กระแส"พญานาค"กับข้อเท็จจริงบางอย่าง(มีคลิป) คนที่ไม่เชื่อควรดูด้วยดุลพินิจ

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย 9@Phonlee, 1 กุมภาพันธ์ 2018.

  1. Khun Krit

    Khun Krit สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 พฤษภาคม 2018
    โพสต์:
    81
    ค่าพลัง:
    +96
    เมื่อวันเสาร์มีโอกาสไปกราบพระพิฆเนศครับ
    .
    และได้เดินไปกราบครูกายแก้ว (ซึ่งก็ไม่รู้จักท่านมาก่อนครับ)...ระหว่างนั้นก็ได้ให้แฟนเอามือถือผมถ่ายรูปท่านครับ
    ปรากฎว่ากดยังไงก็ถ่ายไม่ได้ (โทรศัพท์ใหม่ไม่เคยค้าง)
    ผมก็เลยไหว้ขอท่านแล้วกดถ่าย
    ปรากฎว่าติดปกติได้รูปมาดังที่แนบมาครับ ^^
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. aegmanmu

    aegmanmu เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    5,220
    ค่าพลัง:
    +10,114
    อ.นพครับมีวิธีแก้ลมเพลมพัดไหมครับ
     
  3. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,426
    ค่าพลัง:
    +35,043
    ส่วนตัวจะใช้ธาตุทองที่เรียกจากอากาศ
    ร่วมกับ ยันต์กลางอากาศ
    ของท่านผู้พลิกรูปธรรมเป็นนามธรรม
    เพราะสามารถกันที่ส่งมาทางใต้ดินได้ครับ
    เพราะบางครั้ง ก็ยากที่เราๆจะไม่เผลอไปทักกับสิ่งเหล่านี้
    หรือเข้าไปเฉียดๆหรือข้องเกี่ยว

    ปล.ถ้าจะป้องกันเรื่องทำนอง ส่วนตัวพอช่วยได้
    แต่หลังจากทำให้แล้ว ให้นำเหรียญอะไรก็ได้
    อย่างน้อย ๓ เหรียญไปหยอดตู้ทำบุญที่วัด
    จะได้ไม่ติดวิบากพ่วงพันธ์กัน....
    ถ้าจะให้ป้องกัน บอกแค่ชื่อเล่น หรือ บอกว่า
    คนโน้นนี่นั่นก็พอ (พูดเผื่อไว้)
     
  4. aegmanmu

    aegmanmu เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    5,220
    ค่าพลัง:
    +10,114
    ขอบคุณครับครู พอดีพี่ชายรุ่นน้องโดนมาครับ เวลานอนกระตุกทั้งร่างเลยครับ
    เค้าทำงานแล้วกลับดึกครับ อยู่กทม. ไม่รุ้เหรียญครุฑจะช่วยได้ไหม แต่เด๋วผมจะไปถามชื่อมาครับว่าชื่ออะไร
     
  5. 9@Phonlee

    9@Phonlee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กรกฎาคม 2014
    โพสต์:
    1,884
    ค่าพลัง:
    +4,719

    น่าสนใจครับ
    เผื่อไม่ไกลมาก ว่างๆจะแวะไปกราบไหว้


    ส่วนตัวเคยเจอเหมือนกัน
    กดถ่าย2-3ครั้งไม่มีรูป

    ...ที่วัดถ้ำเสือถ่ายรูปพระพุทธรูปในวิหาร
    ตอนนั่นยังใช้กล้องฟิล์ม
    พอพนมมือขออนุญาต...กดติดเฉยเลย

    อีกครั้งที่วัดพระธาตุสุโทนมงคลคีรี
    ครั้งนั่นมหัศจรรย์ใจมาก
    กดถ่ายครูบาน้อย2-3ครั้งไม่ติดรูปท่าน
    (ภาพมืด...แต่เห็นไฟนีออนบนฝ้าเพดาน)
    พอนึกขึ้นได้...รีบพนมมือขออนุญาตท่าน
    กดแช็ค...ติดเฉยเลย
    (น่าจะยังเก็บรูปนั่นๆไว้)
    ...ถ้าว่างวันนี้จะค้นให้ดู
     
  6. 9@Phonlee

    9@Phonlee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กรกฎาคม 2014
    โพสต์:
    1,884
    ค่าพลัง:
    +4,719
    พบพระภิกษุหน้าตาละม้ายคล้ายลป.ดู่
    รูปร่างท่าทาง บางบุคคลิก ใบหน้าบางมุมที่เห็น
    ถ้าจะบอกว่าเป็นพี่น้องตามกันมา
    ...คงไม่มีใครปฏิเสธ

    126911 - Copy (2).jpg


    ...เมื่อวานวันลอยกระทง
    ขึ้น11ค่ำ เดือน11
    วันสำคัญของครอบครัววันหนึ่ง
    จึงไปทำบุญตักบาตรที่วัดสหธรรมาราม
    สมุทรสาคร (ใกล้ๆทะเลบางขุนเทียน)
    น่าจะห่างทะเลไม่เกิน1-2กม.

    126891.jpg
    126910.jpg


    ขณะที่นั่งรอพระมารับสังฆทาน
    เห็นพระภิกษุรูปหนึ่งค่อยๆเดินเข้ามาในโบสถ์
    *ในใจมีสะดุ้งนิดๆ* (แต่ผมเก็บอาการไว้)
    ตาแรกที่เห็นคาดว่าอายุราวๆ 80 ปี
    ลักษณะบุคลิก รูปร่าง ท่าทาง
    ...มองไปๆ...ใจยิ่งสะดุ้ง

    126912 - Copy.jpg

    พอท่านรับสังฆทาน...
    ...ให้พรเสร็จเรียบร้อย
    ช่วงหนึ่งในการพูดคุยให้โอวาท
    เจ๊พนมมือ...แล้วพูดออกมาว่า
    "กราบขอโทษค่ะ หลวงปู่หน้าตาคล้ายลป.ดู่"

    พอพูดจบ...ใจผมยิ่งตื่นเต้น
    จึงมั่นใจว่า "ไม่ได้คิดเอง..เออเองคนเดียว"

    126893.jpg

    ภายหลังทราบว่าหลวงปู่มีนามว่า...
    "พระครูสังฆรักษ์บุญส่ง ปุญญาวโร"
    (ลป.จ้อย)

    เกิดเมื่อปีพ.ศ.2488 อายุ74ปี
    บรรพชาเมื่อปี 2531


    (ก่อนเที่ยงมาต่อ)
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 126893.jpg
      126893.jpg
      ขนาดไฟล์:
      40.9 KB
      เปิดดู:
      92
  7. aegmanmu

    aegmanmu เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    5,220
    ค่าพลัง:
    +10,114
    ผู้ชายคนที่โดนลมเพลมพัดชื่อ "สุรเชษฐ" ครับ
     
  8. 9@Phonlee

    9@Phonlee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กรกฎาคม 2014
    โพสต์:
    1,884
    ค่าพลัง:
    +4,719
    วัดสหธรรมาราม สังกัดคณะสงฆ์มหานิกาย
    ตั้งอยู่ถนนสหกรณ์ ตำบลพันท้ายนรสิงห์
    อำเภอเมือง จังหวัดสมุทรสาคร
    ใกล้เส้นแบ่งเขตบางขุนเทียน
    วัดนี้ไม่มีหลักฐานชี้ชัดเกี่ยวกับการสร้างวัด
    สร้างขึ้นประมาณราว ปีพ.ศ. 2496 จำนวนเนื้อที่ 84 ไร่
    ได้รับพระราชทานวิสุงคสีมาแล้ว
    พระประธานภายในอุโบสถ์คือ "พระมีลาภ"
    กว้าง ๔ ศอก ๙ นิ้ว ปางมารวิชัย
    ตามคำบอกเล่าต่อๆกันว่า...
    พระประธานองค์นี้ศักดิ์สิทธิ์มาก
    คนที่มากราบไหว้บนบานขอพร
    มักสำเร็จในสิ่งที่ตนปราถนา
    โดยเฉพาะเรื่องโชคลาภ ค้าขาย หรือซื้อขายที่ดิน

    126885.jpg เปิดดูไฟล์ 5118847
    126888.jpg
    126887.jpg 126890.jpg 126889.jpg


    หลังจากรับศีลรับพรเสร็จ
    ลป.จ้อยอาสาจะพาไปเดินชมสะพานที่ทอดยาวไปกลางน้ำ
    ...โดยเจ้าอาวาสกรุณาหยิบอาหารปลาให้2ถุง
    เพื่อไปเลี้ยงฝูงปลาธรรมชาติ

    126909.jpg
    ไม้เท้าที่ท่านถือมาด้วย...ใช่ว่าท่านเดินไม่ไหวนะ
    ท่านบอกว่า"เอาไว้ขู่หมา...มีอยู่ตัวดุมาก"
    ตอนแรกฟังแล้วใจหวั่นๆเหมือนกัน
    ...โดยเฉพาะนางนพมาศและพี่เลี้ยงที่ตามไปด้วย


    126899.jpg 126900.jpg
    หลวงปู่เดินเหินสบายๆ...แข็งแรงมาก
    หันหลังมามอง...คงเป็นห่วง(ตกน้ำป่าว)
    126901.jpg
    หลวงปู่เดินจ้ำเอาๆ...ไม่รอดีกว่า
    ส่วนผมก็ยืนพักชมวิวรอบๆไปในตัว
    126897.jpg

    ใครที่มาเที่ยวบางขุนเทียนชายทะเล
    อย่าลืมแวะมากราบไหว้หลวงปู่จ้อย
    ตาแรกที่พบท่าน คงต้องอึ้งเช่นกันว่า....
    "...เหมือนลป.ดู่จริงๆ"
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 พฤศจิกายน 2019
  9. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,426
    ค่าพลัง:
    +35,043
    ลองดูอาการนะว่า เป็นไงบ้าง.....
     
  10. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,426
    ค่าพลัง:
    +35,043
    ว่าด้วยลูกแก้วพยานาคเนี่ย
    เมื่อก่อนเคยได้แบบเรียกจากอากาศมา
    องค์ สีแดง
    เอามาทำใส่สร้อย ปรากฏว่า หลุด
    หายซะงั้น
    ต่อมาได้ แบบที่ทุบจากหิน สีทอง
    ลป.วัดพระพุทธบาทภูควายเงินให้มา
    (ตอนนี้ละสังขารแล้ว)
    แต่ก็ให้ใครไปแล้ว จำไม่ได้อีก
    ล่าสุด ได้แบบที่ กลุ่มพยานาค
    เอาใส่พานไปถวายพระพุทธฯ
    รับจากมือ พระครูปลัดฯ
    ก็ดันทำหายอีก ตอนแว๊นมอไซด์

    เสียดายตอนไปเมืองๆหนึ่ง
    พวกนั้นให้หยิบมาเหมือนกัน
    แต่ไม่ได้หยิบอีก

    ส่วนตัวเวลามีของแบบนี้
    มักจะรักษาไว้ไม่ค่อยได้ ๕๕
     
  11. aegmanmu

    aegmanmu เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    5,220
    ค่าพลัง:
    +10,114
    โอเครครับอ.
     
  12. aegmanmu

    aegmanmu เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    5,220
    ค่าพลัง:
    +10,114
    เสด็จหายบ่อยแท้ 555
     
  13. 9@Phonlee

    9@Phonlee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กรกฎาคม 2014
    โพสต์:
    1,884
    ค่าพลัง:
    +4,719
    คาถา บันดาลทรัพย์ บูชาพญานาค 9 ตระกูล
    Publish 2019-07-09 15:22:54
    Facebook406TwitterLineShare

    พญานาค หรือ นาค เป็นความเชื่อในภูมิภาคเอเชียใต้และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเรียกชื่อต่าง ๆ กัน แต่มีลักษณะร่วมกัน คือ เป็นงูขนาดใหญ่มีหงอน เป็นสัญลักษณ์แห่งความยิ่งใหญ่ ความอุดมสมบูรณ์ ความมีวาสนา อีกทั้งยังเป็นสัญลักษณ์ของบันไดสู่จักรวาลอีกด้วย

    ต้นกำเนิดความเชื่อเรื่องพญานาคน่าจะมาจากอินเดีย ด้วยมีปกรณัมหลายเรื่องเล่าถึงพญานาค โดยเฉพาะในมหากาพย์มหาภารตะ นาคถือเป็นปรปักษ์ของครุฑ ส่วนในตำนานพุทธประวัติ ก็เล่าถึงพญานาคไว้หลายครั้งด้วยกัน

    ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ยังมีตำนานเรื่องพญานาคอย่างแพร่หลาย ชาวบ้านในภูมิภาคนี้มักเชื่อกันว่าพญานาคอาศัยอยู่ในแม่น้ำโขง หรือเมืองบาดาล และเชื่อกันว่าเคยมีคนเคยพบรอยพญานาคขึ้นมาในวันออกพรรษาโดยจะมีลักษณะคล้ายรอยของงูขนาดใหญ่



    tnews_1562660573_9229.jpg




    ลักษณะของพญานาคตามความเชื่อในแต่ละภูมิภาคจะแตกต่างกันไป แต่พื้นฐานคือพญานาคนั้นมีลักษณะตัวเป็นงูตัวใหญ่มีหงอนสีทองและตาสีแดง เกล็ดเหมือนปลามีหลายสีแตกต่างกันไปตามบารมี บ้างก็มีสีเขียว บ้างก็มีสีดำ หรือบ้างก็มี ๗ สี เหมือนสีของรุ้ง และที่สำคัญคือนาคตระกูลธรรมดาจะมีเศียรเดียว แต่ตระกูลที่สูงขึ้นไปนั้นจะมีสามเศียร ห้าเศียร เจ็ดเศียรและเก้าเศียร นาคจำพวกนี้จะสืบเชื้อสายมาจาก พญาเศษนาคราช (อนันตนาคราช) ผู้เป็นบัลลังก์ของพระวิษณุนารายณ์ปรมนาท ณ เกษียรสมุทร อนันตนาคราชนั้นเล่ากันว่ามีกายใหญ่โตมหึมามีความยาวไม่สิ้นสุด มีพันศีรษะ พญานาคนั้นมีทั้งเกิดในน้ำและบนบก เกิดจากครรภ์และจากไข่ มีอิทธิฤทธิ์สามารถบันดาลให้เกิดคุณและโทษได้ นาคนั้นมักจะแปลงร่างเป็นมนุษย์รูปร่างสวยงาม

    ด้วยเชื่อกันว่า พญานาคนั้นสามารถให้คุณ แก่ผู้ที่บูชาได้ จึงขอนำคาถาบูชาพญานาคทั้ง ๙ ตระกูล อันได้แก่ ๑.พญาอนัตนาราช ๒.พญามุจรินทร์นาคราช ๓.พญาภุชงค์นาคราช ๔.พญาศีรสุทโธนาคราช ๕.พญาศรีสัตตนาคราช ๖.พญาเพชรภัทร นาคราช หรือ พญาเกล็ดแก้วนาคราช ๗.พญานาคดำแสนสิริจันทรานาคราช ๘.พญายัสมัญนาคราช ๙.พญาครรตะศรีเทวานาคราช มาฝากให้บูชากัน ดังนี้



    tnews_1562660573_3486.jpg


    คาถาบูชาพญานาคราช ๙ ตระกูล

    นะโม ๓ จบ "อะ มุ หะ กะ สุ ภุ นะ ยะ คะ"

    และ คำบูชาพญานาคราช (เพื่อขอโชคลาภ)

    อะระหัง พุทโธ นะโมพุทธายะ นาคี นาคะ
    ลาโภ ลาภะ โภคา โภคะ นะมามิหัง ประสิทธิมัง
    นะโมพุทธายะ มะอะอุ



    tnews_1562660573_5711.jpg




    เรียบเรียงโดย

    ปิยะนัย เกตุทอง


    ขอขอบคุณแหล่งที่มา...

    https://www.tnews.co.th/variety/514672
     
  14. 9@Phonlee

    9@Phonlee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กรกฎาคม 2014
    โพสต์:
    1,884
    ค่าพลัง:
    +4,719
    55....
    จะลองสวดบทคาถาพญานาคราช 9 ตระกูลมั่ง
    เผื่อนำโชคลาภก้อนโตๆมาบ้าง


    สืบเนื่องจาก...
    ...บทคาถาที่นำลงมาให้อ่านเมื่อวาน
    คิดว่าน่าจะมีอะไรผิดพลาด
    ตรงที่ขาดคำว่า "นาคีนาคา"(ภาพตามป้ายเมื่อวาน)
    จึงรู้สึกในใจว่า "ไม่น่าจะสมบูรณ์"

    เช้านี้จึงไปค้นหา "เพื่อให้มั่นใจ"
    จึงได้ภาพหินแกรนิตข้างล่างนี้มาแทน
    ...สรุปส่วนตัวขอใช้บทคาถานี้
    ...ลองดูว่า...
    ...จะนำโชคลาภก้อนเล็กก้อนใหญ่มาให้หรือไม่


    จะเล่าเรื่องแปลกๆให้ฟัง(เมื่อวาน)
    หลังจากลงบทคาถาเสร็จแล้ว
    ในใจคิดว่าจะลองท่องคาถาพญานาค9ตระกูลนี้
    จึงตรวจทานความถูกต้องก่อนนำไปท่องจำ
    เชื่อไหม...แปลกจัง งงจัง ?
    พอเริ่มต้นตรวจทาน..แค่บรรทัดบทแรก...
    "อะ มุ หะ กะ สุ ภุ นะ ยะ คะ"
    ตรวจทานไป 2ครั้งอย่างพิถีพิถัน
    ผิดทั้ง 2 ครั้ง...คือไม่ตรงกัน
    พอครั้งที่ 3 เพื่อสรุป....เออไม่ตรงกันจริงๆ
    ประมาณว่าตัวอักษรบางตัว...สับหน้าสับหลัง
    555...เหมือนเล่นบอล...ถูกสับขาหลอก
    ครั้นตรวจทานบรรทัดอื่นต่อไป
    จึงพบอื่นๆไม่ตรงกันด้วย
    โดยเฉพาะคำว่า "นาคีนาคา"
    ซึ่งผมคิดว่ามีดีกว่า (คือถูกใจกว่า...ว่างั้น)

    แต่พอเช้านี้ไปถามอากู๋เพื่อความแน่ใจอีกครั้ง
    เพราะคิดว่าท่องไปผิดๆ...
    ...เปล่าประโยชน์(คิดเอง เออเอง)

    ...จึงมีงงอีกครั้ง และแปลกใจอีกครั้ง
    เออ...ทำไมเช้านี้ตรวจดูไป2-3ครั้ง....
    บรรทัดแรก(ประโยคแรกบนสุด)...
    "อะ มุ หะ กะ สุ ภุ นะ ยะ คะ"
    ตรวจทานกี่ครั้งก็เหมือนกันตรงกัน...ทุกตัวอักษร
    "ไฉนเมื่อวาน...สับสนมึนงงเช่นนั่น"

    55....คงถูกอิทธิฤทธิ์พญานาคราช9ตระกูลยกทีม
    "สับขาหลอก...ชัวร์"

    เพื่อทดสอบความมุ่งมั่นตั้งใจ...ไงครับ
    ...อย่างงี้ไม่ท่อง...คงไม่ได้แล้ว






    (บทคาถานี้ถูก.......ถูกใจ)
    1444621842-11-o-jpg.jpg

     
  15. aegmanmu

    aegmanmu เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    5,220
    ค่าพลัง:
    +10,114
    ยอดมากท่าน 9
     
  16. 9@Phonlee

    9@Phonlee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กรกฎาคม 2014
    โพสต์:
    1,884
    ค่าพลัง:
    +4,719
    Tips & Tricks (วรรคทอง)
    หน้า 183 ลำดับ# 3648

    มาจากข้อสงสัยของTanya R
    "หาครูบาอาจาย์ที่เป็นฆราวาสและน่าเชื่อถือในคำสอนหายากเนอะ เวลาทำบุญถึงต่อท้ายอธิษฐานอย่างที่ป๋าบอกว่า...ขอให้พบครูบาอาจาย์ที่สั่งสอนให้เข้าถึงธรรมอันเป็นอนุตรธรรม...."

    "nopphakan, post: "
    ดูความสามารถในการทำได้ก็พอคะเนได้
    ขนาดพระเกจิ มากความสามารถต่างๆ
    ท่านยังไม่ติดในลาภ ยศ สุข สรรเสริญเลย
    อีกอย่าง วิบาก ในการถ่ายทอดคำสอน
    หากเป็นมิจฉาทิฐิด้วยแล้ว
    วิบากมันจะเร็วและแรงกว่าปกติครับ

    ที่แน่ๆส่งผลให้ชาตินี้ จะฝึกกรรมฐานอะไรไม่สำเร็จ
    อีกอย่าง ทิฐิ สติ สัญญา ก็จะค่อยๆวิปลาส
    ตามลำดับ(วิปลาส คือ เห็นต่างกับคนหมู่มาก
    แบบไม่น่าเชื่อ ประมาณนี้)

    ถ้าเป็นด้านคำสอนนั้น ส่วนตัวมองว่า
    เป็นฆารวาสอย่าได้เสี่ยงที่จะสอนเลย
    แต่เป็นเชิงแนะนำจะดีกว่า
    ยกเว้นว่า จะบรรลุธรรมแล้วมาพร้อม
    กับความสามารถต่างๆ
    เหมือนท่านในอดีต ที่พอบรรลุแล้ว
    มาพร้อมวิชาสาม ปฏิสัมภิทาญาน
    นั้นหมายถึงท่าน สะสมบารมีมามากพอแล้ว.....

    แต่ยุคสมัยเปลี่ยนแปลงมาเรื่อยๆ
    คำสอน ในอดีตมา เก้าสายทางเรือ
    ล้วนแล้วแต่เป็นนามธรรมทั้งนั้น....

    แต่ด้วยกาลด้วยเวลาที่ผ่านมา
    กลายเป็นสอดแทรกด้วยพิธีกรรม
    ต่างๆนาๆ คำสอนต่างๆนา ของสายโน้นนี่นั้น
    เข้ามาปะปนไปหมด แล้วก็พากันยึดมั่นถือมั่นว่า
    เป็นที่สุด ทั้งๆที่ยังไม่ได้ลงมือปฏิบัติ
    เพียงแต่ ผ่านการวิเคราะห์ แยกแยะ ตีความ
    ก็ยึดมั่นถือมั่น จนยอมรับความเห็นต่างไม่ได้
    ที่พูดคือ ในคนปกติทั่วไป.......

    ในบรรดา ผู้ที่พอมีความสามารถบ้างเล็กๆน้อย
    มีสัมผัสบ้างเล็กๆน้อย ก็กลับหลงไปกลับนามธรรมต่างๆ
    จนยึดถือมั่นกลายเป็นการสะกดจิตตัวเอง.....

    จนลืมไปว่า พุทธศาสนา ธรรมะนั้น
    เป็นไปเพื่อ การละ คลาย แต่ก็กลับทำในสิ่ง
    ที่ตรงกันข้าม ไม่ว่า การไปยึดใน ลาภ ยศ สุข สรรเสริญ
    ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นอัตตาทั้งสิ้น

    ต่างกับธรรมะของทางพุทธศาสาน ทั้งๆที่ตัวอย่าง
    ก็มีให้เห็น จนกลายเป็นว่า
    ปัจจุบัน คนในวัดออกมาเรียนวิชาต่างๆ
    แล้วก็ประกาศตนว่า สำเร็จระดับโน้นนี่นั้น
    แต่ฆารวาสกลับแต่งขาวห่มขาว
    เพื่อการปล่อยวาง......... พอมองเห็นภาพไหม

    ดูนักปฏิบัติ ดูไม่ยากหรอกครับ

    ดูเรื่อง การไปยึดเอาภายนอกเข้ามา
    ไม่ว่า เรื่อง ลาภ ยศ สุข สรรเสริญ ....

    ดูตัวอย่างพระเหนือโลกท่านต่างๆเป็นตัวอย่างครับ

    การอ้างอิงคำสอน การแอบแฝงไว้ด้วยลาภยศสุขสรรเสริญ
    และยกตนประหนึ่งว่า เป็นบุคคลสำคัญมันอัตนตรายครับ

    พุทธฯ เราเรียน มีวันจบ เรียนจบ พ้นภัย
    การเล่าเรียน เพือให้มี เพื่อก่อ เพื่อสร้างไม่ใช่ทางพุทธฯ

    แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ก็แล้วแต่ วิบากเฉพาะบุคคลร่วมด้วย

    อย่างเราๆเป็นฆารวาส ก็ค่อยๆเป็นค่อยๆไปกันครับ

    ชีวิต ต้องเดินไปข้างหน้า
    อดีตที่ผ่านมา ก็ช่างมัน
    แม้มันจะย้อนคิด
    แล้วตามด้วย ความคิดฝ่ายมาร ฝ่ายเทพ
    เราก็แค่คอยดูว่า มันคิดอย่างไร....


    ปล. อยู่ทางโลก ''ทำตัวให้ต่ำๆ ปฏิบัติตนให้สูงๆ''
    นี่คือ แนวทางคำสอนที่ควรครับ

     
  17. aegmanmu

    aegmanmu เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    5,220
    ค่าพลัง:
    +10,114
    ผมอยากทราบคำสมาทาน พวกวิรัติศีล หลังทำการสวดมนต์ครับ
    อยากทราบว่าอ.นพใช้บทไหน ก่อนทำสมาธิครับ
    ตอนนี้ผมสวดมัวเลยครับ ที่นี้กว่าจะสมาธินานเลย
     
  18. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,426
    ค่าพลัง:
    +35,043
    การสวดมนต์ เป็นอุบาย การทำให้จิตใจสงบ ด้วยการจดจ่อ
    อยู่กับบทของคาถานั้นๆ หรือ อยู่ในคลื่นความถี่ระดับใดระหนึ่ง
    จนกระทั่งจิตเกิดความสงบขึ้นมา จากการสวดต่อเนื่อง
    เพราะความต่อเนื่องในการสวดนั้น เป็นการสร้างแรงสั่นสะเทือนอย่างหนึ่ง
    ที่ไปลดกดคลื่นความถี่ปกติในชีวิตประจำวันที่มีค่าสูง
    ให้คลื่นนี้บีบอัดลงมามีค่า ที่ไม่ใช่ศูนย์ อยู่ในระดับเดียวกัน ที่ทำให้จิตนิ่งๆสงบ
    เป็นระยะเวลานานขึ้น ให้อยู่ในคลื่นนี้นานขึ้น
    ส่วนผลของคาถาที่ไปสวดนั้น
    เป็นผลพลอยได้ตามมาภายหลังนั่นเอง
    ตามมาจากอะไร ก็ตามมาจาก เอกลักษณะของภาษา
    ที่หากได้พูดหรือคิดขึ้นมา จะสร้างแรง หรือ การสันสะเทือน
    ไปในทิศทางเดียวกันกลายรวมๆกัน มีความหนาแน่น
    (นึกย้อนภาพ อนุภาคที่เป็นองค์ประกอบสะสาร ที่ไม่อิงพื่นที่ รวมกันที่แรงก็ได้)
    เป็นคลื่นความถี่หนึ่งๆ
    ก่อนที่จะไปกดคลื่นความถี่ปกติ มาเป็นคลื่นที่มีค่าแต่ไม่ศูนย์

    ดังนั้นหากสังเกตุจะพบว่า การสวดมนต์ก็เป็นการลดคลื่นความถี่อย่างหนึ่ง
    ให้อยู่ในระดับเดียวเป็นเวลานานๆ ซึ่งมันก็เหมือนกับลักษณะของกิริยา
    ที่เราทำสมาธิซึ่งต้องการลดคลื่นความถี่ของจิตลงมาเรื่อยๆเช่นกัน
    เพียงแต่ในการทำสมาธินั้น นอกจากจะสามารถลดคลื่นความถี่
    ลงมาให้อยู่ในระดับใดๆเป็นเวลานานๆได้แล้ว(ทางโลกเรียกระดับฌาน หากอยู่นาน
    จะกลายเป็นยึดในฌาน)
    และก็ยังสามารถลงมาได้จนต่ำสุดจนถึงระดับที่คลื่นความถี่เป็นศูยน์
    (เป็นศูนย์คือ มีค่าเป็นศูนย์ มีค่าเป็นศูนย์เท่าที่มันจะเป็นศูนย์ได้ หรือระดับฌานที่สูง)

    สังเกตุเพิ่มเติมอีกจะพบว่า ก่อนที่จะลดคลื่นความถี่ให้มาอยู่ในระดับที่มีค่าแต่ไม่ใช่ศูนย์นั้น
    อาศัย การสันสะเทือน ในทิศทางเดียวกัน เพื่อรวมกัน


    ที่นี้ หากมีการเปลี่ยนแปลงของคลื่นขึ้นมา ที่ไม่เป็นไปในทิศทางเดียวกันเหมือน
    บทคาถาหรือมีการก้าวกระโดดของคลื่น เช่น เผลอไปคิดเรื่องอื่นๆในอดีต
    เผลอคิดเรื่องอื่นในอนาคต อยู่ดีๆมีเรื่องในอดีตขึ้นมาเอง อยู่ดีๆมีเรื่องในอนาคตขึ้นมาเอง
    หรือ มีเสียงเรียกจากภายนอก รวมทั้ง เสียงต่างๆจากภายนอกขึ้นมาแล้วเผลอไปคิด
    ไปสนใจ ก็จะกลายเป็นการไปดึงคลื่นความถี่เหล่านี้ให้เข้ามาแทรก
    กับคลื่นความถี่ในทิศทางเดียวกันของบทคาถาได้
    เป็นเหตุให้เกิดการก้าวกระโดดขึ้นลงของคลื่นความถี่ขึ้นมา
    เมื่อเกิดการก้าวกระโดด มวลความหนาแน่นของคลื่นบทคาก็จะลดน้อยถอยลง
    ส่งผลให้ไปสู่จุดคลื่นที่มีค่า แต่ไม่ใช่ศูนย์ได้อยากขึ้น ก็จะผลอื่นๆตามมาภายหลังได้

    ทั้งหมดที่เล่ามา การส่งผลตามมาอื่นๆ ทางโลกอาจ
    เรียกว่า ใจไม่สงบ จิตไม่สงบ ลืมบทคาถา ขี้เกียจ
    คืดโน้นนี่นั้น เมื่อคลื่นก้าวกระโดนหรือแกว่ง
    ก็จะตัดผลพลอยได้ของคาถาตามมาได้นั่นเอง
    เรียกว่า เป็นไซด์แอฟเฟก

    ดังนั้น จึงเกิดอุบาย ที่จะตัดเหตุของคลื่นที่ก้าวกระโดดขึ้นมานี้หลายๆอุบาย
    เช่น การอาบน้ำชำระร่างกายก่อน , การไม่รับประทานให้อิ่มเกินไป, การดูหนังที่ชอบจบก่อน,
    การทำงานที่ค้างจบก่อน,การได้พูดคุยธุระจบก่อน ,การได้รถต้นไม้, การได้เดินผ่อนคลาย
    การขอขมากรรม ,การอุทิศส่วนกุศลให้เจ้ากรรมนายเวร, การขอโทษเพื่อนร่วมงาน,การช่างมันหากยังมีงานหรือธุระอะไรค้างคา,
    การเดินจงกลมก่อน ,การหายใจเข้าและออกให้ลึกและยาวที่สุด ๓ ครั้ง ฯลฯ
    ซึ่งก็แล้วแต่ว่า จะนำอุบายไหนไปใช้งาน

    สังเกตุให้ดี จะพบว่า ถ้าถามว่า ส่วนตัวใช้บทไหนก่อน หรือสวดบทใดก่อน
    หากยังไม่เข้าใจกิริยาของความสงบที่เกิดขึ้นก่อนในเบื้องต้น
    ไม่ว่าจะใช้บทใดๆ ก็มีโอกาสที่จะเกิดคลื่นก้าวกระโดดที่มาขวางได้นั่นเอง

    ดังนั้น ให้ลองเลือกอุบายต่างๆดูด้วยตนเอง อุบายอะไรก็ได้ ตามตัวอย่างที่ได้ยกขึ้นมา
    เพื่อเป็นการตัดคลื่นก้าวกระโดดที่เกิดขึ้น แต่ในทางปฏิบัติ อุบายที่มักใช้กัน
    ก็คือ การขอขมากรรม และการอุทิศส่วนกุศลก่อนทำการสวดมนต์และนั่งสมาธิครับ
    แต่ก็ต้องพิจารณาแก้อุบายต่างๆ ที่อาจจะเป็นองค์ประกอบให้เกิดคลื่นก้าวกระโดดร่วมด้วย

    อาจจะเกิดคำถามขึ้นมาว่า สวดในใจหรือออกเสียงแบบไหนดีกว่า
    จะไม่สรุปนะครับ แต่จะเล่าให้ฟัง

    การสวดแบบออกเสียง ตัวจิตและร่างกาย จะเริ่มต้นจากคลื่นความถี่ของจิต
    ที่สูงกว่าการสวดแบบในใจ เพราะยังมีการส่งออกของคลื่นเสียงออกไปภายนอก
    ซึ่งเปรียบเสมือนได้ กับการกับงานของจิตในเวลาใช้ชีวิตปกติประจำวันนั่นเอง
    นั่นคือ มีคลื่นภายนอก และจากภายในออกไป
    แต่พอเวลามาสวนในใจ จะเหลือแต่คลื่นภายนอกเข้ามาอย่างเดียว
    ไม่มีการส่งคลื่นจากภายในออกไป แม้มีการสร้างคลื่นมาจากความคิด
    แต่ก็จะยังอยู่ภายในกาย ดังนั้น การลดกดคลื่นความถี่ให้ลงมา
    ถึงระดับมีค่าแต่ไม่ใช่ศูนย์จึงง่ายกว่า

    แม้การออกเสียงตามบทจะเป็นการสร้างคลื่นให้อยู่ในระดับเดียวกันได้
    แต่ก็จะอยู่ในระดับนั้นๆระดับเดียว....

    ไม่เหมือนกับการสวดในใจ ที่สามารถลดคลื่นความถี่ให้ลงมาต่ำกว่า
    คลื่นที่มีค่าแต่ไม่ใช่ศูนย์ได้ และสามารถลดคลื่นความถี่ให้ลงในในระดับ
    ที่ตัดร่างกายให้เหลือแต่คลื่นที่เป็นนามธรรมได้ ไม่เหมือนการออกเสียง
    เพราะยังมีการขยับร่างกาย คลื่นแม้คลื่นอยู่ในระดับเดียว แต่ก็ยังไม่ทิ้งกาย
    เพราะยังมีการท่องบ่นอยู่

    คลื่นความที่ในระดับที่ตัดร่างกายได้ชั่วคราวนี้หละครับ
    จะกลายเป็นการสร้างคลื่นที่ตอนแรกมีอยู่แต่ภายในกาย
    ให้ไปรวมกับอากาศภายนอก แล้วไปเชื่อมกับคลื่นอื่นๆ
    ที่เป็น ต้นคลื่นของบทคาถานั้นๆ
    เพราะบทคาถาเป็นการสร้างคลื่นอย่างหนึ่ง คลื่นจะทำงานได้ดี
    ต้องไม่มีอุปสรรคทางด้านวัตถุมาขวาง
    เป็นที่มาของ กิริยาที่เรียกว่า การสวดมนต์ให้ได้ผล
    ในทางด้านการเข้าถึงต้นกระแส พอเข้าถึงต้นกระแสได้แล้ว
    ก็จะโน้นผลไปตามแนวทางของต้นกระแสนั้นๆได้เป็นผลพลอยได้
    ในลำดับต่อมานั่นเอง......

    การท่องบ่นก็ได้ผล แต่ได้ผลในระดับที่ยังอาศัยร่างกายอยู่
    หากสังเกตุดูให้ดี ในบรรดาผู้ที่ใช้งานทางจิตได้
    หรือใช้คาถาได้ผล แม้จะกล่าวออกเสียงก่อนก็ตาม
    แต่จะต้องมีจังหวะหนึ่งที่เงียบ เช่นหายใจเข้า แล้วเป่าพรวด หรือนิ่งๆก่อน
    ที่จะใช้ผลของคาถา อุบายนี้ ก็เพื่อสร้างให้คลื่นความถี่ตรงนี้ ไม่ว่าจะดึงความเป็นทิพย์
    จากการใช้กำลังสมาธิกดลงไป หรือ เพื่อให้สร้างคลื่นที่
    มันทิ้งร่างกาย ออกไปรวมกับอากาศภายนอกได้นั่นเอง


    การสวดมนต์ ถ้าจะให้จิตสงบ ให้ได้ผล
    ให้หาอุบายในการป้องกัน การสร้างคลื่นก้าวกระโดด
    การสวดบทที่ยาว แต่จำไม่ได้ ก็เป็นการสร้างคลื่นก้าวกระโดนเช่นกัน
    เพราะเกิดการชงัก ดึงให้คลื่นกับสู่สภาะการใช้ชีวิตปกติซึ่งมีค่าสูงอยู่แล้ว....
    ส่วนการคิดในใจนานๆ แต่เรื่องเดิมก็เป็นการสร้างคลื่นภายในให้กระจุกตัว
    ทำให้ไปถึงคลื่นความถี่ที่มีค่า ไม่ใช่ศูนย์ ที่ทำให้จิตสงบนิ่งๆได้เช่นกัน

    เอาง่ายๆ ก่อนสวด การขอขมากรรมและอุทิศส่วนกุศลทุกครั้ง
    สามารถตัดการสร้างคลื่นก้าวกระโดดได้ดี นอกจากอุบายอื่นๆ
    ในการตัดดังที่ยกตัวอย่างไปแล้วครับ


    ลองพิจารณาดูครับ....
    ปล. ส่วนตัวจะสวดแค่นะโมฯ กับ พุทธังฯลฯ
    ยกเว้นว่า จะนั่งสมาธิ หรือ สวดบทอื่นๆที่เห็นว่าชอบ
    แต่จะเน้นการสวดในใจและเป็นบทสวดทำท่องจำได้

    การอยู่ในคลื่นความถี่เดียวกันนานๆเป็นการแช่อย่างหนึ่ง
    ไม่ใช่ไม่ดี เพราะสามารถสร้างให้เกิดผลได้เช่นกัน
    แต่การเข้าออกในคลื่นความถี่นั้นๆบ่อยๆ
    เป็นการสะสมกำลังเพื่อเพิ่มระดับการลดคลื่นความถี่
    ลงไปได้อีกเรื่อยๆนั่นเองครับ

    เพราะคลื่นความถี่ที่ใช้งานได้
    เมื่อเข้าถึงได้แม้ในระดับวินาที
    กับ ๑ นาที ผลที่ได้ก็เท่ากัน

    เราจึงเห็นภาพการนิ่งๆแม้จะพร่ำบ่นอะไรมา
    ในลักษณะไม่ยาว ก่อนการใช้คาถาต่างๆนั่นเอง
    ในปัจจุบันนี้


    ยาวหน่อย แต่คิดว่า มีประโยชน์ครับ
     
  19. aegmanmu

    aegmanmu เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    5,220
    ค่าพลัง:
    +10,114
    สาธุ ขอบคุณอ.นพมากนะครับ
     
  20. 9@Phonlee

    9@Phonlee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กรกฎาคม 2014
    โพสต์:
    1,884
    ค่าพลัง:
    +4,719


    สุดยอดครับ มีประโยชน์ที่สุด
    บางประเด็นไม่ได้ถาม
    ซึ่งเก็บอยู่ในใจ(ว่าจะถามวันสองวันนี้)
    แต่อาจารย์นพชิงตอบไปก่อน
    (55...ต้องขอบคุณ"เอก"ด้วยที่ถามแทน)

    อย่างก่อนหน้านี้เช้าสวดบทสัพเพใหม่(ลต.ม้า)
    คิดว่าจำมาดีแล้ว
    แต่เวลาสวดจริงสะดุดเป็นช่วงๆ
    แล้วหยุดคิด...คิดได้...สวดต่อๆ
    ...เป็นอย่างนี้หลายเช้า

    และเช้านี้เริ่มต้นสวดบท9พญานาคราช...ก็เช่นกัน
    เลยตั้งใจว่าจะถามอาจารย์นพเรื่องพวกนี้
    55....ตื่นขึ้นมา...ได้คำตอบชัดเจนเลย
    ชัดเจน
    แบบไม่มี"คลื่นกระโดด"
    (คำว่า"คลื่นกระโดด"
    ถ้าผมจะใช้คำว่า"คลื่นแทรก"แทนได้ไหมครับ)
    เพราะเวลาอ่านถึงคำว่าคลื่นกระโดด
    ...เหมือนอ่านแล้วทำให้สะดุดนิดๆ
    (ประมาณว่าจิตกระโดดตามไปด้วย)
    ...เหตุน่าจะเป็นเพราะผมใช้สมาธิตั้งใจอ่าน(มาก)

    ขอบคุณครับท่านอจ.นพ
    ที่เขียนเรื่องดีๆให้สมาชิกได้อ่าน
    เด๋วจะอ่านอีก1-2รอบ...เพราะดลใจมาก


    ผมมีข้อสงสัย...จะถามคือ
    การทำบุญเช่าวัตถุมงคล(เช่าพระ)จากทางวัด
    1.คือเป็นส่วนหนึ่งของการทำบุญให้วัดหรือไม่
    2.ระหว่างทำบุญ(หยอดตู้)โดยตรง กับทำบุญเช่าพระ
    ...ได้บุญเท่ากันหรือไม่
     

แชร์หน้านี้

Loading...