เชิญเข้าร่วมสนทนาพิเศษเรื่อง มิติ ความฝัน ชาติภพ จิตวิญญาณ โดย @โนวา อนาลัย@ [Writer]

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย mead, 8 สิงหาคม 2007.

  1. zipper

    zipper เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กันยายน 2004
    โพสต์:
    5,226
    ค่าพลัง:
    +10,590
    คุณ Veggie อยากจะทำค่ายเพลงทำเพลงขึ้นมาเลยเหรอ :D
    เคยได้ยินมาว่าชาวต่างประเทศบางคนก็แต่งเพลงแล้วเปิดให้แฟนเพลงโหลดทางเนต ก็มีเหมือนกัน แต่จำไม่ได้ว่ามีแบบขายเพลงเลยหรือเปล่า คือต้องจ่ายเงินก่อนถึงจะโหลดได้

    ส่วนเรื่องสะกดจิตนั้น ถ้าได้อ่านเรื่อง สารรักจากสวรรค์ หรือ Messages from the Masters ของดร.ไบรอันเหมือนกัน ซึ่งเป็นหนังสือที่รวบรวมคำสอนจาก Master ที่พูดคุยกับ ดร. ในระหว่างสะกดจิต ซึ่ง Master ที่ดร.ไบรอันเจอนี้ ก็เจอจากการพูดคุยกับคนไข้ที่มารักษากับดร.นี่แหล่ะ ซึ่งจะมีสภาวะนึงซึ่งเหมือนกับว่าภาวะจิตของคนไข้จะยกสูงขึ้น และช่วงนี้ก็จะมีคำสอนต่างๆ หลุดออกมาจากคนไข้ ซึ่งบางคนนั้นดูแล้วไม่น่าเชื่อว่าจะสามารถพูดอะไรอย่างนี้ได้

    ซึ่งตอนนั้นอ่านไปก็คิดไปว่า เอ ถ้าการสะกดจิตเป็นแค่การดึงเอาความทรงจำในอดีตเอามานึกย้อนอีกทีเหมือนเรานึกถึงความหลัง สภาวะจิตของเราก็ไม่น่าจะเปลี่ยนไปสิ เหมือนว่าเรานั่งนึกถึงความหลังสมัยเด็ก ช่วงนั้นเราก็ยังมีสภาวะจิตเป็นปัจจุบันอยู่ไม่ได้เปลี่ยนไปเป็นเด็ก แต่ในการสะกดจิตที่อ่านมาของดร.ไบรอันนั้น เหมือนกับมีจิตอีกจิตนึงมาทับซ้อนอยู่ แต่ภาวะที่จิตซ้อนอยู่นี้ไม่ได้เป็นตลอดนะ สังเกตว่าตอนที่ย้อนอดีตไปอดีตชาติ ตัวคนไข้ยังมีความคิดอ่านเป็นตัวเอง (ณ ปัจจุบัน)อยู่ แต่พอไปถึงสภาวะนึง ที่เหมือนภาวะหลังความตาย ช่วงนั้นจิตจะยกระดับขึ้น และช่วงนั้นเองที่คนไข้มีความคิดความอ่านเหมือนเป็นคนละคน ซึ่งก็มีคำสอนอะไรถ่ายทอดออกมาจนมาเป็นหนังสือ สารรักจากสวรรค์

    ก็เลยนึกสงสัยว่าภาวะนั้นเกิดขึ้นได้อย่างไร ก็ได้มาอ่านหนังสือของอ.โนวา อนาลัย ที่ว่าอดีต ปัจจุบัน อนาคต ทับซ้อนกันอยู่ ก็เลยคิดว่า นั่นหรือเปล่าคือการแสดงออกถึงตัวตนอีกตัวตนนึงที่ทับซ้อนกันอยู่

    ส่วนที่ว่าเรื่องราวที่คนไข้เห็นจากการสะกดจิตเป็นเรื่องจริงหรือเปล่านั้น ก็คิดว่า ดร.ไบรอันเป็นจิตแพทย์ ก็น่าจะดูออกว่าภาวะไหนบ้างที่คนไข้จะเห็นภาพหลอน หรือภาวะไหนที่จะเห็นภาพจริง
     
  2. khajornwan

    khajornwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    901
    ค่าพลัง:
    +4,468
    เห็นคุณ Zip กะคุณ Veggie คุยกันเกี่ยวกับการสะกดจิตผู้ป่วยแล้วทำให้เกิดความสงสัยว่าการสะกดจิตผู้อื่นนั้นถือเป็นการก้าวล่วงผู้อื่นหรือไม่? แล้วการสะกดจิตมีกี่ประเภท, อะไรบ้าง? เพื่อนขจรวรรณเล่าให้ฟังว่าเค้าเคยเข้าไปคุยโทรศัพท์สาธารณะที่เป็นตู้กระจกใส ๆ สามารถมองเห็นฝั่งตรงข้ามได้ แล้วมีชายคนหนึ่งหน้าตาน่ากลัวมากเข้ามายืนจ้องหน้าเค้าด้านตรงข้าม สักพักนึงเค้าก็ถอดสร้อยคอ, แหวน, นาฬิกาและของมีค่าให้เค้าไปหมดทั้ง ๆ ที่รู้สึกตัวอยู่ตลอดเวลา ก็เลยอยากรู้ว่ากระบวนการของการสะกดจิตผู้อื่นนั้นเป็นอย่างไร? และจะรู้ได้อย่างไรว่าตัวเรากำลังถูกสะกดจิตอยู่? และมีวิธีการใดบ้างที่จะแก้ปัญหาในลักษณะนี้ได้บ้างคะพี่นักเขียน?:'(
     
  3. nova_analai

    nova_analai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    809
    ค่าพลัง:
    +7,489
    สมาธิหรือสติ กับ ยามคับขัน

    สวัสดีค่ะพวกเรา
    พี่นักเขียนหายไปหลายวันเพราะมัวแต่ busy กับ Art Show ซึ่งใช้เวลาเตรียมงานและเก็บมากมายกว่าเวลาที่ใช้แสดงงานหลายเท่า แต่พรที่พวกเราให้ไปนั้นสัมฤทธิ์ผลอย่างงดงามค่ะ ต้องขอบคุณทุกคนที่ให้พรและกำลังใจ วันนี้เลยนำภาพวาดและบรรยากาศจากวันงานมาอวด

    ประสบการณ์ครั้งนี้ทำให้พี่นักเขียนตระหนักว่า คุณค่าของสมาธิหรือการมีสตินั้นเป็นสิ่งที่มีประโยชน์ต่อประสบการณ์ชีวิตของเราเสมอ ไม่ว่าเราจะทำสิ่งใด หากปราศจากสมาธิหรือสติ เราจะขาดคุณสมบัติ ขาดความพร้อมที่จะเผชิญกับสถานการณ์ และทำให้เราไม่อาจฟันฝ่าอุปสรรค หรือแม้แต่รับมือกับสถานการณ์นั้นๆได้ด้วยซ้ำไป ซึ่งเป็นสาเหตุของความล้มเหลว ปัญหาและความยุ่งยากทั้งทางกายและใจของเราทุกคนเสมอๆ

    มีผู้อ่านหลายท่านที่เขียนจดหมายมาบ่นว่า อยากจะทำสมาธิให้สม่ำเสมอตามที่พี่นักเขียนแนะนำว่าให้ทำทุกวันก่อนนอน แต่ก็ไม่ได้ทำหรือทำไม่ได้ เพราะรู้สึกว่าทำไปแล้วไม่ได้ผลเลยเลิกทำ พี่นักเขียนขอย้ำว่าให้ทำสมาธิก่อนนอนทุกคืน ไม่ว่าจะรู้สึกว่าได้ผลหรือไม่ ก็ให้ทำต่อไปอย่างสม่ำเสมอ เพราะผลลัพธ์นั้นไม่ได้เกิดขึ้นอย่างฉับพลัน แต่เป็นผลลัพธ์สะสมที่เราแทบจะไม่รู้ว่าเราได้สะสมแล้ว จนกว่าเราจะจำเป็นต้องใช้สมาธิหรือสติ หากเราทำสมาธิทุกคืนจนเป็นนิสัย แม้ว่าจะไม่รู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงใดๆได้อย่างชัดเจน ต่อเมื่อเข้ายามคับขัน เราจะพบว่าเรามีสมาธิหรือสติ ที่สะสมไว้โดยไม่รู้ตัว และสามารถนำมาใช้ได้ไม่อย่างมีประสิทธิภาพเสมอ

    Art Show ครั้งนี้เป็นประสบการณ์อีกครั้งในหลายครั้งหลายหนในชีวิต ที่พี่นักเขียนต้องอาศัยสมาธิหรือสติเพื่อรับมือกับประสบการณ์ เพราะประมาณสัปดาห์ที่สองของเดือนมกราคม พี่นักเขียนได้รับแจ้งจาก Director ของ Art Center ว่าหมายกำหนดการณ์ Art Show ของพี่นักเขียนถูกเลื่อนจากวันที่ 16 April มาเป็น 20 Feb ซึ่งหมายความว่าแผนงานที่พี่นักเขียนวางไว้ว่าจะวาดภาพด้วยสีน้ำมันผสม Acrylic หลายภาพเป็นอันต้องเปลี่ยนแปลงไปหมด เพราะนอกจากจะใช้เวลาในการวาดแล้ว ยังต้องใช้เวลาเป็นเดือนกว่าสีจะแห้งก่อนที่จะสามารถพ่นทับด้วย spray เคลือบได้

    เมื่อได้รับแจ้งก็ค่อนข้างวิตกเพราะเวลาที่ร่นเข้ามาสองเดือนทำให้รู้ตัวว่า งานที่ทำค้างไว้เป็นอันว่าไม่มีเวลาพอที่จะทำให้เสร็จได้ และได้รับแจ้งว่ารถ truck จะมารับภาพวาดก่อนวันงาน โดยจะมีเจ้าหน้าที่มาช่วยห่อและยก painting ใส่รถไปจัดที่ Country Club ที่จะแสดงงาน และเขาจะนำ easel หรือขาตั้งที่จิตกรใช้วาดภาพอันใหญ่ยักษ์ไปให้ใช้ในวันงาน เพราะเขากำหนดให้พี่นักเขียนนำภาพวาดไปแสดงและอธิบายถึงวิธีการและขั้นตอนที่ทำด้วย จึงไม่ใช่การนำภาพไปติดตามผนังแล้วก็ไปยืนยิ้มค่ะ แต่กลายเป็นว่าไป lecture ประมาณหนึ่งชั่วโมง และร่วมรับประทานอาหารกับแขกเหรื่อที่ไปชม แต่เมื่องานที่ว่าไม่เสร็จ ก็แทบจะไม่มีอะไรจะใส่รถ truck เลยเพราะผลงานอื่นๆที่มีอยู่แล้วเป็นภาพวาดขนาดเล็กๆเท่านั้น

    ในที่สุดพี่นักเขียนก็ตั้งสติวางแผนใหม่หมดคือ วาดภาพใหม่หมดด้วยสีดินสอหรือ Prisma ซึ่งไม่ต้องใช้เวลาคอยให้สีแห้ง ทำได้ง่ายและเร็ว แม้ผลงานจะดูเสมือนลำลองเพราะเป็น medium ที่เด็กๆใช้ได้-ผู้ใหญ่ใช้ดี ไม่เหมือนสีน้ำมันที่เฉพาะ professional เท่านั้นที่ใช้ แต่คิดว่าเป็น medium ที่ทำให้ราคาของงานถูกลงไปด้วย ซึ่งหมายความว่าน่าจะมีผลดีคือ ทำให้ซื้อง่าย-ขายคล่องเพราะมีต้นทุนไม่แพง แต่ภาพที่วาดก็น่าจะเป็นอะไรที่ผู้ชมเห็นแล้วอยากจะซื้อ พี่นักเขียนจึงตัดสินใจวาดภาพเหมือนของคณะกรรมการและสมาชิกที่จะเข้าชม ตามที่เล่าให้พวกเราฟังว่า เป็น idea ที่ค่อนข้างเสี่ยงเพราะหากเจ้าตัวเห็นภาพวาดตนเองแล้วเห็นว่าไม่เหมือนตัวเขา เขาก็ไม่ซื้อแน่นอน เพราะไม่รู้ว่าได้รูปใครไป แต่ผลดีที่พี่นักเขียนจะได้คือได้รู้ตัวว่าเราต้องปรับปรุงต่อไปให้วาดได้ดีกว่านั้น แต่ก็จินตนาการไว้ว่าพวกเขาจะชอบและพอใจ โดยตั้งใจทำอย่างดีที่สุดค่ะ
    [​IMG]
    ภาพวาดเหล่านี้ ของจริงนำไป matted ด้วยกรอบกระดาษแข็งสวยงามสองชั้นเรียบร้อยค่ะ ภาพเหล่านี้พี่นักเขียน scan ไว้ก่อนนำไป matted หากพวกเราลองนำภาพวาดของตนเองไป matted ดูบ้างจะดูมีราคาขึ้นมากเลยค่่ะ

    ระหว่างที่ทำงานใหม่หมด คอยบอกกับตนเองว่า เราเป็นศิลปินมือใหม่ ฉะนั้นไม่ต้องเอาผลงานของเราไปเปรียบกับศิลปินมีชื่อที่จะ present คู่กับเรา แต่จดจ่อกับสิ่งที่ตนทำด้วยใจรัก พี่นักเเขียนเปิดเพลงเพราะๆฟังไปตลอดเวลาที่วาดภาพและพยายามถ่ายทอดอารมณ์ที่เต็มไปด้วยความสุขใส่ในภาพวาด ด้วยเชื่อว่าผู้ที่ชมภาพจะได้รับถ่ายทอดความไพเราะและความสุขเมื่อเขามองดูภาพวาดเหล่านั้น

    ผลลัพธ์ปรากฏว่าเป็นไปตามความหวังในแง่บวกค่ะ ตอนแรกเอาภาพเหมือนเหล่านั้นไปซ่อนคือใส่ไว้ใน portfolio ไม่ได้นำไป display รวมกันผลงานอื่นๆ แต่ปรากฏว่ามีผู้ชมท่านหนึ่งไปเปิดดูแล้วอดไม่ได้ที่จะยกทั้ง portfolio เดินไปตามโต๊ะเพื่อนำไปให้เจ้าของภาพดู ได้ยินเสียงคนร้องที่โต๊ะอาหารทางโน้นบ้าง-ทางนี้บ้าง ที่ภาพวาดเหล่านั้นไปถึงมือพวกเขาว่า "Oh my God! That's me!" เลยได้เสียงฮาตั้งแต่ก่อนเริ่มพูดหลายยกค่ะ

    พี่นักเขียนได้เล่าที่มาของภาพวาดภาพแรกสุดด้วยกาแฟ espresso ที่มาของหนังสือชุดของท่านอาจารย์อนาลัย ที่มาของ Album เพลงมนตราอนาลัย ซึ่งล้วนมาจากความฝัน ปรากฎว่าพอเปิดเพลง ห้องจัดเลี้ยงทั้งห้องเงียบกริบลงอย่างฉับพลัน พี่นักเขียนกะว่าจะเปิดเพลงเพียงท่อนสั้นๆแล้วพูดต่อ ปรากฏว่ามีผู้ชมโบกไม้โบกมือห้ามไม่ให้พี่นักเขียนหรี่หรือปิดเครื่องเสียงและขอฟังเพลงจนจบ ผู้ชมหลายท่านเข้ามาบอกว่า ฟังเพลงแรกคือ Resemble The Moon (เหมือนเดือน) แล้วรู้สึกปลาบปลื้บจนน้ำตาไหล หลายท่านบอกว่าความฝันช่างเป็นโลกที่ลึกล้ำที่ทำให้เราสามารถนำสิ่งต่างๆมาสร้างสรรค์ได้อย่างเหนือชั้นอย่างที่เห็นปรากฏในผลงานของพี่นักเขียน

    หลังจากนั้นก็มีผู้ชมเข้ามาสอบถามอีกมากมายเกี่ยวกับการฝึกฝัน การนำความฝันมาทำให้เป็นจริง มี Professor ที่สอน Music จากมหาวิทยาลัย Kansas เข้ามาทักว่าพี่นักเขียนแต่งและบรรเลงเพลง style เดียวกับ Danny Wright ซึ่งพี่นักเขียนไม่เคยรู้จักหรอกค่ะ แต่ก็ถือว่าเป็นคำชมเพราะท่านบอกว่า Wright เป็นมืออาชีพที่มีผลงานมากมายและโด่งดังในวงการ และท่านก็แนะนำให้พี่นักเขียนนำผลงานไปขายทาง website อย่าง Danny Wright บ้าง โดยบอกว่าท่านเชื่อว่าต้องจะขายดี

    ท้ายงานปรากฏว่า ภาพวาดฉุกเฉินที่วาดด้วยดินสอสีขายได้หมดทุกภาพที่เจ้าของภาพมางานในวันนั้น ภาพที่ยังขายไม่ได้คือภาพที่เจ้าของป่วยและไม่ได้มาค่ะ ซึ่งใครๆบอกว่าเหมือนเจ้าตัวและเชื่อว่าเธอจะต้องร้องว่า "Oh my God! That's me" อีกคน งานนี้เป็นประสบการณ์อีกครั้งที่พี่นักเขียนต้องนำสมาธิหรือสติมาใช้ และนำความคิดในแง่บวกมาใช้เพื่อสร้างสรรค์ประสบการณ์ในแง่บวก โดยบอกกับตนเองก่อนวันงานว่า เราจะวาดภาพที่ง่ายๆ ไม่แพง สัมผัสคนดู แม้มันจะเล็กจิบจ้อย แต่มันก็จะมีค่าพอ และก็จะขายได้หมดเพราะผู้ชมจะพอใจ เรียกได้ว่าใช้สมาธิควบคุมความวิตกวิจารณ์ในแง่ลบไม่ให้เกิดขึ้น และใช้จินตนาการในแง่บวกคิดล่วงหน้าไปว่าจะเผชิญกับประสบการณ์ที่ดีค่ะ และก็ได้ผลตามนั้น

    ผู้ชมหลายท่านที่พี่นักเขียนไม่ได้วาดภาพเหมือนของเขา นัดให้ไปถ่ายภาพและวาดภาพลูกหลานของเขา ซึ่งเป็นความคาดหวังในแง่บวกที่พี่นักเขียนจินตนาการไว้ว่าอยากจะให้เป็นไปเช่นนั้น พี่นักเขียนกลับมาบ้านด้วยความสุขสมหวัง และคิดถึงพวกเราหลายคนที่เริ่มสนุกกับการวาดภาพและวาดได้ดีมากๆ อดคิดไม่ได้ว่าหากพวกเราอยู่ที่นี่ พี่นักเขียนคงจะชวนพวกเรานำภาพวาดของเราไปจัด Art Show กันบ้าง คงจะได้กลับบ้านกระเป๋าตุงกันเป็นแถวเลยค่ะ คุณสุภาพสตรีหลายท่านที่ไม่ได้ซื้อภาพเหมือนของตนเอง ก็ยังอุดหนุนซื้อภาพวาดด้วยกาแฟ

    ในขณะที่ Lecture มีคนดูถามคำถามมากมายว่า เขาไม่เคยวาดภาพมาก่อนเลยในชีวิต จะทำอย่างไรจึงวาดได้อย่างพี่นักเขียน ซึ่งใช้เวลาสอนตนเองวาดภาพได้ในระยะเวลาอันสั้น พี่นักเขียนยืนยันกับพวกเขาว่า เราทุกคนวาดภาพได้หากเราเรียนรู้ที่จะมองเห็น เช่นเดียวกับที่พี่นักเขียนถ่ายทอดเคล็ดในการมองให้พวกเรา แล้วพวกเราก็วาดภาพได้สวยงามกันทุกคน พี่นักเขียนบอกให้พวกเขาลองแวะมาดู website ของพวกเราด้วยค่ะ หลายคนอยากเห็นภาพวาดของพวกเรามากๆ เพราะอยากทราบว่าการวาดภาพด้วยสมองซีกขวานั้นได้ผลจริงหรือไม่ อย่างไร

    เมื่องานจบลงและถึงเวลาเก็บของกลับบ้าน พี่นักเขียนเข้าไปลาศิลปินสูงอายุที่มา present งานเดียวกันนั้น เธอบอกกับพี่นักเขียนว่า เธอขายผลงานของเธอไม่ได้เลยแม้แต่ชิ้นเดียว ผลงานของเธอเป็นภาพสีน้ำมันรูปดอกไม้และทิวทัศน์สวยงามมากมาย เธอกล่าวว่า "I knew I won't sell a piece today, just because." พี่นักเขียนแอบคิดในใจถึงคำกล่าวของท่านอาจารย์อนาลัยที่ว่า

    เธอทั้งหลายสร้างโลกแห่งความเป็นจริงด้วยความเชื่อของตนเอง

    หากใครเข้าไปในงานวันนั้น พี่นักเขียนเชื่อว่าจะมองเห็นผลงานของเธอโดดเด่นมาก แต่ทุกสิ่งทุกอย่างก็ไม่ได้เป็นไปเพียงแค่ตาเห็น ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นไปด้วยอารมณ์-จินตนาการและความรู้สึกนึกคิด ซึ่งสัมฤทธิ์ผลเป็นความเป็นจริงตามจินตนาการของเรา ไม่ว่าเราจะจินตนาการสิ่งใด หากเราจดจ่อและเชื่อมั่นในจินตนาการนั้น มันย่อมมาสู่ความเป็นจริงได้เสมอ

    สมาธิหรือสติ เป็นปัจจัยหลักที่ทำให้เราสามารถควบคุมอารมณ์-จินตนาการและความรู้สึกนึกคิด ให้เป็นไปในทิศทางที่เราปรารถนาได้ แทนที่จะเป็นไปในทิศทางที่เราไม่ปรารถนา หวาดกลัว หรืิอลังเลสงสัยไม่แน่ใจ พี่นักเขียนเชื่อว่าสมาธิหรือสติ เป็นปัจจัยหลักที่ทำให้จินตนาการของเราบรรลุผลได้ดั่งฝัน ดังนั้นอย่าลืมทำสมาธิอย่างสม่ำเสมอนะคะ เราจะได้มีสติสะสมไว้ เพื่อนำมาใช้ในยามคับขันได้เสมอ(rose)
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • Audiences.JPG
      Audiences.JPG
      ขนาดไฟล์:
      224.5 KB
      เปิดดู:
      66
    • ArtShow_1.JPG
      ArtShow_1.JPG
      ขนาดไฟล์:
      221.7 KB
      เปิดดู:
      55
    • Display_1.JPG
      Display_1.JPG
      ขนาดไฟล์:
      196.3 KB
      เปิดดู:
      57
    • 9Exec_4Web.jpg
      9Exec_4Web.jpg
      ขนาดไฟล์:
      47.4 KB
      เปิดดู:
      675
    • 9ExecPhoto.jpg
      9ExecPhoto.jpg
      ขนาดไฟล์:
      456 KB
      เปิดดู:
      57
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 กุมภาพันธ์ 2008
  4. ฐาณัฏฐ์

    ฐาณัฏฐ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2008
    โพสต์:
    6,197
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,075
    [​IMG]
    ขอบคุณครับ
     
  5. VeggieGuy

    VeggieGuy เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    3,945
    ค่าพลัง:
    +4,262
    Hu Re!

    เย้!!!
    ในที่สุดพี่นักเขียนก็เสร็จภารกิจอันยิ่งใหญ่แล้ว
    ขอแสดงความยินดีในความสำเร็จในครั้งนี้ครับ
    ผมเชื่อก่อนหน้านี้เช่นกันว่าผลลัพธ์ต้องออกมาดีแน่นอน
    แต่อยากให้ศิลปินอีกท่านหนึ่งประสพความสำเร็จเหมือนพี่นักเขียนด้วยจัง

    น่าเสียดายที่พวกเราชาวบอร์ดไม่ได้อยู่แถวนั้น
    ไม่เช่นนั้นอาจได้รับงานมาทำเพียบแน่ๆ เลย
    รับงานทางออนไลน์ไหวมั้ยครับ 555

    วันนี้ตัดสินใจตอบตกลงจองซื้อบ้านกับเจ้าของโครงการแล้วทั้งๆ ที่ยังไม่มีเงินสักบาท ด้วยความเชื่อทำนองนี้แหละครับ

    "เธอทั้งหลายสร้างโลกแห่งความเป็นจริงด้วยความเชื่อของตนเอง"

    ผมเชื่อว่าผมสามารถมีบ้านเป็นของตนเองได้ และสามารถผ่อนไปได้ตลอดรอดฝั่ง

    ปล. ระหว่างพี่นักเขียนไม่อยู่ก็แอบวาดรูปเหมือนอีกรูปหนึ่งเหมือนกัน
    แต่ไม่อยากโชว์ตอนนี้เดี๋ยวจะเป็นการข่มกัน เหอๆๆ
     
  6. khajornwan

    khajornwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    901
    ค่าพลัง:
    +4,468
    ขอร่วมแสดงความยินดีกับความสำเร็จในครั้งนี้ของพี่นักเขียนด้วยค่ะ..
    พี่นักเขียนนับเป็นแบบอย่างที่ดีของน้อง ๆ ในห้องวิทย์ฯ นี้จริง ๆ
    เพื่อเป็นบทพิสูจน์ทฤษฏีของท่านอาจารย์อนาลัยที่ว่า

    เธอทั้งหลายสร้างโลกแห่งความเป็นจริงด้วยความเชื่อของตนเอง

    ทำให้เราสามารถมีได้ เป็นได้ ดังใจปรารถนา
    ขอบคุณพี่นักเขียนมาก ๆ เลยค่ะ ที่มอบความรู้มากมายให้กับพวกเรา
    จะพยายามสะสมสมาธิและสติไว้ควบคุมอารมณ์ - จินตนาการและความรู้สึกนึกคิด
    ให้เป็นไปตามทิศทางที่เราปรารถนาต่อไป สิ่งที่ยังไม่เข้าใจก็เข้าใจขึ้นแล้วค่ะ..
    (good)
     
  7. easymz3

    easymz3 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    20
    ค่าพลัง:
    +180
    การทำอะไรก็ตามหากเราเริ่มต้นทำด้วยความรัก และความปรถนาดีโดยไม่มีสิ่งใดซ้อนเร้นแล้ว
    ทุกๆอย่างที่ทำจะประสบความสำเร็จ ด้วยหัวใจที่งดงาม เสมอ ความสำเร็จทางกายภาพคือผลพลอยได้ที่จะได้รับ แต่มันก็ไม่มีความหมายมากมายอะไรเท่ากับ
    จิตวิญญาณที่งดงามของเรา
     
  8. easymz3

    easymz3 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    20
    ค่าพลัง:
    +180
    อ่านหนังสือของ ไบรอัน แอล. ไวล์ จบแล้วครับ บทสรุปของตัวเองจากการอ่านบอกเราว่า
    จิตวิญญาณของเราทุกๆคนเป็นอมตะ ทุกๆจิตวิญญาณค้นหาแสวงหาการเรียนรู้ด้วยตนเอง
    และเลือกที่จะมาอยู่ในภพภูมินี้ด้วยเหตุผลที่การพัฒนาของโลกเรานั้นยังเสมือนเป็นระบบปิด
    ที่ยังไม่สามมารรถติดต่อกับภพภูมิอื่นๆได้ดีนัก จึงเหมาะกับการเรียนรู้ด้วยตนเองอย่างยิ่ง
    ส่วนการเวียนว่ายในการเกิดซ้ำแล้วซ้ำเล่าก็เพื่อเป็นการทดลองที่จะเลือกหนทางที่เหมาะสม
    กับสถานะการณ์ต่างๆ อาจเป็นบททดสอบของจิตวิญญาณที่ยาวนานแต่ก็เพื่อความหยั่งรู้ ความรู้
    และเพื่อเป็นอมตะของจิตวิญญาณ นั่นคือคำตอบของสิ่งที่ผมเคยถาม และมันก็อธิบายในสิ่งที่เรา
    ค้นหาว่า การเรียนรู้สิ่งหนึ่งสิ่งใดนั้นเราต้องเรียนรู้ด้วยสัมพัสของจิตวิญญาณ ความรู้สึก อารมณ์
    ซึ่งยากกว่าการเรียนรู้ทางคณิตศาสตร์ หรือตรรกศาสตร์ ทุกๆสถานะการณ์ที่กำลังดำเนินอยู่ในปัจจุบัน
    เราเป็นผู้เลือกทั้งหมด เลือกที่จะเผชิญกับปัญหาเพื่อที่จะแก้ไขปัญหานั้นๆด้วยตัวเราเองซึ่งหนทาง
    ก็มีอยู่มากมาย และมันก็คงจะอธิบายได้ว่า อดีต ปัจจุบัน และ อนาคต กำลังดำเนินอยู่ควบคู่กันไป
    ณ. จุดๆหนึ่ง เป็นจุดตัดแห่งทางเลือกของเรา และหากเราเข้าใจ โลกทางกายภาพของเรา เราก็จะตระหนักว่า มันไม่สำคัญไดๆกับเราเลย การเรียนรู้ ประสบการณ์ที่ได้ จิตวิญญาณที่เปี่ยมล้น
    ไปด้วยความสุขในการเรียนรู้ นั้นคือสิ่งที่สำคัญกว่า จงเรียนรู้ต่อไปว่าความรักที่บริสุทธินั้นคืออะไร
    เพราะมันจะนำทางเราไปสู่สิ่งที่สวยงามยิ่งกว่าที่เราเคยประสบมาทั้งหมด
    ทั้งหมดนี้เป็นเพียงความรู้สึกส่วนตัวและเป็นเสียงที่คอยพร่ำบอกเราเสมอเสียงที่มาจากหัวใจและทุกคน
    มีและสามารถที่จะได้ยินเสมอถ้าหากเราตั้งใจฟัง เราทุกคนมีผู้นำทางและมีผู้ส่งสารให้กับเราเสมอ
    มันอยู่ที่ว่าเราจะรับฟังหรือไม่ เปิดใจให้กว้างทำจิตใจให้สงบแล้วเราจะได้ยินเสียงเหล่านั้น
    คิดถึงพี่นักเขียน เพื่อนๆ พี่ๆ น้อง ทุกคน ครับ
    ประสบการณ์และการเีรียนรู้จากทุกๆคนที่นี้มีประโยชน์อย่างยิ่งครับ มันคงไม่เป็นการบังเอิญที่ผมได้
    มารู้จักทุกๆท่านที่นี่ มันคงไม่บังเอิญที่ผมต้องประสบกับปัญหามากมาย และเลือกหนทางของความสงบจึงได้มาพบที่นี่ ที่แห่งการเรียนรู้ .... อ่านแล้วจะงงๆหน่อยนะครับ
    เพราะไม่ได้เรียบเรียง ขอให้ทุกคนมีความสุขกับการใช้ชีวิตครับ
     
  9. easymz3

    easymz3 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    20
    ค่าพลัง:
    +180
    จงจำไว้ เสียงนั้นแปล่งวาจา เจ้ามีผู้คุ้มครองเสมอ..เจ้าไม่ได้โดดเดี่ยว เจ้าคือแสงสว่าง คือปัญญา คือความรัก และเจ้าไม่มีวันถูกลืม และเจ้าไม่มี
    วันถูกมองข้าม เจ้าไม่มีวันถูกละเลยไม่ใส่ใจ เจ้าคือดวงวิญญาณ ที่เจ้าต้องกระทำ คือตื่นมาหาความทรงจำอีกครั้งเพื่อจะจำได้ ดวงวิญญาณไม่
    มีขีดจำกัด ไม่จำกัดด้วยรูป สังขาร ด้วยการครอบงำทางความคิดและสติปัญญา เมื่อพลังงานสั่นสะเทือน ของดวงวิญญาณช้าลง สิ่งแวดล้อม
    ตัวเจ้าที่เข้มข้นกว่าเช่น ระนาบมิติทั้งสาม เจ้าจึงสัมผัสได้ ผลคือ ดวงวิญญาณจะโปร่งใสดังแก้วแล้วแปลงเป็นรูปที่เข้มข้นขึ้น เข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ
    ระดับความเข้มสูงที่สุดคือรูปสังขาร แต่ระดับความสั่นสะเทือนจะต่ำที่สุด เวลาจะเดินเร็วกว่าเมื่ออยู่ในสภาพนี้ เนื่องจากมันมีส่วนสำพันธ์เป็น
    ด้านตรงข้ามกับระดับการสั่นสะเทือน ยิ่งระความสั่นสูงเท่าไหร่ เวลาจะยิ่งช้าลง ดังนั้นการเลือกร่างที่เหมาะสม กาละอันเหมาะสมเพื่อจะกลับ
    เข้าสู่รูปสังขารอีกครั้งจึงเป็นเรื่องยาก เพราะความไม่เสมอกันของเวลา เจ้าจึงอาจพลาดโอกาสได้... ระดับความรับรู้มีหลายระดับ การสั่น
    สะเทือนมีหลายสถานะ เจ้าไม่จำเป็นต้องรู้หมดทุกระดับก็ได้ ไม่สำคัญ
    ระดับแรกสุดของ เจ็ดระดับที่สำคัญกับเจ้าที่สุด เจ้าควรสัมผัสระนาบแรกก่อน ดีกว่าจะไปค้นคว้าหาข้ออธิบายถึงระนาบที่สูงขึ้นไป เพราะใน
    ที่สุดเจ้าก็จะรับรู้ครบถ้วนทุกระดับ อยู่ดีนั่นเอง การกิจของเจ้าคือการสอนประสบการณ์นี้ จงหาว่าอะไรคือความเชื่อ อะไรคือศรัทธาและเปลี่ยน
    ให้เป็นประสบการณ์เพื่อการเรียนรู้จะได้สำเร็จ เพราะประสบการณ์อยู่เหนือความเชื่อ จงสอนให้พวกเขามีประสบการณ์ ปัดเป่าความกลัวของ
    พวกเขาเสีย จงสอนให้พวกเขารู้จักรักและช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ผู้อื่น หากแต่เจ้าต้องอาศัยแรงใจจากผู้อื่นด้วย แต่การยื่นมือออกไปด้วยรัก ด้วย
    ควมมเมตตา เพื่อจะช่วยผู้อื่นสิ่งนี้แหละที่เจ้าต้องกระทำในระนาบแรกของเจ้า
    พวกมนุษย์มักหลงคิดว่าตนเอง เป็นเพียงสิ่งมีชีวิตเดียวในโลก จริงๆแล้วไม่ใช่ ยังมีโลกอื่นอีกมากมาย ในอีกหลายมิตินัก ยังมีดวงวิญญาณ
    จำนวนมากมายหลายกว่าสิ่งมีชีวิตในโลกในรูปสังขารรวมกันเสียอีก แม้ดวงวิญญาณจะแยกร่างได้ดังใจปรารถนาและอาจได้รับประสบการณ์
    มากกว่าหนึ่งได้ในเวลาเดียวกัน สิ่งนี้ทำได้หากแต่ต้องพัฒนาไปถึงระดับหนึ่ง ซึ่งมนุษย์ส่วนมากไปไม่ถึง ท้ายสุดพวกเขาจะเห็นมันเหมือกับ
    ปิรามิด มีเพียงดวงวิญญาณหนึ่งเดียว และประสบการณ์ทุกอย่างเกิดขึ้นได้พร้อมกัน แต่ยังไม่จำเป็นต้องรู้ตอนนี้
    เมื่อเจ้าจ้องดวงตาผู้อื่นผู้ใดก็ตาม แล้วเห็นดวงวิญญาณของเจ้าเองจ้องกลับมา เจ้าจะรู้ว่าตนได้ไปถึงอีกระดับของความรับรู้แล้วในข้อนี้การ
    กลับชาติมาเกิดไม่มีอีกต่อไป เพราะทุกชีวิตทุกประสบการณ์ เกิดขึ้นพร้อมกันหมด แต่ในโลก สามมิติการกลับชาติมาเกิดมีจริงเท่ากับโลกนี้มี
    เวลา มีภูเขา มีมหาสมุทร มันคือพลังงานที่เหมือนกับพลังงานอื่นๆ และความเป็นจริงของมันก็ขึ้นอยู่กับพลังงานของคนที่รับรู้ หากผู้ที่รับรู้เข้า
    ในเรื่องสังขาร และวัตถุหนาแน่น การกลับชาติมาเกิดจะมีจริงสำหรับผู้นั้น พลังงานต้องกอปรขึ้นด้วยแสงสว่าง ความรัก และความรู้ ประโยชน์
    ของความรู้นี้ในวิถีแห่งความรักคือปัญญาในระนาบที่เจ้าอยู่ ปัญญาช่างหายากยิ่งในเวลานี้
    จาก Only love is Real 73-74
     
  10. nova_analai

    nova_analai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    809
    ค่าพลัง:
    +7,489
    การสะกดจิต

    ท่านอาจารย์อนาลัยได้กล่าวถึงการสะกดจิตไว้ในหนังสือ โนวา อนาลัย ขยายความธรรมชาติของชาติภพ บทที่ 2 แสวงหาผู้รู้-ผู้ตอบคำถาม หน้า 8 ว่า

    การสะกดจิตเป็นวิธีการบริหารจิตเพื่อเปลี่ยนความเชื่อวิธีหนึ่ง ประสบการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นผลสืบเนื่องมาจากความคาดหวังของผู้ถูกสะกด หากเธอคาดหวังว่าการสะกดจิตไม่สามารถเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมหรือความรู้สึกนึกคิดของเธอได้ การสะกดจิตนั้นก็จะไม่ได้ผล
    [​IMG]
    ในนัยนี้พี่นักเขียนเข้าใจว่า การสะกดจิตจะได้ผลหรือไม่ขึ้นอยู่กับความเชื่อของผู้สะกดและผู้ถูกสะกด คือทั้งสองฝ่ายจะต้องมีความเชื่อที่คล้องจองกันว่า ผู้สะกดมีพลังอำนาจที่จะควบคุมผู้ถูกสะกด หากผู้สะกดไม่เชื่อว่าตนเองจะควบคุมภาวะจิตของผู้ถูกสะกดได้ หรือผู้ถูกสะกดไม่เชื่อว่านักสะกดจิตจะสามารถครอบงำความรู้สึกนึกคิดของตนได้ การสะกดจิตนั้นๆก็จะไม่ได้ผล

    ในกรณีที่ผู้ถูกสะกดปลดของมีค่าให้โจรที่สะกดจิตเขา พี่นักเขียนเชื่อว่าการสะกดจิตนั้นๆได้ผลเพราะผู้ถูกสะกดมีความกลัว เมื่อบุคคลที่มีความกลัวการถูกครอบงำพบว่าตนเองถูกจดจ้องด้วยสายตาของผู้สะกด เขามักจะรู้สึกว่าบุคคลผู้นั้นมีพลังมากกว่าตนเอง ความกลัวทำให้บุคคลผู้นั้นรู้สึกว่าตนเองกำลังตกเป็นเหยื่อของบุคคลที่มีพลังอำนาจเหนือตน ทำให้ยอมจำนนต่อการครอบงำของผู้อื่นโดยปริยาย ทั้งที่การครอบงำนั้นๆไม่ได้มาจากพลังอำนาจภายนอกหรือพลังอำนาจของผู้สะกดจิต แต่เป็นพลังอำนาจจากภายในหรือพลังอำนาจของความกลัวของตนเอง กล่าวอีกนัยหนึ่งได้ว่า ผู้ถูกสะกดจิตถูกพลังอำนาจจิตของตนเองหรือพลังความกลัวของตนเอง ครอบงำตนเอง ตกเป็นเหยื่อความกลัวของตนเอง

    หากเราเข้าใจในธรรมชาติความเป็นจริงที่ท่านอาจารย์อนาลัยกล่าวไว้ว่า เราทั้งหลายสร้างโลกแห่งความเป็นจริงด้วยความเชื่อของตนเอง เราจะตระหนักได้ว่า ความกลัวพลังอำนาจจากภายนอก เป็นความเชื่ีอที่ทำให้พลังอำนาจจากภายนอกนั้นเสมือนมีพลังที่จะครอบงำเราได้จริง ความเป็นจริงนี้-เป็นจริงในทุกสาระ เพราะความกลัวของเราจะดึงดูดสิ่งที่เรากลัวนั้นให้ปรากฏในประสบการณ์ชีวิตของเราเสมอตามกฏแห่งการดึงดูดของจักรวาล เช่น บุคคลที่กลัวโรคภัยไข้เจ็บมักเจ็บป่วยเสมอๆ บุคคลที่กลัวความจนมักประสพปัญหาเรื่องการเงินเสมอๆ บุคคลที่กลัวโจรมักถูกปล้นถูกจี้ บุคคลที่กลัวการสะกดจิตมักเผชิญกับการถูกครอบงำดังกล่าว

    ท่านอาจารย์อนาลัยได้กล่าวไว้ว่า เราจะต้องเรียนรู้ที่จะจดจ่อกับสิ่งที่พึงปรารถนาแทนที่จะจดจ่อกับสิ่งที่ไม่พึงปรารถนา หากเรากลัวการสะกดจิตหรือการถูกครอบงำ และเราจดจ่อกับความกลัวนั้นเสมอๆ เราย่อมดึงดูดประสบการณ์ดังกล่าวมาสู่ประสบการณ์ชีวิตของตนเอง ดังนั้นทางแก้ไขคือเราต้องพยายามจดจ่อกับพลังอำนาจของตนเองที่ทำให้เราเป็นอิสระ สร้างความเชื่อมั่นในตนเองให้แข็งแกร่งขึ้น เพราะตามธรรมชาติแล้วเราทุกคนมีพลังอำนาจในตนเอง และพลังอำนาจสูงสุดในตัวเราคือความเชื่อในแง่บวก ซึ่งเป็นความเชื่อที่นำแต่ประสบการณ์ชีวิตที่พึงปรารถนามาสู่ตนเอง

    เราทั้งหลายแทบจะไม่อยากเชื่อว่า ความเชื่อและการจดจ่อของเรานั้นมีพลังอำนาจที่จะเหนี่ยวนำทุกสิ่งทุกอย่างมาสู่ประสบการณ์ชีวิตของตนเองได้ เพราะหากเราเชื่อเช่นนั้น มันหมายถึงการยอมรับว่า เราคือผู้ที่ใชัพลังอำนาจเหนี่ยวนำสิ่งที่ไม่พึงปรารถนานั้นๆมาสู่ตนเองเสมอ เราจะโทษใครไม่ได้นอกจากตนเอง แต่คนจำนวนมากเลือกที่จะเชื่อว่าตนตกเป็นเหยื่อของสิ่งที่ไม่พึงปรารถนาเหล่านั้น เพราะมันเป็นการง่ายกว่ามากที่จะกล่าวโทษปัจจัยภายนอก กล่าวโทษผู้อื่น กล่าวโทษโชคชะตา หรือโทษพลังอำนาจอื่นๆที่เราไร้ความสามารถที่จะควบคุม

    หากเราเลือกที่จะเชื่อเช่นนั้น เราก็น่าจะตั้งคำถามต่อไปอีกนิดว่า การเชื่อว่าตนเองไร้พลังอำนาจ และเชื่อว่าตนเองตกเป็นเหยิื่อของปัจจัยภายนอกเหล่านั้น ทำให้เรามีทางออกหรือสามารถแก้ปัญหาใดๆได้บ้าง? เราจะพบว่าความเชื่อดังกล่าวทำให้เราตกอยู่ในสถานะของผู้ที่ไร้ความสามารถทุกทิศทาง เราจะอยู่กับความเชื่อเช่นนั้นต่อไป ตกเป็นเหยื่อที่ไร้พลังอำนาจต่อไป หรือเลือกที่จะเปลี่ยนความเชื่อ และพลิกผันประสบการณ์ชีวิตให้เป็นไปในทิศทางที่พึงปรารถนา ทางเลือกทั้งหมดย่อมเป็นของเราเสมอ (rose)
     
  11. nova_analai

    nova_analai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    809
    ค่าพลัง:
    +7,489
    จิตวิญญาณประสานกันเป็นระบบเครือข่าย

    จิตวิญญาณประสานกันเป็นระบบเครือข่าย จิตวิญญาณติดต่อสื่อสารและถ่ายทอดข้อมูลความรู้ อารมณ์-จินตนาการและความรู้สึกนึกคิดแก่กันและกันตลอดวันเวลา กล่าวได้ว่าไม่มีบุคคลใดมีข้อมูลความรู้ อารมณ์-จินตนาการและความรู้สึกนึกคิดอันเป็นเอกเทศโดดเดี่ยว และไม่สัมพันธ์กับข้อมูลความรู้ อารมณ์-จินตนาการและความรู้สึกนึกคิดของบุคคลอื่นในโลก เพราะหากเป็นเช่นนั้นโลกมนุษย์ย่อมเป็นโลกที่ปราศจากสัมพันธภาพ ปราศจากความรักความเมตตา ปราศจากการช่วยเหลือเกิื้อกูลซึ่งกันและกัน เพราะมนุษย์จะปราศจากความเข้าใจกันและกันได้อย่างลึกซึ้ง และปราศจากความจำเป็นที่จะต้องพึ่งพาซึ่งกันและกัน

    จิตวิญญาณประสานกันเป็นระบบเครือข่ายและมีความเป็นหนึ่งเดียวกัน สิ่งที่เรานึกคิดว่า เราจะเติมเต็มด้วยการทำเอง ค้นหาด้วยตนเอง ล้วนเป็นไปไม่ได้โดยปราศจากการช่วยเหลือเกื้อกูลของผู้อื่น

    [​IMG]
    แม้ส่ิงที่เราเรียกว่า -ทำด้วยตนเอง -คิดด้วยตนเอง ก็ล้วนเป็นสิ่งที่เราได้รับแรงบันดาลใจมาจากผู้อื่น เรียนรู้จากผู้อื่น ได้รับการช่วยเหลือเกื้อกูลจากผู้อื่นไม่มากก็น้อย ไม่มีบุคคลใดดำเนินชีวิตและประสพความสำเร็จได้ด้วยการคิดคนเดียว ทำคนเดียวอย่างโดดเดี่ยว โดยไม่เคยเรียนรู้หรือได้รับแรงบันดาลใจจากผู้อื่น

    เราทั้งหลายล้วนเป็นจิตวิญญาณที่เป็นหนึ่งเดียว ซึ่งเติมเต็มช่องว่างแห่งประสบการณ์และคุณค่าชีวิตจากมุมมองอันเป็นเอกลักษณ์ของแต่ละคน เราร่วมกันเติมเต็มช่องว่างแห่งประสบการณ์ของจิตวิญญาณรวม จากมุมมองอันเป็นเอกลักษณ์ของเรา ด้วยการสนับสนุนจากจิตวิญญาณย่อยๆทั้งหลาย

    เรามักได้ยินผู้ที่ประสพความสำเร็จในชีวิตอย่างสูง กล่าวขอบคุณบุคคลที่เกี่ยวข้องมากมาย ยิ่งความสำเร็จนั้นๆยิ่งใหญ่มากเพียงใด รายชื่อบุคคลที่เขากล่าวขอบคุณก็ยาวเป็นเงาตามตัว กล่าวได้ว่าเราทุกคนเรียนรู้จากจิตวิญญาณทั้งหลายตลอดชีิวิต ทั้งยามตื่นและยามฝัน ทุกสิ่งทุกอย่างที่เราได้มี ได้เป็น ได้ทำ ล้วนเป็นสิ่งที่เรารับถ่ายทอดข้อมูลความรู้ อารมณ์-จินตนาการและความรู้สึกนึกคิดมาจากจิตวิญญาณอื่นๆทั้งสิ้น ทั้งจากจิตวิญญาณที่เป็นร่างกายเนื้อหนัง และจากจิตวิญญาณที่ปราศจากร่างกายเนื้อหนัง

    ในทางตรงกันข้าม บุคคลที่ประสพความสำเร็จและกล่าวว่า ตนประสพความสำเร็จนั้นๆได้ด้วยตนเองตามลำพัง มักประสพกับความล้มเหลวอย่างรวดเร็วหลังจากนั้น เพราะเขามักเผชิญกับการถูกถอนการสนับสนุน การช่วยเหลือจากบุคคลอื่นๆที่มีส่วนในความสำเร็จนั้นๆแล้วถูกลืม เราเห็นตัวอย่างของบุคคลทีประสพความสำเร็จอย่างสูงและล้มเหลวอย่างรวดเร็วมาแล้วไม่มากก็น้อย หากเราพิจารณาที่มาของความล้มเหลวของพวกเขา เรามักจะพบเสมอๆว่า เขาไม่ให้เกียรติ ไม่ให้เครดิต และไม่ให้ความสำคัญกับใครอื่นนอกจากตนเอง บุคคลเหล่านั้นเชื่อว่าเขาประสพความสำเร็จได้ด้วยตนเองโดยลำพัง โดยไม่ต้องอาศัยการช่วยเหลือเกื้อกูลของผู้อื่นแม้แต่น้อยนิด เชื่อว่าดีได้ สำเร็จได้ด้วยตนเองตามลำพัง บุคคลเหล่านั้นมักลงเอยด้วยความล้มเหลว ว้าเหว่ โดดเดี่ยว

    ความเป็นไปดังกล่าวนี้ กล่าวได้ว่าเป็นไปเพราะการไม่ตระหนักในธรรมชาติที่แท้จริงของจิตวิญญาณว่า จิตวิญญาณประสานกันเป็นระบบเครือข่ายและมีความเป็นหนึ่งเดียว การทำตนแปลกแยกออกไปอย่างโดดเดี่ยว จึงทำให้จิตวิญญาณอันเป็นร่างกายเนื้อหนังขาดพลังอำนาจ ดังเช่นที่ท่านอาจารย์อนาลัยกล่าวไว้ว่า บุคคลดังกล่าวเปรียบเสมือนใบไม้ที่ไม่ต้องการการสนับสนุนจากราก ลำต้นและใบไม้อื่นๆ และเชื่อว่ามันเป็นใบไม้ที่เจริญงอกงามได้ด้วยตนเองตามลำพัง ในที่สุดมันก็ขาดพลังสนับสนุนที่จะเจริญงอกงามจากส่วนอื่นๆ และร่วงหล่นไปในทึ่สุด

    พี่นักเขียนเชื่อว่า ความรู้สึกที่ว่าหัวโตเท่าช้างแต่ตัวโตเท่าเดิม เป็นภาวะที่เรารับถ่ายทอดข้อมูลความรู้ อารมณ์-จินตนาการและความรู้สึกนึกคิดมาจากจิตวิญญาณอื่นๆ ซึ่งเกิดขึ้นตลอดวันเวลาทั้งยามตื่น ยามหลับ ยามฝัน หากเราสามารถระบุได้ว่าข้อมูลความรู้ อารมณ์-จินตนาการและความรู้สึกนึกคิดมาจากจิตวิญญาณที่ปรากฏในโลกเป็นร่างกายเนื้อหนังร่างใด แต่ละวันในชีวิตของเรา เราน่าจะเริ่มชีวิตวันใหม่ด้วยการกล่าวว่า ขอบคุณสำหรับข้อมูลความรู้ อารมณ์-จินตนาการและความรู้สึกนึกคิดที่ถ่ายทอดให้เราได้มีความรู้ความสามารถที่จะเผชิญกับโลกในวันนี้(rose)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 กุมภาพันธ์ 2008
  12. nova_analai

    nova_analai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    809
    ค่าพลัง:
    +7,489
    โลกแห่งความเป็นจริงทุกมิติ

    เราทั้งหลายเรียกโลกยามตื่นของเราว่า โลกแห่งความเป็นจริง
    โลกแห่งความเป็นจริงหลากมิติในความฝัน ไม่ได้แตกต่างไปจากโลกแห่งความเป็นจริงยามตื่นของเราเลยในนัยที่ว่า ทุกสิ่งทุกอย่างที่ปรากฎในประสบการณ์ของเราในโลกนัั้นๆ ล้วนเกิดจากความเชื่อของเราทั้งสิ้น

    สิ่งที่แตกต่างกันระหว่างโลกยามตื่น กับ โลกแห่งความเป็นจริงหลากมิติในความฝัน คือ โลกยามตื่นอยู่ภายใต้กฎเกณฑ์ของช่องว่าง-ระยะทางและกาลเวลา ส่วนโลกแห่งความเป็นจริงหลากมิติในความฝัน อยู่นอกเหนือกฎเกณฑ์ของช่องว่าง-ระยะทางและกาลเวลา ซึ่งเป็นภาวะที่เอื้ออำนายให้เราสามารถรู้เห็นสิ่งต่างๆตามความเป็นจริงได้มากขึ้นกว่าโลกยามตื่น

    การสัมผัสกับโลกแห่งความเป็นจริงหลากมิติ คือการสัมผัสกับภาวะจิตของตนเอง ซึ่งเป็นโลกแห่งความเป็นจริงที่เกิดจากความเชื่อของเรา แต่ความเชื่อในภาวะนี้สามารถเปลี่ยนเป็นความรู้ได้มากกว่าความเชื่อที่เป็นไปในโลกยามตื่น เพราะเครื่องพรางของช่องว่าง-ระยะทางและกาลเวลา พร้อมกับปัจจัยที่เราใช้รู้เห็นอันได้แก่ประสาทสัมผัสทั้งห้า ถูกระงับการใช้งานไปชั่วคราว

    โลกแห่งความเป็นจริงหลากมิติในความฝันเป็นโลกที่ปราศจากเครื่องพราง และเป็นโลกที่เรารู้เห็นโดยตรงด้วยจิตวิญญาณ คือด้วยอารมณ์-จินตนาการและความรู้สึกนึกคิด พร้อมด้วยข้อมูลความรู้และความทรงจำข้ามชาติภพ ดังนั้นเราจึงอยู่ในภาวะที่ความเชื่อเบาบาง มีอิทธิพลต่ำกว่ายามตื่น และพร้อมจะร่วงหล่นไปได้ง่ายกว่าภาวะในโลกยามตื่น เพราะโลกยามตื่นของเรามักถูกครอบงำด้วยกฎเกณฑ์อื่นๆอีกมากมายเช่น กฎเกณฑ์ของวัฒนธรรม สังคม ศาสนา และความเชื่ออื่นๆของส่วนรวม

    ความสำคัญของการเข้าไปสัมผัสโลกแห่งความเป็นจริงหลากมิติในความฝัน ซึ่งเป็นภาวะจิตของเราจึงไม่ได้อยู่ที่การพิสูจน์ว่า สิ่งที่เราเข้าไปสัมผัสนั้นเป็นความเป็นจริงหรือไม่ใช่ความเป็นจริง เพราะทุกสิ่งทุกอย่างที่เราสัมผัส ไม่ว่าในโลกใด มิติใด ล้วนเป็นความเป็นจริง จากมุมมอง จากความเชื่อของเรา ณ จุดนั้นๆทั้งสิ้น กล่าวอีกนัยหนึ่งได้ว่า ทุกสิ่งทุกอย่างที่เราสัมผัส ไม่ว่าในโลกใด มิติใดล้วนเกิดขึ้นจากความเป็นเชื่อของเราทั้งสิ้น จะเรียกว่ามันล้วนไม่ใช่ความเป็นจริง และเป็นเพียงความเชื่อก็ไม่ผิด เพราะเราทั้งหลายสร้างโลกแห่งความเป็นจริงจากความเชื่อของตนเอง

    แม้ทุกวันนี้เราจะแชร์โลกใบเดียวกัน แต่โลกสามมิติที่เรารู้จักก็แตกต่างกันไปโดยสิ้นเชิงจากมุมมองและความเชื่อของเราแต่ละคน เราอาจคิดว่า โลกของเราแตกต่างกันเพราะเราต่างก็ดำเนินวิถีชีวิตแตกต่างกัน มีสถานภาพและคุณสมบัติแตกต่างกัน แต่ส่ิงที่ทำให้เรารู้เห็นโลกแตกต่างกันโดยสิ้นเชิงนั้นไม่ใช่ปัจจัยอื่นใด นอกจากความเชื่อส่วนบุคคล แม้เราจะรู้เห็นบุคคลคนเดียวกัน แต่เราก็เห็นเขาแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง จากความเชื่อของเราที่เห็นบุคคลนั้นเป็นพ่อ เป็นลูก เป็นเพื่อน เป็นสามี เป็นคนแปลกหน้า เป็นเจ้านาย หรือเป็นลูกน้อง เราเห็นโลกใบเดียวกันในมุมมองต่างมุมเช่นเดียวกับที่เรารู้เห็นบุคคลคนเดียวกันนั้น
    [​IMG]
    ความสำคัญของการเข้าไปสัมผัสโลกแห่งความเป็นจริงหลากมิติในความฝัน ซึ่งเป็นภาวะจิตของเราจึงอยู่ที่ว่า เราจะต้องเรียนรู้ว่า โลกแห่งความเป็นจริงทุกโลก ไม่ว่าจะเป็นโลกแห่งความเป็นจริงสามมิติยามตื่น หรือโลกแห่งความเป็นจริงหลากมิติยามฝัน ล้วนเป็นโลกที่เกิดจากการสร้างสรรค์ของเรา-ตามความเชื่อของเรา ดังนั้นอำนาจในการสร้างสรรค์โลกอันสดใสงดงาม จึงอยู่ที่ความเชื่อในทิศทางที่งดงาม ความเชื่อในแง่บวก ความเชื่ออันสดใสสร้างสรรค์ของเรานั้นเอง

    ฉันท์ใดก็ฉันท์นั้น การรู้เห็นหรือรู้จักบุคคลผู้หนึ่งหรือรู้เห็นสิ่งต่างๆในโลก ล้วนเป็นไปตามความเชื่อของเรา หากเราตั้งอยู่บนความเชื่อในแง่บวก บุคคลนั้นๆ หรือสิ่งนั้นๆที่เรารู้เห็นย่อมเป็นไปในแง่บวกและให้คุณค่าในแง่บวกกับชีวิตของเรา หากเราตั้งอยู่บนความเชื่อในแง่ลบ บุคคลเดียวกันนั้นหรือสิ่งเดียวกันนั้นที่เรารู้เห็นกลับเป็นไปในแง่ลบต่อเรา

    พลังอำนาจในการสร้างโลกแห่งความเป็นจริงสามมิติ หรือโลกแห่งความเป็นจริงหลากมิติในทิศทางใดๆ จึงอยู่ที่ความเชื่อ ณ ขณะปัจจุบันนั้นๆของเราเสมอ(rose)
     
  13. nova_analai

    nova_analai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    809
    ค่าพลัง:
    +7,489
    รูปกาย สัญญลักษณ์อันเต็มเปี่ยมไปด้วยความหมาย

    รูปกายทางกายภาพในความฝัน เป็นสัญญลักษณ์ที่แสดงถึงบุคลิกภาพซึ่งเป็นสิ่งที่จะคงอยู่กับจิตวิญญาณตลอดไปไม่มีวันสูญสลาย การปรากฎของรูปกายในความฝันสื่อให้เราเข้าถึงบุคลิกภาพของจิตวิญญาณ ตัวอย่างเช่น หากรูปกายในความฝันปรากฎเป็นครู เป็นบุคคลที่มีความรู้สูง การปรากฏนั้นๆเป็นสัญญลักษณ์ที่ทำให้เราตระหนักได้ถึงคุณสมบัติอันเป็นแก่นแท้ของบุคลิกภาพส่วนนั้นของจิตวิญญาณ ณ ขณะปัจจุบันนั้นที่เกิดการสื่อสารขึ้นในสถานการณ์จำเพาะนั้นๆ

    เราทั้งหลายคุ้นเคยกับโลกสามมิติยามตื่น ที่เรารู้เห็นบุคคลตัวตนจากการมองเห็นรูปกาย มองเห็นบุคลิกภาพท่าทีของเขา มองเห็นว่าเขาเป็นใคร แล้วเราก็ตัดสินจากการรู้เห็นนั้นๆว่า เขาเป็นอะไร เช่น ตัดสินว่าเขาเป็นครูที่น่าเคารพนับถือ เขาเป็นแพทย์ที่น่าเชื่อถือ เป็นต้น

    เราทั้งหลายนำความคุ้นเคยจากโลกสามมิติยามตื่นไปแปลงข้อมูลที่เราได้รับจากโลกแห่งความเป็นจริงหลากมิติในความฝันเสมอๆ แม้ว่าในโลกแห่งความฝันเราอาจเผชิญกับจิตวิญญาณที่ปราศจากรูปกาย และมีแต่บุคลิกภาพที่เราสัมผัสได้ด้วยอารมณ์-จินตนาการและความรู้สึกนึกคิดหรือรับรู้ได้โดยตรงด้วยจิตวิญญาณ แต่เราก็ต้องแปลงข้อมูลเหล่านั้นเป็นข้อมูลทางกายภาพ คือแปลงเป็นรูปกายเพื่อที่เราจะสามารถนำข้อมูลความรู้เหล่านั้นกลับมายังโลกยามตื่นได้ หากปราศจากการแปลงสภาพข้อมูล เราแทบจะไม่สามารถถ่ายทอดข้อมูลความรู้จากความฝันเป็นคำพูดได้เลย

    รูปกายในความฝันจึงไม่ได้เป็นเพียงรูปกายสมมุติ หากแต่เป็นรูปกายที่เป็นสัญญลักษณ์ที่บรรจุความหมายมากมาย เรียกได้ว่าเป็นสัญญลักษณ์ที่มีข้อมูลความรู้ที่อัดแน่น การปรากฏของรูปกายหนึ่งรูปกายทดแทนข้อมูลความรู้-ทดแทนอารมณ์-จินตนาการและความรู้สึกนึกคิดมากมายมหาศาล

    ในสถานการณ์ที่พี่นักเขียนต้องการความช่วยเหลือ ต้องการคำแนะนำหรือการอบรมจากผู้รู้ ท่านอาจารย์อนาลัยหรือองค์ความรู้มักจะปรากฏพร้อมด้วยรูปกายที่เป็นผู้ทรงคุณวุฒิที่พี่นักเขียนรู้จักในชีวิตยามตื่น ซึ่งเป็นอาจารย์ใหญ่เจ้าของสถาบันการศึกษาแห่งหนึ่งในเมืองไทย ท่านเป็นสตรีที่มีเมตตา มีอารมณ์ขัน พี่นักเขียนรักและเคารพท่านเสมือนพี่และท่านก็ให้ความเอ็นดูและเมตตาพี่นักเขียนเสมือนน้องของท่าน

    บุคลิกภาพของจิตวิญญาณที่ปรากฎด้วยรูปกายทั้งหลายในความฝันจึงไม่ได้เป็นเพียงสิ่งสมมุติ หากแต่เป็นสัญญลักษณ์ที่สื่อความหมาย สื่อความสำคัญ และสื่อความสัมพันธ์ได้อย่างฉับพลันลุ่มลึก
    [​IMG]

    การรู้จักท่านอาจารย์อนาลัย หรือ การรู้จักภาวะของจิตวิญญาณที่ปราศจากร่างกายแต่เต็มไปด้วยความรู้ ทำให้พี่นักเขียนเรียนรู้ว่า รูปกายทั้งหลายที่ปรากฏในความฝัน เป็นสัญญลักษณ์ที่เป็นอารมณ์หนึ่งของจิตวิญญาณพร้อมด้วยบุคลิกภาพอันเต็มไปด้วยคุณค่า เต็มไปด้วยคุณสมบัติอันเป็นอมตะ

    บางครั้งท่านอาจารย์อนาลัยก็ปรากฏเป็นชายชราผู้เต็มไปด้วยความเมตตาอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ ความชราของท่านเป็นสัญญลักษณ์ที่ทำให้ตระหนักได้ถึงการมีชีวิตยืนยาวและการสะสมประสบการณ์มามากมายหลายชาติภพ และการมีมุมมองกว้างไกลจากประสบการณ์เหล่านั้น

    บางครั้งที่ท่านอาจารย์อนาลัยปรากฏเป็นสมเด็จโต พี่นักเขียนตระหนักว่าเป็นการปรากฏอีกอารมณ์หนึ่งของจิตวิญญาณที่คล้องจองกับความเชื่อของพี่นักเขียน และสะท้อนให้พี่นักเขียนเห็นถึงสัมพันธภาพและความเชื่อของตนเองในทิศทางต่างๆที่พี่นักเขียนเข้าไม่ถึงในยามตื่น

    ไม่ว่าท่านอาจารย์อนาลัยจะปรากฏด้วยรูปกายใดๆหรือปราศจากรูปกายตัวตน บทเรียนสำคัญที่สุดที่พี่นักเขียนได้รับจากรูปกายทั้งหลายในโลกแห่งความเป็นจริงหลากมิติในความฝันคือ รูปกายทั้งหลายคือภาพสะท้อนของอารมณ์-จินตนาการและความรู้สึกนึกคิด หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งได้ว่า รูปกายทั้งหลายคือภาพสะท้อนของจิตวิญญาณ ของบุคลิกภาพและคุณสมบัติอันเป็นอมตะ

    เรามักจะตำหนิหรือให้เครดิตตัวเองติดลบกันบ้างไม่มากก็น้อยเสมอๆ บ่อยครั้งเราเกรงว่าการแสดงออกในส่วนที่ดีเด่นของตนเองจะทำให้เราไม่เป็นที่รัก ท่านอาจารย์อนาลัยกล่าวไว้ว่า ความเข้าใจในทิศทางดังกล่าวมักสร้างความขัดแย้งในตนเองเสมอ เพราะโดยธรรมชาติแล้ว จิตวิญญาณของเราทุกคนมาถือกำเนิดเพื่อแสดงออกซึ่งความรู้ความสามารถและสร้างสรรค์ในทิศทางอันเป็นเอกลักษณ์ของเราอย่างดีที่สุด พร้อมด้วยความรักอันปราศจากเงื่อนไขที่เราควรจะมีให้ตนเอง

    หากเรารู้จักเทิดทูนและให้เครดิตความสามารถในตนเอง เราจะรู้จักเทิดทูนและให้เครดิตในความสามารถของผู้อื่นไม่น้อยไปกว่า เราจะรู้จักรักผู้อื่นอย่างปราศจากเงื่อนไขไม่น้อยไปกว่าที่เรารักตนเอง เพราะเราจะตระหนักได้ในคุณค่าของการสร้างสรรค์ทั้งปวง ไม่ว่าการสร้างสรรค์นั้นๆจะเป็นของเราหรือของผู้ใดก็ตาม

    คุณสมบัติอันเป็นอมตะของจิตวิญญาณ เป็นสิ่งที่เราพบเห็นและสัมผัสได้ในบุคคลทั้งหลายที่ผ่านเข้ามาในชีวิตของเรา รักของเราที่มีต่อบุคคลในโลกแต่ละคนแตกต่างกัน แม้แต่รักที่เรามีให้คุณพ่อคุณแม่ หรือลูกของเราทั้งชายหญิงก็แตกต่างกัน และในทางกลับกัน รักที่แต่ละบุคคลในโลกมีให้เราก็แตกต่างกัน ความรักอันเป็นเอกลักษณ์ของแต่ละบุคคล ตลอดจนความรักที่เรามีให้แตกต่างกันสำหรับแต่ละบุคคล ล้วนเป็นคุณสมบัติอันเป็นอมตะที่สะท้อนให้เห็นแก่นแท้ของจิตวิญญาณ ณ อารมณ์นั้นๆ เมื่อรูปกายทั้งหลายปรากฎในความฝัน รูปกายเหล่านั้นปรากฏเป็นสัญญลักษณ์ที่คล้องจองกับอารมณ์-จินตนาการและความรู้สึกนึกคิด และโดยเฉพาะอย่างยิ่งเป็นสัญญลักษณ์ที่คล้องจองกับความรักและความเชื่อของเรา

    ณ วันนี้หากเรามองเห็นรูปกายของตนเองในกระจกและเรารู้สึกไม่พอใจตนเอง ไม่รักตนเอง ไม่ศรัทธา ไม่เชื่อถือ ไม่เชื่อมั่น หรือขาดความมั่นใจ เราควรจะตระหนักว่าเรายังมองไม่เห็นตัวตนที่แท้จริงของเราหรือแก่นแท้ของตนเอง ซึ่งเป็นจิตวิญญาณที่เต็มไปด้วยข้อมูลความรู้ อารมณ์-จินตนาการและความรู้สึกนึกคิดที่สร้างสรรค์ และมีพลังอำนาจที่จะมีได้-เป็นได้-ทำได้อย่างดีที่สุดในร่างกายเนื้อหนังนี้

    คุณภาพของความรักจึงเป็นปัจจัยที่สร้างภาพสะท้อนของรูปกายทั้งหลายที่ปรากฏในโลกแห่งความเป็นจริงของเราทุกโลก ณ วันนี้หากเราพบรูปกายที่เรามองเห็นว่า ไม่น่ารัก เราสามารถแก้ไขรูปกายนั้นๆให้น่ารักได้ไม่ยาก ด้วยการแก้ไข-เงื่อนไขของความรัก-ที่เรามีให้กับรูปกายนั้นๆ

    พี่นักเขียนขอให้พวกเราจับประเด็นของรูปกายที่คล้องจองกับความรักและความเชื่อไว้ในใจเสมอๆ เพราะเมื่อเราตระหนักได้ในธรรมชาติความเป็นจริงข้อที่ว่านี้ ต่อไปเมื่อเราเผชิญกับรูปกายในความฝัน พร้อมด้วยความรู้นี้ในระดับสติสัมปชัญญะ เราจะพบว่า เราเข้าถึงความหมายและคุณสมบัติอันเป็นอมตะของรูปกายในความฝันได้อีกระดับหนึ่ง และทำให้เราเข้าใจความฝันของเราได้ลุ่มลึกกว่าเดิมเป็นอันมาก(rose)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 กุมภาพันธ์ 2008
  14. nova_analai

    nova_analai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    809
    ค่าพลัง:
    +7,489
    เป้าหมายสูงสุดของจิตวิญญาณ

    พี่นักเขียนขอตอบคำถามนี้จากมุมมองส่วนตัวที่มีต่อเป้าหมายสูงสุดของจิตวิญญาณ โดยไม่ขอใช้คำว่านิพพาน เพราะพี่นักเขียนไม่มีความรู้ลึกซึ้งเกี่ยวกับพุทธศาสนามากพอ ขอเปลี่ยนคำถามเพื่อช่วยให้พี่นักเขียนตอบคุณน้องขจรวรรณได้จากมุมมองที่พี่นักเขียนรู้จักแล้วกันนะคะว่า

    สภาวะแห่งอารมณ์อันเป็นเป้าหมายสูงสุดของจิตวิญญาณนั้นคืออะไร?

    ท่านอาจารย์อนาลัยได้กล่าวไว้ใน โนวา อนาลัย ขยายความธรรมชาติของชาติภพว่า สวรรค์และนรก ไม่ใช่สถานที่แต่เป็นสภาวะแห่งอารมณ์ของจิตวิญญาณ พี่นักเขียนเข้าใจว่า ทั้งสวรรค์และนรกเป็นสภาวะแห่งอารมณ์ของจิตวิญญาณ ซึ่งไม่ถาวรคือไม่ยั่งยืน แม้สวรรค์จะเป็นภาวะที่เป็นสุข แต่เมื่อมันไม่ยั่งยืน มันก็ย่อมไม่ใช่เป้าหมายสูงสุดของจิตวิญญาณ ท่านอาจารย์อนาลัยกล่าวไว้ใน อมตะแห่งจิตวิญญาณว่า ผู้ที่ติดสวรรค์หรือเชื่อในสวรรค์นั้น เสียเวลากับการเสวยสุขในสวรรค์ ไม่น้อยไปกว่าผู้ที่เชื่อในนรกซึ่งต้องเสียเวลากับการตกนรกหรือจมอยู่กับความทุกข์และความหมดหวัง หรืออาจจะเสียเวลามากกว่าด้วยซ้ำไป เพราะการติดสวรรค์อาจทำให้จิตวิญญาณลุ่มหลงกับความสุขในสวรรค์หลังความตาย จนจดจ่อกับความสุขนั้นและไม่ยอมดำเนินวิถีแห่งจิตวิญญาณเพื่อการเรียนรู้ต่อไป ต่อเมื่อจิตวิญญาณตระหนักได้ว่าความสุขหรือภาวะดังกล่าวนั้นเป็นภาวะที่ทำให้จิตวิญญาณไม่ก้าวหน้า จิตวิญญาณก็จะละอารมณ์สุขหรือสวรรค์ แล้วดำเนินต่อไปเพิื่อการเรียนรู้ที่ไม่มีวันสิ้นสุด

    จากมุมมองและความเข้าใจส่วนบุคคล พี่นักเขียนเข้าใจว่าอารมณ์อันเป็นเป้าหมายสูงสุดของจิตวิญญาณ มีคำตอบอยู่ในคำถามของคุณน้องขจรวรรณ คือ การรู้แจ้ง

    อารมณ์อันเป็นเป้าหมายสูงสุดของจิตวิญญาณ คือ การรู้แจ้งในธรรมชาติความเป็นจริงของโลกแห่งความเป็นจริงหลากมิติอย่างหมดเปลือก ซึ่งเป็นภาวะที่ไม่มีที่สิ้นสุด เนื่องจากจักรวาลหรือโลกแห่งความเป็นจริงหลากมิติขยายตัวต่อไปอย่างไม่มีวันสิ้นสุด การรู้แจ้งหรือการเรียนรู้ในธรรมชาติความเป็นจริงของโลกแห่งความเป็นจริงหลากมิติอย่างหมดเปลือก จึงไม่มีวันสิ้นสุด แต่ขยายตัวตามการขยายตัวของจักรวาลต่อไปอย่่่่างเป็นอนันต์

    ท่านอาจารย์อนาลัยได้กล่าวย้ำเสมอๆให้เราตระหนักในธรรมชาติความเป็นจริงที่ว่า เราทั้งหลายสร้างโลกแห่งความเป็นจริงด้วยความเชื่อของตนเอง และ จิตวิญญาณจดจ่อกับภาวะใด จิตวิญญาณมีชีวิตอยู่-เป็นอยู่-ดำเนินไปเป็นภาวะนั้นๆ พร้อมด้วยรูปกายที่คล้องจองกับภาวะนั้น

    ท่านอาจารย์อนาลัยเป็นจิตวิญญาณที่ปราศจากร่างกายตัวตน เป็นพลังงานที่เต็มไปด้วยบุคลิกภาพ ท่านเต็มไปด้วยอารมณ์-จินตนาการและความรู้สึกนึกคิด พี่นักเขียนเข้าใจว่าภาวะที่ทำให้รู้แจ้งในธรรมชาติความเป็นจริง เป็นภาวะที่อยู่นอกเหนือเครื่องพรางทั้งปวง ทั้งเครื่องพรางของช่องว่าง-ระยะทางและกาลเวลา และเครื่องพรางของร่างกายเนื้อหนังอันได้แก่ประสาทสัมผัสทั้งห้า พี่นักเขียนเข้าใจว่าอารมณ์ที่เรียกว่ารู้แจ้ง อันเป็นอารมณ์หรือภาวะสูงสุดของจิตวิญญาณ หรือภาวะที่เสมอเหมือนต้นกำเนิดที่สุด เป็นภาวะที่ปราศจากเครื่องพรางทั้งปวง รู้เห็นสิ่งต่างๆตามธรรมชาติความเป็นจริง โดยไม่ต้องอาศัยเครื่องรับรู้ใดๆอีกต่อไป เช่นประสาทสัมผัสทั้งห้า แต่เป็นการรับรู้โดยตรงด้วยจิตวิญญาณ

    พี่นักเขียนเข้าใจว่าภาวะดังกล่าวนี้ไม่ใช่ภาวะที่จิตวิญญาณจะก้าวล่วงไปสู่แล้วคงสภาพอยู่ในภาวะนั้นๆอย่างถาวร หากแต่เป็นภาวะที่เป็นส่วนหนึ่งของภาวะรวมทั้งหมด และเป็นภาวะที่หนุนเนื่องภาวะอื่นๆ เสมือนน้ำดีที่ถ่ายเทน้ำเสียให้เบาบางลงจนกระทั่งน้ำเสียที่แทบจะไร้ประโยชน์คืนสภาพกลายเป็นน้ำที่มีประโยชน์

    หากเราหันกลับไปมองสาระที่ว่า จิตวิญญาณประสานกันเป็นระบบเครือข่าย และจิตวิญญาณรวมทั้งหมดมีความเป็นหนึ่งเดียว พี่นักเขียนเข้าใจว่าจิตวิญญาณส่วนที่ก้าวล่วงหรือเปลี่ยนวิถีการจดจ่อไปสู่ภาวะแห่งอารมณ์รู้แจ้ง หรือเป็นหนึ่งเดียวกับความรู้แล้ว เป็นจิตวิญญาณที่เปลี่ยนความเชื่อเป็นความรู้ได้จนหมดสิ้น แต่ก็ไม่ใช่ภาวะที่เรียกว่าหยุดนิ่งและไม่ต้องการวิวัฒนาการหรือการพัฒนาใดๆต่อไปแล้ว แต่ยังต้องการความรู้เพิ่มเติมต่อไปอย่างไม่มีวันสิ้นสุด เพราะจิตวิญญาณส่วนนี้ไม่ได้แปลกแยกออกไปจากระบบเครือข่าย และยังคงอยู่ในระบบเดียวกับจิตวิญญาณอื่นๆซึ่งเป็นหนึ่งเดียวและยัังคงสนับสนุนเกื้อกูลกันและกันต่อไปเสมอ ดังเช่นที่ท่านอาจารย์กล่าวไว้ว่า จิตวิญญาณของท่านปราศจากความเชื่อแต่เต็มไปด้วยความรู้และท่านก็จะยังคงพัฒนาต่อไปอย่างไม่มีวันจบสิ้น และการพัฒนาหรือการเปลี่ยนความเชื่อเป็นความรู้ของจิตวิญญาณย่อยๆของพวกเราทั้งหลายส่งผลกระทบต่อความก้าวหน้าของท่านและจิตวิญญาณอื่นที่อยู่ในสภาวะเดียวกับท่านโดยตรง

    พี่นักเขียนเข้าใจว่า ความเข้าใจของมนุษย์เราที่ว่า จะมีมนุษย์เพียงไม่กี่คนบนผืนโลก ที่สามารถพัฒนาจิตวิญญาณไปได้ถึงจุดสูงสุดหรือบรรลุเป้าหมายสูงสุดของจิตวิญญาณได้นั้น เป็นความคิดที่เป็นไปตามวิวิฒนาการของมนุษย์ มนุษย์โบราณเคยมีชีวิตอยู่ด้วยความกลัวในภัยธรรมชาติและเชื่อว่า พวกเขาจะอยู่รอดได้ด้วยการมีผู้นำที่เหนือมนุษย์ เราเคยมีแม้แต่ทาสซึ่งเป็นคนที่ถูกประพฤติปฏิบัติต่ำกว่าคนด้วยกัน การข่มขี่หรือการปกครองในลักษณะดังกล่าวเป็นลัทธิความเชื่อที่ทำให้การควบคุมคนจำนวนมากให้อยู่ภายใต้กฎหรือวินัยเป็นไปได้ง่าย แต่โลกปัจจุบันก็เปลี่ยนไปเป็นอันมาก โดยเฉพาะโลกตะวันตกที่มีมุมมองเปลี่ยนไปว่า มนุษย์ทั้งหลายมีความเสมอภาคกัน ประเทศชาติจะอยู่รอดได้ด้วยการร่วมแรงร่วมใจกันของบุคคลทุกคน ไม่ใช่อยู่ที่ใครเพียงคนใดคนหนึ่งเท่านั้น ความคิดและความเชื่อที่เปลี่ยนแปลงไปตามวิวัฒนาการของสังคม อุตสาหกรรม และวัฒนธรรม ทำให้ความเชื่อเกี่ยวกับศาสนาเปลี่ยนแปลงไปด้วย

    จิตวิญญาณประสานการเป็นระบบเครือข่ายและมีความเป็นหนึ่งเดียว เป็นสาระของธรรมชาติความเป็นจริงที่น่าจะทำให้เราคิดได้ว่า การบรรลุเป้าหมายสูงสุดของจิตวิญญาณ ไม่ใช่การบรรลุเป้าหมายส่วนบุคคล ไม่ใช่การไปถึงเป้าหมายสูงสุดอย่างโดดเดี่ยว เพราะจิตวิญญาณไม่เคยมีการแบ่งแยกอย่างเช่นที่มนุษย์เราแบ่งแยกเรา-เขา

    พี่นักเขียนเชื่อว่าเราทุกคนสามารถเข้าถึง อารมณ์อันเป็นเป้าหมายสูงสุดของจิตวิญญาณได้เสมอๆ แม้เราจะตั้งอยู่ในอารมณ์นั้นไม่ได้นาน เพราะเรายังขาดความคุ้นเคย ขาดทักษะหรือความชำนาญ แต่ถ้าหากเราฝึกฝนเราย่อมเข้าถึงได้บ่อยขึ้น และนานขึ้น

    อารมณ์อันเป็นเป้าหมายสูงสุดของจิตวิญญาณ เป็นอารมณ์ที่เราตระหนักได้ในความเป็นหนึ่งเดียว เป็นอารมณ์รักอันปราศจากเงื่อนไข คือรักได้ทุกรูปกายที่ปรากฏในประสบการณ์ชีวิตโดยไม่ต้องถามว่า "เขาคือใคร" เพราะเราจะตระหนักได้ว่า "เขาคิืออะไร" - เขาคือจิตวิญญาณที่เป็นหนึ่งเดียวกับเรา หากเรารู้จักรักตนเอง เห็นคุณค่าในตนเอง เทิดทูนในตนเอง เราจะรู้จักรักเขา เห็นคุณค่าในเขาและเทิดทูนในเขา ด้วยความรู้แจ้งในความเป็นหนึ่งเดียวตามธรรมชาติของจิตวิญญาณ

    พี่นักเขียนเชื่อว่า พี่นักเขียนได้พบเห็นบุคคลที่ได้ชื่อว่าบรรลุภาวะอันสูงสุดของจิตวิญญาณหลายท่านในชีวิตนี้ หนึ่งในจำนวนนั้น ได้แก่ Mother Terasa แม่ชีชาว Albanian ผู้ช้ชีวิตด้วยการให้ความรักอย่างท่วมท้นกับเด็กกำพร้าและผู้ป่วย ผู้ยากไร้ในประเทศอินเดีย หากใครเคยดูข่าวเกี่ยวกับท่าน เราจะเห็นท่านโอบอุ้มทารกที่ถูกทอดทิ้ง ป้อนนม ป้อนอาหารเด็กเหล่านั้น ทำความสะอาดพวกเขา แล้วก็กอดจูบเด็กทารกเหล่านั้นด้วยความรักอย่างที่สุด พลางกล่าวให้ทุกๆคนรอบตัวท่านมองดูและชื่นชมเด็กๆเหล่านั้นว่า พวกเขางดงามเพียงใด
    [​IMG]
    ทุกครั้งที่ท่านปรากฏในข่าว พี่นักเขียนมักจะเฝ้าดูท่านจูบเด็กๆ คอยฟังท่านกล่าวอย่างเคยว่า "Look! How beautiful they are." เพียงเพื่อจะกล่าวตอบท่านในใจว่า "Yes. How beautiful you are." พี่นักเขียนคิดว่าท่านเป็นบุคคลที่งดงามที่สุดท่านหนึ่งในโลก ที่จิตวิญญาณได้ก้าวล่วงไปสู่อารมณ์อันเป็นเป้าหมายสูงสุดของจิตวิญญาณ เต็มเปี่ยมไปด้วยความรักอันปราศจากเงื่อนไขอย่างแท้จริง(rose)
     
  15. khajornwan

    khajornwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    901
    ค่าพลัง:
    +4,468
    วันนี้รู้สึกรักพี่นักเขียนมากขึ้นกว่าเดิมอีกเยอะเลยค่ะที่มาช่วยขยายความรู้ที่ยังไม่เข้าใจให้เข้าใจมากขึ้นกว่าเดิมอีกหลายเท่า ขอบคุณพี่นักเขียนอีกครั้งที่ตั้งใจอธิบายถึงธรรมชาติความเป็นจริงของจิตวิญญาณจนกระจ่างขึ้นไปอีก ดีจัยจังค่ะที่ได้มีโอกาสได้เจอกับพี่นักเขียน..

    ช่วงนี้ขจรวรรณเกิดสภาวะการเปลี่ยนวิถีการจดจ่อของจิตวิญญาณให้ช่วงก่อนนอนบ่อยครั้งและไม่รู้สึกกลัวเหมือนเมื่อก่อน แต่ยังไม่สามารถควบคุมจิตของตัวเองให้เป็นไปตามที่เราต้องการ บางครั้งเมื่อหลุดออกไปแล้วยังกลับมาหัดเดินอยู่ในห้องนอนคนเดียวก็มี ไว้สามารถควบคุมวิถีการจดจ่อได้เมื่อไหร่จะไปเยี่ยมพี่นักเขียนก่อนเพื่อนเลยค่ะ..

    เอ.. แต่แปลกอยู่อย่างว่าเมื่อก่อนเวลาเปลี่ยนวิถีการจดจ่อจะรู้สึกว่ารอบ ๆ ตัวจะมืดไปหมดมองอะไรก็ไม่เห็น แต่หลัง ๆ จะมองเห็นเป็นแสงสีขาวออกจากหน้าผากคล้าย ๆ แสงเลเซอร์อะไรประมาณนั้นเลยค่ะ.. เขียนมาเล่าความคืบหน้าให้ฟังค่ะพี่นักเขียน..
    (good)
     
  16. VeggieGuy

    VeggieGuy เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    3,945
    ค่าพลัง:
    +4,262
    5 ระดับของการรู้แจ้ง

    ขออนุญาตนำข้อมูลจากแหล่งอื่นมาให้อ่านเพิ่มเติมจากที่พี่นักเขียน เพื่อประกอบการพิจารณาครับ (ตัดตอนมาบางส่วนครับ)
    --------------------------------------------------------------
    ...พอพูดถึงอาณาจักรของพระเจ้าก็ฟังดูจะเป็นเรื่องทางศาสนามากไป จริงๆ แล้วสิ่งนี้ก็เป็นระดับชั้นของจิตที่สูงกว่าธรรมดานั่นเอง คนในสมัยก่อนเรียกว่าสวรรค์ แต่ชื่อเรียกทางวิทยาศาสตร์เราอาจจะเรียกว่ามันเป็นระดับของความรู้ที่สูงกว่า ระดับของปัญญาที่สูงกว่า และเราสามารถไปถึงสิ่งนี้ได้ถ้าเรารู้วิธี

    เหนือโลกของเรา ยังมีโลกอื่นๆ อีกมากมาย ตัวอย่างเช่น ที่อยู่สูงกว่าเราขึ้นไปหน่อยซึ่งเรียกว่า โลกทิพย์ (Astral world) ตามศัพท์ของทางตะวันตก ในโลกทิพย์นี้ยังมีระดับชั้นย่อยๆ แตกต่างกันอีกมากกว่าร้อยระดับ แต่ละระดับย่อยนี้ก็เป็นโลกของมันเอง ซึ่งเป็นตัวแทนของระดับความเข้าใจของเรา ภายในระดับชั้นแรกนี้ ฉันก็บอกแล้วว่ามีระดับชั้นย่อยๆ แตกต่างกันจำนวนมากมายที่เราสามารถจะได้รู้ได้เห็น ซึ่งไม่สามารถจะบรรยายออกมาเป็นภาษาได้ และเมื่อเราไปถึงที่นั่น เช่น หลังจากรับการประทับจิตแล้วเรานั่งสมาธิ หากระดับของเราอยู่ที่ชั้นที่หนึ่งนี้ เราก็จะมีความสามารถเพิ่มมากขึ้นหลายอย่าง สามารถพัฒนาความเก่งกาจด้านหนังสือหนังหา ซึ่งเราไม่เคยมีมาก่อน จะรู้หลายสิ่งหลายอย่างซึ่งคนอื่นๆ ไม่รู้ จะได้รับสิ่งหลายอย่างคล้ายสวรรค์บันดาล บางทีอาจจะเป็นเรื่องเงินทองหรืออาจจะเป็นอาชีพการงาน และอะไรอย่างอื่นมากมาย อาจจะเริ่มเขียนโคลงกลอนได้ วาดภาพได้ ทำบางสิ่งบางอย่างซึ่งเราไม่เคยสามารถทำได้มาก่อน และไม่คาดคิดว่าตัวเองจะทำได้ นี่คือระดับแรก เราจะสามารถเขียนบทกวีและเขียนหนังสือได้ไพเราะเพราะพริ้ง เราอาจจะไม่ใช่นักเขียนมืออาชีพมาก่อน แต่ตอนนี้เราเขียนได้ เรื่องต่างๆ เหล่านี้เป็นเพียงประโยชน์ทางด้านวัตถุซึ่งเราจะได้รับเมื่อเราอยู่ในระดับชั้นแรกนี้ จริงๆ แล้วสิ่งเหล่านี้ไม่ได้เป็นของขวัญจากพระเจ้า สิ่งเหล่านี้อยู่ในสวรรค์ในตัวเรา เพราะเราได้ปลุกมันให้มีชีวิตขึ้นมา และใช้มันให้เป็นประโยชน์ นี่คือข้อมูลเกี่ยวกับระดับชั้นที่หนึ่ง

    ถ้าเราขึ้นไปสูงกว่านี้เล็กน้อย ไปถึงระดับชั้นที่สอง เราเรียก
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 กุมภาพันธ์ 2008
  17. VeggieGuy

    VeggieGuy เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    3,945
    ค่าพลัง:
    +4,262
    สภาวะตถาคต (นิพพาน)

    รู้ไหมว่าทำไมจึงเรียกว่า
     
  18. mead

    mead เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2005
    โพสต์:
    8,134
    ค่าพลัง:
    +62,441
    เพิ่งกลับมาจากภูทับเบิกครับไปซะหลายวัน
    เห็นมีความรู้ดีๆจากพี่นักเขียนและเพื่อนๆให้อ่านแบบนี้
    ขอก็เตรียมพื้นที่สมองสักหน่อยนึง..เอาไว้เก็บความรู้ดีๆครับ
    เดี๋ยวมาตั้งใจอ่านเอาเนื้อหาอีกทีนะครับ...

    ได้พบกับพระท่านนึง ท่านกำลังสร้างพระธาตุองค์ใหญ่มาก
    ทราบว่าท่านออกแบบ เขียนแบบ..คำนวญโครงสร้างวิศวะด้วยตัวเอง
    โดยท่านและลูกศิษย์ช่วยทำการก่อสร้างเองหมด..ท่านก็หยิบเอาแบบมาให้พวกเราดูด้วย ไม่น่าเชื่อว่าท่านเพียงคนเดียวสามารถดึงเอาความสามารถต่างๆออกมาใช้งานได้อย่างไม่จำกัดจริงๆ ในการสร้างเจดีย์พระธาตุสูง 8 ชั้น ขนาดมหึมาที่สุดในโลกแบบนี้ครับ...(ทั้งๆที่ได้ได้ร่ำเรียนมา) ท่านบอกว่าเป็นความสามารถจากอดีตชาติที่สั่งสมมา

    เอารูปมาฝากครับ ทีมพลังจิตไปกัน 47 คนครับ
    ไปเที่ยวหน้าว่าจะชวนพวกเราในห้องนี้ไปด้วยครับ


    [​IMG][​IMG]
    [​IMG] [​IMG] [​IMG]
    เก็บบรรยากาศมาฝาก
    [​IMG][​IMG][​IMG]
    [​IMG][​IMG]
    [​IMG] [​IMG] [​IMG]
    [​IMG] [​IMG][​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG]
    [​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG][​IMG][​IMG][​IMG]
    [​IMG] [​IMG][​IMG]
    [​IMG][​IMG][​IMG][​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 กุมภาพันธ์ 2008
  19. khajornwan

    khajornwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    901
    ค่าพลัง:
    +4,468
    ขอบคุณค่ะคุณ Veggie ที่พิมพ์ยาว ๆ มาให้อ่าน.. น่ารักจัง..(f)

    ชอบคุยกะคุณ Veggie นะคะ ดูแล้วเป็นคนมีอารมณ์ขันอยู่ในตัว.. คุยด้วยแล้วหนุกดีค่ะ..
    ว่าแต่ว่าเมื่อไหร่จะโชว์ผลงานที่แอบซ่อนไว้คะ
    เดี๋ยวขจรวรรณไปวาดอีกรูปไว้ข่มคุณ Veggie ดีกว่า
    ดูซิว่าผลงานใครจะเข้าตากรรมการมากกว่ากัน.. อิอิ..
    (one-eye) (one-eye) (one-eye)
     
  20. VeggieGuy

    VeggieGuy เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    3,945
    ค่าพลัง:
    +4,262
    ผลงานล่าสุด

    ขอขอบคุณมากครับคุณขจรวรรณ สำหรับคำชื่นชม แต่คุณขจรวรรณก็น่ารักกว่าตรงที่ข้อความที่ชื่นชมมานั้นทำให้ผมรู้สึกดี มากๆ เลยครับ
    บางทีคนเราก็หวงคำชมนะครับ ถึงแม้ว่ามันไม่ได้ทำให้เราเสียอะไร แต่บางทีเราก็ยากที่จะเอ่ยปากหรือทำให้คนอื่นรู้สึกว่าควรได้รับคำชม
    เคยมั้ยครับ บางทีเรารู้สึกขอบใจ แต่ก็ไม่ได้กล่าวออกไป แต่ถ้อยคำต่างๆ เหล่านี้ ไม่ว่าจะเป็นคำขอโทษ ขอบคุณ เสียใจ คำชม
    หรือแม้แต่คำตำหนิ ต่างก็เคยทำหน้าที่พลิกดำเป็นขาวและขาวเป็นดำมามากต่อมากแล้ว แต่สมาชิกบอร์ดนี้น่ารักทุกคนเลยนะครับ
    (เดี๋ยวคนอื่นจะน้อยใจน่ะครับ 555) ทุกคนละอัตตาได้มาก ชมกันไปชมกันมาน่ารักดี

    วันนี้เอารูปที่วาดเพิ่มเติม 2 รูปมาอวดตามคำเรียกร้องของคุณขจรวรรณครับ
    ขออนุญาตไม่โพสต์ต้นฉบับนะครับ เพราะไม่ได้ขออนุญาตเจ้าตัว
    (อีกเหตุผลคือ คนดูจะได้ไม่รู้ว่าเหมือนหรือไม่เหมือนไง 555)

    ว่าแต่ช่วงนี้ห้องเงียบๆ นะครับ หรือว่ายุ่งไปต้อนรับใครที่สนามบินหรือเปล่าเอ่ย (มุขนี้อย่าได้สานต่อเลยนะครับ เผลอพิมพ์ไปแล้ว เหอๆๆ)
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • liuyi1.jpg
      liuyi1.jpg
      ขนาดไฟล์:
      213.7 KB
      เปิดดู:
      37
    • odd2.jpg
      odd2.jpg
      ขนาดไฟล์:
      237.9 KB
      เปิดดู:
      37

แชร์หน้านี้

Loading...