลทั้งหมด เป็น การแนะแนวทาง.เพื่อเดินไปสู่ความว่าง

    คนเราท่องจำศีลมาตั้งแต่จำความได้
    อย่างน้อยก็ต้องได้ ศีล 5

    เมื่อ จำนานๆๆ ก็จะลงไปสู่ สามัญใต้สำนึก (Sub-Concious)
    และสามัญสำนึก ก็จะ คอยเตือน เราว่า ทำอย่างนั้น ไม่ดี

    ฆ่าคนอื่นไม่ดี
    พูดโกหก ไม่ดี
    ยุ่งกับคนอื่น ไม่ดี
    ขโมยไม่ดี
    กินเหล้าไม่ดี

    แต่ในบางโอกาส บางกาละเทศะ
    ทั้งๆๆที่รู้ว่า ไม่ดี เราก็ ทำ

    แต่ถ้าเราสัญญากับตัวเอง ว่า จะไม่ทำ
    จะเป็นการเข้มข้น กว่า
    ถ้าทำตาม สัจจะได้
    ก็เท่ากับ ชนะตัวเอง
    คนที่ชนะตัวเองได้
    คือคนที่ชนะโลก

    อุปมาอุปมัย เหมือน คนที่ไม่เคยขับรถ
    พอจะหัดขับก็นั่งอ่านตำรา ก็รู้หมด

    ว่า ถ้าจะเข้าเกียร์ ต้อง เหยียบคลัชก่อน
    แล้วค่อยๆๆ กดคันเร่ง ปล่อยคลัช ช้าๆๆ
    เพื่อไม่ไห้เครื่องกระตุกดับ ถือพวงมาลัยให้มั่น

    พอจะจอด ก็เหยียบเบรค แล้วเหยียบ คลัชตาม

    การอ่านตำราขับรถก็เหมือน การท่องจำศีล ว่า จะทำอย่างไร

    จะขับรถเป็น ก็ต้อง หัดขับ กับรถจริงๆๆ
    ไม่ใช่หัดขับในกระดาษ

    การขับจริง จะเป็นจริง
    ก็คือเทียบเท่า การ ตั้งสัจจะ แล้ว ทำตามให้ได้
    ถ้าได้ 1 ข้อ
    แล้วข้ออื่นๆๆ จะตามมาเอง โดยไม่ลำบาก

    ขอให้ลอง กำหนด สัจจะ ดูสักข้อ
    ง่ายๆๆในเวลา สั้นๆๆ ที่คิดว่า ทนได้
    เหมือน การอุ่นเครื่อง

    แล้วทุกอย่างก็จะไหลไปเอง
    เพราะมันเคยแล้ว

    การตั้งสัจจะ ไม่เสียเงิน ไม่เสียทอง
    เป็นของฟรี เป็นของที่มีคุณค่าสูงสุดที่มีอยู่แล้วในตัว
    ลองดู ครับ
     
  9. yutkanlaya

    yutkanlaya เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    865
    ค่าพลัง:
    +4,403
    หัวใจอีกข้อ ของ ศาสนาพุทธ และ พระพุทธองค์ ทรงปฏิบัติมาตลอด จนตรัสรู้
    "มัชฌิมา" ทางสายกลาง พอดีๆ พอเพียง สมดุล สบายๆ
    น่าจะใด้ทุกๆเรื่อง เช่น
    1.ถ้าสุนัขบ้าจะกัดเรา ต้องฆ่ามันมั้ย????ถ้าไม่ฆ่า ไม่งั้นเราคงจะต้องติดเชื้อ เป็นโรคพิษสุนัขบ้า รักษาไม่ได้ แล้วตายในที่สุด
    2.หมอ ก. ตรวจพบว่านาง ข. เป็นโรคมะเร็ง และจะต้องตายใน 3 เดือน ซึ่งสภาพจิตใจนาง ข. แย่อยู่แล้ว หมอควรพูดความจริงกับคนไข้ที่กลัวตาย และมีเวลาเหลือน้อยนิด ที่จะมีชีวิตอยู่ หรือไม่??????
    3.ผู้หญิงคนหนึ่ง มีลูกน้อยอายุ 6 เดือน สามีตาย บ้านถูกยึด ไม่มีญาติพี่น้อง ต้องเร่ร่อน สมัครงานไม่ได้ เลยมาขอทานก็ได้เงินไม่พอซื้อนมลูก นมตัวเองหมดแล้ว ลูกร้องหิวนมมากเพราะไม่ได้กินมาร่วมวันแล้ว เลยไปในร้าน เซเว่น ขโมย นมมาให้ลูกกิน เราเจ้าของร้าน ควรทำอย่างไร?????
    4.ศาสนาอิสลาม ให้ผู้ชายมี สตรีได้หลายคน อย่างถูกต้อง แล้วถ้าเด็ก นศ.เข้ามาเรียน กทม.ไม่มีเงินพอค่าเทอม ค่าหอ มาขอเป็น กิ๊ก คุณซึ่งมีเงินมากพอ ลูกน้องมากมาย ควรจะทำอย่างไรดี???????
    5.พระเยซู ฉลองคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ ด้วยการพาลูกศิษย์ ดื่มไวน์ และพระพุทธองค์บอกว่า "สุราเมรยะ มัชฌปมา" น่าจะหมายถึงการดื่มเหล้าได้อย่างพอดๆกับแต่ละคนไป ให้มีสติตลอด หรือเปล่า???????
     
  10. yutkanlaya

    yutkanlaya เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    865
    ค่าพลัง:
    +4,403
    ลองดัน อีกที
     
  11. yuui

    yuui เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    29
    ค่าพลัง:
    +435
    ผมอ่านคำถามของคุณyutkanlayaแล้วรู้สึกไม่สบายใจกับอคติที่เกิดในคำถามข้อที่4-5 ... ไม่ควรอย่างยิ่งที่จะเอาศาสนาไว่ศาสนาใดก็ตามมาตั้งคำถามในเชิงนั้น โดยที่มิได้เข้าใจอย่างถ่องแท้ในศาสนาเหล่านั้น (ผมคิดว่าถ้าคุณถ่องแท้ต่อศาสนาเหล่านั้น คำถามเช่นนั้นคงจะไม่ยากเกินที่จะหาคำตอบ หรือยังหาคำตอบไม่ เว็บพุทธแห่งนี้ก็คงไม่สามารถให้คำตอบได้เช่นเดียวกัน ผิดที่ครับ ควรที่จะไปหาคำตอบจากแหล่งของศาสนาเหล่านั้นด้วยความเคารพต่อความคิดความเชื่อของเขาเหล่านั้นจะดีกว่า)

    ผมคงไปตอบอะไรแทนเขาเหล่านั้นมิได้ เพราะถือจะเคยศึกษาศาสนาเหล่านั้นมาบ้างแต่ก็มิได้เข้าใจอะไรอย่างถ่องแท้และมิได้ปฏิบัติเฉกเช่นเขาเหล่านั้น แต่ผมจะลองถามต่อการพินิจบางประการ

    เรามักจะมองศาสนาอิสลามในแง่มุมที่คุณเองก็ได้พูดถึงคือมีเมียได้4คน แต่การมีเมียได้เยอะคือการรับผิดชอบและขยัน หรือมีปัญญาที่จะเลี้ยงดูได้ ไม่เว้นแม้แต่ในวัฒนธรรมไทยในช่วงสมัยก่อนการเข้ามาของอิทธิพลตะวันตก ทั้งจากมิชชันนารี และเหล่าลูกเจ้าที่ได้ไปเล่าเรียนที่เมืองนอก ช่วงนั้นเราเองก็มีลักษณะของรูปแบบการครองเรือนแบบชายเป็นใหญ่ มีหลายเมียได้ แต่ทั้งหมดเป็นเรื่องทางเศรษฐกิจจุลภาคที่ชายจะเข้าถึงทรัพยากรในขณะนั้นได้ดีกว่ามีช่องทางมากกว่า การมีหลายเมียจึงเป็นเสมือนการอุปถัมภ์ ประชากรชายหญิงก็มิได้มีหนึ่งต่อหนึ่ง เป็นอยูในสัดส่วนที่หญิงมากกว่า เพราะโดยวิถีชีวิตแล้วหญิงตายน้อยกว่าชายครับ ... การมีหลายเมียจึงเป็นวัฒนธรรมในช่วงนั้นเป็นวัฒนธรรมดั้งเดิมของเหล่าคนที่เรียกตนเองในปัจจุบันว่าคนไทย ส่วนคนที่มีหลายเมียแต่ไม่มีปัญญาเลี้ยงดู เขาเรียกกันว่า หน้าตัวเมียนะครับ (คำนี้จึงมิใช่คำด่าที่มีความหมายในเชิงว่าขี้ขลาดที่เราเข้าใจในปัจจุบัน)

    ถ้าเช่นนั้นแล้ว เรามีเมีย3คน เราจะผิดศีลของ3หรือไม่ เพราะในเมื่อทั้งสามก็เป็นเมียเราทั้งนั้น เราไม่ได้ไปยุ่งกับเมียของที่สองของนาย ก. ไม่ได้ไปยุ่งกับเมียคนที่ห้าของนาย ง.

    เช่นนั้นแล้วเราไปชนกับอะไรเข้าแล้วเมื่อเข้าใจเช่นนี้ นั่นคือความฉงนที่ว่าบรรพบุรุษของเราในช่วงนั้นเป็นพุทธหรือ เมื่อเราคิดตามหลักศีลธรรมที่เรากำหนดในใจเราเอง ว่าต้องมีเมียเดียว ... ผมไม่แน่ใจว่าพระธรรมของเราระบุเรื่องการครองเรือนไว้หรือเปล่าว่าจะต้องเป็นmonogamyนะ (ผัวเดียวเมียเดียว เช่นในปัจจุบัน) ถ้าระบุเช่นนั้น ก็แสดงว่าบรรพบุรุษไทยบิดเบือนศาสนา มิได้เข้าใจพุทธเฉกเช่นเราในปัจจุบัน
    ความคิดเรื่องผัวเดียวเมียเดียวที่เราเชื่อมั่นกันอยู่นั้น เราเอาเข้ามาจากโลกตะวันตกนะครับ เราก็เห็นว่ามันดีงาม ท้ายที่สุดเราก็เลยแต่งตั้งมันเป็นศีลธรรมข้อต้นๆของวัฒนธรรมในปัจจุบันไปแล้ว (พิจารณาในทางประชากร,เศรษฐกิจ,การปกครอง มันก็เหมาะสมกับสังคมปัจจุบันอยู่บ้างแหละ) และเราก็เอามาอ้างในทางพุทธศาสนาเอามาเป็นหลักธรรมประกาศิตที่ตัดสินดีชั่วอีกตัวหนึ่ง
    เกิดอะไรขึ้นก่อนร.5??? น่าสงสัยใช่มั้ยครับ บรรพบุรุษก่อนร.5 ทำไมหลายเมีย ทั้งเหล่าไพร่ ทั้งเหล่าขุนนาง พวกเขาไม่รู้จักหลักธรรมเรื่องนี้เลยหรือ ... หรือว่าหลักธรรมข้อนี้สาบสูญไปจากแหล่งอารยธรรมพุทธ แต่ไปปรากฎที่โลกตะวันตกในยุคหลังฟื้นฟูวิทยาการ เราจะอธิบายเช่นไร
    หรือเราเมคหลักธรรมต่างๆขึ้นมาเองตามสถานการณ์ เรื่องกาเมและเรื่องอื่นๆ มันจึงต้องผูกกันกับศีลธรรมในแต่ละช่วงเวลา ในแง่นี้เราได้สังคยนา"พุทธ" อีกรอบแล้วครับ พุทธที่เราจับอ้างกันเป็นว่าเล่นจึงเป็นของเลื่อนไหลที่เปลี่ยนนิยามตลอดเวลา
    ขอโทษจริงๆที่ไม่ตอบคำถามของคุณyutkanlaya เพราะผมเองก็ไม่มีปัญญาที่จะไปตอบอะไรเช่นนั้นได้ครับ มันเป็นอจินไตย เป็นเรื่องทางโลกเท่านั้นเอง
     
  12. ถิ่นธรรม

    ถิ่นธรรม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2006
    โพสต์:
    1,824
    ค่าพลัง:
    +5,398
    โถ อย่าเสียใจไปเลย รู้หรือเปล่าว่าคุณโชคดีขนาดไหนที่เกิดมาเป็นมนุษย์ ได้พบพระพุทธศาสนา แม้เกิดไม่ทันเห็นพระโคดมพุทธเจ้า แต่ก็ยังทันได้รู้ได้ฟังธรรมของพระพุทธเจ้า แถมยังเกิดในประเทศไทยในยุคนี้ที่พระพุทธศาสนายังตั้งมั่น ยังมีสงฆ์อยู่มากมายให้เลือกทำบุญได้ตามอัธยาศัย ได้เกิดในครอบครัวชาวพุทธ จะสร้างบารมีก็ไม่มีอุปสรรคเหมือนคนชาติอื่น ศาสนาอื่น แถมยังได้รู้เรื่องของพระศีรอาริย์เมตไตรยพุทธเจ้าอีก โชคหลายขั้นขนาดนี้ยังจะเอาอะไรอีก
    ถ้าต้องการไปเกิดในยุคของพระศรีอาริย์ นี่ก็เป็นโอกาสดีแล้วที่จะสร้างบุญเพื่อไปเกิดในสมัยของพระองค์ เรียกว่าเป็นรถด่วนขบวนเกือบสุดท้ายแล้วที่จะตามพระองค์ไปนิพพาน เพราะหลังจากนี้อีกไม่กี่พันปีก็ไม่มีพระพุทธศาสนาแล้ว ตอนนี้คุณมีตั๋วโดยสารไปกับพระศรีอาริย์แล้วในกำมือ อยู่ที่ว่าคุณจะประคับประคองตัวเองขึ้นรถด่วนขบวนกึ่งพุทธกาลคันนี้หรือจะทิ้งตั๋วเพื่อเพลิดเพลินในภพสามต่อไป

    ที่สำคัญอย่าให้จิตตก อย่าคิดอะไรในแง่ร้าย อย่าตัดพ้อต่อว่าโชคชะตา เพราะยิ่งคิดใจจะไม่ผ่องใส มันจะไปดึงดูดสิ่งที่ไม่ดีเข้ามาหาตัวเราตลอดเวลา แล้วมันจะร้ายกว่าที่เราคิด ดังนั้นให้คิดในแง่ที่ดีเข้าไว้ ว่าเราโชคดี เรามีบุญ เราจะสร้างบารมีอย่างสนุกสนาน มีชิวิตที่มีคุณค่าด้วยธรรมะ เรามีพระศาสดาอันประเสริฐเป็นที่พึ่ง คิดอย่างนี้ไปเรื่อยๆแล้วทุกอย่างจะดีเอง เราจะมีกำลังใจในการสร้างบารมีไม่มีที่สิ้นสุด
     
  13. กังขา ณ ปลาย

    กังขา ณ ปลาย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    226
    ค่าพลัง:
    +1,763
    (}) วิญญาณดั้งเดิม บริสุทธิ์ ของมนุษย์และสรรพสิ่ง คือ ช่องว่าง ความว่าง ที่บรรจุ ลม อากาศ ธาตุต่างๆและ สรรพสิ่งทั่วทั้งมหาสากลจักรวาล นั่นเอง
    และคือ จิตจักรวาล นิพพาน นั่นเอง ที่ค้นหา
    (good) (good) (good) (good) (good)

    <O:p


    การบรรลุธรรม ที่ว่า กลับไปสู่ความว่างนี่
    นี่หมายถึง จิตเป็นความว่างเปล่า คือว่างจากกิเลส <O:p</O:p
    <O:p
    จิตนี่ ไม่ใช่ช่องว่าง ให้ใครมาอาศัย แต่จิตนี่ต้องไปอาศัยรูป ถ้ายังมีกิเลส
    จิตไม่ใช่ช่องว่าง แต่เป็นธาตุรู้ วิญญาณธาตุ สามารถแทรกซึมไปได้ทุกที่ ..

    <O:p
    <O:p
    ส่วนช่องว่าง อากาศธาตุ นี่ต้องมี ถ้าไม่มี จักรวาล รูปขันธ์ สสารต่างๆ (สรรพสิ่งที่เกิดจากจิต) ก็ดำรงอยู่ไม่ได้ หรือช่องว่าง อาจจะเป็นส่วนหนึ่ง ที่เกิดขึ้นเพราะจิต ก็ไม่รู้นะ

    (})
     
  14. mamboo

    mamboo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    1,129
    ค่าพลัง:
    +1,973
    คือความว่างเปล่าค่ะ ตอนเด็กๆเคยคิดเล่นๆ ถ้าเราเสกอะไรก็ได้ คิดอยากเป็นอะไรได้ล่ะ ก็คิดไปเรื่อยๆๆๆๆๆ...จนมันสุดว่า ถ้าเป็นได้มีได้อย่างงั้น แล้วไงต่ออ่ะ..มันก็ไม่เห็นจะมีอะไรเลย ไม่แตกต่างเลยกับตอนนี้... แล้วยิ่งคิดไปอีกนะคะ ความไม่เป็น ไม่มี ไม่อยากอะไรเลย คือจุดปลายของความคิดนี้ค่ะ ลองคิดดูสิ่ ไม่เชื่ออ่ะ ตอนนี้คุณอาจจะกำลังอยากรวย ลองคิดเล่นๆว่า ถ้าเกิดว่ารวยแล้วไงต่อ ถ้าได้รถเก๋งแล้วไงต่อ ถ้าเป็นดาราดังแล้วไงต่อ... สุดท้ายมันมีค่าเท่ากับไม่มีเลยค่ะ ความมีคือไม่มี ความไม่มีคือมี จุดสูงสุดของทุกคนคือความว่างเปล่าค่ะ เพียงแต่ทุกคนยังไม่รู้เท่านั้นเอง เพราะยังคิดไม่ถึง...
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 ตุลาคม 2007
  15. วิมุตติ

    วิมุตติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    2,355
    ค่าพลัง:
    +2,169
    คุณ Mamboo เห็นสัจธรรมแบบนี้ ควรเร่งความเพียรให้ถึงความว่างโดยเร็วเถิด
     
  16. iofeast

    iofeast เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    4,171
    ค่าพลัง:
    +7,815

    อาการทางประสาทกำเริบเม่อไหร อะไรๆก็เพ้อเจ้อ เอะอะ ก็จะมุดเตี่ย จะมุดเตี่ย ฮ่าฮ่าฮ่า

    และก็จะไม่มีทางตื่นจากภาพอันหลอกหลอนนี้ไปตลอด 555
     
  17. yutkanlaya

    yutkanlaya เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    865
    ค่าพลัง:
    +4,403
    ความสุข นั่นไง ที่ใจ หรือ กาย ต้องการ
    ความสุข เกิดจาก อะไร????
    ใจ???
    กาย???
    อยากให้คนอื่น ชื่นชม???
    ก.คนชมว่า เป็น คนดี???
    ข.คนชมว่า เป็น คนเก่ง???
    ค.คนชมว่า รวยทรัพย์???
    ง.คนชมว่า รวยน้ำใจ???
    (kiss) (kiss) (kiss)
    ทำไม ไม่ชม ตัวเอง
     
  18. คีตเสวี

    คีตเสวี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มกราคม 2007
    โพสต์:
    980
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +750
    ความทุกข์เป็นสิ่งที่ทนได้ยากแต่มีประโยชน์อย่างมากต่อผู้ที่เห็นทุกข์
    ความสุขเป็นหนทางที่ทนได้ง่ายกว่าความทุกข์แต่ความสุขมักจะมำมาซึ่งความทุกข์
    ที่สุดแล้วสุขก็ไม่เอาทุกข์ก็ไม่เอาเพราะยังเป็นตัวเป็นตน
    ปลดปล่อยได้ทั้งทุกข์ทั้งสุขก็อยู่เหนือโลก
    เจริญในธรรมทุกท่านครับ
     
  19. yutkanlaya

    yutkanlaya เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    865
    ค่าพลัง:
    +4,403
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=headline vAlign=baseline align=left>ผลวิจัยเผยเศรษฐีจีนทุ่มเงินเพื่อการกุศลเพิ่ม</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#cccccc height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>โดย ผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=baseline align=left>24 มกราคม 2551 14:12 น.</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left> ซินหัวเน็ต - ศูนย์ข้อมูลด้านการกุศลแห่งประเทศจีน ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากกระทรวงกิจการพลเรือนและองค์กรการกุศลอื่นๆ เปิดเผยรายงานฉบับล่าสุดว่า จำนวนองค์กรการกุศลเอกชนเพิ่มจำนวนขึ้นอย่างมาก ซึ่งคาดว่าในอนาคต มูลนิธิเอกชนจะแซงหน้าองค์กรรัฐบาลและเอ็นจีโอ กลายเป็นแหล่งบริจาคเงินทุนรายหลักของประเทศ

    ภายใต้กฎหมายภาษีเงินได้นิติบุคคลใหม่ซึ่งระบุว่า บริษัทที่บริจาคเงินเข้าการกุศลคิดเป็น 12% ของรายได้ต่อปีทั้งหมดจะได้รับยกเว้นภาษี แทนที่จะเป็น 3% อย่างกฎเก่าระบุ ทำให้เปอร์เซ็นต์การบริจาคเงินเพื่อการกุศลของกลุ่มบริษัทมีสูงขึ้น

    อีกทั้งที่ผ่านมาองค์กรรัฐบาลและสื่อต่างๆ ประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับกิจกรรมการกุศลมากขึ้น กระตุ้นให้ประชาชนบริจาคเงินเข้าการกุศล ทำให้มีประชาชนหลายคน ทั้งผู้มีชื่อเสียงและศิลปินดารา หันมาบริจาคเงินหรือจัดตั้งกองทุนของตนเองเพิ่มมากขึ้น ดังเช่นเมื่อปี 2006 ที่ผ่านมา นักร้องสาว เฟย์ วอง (หวังเฟย) และหลี่ย่าเผิง สามีของเธอได้ก่อตั้งมูลนิธิเยี่ยนหรัน แองเจิล ตามชื่อของลูกสาวเธอ เพื่อช่วยเหลือเด็กที่มีอาการเพดานโหว่ เช่นเดียวกับลูกสาวของเธอด้วย

    รายงานระบุการคาดการณ์ว่า ในอีก 3-5 ปีข้างหน้า จำนวนมูลนิธิเอกชนจะเพิ่มจำนวนมากขึ้น เนื่องจากรัฐบาลลดควบคุมองค์กรการกุศลของเอกชน อีกทั้งยังผุดนโยบายต่างๆ ขึ้นมาอำนวยความสะดวกอีก
    </TD></TR></TBODY></TABLE>(||) (||) (||) </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  20. ฐาณัฏฐ์

    ฐาณัฏฐ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2008
    โพสต์:
    6,197
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,075
    สาธุ

    ปัญหา ของคุณขจรศักดิ์ คือ จะทำยังไงกับเวลาที่เหลือ
     

แชร์หน้านี้

Loading...