ติดตามสถานะการณ์

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย สุกิจSukit, 8 มิถุนายน 2013.

  1. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,654
    ค่าพลัง:
    +97,150
    นิทานเรื่องจริง ตำนานการลวง หลอกล่อ ลงหม้อตุ๋น
    "ละคร"

    ตอน 10

    คงมีคนสงสัย ....เอะ คุณนายตกไม้กวาด ก็พวก CFR แล้วทำไม CFR ถึงโยนคุณนายทิ้ง และมาอุ้มท่านเป็ดแทน ... ตกลงมันอะไรกันแน่ กูละงงจริงๆ

    ครับ การเมืองอเมริกา งวดนี้ เหมือนดูยาก เพราะมันเป็นจังหวะหัวเลี้ยวหัวต่อของอเมริกาเหมือนกัน อยากเข้าใจการเมืองเขา ก็ต้องใจเย็นตามข่าวกันอย่างพินิจคิดไปด้วย ไม่ใช่ตามแค่ "รู้" ข่าวรายวันที่เขาฟอกย้อมมา

    ลองกลับไปดู นโยบายหลักที่ท่านเป็ดหาเสียงเอาไว้ คือ Make America Great Again...ไม่เอาผิวสี ไม่อุ้มเพื่อนเกาะกิน เช่น ยุโรป นาโต้ ลูกหาบแถวเอเซีย และพวกขี่อูฐแถวทะเลทราย....และไม่เอา พวกลี้ภัย แถมประกาศพร้อมร่วมมือกับรัสเซีย ในการปราบไอซิสอย่างจริงจังที่ซีเรีย ...

    นโยบายนี้ สรุประหว่างบันทัดได้ว่า .... (ถ้า) อเมริกาจะเป็นใหญ่ (ครองโลก อย่างเดิม) อเมริกา ต้องไม่มีการแบกภาระให้ใครอีกแล้วนะ ไม่ว่าในบ้าน นอกบ้าน ใครเป็นภาระ ไม่เอา ทั้งนั้น

    มันก็เหมือนกับคนเราทั่วไป กำลังจะไปทำ "ภาระกิจใหญ่ " จะหอบเอาผู้คนข้าวของ ที่เป็น "ภาระ" ติดไปด้วยให้เกะกะไหมครับ....

    และนโยบายนี้ ก็ทำให้ท่านเป็ด ชนะขาด จนคุณนายตกไม้กวาดหน้าเยิน

    ถ้ามองในมุมนี้ แปลได้ว่าวันนี้ (ผุ้กำกับ) อเมริกา น่าจะมีแนวคิด และจุดยืนชัดเจนแล้วว่า จะปล่อยให้จีนและรัสเซีย ให้โตขึ้นมาแข่ง และอาจจะถึงขั้นข่ม อเมริกา ....ต่อไปไม่ได้อีกแล้ว

    คิดแนวนี้... ภาระกิจใหญ่... คือ การมุ่งหน้าไปสู่การทำลายคู่แข่ง โดยมีที่หมายปลายทางคือการสงครามนั่นเอง

    และเมื่อคิดจะทำสงคราม อเมริกา หรือผู้กำกับอเมริกา คงต้องมองว่า ใครล่ะ ที่จะเหมาะสม ให้รับบทแม่ทัพ(หุ่นเชิด) ในการไปทำสงคราม

    การเลือกแม่ทัพ ไปทำสงคราม ระหว่างคุณนายตกไม้กวาดกับคุณทรัมพ์ตราเป็ด ต่างกันไหม

    ต่างกันแยะเลยครับ

    จะดูว่าคุณนายเหมาะไหม จะทำอะไรต่อไป ก็ต้องย้อนไปดูว่า พณ.ใบตองแห้ง " ไปทำอะไร" ไว้ด้วย ....และอาจจะต้องย้อนไปไกลกว่านั้น ... ย้อนไป 25 ปี ที่ไอ้พวกถังขยะความคิด มันหลุดปากออกมาว่า 25 ปี ที่ผ่านมา เป็น 25 ปีแห่งความยิ่งใหญ่แสนสุขของอเมริกา ที่คิดจะทำ และทำอะไรก็ได้ .... แต่อเมริกาต้องตื่นจากฝันหวาน ...เมื่อจีนเลิกปลูกผัก แต่ไปปลูกเกาะอยู่กลางทะเลจีนใต้ ในแปซิฟิก ที่อเมริกาถือว่า ตนเองเป็นเจ้า(ของ) แปซิฟิก และรัสเซียก็ผนวกเอาไครเมียกลับมา แถมยกทัพเข้าไปทำหน้าหล่ออยู่ในซีเรีย นั่นแหละ ..(อ่านรายละเอียดเพิ่ม ในนิทานเรื่อง เขย่าขั้ว )

    ฟังดูเหมือนอเมริกากำลังกลุ้มใจหนัก เพราะมีคู่แข่งขึ้นมาพร้อมกันถึง 2 ราย ชีวิตอับเฉา จะตายห่าเสียให้ได้

    นั่นมันละคร ..ครับ

    4 ปี ของบุชพ่อ 8 ปีของคนนิยมเด็กฝึกงาน 8 ปี ของบุชลูก กับอีกเกือบ 8 ปี ของใบตองแห้ง สิริรวม 28 ปี หักช่วงรอยต่อ เอาเนื้อๆ ก็ 25 ปี อย่างที่ไอ้ถังขยะความคิดมันนับนั่นแหละ ไม่ใช่เป็นแค่ 25 ปี ที่มันอ้างว่ามันมีความสุขฝันหวาน อย่างที่มันบอก หรือหลอก เรา .....แต่มันเป็น 25 ปี แห่งการเตรียมการ "ทำลาย" ให้ทั้งโลก "อ่อนแอ" ต้องพึ่งใบบุญของอเมริกา ผ่านองค์กร นโยบาย และการปฏิบัติ โดยที่เราๆไม่ทันรู้สึกตัวกัน ...มันเป็นแผนการ "ทำลาย" ที่เนียนมาก ...นี่แหละ soft power ที่แท้จริง

    ไล่มาเลยครับ 3 สนามใหญ่ ถ้าจะมีสงครามใหญ่ ระหว่างอเมริกากับรัสเซีย บวกจีน

    ยุโรป...มีแต่มิตรรักของอเมริกาทั้งนั้น วันนี้ ถ้าไม่มีนาโต้ ที่อเมริกาเป็นผู้สนับสนุนใหญ่ ไม่มีอเมริกา มาคอยจับ คอยจูงมือ ...อยู่ได้ไหม อยู่แบบไหน ...ดูหน้าคุณป้าตดแตกของเยอรมัน ที่ท่านใบตองแห้ง ต้องไปปลอบขวัญ เป็นกลุ่มพันธมิตรสุดท้ายของการอยู่ในตำแหน่งประธานาธิบดี เมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน หมาดๆนี้แล้วกัน คุณป้าหน้าตก ต่อว่าตาโอเสียไม่เหลือ ....อเมริกา กำลังทิ้งเรา แล้วฉันจะทำยังไง กับผู้ลี้ภัยล้านคน ที่แกมาต้มฉันเอาไว้....

    เยอรมันเข็มขัดเหล็ก หลุดหายหมดแล้วจริงๆ ... นี่ถ้าไม่มีไอเอมเอฟ เข้ามาช่วยทำเสียงแข็ง ECB ก็คงไปไหนเองไม่ถูก อียู ดูแลกันเองได้ไหม คงคิดอะไรไม่ออกแล้วเหมือนกัน.... นโยบายไม่อุ้มเพื่อนยุโรป นาโต้เป็นเรื่องของยุโรป ... ทำเอาคนยุโรป มีอาการเหมือนไก่ถูกทุบหัว ...

    ท่อแก๊สรัสเซีย จึงถูกกันทุกทางไม่ให้ยุโรปได้พึ่ง .... วันไหนจะรบกัน ทะลายหัวจ่ายท่อแก๊สรัสเซีย ตั้งแต่ยูเครน เยอรมัน โรมาเนีย ตุรกี ฯลฯ ... คนยุโรปจะอยู่อย่างไรครับ เจ้าของแก๊ส คงเหนื่อยล่ะ แต่เจ้าของหัวจ่ายท่อแก๊สคงเละกว่า

    และอังกฤษ จึงต้อง brexit ไม่งั้น ติดหล่มตายไปกับเขาด้วยทั้งกรง ....ชั่วๆดีๆ ก็ยังนับเป็นโคตรเดียวกัน กันออกมาก่อนดีไหม

    ตะวันออกกลาง ... แจกของขวัญให้ตัวหลักๆตั้งแต่ ซัดดัมของอิรัค กัดดาฟี ของลิเบีย ตามมาด้วยการเด็ดทิ้งมูบารัคของอียิปต์ เซิ้ง มาถึง เลบานอน เยเมน ซีเรีย ตุรกี ขณะเดียวกัน ก็กดหัวอิหร่าน แบบกดๆปล่อยๆ ให้เสี่ยปั้มใหญ่ประสาทแดก นอกจากเสพติดกระดาษสีเขียวตรานกอินทรี กับส้วมทองคำแล้ว ยังต้องขนซื้ออาวุธมากองให้อุ่นใจ ซื้อมันเข้าไป ก็กูรวย เสียแต่ใช้เองไม่เป็น ต้องพึ่งบริการนายโรงอยู่ดี ....

    ส่วนพวกเสี่ยสำอางค์ ชาวอ่าว ก็หนุนให้มันทำตัวเป็นฝรั่ง ติดกระดาษสีเขียวเหมือนกัน ถ้าสงครามมา เสี่ยสำอางค์จะทำยังไงครับ แต่งชุดหรั่งจ๋า ขี่ม้าตีคลีไปสู้เขา หรือจะขับรถแข่งไปรบ เอาแบบไหนดีครับ ... ก็คงเหลือแต่ปั้มตามแผน

    เอเซียของเราล่ะ ไม่ต้องทำอะไรมาก ส่งเสริมเปิดเสรี ทั้งด้านการค้า การเงิน เปิดตลาดหุ้น บ่อนพนันถูกกฏหมาย กับให้มันเสพติดสื่อฟอกย้อมทั้งหลาย เจอนายโรงเล่นกลเข้าไม่กี่รายการ ....เสือไม่รู้กี่ตัว ก็ติดกับ ยิ่งดิ้นยิ่งแผลเหวอะ วันนี้ยังรบเป็นกันไหมครับ หรือแค่มีของไว้โชว์วันเด็ก

    แต่ที่น่าสมเพชที่สุด คือ ซามูไรแบกถาด ตอนนี้ตัดชุดแบกถาดเสร็จแล้ว รอคำสั่งอย่างเดียว เขาขน "ของ" มาให้ใช้เต็มเพียบ เพื่อทำหน้าที่เป็นนายด่าน คอยรับของขวัญจากน้องรักของผม ฉิบหายทั้งประเทศแทนเขา ยอมให้เขาใช้ประเทศตัวเองเป็นฐานทัพไปกี่แห่งแล้ว วันนี้ สิทธิเสรีภาพ อธิปไตยของประเทศ ยังมีอยู่ไหม

    และยังเป็นลูกหาบรายแรก ....ที่บินด่วนไปหาท่านเป็ด ...เช็ดรองเท้าถามเขาว่า ....เรายังรักกันเหมือนเดิมใช่ไหม สัมพันธ์เราผูกกันไว้ด้วยความเชื่อใจอย่าลืมนะ ครับพี่เป็ด.....โถ วิญญาณซามูไร ที่ผมหลงไหลต้องไปดูทุกวันเสาร์ที่โรงหนังเฉลิมบุรี สมัยก่อนไม่รู้หายไปไหนหมด...

    อาจยังคงมีคนไม่หายสงสัย ...ก็วางแผนมาถึงขนาดนี้แล้ว ก็ใช้คุณนายตกไม้กวาดเดินหน้า เป็น commander in chief โบกธงนกอินทรีนำหน้าลุยก็เหมือนกันนี่นา คุณนายกระเหี้ยน อยากจะฉะกับคุณพี่ปูตินมานานแล้วนี่นะ ทำไมต้องถีบคุณนายทิ้ง แล้วเอาท่านเป็ดขึ้นมาแทนล่ะ

    ก็พราะนโยบายของคุณนาย กับของท่านใบตองแห้ง ไม่มากก็น้อย ไม่ต่างกัน ยังอยู่ในแนว ...กูใหญ่ กูอุ้ม กูออกเงิน กูออกหน้า ...และถ้าใช้นโยบายนี้ ถ้าอเมริกาคิดทำสงคราม ไม่แคล้วต้องเปิดสนามรบ 2 ทางพร้อมกัน กองทัพเรืออเมริกา ต้องดาหน้าเอามาให้เต็มแปซิฟิก เพื่อยันหน้ากับอาเฮีย พร้อมกับเอามาอัดไปเต็มทะเลเมดิเตอร์เรเนียนอีกทางนึงด้วย เพื่อปิดทางออกของกองเรือรัสเซีย วิ่งใส่ยุโรป...

    วันนี้อเมริกัน คงจะไม่เลือกใช้นโยบายนี้แล้ว

    อเมริกาวางแผน 25 ปีของตัวเองไว้อย่างดี ทั้งโลกอ่อนอยู่ในมืออเมริกาตามแผน (เกือบ) หมดแล้ว และอเมริกา ก็ต้องการให้โลกเป็นอย่างนั้นต่อไป ไม่ว่า จะเป็นผู้ที่อเมริกาเรียกว่า พันธมิตร ในยุโรป ตะวันออกกลาง หรือเอเซีย ....โดยเฉพาะเมื่อเวลาที่อเมริกาจะทำสงคราม ....ที่ยังไม่แน่ชัดว่า ผลจากการทำสงครามของอเมริกา คราวนี้ จะเป็นอย่างไร เพราะสนามรบคงไม่ใช่มีแค่ 3 สนามอย่างที่คิด แต่บ้านอเมริกา อาจเป็นสนามรบด้วย .... ครั้งแรกในประวัติศาสตร์

    อเมริกา ไม่ต้องการ "แบ่ง" กำลัง ทุน และทรัพยากรไปให้ใคร ที่สุดท้ายแล้ว อาจจะยังเหลืออยู่ในสภาพ แข็งแกร่งกว่าอเมริกา ในขณะที่อเมริกา อาจมีสภาพสาหัสได้ จากการคิดทำสงครามคราวนี้

    อเมริกา คิดถึงเยอรมัน รัสเซีย จีน ไม่ต่างกับ ที่อังกฤษเคยคิด ในช่วงสงครามโลก ครั้งที่ 1 และ 2 ....เพราะ มันยังเป็นเรื่องยังค้างคา ไม่จบสิ้นจริงๆ

    และเมื่ออเมริกา หลอกเพื่อนมา 25 ปีแล้ว เมื่อเวลาสำคัญมาถึง อเมริกา จะเปลี่ยนบทใหม่ แบบกลับหลังหันคงไม่สวยสง่าสมกับเป็นพี่เบิ้ม ... ทางออกที่ดีที่สุด คือเปลี่ยนนโนบายใหญ่ ตอนเปลี่ยนประธานาธิบดี ... ที่เป็นแนวสุดโต่ง ใช้เป็นเป้า หลอกให้ลูกดอก หรือลูกอะไร... ไปลง ที่ไอ้สุดโต่งนั่นแทน... ละครโหดครับ

    ###############
    ตอน 11 (จบ)

    คงมีคนถาม... อเมริกาจะรบใหญ่ แล้วอเมริกาไม่ต้องการเพื่อน ไม่ต้องการลูกหาบหรือไง

    อเมริกาคงประเมินแล้วว่า ศักยภาพอาวุธ ของรัสเซีย จีน ก้าวหน้ากว่าที่คิด อเมริกา เจอระบบไซเบอร์แบบสกัดจุด ของรัสเซีย ตั้งแต่เรื่องเรือรบ Donald Cook ตั้งแต่ปี ค.ศ.2014 อเมริกาปิดปากเงียบ สื่อรัสเซียเอามาแฉ อเมริกาทำเป็นใบ้ไม่ตอบ แต่พยายามพัฒนาระบบไซเบอร์เกี่ยวกับอาวุธมาตลอด

    จากเรื่องรัสเซีย มาเจอระบบฝาชี A2/AD ของจีน เข้าไปอีก วันนี้ถังความคิด ทางด้านการทหารของ อเมริกา ยอมรับแล้ว ว่าระบบฝาชีของจีนดีเกินคาด กันได้ทั้งแมงวัน ทั้งบ้องข้าวหลามทุกขนาด และอเมริกา ยังหาทางฝ่าเข้าไปในระบบฝาชีของจีนไม่ได้

    และถ้าสภาพการณ์เป็นอย่างนี้ ระบบการต่อสู้ทางไซเบอร์ที่ CFR ให้ความสนใจอย่างมาก อเมริกา อาจไม่ได้เปรียบ อย่างที่วางแผนเสียแล้ว และถ้าเป็นเช่นนั้น ขนาดอเมริกาไม่แน่ว่าจะได้เปรียบ แลัวเพื่อนและลูกหาบ ที่อเมริกาวางแผนให้พวกเขาอ่อนแอ เชื่องอยู่ในมืออเมริกา คิดแต่จะให้อเมริกาอุ้ม...จะทำอะไรได้มาก...

    อเมริกาจึงน่าจะมีการปรับยุทธศาสตร์

    อเมริกาจะปรับยุทธศาสตร์เป็นอย่างไร

    จากที่เช็คชื่อ เกณท์ลูกหาบมาเกือบทั้งโลก อเมริกา คงจะชลอเรื่องนี้ไว้ก่อน
    แค่เช็คชื่อ แต่ยังไม่ต้องมาเข้าแถว เพราะมันเปลืองทุน และทรัพยากร .. ถึงเวลาเรียกมาเข้าแถวเองน่า และก็คงต้องมากัน เพราะไม่มีทางเลือก นอกจากจะหันไปซบคุณพี่ปูตินกับอาเฮียก่อน... ไปซบตอนนี้ทันไหม....เปรียบเทียบกับอยู่ในมือที่(หลอก)ให้ความอบอุ่นมาหลายสิบปี

    และการที่อเมริกาใช้ยุทธศาสตร์เกียร์ว่าง กับพันธมิตร และลูกหาบแบบนี้ น่าจะเป็นผลดีกับอเมริกาทางอ้อม ... คนเราขาดคนอุ้ม... มันต้องดิ้นรนกระเสือกกระสนด้วยความกลัวตาย แล้วก็คงไปไหนไม่รอด กลับมาซบคนอุ้มเหมือนเดิม

    คนเราเวลามีความสุข มันเพลินครับ.... ต้องให้มันทุกข์ มันถึงจะดิ้นรน... นั่นแหละครับ ที่มหามิตรเขาต้องการ... หลังจากต้มเพื่อนและลูกหาบมา 25 ปี

    ส่วนอเมริกาเอง คงจะปรับยุทธศาสตร์ ใช้กลยุทธ ที่ทำให้คู่แข่ง หรือศัตรูอ่อนแออย่างเห็นชัด สักพักก่อน แล้วค่อยส่งอาวุธ และ กองทัพไปกวาด...

    อะไรล่ะ ที่จะทำให้คนส่วนมาก อ่อนแอใช้การไม่ได้ และถึงกับล้มตายเป็นเบือในที่สุด .....Stony Brook มาสกิดใจให้ผมคิด ....มิน่า... ขบวนการปั้นเป็ดขึ้นมาเป็นประธานาธิบดี จึงต้องเกิดขึ้น มันต้องเอาคนอีกพันธุ์ คนอีกกลุ่ม เช่นพวกสุดโต่งนั่นแหละ ถึงจะเหมาะกับภาระกิจสำคัญ ไม่ต่างกับสร้างฮิตเลอร์สมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 .....แม่มดเก็บไม้กวาดเข้าโรงไปได้ (สะกดด้วย ร เรือ หรือ ล ลิง นะ) แม่มดใจอ่อนกับผู้บริจาคเงินทุนให้มูลนิธิตัวเองมากไปหน่อย แถมผู้บริจาคมีทุกสายพันธุ์เสียด้วย .....ส่วนลูกหาบที่เช็คชื่อไว้ ก็อยู่เฉยๆ อย่าทะลึ่งย้ายค่าย ตายเปล่านะมึง... และ อย่าเพิ่งเสือกมาทวงอะไรตอนนี้ ... รอคำสั่ง... เข้าใจไหม

    ของขวัญแบบที่ Stony Brook คิด (และเชื่อว่าคงไม่ได้มีที่เดียว) คงจะมีการส่งให้คู่แข่งตัวสำคัญอย่างอาเฮีย... ที่มีประชากรหนาแน่น และมีกำลังพลเป็นล้านๆ ....ไม่เหมาะกับการยกทัพเข้าไปลุยกันทันที ....ของขวัญแบบฝิ่น ที่ทำให้จีนอ่อนระทวยหมดแรงคงมีการส่งเข้าไปก่อน แต่คราวนี้คงแสนสาหัสหนักหนากว่าฝิ่น ...คงเป็นประเภทตกลงมาจากฟ้า มาเองเหมือนฝน เอามันให้กระจายเละไปทั่ว....หลังจากนั้นจึงค่อยกรีทากองทัพเข้าไป

    ตอนนี้ กองทัพเรือของอเมริกาจากบริเวณต่างๆ ขยับขยายย้ายที่ มาประจำการณ์อยู่รอบแนว ตั้งแต่มหาสมุทรอินเดีย ไล่มาแปซิฟิก ใต้ ตะวันตก ยาวไปถึง ตะวันออก โอ้ย เต็มไปหมดแล้ว ประมงหาปลาแถวแปซิฟิกบอก กลัวโดนเกณท์ไปเป็นทหารเรืออเมริกันจัง ฮา

    แล้วคุณพี่ปูตินของผมล่ะ จะได้ของขวัญแบบไหน ก็คงเหมือนกันละครับ แต่รอบแรกนี่ คงถูกล่อให้มาติดหล่มที่ตะวันออกกลางเหมือนเดิม... ปั้มมันจะได้ร้างเร็วๆ

    ตกลงที่ลุงเขียนมานี่ มันเรื่องเลือกตั้งของนายทรัมพ์ตราเป็ด หรือเปล่า คงมีคนสงสัย... เรื่องเดียวกันแน่นอนครับ แต่ทุกอย่างจะให้มันเห็นชัดทันที เหมือนหยิบเอากระจกมาส่องหน้าคงไม่ได้นะ มันไม่ใช่เรื่องผัดหน้านวล หรือ หวีผมทำหน้าหล่อนี่ นี่มันเรื่องเขาจะทำศึกใหญ่กันแล้ว ใครเขาจะมาบอกอะไรเราโต้งๆ ...เราก็ต้องเพียรพยายาม หาข้อมูลไปเรื่อยๆ เอามาประกอบการคิด เอามาประมวลผล คิดย้อนหลัง ก่อนคิดไปข้างหน้า ถึงจะพอเข้าใจปัจจุบัน ....ถ้าพอเข้าใจแล้ว ก็คงเห็นว่า มันเล่นละครให้เราดูทั้งนั้น แต่เป็นละครโหดเหี้ย...ม เหลือเชื่อ .....คอยดูคณะรัฐมนตรี และคนทำงานในตำแหน่งสำคัญๆ ของท่านทรัมพ์ตราเป็ด ก็แล้วกัน มันคงบอกได้แยะครับ

    และเมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา รายการ GPS ของนายฟารีด ซาคาเรีย Fareed Zakaria (สมาชิก CFR) ได้เชิญนายเฮนรี่ คิสซิงเจอร์ Henry Kissinger (สมาชิก CFR คนสำคัญ) มาออกรายการ เมื่อนายซาคาเรีย ถาม คิสซิงเจอร์ ถึงนโยบายหาเสียงของท่านเป็ด ที่ทำให้ดูเหมือนเป็นทวงบุญคุณเพื่อน และให้เพื่อนช่วยตัวเอง ให้มากกว่า นี้ ... มันเป็นการทิ้งเพื่อน หรือแสดงว่า อเมริกา อ่อนด้อยลงไปหรือไม่..

    นายคิสซิงเจอร์ ในวัย 93 ปี ยังแสดงความเฉียบให้เห็นตัวตนของ CFR หรืออเมริกา ได้ชัดเจน

    เขาตอบว่า ... ผมไม่ได้มาพูดในฐานะโฆษกของว่าที่ประธานาธิบดีนะ .... นั่นเขามาตัวเปล่า (ไม่มีความรู้ ความชำนาญ) ก็จริง ...แต่เราควรให้โอกาสกับนายเป็ด ที่จะใช้ปรับนโยบายส่วนที่เป็นประโยชน์พิสูจน์ตัวเอง...

    ....และว่ากันจริงๆ สิ่งที่นายเป็ดบอกกับเพื่อน ให้เพื่อนออกแรงเองบ้างนั้น ก็เป็นเรื่องที่อเมริกา น่าจะบอกกับเพื่อนมานานแล้ว ... มันไม่ได้แปลว่าอเมริกา ทิ้งเพื่อน หรืออเมริกา ด้อยลง... แต่มันอาจจะเป็นวิธีการ ที่เหมาะสมกับการเป็นไปของโลกในมุมใหม่ ... ที่ทำให้อเมริกา จะดูแลโลก และเพื่อน ที่ได้ผลในระยะยาวมากกว่า....

    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    25 พ.ย. 2559

    เชิญแชร์กันตามสบาย ถ้าไม่ใช่เพื่อการค้า และโปรดให้เครดิตด้วย
    ภาพประกอบจาก google
     
  2. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,654
    ค่าพลัง:
    +97,150
    พม่าปราบผู้ก่อการร้ายโรฮิงยาจริง แต่ทำรุนแรงเกินไป คนกลุ่มเดียวก่อเรื่อง คนกลุ่มใหญ่เดือดร้อนแทน

    ฮิวแมนไรท์วอทช์ : บ้านของชาวมุสลิมในพม่านับพันหลังถูกเผาวอด
    โดย เอบีนิวส์ทูเดย์ - 22 พฤศจิกายน 201687


    Alalam – ภาพถ่ายจากดาวเทียมจากองค์กรสิทธิมนุษยชน ฮิวแมนไรท์วอทช์ เผยให้เห็นขอบเขตความเสียหายว่า มีหมู่บ้านของชาวมุสลิมโรฮิงยาถูกเผาทำลายกว่า 430 หลัง

    ขณะที่เจ้าหน้าที่ทหารของกองทัพพม่าอยู่ระหว่างการติดตามตัวกลุ่มผู้ก่อเหตุโจมตีดังกล่าว เบื้องต้นระบุว่า เป็นกลุ่มมุสลิมชาวโรฮิงยาสุดโต่งและมีความเชื่อมโยงกับกลุ่มหัวรุนแรงในต่างแดนด้วย ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตหลายสิบราย และมีผู้ถูกจับกุมจำนวนมาก

    ฮิวแมนไรท์วอทช์ เผยภาพถ่ายจากดาวเทียม ชี้ในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา สิ่งก่อสร้าง 820 แห่งใน 5 หมู่บ้านชาวโรฮิงญา รัฐยะไข่ ถูกทำลายเพิ่ม หากรวมกับข้อมูลตั้งแต่ต้นเดือนตุลาคม ทำให้มีสิ่งก่อสร้างถูกทำลายแล้ว 1,250 แห่ง ซึ่งมีความเสียหายหนักกว่าที่รัฐบาลพม่าอ้าง ทั้งนี้ฮิวแมนไรท์วอทช์ยังเรียกร้องพม่าเร่งให้ UN เข้าพื้นที่เพื่อสอบสวนสิ่งที่เกิดขึ้น

    ฮิวแมนไรท์วอทช์ เปิดเผยภาพถ่ายจากดาวเทียม แสดงให้เห็นสิ่งก่อสร้างที่ถูกทำลายเพิ่มขึ้นอีก 820 แห่งในพื้นที่ 5 หมู่บ้านของชาวโรฮิงญา ในรัฐยะไข่ ระหว่างวันที่ 10 ถึง 18 พฤศจิกายนนี้ พร้อมเรียกร้องรัฐบาลพม่า ไม่ควรประวิงเวลาที่จะเชิญสหประชาชาติเข้าไปสอบสวนเหตุทำลายหมู่บ้านที่เกิดขึ้นในรัฐยะไข่

    ทั้งนี้เมื่อรวมกับข้อมูลภาพถ่ายผ่านดาวเทียมที่ฮิวแมนไรท์วอช์เผยแพร่เมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน ทำให้ขณะนี้สามารถระบุจำนวนสิ่งก่อสร้างที่ถูกทำลายไปแล้วอย่างน้อย 1,250 แห่ง

    ฮิวแมนไรท์วอทช์ ระบุด้วยว่า ภาพจากดาวเทียมชุดล่าสุด แสดงให้เห็นว่าการเผาทำลายหมู่บ้านเกิดขึ้นขนาดใหญ่และมากกว่าที่รัฐบาลพม่าอ้าง

    ฝ่ายรัฐบาลกล่าวว่า มีบ้านไม่ถึง 300 หลัง ที่ถูกทำลายจากการโจมตีของกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบที่ต้องการบ่มเพาะความเข้าใจผิดระหว่างกองกำลังรัฐบาล และประชาชน.

    กองกำลังทหารระดมกำลังลงพื้นที่ตามแนวชายแดนติดบังกลาเทศ ที่พื้นที่ส่วนใหญ่เป็นที่อยู่อาศัยของชนกลุ่มน้อยชาวมุสลิมโรฮิงญา นับตั้งแต่เกิดเหตุโจมตีหลายระลอกที่ด่านตำรวจชายแดนเมื่อเดือนก่อน��ประชาชนมากถึง 30,000 คน ต้องกลายเป็นผู้ไร้ที่อยู่อาศัยอันเนื่องจากเหตุรุนแรงที่เกิดขึ้น ตามการรายงานของสหประชาชาติ และมีหลายสิบคนเสียชีวิตจากการระดมยิงโดยเฮลิคอปเตอร์ติดอาวุธที่ทหารเสริมกำลังในการต่อสู้กวาดล้างผู้ก่อเหตุไม่สงบ�กองกำลังรักษาความมั่นคงได้สังหารผู้คนไปเกือบ 70 ราย และจับกุมผู้ต้องสงสัยมากกว่า 400 ราย นับตั้งแต่เข้าปิดล้อมพื้นที่เมื่อ 6 สัปดาห์ก่อน ตามการรายงานของสื่อทางการพม่า แต่นักเคลื่อนไหวระบุว่า ตัวเลขอาจสูงกว่าที่ทางการรายงานไว้�ชาวโรฮิงญาหลายร้อยคนได้พยายามที่จะหลบหนีความรุนแรงเข้าไปในบังกลาเทศ ที่เป็นประเทศเพื่อนบ้าน ด้านผู้เห็นเหตุการณ์ และนักเคลื่อนไหวได้รายงานว่า กองกำลังทหารสังหารชาวโรฮิงญา ข่มขืนผู้หญิง ปล้นทรัพย์สิน และเผาบ้านเรือนของคนเหล่านั้น แต่ฝ่ายรัฐบาลได้ออกมาปฏิเสธข้อกล่าวหา และว่าข้อกล่าวอ้างดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของแผนการให้ข้อมูลที่ไม่ถูกต้องของกลุ่มผู้ก่อการร้าย

    เอบีนิวส์ทูเดย์
    abnewstoday | เอบีนิวส์ทูเดย์
    เอบีนิวส์ทูเดย์ยินดีเป็นอย่างยิ่งให้นำข่าวและเนื้อหาอื่นๆ ของเราไปเผยแพร่ แต่อยู่ภายใต้เงื่อนไขที่จะต้องให้เครดิตกับเอบีนิวส์ทูเดย์สำหรับเนื้อหาทุกชิ้นที่นำไปเผยแพร่

    ฮิวแมนไรท์วอทช์ : บ้านของชาวมุสลิมในพม่านับพันหลังถูกเผาวอด | abnewstoday
    .
     
  3. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,654
    ค่าพลัง:
    +97,150
    การคาดการณ์สงครามโลกครั้งที่สามโดยศาสตราจารย์ทางการทหาร โดย เอบีนิวส์ทูเดย์ - 24 พฤศจิกายน 2016

    Tasnimnews – ผู้เชี่ยวชาญด้านการทหารได้เตือน หากประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาเข้าสู่สนามเพื่อให้ชาติในบอลติกหลุดพ้นจากเงื้อมมือของรัสเซียแล้ว มีความเป็นไปได้ว่าจะเกิดสงครามโลกครั้งที่สาม

    ประเทศบอลติกนาโตเช่นลัตเวีย ลิทัวเนีย และเอสโตเนีย ได้แสดงความยินดีทันทีหลังจากที่ทรัป์ได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา เนื่องจากว่าพวกเขารอคอยและฟังข่าวว่าเขาจะยังคงให้เงินสนับสนุนทางการป้องกันหรือไม่

    อเมริกาให้การสนับสนุนเสมอมาแก่ประเทศเหล่านี้ในการรับมือการโจมตีที่อาจจะเกิดขึ้นจากรัสเซีย

    ศาสตราจารย์ พอล มิลเลอร์ ผู้เชี่ยวชาญด้านการป้องกันประจำมหาวิทยาลัยกลาโหมแห่งชาติในกรุงวอชิงตัน เตือนว่า โลกอาจต้องเผชิญกับการรบครั้งใหญ่และลัตเวียเป็นสนามแรกของสงครามครั้งนี้

    ก่อนหน้านี้เขายังได้คาดการณ์ไว้กรณีที่รัสเซียรุกรานแหลมไครเมียในปี 2014 และมิลเลอร์ยังเคยคาดการณ์กรณีการรุกรานของรัสเซียในยูเครนอีกด้วยซึ่งในขณะนี้ดำเนินการมานานกว่าสองปีที่แล้ว

    ผู้เชี่ยวชาญที่มีชื่อเสียงท่านนี้เชื่อว่า ลัตเวียจะเป็นเป้าหมายต่อไปของรัสเซีย ซึ่งการรุกรานครั้งนี้จะทำให้เกิดการปะทะกันที่ร้ายแรง ก่อให้เกิดความท้าทายโดยจะใช้ไม่อาวุธยุทโธปกรณ์ทางทหารโดยไม่มีขีดจำกัด

    มิลเลอร์ได้กล่าวว่า ปูตินจะไม่ส่งจำนวนทหารไปยังชายแดนระหว่างประเทศ แต่ในทางกลับกันเขาได้สร้างวิกฤติทางทหารตัวแทนตลอดสองปีที่ผ่านมาที่ไม่อาจปฏิเสธได้

    เขากล่าวเสริมว่า มีความเป็นไปได้สูงที่ประชาชนในลัตเวียหรือลัตเวียรัสเซียจะก่อความโกลาโหมสับสนวุ่นวายเกิดขึ้นเพื่อเรียกร้องสิทธิในการประท้วงและอ้างว่าพวกเขาถูกข่มเหง และเรียกร้องให้ “ระหว่างประเทศให้การสนับสนุน” และสถานการณ์ดังกล่าวก็จะเกิด “แนวรบประชาชนสำหรับการปลดปล่อยบอลติกออกจากรัสเซีย” ซึ่งเป็นแนวรบหรือกองกำลังติดอาวุธและได้รับการฝึกฝนเป็นอย่างดี

    เขากล่าวเสริมว่า บุคคลระดับสูงจำนวนมากจะถูกลอบสังหารและเหตุการณ์ลอบวางระเบิดในประเทศบอลติกเพื่อเป็นชนวนสงครามกลางเมือง

    เนื่องจากทุกประเทศบอลติกเป็นสมาชิกนาโต ดังนั้นการรุกรานโดยรัสเซียนั้นหมายความว่าทุกประเทศสมาชิกจะต้องรีบเร่งที่จะต้องให้การช่วยเหลือประเทศที่ถูกรุกราน และถ้าองค์กรทางทหารพยายามที่จะต่อกรและรุกรานรัสเซียแล้วมันก็จะนำไปสู่สงครามโลกครั้งที่สามอย่างแน่นอน


    เอบีนิวส์ทูเดย์
    abnewstoday | เอบีนิวส์ทูเดย์
    เอบีนิวส์ทูเดย์ยินดีเป็นอย่างยิ่งให้นำข่าวและเนื้อหาอื่นๆ ของเราไปเผยแพร่ แต่อยู่ภายใต้เงื่อนไขที่จะต้องให้เครดิตกับเอบีนิวส์ทูเดย์สำหรับเนื้อหาทุกชิ้นที่นำไปเผยแพร่
    บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมจากผู้เขียน

    การคาดการณ์สงครามโลกครั้งที่สามโดยศาสตราจารย์ทางการทหาร | abnewstoday
    .
     
  4. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,654
    ค่าพลัง:
    +97,150
    เปิดตำนาน “เลิดสะมันเตา” คนแรกที่ปั้นน้ำเป็นตัว ทำเรือเมล์-รถเมล์ ทายาทเพิ่งขายอู่รถเมล์ไปหมื่นกว่าล้าน! โดย โรม บุนนาค ที่มา Manager Online

    เป็นข่าวที่ตื่นตะลึงวงการธุรกิจพอควร เมื่อบริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด (มหาชน) เจ้าของเครือโรงพยาบาลกรุงเทพ ได้แจ้งตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเมื่อวันที่ ๒๘ กันยายนที่ผ่านมาว่า ได้ทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินโครงการปาร์คนายเลิศ ถนนวิทยุ แขวงลุมพินี เขตปทุมวัน ซึ่งประกอบด้วยอาคารโรงแรมสวิสโฮเต็ล ปาร์ค นายเลิศ และสิ่งก่อสร้างอื่นๆ รวมเนื้อที่ ๑๕ ไร่ ในราคา ๑๐,๘๐๐ ล้านบาท เพื่อจะปรับปรุงเป็นศูนย์บริการด้านเวชศาสตร์ชะลอวัยและฟื้นฟูสุขภาพแบบครบวงจรแห่งแรกของเอเซีย ซึ่งที่ดินผืนนี้มีตำนานมายาวนานกว่า ๑๐๐ ปี เริ่มจากเป็นอู่รถเมล์สายแรกของกรุงเทพฯ และบ้านของ นายเลิศ เศรษฐบุตร คนเกิดในยุค ร.๕ ซึ่งได้รับยกย่องว่าเป็นทั้งคนดีและคนเก่งของกรุงรัตนโกสินทร์ เจ้าของฉายาโด่งดังแห่งยุค “เลิดสะมันเตา”

    นายเลิศมีชื่อเดิมว่า “เลิด” คล้องจองกับพี่ชายคือ “ลัด” หรือ มหาอำมาตย์โท พระยานรเนติบัญชากิจ แต่นายเลิศเลือกทางเดินต่างจากพี่ชาย แม้จะมีความเชื่อกันในยุคนั้นว่า “๑๐ พ่อค้าก็ไม่เท่ากับ ๑ พระยาเลี้ยง” คือรับใช้เจ้าขุนมูลนายดีกว่ามาเป็นพ่อค้าที่ไม่มีหลักประกันที่แน่นอน

    เมื่อจบการศึกษาหลักสูตรครูจากโรงเรียนสุนันทาลัยในวัย ๑๖ ปี แทนที่จะยึดอาชีพครู นายเลิศกลับไปสมัครเป็นเสมียนฝึกหัดงานกับห้างวินเซอร์ของฝรั่ง ซึ่งเรียกกันว่า “ห้างสี่ตา” ถูกใช้ให้ทำงานสารพัด แม้ว่าจะไม่สมกับความรู้ที่ร่ำเรียนมานายเลิศก็ยอม ด้วยความหวังที่จะเรียนรู้การเป็นนายห้างกับเขาบ้าง แต่ทนทำอยู่เป็นปีก็ไม่ได้รับการบรรจุ และไม่ได้รับเงินเลย จึงขอลาออก

    จากห้างสี่ตา นายเลิศไปสมัครทำงานที่โรงภาษี แต่ได้รับคำตอบว่าคนเต็มแล้ว นายเลิศบอกไม่รับเงินก็ได้ ขอแค่ฝึกงานก็พอ เลยได้เรียนรู้งานที่โรงภาษีอีกแห่ง และทนทำงานแบบไม่ได้เงินอีก ๘ เดือน รวมทำงานหลังจบการศึกษามา ๑ ปี ๘ เดือนแบบไม่ได้ทั้งเงินและไม่เห็นอนาคต นายเลิศเห็นว่าทำงานแบบนี้ไม่ไหวแน่ จึงหันไปหางานที่ได้เงินทำ และได้รับการบรรจุเป็นครูที่โรงเรียนสุนันทา สถานศึกษาที่จบมานั่นเอง ได้รับเงินเดือนถึงเดือนละ ๑๐ บาท ซึ่งอยู่ในขั้นไม่เลว

    แม้จะยอมเป็นครู แต่ความฝันที่จะเป็นนายห้างของนายเลิศก็ยังไม่ยอมล้มเลิก มาได้จังหวะเมื่อแหม่มแมคฟาแลนด์ หรือที่เรียกกันว่า “แหม่มฟ้าลั่น” มิชชันนารีอเมริกัน มาชวนให้ไปทำงานกับบริษัทสิงคโปร์สเตรท ซึ่งต่อมาก็คือ บริษัทเฟรเซอร์ แอนด์ นีฟ ในแผนกจำหน่ายน้ำหวานและโซดาที่เรียกว่า “น้ำมะเน็ด” เครื่องดื่มยอดนิยมในยุคนั้น นายเลิศจึงลาออกจากอาชีพครูไปล่าหาความฝันทันที และได้รับเงินเดือนๆ ละ ๑๕ บาท

    หลังจากทำงานกับบริษัทสิงคโปร์สเตรทอยู่ ๖ ปี มีรายได้เพิ่มขึ้นถึงเดือนละ ๑,๕๐๐ บาท และเก็บเงินได้พอควร นายเลิศจึงตัดสินใจขอเป็น “นายห้าง” บ้าง เปิดห้างของตัวเองในชื่อ “ห้างนายเลิด” ขึ้นในปี ๒๔๓๗ จำหน่ายสินค้าต่างประเทศ เช่นเครื่องกระป๋อง รวมทั้งจักรเย็บผ้า ต่อมาก็จำหน่ายน้ำมะเน็ด น้ำมันมะพร้าว และหนังสือต่างประเทศ

    ชีวิตคนเก่งอย่างนายเลิศไม่ได้ราบรื่นไปทุกก้าว การจำหน่ายน้ำมะเน็ดที่มีประสบการณ์มาจากห้างสิงคโปร์สเตรท ก็ประสบปัญหาจนต้องเลิกขาย และมาขาดทุนย่อยยับจากการขายสังกะสี แต่นายเลิศเป็นคนที่ไม่ยอมจำนนง่ายๆ มองหาช่องทางที่จะก้าวใหม่อยู่เสมอ ตอนนั้น “รถไบซิเคิล” หรือ “รถถีบ” ซึ่งก็คือรถจักรยานสองล้อกำลังเป็นที่นิยม นายเลิศจึงสั่งจักรยานเข้ามาขายบ้าง แต่กว่าสินค้าที่สั่งจะมาถึง จักรยานก็เต็มตลาดเสียแล้ว ต้องขาดทุนซ้ำซ้อนอีก

    คนที่ไม่ยอมจำนนเท่านั้นที่ยังมีโอกาส นายเลิศมองหากิจการใหม่ๆ ที่คนยังตามไม่ทันบ้าง ตอนนั้นเริ่มมีฝรั่งเข้ามาตั้งโฮเตลในกรุงเทพฯหลายแห่งแล้ว โรงแรมโอเรียนเต็ลของกลาสีชาวเดนมาร์กนับว่าทันสมัยที่สุด มีไฟฟ้าใช้ นายเลิศจึงตั้งโรงแรมบ้างที่สี่พระยา ไม่ไกลจากโอเรียนเต็ล นับเป็นโรงแรมแห่งแรกที่มีคนไทยเป็นเจ้าของ สถานที่ก็คือตึกที่เป็นห้างนายเลิดนั่นเอง ปัจจุบันตึกหลังนี้ก็ยังอยู่ และประสพความสำเร็จด้วยดี นับเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เกิดโรงแรมปาร์คนายเลิศในเวลาต่อมา

    ประวัติศาสตร์ได้บันทึกไว้ว่า คนไทยเพิ่งรู้จักน้ำแข็งเมื่อ ๑๕๐ กว่าปีมานี่เอง เมื่อมีเรือเมล์ชื่อ “เจ้าพระยา” เดินทางไปมาระหว่างกรุงเทพฯกับสิงคโปร์ ซึ่งเป็นแหล่งถ่ายทอดอารยะธรรมจากตะวันตก มีผู้นำน้ำแข็งใส่หีบกลบด้วยขี้เลื่อยเข้ามาถวายพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯ รัชกาลที่ ๔ ได้พระราชทานตอกน้ำแข็งออกแจกจ่ายข้าราชบริพารให้ลองลิ้มชิมรส ซึ่งสร้างความตื่นเต้นให้ราชสำนักสยามมาก ส่วนชาวบ้านที่ได้กิติศัพท์ความแปลกของน้ำแข็ง หลายคนก็ไม่ยอมเชื่อว่าจะทำให้น้ำเป็นก้อนได้ จึงเกิดสำนวน “ปั้นน้ำเป็นตัว” ซึ่งหมายถึงเรื่องหลอก

    ต่อมาใน พ.ศ. ๒๔๔๘ สมัยรัชกาลที่ ๕ นายเลิศจึงได้ตั้งโรงน้ำแข็งขึ้นเป็นแห่งแรก ในชื่อ “น้ำแข็งสยาม” ชาวบ้านเรียกกันว่า “โรงน้ำแข็งนายเลิศ” เป็นที่ชื่นชอบของคนไทยในสมัยนั้นมาก แวะเวียนไปดูความแปลกของน้ำแข็งซึ่งใช้ดับร้อนได้ชะงัด ที่นิยมกันมากก็คือเอาน้ำแข็งมาไสเป็นเกล็ด แล้วอัดลงถ้วยให้เป็นแท่ง เอาไม้เสียบถือ ราดด้วยน้ำหวาน เรียกว่า “น้ำแข็งกด” เป็นของแปลกกินแล้วชื่นใจคลายร้อน ต่อมาจึงมีคนปั้นน้ำเป็นตัวตามนายเลิศ และร่ำรวยกันทุกราย

    ตอนนี้เรามีการเดินเรือในคลองแสนแสบและผดุงกรุงเกษมเพื่อช่วยบรรเทาการจราจรที่คับคั่งของกรุงเทพฯ นายเลิศ เศรษฐบุตรก็เป็นคนแรกที่ริเริ่มการคมนาคมทางในคลองแสนแสบนี้ไว้เช่นกัน โดยเปิดเดินเรือเมล์กว่า ๓๐ ลำ รับ-ส่งสินค้าและผู้โดยสาร ซึ่งชาวบ้านเรียกว่า “เรือขาว” และได้รับความนิยมอย่างมาก ทำให้เกิดชุมชนการค้าขึ้นตามริมคลองหลายแห่ง เช่น ตลาดประตูน้ำเฉลิมโลก ตลาดคลองตัน ตลาดวัดตึก ตลาดบางกะปิ ตลาดบางเตย ตลาดหลอแหล ตลาดบางชัน ตลาดมีนบุรี ตลาดคู้ ตลาดเจียรดับ และตลาดหนองจอก อย่างที่เคยเล่าไว้เมื่อไม่กี่วันมานี้ในเรื่องบางกะปิย้ายบาง

    กิจการอีกอย่างที่นายเลิศคิดขึ้นมา ก็คือบริการรถม้าให้เช่า โดยคิดเป็นชั่วโมง ถ้าเทียมม้าตัวเดียวก็ราคาชั่วโมงละ ๗๕ สตางค์ ถ้าม้าคู่ชั่วโมงละ ๑ บาท กิจการไปด้วยดีเหมือนกัน แต่นายเลิศไม่ค่อยพอใจนัก เพราะรู้สึกว่าเป็นการทรมานสัตว์ ต่อมาเมื่อมีการสั่งรถยนต์เข้ามา นายเลิศจึงเปลี่ยนรถม้าเป็นรถยนต์ และเมื่อเห็นว่าบ้านเมืองขยายตัวออกกว้างขวางขึ้น จึงริเริ่มทำรถเมล์

    ความจริงรถเมล์สายแรกของกรุงเทพฯเริ่มขึ้นในปี ๒๔๒๘ แล้ว โดยใช้รถเทียมม้า แต่ก็เรียกกันว่า “รถเมล์” ตามเรือเมล์ที่วิ่งในคลองระหว่างเมือง แต่วิ่งกันอยู่ ๒ ปีก็ต้องเลิกเพราะมีรถรางขึ้นมาแข่ง จนในปี ๒๔๕๐ โดยนายเลิศจึงหันมารื้อฟื้นรถเมล์ขึ้นมาใหม่ เริ่มจากสะพานยศเส หรือสะพานกษัตริย์ศึก ไปตลาดประตูน้ำ ซึ่งเป็นต้นทางเรือเมล์ของนายเลิศในคลองแสนแสบ และไม่มีรถรางในเส้นทางนี้ แรกเริ่มก็ใช้ม้าลาก เมื่อเห็นว่ากิจการไปได้ดี ในปี ๒๔๕๖ นายเลิศจึงนำรถยี่ห้อฟอร์ดมาใช้ ซึ่งขนาดของรถก็ไม่ใหญ่ไปกว่ารถม้านัก เป็นรถมี ๓ ล้อ ที่นั่งเป็นม้ายาว ๒ แถว นั่งได้ประมาณ ๑๐ คน ขณะวิ่งไปตามถนนจะมีเสียงโกร่งกร่างไปตลอดทาง ชาวบ้านจึงเรียกกันว่า “อ้ายโกร่ง” ตัวรถทาสีขาว มีเครื่องหมายกากบาทสีแดงในวงกลม คล้ายขนมกง แต่คนคิดกันว่าเป็นเครื่องหมายกาชาด เรียกกันว่า “รถเมล์ขาวนายเลิศ” และขยายเส้นทางไปถึงบางลำพู ย่านการค้าที่สำคัญของยุคนั้น

    รถเมล์สายแรกของไทยได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะนโยบาย “สุภาพ ซื่อสัตย์ ประหยัด ทันใจ เอากำไรน้อย บริการผู้มีรายได้น้อย” กิจการรถโดยสารของรายเลิศจึงขยายเส้นทางออกไปเรื่อยๆ และพัฒนาเป็นรถ ๔ ล้อ โดยออกแบบเอง มีที่นั่ง ๒ แถวด้านข้างเช่นกัน จนได้รับสัมปทานเดินรถประจำทางในกรุงเทพฯถึง ๓๖ สาย มีรถประมาณ ๗๐๐ คัน มีพนักงานถึง ๓,๕๐๐ คน นับเป็นบริษัทรถเมล์ใหญ่ที่สุดของกรุงเทพฯ แต่ก็ต้องเลิกกิจการไปในปี ๒๕๑๘ เมื่อรัฐบาลมีนโยบายรวมกิจการรถเมล์ทุกสายมาเป็นรัฐวิสาหกิจ

    อนุสรณ์อู่รถเมล์ขาวของนายเลิศ ก็ถือสถานที่ตั้งของโรงแรมปาร์คนายเลิศ ที่ถนนวิทยุ ติดคลองแสนแสบ ซึ่งเซ็นสัญญาจะซื้อจะขายไปในราคาหมื่นกว่าล้านนั่นเอง

    จากการที่เป็นผู้ริเริ่มกิจการหลายอย่างซึ่งล้วนแต่ให้ประโยชน์แก่สังคม ทำให้ชื่อเสียงของนายเลิศโด่งดังไปทั้งเมือง และเป็นที่ชื่นชมว่าเป็นคนเก่งเหนือกว่าคนทั่วไป จนทำให้เกิดคำแสลงที่รู้กันไปทั่วว่า “เลิดสะมันเตา” หมายถึงเลิศอย่างสุดยอด

    นายเลิศทำธุรกิจแบบไม่ได้หวังกอบโกยกำไร มีโอกาสก็จะตอบแทนสังคมอยู่เสมอ อย่างการเดินเรือเมล์ในคลองแสนแสบ ทำให้นายเลิศเป็นที่รู้จักมักคุ้นกับผู้คนในย่านนั้น ซึ่งนายเลิศก็มีความเอื้ออาทรพร่ำแนะนำกับผู้คนว่าให้ห่วงใยการศึกษาของบุตรหลานให้มาก ทำให้หลายคนนำบุตรหลานมาฝากฝังกับนายเลิศให้มีโอกาสได้ร่ำเรียน นายเลิศจึงได้ตั้งโรงเรียนเศรษฐบุตรบำเพ็ญขึ้นที่มีนบุรี ริมคลองแสนแสบ ให้เป็นแหล่งศึกษาของเด็กๆในย่านนั้น เมื่อรัฐบาลให้แยกโรงเรียนชายกับโรงเรียนหญิง ก็มาเปิดอีกแห่งที่ถนนรามอินทรา แยกเป็นโรงเรียนชายและหญิง

    เมื่อนายเลิศได้ย้ายครอบครัวมาสร้างบ้านริมคลองแสนแสบ ที่เป็นปาร์คนายเลิศขณะนี้ ก็ได้ปลูกต้นไม้และสร้างสนามพร้อมสระว่ายน้ำ เป็นที่พักผ่อนหย่อนใจให้คนเข้าไปเที่ยวได้ ลูกเสือซึ่งเกิดขึ้นในสมัยรัชกาลที่ ๖ ก็ใช้เป็นที่ฝึกภาคสนามและหัดว่ายน้ำ ใช้ระเบียงบ้านเป็นที่นอน โดยไม่รังเกียจความวุ่นวายที่เกิดขึ้นในบ้าน

    ในปี ๒๔๖๘ เกิดน้ำท่วมใหญ่ในกรุงเทพฯ นายเลิศยังใช้ทั้งเรือเมล์และรถเมล์ช่วยเหลืออพยพชาวบ้านและสัตว์เลี้ยงให้พ้นจากการจมน้ำตายอีก

    ด้วยความดีงามที่ได้ทำมาอย่างสม่ำเสมอนี้ ในปี ๒๔๖๘ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๖ จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ นายเลิศ เศรษฐบุตร มีบรรดาศักดิ์เป็น พระยาภักดีนรเศรษฐ ซึ่งมีความหมายว่า “เศรษฐีที่มีคนรัก”

    พระยาภักดีนรเศรษฐ (เลิศ เศรษฐบุตร) ถึงแก่อนิจกรรมเมื่อวันที่ ๑๕ ธันวาคม ๒๔๘๘ สิริรวมอายุ ๗๔ ปี นอกจากทิ้งมรดกที่มีค่ามหาศาลไว้ให้ทายาทแล้ว ยังเป็นแบบอย่างที่น่ายกย่องสำหรับนักธุรกิจที่สำนึกในบุญคุณของสังคม

    story and photos by
     
  5. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,654
    ค่าพลัง:
    +97,150
    "นายอุสมาน ล่าเม๊าะ แกนนำเครือข่ายรักษ์ถิ่นเกิดตำบลคู ยืนยันจะไม่เข้าร่วมเวทีประชาพิจารณ์ในครั้งนี้เพราะถือเป็นเวทีอัปยศ ที่นอกจากจะใช้กำลังเจ้าหน้าที่เข้ามาตึงพื้นที่ปิดกั้นประชาชนแล้ว ยังมีการเตรียมการณ์ให้มีผู้สนับสนุนอยู่ภายในก่อนแล้ว ซึ่งเข้าไปก็ไม่มีผลอะไร และยืนยันที่จะไม่ใช่กำลังในคัดค้าน หรือ ต่อต้านโครงการนี้แต่อย่างใด แต่จะสู้ตามหลักกฎหมาย"

    ประชาพิจารณ์โรงไฟฟ้าชีวมวลส่อเดือด!! ล้อมลวดหนาม ขุดคู ให้ชายฉกรรจน์นอนเฝ้า วันที่: 26 พ.ย. 59 เวลา: 10:39 น.

    เวทีประชาพิจารณ์โรงไฟฟ้าชีวมวลจะนะ เดือด ระดมเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยหลายร้อยนาย พร้อมล้อมรั้วลวดหนาม ขุดคู ด้านนอกอาคารที่ใช้ทำประชาพิจารณ์ โดยมีเครือข่ายคัดค้านโครงการ ตรึงกำลัง แสดงพลังคัดค้านโครงการด้านนอก ในขณะที่ด้านในกลุ่มชายฉกรรจน์นอนตรึงพื้นที่ตั้งแต่เมื่อคืน

    เช้าวันนี้ (26 พ.ย.) มีกำหนดเปิดเวทีรับฟังความเห็นในโครงการก่อสร้างโรงไฟฟ้าชีวมวล ขนาด 25 เมกกะวัตต์ ของบริษัท จะนะ กรีนจำกัด โดยใช้สถานที่ ที่ห้องประชุม ชั้น 3 สำนักงานเทศบาลตำบลบ้านนา อำเภอจะนะ จังหวัดสงขลา ซึ่งพบว่า สถานการณ์ตึงเครียดตั้งแต่เมื่อคืนที่ผ่านมา เนื่องจากกลุ่มชาวบ้านเครือข่ายรักษ์ถิ่นเกิดตำบลคู ที่เป็นกลุ่มคัดค้าน โครงการนี้ ได้เดินทางมายังหน้าสถานที่นี้ตั้งแต่กลางดึก โดยมีกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจภูธรจะนะ กำลังกองร้อยชุดควบคุมฝูงชน ตำรวจภูธรจังหวัดสงขลา กำลังอาสารักษาดินแดนจะนะ และ กำลังทหารจากมณฑลทหารบกที่ 42 ค่ายเสนาณรงค์ เข้าร่วมปฏิบัติหน้าที่รักษาความสงบเรียบร้อย กว่า 300 นาย โดยบริเวณด้านหน้า ซึ่งติดถนนสายหลักเส้นทางปัตตานี-หาดใหญ่ ได้มีการปิดการจราจร 1 ช่องทาง บริเวณด้านหน้าสำนักงานเทศบาลตำบลบ้านนา ได้มีการล้อมรั้วลวดหนาม บริเวณโดยรอบอาคารที่มีรั้วอยู่แล้ว มีการขุดคูระบายน้ำให้กว้างขึ้น คาดว่าเป็นการป้องกันชาวบ้านกลุ่มคัดค้านบุกเข้าไปในสถานที่รับฟังความเห็น โดยประตูรั้วของสำนักงานเทศบาลตำบลบ้านนา ทุกด้านปิดทั้งหมด มีช่องทางเดียว ที่เปิดให้เข้าไปภายซึ่งจะมีเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทหาร ตรวจสอบก่อนเข้าไปภายใน

    ในขณะเดียวกัน บริเวณชั้น 2 และ 3 ของอาคารแห่งนี้ ได้มีกลุ่มชายฉกรรจ์ ประมาณ 50 คน เข้ามาตรึงพื้นที่อยู่ภายใน ตั้งแต่เมื่อคืนที่ผ่านมา เพื่อเข้าร่วมเวทีประชาพิจารณ์ในครั้งนี้

    อย่างไรก็ตามนายอุสมาน ล่าเม๊าะ แกนนำเครือข่ายรักษ์ถิ่นเกิดตำบลคู ยืนยันจะไม่เข้าร่วมเวทีประชาพิจารณ์ในครั้งนี้เพราะถือเป็นเวทีอัปยศ ที่นอกจากจะใช้กำลังเจ้าหน้าที่เข้ามาตึงพื้นที่ปิดกั้นประชาชนแล้ว ยังมีการเตรียมการณ์ให้มีผู้สนับสนุนอยู่ภายในก่อนแล้ว ซึ่งเข้าไปก็ไม่มีผลอะไร และยืนยันที่จะไม่ใช่กำลังในคัดค้าน หรือ ต่อต้านโครงการนี้แต่อย่างใด แต่จะสู้ตามหลักกฎหมาย

    ประชาพิจารณ์โรงไฟฟ้าชีวมวลส่อเดือด!! ล้อมลวดหนาม ขุดคู ให้ชายฉกรรจน์นอนเฝ้า

    นวัตกรรมใหม่! ขนกลุ่มหนุนไปนอนค้างที่จัด ค.1 “โรงไฟฟ้าจะนะกรีน” แต่ชาวบ้านรู้ทุนสมทบ นร.พาเหรดล้มเวทีสำเร็จหน 2 เผยแพร่: 26 พ.ย. 2559 11:52:00 โดย: MGR Online

    ศูนย์ข่าวหาดใหญ่ - เปิดนวัตกรรมใหม่สร้าง “โรงไฟฟ้าชีวมวลจะนะกรีน” แอบขนฝ่ายหนุนเข้าไปนอนค้างคืนยังสถานที่จัด ค.1 เสริมมาตรการปิดกั้นด้วยลวดหนาม และจัดกำลังทหาร-ตำรวจ-อส.เต็มอัตราศึกคุมพื้นที่ แต่ชาวบ้านกลุ่มค้านรู้ทันเข้าปิดล้อมตั้งแต่กลางดึก แถมเช้ามีนักเรียนมัธยมหลายร้อยพาเหรดสมทบ ส่งผลเวทีล้มไม่เป็นท่าหนสอง


    ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (26 พ.ย.) ที่สำนักงานเทศบาลตำบลบ้านนา อ.จะนะ จ.สงขลา สถานที่ที่บริษัท คอนซัลแทนท์ ออฟ เทคโนโลยี จำกัด ทำเรื่องขอใช้ห้องประชุมชั้น 3 จัดเวทีรับฟังความคิดเห็นของประชาชนและผู้มีส่วนได้เสีย ครั้งที่ 1 (ค.1) ระหว่างเวลา 08.30-12.00 น. ตามขั้นตอนการศึกษาเพื่อจัดทำรายงานผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม (EIA) ก่อนจะขึ้นโครงการโรงไฟฟ้าชีวมวล ขนาดกำลังผลิต 25 เมกกะวัตต์ได้ ซึ่งมีแผนจะลงทุนก่อสร้างในพื้นที่ ต.คู อ.จะนะ จ.สงขลาได้นั้น ปรากฏว่าตั้งแต่กลางดึกต่อเนื่องถึงช่วงเช้าที่ผ่านมาได้เกิดความวุ่นวายขึ้น ส่งผลให้การจัดเวที ค.1 ดังกล่าวไม่สามารถดำเนินการได้จนสำเร็จขึ้นตอน

    ทั้งนี้ การจัดเวที ค.1ของบริษัทที่ปรึกษาดังกล่าว ที่ไม่ประสบผลสำเร็จครั้งนี้ ถือเป็นการจัดขึ้นหนที่ 2 เนื่องจากหนแรกที่จัดขึ้นเมื่อวันที่ 5 ต.ค.ที่ผ่านมา แต่ปรากฏว่ามีชาวบ้านในพื้นที่ที่คาดว่าจะได้รับผลกระทบทางมลพิษและด้านอื่นๆ ได้รวมตัวกันลุกขึ้นคัดค้าน พร้อมชี้ให้เห็นความไม่โปร่งใสในการจัดทำเวทีรับฟังความคิดเห็น ค.1 จนไม่สามารถดำเนินการจัดเวทีได้สำเร็จมาแล้วหนหนึ่ง สำหรับโครงการโรงไฟฟ้าชีวมวล ซึ่งมีแผนจะก่อสร้างขึ้นในพื้นที่ ต.คู อ.จะนะ จ.สงขลา ดังกล่าวเป็นโครงการลงทุนของบริษัท จะนะ กรีน จำกัด มีกำลังผลิตไฟฟ้าอยู่ที่ 25 เมกกะวัตต์


    ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ก่อนหน้านี้ทางบริษัทจะนะกรีนได้วางแผนอย่างแยบยลเพื่อผลักดันให้เวที ค.1 ตามขั้นตอนการศึกษา EIA ให้เดินหน้าไปได้จนสำเร็จ โดยมีการวางลวดหนามและสิ่งปิดกั้นสถานที่เพื่อกันกลุ่มคัดค้านโครงการไว้เป็นอย่างดี รวมถึงประสานขอกำลังเจ้าหน้าที่ทั้งตำรวจ ทหารและอาสาสมัครจำนวนกว่า 500 นาย ให้ไปทำหน้าที่ควบคุมดูแลความสงบเรียบร้อยตั้งแต่เวลาประมาณ 05.00 น. พร้อมการจัดกลุ่มชาวบ้านฝ่ายสนับสนุนเข้าไปนอนรอในห้องประชุม และบริเวณที่ทำการเทศบาลไว้จำนวนหนึ่ง ส่วนที่เหลือให้เดินทางมาร่วมในช่วงเช้าตามปกติ

    แต่ปรากฏว่ากลุ่มชาวบ้านที่คัดค้านและถูกกันไม่ให้เข้าร่วมเวทีได้ทราบเรื่องล่วงหน้า โดยได้ร่วมตัวกันจัดกิจกรรมขึ้นในหมู่บ้านตั้งแต่เมื่อค่ำวานนี้ จากนั้นช่วงเวลาหลังเที่ยงคืนไม่นานก็ได้เคลื่อนขบวนด้วยรถยนต์กว่า 30 คันนำชาวบ้านนับร้อยไปนั่งปิดล้อมบริเวณทางเข้าที่ทำการเทศบาลตำบลบ้านนา ขณะที่ช่วงเช้าเวลาหลังเวลาเคารพธงชาติ ยังมีกลุ่มนักเรียนจากโรงเรียนจะนะชนูปถัมภ์ ซึ่งเป็นโรงเรียนมัธยมประจำ อ.จะนะ ที่อยู่ใกล้กับพื้นที่ก่อสร้างโรงไฟฟ้าชีวิมวลดังกล่าว ได้จัดขบวนพาเหรดนำนักเรียนหลายร้อยชีวิตไปสมทบฝ่ายคัดค้านโครงการ


    อย่างไรก็ตาม แม้จะมีความวุ่นวายบ้าง แต่ก็ไม่ปรากฏมีเหตุการณ์รุนแรงใดๆ เกิดขึ้น ซึ่งจากการที่เจ้าหน้าที่ผลักดันให้มีการส่งตัวแทนไปร่วมเจรจากันระหว่างกลุ่มชาวบ้านที่คัดค้าน กับฝ่ายเจ้าของโครงการ ซึ่งในที่สุดก็เป็นที่ตกลงกันว่า เวที ค.1 ตามกระบวนการจัดทำ EIA โครงการก่อสร้างโรงไฟฟ้าชีวมวลจะนะกรีนในครั้งจะไม่มีการดำเนินการต่อไป แต่จะให้มีการเลื่อนออกไปจัดขึ้นใหม่ภายในเวลา 1 เดือนนับจากนี้ โดยต้องมีการจัดเวทีแบบเปิดให้ทุกฝ่ายเข้าถึงและเข้าร่วมได้ โดยเฉพาะทั้งฝ่ายค้านและสนับสนุนต้องสามารถเข้าไปมีส่วนร่วมด้วยอย่างเท่าเทียม

    “เมื่อการเจรจาเป็นที่ตกลง เวลาประมาณสิบโมงเช้าที่ผ่านมา พวกเราก็สลายตัวกันไปจากบริเวณหน้าเทศบาลตำบลบ้านนา บางส่วนยังไม่วางใจว่าบริษัทจะนะกรีนจะแอบจัดเวทีต่อหรือเปล่า จึงไปรวมตัวกันที่โรงเรียนจะนะชนูปถัมภ์ที่อยู่ไม่ไกลกันนัก ขอย้ำให้ทุกฝ่ายได้ทราบว่า ทางเราได้ขอให้บริษัทรับปากแล้วว่า ก่อนจัดเวทีครั้งต่อไปต้องไม่มีการหว่านเงินหรือผลประโยชน์อื่นใดให้กับคนในพื้นที่ เพื่อแลกเปลี่ยนกับการให้การสนับสนุนสร้างโรงไฟฟ้าแห่งนี้ เพราะหากเกิดขึ้นอีกก็น่าจะจบยากอีกเช่นกัน” แหล่งข่าวระดับแกนนำฝ่ายค้านให้ข้อมูลเพิ่ม


    Manager Online
     
  6. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,654
    ค่าพลัง:
    +97,150
    บังกลาเทศผลักดันผู้ลี้ภัยชาวโรฮีนจากลับ ในขณะที่พวกเขาถูกกระทำด้วยความรุนแรงในพม่า
    เผยแพร่: 26 พ.ย. 2559 14:03:00 ปรับปรุง: 26 พ.ย. 2559 14:52:00 โดย: MGR Online

    จากเหตุการณ์ความรุนแรงที่เกิดขึ้นต่อชาวโรฮีนจาในขณะนี้ แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล พบว่า มีผู้ลี้ภัย และผู้แสวงหาที่พักพิงชาวโรฮีนจา ถูกกักตัว และถูกบังคับส่งกลับไปยังพื้นที่เสี่ยงอันตรายต่อชีวิต ซึ่งถือเป็นการละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศอย่างร้ายแรง ทั้งยังขาดแคลนน้ำ อาหาร และยารักษาโรค โดยรัฐบาลบังกลาเทศ และพม่า ขัดขวางไม่ให้ประชาชนหลายพันคนเข้าถึงความช่วยเหลือ และยังพบข้อมูลที่น่าสะพรึงกลัวของการโจมตีหมู่บ้านต่างๆ โดยทหารอีกด้วย

    แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล เผยว่า ท่ามกลางความรุนแรงจากการปราบปรามชาวโรฮีนจา ซึ่งเป็นชนกลุ่มน้อยโดยทหารพม่า ส่งผลให้มีผู้ลี้ภัยหลายพันคนต้องหลบหนีข้ามฝั่งไปยังบังกลาเทศ และต้องการความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมอย่างเร่งด่วน แต่พวกเขากำลังถูกผลักดันกลับไปยังพื้นที่เสี่ยงภัย ซึ่งถือเป็นการละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศอย่างร้ายแรง

    แชมพา พาเทล (Champa Patel) ผู้อำนวยการประจำภูมิภาคเอเชียใต้ แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล เปิดเผยว่า ทางการบังกลาเทศได้ปราบปรามการหลั่งไหลเข้ามาของผู้ลี้ภัยและผู้แสวงหาที่พักพิงชาวโรฮีนจาจากพม่า ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยกองกำลังปกป้องชายแดนของบังกลาเทศได้กักตัว และบังคับส่งกลับพวกเขาหลายร้อยคน การปฏิบัติเช่นนี้ถือเป็นการละเมิดหลักการไม่ส่งกลับ (principle of non-refoulement) ซึ่งเป็นข้อห้ามเด็ดขาดตามกฎหมายระหว่างประเทศ ไม่ให้มีการบังคับส่งกลับบุคคลไปยังประเทศ หรือสถานที่ซึ่งมีความเสี่ยงว่าพวกเขาจะต้องเผชิญต่อถูกการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรง

    “ชาวโรฮีนจาถูกบีบจากมาตรการที่ทารุณทั้งจากฝั่งทางการพม่า และบังกลาเทศ หลังจากหลบหนีการปราบปรามในพม่า ในขณะนี้พวกเขากำลังถูกผลักดันกลับโดยทางการบังกลาเทศ เหมือนหนีเสือปะจระเข้ และยังต้องการความช่วยเหลืออย่างเร่งด่วนทั้งด้านอาหาร น้ำ และการรักษาพยาบาล ซึ่งเป็นปัญหาที่ยังไม่ได้รับการแก้ไข”

    ชาวโรฮีนจาหลบหนีจากนโยบายการปราบปรามในรัฐยะไข่ของพม่า โดยกองกำลังความมั่นคงของรัฐบาลได้ปฏิบัติการโจมตีอย่างไม่เลือกหน้าเพื่อตอบโต้หลังเกิดเหตุการณ์โจมตีฐานที่มั่นบริเวณพรมแดน 3 แห่ง เมื่อวันที่ 9 ตุลาคม และส่งผลให้ตำรวจชายแดนเสียชีวิต 9 นาย

    “การพุ่งเป้าโจมตีบุคคลซึ่งไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องต่อการโจมตีป้อมตำรวจเลย การโจมตีทั้งครอบครัว และทั้งหมู่บ้าน ส่งผลให้ปฏิบัติการเหล่านี้มีเป้าหมายเพื่อมุ่งโจมตีกลุ่มชาวโรฮีนจาโดยรวม ทั้งนี้ ด้วยเหตุผลเกี่ยวกับชาติพันธุ์ และศาสนาของพวกเขา”

    แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ได้มีโอกาสพูดคุยกับชาวโรฮีนจาระหว่างอยู่ในบังกลาเทศ และสัมภาษณ์พวกเขาบางส่วนที่ยังคงอยู่ในพม่า ได้รับฟังเรื่องราวการปฏิบัติของกองกำลังความมั่นคงของพม่า ที่นำโดยทหาร ซึ่งยิงทำร้ายชาวบ้านจากเฮลิคอปเตอร์ มีการจุดไฟเผาบ้านหลายร้อยหลัง ทั้งยังจับกุมบุคคลโดยพลการ รวมทั้งข่มขืนกระทำชำเราผู้หญิง และเด็กผู้หญิง

    ชายอายุ 38 ปี เล่าให้ แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ฟัง หลังจากเดินทางมาถึงบังกลาเทศเมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน ว่า “น้องสาว และน้องชายของผมต่างถูกทหารลักพาตัวไป ผมเห็นกับตาว่าทหารเผาหมู่บ้านของเรา และทหารยังได้ข่มขืนผู้หญิง และเด็กผู้หญิงอีกด้วย”

    หญิงอายุ 44 ปี เล่าว่า “เธอเห็นทหารจับกุม และใส่กุญแจมือชายหนุ่มหลายคนในหมู่บ้าน แล้วนำพวกเขาไปยิงทิ้ง และผลักให้ลงไปในหลุมศพขนาดใหญ่ เธอยังเล่าต่อว่า ทหารยังใช้จรวดมือถือ ซึ่งเป็นข้อมูลที่สอดคล้องต่อประจักษ์พยานคนอื่นๆ ที่เห็นว่ามีการใช้อาวุธ และปฏิบัติการดังกล่าว”

    รัฐบาลพม่าออกมาปฏิเสธข้อกล่าวหาเกี่ยวกับการละเมิดสิทธิมนุษยชนของทหาร แต่ในเวลาเดียวกันก็ปิดกั้นไม่ให้มีการเข้าถึงความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม และห้ามไม่ให้ผู้สื่อข่าวอิสระ และหน่วยงานตรวจสอบด้านสิทธิมนุษยชนเข้าไปในพื้นที่ได้เลย

    “ข้อมูลเกี่ยวกับการละเมิดสิทธิมนุษยชนเหล่านี้ ต้องได้รับการสอบสวนโดยทันทีอย่างเป็นธรรม และมีประสิทธิภาพ ถ้ารัฐบาลไม่ต้องการปิดบังความจริงใดๆ ควรปล่อยให้นักสังเกตการณ์อิสระ หน่วยงานตรวจสอบด้านสิทธิมนุษยชน ผู้ทำงานด้านมนุษยธรรม และผู้สื่อข่าวเข้าไปในพื้นที่ได้ สำหรับแนวทางแก้ปัญหาที่แท้จริงทั้งในระยะสั้น และระยะยาวต้องอยู่บนพื้นฐานของการเคารพสิทธิมนุษยชนของชาวโรฮีนจา การเลือกปฏิบัติที่มีมาอย่างยาวนาน และทำการอย่างเป็นระบบต่อชาวโรฮีนจาต้องยุติลง” แชมพา พาเทล กล่าว

    Manager Online
    .
     
  7. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,654
    ค่าพลัง:
    +97,150
    “ทรัมป์” เซ็ง! “จิลล์ สไตน์” ผู้สมัครพรรคกรีนขอนับคะแนนใหม่ที่ “วิสคอนซิน” แถมเตรียมโวยต่อที่ “เพนซิลเวเนีย-มิชิแกน”
    โดย MGR Online 26 พฤศจิกายน 2559 11:49 น.

    เอเอฟพี - จิลล์ สไตน์ ผู้สมัครชิงเก้าอี้ประธานาธิบดีสหรัฐฯ จากพรรคกรีน ยื่นคำร้องวานนี้ (25 พ.ย.) ขอให้มีการนับคะแนนใหม่อีกครั้งที่รัฐวิสคอนซิน ซึ่งเป็น 1 ใน 3 รัฐ “แบทเทิลกราวนด์ สเตตส์” ที่มหาเศรษฐี โดนัลด์ ทรัมป์ สามารถเก็บชัยชนะมาได้ในศึกเลือกตั้งเมื่อวันที่ 8 พ.ย.

    คณะกรรมการการเลือกตั้งรัฐวิสคอนซิน แถลงว่า “กำลังเตรียมนับคะแนนเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ อีกครั้ง” ตามคำร้องขอของ สไตน์ และผู้สมัครอันดับรองๆ อีกคนหนึ่ง ซึ่งกระบวนการนี้จะต้องกระทำอย่างรวดเร็วเพื่อให้ทันกำหนดเส้นตายวันที่ 13 ธ.ค.

    ทั้งนี้ คณะกรรมการการเลือกตั้งกำลังคำนวณค่าใช้จ่ายที่พรรคกรีนจะต้องเสียจากการเรียกร้องขอนับคะแนนใหม่

    สไตน์ ยังมีแผนท้าทายชัยชนะของ ทรัมป์ ที่รัฐเพนซิลเวเนียและมิชิแกนอีกด้วย เนื่องจากพบ “ความไม่ชอบมาพากล” ซึ่งแคมเปญของเธอก็ไม่ได้ระบุชัดเจนว่าคืออะไร

    สำหรับการยื่นคำร้องขอนับคะแนนใหม่ที่รัฐเพนซิลเวเนียและมิชิแกน จะต้องไม่เกินวันจันทร์ที่ 28 พ.ย. และ 30 พ.ย. ตามลำดับ ซึ่ง สไตน์ อ้างว่าเธอสามารถระดมทุนได้แล้ว 4.8 ล้านดอลลาร์สหรัฐเพื่อผลักดันเรื่องนี้ จากที่ตั้งเป้าเอาไว้ทั้งหมด 7 ล้านดอลลาร์

    “การขอนับคะแนนใหม่เป็นส่วนหนึ่งของการเคลื่อนไหวเพื่อบูรณภาพของการเลือกตั้ง และเพื่อให้เห็นว่าระบบเลือกตั้งของสหรัฐฯ น่าเชื่อถือมากเพียงใด” เว็บไซต์ระดมทุนของ สไตน์ แถลง

    กลุ่มฝ่ายซ้ายที่ต่อต้าน ทรัมป์ เรียกร้องให้มีการตรวจสอบผลการนับคะแนนเมื่อวันที่ 8 พ.ย. ท่ามกลางข้อครหาว่ามหาเศรษฐีปากเปราะได้รับความช่วยเหลือจากแฮกเกอร์รัสเซีย และอาจจะฉ้อโกงเลือกตั้งด้วย

    “ในศึกเลือกตั้งประธานาธิบดีที่สร้างความแตกแยกและเจ็บปวดสำหรับทุกฝ่าย มีรายงานว่าฐานข้อมูลผู้มีสิทธิ์ออกเสียง พรรคการเมือง และบัญชีอีเมลส่วนบุคคลถูกแฮ็ก และนั่นทำให้ชาวอเมริกันจำนวนมากรู้สึกไม่เชื่อมั่นในผลการเลือกตั้ง” สไตน์ ระบุบนเว็บไซต์ของเธอ

    “ความกังวลเหล่านี้จะต้องได้รับการตรวจสอบ ก่อนที่ผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ปี 2016 จะถูกรับรองอย่างเป็นทางการ เราสมควรมีกระบวนการเลือกตั้งที่ไว้วางใจได้”

    ผู้เชี่ยวชาญเห็นตรงกันว่า โอกาสที่ผู้ชนะจะพลิกจาก ทรัมป์ เป็น ฮิลลารี คลินตัน นั้นเป็นไปไม่ได้เลย แต่ถึงกระนั้น ข้อเรียกร้องให้มีการนับคะแนนใหม่ในหลายรัฐก็อาจส่งผลต่อความชอบธรรมของว่าที่ประธานาธิบดี ซึ่งเป็นที่ทราบกันแล้วว่าแพ้ “ป็อปปูลาร์โหวต” ให้แก่ คลินตัน ถึง 2 ล้านเสียง

    อดีตรัฐมนตรีหญิงพ่ายให้แก่ ทรัมป์ ไปเพียง 27,000 เสียงที่วิสคอนซิน และ 60,000 เสียงที่เพนซิลเวเนีย ขณะที่ผลการนับคะแนนอย่างไม่เป็นทางการที่สำนักงานเลขาธิการแห่งรัฐมิชิแกนประกาศออกมา ระบุว่า ทรัมป์ ชนะ คลินตันอย่างเฉียดฉิวเพียง 10,704 เสียงเท่านั้น

    หาก ทรัมป์ ได้รับการยืนยันว่าเป็นผู้ชนะที่รัฐมิชิแกน เขาจะได้คณะผู้เลือกตั้งเพิ่มขึ้นมาอีก 16 รวมเป็น 306 เสียง และนำห่างคลินตันถึง 74 เสียง

     
  8. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,654
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ซูจีไม่กล้าเข้ามายุ่งหรอก เพราะเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับความมั่นคง เหตุเกิดจากเมื่อวันที่ 9 ตุลาคม 2016 มีกลุ่มติดอาวุธไม่ทราบฝ่ายได้ลอบสังหารเจ้าหน้าที่ตำรวจพม่าที่ด่านตรวจคนเข้าเมืองเสียชีวิตไป 9 นาย โดยทางการพม่าก็เชื่อว่าเป็นเป็นกลุ่มก่อการร้ายโรฮินจา ที่มีหลายกลุ่ม เช่น Rohingya Solidarity Organization (RSO) หรือ Arakan Rohingya National Organisation (ARNO), ที่เป็นกลุ่มที่ต้องการต่อต้านรัฐบาลพม่าด้วยความรุนแรง ตาต่อตา ตั้งแต่ช่วงปี 1980s โดยในอดีตก็เคยมีข่าวว่ากลุ่มอิสลามที่ได้รับการสนับสนุนจากประเทศอิสลามอื่นๆมาแล้ว เช่น ลิเบีย ซาอุดิส จนถึงปัจจุบัน มีการคาดการณ์ว่ากลุ่มนี้่อาจจะถูกกลุ่ม "ไอซิส" เกณท์มาเข้าร่วมขบวนการณ์

    เพราะอะไรถึงเงียบไป?? ต่างชาติวิจารณ์ "อองซาน ซูจี" นิ่งเรื่อง "โรฮีนจา" เพราะไม่กล้าหือ กับ "ทหาร"

    สำนักข่าวเอพี รายงาน เรื่องราวของ นางอองซานซูจี วีรสตรีประชาธิปไตยแห่งพม่า ถูกกล่าวหาว่าล้มเหลวที่จะปกป้องคุ้มครองชาวมุสลิมโรฮีนจา จากสิ่งที่กลุ่มสิทธิมนุษยชนระบุว่าเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างเป็นระบบโดยกองทัพของประเทศ เจ้าของรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ ที่ได้รับเสียงชื่นชมจากประชาคมโลกถึงการต่อสู้เรียกร้องประชาธิปไตยตลอดหลายปีภายใต้การปกครองของรัฐบาลเผด็จการทหาร ยังคงปิดปากเงียบ แม้จะมีหลักฐานเกี่ยวกับการละเมิดสิทธิของกองทัพในรัฐยะไข่ปรากฎเพิ่มขึ้นก็ตาม สหประชาชาติกล่าวว่า การปฏิบัติการด้านความมั่นคงในรัฐยะไข่เมื่อไม่นานนี้ เป็นการล้างเผ่าพันธุ์ชนกลุ่มน้อยชาวมุสลิมโรฮีนจา ที่ทำให้ประชาชนจำนวนมากต้องหลบหนีไปบังกลาเทศ "ความล้มเหลวที่จะกล่าวสนับสนุนชาวโรฮีนจา ของซูจี สร้างความงุนงงให้กับผู้ที่ยืนกรานเลือกซูจีเป็นสัญลักษณ์ในการต่อสู้เรียกร้องสิทธิมนุษยชน" เดวิด แมทธีสัน จากฮิวแมนไรท์วอช กล่าว

    แมทธีสัน กล่าวว่า การนิ่งเงียบของซูจีอาจเป็นเพราะไม่สนใจ หรือการสื่อสารได้อย่างจำกัด แต่ที่ดูจะมีแนวโน้มมากที่สุด คือ ซูจีนั้นไม่สามารถควบคุมกองทัพได้ ชาวโรฮีนจาหลายพันคนหลบหนีการปิดล้อมทางทหารในรัฐยะไข่ไปบังกลาเทศ พร้อมกับเรื่องราวการละเมิดสิทธิมนุษยชนของทหาร ทั้งการข่มขืน การทรมาน และการฆ่าชาวมุสลิมโรฮีนจา

    กลุ่มสิทธิมนุษยชนกล่าวว่า ทหารใช้การโจมตีด่านชายแดนตำรวจเมื่อเดือนก่อน เป็นข้ออ้างในการปราบปรามชาวโรฮีนจา แต่รัฐบาลปฏิเสธข้อกล่าวหาเหล่านี้ โดยระบุว่า ทหารเพียงแค่กำลังปกป้องประเทศจากผู้ก่อความไม่สงบ อย่างไรก็ตาม ทหารไม่อนุญาตให้ผู้สืบสวนและผู้สื่อข่าวต่างชาติเข้าไปในพื้นที่ปิดล้อม และโต้แย้งรายงานเกี่ยวกับการละเมิดสิทธินั้นเป็นเรื่องเท็จ ซูจี ที่เดินทางไปเยือนอินเดียและญี่ปุ่นระหว่างเกิดเหตุวิกฤตในรัฐยะไข่ ได้แสดงความเห็นเพียงแค่กล่าวว่า การสืบสวนเหตุโจมตีกำลังอยู่ระหว่างการดำเนินการตามกฎหมาย แต่ซูจีก็ต้องเผชิญกับการวิพากษ์วิจารณ์ที่เพิ่มสูงขึ้น จากการนิ่งเฉยไม่ทำอะไรกับวิกฤตที่เกิดขึ้นนี้

    นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยควีนแมรี ในกรุงลอนเอน กล่าวว่า การนิ่งเงียบของซูจีเท่ากับเป็นการทำให้ "การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชอบด้วยกฎหมาย" และปกป้อง "การข่มเหงชนกลุ่มน้อยโรฮีนจา" "แม้ข้อเท็จจริงที่ว่า เรื่องนี้เป็นบททดสอบสำคัญของความเป็นผู้นำของซูจี แต่ผู้นำโดยพฤตินัยของพม่ากลับนิ่งเฉยไม่สนใจ" นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยควีนแมรี กล่าว แม้อองซานซูจีจะนำพรรคของตัวเองเข้ากุมอำนาจบริหารประเทศ แต่ก็ถูกรัฐธรรมนูญที่รัฐบาลเผด็จการทหารร่างขึ้นจำกัดอำนาจ ด้วยรัฐธรรมนูญนั้นสงวนที่นั่ง 1 ใน 4 ของสภาให้กับทหาร และควบคุมกระทรวงที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคง นอกจากนั้น ซูจียังถูกจำกัดด้วยมุมมองของชาวพุทธพม่า ที่ว่าโรฮิงญานั้นเป็นผู้ลักลอบเข้าประเทศอย่างผิดกฎหมาย ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ความเคลื่อนไหวใดๆ ก็ตามที่แสดงถึงการสนับสนุนชาวโรฮีนจา มีความเสี่ยงที่จะถูกตอบโต้กลับอย่างรุนแรงจากประชาชน

    เรียบเรียงโดย สถาพร สำนักข่าวทีนิวส์ภาพโดย AP

     
  9. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,654
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ข่าวอดีตซี 9 ฟ้อง ผอ.รพช. อีกคดี!เรียกรับ 3 ล.- นักธุรกิจแจงแค่ยืมบัญชีโอนเงิน
    อดีตซี 9 ฟ้อง ผอ.รพช. อีกคดี!เรียกรับ 3 ล.- นักธุรกิจแจงแค่ยืมบัญชีโอนเงิน เขียนวันที่ วันเสาร์ ที่ 26 พฤศจิกายน 2559 เวลา 15:00 น.เขียนโดยisranews

    อีกคดี! อดีตซี 9 ขอนแก่น ฟ้อง ผอ.กองการเจ้าหน้าที่ รพช. กล่าวหาเรียกรับเงินไม่ให้ถูกย้ายเข้าส่วนกลาง เหตุปี 39 อ้างหลักฐานใบโอนเงินแบงก์ 3 ล้าน ผ่านบัญชีเจ้าของร้านเครื่องจักรในกรุงเทพฯ ขณะที่ ‘ประวิทย์’ ยันแค่ยืมใช้บัญชีเท่านั้น ผู้ร้องมารับคืนไปแล้ว ถามกลับทำไมไม่เอาเรื่องคนอยู่เหนือกว่า

    สำนักข่าวอิศรา สำนักข่าวอิศรา รายงานว่า เมื่อวันที่ 15 ก.ย. 2559 นายประสิทธิ์ วิไลลักษณ์ อดีตผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการเร่งรัดพัฒนาชนบทขอนแก่น (ระดับ 9) สำนักงานเร่งรัดพัฒนาชนบท (รพช.) กระทรวงมหาดไทย (ต่อมา เปลี่ยนเป็นกรมการเร่งรัดพัฒนาชนบทและถูกยุบเข้ากับหน่วยงานอื่น) ได้ยื่นฟ้อง นายทวี ทวีวงศ์ อดีตผู้อำนวยการกองการเจ้าหน้าที่ รพช. จำเลยที่ 1 นายประวิทย์ อริยกานนท์ ที่ 2 และนายวีรชาติ อริยกานนท์ ที่ 3 ในข้อหาหรือฐานความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการต่อ จ.ขอนแก่น ศาลได้นัดไต่สวนมูลฟ้องเมื่อวันที่ 14 พ.ย. 2559 ที่ผ่านมา
    ทั้งนี้ คำฟ้องนายประสิทธิ์ กล่าวหาว่า เมื่อวันที่ 1 ต.ค. 2539 ขณะเกิดเหตุ จำเลยที่ 1 ในฐานะผู้อำนวยการกองการเจ้าหน้าที่ และเลขานุการคณะกรรมการบริหารงานบุคคลได้อำนาจหน้าที่เรียกรับเงินจากโจทก์จำนวน 3 ล้านบาท เพื่อเป็นการแลกเปลี่ยนช่วยเหลือไม่ให้โจทก์ถูกโยกย้ายตำแหน่งมารักษาการในตำแหน่งผู้อำนวยการกอง ระดับ 8 ในส่วนกลาง โดยให้โจทก์เอาเงินสดผ่านธนาคารกสิกรไทย สาขาประชาสโมสร จ.ขอนแก่น ตามใบคำขอโอนเงินฉบับลงวันที่ 1 ต.ค. 2539 โอนเงินเข้าบัญชีเงินฝากของจำเลยที่ 2 คือ บัญชีเงินฝากออมทรัพย์ธนาคารกสิกรไทย สาขาถนนมหาไชย ชื่อบัญชี นายกิมหงวน แซ่ลิ้ม (ประวิทย์ อริยกานนท์) แล้วจำเลยที่ 2 สั่งจ่ายเช็คเงินสดให้จำเลยที่ 3 ไปขึ้นเงินถอนเงินออกจากบัญชีจำเลยที่ 2 เพื่อไปมอบให้แก่จำเลยที่ 1 และเรียกรับเงินจากโจทก์อีกหลายครั้งที่โจทก์ยังไม่ได้ฟ้อง
    ผู้สื่อข่าวรายงานว่า คดีนี้เป็นคนละกรณีกับ 1.กรณีนายประสิทธิ์กล่าวหา นายทวี ทวีวงศ์ เรียกรับเงิน เพื่อช่วยไม่ต้องย้ายไปประจำในท้องที่จังหวัดอื่น จำนวน 3 ล้านบาท เหตุเกิดวันที่ 18 มี.ค. 2540 (กรณีเป็นเงินสด) และ 2.กรณีกล่าวหา นายทวี ทวีวงศ์ กระทำการเรียกและรับเงินจากผู้ร้อง เพื่อช่วยให้ผู้ร้องเลื่อนตำแหน่งจากตำแหน่งผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการเร่งรัดพัฒนาชนบทขอนแก่น ระดับ 8 เป็นระดับ 9 กระทำการเรียกและรับเงินจากข้าราชกรอื่น เพื่อการโยกย้ายและเลื่อนตำแหน่ง กระทำการกลั่นแกล้งโยกย้ายผู้ร้องออกจากตำแหน่งผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการเร่งรัดพัฒนาชนบทขอนแก่น และดำเนินการทางวินัยกับผู้ร้อง และกล่าวหา นายประวิทย์ อริยกานนท์ ว่า สนับสนุนช่วยเหลือ นายทวี ทวีวงศ์ เรียกและรับเงินจากผู้ร้องและข้าราชการอื่น
    ป.ป.ช. ชี้มูลความผิดทางอาญาและวินัยร้ายแรงกับนายทวี ในข้อกล่าวหาเรียกรับเงินเพื่อช่วยเหลือไม่ต้องย้าย จำนวน 3 ล้านบาท (กรณีที่ 1) ส่วน ข้อกล่าวหาที่สอง เรียกและรับเงินจากข้าราชการอื่นเพื่อการโยกย้ายและเลื่อนตำแหน่ง ป.ป.ช. เห็นว่า ไม่มีมูล ให้ข้อกล่าวหาตกไป
    ในกรณีที่ 1 ศาลอาญามีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 29 ก.ย. 2558 ว่า นายทวีมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 149 จำคุก 6 ปี (อ่านประกอบ : ศาลสั่งจำคุก 6 ปี ซี 9 รพช.รับเงินสด 3 ล.ค่าซื้อเก้าอี้ ผอ.ศูนย์ขอนแก่น ไม่ให้ถูกย้าย)
    อย่างไรก็ตาม ผู้สื่อข่าวไม่สามารถติดต่อ นายทวี ทวีวงศ์ ให้ชี้แจงข้อเท็จจริงกรณีถูกนายประสิทธิ์ฟ้องดำเนินคดีได้
    ผู้สื่อข่าวรายว่า นายประวิทย์ อริยกานนท์ เป็นเจ้าของร้านเอี่ยมแสงยนต์ เลขที่ 162 ถนนบริพัตร แขวงบ้านบาตร เขตป้อมปราบฯ กรุงเทพมหานคร
    เมื่อเวลา 12.21 น. วันที่ 26 พ.ย. 2559 สำนักข่าวอิศราได้ติดต่อไปยังหมายเลขโทรศัพท์ของร้าน 02-221-72XX ซึ่งเป็นเบอร์โทร.ร้านเอี่ยมแสงยนต์ เพื่อสอบถามนายประวิทย์ เจ้าตัวชี้แจงเบื้องต้นว่า ทราบข่าวกรณีนายประสิทธิ์ยื่นฟ้องต่อศาลจังหวัดขอนแก่นกล่าวหาร่วมกับนายทวีเรียกรับเงิน 3 ล้านบาทแล้ว กรณีนี้ขอเรียนเบื้องต้นว่า ไม่ใช่ข้อเท็จจริง ยอมรับว่ารู้จักกับนายทวี (นายประวิทย์เรียกพี่วี) และรู้จักกับนายประสิทธิ์ ในฐานะเป็นลูกค้าคนหนึ่งของร้านที่เปิดบริการขายเครื่องจักรกล ซึ่งเป็นธรรมดาที่รู้จักกับข้าราชการของ รพช. ทั่วไปหลายคน แต่ไม่ได้เป็นเพื่อนกับนายประสิทธิ์ เพราะตนจบการศึกษาชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 เป็นพ่อค้าจากนครปฐม ส่วน นายประสิทธิ์จบจากจุฬาฯ
    กรณีที่นายประสิทธิ์อ้างว่า โอนเงินเข้าบัญชีนายประวิทย์ นั้น นายประวิทย์ชี้แจงว่า เป็นเพียงนายประสิทธิ์มาขอยืมบัญชีเพื่อโอนเงินเท่านั้น หลังจากโอนเงินเข้ามา เมื่อนายประสิทธิ์เดินทางเข้ามากรุงเทพฯ ก็มารับเงินสดไป เพื่อความปลอดภัยที่ไม่ต้องพกเงินสดในการเดินทาง และเมื่อรับไปแล้ว นายประสิทธิ์จะนำไปให้ใครต่อนั้น “ไม่ทราบ” และไม่เกี่ยวข้อง
    “ด้วยสามัญสำนึก ลองคิดดู นายทวี เป็นเพียงผู้อำนวยการกองการเจ้าหน้าที่ ไม่มีอำนาจหน้าที่ไปโยกย้ายใครได้ คุณประสิทธิ์จะต้องไปฟ้องร้องกล่าวโทษกับคนที่อยู่เหนือกว่าคุณทวี ไม่ใช่มาฟ้องคุณทวี ต้องถามว่ากล้าไหมละ อยากให้ลองไปสืบข้อมูลเขาดูบ้าง เท่าที่ทราบปัจจุบันคุณทวีไม่ใช่คนมีฐานะอะไร” นายประวิทย์ กล่าวและว่า
    ในคดีแรก นั้น เคยไปให้การต่อคณะอนุกรรมการ ป.ป.ช. ได้บอกไปหมดทุกอย่าง และ ป.ป.ช. ก็ยกคำร้อง ส่วนคดีนี้ได้ให้ทนายความไปฟังคำสั่งของศาล ไม่ได้เดินทางไปเอง
    สำนักข่าวอิศราแจ้งนายประวิทย์ ว่า มีความประสงค์จะขอสัมภาษณ์นายทวี แต่ไม่สามารถติดต่อนายทวีได้ นายประวิทย์ กล่าวว่า จะแจ้งให้นายทวีทราบหากประสงค์จะชี้แจงข้อเท็จจริง

    อดีตซี 9 ฟ้อง ผอ.รพช. อีกคดี!เรียกรับ 3 ล.- นักธุรกิจแจงแค่ยืมบัญชีโอนเงิน
    .
     
  10. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,654
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ยูเอ็นจ่อไฟเขียว "แผนคว่ำบาตร" ตัดรายได้การส่งออกของเกาหลีเหนือ
    เผยแพร่: 26 พ.ย. 2559 17:50:00 โดย: MGR Online

    รอยเตอร์ - สมาชิกถาวรของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติใกล้ที่จะอนุมัติมาตรการคว่ำบาตรชุดใหม่ต่อเกาหลีเหนือเพื่อตัดลดรายได้จากการส่งออกของรัฐสันโดษแห่งนี้ลงกว่า 1 ใน 3 โดยมุ่งเป้าที่การส่งออกถ่านหินไปยังจีน นักการทูตระบุเมื่อวันศุกร์ (25)

    ร่างมติของยูเอ็นเพื่อตอบสนองต่อการทดสอบนิวเคลียร์ครั้งที่ 5 ของเกาหลีเหนือจะกำหนดขอบเขตการส่งออกถ่านหินของเกาหลีเหนือด้วยวัตประสงค์เพื่อที่จะตัดลดรายได้สกุลเงินแข็งลงอย่างน้อง 700 ล้านดอลลาร์

    มตินี้ยังจะควบคุมภาคการเดินเรือและภาคการเงินของเกาหลีเหนือด้วย หากประสบความสำเร็จ มันจะทำให้รายได้จากการส่งออกต่อปี 3 พันล้านดอลลาร์ของประเทศนี้ลดลงอย่างน้อย 800 ล้านดอลลาร์ นักการทูตของคณะมนตรีความมั่นคงกล่าว

    นักการทูตกลุ่มนี้ไม่ต้องการเปิดเผยตัวตนเนื่องจากการหารือยังดำเนินอยู่ มติใหม่นี้ยังจะพุ่งเป้าปัจเจกบุคคลและนิติบุคคลในเกาหลีเหนือด้วย พวกเขาระบุ

    การส่งออกถ่านหินจากเกาหลีเหนือจะถูกจำกัดเพดานที่ 400.9 ล้านดอลลาร์หรือ 7.5 ล้านเมตริกตันต่อปีหรือต่ำกว่านั้น โดยจะเริ่มตั้งแต่วันที่ 1 มกราคมเป็นต้นไป อ้างจากร่างมติดังกล่าวที่รอยเตอร์ได้รับ

    ทันที่ที่มติถูกรับรอง การส่งออกถ่านหินของเกาหลีเหนือจนถึงสิ้นปีนี้จะถูกจำกัดเพดาน 53.5 ล้านดอลลาร์หรือ 1 ล้านเมตริกตันหรือต่ำกว่านั้น ร่างมติเผย

    ในช่วง 10 เดือนแรกของปีนี้ จีนนำเข้าถ่านหินจากโสมแดง 18.6 ล้านตันเพิ่มขึ้นเกือบ 13 เปอร์เซ็นต์จากหนึ่งปีที่แล้ว

    การควบคุมถ่านหินนี้จะห้ามการส่งออกที่เกี่ยวข้องกับปัจเจกบุคคลและนิติบุคคลที่เกี่ยวข้องกับโครงการอาวุธของเกาหลีเหนือ ร่างมติระบุ

    มตินี้เพิ่มรายชื่อบุคคล 11 คนรวมถึงคนที่ทำหน้าที่เป็นเอกอัครราชทูตประจำอียิปต์และเมียนมา ตลอดจนนิติบุคคล 11 แห่งในฐานะเป้าหมายสำหรับการห้ามการเดินทางและอายัดทรัพย์สินจากบทบาทของพวกเขาในโครงการนิวเคลียร์และขีปนาวุธของโสมแดง

    มตินี้ยังจะห้ามการส่งออกเฮลิคอปเตอร์ เรือ และรูปปั้นของเกาหลีเหนือด้วย ห้ามการทำสัญญาประเภทเดียวกับสัญญามูลค่าหลายล้านดอลลาร์ที่เกาหลีเหนือลงนามเพื่อสร้างอนุสาวรีย์ขนาดใหญ่ในชาติแอฟริกาบางแห่ง

    มตินี้เรียกร้องให้ชาติสมาชิกยูเอ็นลดจำนวนเจ้าหน้าที่ในภารกิจต่างประเทศของเกาหลีเหนือและจำกัดจำนวนบัญชีธนาคารเหลือ 1 บัญชีต่อหนึ่งภารกิจทางการทูตของเกาหลีเหนือและ 1 บัญชีต่อนักการทูต 1 คนที่ธนาคารในอาณาเขตของตน แสดงให้เห็นถึงความกังวลที่ว่าเกาหลีเหนืออาจใช้นักการทูตและภารกิจต่างประเทศเพื่อดำเนินกิจกรรมผิดกฎหมาย

     
  11. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,654
    ค่าพลัง:
    +97,150
    มติใหม่ของยูเอ็นจะใช้บังคับให้จีนไม่นำเข้าถ่านหินจากเกาหลีเหนือเกิน 1 ล้านเมตริกตัน ได้จริงหรือ

    สหรัฐฯ ค้านจีนนำเข้า "ถ่านหินจากเกาหลีเหนือ" ชี้ขัดมติคว่ำบาตรยูเอ็น โดย MGR Online
    29 ตุลาคม 2559 14:19 น. (แก้ไขล่าสุด 29 ตุลาคม 2559 14:24 น.)

    รอยเตอร์ - การนำเข้าถ่านหินจากเกาหลีเหนือของจีนขัดแย้งกับมาตรการคว่ำบาตรของนานาชาติ เจ้าหน้าอาวุโสของสหรัฐฯรายหนึ่งกล่าวในวันนี้ (29) และเสริมว่า ระบบขีปนาวุธของสหรัฐฯที่ถูกติดตั้งในเกาหลีใต้น่าจะกระตุ้นให้ปักกิ่งกดดันเปียงยางเรื่องโครงการขีปนาวุธ

    การส่งออกถ่านหินไปยังจีนของเกาหลีเหนือเป็นสายหล่อเลี้ยงชีวิตสำหรับประเทศนี้และยังถูกสหรัฐฯมองว่าเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้จีนมีอิทธิพลเหนือชาติเพื่อนบ้านแห่งนี้ซึ่งทำการทดสอบขีปนาวุธและนิวเคลียร์หลายครั้งเพื่อต่อต้านการคว่ำบาตรของนานาชาติ

    เมื่อเดือนเมษายนจีนประกาศว่าจะห้ามการนำเข้าถ่านหินจากเกาหลีเหนือเพื่อให้สอดคล้องกับกาคว่ำบาตรของยูเอ็น ถึงแม้ว่าพวกเขาจะสร้างข้อยกเว้นสำหรับกรณีการนำเข้าเพื่อ "วัตถุประสงค์ด้านการดำรงชีวิต" ก็ตาม

    รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ แอนโทนี บลินเคน บอกกับผู้สื่อข่าวว่า จีนล้มเหลวต่อภาระการพิสูจน์ที่ถูกเสนอภายใต้มติที่ 2270 ของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งยูเอ็นที่ถูกรับรองเมื่อเดือนมีนาคมเพื่อตอบสนองต่อการทดสอบขีปนาวุธของเกาหลีเหนือ

    "ภาษาเรียบง่ายของมติที่ 2270 ระบุอย่างชัดเจนว่าการส่งออกถ่านหินหรือการนำเข้าถ่านหิน ในกรณีที่คุณคือจีน เป็นสิ่งต้องห้ามหากคุณไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่า การค้าขายดังกล่าวเป็นไปเพื่อความเป็นอยู่ของประชาชนเกาหลีเหนือ"บลินเคน กล่าวในปักกิ่งหลังจากไปเยือนญี่ปุ่นและเกาหลีใต้

    ถ่านหินมีความสำคัญอย่างมากต่อสภาพเศรษฐกิจของโสมแดงเนื่องจากมันเป็นหนึ่งในแหล่งที่มาของค่าเงินแข็งเพียงไม่กี่อย่างของพวกเขา จีนนำเข้าถ่านหินเกาหลีเหนือมูลค่า 1 พันล้านดอลลาร์ในปี 2015 อ้างจากข้อมูลศุลกากรของจีน

    ปักกิ่งกลัวว่าการคว่ำบาตรหนักขึ้นอาจนำไปสู้การล่มสลายของเกาหลีเหนือ ก่อให้เกิดคลื่นผู้ลี้ภัยแห่ข้ามพรมแดนเข้าสู่จีน และพวกเขาเชื่อว่าสหรัฐฯและเกาหลีใต้ต้องร่วมกันรับผิดชอบกับความตึงเครียดที่เพิ่มขึ้นในภูมิภาคนี้

    เกาหลีเหนือทำการทดสอบนิวเคลียร์ครั้งที่ 4 เมื่อเดือนมกราคมตามมาด้วยการปล่อยดาวเทียม การทดสอบขีปนาวุธหลายครั้ง และการทดสอบนิวเคลียร์ครั้งที่ 5 ซึ่งเป็นครั้งใหญ่ที่สุดในเดือนกันยายน

    จีนแสดงความไม่พอใจหลายครั้งต่อสหรัฐฯและเกาหลีใต้สำหรับการตัดสินใจของพวกเขาที่จะประจำการระบบต่อต้านขีปนาวุธระดับชั้นบรรยากาศชั้นสูง (THAAD) ในแดนโสมขาวเพื่อตอบโต้ภัยคุกคามจากเกาหลีเหนือ ปักกิ่งกังวลว่าเรดาร์ของระบบดังกล่าวจะเป็นอันตรายต่อคววามั่นคงของจีน

    บลินเคนกล่าวว่า THAAD "เป็นมาตรการป้องกันล่าสุดแต่ไม่ท้ายสุด" ที่สหรัฐฯจะใช้หากภัยคุกคามจากนิวเคลียร์ของเกาหลีเหนือยังคงอยู่ และว่า มันจะ "กระตุ้นให้จีนทำงานกับกับเราเพื่อเปลี่ยนความประพฤติของรัฐบาลเกาหลีเหนือ"

    Manager Online
    .
     
  12. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,654
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ไอซิส หรือ ไอเอส เริ่มเข้ามาเกี่ยวข้องกับเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ แล้วน่ะครับ ได้แก่พม่า ในส่วนของโรฮีนจาที่ไอซิสจะดึงเข้าร่วมขบวนการ และ อินโดนีเซีย ที่ไอซิสที่เดินทางไปร่วมรบที่ซีเรียได้กลับมาประเทศ และล่าสุดฟิลิปปินส์

    ทัพปินส์ปิดล้อมกลุ่มติดอาวุธเชื่อมโยง "ไอเอส" ในเมืองบนภูเขา
    โดย MGR Online 26 พฤศจิกายน 2559 19:11 น.

    เอเอฟพี - กลุ่มติดอาวุธอิสลามิสต์สูงสุด 100 คนจากกลุ่มที่อยู่เบื้องหลังการระเบิดในบ้านเกิดของประธานาธิบดี โรดริโก ดูเตอร์เต แห่งฟิลิปปินส์อยู่ภายใต้การโอบล้อมในวันนี้ (26) ในเมืองบนภูเขาอันห่างไกลแห่งหนึ่ง เจ้าหน้าที่กล่าว

    ผู้อยู่อาศัยในเมืองบูติกซึ่งมีประชากร 17,000 คนหลบหนีหลังจากกลุ่มติดอาวุธที่เกี่ยวข้องกับกลุ่มรัฐอิสลาม (ไอเอส) เข้ามาซ่อนตัวในอาคารที่ทำการร้างแห่งหนึ่ง พล.จ.เรสจิตูโอ พาดิลลา โฆษกกองทัพกล่าว

    "กองทัพฟิลิปปินส์ได้เริ่มปฏิบัติการตามล่าผู้นำกลุ่มมาอูเตแล้ว" พาดิลลา บอกกับเอเอฟพี และเสริมว่า ปืนใหญ่และเครื่องบินทหารกำลังให้ความช่วยเหลือกองกำลังความมั่นคงภาคพื้นดิน

    ทหาร 2 คนได้รับบาดเจ็บในการปะทะกับกลุ่มมาอูเตนับตั้งแต่ปฏิบัติการทางทหารนี้เริ่มต้นขึ้นเมื่อวันพฤหัสบดี (24) เขากล่าว

    กลุ่มนี้เป็นหนึ่งในหลายองค์กรอิสลามิสต์ติดอาวุธในภูมสิภาคมินดาเนาทางตอนใต้ที่ประกาศสวามิภักดิ์ต่อนักรบกลุ่มไอเอสในอิรักและซีเรีย


    การเผชิญหน้านี้เกิดขึ้นภายหลังการจับสมาชิก 3 คนของกลุ่มเมื่อเดือนที่แล้วซึ่งถูกกล่าวหาว่าก่อเหตุวางระเบิดเมื่อเดือนกันยายนที่คร่าชีวิตคน 15 คนในเมืองดาเวา บ้านเกิดของดูเตอร์เตและเมืองใหญ่ที่สุดในมินดาเนา

    ทัพปินส์ปิดล้อมกลุ่มติดอาวุธเชื่อมโยง ไอเอส ในเมืองบนภูเขา
    กองกำลังรัฐบาลโอบล้อมมือปืนกลุ่มมาอูเตราว 50-100 คนเพื่อป้องกันไม่ให้การต่อสู้กระจายไปยังพื้นที่อื่น พ.ต.ฟิเลมอน แทน โฆษกกองทัพส่วนภาคใต้ของแดนตากาล็อก บอกกับสถานีโทรทัศน์เอบีเอส-ซีบีเอ็น

    เขาไม่ได้ให้รายละเอียดเกี่ยวกับจำนวนของทหาร

    บูติดเป็นเมืองชายขอบที่ประชากรส่วนใหญ่เป็นชาวมุสลิมบริเวณเนินเขาด้านล่างของภูเขารากัง หนึ่งในภูเขาที่สูงที่สุดของประเทศนี้และอยู่ห่างจากกรุงมานิลาไปทางใต้ 800 กิโลเมตร

    กองกำลังรัฐบาลเข้ายึดค่ายฝึกของกลุ่มมาอูเตในเมืองนี้เมื่อเดือนมิถุนายนหลังจากการสู้รบนาน 10 วันที่ทำให้ทหารเสียชีวิต 4 คนและกลุ่มติดอาวุธตายหลายสิบคน อ้างจากรายงานของกองทัพบก

    กลุ่มนี้ที่ครั้งหนึ่งเคยถูกอธิบายโดยกองทัพว่าเป็นแก๊งขูดรีดเงินเล็กๆ ได้โจมตีด่านตรวจของกองทัพบกอันห่างไกลในเมืองบูติกเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ จุดชนวนการสู้รบนานหนึ่งสัปดาห์ที่กองทัพระบุว่ามีทหารตาย 6 คน กลุ่มติดอาวุธ 12 คน

    กลุ่มนี้ยังตัดศีรษะคนงาน 2 คนของโรงเลื่อยท้องถิ่นเมื่อเดือนเมษายนด้วย กองทัพระบุ

    ภาคใต้ของฟิลิปปินส์ถูกรังควาญจากการก่อกบฏแบ่งแยกดินแดนของชาวมุสลิมมานานกว่า 40 ปี ส่งผลให้มีคนเสียชีวิตกว่า 100,000 คนตามการประเมินของรัฐบาล

     
  13. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,654
    ค่าพลัง:
    +97,150
    พม่ายังเดือดไม่หยุด !! ระเบิดในย่างกุ้งป่วนวุ่นวายหนัก หลังรัฐบาลซูจีเร่งปราบปรามโรฮิงญา !! (รายละเอียด) 27 พฤศจิกายน 2016

    ตำรวจเมียนมาเปิดเผยว่า จากเหตุคนร้ายวางระเบิดแสวงเครื่อง 2 จุดภายในบริเวณสำนักงานรัฐบาลส่วนภูมิภาคเมื่อคืนวันศุกร์ที่ผ่าน ซึ่งเป็นการลอบวางระเบิดขนาดที่ไม่รุนแรงนักครั้งที่ 3 แล้วในพื้นที่ของเมืองย่างกุ้งศูนย์กลางด้านเศรษฐกิจของเมียนมาในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา แม้จะไม่มีรายงานผู้เสียชีวิตหรือบาดเจ็บ แต่ก็ไม่บ่อยนักที่จะเหตุความวุ่นวายในเมืองหลวงเก่าของเมียนมา

    เหตุโจมตีด้วยระเบิดเกิดขึ้นในช่วงสถานการณ์ตึงเครียด เพราะช่วงหลายสัปดาห์ที่ผ่านมานี้ เกิดเหตุรุนแรงขึ้นในรัฐยะไข่ทางตะวันตกของประเทศ ซึ่งรัฐบาลกำลังปราบปรามชาวโรฮิงญาและยังมีการปะทะกันระหว่างทหารกองทัพเมียนมากับชนกลุ่มน้อยในรัฐชานทางตอนเหนือของประเทศตำรวจจับกุมชายผู้ต้องสงสัยได้ 3 คนเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาในเขตพื้นที่ทิงหยางยุนของเมืองย่างกุ้ง หลังสืบสวนขยายผลจากการสอบปากคำหญิงคนหนึ่ง ซึ่งเรียกตัวมาสอบได้จากจุดที่เกิดเหตุระเบิด แต่ยังไม่มีการจับกุมหญิงคนดังกล่าว โดยตำรวจยังยึดหลักฐานสำคัญเป็นวัตถุประกอบระเบิด ผู้ต้องสงสัยยังสารภาพว่าเตรียมก่อเหตุวางระเบิดอีก

     
  14. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,654
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ปอกเปลือก ทรราช
    ภาพประวัติศาสตร์ของ ฟิเดล คาสโตร (Fidel Castro) อดีตประธานาธิบดีประเทศคิวบา และอดีตผู้นำกองกำลังปฏิวัติคิวบาที่ต่อสู้และโค่นล้มรัฐบาลเผด็จการ Fulgencio Batista ที่มีสหรัฐหนุนหลัง และปกครองคิวบาด้วยระบอบคอมมิวนิสต์ ฟิเดล คาสโตร เสียชีวิตในวัย 90 ปี ด้วยโรคชรา เมื่อวันที่ 26 พ.ย.59 ที่กรุงฮาวานา สหรัฐแค้นคุณปู่ฟิเดลมากที่สามารถโค่นล้มจอมเผด็จการ Fulgencio Batista แห่งคิวบาได้ และ CIA ของสหรัฐก็พยายามลอบสังหาร ฟิเดล คาสโตร อยู่หลาายครั้งแต่ก็ไม่สำเร็จ (26 พ.ย.59)
    --------------
    [ame]https://youtu.be/DczO_YSAJrw[/ame]
    .
     
  15. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,654
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ปฐมพงษ์ โพธิ์ประสิทธินันท์

    สภาคองเกรสมะกันผ่านกฎหมายสร้าง *โซนห้ามบิน* (No-Fly-Zone) ในซีเรีย:

    ดูแล้ว สถานการณ์ความรุนแรงในพม่ามาตามระเบิดเวลาที่ชาติตะวันตกตั้งเอาไว้ครับเนื่องจากคนเหล่านี้ต้องการเข้ามาแทรกแซงในรูปแบบกลุ่มช่วยเหลือมนุษยชนไม่ว่าในรัฐยะไข่หรือภาคใต้ของไทย คงอยากให้โรฮิงยาและทหารพม่าฆ่ากันแล้วให้ส่วนหนึ่งหลบหนีเข้ามาประเทศไทย ซึ่งแน่นอน คนไทยส่วนหนึ่งที่ไม่ทันเล่ห์ชาติตะวันตกก็จะกดดันให้รับผู้ลี้ภัยจำนวนมากซึ่งจะเป็นปัญหาด้านความมั่นคงในอนาคต ต่อไปก็อาจมีทหารสหประชาชาติมาดูแลเพื่อควบคุมภาคใต้ของไทยเท่านั้นแหละ ดูข่าวในซีเรียแล้วก็ระวังเอาไว้ครับ ดูเตอร์เตนั้นเห็นเล่ห์เหลี่ยมของชาติตะวันตกจึงไม่ยอม ฟิเดล คาสโตรที่เพิ่งเสียชีวิตไปก็ไม่ยอม เขามองว่าถ้าคิวบาต้องตกเป็นขี้ข้าชาติตะวันตกก็จะเหมือนตกนรก จะสู้เพื่อเป็นตัวของตัวเองหรือจะอยู่อย่างตกนรก? เขาจึงเลือกสู้ บ้านเมืองเขาก็รอด ไม่ถูกกลืน

    ข่าวนี้เอาตามหัวข้อและเนื้อหาข่าวข้างล่างซึ่งบอกว่าสภาคองเกรสมะกันผ่านกฎหมายเพื่อสร้าง *โซนห้ามบิน* ในซีเรีย (รหัส H.R.5732 ดูตามเวปไซต์ข้างล่าง) ไปแล้ว แต่สื่อมวลชนกระแสหลักมะกันไม่ยอมลงข่าวเพราะจะเท่ากับคุ้ยแคะข่าวว่ารัฐบาลบารัค โอบามาผ่านร่างกฎหมายที่จะไปบุกยึดดินแดนชาติอื่นตามนิสัยชาตินักล่าอาณานิคม

    มะกันมีฐานทัพอยู่ ๓ เมืองในภาคเหนือของซีเรียคือ ๑.เมืองไรเมลัน (Rimelan) ในเขตปกครองอัล-ฮะสะกะห์ (al-Hasakah Governorate) ๒.เมืองโกบานิ (Kobani) ในจังหวัดอาเลปโป ๓.เมืองเชดดะดิ (Sheddadi=Al-Shaddadah or al-Shaddadi) เมืองทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือของซีเรียซึ่งเป็นเมือบ่อก๊าซและน้ำมันที่สำคัญแห่งหนึ่งของซีเรีย

    การพยายามออกกฎหมาย ให้มี *โซนห้ามบิน* ดังกล่าวเคยเป็นประเด็นที่นางฮิลารี คลินตันหาเสียงไว้ก็เพื่อ ๑. เพื่อยุติการสังหารชาวซีเรียทั้งหมด (To halt the wholesale slaughter of the Syrian people), ๒.เพื่อปัญหาการเมืองในซีเรียยุติลงด้วยวิธีเจรจา (encourage a negotiated political settlement), ๓.ควบคุมคนละเมิดสิทธิมนุษยชนในซีเรียไปดำเนินคดีอาญา (hold Syrian human rights abusers accountable for their crimes) อันนี้คือวัตถุประสงค์อันสวยหรูที่เขียนไว้ในร่างกฎหมายเพื่อสร้างภาพ แต่ในทางปฏิบัติจริงๆ ก็เพื่อคุ้มครองกลุ่มติดอาวุธชาวเคิร์ดที่ตนให้การสนับสนุนและเพื่อให้ตนยังสามารถอยู่ป่วนซีเรียต่อไปได้อีก เป็นการละเมิดอธิปไตยซีเรียโดยพลการ ผิดกฎหมายระหว่างประเทศชัดเจน

    นี่คือหน้ากากของอเมริกาที่ผู้นำอย่างฟิเดล คาสโตร, ดูเตอร์เต, ปูติน ฯลฯ เห็นแล้วรับไม่ได้ การได้มีโอกาสนั่งฟังทูตมะกันพล่ามประชาธิปไตยและสิทธิมนุษยชนให้ฟังจึงเป็นการเสียเวลาที่ไร้สาระที่สุด
    ๒๗ พฤศจิกายน ๒๕๕๙
    *หมายเหตุ: ถ้าจะแชร์ ไม่ต้องขออนุญาตแต่โปรดอ้างที่มาให้ชัดเจนและหากจะวิจารณ์ โปรดใช้คำสุภาพเพื่อป้องกันการละเมิดพรบ.คอมพิวเตอร์ โปรดสะกดใช้คำให้ถูกต้องตามหลักภาษาไทยด้วย ผมพยายามลบข้อความวิจารณ์ที่หยาบและสะกดผิดออกทุกครั้งที่เห็น ในกรณีที่วิจารณ์ไม่เข้าเรื่อง อ่อนตรรกะหรือหยาบเกินไปบ่อยๆ ผมอาจจะบล็อคไม่ให้วิจารณ์อีกนะครับ

    Media Silent as House Passes Resolution for Syrian No-Fly Zone -- Provoking War with Russia
     
  16. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,654
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ปฐมพงษ์ โพธิ์ประสิทธินันท์

    *ชนกลุ่มน้อยมุสลิม* กดดันมิให้ชาวอังกฤษเดินจูงหมาตามถนน:

    [​IMG]

    [​IMG]

    มีคนกระซิบให้เขียนถึงสถานการณ์ในพม่าและเหตุการณ์ประท้วงที่สถานทูตพม่าในไทย เอาเรื่องเบาๆ กว่านั้นแทนก็แล้วกันนะครับ

    ก่อนเข้าเรียนมหาวิทยาลัยในอังกฤษ ผมพักอยู่กับครอบครัวชาวอังกฤษอยู่ ๓ ครอบครัว รักหมากันทั้ง ๓ ครอบครัว เพราะอังกฤษได้ชื่อว่าเป็นประเทศ *คนรักหมา* (dog lovers) เคยมีใครไม่รู้เขียนว่า 'ถ้าจะเกิดเป็นหมา ขอให้เป็นหมาในอังกฤษ' คนอังกฤษรักหมามาก เช้าๆ มาจะจูงหมาเดิน ยามหมาไม่สบาย บางครอบครัวพ่อบ้านจะหยุดงานเพื่อคอยประคบประหงมก็มี ใครตีหมาถือเป็นเรื่องใหญ่ จะมีคนแจ้งความจับทันที

    แม่บ้านครอบครัวหนึ่งถามผมว่า 'ทำไมคนไทยกินหมา ดิฉันรับไม่ได้ที่พวกคุณกินหมา?' ผมตอบว่า 'ผมไม่ได้กินหมา คนกินหมาในเมืองไทยมีจำนวนน้อย' ผมเลยสาธยายให้ดูว่า 'พวกคุณนี่แผ่เมตตาให้แก่หมาเป็นพิเศษจึงรักหมามากกว่าวัวควาย พอมีคนทำร้ายหมา คุณก็โกรธ คนฮินดูที่บูชาวัวก็เหมือนคุณ รักวัวมาก เห็นคุณๆ ชาวอังกฤษฆ่าวัว เขาก็ไม่พอใจเช่นกัน คุณต้องทำแบบชาวพุทธแท้คือแผ่เมตตาไปยังสรรพสัตว์ คุณจะได้รู้สึกรักสัตว์และเมตตาต่อสัตว์เท่ากัน'

    ฝรั่งครางออกมาว่า 'I see' (อ้อ) ...คุยกับใครไม่คุย

    ข่าวข้างล่างนี้ บอกว่าชาวมุสลิมชนกลุ่มน้อยที่เมืองแมนเชสเตอร์แสดงอาการไม่พอใจที่คนอังกฤษเดินจูงหมาในยามเช้า อ้างว่าหมาไม่สะอาดทั้งๆ ที่ในหลายๆ พื้นที่ในอังกฤษ คนมุสลิมเป็นกลุ่มคนอพยพจำนวนน้อยเท่านั้น แต่ไม่สามารถทนอยู่ในสังคมที่หลากหลายทางวัฒนธรรมที่มีกฎหมายท้องถิ่นเป็นศูนย์กลางได้ คนฮินดูที่ไปจากปากีสถานและอินเดียในอังกฤษก็มีอยู่มาก แม้จะไม่ชอบที่คนอังกฤษฆ่าวัว กินเนื้อวัวเป็นอาหารประจำก็จะมีขันติธรรม (religious tolerance) อยู่ได้ แต่คนมุสลิมจำนวนมากในหลายๆ ประเทศไม่ยอมทน

    นี่เองที่เป็น *หลุมดำ* ให้ประเทศมหาอำนาจตะวันตกเอามาเป็นหัวเชื้อเพื่อ *แบ่งแยกแล้วปกครอง* (divide and rule) ได้ และทำให้นักวิชาการบางท่านมองไปว่าปัญหาในตะวันออกกลางแท้จริงแล้วเป็นการ *ขัดแย้งทางอารยธรรม* (The Clash of civilizations) คือการเข้ากันไม่ได้ระหว่างวัฒนธรรมอิสลามกับวัฒนธรรมตะวันตกที่เน้นเสรีภาพและการเคารพวิถีชีวิตซึ่งกันและกัน

    กระแสไม่ต้อนรับกลุ่มมุสลิมเข้าไปอยู่อาศัยจึงบานปลายในยุโรป อเมริกาและพม่าเพราะไม่ต้องการให้คนมุสลิมเข้าไปก่อกวนวิถีชีวิตที่เคยมีมานั่นเองเพราะมีตัวอย่างมาแล้วในหลายๆ ประเทศ ชาวพุทธไทยเองในบางจังหวัดก็ไม่ต้องการให้เกิดความขัดแย้งตามมาจึงพากันประท้วงมิให้สร้างมัสยิดหรือสุเหร่าขึ้น ต้องไม่ลืมว่าอิทธิพลแนวคิดกลุ่มวะฮาบีย์ได้แพร่เข้ามาอยู่เมืองไทยมากแล้วด้วย

    ที่จริงแล้ว ภายใต้กฎหมายเดียวกันในอังกฤษ ทุกคนมีสิทธิ์จะดำเนินชีวิตตามหลักศาสนาหรือความเชื่อที่ตนเองชอบได้โดยเคารพวิถีชีวิตซึ่งกันและกัน ผู้คนจะต้องไม่เข้าไปก้าวก่ายสิทธิ์อันพึงมีของกันและกันภายใต้กฎหมายเดียวกัน การเอาความเชื่อส่วนตัวไปกดดันเพื่อนร่วมสังคมสามารถทำได้ในหลายๆ ศาสนาครับ ถ้าสักวันหนึ่งข้างหน้า คนฮินดูในอังกฤษพากันลุกฮือขึ้นมาบอกว่า 'รับไม่ได้ที่มีคนฆ่าวัวกิน วัวเป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ เป็นพาหนะของพระศิวะถือว่าเป็นการหยามกัน' สังคมอังกฤษก็จะป่วนหนัก เคราะห์ดีที่ชาวฮินดูไม่ทำเช่นนั้น

    เพราะคนมุสลิมบางกลุ่มในตะวันออกกลางไม่ยอมยืดหยุ่น อ้างหลักชาริอะห์ซึ่งตนนับถืออย่างเข้มข้น กลุ่มก่อการร้ายไอสิสจึงเกิดขึ้นมาได้จากกลุ่มวะฮาบีย์ในซาอุดิอาระเบียและผมเชื่อว่าสงครามจะไม่มีวันหมดไปจากสังคมมุสลิมตะวันออกกลาง ตราบใดที่สังคมมุสลิมยังไม่หันมาส่งเสริมการผ่อนปรนในเรื่องทำนองนี้

    ผมเคยสอนอยู่ในสาขาวิชาศาสนาเปรียบเทียบ มีนักศึกษาที่ผมสอนซึ่งเป็นมุสลิมและอาจารย์ชาวมุสลิมเพื่อนร่วมวิชาชีพถามว่า 'มองความขัดแย้งของศาสนาอิสลามในตะวันออกกลางยังไง?' ผมก็ตอบโดยไม่ลังเลว่าถ้าไม่อยากให้ศาสนาอิสลามเป็นเครื่องมือการแทรกแซงจากชาติตะวันตก ให้สังคมมุสลิมเป็นที่รังเกียจ จะต้องปลูกฝังขันติธรรม (religious tolerance) เหมือนที่ชาวฮินดูอาศัยอยู่ในอังกฤษนั่นแหละครับ ถ้าตราบใดที่คนมุสลิมเอาความเชื่อของตนเองไปประท้วงวิถีชีวิตคนอื่นอยู่แบบนี้และรัฐบาลไม่ยืนยันสิทธิ์ประชากรตามกฎหมายรัฐธรรมนูญ จะก่อให้เกิดความขัดแย้งระหว่างคนนับถือศาสนาต่างกันตามมาจนได้และดีไม่ดี ตะวันตกอาจจะแทรกเข้ามาเพื่อให้สังคมแตกแยกหนักขึ้นได้

    เอวังก็มีด้วยประการฉะนี้แลโยม

    ๒๕ พฤศจิกายน ๒๕๕๙
    (ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต)
    *หมายเหตุ: ถ้าจะแชร์ ไม่ต้องขออนุญาตแต่โปรดอ้างที่มาให้ชัดเจนและหากจะวิจารณ์ โปรดใช้คำสุภาพเพื่อป้องกันการละเมิดพรบ.คอมพิวเตอร์ โปรดสะกดใช้ภาษาให้ถูกต้องตามหลักภาษาไทยด้วย ผมพยายามลบข้อความวิจารณ์ที่หยาบและสะกดผิดออกทุกครั้งที่เห็น ในกรณีที่วิจารณ์ไม่เข้าเรื่อง อ่อนตรรกะหรือหยาบเกินไปบ่อยๆ ผมอาจจะบล็อคไม่ให้วิจารณ์อีกนะครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 พฤศจิกายน 2016
  17. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,654
    ค่าพลัง:
    +97,150
    คับข้องใจจากผู้บังคับบัญชา ... มาฟ้องศาลได้เมื่อใด ? เมื่อ: 28/ก.ย./2016, 11:50:18 AM
    ข้าราชการผู้ใดถูกสั่งลงโทษหรือสั่งให้ออกจากราชการหรือมีความคับข้องใจอันเกิดจากการปฏิบัติของผู้บังคับบัญชา หรือเห็นว่าผู้บังคับบัญชาใช้อำนาจหน้าที่โดยไม่ถูกต้องตามกฎหมาย

    ระบบราชการไทยได้เปิดโอกาสให้ข้าราชการผู้นั้น มีสิทธิอุทธรณ์หรือร้องทุกข์ขอความเป็นธรรมต่อผู้บังคับบัญชาชั้นเหนือขึ้นไป หรือต่อผู้มีอำนาจพิจารณาอุทธรณ์หรือร้องทุกข์ตามที่กฎหมายกำหนดและหากไม่พอใจผลการพิจารณาอุทธรณ์หรือร้องทุกข์ก็สามารถยื่นฟ้องคดีต่อศาลปกครองได้ภายในระยะเวลา 90วัน นับแต่วันที่รู้หรือควรรู้ถึงเหตุแห่งการฟ้องคดีตามมาตรา 49 แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542

    หากยื่นฟ้องคดีเมื่อล่วงพ้นกำหนดเวลาดังกล่าวศาลปกครองมีอำนาจสั่งไม่รับคำฟ้องไว้พิจารณาและจำหน่ายคดีออกจากสารบบความ

    ในช่วงเวลาที่ผ่านมา มีหลายคดีที่ศาลปกครองไม่รับคำฟ้องไว้พิจารณาเพราะเหตุดังกล่าวซึ่งอาจเนื่องมาจากความไม่รู้ว่า วันใดถือเป็นวันที่รู้ หรือควรรู้ ถึงเหตุแห่งการฟ้องคดีตามที่กฎหมายกำหนด

    คดีปกครองที่จะนำมาเล่าสู่กันฟังในฉบับนี้เป็นเรื่องของผู้ฟ้องคดีซึ่งเป็นข้าราชการกรุงเทพมหานครสามัญ ได้รับความเดือดร้อนจากกรณีที่ผู้ถูกฟ้องคดี(ปลัดกรุงเทพมหานคร) มีคำสั่งแต่งตั้งและเลื่อนข้าราชการกรุงเทพมหานครให้ดำรงตำแหน่งที่สูงขึ้นแต่ไม่ได้แต่งตั้งและเลื่อนตำแหน่งผู้ฟ้องคดี ทั้งที่มีคุณสมบัติที่จะได้รับการแต่งตั้ง

    ผู้ฟ้องคดีเห็นว่าการออกคำสั่งดังกล่าวไม่ชอบด้วยกฎหมายจึงได้ยื่นหนังสือลงวันที่ 10 พฤษภาคม 2553 ร้องทุกข์ต่อประธานคณะกรรมการข้าราชการกรุงเทพมหานคร (ก.ก.) แต่ก็ไม่ได้รับแจ้งผลการพิจารณา ผู้ฟ้องคดีจึงมาฟ้องคดีต่อศาลเมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน 2553 ขอให้เพิกถอนคำสั่งของผู้ถูกฟ้องคดีดังกล่าว

    ในการวินิจฉัยเรื่องร้องทุกข์ตามพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการกรุงเทพมหานคร พ.ศ. 2528 (ซึ่งบังคับใช้อยู่ในขณะนั้น) ให้นำกฎหมายว่าด้วยระเบียบข้าราชการพลเรือนมาใช้บังคับโดยอนุโลม ซึ่งตามมาตรา 130 วรรคสองแห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ.2535 ประกอบกับข้อ 13 ของกฎ ก.พ. ฉบับที่ 17 (พ.ศ. 2540) ออกตามความในพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2535 ว่าด้วยการร้องทุกข์และการพิจารณาเรื่องร้องทุกข์ฯ กำหนดให้ผู้มีอำนาจพิจารณาวินิจฉัยเรื่องร้องทุกข์ให้แล้วเสร็จภายในสามสิบวันนับแต่วันได้รับหนังสือร้องทุกข์และเอกสารหลักฐาน และขยายระยะเวลาพิจารณาได้อีกไม่เกินสามสิบวัน ในกรณีจำเป็น และขยายเวลาได้อีกไม่เกินสามสิบวันในกรณีที่ยังไม่แล้วเสร็จ

    คดีนี้จึงมีประเด็นที่น่าสนใจเป็นเบื้องต้น คือ อ.ก.ก. วิสามัญเกี่ยวกับกฎหมายและพิทักษ์ระบบคุณธรรมซึ่งทำการแทนคณะกรรมการข้าราชการกรุงเทพมหานครจะต้องพิจารณาคำร้องทุกข์ให้เสร็จสิ้นภายในกี่วัน นับแต่เมื่อใด โดยปรากฏข้อเท็จจริงว่า คณะกรรมการข้าราชการกรุงเทพมหานครได้มีหนังสือแจ้งให้ผู้ถูกฟ้องคดีในฐานะผู้บังคับบัญชาเป็นเหตุแห่งการร้องทุกข์และเป็นผู้ออกคำสั่งที่พิพาทสั่งการให้กองการเจ้าหน้าที่จัดส่งเอกสารที่เกี่ยวข้องและคำชี้แจงเพื่อประกอบการพิจารณาเรื่องร้องทุกข์โดยกองการเจ้าหน้าที่ได้มีหนังสือลงวันที่ 28 กรกฎาคม 2553 จัดส่งเอกสารหลักฐานและคำชี้แจงแล้ว

    ในประเด็นนี้ศาลปกครองสูงสุดวินิจฉัยว่า อ.ก.ก. วิสามัญเกี่ยวกับกฎหมายและพิทักษ์ระบบคุณธรรมซึ่งทำการแทนคณะกรรมการข้าราชการกรุงเทพมหานคร (ปัจจุบันตามพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการกรุงเทพมหานครฯ พ.ศ. 2554 หมายถึง ก.พ.ค. กรุงเทพมหานคร) มีหน้าที่ต้องพิจารณาเรื่องร้องทุกข์ให้แล้วเสร็จภายในสามสิบวันนับแต่วันที่กองการเจ้าหน้าที่จัดส่งเอกสารหลักฐานและคำชี้แจงแล้ว แต่เมื่อไม่สามารถพิจารณาให้แล้วเสร็จ จึงได้ขยายระยะเวลาการพิจารณาเรื่องร้องทุกข์ออกไปอีกสองครั้ง ครั้งละสามสิบวัน ซึ่งครบกำหนดเวลาพิจารณาเรื่องร้องทุกข์ให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 27 ตุลาคม 2553 กรณีจึงถือว่าวันที่ 28 ตุลาคม 2553 เป็นวันพ้นกำหนดการพิจารณาเรื่องร้องทุกข์ สำหรับวันที่ผู้ฟ้องคดีรู้ หรือควรรู้ ถึงเหตุแห่งการฟ้องคดีคือวันใดนั้น ศาลปกครองสูงสุดวินิจฉัยว่า เมื่อวันที่ 28 ตุลาคม 2553 เป็นวันพ้นกำหนดการพิจารณาเรื่องร้องทุกข์จึงถือว่าวันดังกล่าวเป็นวันที่ผู้ฟ้องคดีรู้ หรือควรรู้ถึงเหตุแห่งการฟ้องคดีดังนั้น การที่ผู้ฟ้องคดียื่นคำฟ้องต่อศาลปกครองในวันที่ 11 พฤศจิกายน 2553 จึงเป็นการฟ้องคดีภายในเก้าสิบวันนับแต่วันที่รู้ หรือควรรู้ ถึงเหตุแห่งการฟ้องคดีตามมาตรา 49 แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542 (คำสั่งศาลปกครองสูงสุดที่ 654/2554)

    คดีนี้เป็นอุทาหรณ์ที่ดีสำหรับผู้ได้รับความเดือดร้อนเสียหายจากการกระทำของฝ่ายปกครอง ซึ่งนอกจากจะต้องรู้ว่าวันใดเป็นวันที่รู้หรือควรรู้ถึงเหตุแห่งการฟ้องคดี เพื่อใช้สิทธิยื่นฟ้องคดีต่อศาลปกครองภายในกำหนดระยะเวลาแล้ว ก่อนที่จะนำคดีมาฟ้องต่อศาลปกครองเพื่อให้เพิกถอนคำสั่งทางปกครองก็จะต้องดำเนินการตามขั้นตอนและวิธีการตามที่กฎหมายกำหนดอย่างครบถ้วน เช่น การอุทธรณ์หรือร้องทุกข์ต่อผู้มีอำนาจภายในฝ่ายปกครอง

    ที่มา. นายปกครอง หนังสือพิมพ์บ้านเมือง คอลัมน์คดีปกครอง ฉบับวันเสาร์ที่ 29ธันวาคม 2555

    คับข้องใจจากผู้บังคับบัญชา ... มาฟ้องศาลได้เมื่อใด ? - งานราชการ สอบท้องถิ่น ชุมชนคนท้องถิ่
     
  18. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,654
    ค่าพลัง:
    +97,150
    SCB Thailand
    ดอกไม้แห่งหัวใจ

    “แม่เฒ่าตุ้ม จันทนิตย์” วัย ๑๐๒ ปี แห่ง จ.นครพนม ขอให้หลานอุ้มใส่รถลากเฝ้ารับเสด็จพร้อมดอกบัวสีชมพู เปลวแดด แผดเผาจนดอกบัวสายเหี่ยวโรย แต่หัวใจภักดีของหญิงชรายังคงเบิกบาน เมื่อเสด็จมาถึงตรงหน้าแม่เฒ่าชราก็ยกดอกบัวขึ้นจบเหนือศีรษะแสดงความจงรักอย่างสุดซึ้ง…

    วันที่ ๑๓ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๙๘ หลังจากที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๙ และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถได้เสด็จพระราชดำเนินไปปฏิบัติพระราชกรณียกิจ เยี่ยมเยือนพสกนิกรในภาคอีสาน รวมถึง ชาว จ.นครพนม โดยหลังจากทรงบำเพ็ญพระราชกุศล ณ วัดพระธาตุพนมวรมหาวิหารเสร็จสิ้นในช่วงเช้า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ก็ได้ประทับแรมที่พิพิธภัณฑ์จวนผู้ว่าฯ หลังเก่า ราษฎรที่รู้ข่าวก็พากันอุ้มลูกจูงหลานหอบกันมาเฝ้ารับเสด็จที่ริมถนนกันอย่างเนืองแน่น

    “แม่เฒ่าตุ้ม จันทนิตย์” วัย ๑๐๒ ปี ก็ได้ขอให้หลานอุ้มใส่รถลาก เพื่อไปรอเฝ้ารับเสด็จฯ ตรงสามแยกชยางกูร-เรณูนคร ห่างจากบ้าน ๗๐๐ เมตร โดยแม่เฒ่าตุ้มได้เตรียมดอกบัวสายสีชมพูจำนวน ๓ ดอกเพื่อรอรับเสด็จ และลูกหลานก็ได้พาแกออกไปรอที่แถวหน้าสุด เพื่อให้ใกล้ชิดเบื้องพระยุคลบาทที่สุด เปลวแดดร้อนแรงตั้งแต่เช้าจนสาย เที่ยงจนบ่าย แผดเผาจนดอกบัวสายเหี่ยวโรย แต่หัวใจภักดีของหญิงชรายังคงเบิกบาน เมื่อเสด็จมาถึงตรงหน้าแม่เฒ่าชราก็ยกดอกบัวสายเหี่ยวแห้งโรยราสามดอกขึ้นจบเหนือศีรษะแสดงความจงรักอย่างสุดซึ้ง

    พระเจ้าแผ่นดินทรงโน้มพระองค์อย่างต่ำที่สุด จนพระพักตร์แนบชิดกับศีรษะของแม่เฒ่า แย้มพระสรวลอย่างเอ็นดูพระหัตถ์แตะมือกร้านคล้ำของเกษตรกรชราชาวอีสานอย่างอ่อนโยน ไม่มีใครรู้ว่าทรงกระซิบคำใดกับแม่เฒ่า แต่แน่นอนว่าแม่เฒ่าไม่มีวันลืมเช่นเดียวกับที่ในหลวงไม่ทรงลืมราษฎรคนสำคัญที่เข้าเฝ้าริมถนนในวันนั้น

    หลังจากที่พระองค์เสด็จพระราชดำเนินกลับกรุงเทพฯ สำนักพระราชวังได้ส่งภาพรับเด็จของแม่เฒ่าตุ้ม พร้อมพระบรมรูปหล่อด้วยปูนพาสเตอร์ผ่านมาทางอำเภอธาตุพนมให้แม่เฒ่าตุ้มเก็บไว้เป็นที่ระลึก นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้

    “ดอกไม้แห่งหัวใจ” เป็นภาพความประทับใจอย่างสุดซึ้งในพระจริยาวัตรอันงดงามของพระองค์ที่ติดตราตรึงใจของพสกนิกรชาวไทยตราบนานเท่านาน ยากที่จะลืมเลือน
    ที่มา : หนังสือครองใจคน หลากเหตุผลที่คนไทยรักในหลวง

    #KingBhumibol
     
  19. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,654
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ปอกเปลือก ทรราช
    นักรบฮูติยึดรถหุ้มเกราะ Ratel-20 IFV ของกองกำลังโปร-ฮาดี้ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากซาอุดิอาระเบียและสหรัฐได้หนึ่งคันหนีไปได้หนึ่งคันที่เยเมน (24 พ.ย.59)
    ---------------
    [ame]https://youtu.be/AZWFrmiuXdQ[/ame]

    คลิปตอนที่ทหารซาอุดิอาระเบียถูกสไนเปอร์ฮูติสอยที่จังหวัด Najran (25 พ.ย.59)
    --------------
    [ame]https://youtu.be/93_frG4Qaw4[/ame]
    .
     
  20. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,654
    ค่าพลัง:
    +97,150
    การกบฏโรฮีนจาในพม่าตะวันตก
    เป็นส่วนหนึ่งของ ความขัดแย้งภายในพม่า

    การกบฏโรฮีนจาในพม่าตะวันตก เป็นความขัดแย้งกันด้วยอาวุธระหว่างรัฐพม่ากับชนกลุ่มน้อยมุสลิมโรฮีนจานับแต่ปี พ.ศ. 2490 ความมุ่งหมายทีแรกของพวกเขาในสมัยขบวนการมุญาฮีดีน (2467–2504) คือ การแยกภูมิภาคชายแดนมายู (Mayu) ในรัฐยะไข่ซึ่งมีประชากรโรฮีนจาอาศัยอยู่ออกจากพม่าตะวันตก แล้วผนวกเข้ากับปากีสถานตะวันออกซึ่งเป็นประเทศเพื่อนบ้านที่เพิ่งตั้งใหม่ (ปัจจุบันคือประเทศบังกลาเทศ)[4] ในคริสต์ทศวรรษ 1970 การก่อการกำเริบของชาวโรฮีนจาปรากฏอีกในช่วงสงครามปลดปล่อยบังกลาเทศในปี พ.ศ. 2514 และเมื่อไม่นานมานี้ระหว่างเหตุจลาจลในรัฐยะไข่ ความปรารถนาของกลุ่มติดอาวุธโรฮีนจาตามที่สื่อต่าง ๆ รายงานคือ การจัดตั้งส่วนเหนือของรัฐยะไข่เป็นรัฐเอกราชหรือรัฐปกครองตนเอง[5][6]

    ชาวโรฮีนจามุสลิมอาศัยอยู่ในประเทศพม่าประมาณ 800,000 คน และประมาณ 80% ของจำนวนดังกล่าวอาศัยอยู่ในรัฐยะไข่ทางภาคตะวันตกของประเทศ ส่วนใหญ่ถูกรัฐบาลพม่าปฏิเสธความเป็นพลเมือง[7][8] สหประชาชาติถือว่าโรฮีนจาเป็นชนกลุ่มน้อยที่ถูกข่มเหงที่สุดกลุ่มหนึ่งของโลก[8]

    มุญาฮิดีนในยะไข่ (พ.ศ. 2490–2504) แก้ไข

    การสู้รบของมุญาฮิดีนในยะไข่ แก้ไข
    การต่อสู้เริ่มจากการจัดตั้งพรรคการเมืองญามีอะตุล อูลามาเอ-อิสลาม นำโดยออมราเมียะห์ ที่ได้รับการสนับสนุนจากอุลนาร์ โมฮัมหมัด มูซาฮิดข่าน และโมลนาร์ อิบราฮิม ความพยายามของกลุ่มมุญาฮิดีนเพื่อที่จะรวมเขตชายแดนมายู ซึ่งเป็นตำบลหนึ่งในรัฐยะไข่เข้ากับปากีสถานตะวันออก ก่อนการประกาศเอกราชของพม่า มีผู้นำชาวมุสลิมในยะไข่ไปพบมูฮัมหมัด อาลี จินนาห์ ผู้ก่อตั้งปากีสถานเมื่อประมาณเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2489 เพื่อขอความช่วยเหลือในการผนวกมายูเข้ากับปากีสถาน สองเดือนต่อมา มีการจัดตั้งสันนิบาตมุสลิมยะไข่เหนือในอักยับ (ปัจจุบันคือซิตตเว เมืองหลวงของรัฐยะไข่) เพื่อแสดงความต้องการที่จะรวมเข้ากับปากีสถาน แต่จินนาห์ปฏิเสธข้อเสนอนี้ในที่สุด

    ในอีกด้านหนึ่ง รัฐบาลกลางพม่าปฏิเสธที่จะแยกรัฐมุสลิมในเขตมายูซึ่งมีเมืองบูตีดองและเมืองหม่องด่อ ในที่สุด กลุ่มมุสลิมมุญาฮิดีนในยะไข่เหนือได้ประกาศญิฮาดต่อพม่า กองทัพมุญาฮิดีนได้เริ่มสู้รบในเมืองบูตีดองและหม่องด่อที่อยู่ตามแนวชายแดนระหว่างพม่ากับปากีสถานตะวันออก อับดุล กาเซมเป็นผู้นำกองทัพมุญาฮิดีน ภายในเวลาไม่กี่ปี กลุ่มกบฏมีความก้าวหน้าไปมาก ยึดครองหมู่บ้านในยะไข่ได้หลายหมู่บ้าน ชาวยะไข่ในเมืองทั้งสองถูกบังคับให้ออกจากบ้าน ในเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2492 การควบคุมของรัฐบาลในเมืองอักยับได้ลดลง ในขณะที่กลุ่มมุญาฮิดีนเข้ามายึดครองยะไข่เหนือ รัฐบาลพม่าได้จับกุมกลุ่มมุญาฮิดีนที่พยายามจะอพยพชาวเบงกอลเข้ามาในรัฐยะไข่อย่างผิดกฎหมาย เนื่องจากประชากรล้นเกินในปากีสถานตะวันออก

    การต่อต้านมุญาฮิดีนโดยกองทัพพม่า แก้ไข

    มีการประกาศกฎอัยการศึกในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2491 เมื่อการกบฏลุกลามขึ้น และกลุ่มกบฏเข้าล้อมเมืองในเขตมายู กองทัพพม่าที่ 5 และกองทัพฉิ่นที่ 2 ถูกส่งเข้าไปในพื้นที่ กองทัพพม่าได้เริ่มยุทธการเพื่อต่อต้านมุญาฮิดีนในยะไข่เหนือ ระหว่าง พ.ศ. 2493–2497 ยุทธการแรกเริ่มใช้ในเดือนมีนาคม พ.ศ. 2493 ยุทธการที่สองเรียกว่ายุทธการมายูเกิดขึ้นในเดือนตุลาคม พ.ศ. 2495ในช่วงครึ่งหลังของ พ.ศ. 2497 กลุ่มมุญาฮิดีนได้ฟื้นตัวขึ้นและเข้าโจมตีเมืองบูตีดอง เมืองหม่องด่อ และเมืองยะเตดอง


    ผู้นำมุญาฮิดีนที่ถูกอองจีจับกุมได้เมื่อ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2504
    พระภิกษุชาวยะไข่ได้ออกมาประท้วงในย่างกุ้งเพื่อต่อต้านกลุ่มมุญาฮิดีน ผลของการกดดันทำให้รัฐบาลพม่าออก "ปฏิบัติการมรสุม" ในเดือนตุลาคม พ.ศ. 2497 กลุ่มมูญาอิดีนจำนวนมากถูกจับกุมและหัวหน้ากลุ่มถูกฆ่า ทำให้กิจกรรมของกลุ่มลดลงไปกลายเป็นกลุ่มติดอาวุธหลายกลุ่มที่ก่อการร้ายในภาคเหนือของรัฐยะไข่ ใน พ.ศ. 2500 กลุ่มมุญาฮิดีน 150 คนนำโดยชอร์ มาลุกและซูระห์ ทาน ถูกจับกุม ในวันที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2500 กลุ่มมุญาฮิดีน 214 คน ในกลุ่มของราชิดถูกจับกุม ในวันที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2504 กลุ่มมุญาฮิดีน 290 คนทางใต้ของหม่องด่อยอมจำนนต่อกองทัพพม่านำโดยอองจี ในช่วงนี้เป็นช่วงที่มีการเจรจาระหว่างพม่ากับปากีสถานเกี่ยวกับกบฏตามแนวชายแดน ทำให้ความหวังของกบฏลดลง ในวันที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2504 กลุ่มกบฏมุญาฮิดีนกลุ่มสุดท้ายในบูตีดองถูกกองทัพพม่านำโดยอองจีจับกุมได้

    ความตกต่ำของมุญาฮิดีน (พ.ศ. 2505–2513) แก้ไข

    หลังจากรัฐประหารของนายพลเน วินใน พ.ศ. 2505 กิจกรรมของกลุ่มมุญาฮิดีนลดลงและเกือบจะหายไป ซัฟฟาร์เป็นผู้นำมุญาฮิดีนที่เหลือ และมีการต่อต้านแยกกันเป็นแห่ง ๆ ตามแนวชายแดนพม่า-ปากีสถาน

    ขบวนการอิงศาสนาอิสลามโรฮีนจา แก้ไข

    ขบวนการทางทหารที่ใช้ความรุนแรง (พ.ศ. 2514–2531) แก้ไข
    ระหว่างสงครามปลดปล่อยบังกลาเทศในพ.ศ. 2514 โรฮีนจาที่อยู่ใกล้แนวชายแดนได้สะสมอาวุธจากสงคราม ในวันที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2515 หัวหน้ากลุ่มกบฏมูญาฮิดีนที่เหลืออยู่คือซัฟฟาร์ได้จัดตั้งพรรคปลดปล่อยโรฮีนจา (RLP) โดยซัฟฟาร์เป็นประธานพรรค ศูนย์กลางการต่อสู้อยู่ที่บูตีดอง เมื่อกองทัพพม่าเริ่มปราบปราม ในเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2517 ซัฟฟาร์ได้หนีไปบังกลาเทศและบทบาทของเขาได้หายไป หลังจากการล้มเหลวของ RLP มูฮัมหมัด จาฟาร์ ฮาบิบ อดีตเลาธิการของ RLP ได้จัดตั้งแนวร่วมโรฮีนจารักชาติ (RPF) ใน พ.ศ. 2517 ต่อมา ในเดือนมีนาคม พ.ศ. 2521 รัฐบาลทหารของเนวินได้จัดยุทธการราชามังกรในยะไข่เพื่อตรวจสอบผู้อพยพที่ผิดกฎหมายที่อาศัยอยู่ในพม่า ทำให้มีชาวโรฮีนจาถูกผลักดันไปยังแนวชายแดนบังกลาเทศ ทำให้มีการลุกฮือของชาวโรฮีนจาตามแนวชายแดน RPF ใช้โอกาสนี้เข้ามาปลุกระดม [9][10][11] ต่อมาในราว พ.ศ. 2523 กลุ่มหัวรุนแรงได้แยกออกจาก RPF และจัดตั้งองค์การความเป็นปึกแผ่นโรฮีนจา (RSO) นำโดยมูฮัมหมัด ยูนุส ซึ่งเคยเป็นผู้นำของ RPF มาก่อน ต่อมาได้เป็นองค์กรหลักของโรฮีนจาตามแนวชายแดนพม่า-บังกลาเทศ RSO ประกาศตนเป็นองค์กรทางศาสนาจึงได้รับการสนับสนุนจากโลกมุสลิมรวมทั้ง JeI ในบังกลาเทศและปากีสถาน ฆุลบุดดิน เฮกมัตยัร ฮิซบ์เออิสลามี (HeI) ในอัฟกานิสถาน ฮิซบ์อุลมูญาฮิดีนในรัฐชัมมูและกัศมีร์ (HM) อังกาตัน เบเลีย อิสลาม ซามาเลเซีย (ABIM) และองค์กรยุวชนอิสลามแห่งมาเลเซีย องค์กรทางด้านศาสนาอีกองค์กรหนึ่งของโรฮีนจาคือแนวร่วมอิสลามโรฮีนจาอาระกัน (ARIF) ก่อตั้งเมื่อ พ.ศ. 2529 โดยนูรุล อิสลาม อดีตรองประธาน RPF

    การขยายตัวทางการทหารและการเชื่อมโยงกับฏอลิบานและอัลกออิดะฮ์ (พ.ศ. 2531–2554) แก้ไข

    ค่ายทหารของ RSO ตั้งอยู่ที่เมืองคอกส์บาซาร์ทางใต้ของบังกลาเทศ มีการส่งอาวุธจากฏอลิบานมาให้ตามแนวชายแดนพม่า-บังกลาเทศ บางส่วนได้ส่งทหารไปฝึกในอัฟกานิสถาน[12] การขยายตัวของ RSO ในช่วง พ.ศ. 2533 ทำให้รัฐบาลพม่าเข้ามากวาดล้างตามแนวชายแดนพม่า-บังกลาเทศ ในเดือนธันวาคม พ.ศ. 2534 ทหารพม่าได้ข้ามพรมแดนไปโจมตีกองทหารในบังกลาเทศซึ่งทำให้เกิดความตึงเครียดกับบังกลาเทศ และในเดือนเมษายน พ.ศ. 2535 ชาวโรฮีนจามากกว่า 250,000 คนถูกผลักดันให้ออกจากยะไข่ซึ่งเหตุการณ์นี้ถูกประณามจากซาอุดีอาระเบีย[9][13]ในเดือนเมษายน พ.ศ. 2537 มีสมาชิก RSO 120 คนเข้าสู่หม่องด่อโดยข้ามแม่น้ำนาฟที่เป็นแนวพรมแดนระหว่างพม่ากับบังกลาเทศ ในวันที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2537 มีระเบิดเกิดขึ้นในเมืองหม่องด่อ 12 แห่ง[14] ต่อมา ในวันที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2541 สมาชิก RSO และแนวร่วมอิสลามโรฮีนจาอาระกัน (ARIF) ได้รวมเข้าด้วยกันและจัดตั้งสภาแห่งชาติโรฮีนจา (RNC) และกองทัพแห่งชาติโรฮีนจา (RNA) นอกจากนั้นได้จัดตั้งองค์กรแห่งชาติโรฮีนจาอาระกัน (ARNO) เพื่อจัดการกับกลุ่มโรฮีนจาที่มีความแตกต่างกันเข้ามาเป็นกลุ่มเดียว ซึ่งมีรายงานว่ากลุ่ม ARNO นี้มีความเกี่ยวพันกับอัลกออิดะฮ์[15]

    ในเดือนมีนาคม พ.ศ. 2554 มีชายชาวโรฮิงญาประมาณ 80-100 คน ในเมืองหม่องด่อตามแนวชายแดนถูกจับกุมโดยกองทัพพม่าที่ประจำตามแนวชายแดนและถูกเชื่อมโยงกับฏอลิบาน[16][17] กองทหารฏอลิบานที่ชื่อว่ามูลีวี ฮารุนได้ตั้งค่ายฝึกและจัดทำระเบิดทางเหนือของหม่องด่อติดกับชายแดนบังกลาเทศในเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554 บุคคลต้องสงสัยที่ถูกจับกุม มี 19 คนถูกนำมาศาลก่อนในเดือนมีนาคมและเมษายนปีเดียวกัน.[18] มี 12 คนที่มีความเกี่ยวข้องกับฏอลิบานหรือกองกำลังติดอาวุธอิสลามถูกตัดสินจำคุกเมื่อ 6 กันยายน พ.ศ. 2554[19]

    ความเห็นเกี่ยวกับเหตุรุนแรงที่เกี่ยวข้องกับโรฮีนจา แก้ไข

    มอเช เยการ์ นักประวัติศาสตร์ชาวอิสราเอลได้กล่าวว่าขบวนการแบ่งแยกดินแดนมุญาฮิดีนในยะไข่เกิดขึ้นเพราะนโยบายของรัฐบาลที่กดดันต่อชาวมุสลิมโรฮีนจา โดยสาเหตุของปัญหาได้แก่ หลังจากที่พม่าประกาศเอกราช มุสลิมไม่ได้รับการยอมรับในราชการทหาร รัฐบาลพม่าได้รับชาวยะไข่ซึ่งต่อต้านชุมชนมุสลิมเข้ามาเป็นตำรวจและเจ้าหน้าที่แทนชาวมุสลิม มุสลิมถูกทหารและตำรวจจับตามอำเภอใจ การประกาศให้ศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจำชาติได้ก่อให้เกิดปัญหาแก่มุสลิมโรฮีนจา ชาวกะเหรี่ยง กะฉิ่น และฉิ่นที่นับถือศาสนาคริสต์ ทำให้เกิดขบวนการเคลื่อนไหวของชนกลุ่มน้อยเหล่านี้[20] เยการ์ยังได้กล่าวว่าขบวนการแบ่งแยกดินแดนมุสลิมในยะไข่เกิดขึ้นก่อนพม่าได้รับเอกราช โดยเกิดขึ้นพร้อมกับการขอแยกดินแดนมายูในรัฐยะไข่ และต้องการเป็นรัฐเอกราชของมุสลิม ในเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2489 มุสลิมในยะไข่ได้เรียกร้องต่อโมฮัมหมัด อาลี จินนาห์เพื่อขอให้ผนวกดินแดนของตนเข้าไปในปากีสถานที่จะตั้งขึ้นใหม่

    อย่างไรก็ตาม กบฏมุญาฮิดีนเกิดขึ้นภายใต้การปกครองของอูนุซึ่งเป็นการปกครองระบอบประชาธิปไตย และชาวมุสลิมยังได้รับการยอมรับจากรัฐบาล การต่อต้านและการกดดันต่อมุสลิมเกิดขึ้นในสมัยนายพลเน วิน นอกจากนั้น ช่วงเวลาในการประกาศให้ศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจำชาติยังไม่สอดคล้องกันเพราะพม่าประกาศให้ศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจำชาติเมื่อ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2504 ในขณะที่กบฏมุญาฮิดีนเริ่มขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2490.[21]

    เอ ชาน นักประวัติศาสตร์แห่งมหาวิทยาลัยคันดะได้เสนอว่า ขบวนการมุญาฮิดีนในยะไข่เกิดจากความรุนแรงระดับหมู่บ้านระหว่างชาวโรฮีนจากับชาวยะไข่ระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 ใน พ.ศ. 2485[22] โดยในวันที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2485 มุสลิมโรฮีนจาจากภาคเหนือของยะไข่ได้ฆ่าชาวพุทธยะไข่ราว 20,000 คน ในเมืองบูตีดองและหม่องด่อ ในช่วงเวลาเดียวกัน มุสลิมโรฮีนจา 5,000 คนในเมืองมีน-บยาและมเยาะอู ถูกชาวยะไข่ฆ่า[23] ความรุนแรงดังกล่าวเกิดขึ้นเพราะอังกฤษติดอาวุธให้ชาวมุสลิมทางภาคเหนือของยะไข่เพื่อสร้างเขตกันชนป้องกันการรุกรานของญี่ปุ่น[24] โดยได้สัญญาว่าหากชาวมุสลิมสนับสนุนฝ่ายสัมพันธมิตร พวกเขาจะได้รับ "พื้นที่แห่งชาติ"[25] อย่างไรก็ตาม กองกำลังของโรฮีนจากลับพยายามที่จะทำลายหมู่บ้านของชาวยะไข่แทนที่จะต่อต้านญี่ปุ่นเพียงอย่างเดียว ความขัดแย้งระหว่างยะไข่กับโรฮีนจาจึงเกิดขึ้น[22] เมื่อรัฐเอกราชใหม่ของมุสลิมคือปากีสถานกำลังจะได้รับการจัดตั้ง ชาวโรฮีนจาซึ่งขณะนั้นมีกองกำลังติดอาวุธอยู่แล้วจึงต้องการ "พื้นที่แห่งชาติ" ตามที่อังกฤษเคยสัญญาไว้ โดยขอแยกดินแดนมายูออกจากพม่าตะวันตกไปรวมกับปากีสถานตะวันออก มุญาฮิดีนได้ลุกฮือขึ้นในยะไข่ตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 2 และเกิดขึ้นต่อเนื่องมา

    อ้างอิง แก้ไข

    ↑ "Arakan Rohingya National Organization Contacts With Al Qaeda And With Burmese Insurgent Groups On The Thai Border".
    ↑ "Pak Taliban jihadi force of Rohingya Muslims, Bangladeshi, Indonesian nationals training in Burma".
    ↑ 3.0 3.1 3.2 Yegar, Moshe (2002). "Between integration and secession: The Muslim communities of the Southern Philippines, Southern Thailand, and Western Burma/Myanmar". Lanham (Lexington Books). p. 37,38,44. ISBN 0739103563. สืบค้นเมื่อ 2012-10-21.
    ↑ Yegar, Moshe (1972). Muslims of Burma. Wiesbaden: Verlag Otto Harrassowitz. p. 96.
    ↑ "টার্গেট আরাকান ও বাংলাদেশের কয়েকটি জেলা স্বাধীন রাষ্ট্রের স্বপ্ন জঙ্গিদের (Some Arakan and Bangladeshi militants target of Independent State)". Dainik Purbokone Bangladesh. สืบค้นเมื่อ 22 October 2012.
    ↑ "নতুন রাষ্ট্র গঠনে মিয়ানমারের ১১ টি বিচ্ছিন্নতাবাদী গ্রুপ সংগঠিত হচ্ছে (11 secessionist group is organizing to create a new state in Burma)". The Editor, Bangladesh. สืบค้นเมื่อ 2012-10-22.
    ↑ "Myanmar, Bangladesh leaders 'to discuss Rohingya'". Agence France-Presse. 29 June 2012.
    ↑ 8.0 8.1 "The Rohingya: A humanitarian crisis". Al Jazeera. สืบค้นเมื่อ 23 January 2014.
    ↑ 9.0 9.1 "Bangladesh Extremist Islamist Consolidation". by Bertil Lintner. สืบค้นเมื่อ 2012-10-21.
    ↑ Lintner, Bertil (1999). Burma in Revolt: Opium and Insurgency Since 1948,. Chiang Mai: Silkworm Books. pp. 317–8.
    ↑ "Bangladesh: Breeding ground for Muslim terror". by Bertil Lintner. สืบค้นเมื่อ 2012-10-21.
    ↑ "Rohingyas trained in different Al-Qaeda and Taliban camps in Afghanistan". By William Gomes. สืบค้นเมื่อ 2012-10-22.
    ↑ Selth, Andrew (Nov–Dec 2003). Burma and International Terrorism,. Australian Quarterly, vol. 75, no. 6,. pp. 23–28.
    ↑ "Rohingya Terrorists Plant Bombs, Burn Houses in Maungdaw". สืบค้นเมื่อ 2012-10-22.
    ↑ "Wikileaks Cables: ARAKAN ROHINGYA NATIONAL ORGANIZATION CONTACTS WITH AL QAEDA AND WITH BURMESE INSURGENT GROUPS ON THE THAI BORDER". Revealed by Wikileaks. สืบค้นเมื่อ 2012-10-22.
    ↑ "Nearly 80 Suspected Taliban Members Arrested in Burma". Narinjara News. สืบค้นเมื่อ 2012-10-22.
    ↑ "Muslims Arrested in Arakan State Accused of Taliban Ties". Irrawaddy News. สืบค้นเมื่อ 2012-10-22.
    ↑ "19 Alleged Members of Taliban Group Brought to Trial". Narinjara News. สืบค้นเมื่อ 2012-10-22.
    ↑ "Twelve Suspected Taliban Sentenced to Jail". Narinjara News. สืบค้นเมื่อ 2012-10-22.
    ↑ Lall, Marie (23 November 2009). Ethnic Conflict and the 2010 Elections in Burma. Chatham House.
    ↑ Burmese Encyclopedia. Yangon: Burma Translation Society. 1963. p. 167.
    ↑ 22.0 22.1 Aye Chan (2005). "The Development of a Muslim Enclave in Arakan (Rakhine) State of Burma (Myanmar)". SOAS. สืบค้นเมื่อ November 1, 2011.
    ↑ Kyaw Zan Tha, MA (July 2008). Background of Rohingya Problem. p. 1.
    ↑ Field-Marshal Viscount William Slim (2009). Defeat Into Victory: Battling Japan in Burma and India, 1942-1945. London: Pan. ISBN 0330509977.
    ↑ Howard Adelman (2008). Protracted displacement in Asia: no place to call home. Ashgate Publishing, Ltd. p. 86. ISBN 0754672387. สืบค้นเมื่อ 12 April 2011.
    Last edited 2 months ago by an anonymous user
    RELATED PAGES
    โรฮีนจา
    เหตุจลาจลในรัฐยะไข่ พ.ศ. 2555
    องค์การความเป็นปึกแผ่นโรฮีนจา
    วิกิพีเดีย®

    เนื้อหาอนุญาตให้เผยแพร่ภายใต้ CC BY-SA 3.0 เว้นแต่ระบุไว้เป็นอื่น
    ความเป็นส่วนตัวคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะ

    ข่าวจาก https://th.m.wikipedia.org/wiki/การกบฏโรฮีนจาในพม่าตะวันตก
     

แชร์หน้านี้

Loading...