พระตั๊กม้อ ท่านนั่งสมาธิอะไรถึง 9 ปี

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย wuttichai0329, 26 มิถุนายน 2016.

  1. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,430
    ค่าพลัง:
    +35,010
    ส่วนตัวยังไม่ค่อยเข้าใจที่ถามเท่าไรเรื่องพลังงานหมุนวนเท่าไร
    ครับ คุณ สโมกเกอร์ ...
    คือ ต้องการจะสื่อว่าพลังงานที่มัน
    หมุนวนเกี่ยวข้องกับการที่สามารถที่จะผ่านไปยัง
    สถานที่โน้นนี่นั้นได้หรือเป่า....
    หรือว่าเป็นการหมุนวนในลักษณะที่เพิ่มความ
    หนาแน่นของพลังงานครับ..
    ขอถามก่อนเพื่อว่าจะได้เล่าให้ฟังได้ถูกครับ..
    ปล.กสิณลมกิริยาจะคือสถานที่ๆเราจะไปจะเข้ามาแทนที่ๆเราอยู่
    ส่วนการว๊าปถ้าแบบที่เราให้ฟังคือ การเชื่อมสถานที่ๆเรา
    จะไปแล้วเราค่อยไปครับ..ประมาณนี้ครับ...
     
  2. คุณกันฌามี

    คุณกันฌามี Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กุมภาพันธ์ 2014
    โพสต์:
    104
    ค่าพลัง:
    +65
    จากทฤษฎีสัมพัทธภาพของไอน์สไตน์

    ถ้าอยากให้เวลาเกินการคลาดเคลื่อนบริเวณนั้นจะต้องมีพลังหมุนที่เร็วกว่าแสง เวลาโลกจริงถึงจะเคลื่อนไป ก็คล้ายๆว่าเราไปดูเวลาที่ใกล้ดวงอาทิตย์กับบนโลก

    จากที่ได้ยินหรืออ่านข่าวมายังไม่มีใครข้ามเวลาไปอีกจุดได้ มีแต่ เช่น เข้าไปในสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้า ก็ออกจากตรงนั้น

    กสิณลมผมว่ามันแปลกๆไปไหนไหม ที่เราจะอยู่จุดเดิมแล้วโลกหมุนมาจุดนั้นแทน ทำไมสถานที่ต้องมาหาเราละ

    การวาปไม่เห็นจำเป็นต้องเคลื่อนที่ตลอดนิ จุดเดิมแต่ต่างเวลาละ ก้าวเดิน1ก้าวแต่พุงไป10ก้าวละ
     
  3. ณฉัตร

    ณฉัตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 เมษายน 2015
    โพสต์:
    633
    ค่าพลัง:
    +790
    ที่เน้นแดง มันไม่แปลกนะครับ แต่ผมว่า มันคือคำบอกเล่าจากผู้มีประสพการณ์ตรงมากกว่า

    ประการแรก ลองเดินจงกรม จนถึงฌาณ สาม กริยา คือเราเดินจงกรม เป็นการที่กายเราเคลื่อนไปข้างหน้า ตามทางที่กำหนด แต่เมื่อจิตเข้าถึงฌาณระดับสูง จุดสัมพัทธ์ระหว่างผู้สังเกตโลก กับโลก มันทำให้ตอนที่เราเริ่มเดินจงกรมเรารับรู้ว่า เราเคลื่อนเท้านำกาย เคลื่อนกายนำเท้า ผ่านโลก แต่เมื่อถึงฌาณระดับสูง กายกับจิตแทบจะเป็นหนึ่งเดียวกัน สังเกตว่าการรับรู้เป็นวงกลมครอบกาย แต่กริยาที่เดินแม้มองจากภายนอกเหมือนเดิม แต่ผู้สังเกตในวงกลม (จิตรับรู้ในขณะนั้น) จะเห็นว่า โลกต่างหากที่เคลื่อน ในขณะที่กายแม้มีกริยายก ย่าง แต่กับเสมือนหยุดนิ่งอยู่กับที่

    ประการที่สอง ในขณะถอดกายทิพย์เคลื่อนด้วย กำลังฌาณ ๔ หาก
    ผู้ถอดกายทิพย์อยู่จุดหนึ่ง จะไปอีกที่หนึ่ง กายทิพย์จะเคลื่อนจากจุดหนึ่ง ไปอีกจุดหนึ่ง แต่ผู้สังเกต (ผู้ถอดกายทิพย์) จะเห็นเพียงโลกเคลื่อน

    สองอย่างนี้ ลองคิดเทียบเปรียบกันว่า ถ้าวัตถุใด มีความเร็วใกล้แสง ผู้อยู่ในวัตถุนั้น มีเวลายังไง ส่วนโลกซึ่งเคลื่อนตามปกติห่างไกลจากคำว่าความเร็วแสง จะเป็นอย่างไร ลองสมมุติว่า ผู้อยู่ในวัตถุเร็วแสง ขยับขา จะกินพื้นที่หรือหนึ่งก้าวเป็นระยะทางเท่าไร

    กรณีที่ท่านนพ พูดถึงกสิณลม ต้องดูด้วยครับ ไปด้วยกสิณลมกำลังฌาณระดับไหน นอกจากนี้ แม้ฌาณระดับ ๔ เหมือนกัน แต่คุณภาพยังมีลดหลั่น ละเอียดต่างกันมาก กรณีที่ท่านนพ พูดเป็นระดับที่กำลังฌาณสูงมาก การเคลื่อนที่ด้วยความเร็วของเทพ เร็วกว่าแสงหลายเท่ามาก (ลองอ่านไตรปิฎก แล้วนึกภาพเทวดาที่อยู่ในหมื่นโลกธาตุ อนัตโลกธาตุ มาเฝ้าพระพุทธองค์ เทียบสเกลจักรวาลที่มีหลายหมื่นแกแลคซี่ เทพมาถึงพร้อมกันได้) การเคลื่อนแบบนี้ ไม่ต่างกับการวาร์ปเลยหายจากจุดหนึ่งไปจุดหนึ่ง แต่ผู้สังเกต จากจุดหนึ่งที่เริ่มต้น เดินกสิณลม กับจุดหมายที่ไป เช่น อีกโลกหนึ่ง ในช่วงเวลาที่เดินกสิณลมให้ออกฤทธิ์ ผู้สังเกตจะเห็นสถานที่ทั้งหมดเพียงพริบตาเดียว จากจุดเริ่ม จนสิ้นสุด แทบในเวลาเดียวกัน แต่สติขณะนั้น ก็ด้วยฌาณระดับสูงมากก็ยังจับระดับก่อนหลังได้

    ดังนั้น ไม่ต่างจาก โลกเคลื่อนมาหาเลย

    ลองนึกวาดภาพกายเคลื่อนจากดาวหนึ่ง ไปดาวหนึ่ง การเคลื่อน เคลื่อนทุกตารางเซ็นติเมตรเลย แต่ภาพทั้งหมดหัวกับท้าย จุดเริ่มกับสิ้นสุด ใช้เวลาที่พูดว่า แทบเป็นเวลาเดียวกันหมดเพียงแค่ด้านหนึ่งของเหรียญเล็๋กๆ บางเท่านั้น
     
  4. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,430
    ค่าพลัง:
    +35,010
    ขอบคุณมากครับ และยินดีด้วยครับ..
    ที่ยังมีคนมาอ่านแล้วเข้าใจ..
    ต้องขอบคุณ ณฉัตร ที่อ่านแล้ว
    พอเข้าใจในทางกิริยา
    และขอบคุณที่ช่วยขยายความเพิ่มเติมด้วยครับ..

    ใช่ตามทฤษีนะครับคุณ สโมก ใกล้เคียงของจริงครับ
    ก็อย่างที่ว่า เมืองนอกเมืองนาพึ่งจะค้นพบในสิ่งที่
    ทางพุทธเราทำได้และรู้มานานมากแล้วนั้นหละครับ..
    เพียงแต่พุทธเราไมได้มาขยายความเพิ่มในรายละเอียด
    ส่วนตัวเข้าใจว่า เพราะท่านเล็งเห็นว่ามันยังไม่ใช่ทาง
    ที่หลุดพ้น แต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธเพียงแต่ไม่ได้ให้ความสำคัญ
    เท่ากับเรื่องเดินปัญญาลดละกิเลสครับ...


    ในเรื่องการเดินทางข้ามมิติและเวลานะครับ...
    ยกตัวอย่างลองนึกภาพตาข่ายที่เป็นโครงท่อดูมีความยาวเล็กน้อย
    ด้านปลายท่อด้านหนึ่งเป็นปลายทาง ด้านต้นท่อเป็นต้นทางที่เราอยู่..
    แล้วตารางต่างๆที่ก่อเป็นรูปร่างท่อเปรียบเสมือนเป็นระยะทาง
    ที่เชื่อมไปยังปลายทางนั้นๆ..

    ส่วนเทคนิคในการเปิดประตูมิติ เรื่องการใช้ความเร็วเท่าแสงในการเปิดปิด
    มันเป็นเรื่องปกติธรรมดามากของคนที่ทำได้ครับ..
    ส่วนการข้ามไปก็เหมือนเราดึงตาข่ายที่ปลายทางให้บีบมา
    ยังต้นทาง ระยะเวลามันถึงสั้นลงยังไงหละครับ..

    และถ้าอ่านที่อธิบายไปใน #Rep
    ก่อนหน้าให้ดีๆอีกครั้งแล้วเข้าใจนะครับ
    จะบอกว่า ปกติอย่างเราๆไปได้แต่จิตหรือไม่ก็กายละเอียด
    เพราะมันจะมีสายใยเชื่อมกับกายที่ต้นทางไว้อยู่
    การเดินทางเราจึงปลอดภัยเพราะแค่คิดจิตก็กลับ
    เข้ากายแล้วภายในเวลาไม่กี่วินาทีครับ...
    ส่วนที่เชื่อว่าเป็นจานบินนั้น เพราะมีเทคโนโลยี
    ในการที่จะนำวัถตุให้ก้าวข้ามไปได้
    (เป็นการคาดคะเนนะครับ)

    .

    ยกเว้นว่าบุคคลนั้นๆจะมีความสามารถถึงระดับจิตธาตุครับ..
    และก็จะบอกอีกว่า ครูบาร์อาจารย์ท่านก็ใช้วิธีนี้
    ในการเดินทางมาหาลูกศิษย์ที่มีบุญสัมพันธ์กัน...
    และก็ยังบอกอีกว่า ปัจจุบันก็ยังมีท่านที่ทำอย่างนี้
    ที่ยังมีชีวิตอยู่และก็มาสอนลูกศิษย์ท่านอยู่
    ส่วนตัวเชื่อว่าไม่น่าจะเป็นข่าวง่ายๆ
    เพราะคงไม่มีใครแสดงตัว..แต่ว่ายังมีท่านที่ทำอย่างนี้ได้
    ส่วนมากจะเป็นพระสงฆ์ครับ
    และยังบอกอีกว่า ถ้าท่านมา ประตูมันจะไม่ตรงๆมาก
    เหมือนในหนัง พอเข้าใจที่พูดให้ฟังหรือยังครับ..
    ถึงได้บอกว่า ถ้ามีประสบการณ์ตรงแล้วจะเข้าใจได้ดีครับ...

    ส่วนกสิณลมเราอย่าไปนึกเอาตามที่ได้ยินมา ได้ฟังมา
    หรือได้อ่านมาครับ แล้วเอามาคิด วิเคราะห์ วิพากษ์
    หรือวิจารณ์ ว่ามันควรจะเป็นอย่างโน้นนี่นั้น เพราะจะมี
    ความคิดเราเข้าไปปรุงร่วม..ถ้าเราเคยฝึกเข้าถึงได้
    กิริยาก็จะเป็นอย่างที่เล่าให้ฟังมานั่นหละครับ..
    ความชำนาญก็จะแตกต่างกันในเรื่องความสามารถ
    ในการเห็นสถานที่ต่างๆเข้ามาตัวเรานั่นหละครับ...
    ถ้าเราไม่ชำนาญ เราจะเห็นสถานที่เข้ามาแป๊บเดียว
    ถ้าท่านที่ชำนาญก็จะเห็นเหมือนสถานที่ๆมันเข้ามา
    ได้นานขึ้น.ซึ่งก็แล้วแต่ความสามารถของท่านนั้นๆครับ


    การที่มีคนเห็นๆว่า เราลอยได้เหาะไปโน้นนี่นั้น
    หรือการที่เราอ่านมาเราจะเข้าใจอย่างนั้น
    จริงๆมันคือ สภาวะในระหว่างทางของช่วงที่ผู้ฝึกกสิณลม
    กำลังเดินทางหรือกำลังเห็นสถานที่ต่างๆเข้ามาหาตนเองนั้นเองครับ
    และที่เราเห็นๆลอยได้นั้นส่วนมากจะเป็นในหนังครับ..
    หรือบางคนที่เห็นบางท่านลอยได้..ท่านนั้นก็อยู่ในช่วง
    ที่จะสถานที่ปลายทางกำลังเข้ามา แต่เราเห็นว่าท่าน
    กำลังลอยไป ให้สังเกตุดูอีกอย่างเผื่อจะเข้าใจนะครับ
    แม้ว่าเรากำลังเห็นใครบางคนลอยได้ด้วยตาเปล่าๆ
    แต่จะลอยไปซักพักหนึ่งแล้วก็จะหายไป นั่นหละครับ
    คือกิริยาที่เล่าให้ฟัง
    ดังนั้นสิ่งที่ตาเห็นกับกิริยาที่เกิดมันคนละอย่างกันครับ...

    ปล.ที่พูดให้ฟังส่วนตัวพยายามพูดจากประสบการณ์ตรงๆครับ
    บางเรื่องมันก็พูดตรงๆเลยก็ไม่ได้เหมือนกันครับเพราะไม่สมควร
    และมันเป็นอจิณไตยเล็กน้อย อย่างเช่นเรื่องการข้ามมิติและเวลา..
    และก็พยายามพูดในกิริยาที่มันเกิดกับตัวจิตจริงๆ
    เทคนิคและวิธีการที่ทำกันจริงๆ.แต่มีความสามารถ
    ข้ามไปได้จริง ในระดับไหน หรือทำให้คนอื่นๆรับรู้ได้
    ในระดับไหนเป็นอีกเรื่องหนึ่ง..ซึ่งปกติถ้าใครพอทำได้
    จะมีความสามารถในการทำให้คนอื่นๆรับรู้ได้
    ในระดับที่ตนทำได้อยู่แล้วเป็นเรื่องปกติครับ..


    อย่างเรื่องกสิณลมหรือการไปเล่นกับพลังงานลม
    การที่เราดึงลมมาเล่นซึ่งมันจะปนมากับอากาศนั้นมันเป็นเรื่อง
    ที่สร้างมาหลอกให้จิตที่อยากเด่นอยากดีอยากดัง
    ที่จะสร้างและทำให้หลงตัวเองว่าตัวเอง
    เก่งกว่าใครเค้าได้อย่างคาดไมถึงครับ
    และมันเป็นแค่กิริยาภายนอก..
    ซึ่งเป็นเรื่องนอกตัวที่ไม่ควรให้ความสำคัญครับ
    และมันไม่ใช่กิริยาภายในที่เกิดกับตัวจิต
    กระทำอย่างที่พยายามเล่าให้ฟังทั้งใน
    #Rep ก่อนหน้าและ #Rep นี้ครับ..
    ถึงบอกว่า ถ้ามีประสบการณ์ตรง
    หรือทำได้ด้วยตัวเองซักครั้งหนึ่ง
    จะเริ่มเข้าใจที่พูดได้ดีขึ้นด้วยตัวเอง
    ถ้ารู้จักการสังเกตุกิริยาทางจิตร่วมด้วยนะครับ...
    ปล๑.ประมาณนี้ หวังว่าคงพอจะเข้าใจมากขึ้นนะครับ...
    และประตูมิติที่มันเปิดอยู่แล้วบนโลกนี้ มีเยอะแยะ
    มากมายนับไม่ถ้วนครับ โดยเฉพาะตามวัดบริเวณทางแยก
    ที่จะไปพระองค์ใหญ่ที่พวกมิติอื่นเค้าลงมาไหว้พระ
    ก็มาทางนี้หละครับ ถ้าเคยยืนดูด้วยตาตัวเองก็จะทราบได้..
    หรือสถานที่สร้างพระองค์ใหญ่ปิดไว้พิจารณาดูว่าทำไมต้อง
    สร้างตรงนี้..
    หรือตามถ้ำตามป่า ก็มีเยอะแยะครับ ขึ้นอยู่กับ
    ว่าตาเราจะมองเห็นได้หรือเปล่าแค่นั้น หรือว่าเค้าจะ
    ทำให้เราเห็นได้หรือไม่ก็เท่านั้นเองครับ...
    ประมาณนี้ครับ (^_^)
     
  5. wuttichai0329

    wuttichai0329 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    1,015
    ค่าพลัง:
    +741
    ขอถามเป็นความรู้เพิ่มเติมนะครับพี่

    เอาที่พี่พอจะทราบได้นะครับ ยิ่งมากยิ่งดี
    -จางซานฟง ผู้คิดค้นวิชา ไทเก็ก ประวัติเป็นมายังไงครับ ผมอ่านข้อมูลในเน็ตบอกไม่ เหมือนกัน สักที่เลย ไม่แน่ใจ ว่าแบบไหน
    -หลักของวิชา ไทเก็ก คืออะไร
    -วิธีทำ เบื้องต้น กลาง และที่สุด ทำยังไง
    -ทำยังไงถึงจะฝึกแล้วเห็นผล เบื้องต้น เบื้องกลาง และที่สุด
    -สามารถ ทำ มโนมยิทธิ ใช้กายทิพย์ไปเรียนกับ ท่านจางซานฟง โดยตรงได้หรือไม่
    -ถ้าเดินสายนี้จะหลง และเสียเวลาหรือไม่ หาก เทียบกับ การฝึกสมาธิและพิจารณาธรรม ตัดกิเลส ไปเรื่อยๆ จนได้มรรคผล...

    ขอบคุณครับ ^^
     
  6. กิ่งสน

    กิ่งสน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 เมษายน 2012
    โพสต์:
    1,068
    ค่าพลัง:
    +2,327
    ขอตอบตามที่รู้งูๆปลาๆบ้างนะท่าน ท่านตั๊กม้อใช้วิธีการนั่งสมาธิเหมือนกับวิชากรรมฐานสายโบราณ เนื่องจากท่านเป็นพระธรรมทูตในสมัยเดียวกัน การนั่งสมาธิแบบนี้จะจับจุดที่ต่ำกว่าสะดือ2 นิ้ว(ตามที่เรียนมา) ซึ่งคล้ายกับท่านมังกรบูรพากล่าวถึงจุดตันเถียน ซึ่งต่ำกว่าสะดือ 3 นิ้ว สุดยอดปรมาจารย์วัดเส้าหลินก็คือท่านตั๊กม้อ ส่วนของไทยก็แน่นอนท่านที่อยู่ในตำนานก็คือท่านโสณะและท่านอุตตระผู้นำศาสนาพุทธเข้ามาเผยแพร่ในสุวรรณภูมิจนพระพุทธศาสนาก็ได้ตั้งมั่นขึ้นที่นี่ เป็นที่มาของคณะโลกอุดร(เหนือโลก) วิชานี้ตอนฝึกแรกๆก็จะรู้สึกถึงกำลังของลม แต่ยังไม่จับลมหายใจ บริกรรม"พุทโธ"ไปเรื่อยๆก่อน จากนั้นก็จะไปตามขั้นตอนต่างๆ ข้าพเจ้ายังอยู่ชั้นเตรียมอนุบาลคงขอกล่าวแค่นี้
     

แชร์หน้านี้

Loading...