อัลบั้มพระ ประวัติ และวัตถุมงคล

ในห้อง 'ประสบการณ์ เรื่องเล่า' ตั้งกระทู้โดย ปู ท่าพระ, 26 ธันวาคม 2013.

  1. NiponSuwan

    NiponSuwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กันยายน 2018
    โพสต์:
    446
    ค่าพลัง:
    +1,162
    72863720_1680016998795933_1477528698977517568_n.jpg


    72283207_1680017025462597_355807116709068800_n.jpg

    72544917_1680026092128357_1380660002288566272_n.jpg


    72418827_1680026168795016_5751734599810023424_n.jpg


    71923275_1680017172129249_1570767181933707264_n.jpg

    72472939_1680017085462591_5877916203481038848_n.jpg

    72683676_1680017128795920_8907240556715835392_n.jpg



    ๑๓ ตุลาคม วันคล้ายวันสวรรคต

    พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร
    มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช
    บรมนาถบพิตร


    ธ สถิตในดวงใจตราบนิรันดร์
    น้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้นอันหาที่สุดมิได้

     
  2. NiponSuwan

    NiponSuwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กันยายน 2018
    โพสต์:
    446
    ค่าพลัง:
    +1,162
    index.php.jpg
    (ภาพดวงแก้วพระสิวลี ที่หลวงพ่อกวยท่านได้วาดไว้)


    d85bd19858297d4850a606d5a5c28c43 (1).jpg

    1111178-30c08.jpg

    คาถาบูชาพระสิวลี ฉบับหลวงพ่อกวย.jpg


    คาถาไหว้ครู

    นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ (๓ จบ )

    • ตะมัตถัง ปะกาเสนโต สัตธาอะหะ อิมะอะวิ ตะอุอะนิ มะสะนะโม ฯ ๛

    สิบนิ้วข้าพเจ้าขอน้อมนมัสการแด่คุณครูอาจารย์ผู้ประสาทวิทย์ อันเป็นมิ่งมิตรทั่วโลกา ข้าพเจ้าขอไหว้เทพยดาผู้ศักดิ์สิทธิ์ อีกทั้งพระพรหมเมศรีผู้เรืองฤทธิไกร ทั้งพระครูผู้รู้ไสยศาสตร์โหราจารย์ จงมาอภิบาลปกเกศ ทั้งบิตุเรศชนนี หลวงพ่อกวยก็ดี จงมาเป็นสักขีพยานให้กับข้าฯ ผู้ท่องว่าคาถาอาคมให้บรรลุสมและศักดิ์สิทธิ์เป็นศุภนิมิตรแก่ตัวข้าฯตลอดชั่วกาลนานเทอญ

    จุดเทียนและธูป ๙ ดอกบอกกล่าวหลวงพ่อกวยก่อนว่าคาถาของท่าน ให้ดีควรเป็นวันพฤหัสบดีอันเป็นวันครูจะเกิดมงคลนัก ขอท่านประสิทธิ์ประสาทแก่เรา
    แล้วอย่าลืมทำบุญตักบาตรรถวายอุทิศกุศลถวายแด่ท่านด้วย


    ****************

    คาถาบูชาพระสีวลี ฉบับหลวงพ่อกวย (ลายมือหลวงพ่อ)

    (๑) • สีวะลีจะมหาเถโร ปัจจะยะลาภะปูชิโตมะนุสโสเทวะตาอินโท
    พรหมมายะโม ยักขาวา ปิตัสสะ นิรันตะรัง ปะนะลาภะ
    สักกาเรอาเน็นติ นิจจัง สิวะลิดเถรัสสะลาโภจะสักกาโรโหติ
    สิวะลีมหาเถรันจะปูชะกัสสะ สะทาวาปิ คาถันจะ
    สังวัดตะนัสสะ ลาโภจะ สักกาโรโหติ เถรัสสะ อานุภาเวนะ
    ลาโภเมโหตุ สัพพะทา เอเตนะ สัจจะวัดเชนะ
    ลาโภเมโหตุสัพพะทา ฯ ๛


    เมื่อกล่าวคำอราธนาขอลาภสักการะตามความปรารถนาจบแล้ว จึงสวดคาถา...พระสิวลีต่อไป ให้ได้วันละ ๓ ครั้ง ๗ ครั้ง จะเกิดโชคลาภตามความปรารถนาทุกประการ ว่าดังนี้

    (๒) • สีวะลีจะมหาเถโร เทวะตานะระปูชิโตโสระโห ปัจจะยาทิมหิ
    สีวะลีจะมหาเถโร ยักขาเทวาภิปูชิโต โสระโห ปัจจะยาทิมหิ
    อะหังวันทามิตังสะทา สีวะลีเถรัสสะ เอตังคุณัง
    สวัสดิภาลัง ภะวันตุเม ฯ ๛


    พระคาถาบูชาทั้ง ๒ บท คอยบูชาสวดประจำเป็นกิจวัตร์ ประจำวันอยู่ จะเกิดลาภสักการะ ซื้อง่ายขายคล่อง ต่อไปจะร่ำรวยเป็นเศรษฐี มหาเศรษฐี และจะมีโชคชะตาราศีดีขึ้นทุกวัน

    อธิบายเกี่ยวกับการสวด :
    เริ่มสวดคาถาบทที่ ๑ อันเป็นบทอาราธนาพระสีวลีสวดบทนี้เพียงหนึ่งจบ แล้วอธิษฐานขอลาภผลในสิ่งปรารถนาตามสมควรพอสมแก่บุญวาสนา แล้วจึงสวดคาถาบทที่ ๒ ต่อไป

    เพื่อขอลาภผลความเจริญรุ่งเรือง จะให้ดีควรสวด ๗ - ๙ จบหรือตามกำลังวัน หากอยากให้บังเกิดผลเร็วควรสวดทุกเช้า – ค่ำ ไม่ขาดจะเกิดผลแต่ตั้งใช้เวลาสั่งสมไป ใช่หวังจะสวดเพียงไม่กี่วันก็จะให้เกิดผลทันใจนั้นไม่ใช่ ต้องใช้เวลาและขึ้นอยู่กับความตั้งใจและหมั่นสวดภาวนา และบุญวาสนาของเราตามมีตามได้ไม่ฝืนเกินกว่าบุญบารมีของตัวเรา



    คาถาบูชาพระกัจจายนะ

    • กัจจายะโน จะมะหาเถโร ยักขาเทวา
    นะระปูชิโต โสระโห ปัจจะยาทิมหิ

    มะหาลาภัง ภะวันตุเม ฯ ๛

    ดูต้นฉบับลายมือหลายพ่อกวยได้ที่นี่:
    http://www.watkositaram.com/forum/index.php?topic=3172.0




     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 ตุลาคม 2019
  3. NiponSuwan

    NiponSuwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กันยายน 2018
    โพสต์:
    446
    ค่าพลัง:
    +1,162
    68864775_1630348593762774_3748604527750676480_n.jpg


    ใช้เวลาอยู่ที่วัดโฆสิตารามจนพอสมควรแล้ว ก้มมองดูนาฬิกา เห็นเวลาผ่านไปเกือบชั่วโมงแล้ว สมควรที่จะออกเดินทางต่อ เดินมาขึ้นรถที่จอดอยู่หน้ามณฑปหลวงพ่อ หันกลับไปกราบลาท่าน พร้อมกับถ่ายรูปใบสุดท้าย ศรัทธาสาธุชนยังคงหลั่งไหลกันมาไม่ขาดสาย มากราบไหว้บูชา ครูบาอาจารย์ที่ตนศรัทธา ขอให้สามารถฟันผ่าอุปสรรคนานา ที่ประเดประดังเข้ามา ให้มลายหายพลันด้วยเทอญ

    หลากหลายคำอธิษฐาน มากมายด้วยคำบนบานศาลกล่าว จากผู้คนจากทั่วสารทิศ กลิ่นธูปควันเทียน ไม่เคยจางหาย หลวงพ่อยังคงรับฟังและเป็นที่พึ่ง อย่างน้อยการได้มากราบไหว้พระก็ช่วยให้จิตใจสงบเยือกเย็นลง ที่หนักอาจผ่อนคลาย ที่บางอาจมลายหายไปได้



    71741710_1666582756806024_3461764355203268608_n.jpg

    71311495_1666582796806020_2231112021372305408_n.jpg

    71085015_1666582846806015_6238840730773618688_n.jpg

    71173863_1666582946806005_1754515963144830976_n.jpg

    71494925_1666582923472674_4470664014258503680_n.jpg

    71029536_1666583040139329_3691546729036906496_n.jpg


    ออกจากวัดโฆสิตารามก็มุ่งตรงไปยังมโนรมย์เพื่อไปยังวัดท่าซุง โดยข้ามสะพานที่เพิ่งเปิดใหม่ สะพานแห่งนี้จะช่วยประหยัดระยะทางไปได้ราวๆ 25 กิโล เลยทีเดียว เราลองจับเวลากันดูคร่าวๆขับแบบสบายๆ จากวัดหลวงพ่อกวยไปถึงวัดท่าซุงใช้เวลาประมาณ ครึ่งชั่วโมงเท่านั้นสะดวกมาก
    (ภาพข้ามสะพานตอนขากลับ ตอนขาไปถ่ายเป็นคลิปแต่เนื่องจากไม่ชำนาญในการถ่ายมือไปเผลอกดปิดตอนไหนไม่รู้เลยไม่ได้คลิป แต่ยังดีตอนขากลับถ่ายเป็นภาพนิ่งเอาไว้)

    สะพานเพิ่งเปิดใช้ถนนก็ราดยางใหม่ วิ่งสบายมากๆ สองข้างทางเริ่มมีคนนำของมาขาย ที่มีทุนมากก็เปิดเป็นตึก ที่มีทุนน้อนก็กางเต็นท์กางร่มขายกัน ทุกวันนี้คนมาเที่ยววัดท่าซุงกันมาก ชาวบ้านแถวนั้นก็ได้รับอานิสงส์ไปด้วย
     
  4. NiponSuwan

    NiponSuwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กันยายน 2018
    โพสต์:
    446
    ค่าพลัง:
    +1,162
    68608995_1631290610335239_6185643214305755136_n.jpg

    68824016_1632804900183810_6391136650432348160_n.jpg


    หลังจากที่ลองขึ้นสะพานมโนรมย์ดูแล้วหนทางสะดวกสบายดีมาก ขับแบบสบายๆใช้เวลาเพียงครึ่งชั่วโมงจากวัดหลวงพ่อกวย ก็มาถึงวัดท่าซุง ดูเวลาแล้วเพิ่งแปดโมงกว่าๆ ยังไม่ถึงเวลาเปิดมหาวิหารแก้วร้อยเมตร จึงแวะไหว้ตรงจุดอื่นก่อนเพื่อจะได้ไม่เสียเวลา

    อนุสาวรีย์พระเจ้าพรหมมหาราช ชื่อพระเจ้าพรหมมหาราชอาจไม่ค่อยคุ้นชินกับคนยุคเก่าเท่าใดนัก เพราะสมัยก่อนที่เราเรียนกันก็จะเริ่มที่ยุคกรุงสุโขทัย พ่อขุนศรีอินทราทิตย์ พ่อขุนผาเมือง พ่อขุนรามคำแหง เป็นต้น

    เรื่องราวของพระเจ้าพรหมมหาราชในประวัติศาสตร์ยังมีอยู่น้อย จึงต้องใช้เวลาศึกษาหาข้อมูลกันไป แต่สำหรับลูกหลานพระเดชพระคุณหลวงพ่อฤาษี วัดท่าซุงนั้น ท่านได้นำมาเล่าให้ฟังถึงความยากลำบากของคนสมัยนั้นที่ถูกพวกขอมดำกดขี่ข่มเหงเป็นเวลาถึงสิบกว่าปีกว่าจะรวบรวมไทยให้เป็นไทยนั้น ต้องเสียสละเลือดเนื้อและชีวิตไปมากมายเพื่อให้ชนรุ่นหลังได้มีแผ่นดินอยู่และเป็นเอกราชมาตราบทุกวันนี้


    ***************


    พระเดชพระคุณหลวงพ่อฤาษีได้ทำพิธีบวงสรวงและเปิดอนุสาวรีย์องค์พระเจ้าพรหมมหาราช เมื่อวันที่ ๑๔ กรกฎาคม ๒๕๒๗ และในปัจจุบัน…ทางวัดจะจัดงานฉลองชัยชนะของพระเจ้าพรหมมหาราช ณ อนุสาวรีย์ เป็นประจำทุกๆปีในวันก่อนหน้าวันเข้าพรรษาหนึ่งวัน โดยจะมีการบวงสรวงและเวียนเทียนรอบอนุเสาวรีย์ อีกทั้งมีการฟ้อนรำถวายองค์พระเจ้าพรหมมหาราช เพื่อเป็นการระลึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ท่านที่ทรงกอบกู้เอกราชของชาติไทย

    พระเด
    ชพระคุณหลวงพ่อท่านได้เล่าถึงอานุภาพไว้ว่า

    :- ช้างถนัดในทางปราบอมิตร พระเจ้าพรหมมหาปราบและมหาเสน่ห์ พระนางปทุมวดี (ยังไม่มีรูปปั้นที่วัด) ถนัดในทางลาภ
    :- ถ้าจะบนช้างต้องเอาเลือดสดทาปาก แต่ท่านให้ใช้อาหาร ที่มีเลือดหมูต้มรวมอยู่ด้วยถวายพระแทน
    :- ส่วนถ้าจะบนพระเจ้าพรหม ให้ใช้ผ้าเหลืองถวายพระ และถ้าบนพระนางปทุมวดี ให้ใช้ดอกไม้ ๓ สี บูชาพระถวายสังฆทาน


    ****************

    ประวัติ พระเจ้าพรหม มหาราชองค์แรกของไทย
    (ฉบับย่อจาก “ตำนานสิงหนวัติฉบับสอบค้น”)

    หากมีการตั้งคำถามว่า กษัตริย์ที่นักประวัติศาสตร์ไทยยกย่องว่าเป็น “มหาราช” องค์แรกของไทย คือ พระองค์ใด หลายคนคงนึกถึงสมเด็จพระนารายณ์มหาราช บางคนอาจจะนึกถึงพ่อขุนรามคำแหงมหาราช หรือบางคนอาจนึกไปได้ไกลถึงพระเจ้ามังรายมหาราช เพราะแต่ละพระองค์ล้วนแต่ครองราชย์ในช่วงหลายร้อยปีก่อนหน้าโน้น และมีพระนามเป็นที่คุ้นหูอย่างดี แต่ความเป็นจริง พระมหากษัตริย์ไทยเราที่ทรงเป็นมหาราชองค์แรก ก็คือ “พระเจ้าพรหมมหาราช” ผู้ทรงกอบกู้อิสรภาพของชาติไทยให้รอดพ้นจากการรุกรานย่ำยีของพวกขอม เมื่อประมาณ ๑,๐๖๔ ปีล่วงมาแล้ว ในสมัยอาณาจักรโยนกหรืออำเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงราย ในปัจจุบัน

    อย่างไรก็ตาม ในเรื่องของเวลา แต่ละตำราจะเขียนไว้ไม่เหมือนกัน ในที่นี้จะขอยึดข้อมูลจากหนังสือประวัติมหาดไทยส่วนภูมิภาค จังหวัดเชียงราย ซึ่งเอา “ตำนานสิงหนวัติฉบับสอบค้น” มาเป็นหลักอ้างอิง กล่าวคือย้อนไปเมื่อ พ.ศ.๑๔๖๐ ในรัชสมัยของ พระเจ้าพังคะ หรือ พระองค์ฬั่ง กษัตริย์องค์ที่ ๔๓ แห่งราชวงศ์สิงหนวัติ ได้ถูกพวกขอมขับไล่จากเมืองโยนกพันธุ์ไปอยู่เมืองเวียงสี่ตวง ใกล้แม่น้ำสาย จนกระทั่ง ๔ ปีต่อมา หรือเมื่อ พ.ศ. ๑๔๖๔ มเหสีของพระองค์ไปประสูติโอรสคนที่ ๒ มีการขนานนามว่า “พระเจ้าพรหมกุมาร”

    ในตำนานได้กล่าวถึงประวัติตอนปฐมวัยของ “พระเจ้าพรหมกุมาร” เต็มไปด้วยอิทธิปาฏิหาริย์ เช่น เมื่อพระองค์มีพระชันษาได้๗ ปี ก็สามารถเล่าเรียนวิชาเพลงอาวุธและตำราพิชัยสงคราม จนจบครบถ้วนกระบวนความ หรือเมื่อพระองค์มีพระชันษาได้ ๑๓ ปี ได้ทรงสุบินว่า มีเทพยดามาบอกว่า จะมีช้าง ๓ ตัวล่องน้ำโขงมา และให้เจ้าพรหมกุมารไปล้างหน้าที่นั่น หากจับช้างตัวแรกได้จะมีอานุภาพปราบได้ทั้ง ๔ ทวีป ถ้าจับได้ตัวที่ ๒ จะมีอานุภาพได้ชมภูทวีป ถ้าจับได้ตัวที่ ๓ จะปราบแว่นแคว้นล้านนาได้
    พอรุ่งเช้า เจ้าพรหมกุมารจึงได้พาบริวารประมาณ ๕๐ คน ไปยังท่าน้ำ ครั้งแรกเห็นงูเหลือมเลื่อมเป็นมันระยับลอยผ่านไปแล้ว ๑ ตัว พอตัวที่ ๒ ก็เป็นงูอีกเหมือนกัน พอตัวที่ ๓ เจ้าพรหมกุมารจึงทรงนึกถึงเรื่องในสุบินนั้นคงเป็นงูนี่เอง จึงพร้อมกับบริวารช่วยกันจับงู เมื่อเจ้าพรหมกุมารสามารถขึ้นขี่ งูก็กลายเป็นช้างไปทันที แต่ไม่ยอมขึ้นฝั่ง จนกระทั่งบริวารต้องเอาพานทองคำตีล่อ ช้างจึงยอมขึ้นจากน้ำ และมีการเรียกชื่อว่า “ช้างพานทองคำ”

    พระเจ้าพรหม ทรงมีสติปัญญาเฉลียวฉลาด มีความสามารถและโปรดในการสงคราม เมื่อสามารถเตรียมกำลังไพร่พลได้อย่างเต็มที่แล้ว ก็ทูลพระบิดาให้เลิกการส่งส่วยแก่ขอม พวกขอมจึงยกทัพขึ้นไปปราบ พระเจ้าพรหมก็คุมกำลังออกต่อสู้และขับไล่พวกขอมจนแตกพ่าย สามารถยึดเมืองโยนกนาคพันธุ์สิงหนวัติคืนได้เมื่อ พ.ศ.๑๔๗๙ ในขณะที่พระองค์มีพระชันษาได้เพียง ๑๖ ปีเท่านั้น

    สำหรับช้างพานทองคำ เมื่อเสร็จสงครามก็ได้หายไปทางดอยลูกหนึ่ง ซึ่งต่อมาเรียกว่า “ดอยช้างงู” แต่ชาวเขาเผ่าอีก้อออกเสียงไม่ชัดเจน เรียกว่า “ดอยสะโง้” และได้เรียกเพี้ยนมาจนถึงปัจจุบัน

    ส่วนพระเจ้าพรหม เมื่อได้อัญเชิญพระบิดามาครองเมืองโยนกนาคพันธุ์สิงหนวัติ ซึ่งต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็นเมืองโยนกชัยบุรีแล้ว พระองค์ก็นำทัพไปขับไล่ขอมจนถึงเมืองกำแพงเพชร จนหมดเชื้อชาติขอมในอาณาจักรโยนกแล้วจากนั้นพระองค์ก็ได้สร้างเมืองใหม่ขึ้นที่เมืองอุมงคลเสลาเก่า เมื่อ พ.ศ. ๑๔๘๐ เพื่อเป็นด่านหน้าคอยป้องกันพวกขอมยกทัพกลับมาตีอีก และเปลี่ยนชื่อเมืองใหม่เป็น “เมืองไชยปราการ” ซึ่งปัจจุบันเป็นอำเภอชัยปราการ จังหวัดเชียงใหม่ นั่นเอง

    พระองค์ได้ครองเมืองไชยปราการได้ ๕๙ ปี ก็เสด็จสวรรคตเมื่อ พ.ศ.๑๕๔๐ ต่อมาได้มีการขนานนามพระองค์ว่า “พระเจ้าพรหมมหาราช” นับเป็นมหาราชองค์แรกของชาติไทย


    ที่มา: settheetham.com
     
  5. NiponSuwan

    NiponSuwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กันยายน 2018
    โพสต์:
    446
    ค่าพลัง:
    +1,162
    DSC_8520.jpg

    DSC_8512.jpg


    ช้างพลายประกายแก้ว
    ช้างเผือกคู่บารมีพระเจ้าพรหมมหาราช มีอานุภาพอภินิหารมากมาย เฉกเช่นเดียวกับ ปู้ก่ำงาเขียว ช้างเผือกคู่บารมีแห่งพระนางจามเทวี ปฐมกษัตริย์แห่งนครหริภุญไชย ที่ว่ากันว่า มีอิทธิฤทธิ์มาก เมื่อออกศึกสงครามครั้งใด เพียงช้างหันหน้าไปทางข้าศึกศัตรู จะส่งผลให้ศัตรูอ่อนแรงลงได้ และหากงาของช้างชี้ไปทางใด ก็จะเกิดภัยพิบัติ และผู้คนในเมืองเกิดล้มตายอย่างไม่ทราบสาเหตุ

    ***************

    ช้างพลายประกายแก้ว

    จาก หนังสือ เรื่องจริงอิงนิทาน (พิเศษ)

    เมื่อพรหมกุมารอายุได้ ๑๒ ปี คืนวันหนึ่งมีเทวามาเข้าฝันว่า วันรุ่งขึ้นให้ไปที่แม่น้ำโขงจะมีช้างเผือก ๓ เชือก ถ้าจับช้างเชือกที่ ๑ ได้จะเป็นจ้าวโลก ถ้าจับช้างเชือกที่ ๒ ได้จะปราบชมพูทวีปได้หมด ถ้าจับช้างเชือกที่ ๓ ได้จะปราบขอมได้หมด พอตื่นขึ้นมาก็กราบทูลให้พระราชบิดาทราบ และพระราชบิดาก็มีความเชื่อมั่นว่า ลูกชายคนนี้มาจากพรหมจะต้องมีเทวดาประคับประคอง จึงอนุญาตให้ไปดักช้างเผือกได้ ตอนสาย พรหมกุมารไปดักช้างตามความฝัน แทนที่จะเห็นช้างก็กลับเป็นงูหงอนแดงตัวขาวโพลนใหญ่โตมาก พรหมกุมารกับเพื่อน ๆ คิดว่า เรามาคอยช้าง แต่นี่เป็นงูหนอนก็ไม่เอา ตัวที่สองมาเป็นงูหงอนแบบเดียวกันอีก แต่ขนาดย่อมลงไปหน่อยก็ปล่อยไปอีก ตัวที่สามก็มาแบบเดียวกันอีกก็เลยตัดสินใจ งูก็งู มีบัญชาบอกเพื่อนสหชาติลงจับละ ก็โผลงไปในน้ำ โดดจับคองูหงอน ก็กลายเป็นช้างเผือกขาวโพลนเดินทวนน้ำมาได้ น้ำกำลังไหลหลากมาก ที่นั่นจึงมีนามว่า “บ้านควานทวน” ตอนนี้ช้างไม่ยอมขึ้นฝั่งละซี ขับไสอย่างไรก็ไม่ยอมขึ้น พรหมกุมารจึงให้สหชาติไปกราบทูลพระราชบิดาให้ทรงทราบพระองค์ก็เรียกโหรมา โหรบอกว่า ต้องเอากระพังทองไปตีล่อจึงขึ้นมา
    (สำหรับกระพังทองคำน่ะทำไว้แล้ว ตามประวัติศาสตร์บอกว่าทำวันนั้นน่ะไม่ทันหรอก ท่านบอกพระเจ้าแม่ทำไว้แล้ว)

    พระเจ้าพังคราชจึงจัดให้คนแต่งตัวสวย ๆ ถือดอกไม้ธูปเทียนเครื่องสักการะจัดเป็นขบวนไปถึงกราบไหว้เชิญพระยาคชสาร แล้วตีกระพังทอง ช้างก็เดินตามกระพังทองขึ้นมาแบบสบาย พอมาถึงที่ก็จัดพิธีทำขวัญช้างพลายประกายแก้ว ซึ่งมีสีขาวโพลนตามลำตัวมีประกายระยับคล้ายแก้วสวยสดงดงามจึงทำเครื่องประดับครบเครื่องทรง และปล่อยเป็นอิสระไม่มีการใส่ปลอก รางที่ใส่หญ้าให้กินก็ทำด้วยทองคำ ปล่อยเข้าป่าสบาย ๆ สัตว์ในป่าทั้งหมดกลัวช้างพลายประกายแก้วยอมหมอบราบคาบแก้ว แต่มีช้างที่อยู่ในป่ามาร่วมเป็นสหชาติด้วยโดยไม่ต้องไปต่อหรือไปดึงมา ช้างพลายประกายแก้วเป็นหัวหน้าพาโขลงช้างเข้ามาในเวียง ทุกคนดีใจมากที่มีช้าง มีม้า การฝึกง่ายมากพูดภาษาคนธรรมก็รู้เรื่อง


    อ่านเรื่องพระเจ้าพรหมมหาราชได้ที่: http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=6&t=39139

    อ่านเรื่องช้างปู้ก่ำงาเขียว: https://www.paiduaykan.com/province/north/lamphun/kuchang-kumha.html
     
  6. NiponSuwan

    NiponSuwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กันยายน 2018
    โพสต์:
    446
    ค่าพลัง:
    +1,162
    69367800_1633727650091535_5183993610370023424_n.jpg

    69301796_1635504623247171_9075979080062468096_n.jpg


    พระจุฬามณีเจดีย์สถาน

    อยู่ใกล้ๆกับอนุสาวรีย์พระเจ้าพรหมมหาราช เป็นอีกหนึ่งสถานที่ที่แนะนำอยากให้มากราบไหว้กัน เพราะตรงนี้ไม่ค่อยมีใครแวะมากันเท่าไร ตรงนี้จะมีหมาเยอะสักหน่อยแต่ไม่ต้องกลัวค่อยๆเดินเข้าไป เขาก็แค่เหาๆไม่ทำอะไร จากที่เคยแวะตรงนี้สามสี่ครั้ง บางครั้งก็เจอหมา บางครั้งก็ไม่เจอ บางครั้งก็ได้ยินแต่เสียงเห่า เห่ากันเป็นฝูงเลยน่าจะหลายสิบตัวแต่กลับมองไม่เห็นตัวเลย
    ไม่รู้ว่าเสียงมาจากทางไหน เป็นสถานที่แปลกดี


    ***************


    ประวัติพระจุฬามณี วัดท่าซุง

    พระจุฬามณี..เป็นอาคาร ๓ ชั้น ขนาดกว้าง ๑๒ เมตร ยาว ๑๒ เมตร ปิดกระจกทั้งหลัง ชั้นล่างสุดมีเครื่องปั๊มน้ำสำหรับพ่นน้ำพญานาคที่อยู่บันไดทางขึ้นพระจุฬามณี

    ชั้นที่ ๒ เป็นที่ประดิษฐาน "พระวิสุทธิเทพ" ที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อฯ ได้จำลองพระพุทธเจ้า "ทรงเครื่องบนพระนิพพาน" ประทับนั่งห้อยพระบาทอยู่บนแท่น สูงประมาณ ๑.๖ เมตร

    ส่วนชั้นที่ ๓ เป็นชั้นหลังคาดาดฟ้า เป็นที่ตั้งของพระเจดีย์จุฬามณี ๕ องค์ มีองค์เล็กตั้งอยู่ ๔ มุมเป็นบริวารทั้ง ๔ ทิศ โดยมีตรงกลางมีเจดีย์องค์ใหญ่


    พระวิสุทธิเทพ หมายถึง "เทพที่บริสุทธิ์" ที่หมดแล้วซึ่งกิเลสทั้งปวง นับได้ตั้งแต่พระอรหันต์ พระปัจเจกพุทธเจ้า และองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นต้น

    "มณฑปพระวิสุทธิเทพ" หรือ "พระจุฬามณี" ถือได้ว่าเป็นสถานที่สำคัญยิ่งที่หนึ่งของวัดท่าซุง ในสมัยแรกๆ ที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อฯ สร้างด้วยกระจก อันเป็นความหมายแทนคำว่า "แก้ว" สมัยนั้นนักท่องเที่ยวนิยมมาชมกันมาก จึงนับเป็นสถานที่ที่ควรกราบไหว้



    ที่มา: http://www.watthasung.com/wat/viewthread.php?tid=434

     
  7. NiponSuwan

    NiponSuwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กันยายน 2018
    โพสต์:
    446
    ค่าพลัง:
    +1,162
    69607159_1635507376580229_5794168807975026688_n.jpg

    พระเดชพระคุณหลวงพ่อฤาษี เล่าเรื่องพระจุฬามณี

    พระจุฬามณีเจดีย์สถาน

    ท่านสาธุชนทั้งหลาย เมื่อวันพุธก่อนได้นำท่านพุทธบริษัทมาปล่อยไว้ที่จุฬามณีเจดีย์สถาน หวังว่าพุทธบริษัททั้งหลายคงจะนั่งคอยอาตมาจนครบ ๗ วัน ถ้าวันนี้มีเสียกรอกๆ แทรกละก็ขออภัยด้วย เมื่อวันก่อนนี้เสียงขาดไปนิดหนึ่งกำลังนั่งบันทึกเสียง เกิดมีคนเขามารายงานเข้ามาในระหว่าง ความจริงมันผิดระเบียบไม่รู้ว่าเขาทำยังไงของเขาก็เลยต้องหยุดไปนิดหนึ่ง

    สำหรับวันนี้มาว่ากันใหม่ นี่บรรดาท่านพุทธบริษัทนั่งอยู่ที่เชิงบันไดพระจุฬามณีเจดีย์สถาน คงจะได้เห็นบรรดา?และพระเจ้าทั้งหลายพากันมานมัสการพระจุฬามณีกันแล้วกระมัง เพราะมันผ่านวันพระมาแล้ว จะได้ดูหรือไม่ได้ดูก็ช่าง วันนี้ เราขึ้นกันไปบนพระจุฬามณี ขึ้นไปบนเชิงพระจุฬามณีรองๆ บริเวณ ข้างล่างจะประดับประดาไปด้วยมณี ๗ ประการพื้นที่เหยียบอยู่ กำแพงทุกด้านของพระจุฬามณีเป็นทองคำ องค์พระจุฬามณีเป็นแก้ว ๗ ประการ ตามตำนานท่านกล่าวว่าพระจุฬามณีมีประตูสำหรับเข้าถึง ๑,๐๐๐ ประตู ความจริงจะมีเพียงใดไม่ต้องสนใจ จะสนใจไปทำไม ทีนี้ก่อนที่จะพูดถึงเรื่องราวต่างๆ จะอธิบายอะไรก็ตามควรที่พุทธบริษัทจะเดินชมเสียก่อน ที่พระจุฬามณีนี่ตั้งอยู่ทางทิศเหนือของเวชยันต์วิมาน หรือว่าเป็นวิมานของพระอินทร์ ทีนี้เราเดินเข้าไปอีกหน่อย ขอโทษไม่ใช่ทิศเหนือ เป็นทิศตะวันออกของเวชยันต์วิมาน เดินเข้าไปทางด้านทิศตะวันตก ใต้ลงไปนิด เราจะเห็นสวนสำคัญเป็นที่รื่นรมย์ ที่เที่ยวของเทวดา มีความสุขมาก คล้ายๆ กับสวนสามพราน แต่ความจริงที่นั่นมีต้นไม้เต็มไปด้วยแก้วระยิบระยับเต็มไปหมด มีทั้งไม้ดอกไม้ผลไม้ใบอย่างดี สวนนี้มีนามว่านันทวันและก็ทางด้านทิศตะวันตกของเวชยันต์วิมานอันนี้มีสวนดอกไม้โดยเฉพาะเรียงรายระยิบระยับเป็นแก้วแพรวพราย เรียกว่าสวนจิตรลดาวัน ที่นี้ออกไปทางด้านเหนือของเวชยันต์วิมาน มีสวนอีกสวนหนึ่งเรียกว่าสวนมิสกวัน นี่มีต้นไม้สวยเหมือนกัน แล้วก็ทางด้านทิศใต้มีสวนอีกสวนหนึ่งเรียกว่าสวนปารุสกวัน ที่รัฐบาลให้นามวังหนึ่งว่าวังปารุสก็เห็นจะเอานามชื่อนี้มาใช้
    แล้วอีกจุดหนึ่งที่สำคัญ ก็คือพระจุฬามณีเจดีย์สถานที่เรายืนอยู่ที่นี่ และจากพระจุฬามณีเจดีย์สถานไปทางทิศตะวันตก อันนั้นเหนือสวนนันทวันนิดหน่อยเขตติดๆ กันกับพระจุฬามณีเจดีย์สถาน นั่นคือเป็นบัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ มีเป็นสวนใหญ่มีกำแพงล้อมรอบ ๔ ด้าน อยู่ทางด้านตะวันออกของเวชยันต์วิมาน แล้วตรงกลางมีแท่นแก้ว ที่เรียกว่าแท่นแก้วมณีคือแก้วอะไร บัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ หมายความว่าเป็นแก้วกัมพลมีสีแดง เป็นที่ประทับของพระอินทร์มีบริเวณกว้างมาก แก้วนี้มีสภาพคล้ายๆ กับเก้าอี้สปริง แท่นแก้วนะ มีสภาพคล้ายๆ เก้าอี้ของพระอินทร์แล้วก็ต่อแต่นั้นไปทางด้านทิศใต้ มีศาลาอยู่หลังหนึ่งเป็นที่ประชุมของเทวดา เป็นศาลาที่ประดับประดาไปด้วยแก้ว ๗ ประการ มีกำแพงล้อมรอบมีที่ระรื่นมีที่สำหรับพระอินทร์ประทับ อันนี้มีนามวาศาลาสุธรรมา เป็นที่ประชุมของเทวดา แล้วมาทางด้านทิศใต้ข้างหน้าของเวชยันต์วิมาน คือว่าใกล้ๆ กับจิตรลดาวัน-สวนลดาวันน่ะนะ มีสระอันหนึ่งเขาเรียกกันว่าสระโบกขรณี นี่แหละบรรดาท่านพุทธบริษัท โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เวชยันต์วิมานเป็นวิมาน ๙ ยอด มีแก้ว ๗ ประการเป็นวัตถุสำหรับทำวิมาน แล้วก็เป็นวิมานที่สูงใหญ่มาก ท่านบอกว่ามีถึง ๑,๐๐๐ ชั้น มีนางฟ้าเป็นบริวารของพระอินทร์อยู่ในวิมานนั้นถึงแสนคน แหมมากเหลือเกิน แล้วก็รอบๆ เวชยันต์วิมาน มีวิมานสวยๆ ล้อมรอบอยู่ถึง ๓๒ วิมาน แล้ววิมานทั้งหลายเหล่านี้ อะไรเป็นอานิสงส์ให้ได้วิมานทั้งหลายที่กล่าวมา อันนี้ ก็จะขอยับยั้งไว้ก่อน นี่บอกให้ฟังว่ามีอะไรกันบ้าง คือจากพระจุฬามณีมาไล่กันง่ายๆ มีสวนนันทวันอยู่ทางทิศตะวันออกของเวชยันต์วิมาน สวนจิตรลดาวันอยู่ทางตะวันตกของเวชยันต์วิมาน แล้วก็มีบัณฑุกัมพลศิลาอาสน์เป็นพระแท่นแก้วสำคัญ เป็นสวนเหมือนกัน อยู่ทางด้านทิศตะวันออกแต่ว่าติดกับพระจุฬามณีมาก ตะวันออกของเวชยันต์วิมานนะ แล้วก็มีธรรมเทวสภาเรียกว่า เทวสภา กับศาลาสุธรรมาประดับประดา คือทำด้วยแก้ว ๗ ประการมีพระแท่นแก้ว ๗ ประการ สำหรับพระอินทร์ประทับแสดงธรรม แล้วก็มีสระโบกขรณีอยู่ทางด้านทิศใต้ของเวชยันต์วิมาน ติดกันกับสวนจิตรลดาวัน นี่ ของที่น่าเที่ยวนี่ชมมีอย่างนี้นะ พูดมาแล้วแค่นี้ขอถอยหลังกลับไปถอยหลังกลับไปอีกนิด ไปหาพระจุฬามณี ตามที่กล่าวมาแล้วว่าพระจุฬามณีทำด้วยแก้ว ๗ ประการ อันนี้เป็นที่บรรจุพระจุฬามณี คือผมของพระพุทธเจ้าแต่ละองค์ เวลาที่ออกบวช ตัดผมเมื่อไหร่ พระอินทร์เอาผอบทองไปรับมาเมื่อนั้น แล้วก็เป็นที่บรรจุของพระเขี้ยวแก้ว ถึงเวลาวันพระ บรรดาเทวดาและพรหมทั้งหลายพากันเข้ามานมัสการอย่างคับคั่ง ท่านที่ได้อภิญญาหรือมโนมยิทธิ สำหรับมนุษย์ที่ได้ฌานก็พากันมาถวายนมัสการพระจุฬามณีเจดีย์สถาน เมื่อเข้าไปที่นั่นแล้ว ถ้าตาดีนะ ถ้ามีญาณพิเศษดีจะเห็นว่ามีพระอยู่องค์หนึ่ง สวยสดงดงามมาก มีรัศมีพวยพุ่งออกจากพระวรกายแสดงธรรมเป็นประจำ แต่ทว่า ถ้าคนตาไม่ดี สมาธิไม่ดีก็เห็นเป็นพระพุทธรูปไป บางคนไม่เห็นพระทอง แต่ปาไปเห็นเป็นพระพุทธรูปขนาดไหนล่ะ ขนาดทำด้วยอิฐทาสีขาว นี่เป็นเรื่องราวของที่นี่ แล้วก็พระจุฬามณีก็เหมือนกัน บางคนก็เห็นเป็นปูนบ้าง บางคนก็เห็นเป็นสีทองบ้าน อันนี้เรียกว่าสมาธิดีไม่พอ ถ้าสมาธิดี จิตสะอาดดีจะเห็นเป็นแก้ว ๗ ประการทั้งองค์ อันนี้ขอเลยไป

    ตานี้ เรามาว่าถึงเรื่องอะไร อ๋อ จะเลยไปเสียก็ไม่ได้ ประเดี๋ยวจะมีคนถามว่าพระจุฬามณีเจดีย์สถานนี่น่ะ บรรจุพระเขี้ยวแก้วกับพระเมาลี คือผมของพระพุทธเจ้ากี่พระองค์ ก็ขอตอบว่าบรรจุทุกพระองค์ ถ้าถามว่าสร้างขึ้นมาเมื่อไร ใครเป็นคนสร้างอีตรงนี้ไม่ต้องตอบ ทำไมจึงไม่ต้องตอบ? ก็เพราะว่าตอบไม่ได้ ไม่รู้ว่าสร้างเมื่อไหร่ใครเป็นคนสร้าง บนสวรรค์นี้ไม่มีนายช่างสร้างของในเมืองมนุษย์เป็นตึกเป็นรามก็ตาม บนเทวดานี่เขาไม่สร้างกัน เกิดขึ้นจากอำนาจบุญ เป็นบุญของใคร? เป็นบุญของพระพุทธเจ้าองค์แรก แล้วพระพุทธเจ้าองค์แรกมีพระนามว่ายังไง? ไม่ตอบ ทำไมจึงไม่ตอบก็ของบอกว่าเกิดไม่ทัน ถ้าจะถามว่าตำรับตำราไม่มีรึ ก็ตอบว่าตำรานี่ซีทำยุ่ง เพราะเรียงชื่อพระพุทธเจ้าไม่เป็นไปตามลำดับ ในที่แห่งนี้เรียงแบบนี้ ที่แห่งโน้นเรียงแบบโน้น เป็นอันว่าเอาแน่นอนไม่ได้ว่าพระพุทธเจ้าองค์แรกคือใคร พูดไปก็เป็นเรื่องเถียงกัน ไม่มีประโยชน์ เอาละ เที่ยวกันลัดๆ ออกจากพระจุฬามณีเจดีย์สถานเรามาแวะบัณฑุกัมพลศิลาอาสน์กันก่อน

    ที่บัณฑุกัมพลศิลาอาสน์นี้ มีบริเวณล้อมรอบไปด้วยกำแพงแก้ว ๗ ประการ พื้นก็เป็นแก้ว ๗ ประการ มีพระแท่นแก้ว เป็นศิลานะ ศิลาอาสน์ อาสนะทำด้วยศิลา ใหญ่มาก แล้วก็รอบๆ นั้น ทางด้านทิศใต้และทิศเหนือก็มีสวนสวย บริเวณกว้าง อันนี้เกิดด้วยอำนาจบุญบารมีของพระอินทร์กับเพื่อนที่พากันปลูกต้นทองหลางเข้าไว้ แล้วก็เอาหินมาวางเป็นแท่นไว้ในสมัยเป็นมนุษย์ พระอินทร์องค์นี้ก็คือมาฆะมานพในสมัยนั้นปลูกเข้าไว้เพื่อตั้งใจว่าคนทั้งหลายที่เดินไปเดินมาระหว่างทางเป็นระยะทางไกล มีความร้อนจะได้นั่งพักให้สบาย ต้นทองหลางบันดาลให้เกิดความเย็น แล้วก็แท่นที่วางไว้เป็นแท่นหินจะได้นั่งพักให้สบาย หายเมื่อยหายขบแล้วก็เดินต่อไป เวลาที่ท่านตายจากมนุษย์ อานิสงส์ที่ท่านปลูกต้นทองหลาง กลายมาเป็นต้นปาริชาต มีกลิ่นหอมมากเวลาที่มีดอกผุดขึ้นมาพื้นที่วางเรียงรายอยู่รอบต้นทองหลาง กลายมาเป็นบัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ นี่พูดถึงอานิสงส์ให้ฟัง ว่าการทำบุญน่ะไม่เสียเปล่า เวลาตายแล้วจะได้รู้ ว่าอะไรมันดีไม่ดี แล้วมาอีกที่หนึ่งมาเวชยันต์วิมาน เวชยันต์วิมานนี่เป็นวิมานใหญ่มาก เป็นที่ประทับของพระอินทร์แล้วก็มีวิมานรอบๆ เวชยันต์วิมานอีก ๓๒ หลัง รวมทั้งเวชยันต์วิมานเป็น ๓๓ หลังด้วยกัน วิมาน ๓๓ หลังนี้เกิดด้วยอำนาจอะไร? ก็เพราะว่าในสมัยนั้น ท่านมาฆะมานพกับพวกอีก ๓๒ คนรวมเป็น ๓๓ คนด้วยกัน เห็นว่าการสร้างต้นไม้ไห้เป็นที่พักมีความสบายจริงแล แต่ทว่าสบายไม่พอ สร้างศาลา คนเดินไปเดินมานี่ เขาจะได้พัก เขาจะได้นอนสบาย ก็เลยร่วมมือร่วมใจกันสร้างศาลาขึ้นเต็มหลัง เวลานั้น ก็มีนายช่างอีกคนหนึ่ง มีช้างตัวหนึ่งที่พระราชาให้เป็นพาหนะ เมื่อสร้างเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็ให้เป็นที่พักของคนเพื่อเป็นสาธารณประโยชน์ คนก็ได้พักพาอาศัย เพราะอานิสงส์แห่งการสร้างศาลาเป็นสาธารณประโยชน์ คณะของท่านพากันตายหมด (คงไม่ใช่ตายพร้อมกัน) ท่านมาฆะมานพตายขึ้นมาเป็นพระอินทร์ มีเวชยันต์วิมานตั้งอยู่กลางเพื่อน เพื่อนอีก ๓๒ คนขึ้นมาเป็นเทวดา มีวิมานล้อมรอบเวชยันต์วิมานคนละหลังๆ แทนที่จะเข้าไปอยู่ยัดเยียดกันหลังเดียว ๓๓ คน เปล่า เมืองเทวดานี่ให้กำไรมาก สร้าง ๑ หลัง ๓๓ คน เมื่อตายไปเป็นเทวดาแล้วก็ได้ ๓๓ หลัง แล้วสำหรับนายช่าง วัฒกีคือนายช่าง ก็มาเกิดเป็นวิษณุกรรมเทพบุตร มีวิมานอีกหลังหนึ่ง สำหรับช้างที่ช่วยเป็นพาหนะบรรทุกไม้ ลากไม้ เป็นเครื่องทุนแรง ก็มาเกิดเป็นเทวดามีนามว่าเอราวัณเทพบุตร นี่บรรดาท่านพุทธบริษัทฟังแล้วก็จำอานิสงส์ไว้ จะได้เป็นประโยชน์ว่าการทำความดีน่ะไม่เสียผล
    ไม่ใช่ทำบุญสูญเปล่า ไหว้เจ้าดีกว่า กลับมาได้กิน

    ตานี้นอกจากเวชยันต์วิมานแล้ว เหลียวไปดูอะไรข้างหน้า ทางด้านทิศใต้ ข้างหน้านั้น เราจะพบสระโบกขรณี นี่เรามองข้างสวนจิตรลดาวันไปเสียหน่อยหนึ่งก่อน ข้ามไปตั้งใจข้ามนะ ไม่ใช่ลืม มองข้ามสวนจิตรลดาวันไปเห็นสระโบกขรณี เป็นสระใหญ่มาก มีท่าเป็นที่ลงมากมาย น้ำในสระก็แพรวพราวใสสะอาด มองแล้วคล้ายๆ กับแก้วต้องแสงอาทิตย์แลดูระยิบระยับ สระนี้เกิดขึ้นได้จากผลอะไร จะขอพูดให้ฟังอย่างย่อๆ คือเกิดขึ้นจากอำนาจของท่าน ๓๓ คนนั่นแหละ มีมาฆะมานพเป็นประธาน พากันสร้างศาลาแล้วมาคิดว่า คนเรามานั่งที่ศาลา เดินมาร้อน ต้องการน้ำ ปลูกต้นไม้ยังไม่พอ ทำแท่นนั่งสบายไม่พอ ทำศาลา ทำศาลาแล้วก็มาคิดต่อไปว่าคนที่มาพักศาลานี่เขาเดินร้อน เขาก็ต้องการน้ำ จะอาบน้ำอาบท่า จะกินน้ำก็ตามใจ จะได้เกิดความสบายให้มากขึ้น ท่านก็พากันปลูกสระ ขุดสระ พูดผิดไป สระนี่มันปลูกไม่ได้ หลวงตาแก่นี่อดเพ้อไม่ได้ พากันขดสระขึ้นให้เป็นที่อาศัยของบรรดาประชาชน ขุดแล้วมีตาน้ำ น้ำใสขึ้นมา คนที่มาพักที่ศาลาก็ได้อาบได้กินมีความสุข ฉะนั้น เมื่อเวลาที่ท่านทั้งหลายเหล่านั้นตายขึ้นมาเป็นเทวดา สระในเมืองมนุษย์ก็ตามมา แต่เป็นสระที่ใหญ่กว่า มีน้ำใสสะอาดกว่ามีความสุขสวยสดงดงามกว่า เป็นที่สบายของบรรดาเทวดาและนางฟ้าทั้งหลายชอบเล่นน้ำในสระนี้ นี่ว่ากันถึงเรื่องราวของผู้ชาย ทีนี้ ว่ากันถึงเรื่องราวของผู้หญิงบ้าง ท่านมาฆะมานพในสมัยที่เป็นมนุษย์มีเมีย ๔ คน ความจริงท่านก็ทำถูกแล้วนี่นา ๔ ทิศ หรือว่าธาตุ ๔ มีเมียอยู่ ๔ คน คนต้นชื่อว่านางสุธรรมา คนรองชื่อว่าสุจิตรา คนรองมาอีกคนชื่อสุนันทา และคนสุดท้ายชื่อว่าสุชาดา เวลาที่ท่านทำบุญ อาศัยที่ท่านมีเมียมาก เมียคงจะทะเลาะกันมาก น่ากลัวนะ อดไม่ได้ ท่านคงจะรำคาญผู้หญิง เบื่อผู้หญิง คิดว่าต่อแต่นี้ไปเราทำบุญอะไรก็ตาม ไม่ให้ผู้หญิงร่วม เราจะไม่ขอร่วมกับผู้หญิงต่อไปเพราะสร้างความรำคาญไม่หยุดหย่อน ก็ปาไปมีเมียตั้ง ๔ คน แต่เพียงคนเดียวก็รำคาญหูทนไม่ค่อยจะไหวอยู่แล้ว นี่ล่อเข้าตั้ง ๔ คนมันก็ยุ่งน่ะซี ในเมื่อท่านไม่ให้ทำ ท่านเมียใหญ่เขาฉลาด เมื่อนายช่างทำศาลายังทำไม่เสร็จดี ไปจ้างนายช่าง ๑ พันบาท บอกว่าทำช่อฟ้าให้ฉันทีเถอะ ไอ้ศาลานี่มันต้องใช้ช่อฟ้ามันจึงจะสวย ฉันให้แก ๑ พันบาท นายช่างก็ทำให้บอกว่าทำให้พอเหมาะกับศาลานะ แล้วสลักชื่อไว้ว่าศาลาสุธรรมา เอาเข้าแล้ว มาแล้วผู้ชายมักอดเสียท่าผู้หญิงไม่ได้ สลักชื่อไว้ว่าศาลาสุธรรมา นายช่างก็ทำให้ แล้วก็บอกว่าต่อไปสร้างศาลาเสร็จ ถ้าพวกผู้ชายเขาต้องการช่อฟ้าละก็แกอย่าทำให้นะ มาเอาช่อฟ้าของฉันนี่ไปใส่ จำไว้ให้ดี ฉันให้เงินพิเศษ ๑ พันกหาปณะ เงินนี่มันเข้าใครออกใครที่ไหน มาเจอะกันเข้ามันก็เป็นแบบนี้ นายช่างทำแล้วก็ปิดปากเงียบ เมื่อทำศาลาเสร็จบรรดามาฆะมานพกับเพื่อนฝูงก็จะทำช่อฟ้า นายช่างบอกทำไม่ได้ไม้มันสด ช่อฟ้าต้องมีไม้แห้งๆ ทำ ถ้าเอาไม้สดๆ ไปทำละก็มันจะเกิดเรื่อง เพราะว่าต่อไปช่อฟ้าแห้งมันจะมองดูไม่สวย ท่านก็บอกถ้าอย่างนั้นก็ไปหาซื้อ ที่อื่นก็ไม่มีขาย หาไปหามาก็หาไม่ได้ นายช่างก็แนะนำบอกบ้านของนางสุธรรมามีช่อฟ้า ท่านมาฆะมานพก็บอกว่าไปจอซื้อเขา เมื่อไปถึงนางสุธรรมาบอกไม่ขาย ถ้าไม่ให้ร่วมบุญร่วมกุศลไม่ขายแน่ ทีนี้ทำยังไง เมื่อซื้อเขาไม่ขาย ท่านมาฆะมานพก็ไม่ยอมรับ เพราะไม่อยากคบผู้หญิง ผู้หญิงยุ่ง นายช่างก็บอกว่าท่านปรารถนาพุทธภูมิ ปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้า ต่อไปเมื่อบำเพ็ญบารมีดีแล้วจะเป็นพระพุทธเจ้าจะต้องบริจาคทาน ๒ ประการ คือให้ลูกเป็นทานให้เมียเป็นทาน ถ้าหากว่าท่านมาตัดผู้หญิงเสียเวลานี้แล้วละก็อีตอนที่มีบารมีใกล้จะเต็ม ท่านก็จะขาดทาน ๒ ประการคือให้ลูกเป็นทานให้เมียเป็นทาน ท่านจะเป็นพระพุทธเจ้าไม่ได้ ยังไงๆ ท่านก็จะต้องคบผู้หญิงตลอดกาล เป็นอันว่าท่านมาฆะมานพจนใจยอมรับ เอาช่อฟ้าของนางสุธรรมาไปสวมกับศาลาก็พอดี แต่ว่าตอนนี้ซิเสียที ๓๓ คนรวมทั้งช่างอีกคนหนึ่งกับช่างเป็น ๓๕ ทำกันเกือบตายไม่มีชื่อ ไปมีชื่อนางสุธรรมาเพียงคนเดียว ใครๆ ไป ใครๆ มาเขาก็เห็นเขียนชื่อนางสุธรรมา ศาลาสุธรรมา แล้วก็ศาลาสุธรรมานี่เป็นอำนาจบารมีของนางสุธรรมา เมื่อยางสุธรรมาตายจากคนก็มาเป็นชายาพระอินทร์ ศาลาหลังนั้นก็ตามขึ้นมา มีชื่อบนสวรรค์ว่าศาลาสุธรรมาเหมือนกัน แล้วก็เป็นที่ประชุมของเทวดา เป็นศาลาที่ประดับประดาไปด้วยแก้ว ๗ ประการ มีแท่นเป็นที่ประทับของพระอินทร์สวยสดงดงามมาก

    เอาละ บรรดาท่านพุทธบริษัท ประเดี๋ยวก่อน ออกจากศาลาสุธรรมาไปก่อน ไปโน่นซิ ไปสวนจิตรลดาวันภรรยาคนที่ ๒ ไปดูสวนจิตรลดาวัน อ๋อ สวนจิตรเวลานี้พระเจ้าแผ่นดินประทับอยู่ที่เมืองมนุษย์ แต่ว่าคนละสวน ไปว่าถึงนางสุจิตรา คิดว่านางสุธรรมานี่เขาเป็นคนฉลาด เมื่อผัวทำศาลาเขาทำช่อฟ้า ก็ดีแล้วเราไม่มีโอกาส ผู้ชายไม่ชวนเรา แต่ว่าคนมาพักที่ศาลาก็ดี อาบน้ำก็ดี อาจต้องการความสวยงาม ความสดชื่นจากดอกไม้และใบไม้ ฉะนั้น นางจึงใช้คนไปปลูกสวนสาธารณประโยชน์ เมื่อต่างตายจากความเป็นคนก็มาเป็นชายาของพระอินทร์ เกิดมีสวนจิตรลดาวันขึ้นข้างสระโบกขรณี นี่ว่ากันถึงรายที่ ๒

    คราวนี้ลัดๆ กันไปว่ารายที่ ๓ รายที่ ๓ คือนางสุนันทา นางสุนันทานี่เห็นนางสุจิตราปลูกสวนดอกไม้ เธอก็เอาบ้าง บอกว่าไอ้คนที่มาตามทางมันอาจจะหิว ในเมื่อมีน้ำอาบ มีศาลาพัก มีดอกไม้ทัดทรง แต่ยังไม่มีผลไม้ นางจึงได้ปลูกสวนใหญ่มีผลไม้ทุกประเภทขึ้น ให้เป็นที่อาศัยของคนเดินไปและเดินมา เมื่อเดินมาหิวก็มากินลูกหมากรากไม้ได้หรือไม่อยากนั่งพักในศาลาจะไปเดินเล่นในสวนก็ได้ เป็นที่สบายใจของคนทั้งหลายที่ผ่านไปผ่านมา เมื่อนางสุนันทาตายแล้วก็ขึ้นมาเป็นชายาของพระอินทร์ แต่ละคนก็มีวิมานคนละหลังๆ เหมือนกัน แล้วก็สวนสุนันทาก็ปรากฏขึ้นทางทิศตะวันออกของเวชยันต์วิมาน

    เอาละบรรดาท่านพุทธบริษัททุกท่าน สำหรับสกวันก็ดี ปารุสกวันก็ดี ไม่ปรากฏในบาลีว่ามาจากไหน หรือว่าปรากฏ แต่อาตมาไม่ทราบก็รู้ไม่ได้ เพราะค้นหนังสืออาจจะไม่หมด เป็นอันว่าพูดกันแค่รู้ ว่าอานิสงส์ของความดีทีทำในสมัยเป็นมนุษย์ ปรากฏผลเป็นดังนี้

    เอาละบรรดาท่านพุทธบริษัท มองดูเวลามันก็ใกล้จะหมด หรือว่าย่องหมดไปหน่อยหนึ่งแล้วก็ไม่ทราบ เป็นอันว่าบรรดาท่านพุทธบริษัทที่ติดตามมาก็ดี หรือว่าอยู่ข้างล่างที่รับฟัง เวลานี้ท่องเที่ยวไปในดินแดนของพระอินทร์พลางๆ ก่อน วันพุธหน้าอาตมาจะมาพาท่านพุทธบริษัทไปชมต่อไป สำหรับวันนี้หมดเวลาแล้วก็ต้องขอลากลับ

    ขอบรรดาท่านพุทธบริษัทและพระคุณเจ้าที่เคารพที่กำลังรับฟัง จงมีแต่ความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคล สมบูรณ์พูนผล และจงเจริญไปด้วยจตุรพิธพรชัยทั้ง ๔ ประการ มีอายุ วรรณะ สุขะ พละ และปฏิภาณ หากทุกท่านประสงค์สิ่งใด ก็ขอให้ได้สิ่งนั้นสมความปรารถนา สวัสดี

     
  8. NiponSuwan

    NiponSuwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กันยายน 2018
    โพสต์:
    446
    ค่าพลัง:
    +1,162
    75442979_1698099130321053_7752530653496737792_n.jpg

    76968005_1698099050321061_1304015469077856256_n.jpg

    74173586_1698099076987725_2477260565655846912_n.jpg


    ๓๐ ตุลาคม ครบรอบวันละสังขาร
    พระเดชพระคุณหลวงพ่อฤาษี วัดท่าซุง


    ปัจฉิมโอวาท เป็นครั้งสุดท้ายของหลวงพ่อ..


    "..ลูกเอ๋ย... นี่เป็นธรรมดาของร่างกาย
    มีเกิด มีแก่ มีเจ็บ มีตาย เป็นธรรมดา

    สังขารมันเป็นอนิจจัง ไม่เที่ยงหรอก
    ทุกขังตอนอยู่มันเป็นทุกข์

    ผลที่สุด มันก็อนัตตา สลายไปมีแค่นี้
    อย่ามายึดถือสังขารของพ่อเลย.."



     
  9. tee_tores

    tee_tores กะยิราเจ กะยิราเถนัง สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    19,625
    ค่าพลัง:
    +53,127
    เหรียญหลวงพ่อแดง รุ่นตระกูลโจว ปี2510 FB_IMG_1571014952772.jpg
     
  10. NiponSuwan

    NiponSuwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กันยายน 2018
    โพสต์:
    446
    ค่าพลัง:
    +1,162
    DSC_8526.jpg

    DSC_8529.jpg

    เจ้าพระยาโกษาเหล็ก.jpg


    อนุสาวรีย์เจ้าพระยาโกษาเหล็ก

    แม่ทัพใหญ่แห่งกรุงศรีอยุธยา ตั้งอยู่ด้านหน้าพระจุฬามณี

    อนุสาวรีย์บุคคลสำคัญในประวัติศาสตร์ ที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อฤาษีได้สร้างให้ลูกหลานไว้ได้กราบสักการะบูชา ในคุณงามความดีของท่าน
    แม้ในหน้าประวัติศาสตร์หรือในนวนิยายเรื่องดังบุพเพสันนิวาส จะมิได้กล่าวถึงความเก่งกล้าสามารถของท่านมากนักแถมบั้นปลายชีวิตของท่านจะจบลงอย่างไม่ค่อยสวยงาม หากแต่เราเชื่อในสิ่งที่หลวงพ่อท่านได้เล่าเอาไว้ว่าท่านได้สร้างคุณงามความดีให้แก่ชาติบ้านเมืองอย่างมากมายและบั้นปลายชีวิตก็ได้ลาออกจากราชการไปถือศีลภาวนาหาความสงบสุข บำเพ็ญเพียรสะสมบุญบารมีต่อไป


    ***************

    เรื่องจริงอิงนิทาน(พิเศษ)
    โดยพระเดชพระคุณหลวงพ่อฤาษี

    ...หนังสือเล่มนี้เป็นการคัดลอกมาจากเทปชุด "ฤาษีสอนลูก" โดย คุณพรนุช คืนคงดี และคุณสมพร บุณยเกียรติ เมื่อปี พ.ศ.๒๕๒๔ ตามความรู้ของครูบาอาจารย์ที่ได้ฝึกฝนวิชาความรู้ของพระพุทธเจ้า จนเกิดญาณหยั่งรู้เรื่องที่เป็นอดีตและอนาคตตามสมควร ตามเนื้อเรื่องท่านได้สอนลูกและเล่าเรื่องชาติก่อนของท่านไปด้วย โดยนับตั้งแต่สมัยโยนกเชียงแสน จนถึงสมัยสุโขทัยและอยุธยา ดังมีรายนามต่อไปนี้

    ๑. พระเจ้ามังรายนราช (สมัยนครโยกนกเชียงแสน)
    ๒. สามเณร (สมัยนครโยกนกเชียงแสน)
    ๓. พระเจ้าพรหมมหาราช (สมัยนครโยกนกเชียงแสน)
    ๔. พระร่วงโรจนฤทธิ์ (สมัยศรีสัชนาลัย)
    ๕. พ่อขุนศรีเมืองมาน (สมัยสุโขทัย)
    ๖. ขุนหลวงพะงั่ว (สมัยอู่ทอง - อยุธยา)
    ๗ เศรษฐีอำไพ (สมัยอยุธยา)
    ๘. ขุนแผน (สมัยอยุธยา)
    ๙. สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ (สมัยอยุธยา)
    ๑๐. พระยาโกษาเหล็ก (สมัยอยุธยา) )

    ...วาระที่ ๑๐ ก็ลงมาเกิดเป็น "ขุนเหล็ก" หรือ “พระยาโกษาเหล็ก” เกิดควบคู่กับ "สมเด็จพระนารายณ์มหาราช" รุ่นราวคราวเดียวกัน "ขุนเหล็ก" มีน้องชายชื่อ "ขุนปาน" หรือ "พระยาโกษาปาน"

    ประวัติของ "เจ้าพระยาโกษาเหล็ก" และสมัยหลังน้องชายก็เป็นเจ้าพระยาโกษาปาน ทำอะไรบ้างก็รู้กันตามประวัติศาสตร์แล้ว แต่งานจริง ๆ ทำมากกว่านั้น มีงานหนักมาก

    เจ้าพระยาโกษาเหล็กนี่เป็นเชื้อสายของสุโขทัย ตอนนี้ท่านก็มาถึงไทย และขยายไทยให้เข้าสู่สภาพปกติ เพราะตอนนั้นไม่สู้ปกตินัก เจ้าพระยาโกษาเหล็กและเจ้าพระยาโกษาปาน เคยเดินทางถึงต่างประเทศ

    ทั้ง ๒ คน มีฝีมือดีเป็นที่ไว้วางพระราชหฤทัยของสมเด็จพระนารายณ์มหาราชมาก อันดันแรกเป็นเพื่อนเล่นกัน ต่อมาเป็นหัวหมู่ทะลวงฟันมีฝีมือดี ต่อมาเป็นแม่ทัพ สมัยนั้นมีแม่ทัพนายกองเก่ง ๆ หลายท่านด้วยกัน เช่น พระยาพิชัยดาบหัก(ตรงนี้เคยมีคนค้านว่าคนละยุคสมัยกัน ผมคิดว่าหลวงพ่อท่านคงต้องการสื่อว่านักรบที่เก่งๆมีหลายคนแค่นั้น :นิพนธ์) และอีกหลายคน ไม่ใช่เก่งคนเดียว เก่งคนเดียวนี่เก่งไม่ได้

    บั้นปลายของชีวิตท่านลาราชกิจราชการ เพราะเป็นคนแก่ ไปจำศีลภาวนาเจริญพระกรรมฐานวิปัสสนาญาณ ให้ทาน ตามปกติของคนแก่

    ตายจาก "เจ้าพระยาโกษาเหล็ก" ด้วยกำลังของฌานไปเป็นพรหมตามเดิม นอนสบายได้พักหนึ่ง ก็ต้องเสด็จลงมาอีกแล้วกรุงศรีอยุธยาแตกยับเยิน

    วาระที่ ๑๑ นี้ ท่านพรหม "พระเจ้ามังรายมหาราช" ก็มาเกิดเป็นขุนดาบของ "พระเจ้าตากสินมหาราช" อีก


    ที่มา: http://www.watthasung.com/wat/viewthread.php?tid=2514#top
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 พฤศจิกายน 2019
  11. NiponSuwan

    NiponSuwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กันยายน 2018
    โพสต์:
    446
    ค่าพลัง:
    +1,162
    DSC_8530.jpg

    DSC_8532a.jpg


    อนุสาวรีย์พลเรือเอก พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์
    (พระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงศ์ )


    กรมหลวงชุมพรหรือเสด็จเตี่ย เป็นที่เคารพบูชาของคนกันมากโดยเฉพาะบรรดาทหารเรือ อนุสาวรีย์และรูปหล่อของท่านมีให้กราบไหว้กันมากมายด้วยเขื่อว่าท่านขลังยิ่งนักด้วยว่าท่านได้ฝากตัวเป็นศิษย์กับพระเกจิที่ขึ้นชื่อแห่งยุคมากมาย เช่น หลวงปู่ศุข วัดมะขามเฒ่า หลวงพ่อเงิน วัดบางคลาน หลวงพ่อพริ้ง วัดบางประกอก หลวงพ่อพุ่ม วัดบางโคล่ เป็นต้น และท่านเป็นผู้ที่เคยศึกษามาจากเมืองนอกก่อนที่ท่านจะเชื่ออะไรก็ต้องมีการพิสูจน์กันก่อนเมื่อเห็นผลจริงท่านจึงเชื่อ และตั้งใจศึกษาปฏิบัติตามคำสอนของครูบาอาจารย์ด้วยความวิริยะอุตสาหะจนเกิดความช่ำชองในพระเวทย์วิทยาคม

    ****************

    พระเดชพระคุณหลวงพ่อฤาษีเล่าเรื่องกรมหลวงชุมพร
    หนังสืออ่านเล่น เล่ม ๕ โดย ส. สังข์สุวรรณ (หลวงพ่อพระราชพรหมยาน)

    "ท่านสาธุชนพุทธบริษัททั้งหลาย วันนี้วันที่บันทึกก็ยังเป็นวันที่ ๒๕ ธันวาคม ๒๕๓๑ เป็นการบันทึก ตอนที่ ๖ ของหนังสือเล่มที่ ๕ เรียกว่า หนังสืออ่านเล่น เขียนโดย ส.สังข์สุวรรณ แต่ว่า เวลานี้เขียนไม่ไหว ตาไม่เห็นเส้น ไม่เห็นน้ำหมึก ก็เลยต้องบันทึกเสียงแทน ให้เจ้าหน้าที่ลอกเป็นตัวหนังสือ

    ก็เป็นอันว่าตอนที่แล้ว เรื่องมาขาดตอนลงที่เรื่องราวของท่านพลเรือเอกกรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ ว่าท่านเป็นเทวดาที่มีความศักดิ์สิทธิ์มาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่เชื่อท่านจริง ๆ เคารพท่านจริง ๆ ขอย้ำตอนนี้นะบรรดาท่านผู้ฟัง ถ้าเชื่อไม่จริง เคารพไม่จริง อย่าลืมว่าท่านเป็นเทวดา ท่านรู้ความรู้สึกของคนท่านจะไม่ยอมช่วย

    มาว่ากันถึงการช่วยเหลือ เขาบนกันทุกอย่างเป็นการช่วยเหลืออาตมาจะนำเรื่องมาคุยให้ฟัง อาตมาก็เคยบน แต่ทว่าบนให้คนอื่นเขาบนเพื่อช่วยเขา ท่านก็ช่วยได้ ถ้าไม่ลืมเรื่องนี้ ก็จะนำมาเล่าให้ฟังเพราะไม่ได้บันทึกมา

    เป็นอันว่า ครั้งหนึ่ง เสริมศรี ส่งสิริ เธอมีความเคารพในกรมหลวงชุมพรฯ มาก มีอะไรขัดข้องเธอก็บน แต่ว่าการบนทุกอย่างของท่านมีผลทุกคราว คนนี้มีความเลื่อมใสมาก ต่อไปเมื่อคนอื่นมีทุกข์ ต้องการให้ท่านกรมหลวงชุมพรฯ ช่วย ก็มาของร้องให้เสริมศรีบน เพราะตนเองจะบนก็ไม่แน่ใจว่าท่านจะช่วยหรือไม่ช่วยทำผิดหรือทำถูก จิตใจนั้นเคารพแน่ แต่เกรงว่าจะผิดระเบียบ และเสริมศรีก็ช่วยบนให้ และก็มีผลตามนั้นทุกครั้ง เป็นที่น่าอัศจรรย์

    ใครว่าผีช่วยไม่ได้ เทวดาช่วยไม่ได้ บรรดาท่านทั้งหลาย ไม่จริง คนมันไม่ดีเทวดาท่านจะช่วยอย่างไร เทวะ แปลว่า ผู้ประเสริฐ ท่านจะเป็นเทวดาได้ ธรรมะเบื้องต้นของท่านที่ปฏิบัติได้ขั้นแรกคือ หิริ และ โอตัปปะ ก่อนจะตายมีความรู้สึกตัว เกรงกลัวผลของความชั่ว อายความชั่ว เวลานั้นจิตเป็นกุศลธรรม ตายจากความเป็นคน จึงเป็นเทวดา แต่ในเมื่อคนที่จะไปใช้ท่าน หรือต้องการจะเห็นท่าน ต้องการจะให้ท่านช่วย ในเมื่อคนนั้นมันยังนิยมความชั่วไม่อายความชั่ว ไม่เกรงกลัวผลของความชั่ว เป็นคนเลว เทวดา แปลว่า ผู้ประเสริฐ ผู้ประเสริฐก็ไม่กล้าสู้คนเลว ไม่กล้าช่วยคนเลว เพราะเกรงว่าจะเลวไปด้วย อย่างนี้คนเลวบนไม่ได้ผล บอกกันเสียก่อนนะ

    วิธีบน ทีแรกเขาก็บนกันตามความชอบใจ ต่อมาอาตมาถามท่าน ก็ขอพูดกันตรงไปตรงมา เคยคุยกับท่าน ท่านกรมหลวงชุมพรฯ นั้น ท่านมาให้เห็นเป็นปกติ และก็ขอร้องให้ท่านช่วยอะไร ท่านก็ช่วยตามกำลังของเทวดาที่จะพึงช่วยได้ อย่าไปเกณฑ์เทวดาทุก ๆ อย่าง ถ้าจะเกณฑ์ว่าขอเทวดาจงบอกหวยให้ อันนี้ไม่ได้ เกณฑ์ได้แต่ว่าท่านไม่ช่วย อย่างอาตมานี้ขอพูดให้ฟัง

    ท่านปู่ใหญ่ คือ สหัมบดีพรหม เดิมทีเดียวเมื่อท่านเป็นพระในหลายร้อยปีมาแล้ว อาจจะเป็นเกือบพันปีมาแล้ว ท่านชื่อ สิงห์ เป็นพระทรงสมาบัติขั้นสูง และก็เป็นพระอริยเจ้า ต่อมาก่อนหน้าท่านเป็นสหัมบดีพรหม ขณะเป็นรอง ไปถามเรื่องหวยท่าน ท่านเอาเรียงเบอร์มาให้อ่านเลย อ่านเรียงเบอร์ อ่านได้ทุกรางวัล เหมือนกับที่เขาพิมพ์ ทำภาพให้เห็น แต่ท่านบอกว่า ห้ามบอกใครนะ

    แต่ความจริงสังเกตดูแล้วว่า ท่านไม่บอกนี่ตรงทุกที ถ้าบางครั้งท่านจะบอกได้เท่านี้นะ ถ้าพูดเท่านั้นมีผล ถ้าพูดเลยไปตัวเดียวหรือแต้มเดียว หรือว่าประโยคเดียว จะไร้ผลทั้งหมด เวลานี้ท่านก็เลยขอร้อง ปฏิเสธ บอกว่า เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน อยากจะรู้จะให้รู้ แต่ห้ามพูดเด็ดขาด ก็เลยเป็นอันว่า ไม่รู้เสียดีกว่า รู้แล้วพูดไม่ได้ มันอึดอัดใจ

    มาว่ากันถึงเรื่องกรมหลวงชุมพรฯ กันดีกว่า วิธีบน บรรดาท่านพุทธบริษัท
    ฟังแล้วอาจจะบนกันบ้าง วิธีบนก็คือ

    ๑. ข้าวปากหม้อ คำว่า ข้าวปากหม้อ หมายความว่า ข้าวปากหม้อที่ยังไม่เป็นเดนใคร
    ตักมา ๑ ถ้วย
    ๒. หมูต้ม หมูธรรมดาต้ม ประมาณสักครึ่งกิโล ถ้าจนมาก็ชิ้นเดียว อย่าให้เล็กนัก
    ๓. ไก่ต้ม ถ้าจนมากมีทุนน้อย ก็ไม่ต้องถึงตัว เอาชิ้นหนึ่งก็ได้ แต่คนมีทุนมากต้องเอาถึงตัว อย่าขี้เหนียวนะ ขี้เหนียวเทวดาไม่ช่วย
    ๔. ทองหยิบ ฝอยทอง อย่างละถ้วยเล็ก ๆ ก็ได้ ๒-๓ อันก็ได้นะ
    ๕. ขนมจีนน้ำพริก

    เท่านี้ก็พอแล้ว แต่ว่าตามพิธีกรรม ถ้าจะบนท่านให้ใช้ของทั้งหมดนี้ก่อนเวลาบน ถวายก่อน เวลาถวายท่านกำหนดว่า เวลาตอนเช้าให้ใช้เวลาก่อน ๒ โมงเช้า ๑๐ นาที หรือก่อนหน้านั้นนิดหน่อยก็ได้ แต่อย่าให้ถึง ๒ โมงเช้า ถ้าจะแก้ตอนบ่าย ตอนเย็นให้ใช้เวลา ๓ โมงเย็น แต่ก่อนเวลา ๓ โมงเย็นสัก ๑๐ นาที เรื่องเหล้ายาปลาปิ้งไม่ต้องใช้กัน เวลานี้ท่านเป็น วิรุฬหก เมื่อก่อนเป็น วิรุฬหก ชอบให้เขาแก้บนด้วยน้ำตาลเมา แต่เดี๋ยวนี้บอก ไม่เอาแล้ว ลูกน้องมันมาก เดี๋ยวลูกน้องมันเมา มนุษย์จะมีความลำบาก เทวดาเมานี่ยุ่ง แต่ความจริงเทวดาท่านไม่กินน้ำตงน้ำตาลหรอก ก็ว่ากันเรื่อยเฉื่อยไป เป็นสัญลักษณ์ว่าสมัยเป็นคนชอบอะไรก็ขออย่างนั้น"


    **************

    ท่านท้าววิรุฬหก ท่านเป็นท้าวมหาราชคุมด้านทิศใต้

    ท่านท้าววิรุฬหก ท่านเป็นท่านท้าวมหาราชคุมด้านทิศใต้ บนสวรรค์ชั้นจาตุมหาราช ในเมืองมนุษย์มักเข้าใจว่า ท่านท้าววิรุฬหกและบริวารของท่านเป็นกุมภัณฑ์ “กุมภะ” แปลว่า “หม้อ” ท่านจึงแสดงรูปร่างอ้วนใหญ่เหมือนกับพ้อมใส่ข้าว ผิวดำปี๋ พุงก็ปลิ้น คอก็สั้น หัวก็โต ฟันก็ขาว เขี้ยวก็โง้งออกจากปาก มีริมฝีปากนูนๆ ตาใหญ่มาก สว่างแวววาวเหมือนกับไฟฉาย มองส่ายไปส่ายมา ทำให้น่ากลัว แต่ความจริงท่านสวยสดงดงามมาก ท่านมาบอกอาตมาว่า

    ในสมัยเป็นมนุษย์ท่านเป็นคนกรุงเทพฯ อาชีพของท่านเป็นคนมีเงินเดือน เป็นหัวหน้าคนกลุ่มใหญ่มีคนใต้บังคับบัญชานับพันคน ท่านบอกท่านเคยมีโอกาสเข้าเฝ้าพระเจ้าอยู่หัวเหมือนกัน เคยเข้าสมาคมกับขุนนางชั้นสูงและกับคนทุกชั้น เพราะท่านมีเมตตาความรัก กรุณาความสงสาร ท่านถือว่าทุกคนฐานะไม่สำคัญ สำคัญอยู่ที่กำลังใจเท่านั้น นอกจากนั้นท่านมีความต้องการหนังเหนียวยิงไม่ออก แคล้วคลาดจากอาวุธ และสามารถแสดงฤทธิ์ ท่านมีอาจารย์เป็นพระและเป็นฆราวาสก็มี ถ้ามีความดีเป็นกรณีพิเศษ

    การทำให้หนังเหนียวต้องใช้คาถา ก่อนที่จะใช้คาถาทั้งหมด ท่านต้องมีความเคารพพระพุทธเจ้าด้วยความจริงใจ เคารพในพระธรรมคำสอน และเคารพในพระสงฆ์ที่เป็นครูบาอาจารย์ หลังจากนั้นต้องทำจิตให้มั่นคงโดยภาวนาให้จิตทรงตัว ก็คือ จิตเป็นสมาธินั่นเองถ้าจิตมีสมาธิสูง กำลังอานุภาพที่ต้องการก็จะมีอานุภาพมาก ถ้ากำลังสมาธิตํ่าของที่เรียนมาก็มีอานุภาพตํ่า การท่องคาถาอาคม การปลุกตัว การปลุกของ ต้องทำทุกวันเพื่อความมั่นคง จิตต้องเข้าถึงฌานสมาบัติแต่เวลาที่ท่านตาย ท่านไม่ได้เข้าฌานตาย

    เมื่อตายแล้วท่านไปเกิดเป็นเทวดาชั้นจาตุมหาราช ต่อมาก็ขึ้นเป็น เทวดาชั้นอินทกะ (คำว่า“อินทกะ” แปลว่า “ผู้เป็นใหญ่” คือเป็นรองท่านท้าวมหาราช อินทกะนี้มีได้ทิศละพันองค์ พร้อมที่จะเป็นท้าวมหาราชได้ตามความสามารถและวาสนาบารมี ในเมื่อท่านท้าวมหาราชไปจากชั้นนี้ คือจากชั้นจาตุมหาราชไปเกิดเป็นเทวดาชั้นสูงบ้าง หรือว่าไปเป็นพรหมบ้าง หรือมาเกิดเป็นมนุษย์ก็ตาม) จากอินทกะท่านก็เป็นท้าวมหาราช คือท่านท้าววิรุฬหกในปัจจุบันนี้


    ที่มา: http://www.watthasung.com/wat/viewthread.php?tid=2265
     
  12. NiponSuwan

    NiponSuwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กันยายน 2018
    โพสต์:
    446
    ค่าพลัง:
    +1,162
    DSC_8523.jpg


    อานุภาพของพระเจ้าพรหมมหาราช

    อนุสาวรีย์พระเจ้าพรหมมหาราชทรงช้างประกายแก้ว ได้ประดิษฐานขึ้นแล้ว ที่วัดท่าซุง จังหวัดอุทัยธานีและได้ทำการฉลองไปเมื่อ ๑๔ กรกฏาคม ๒๕๒๗ นี่เอง

    คุณจีรศักดิ์ พูนผล เป็นกำลังสำคัญในการหาทุนทรัพย์ สร้างอนุสาวรีย์แห่งนี้ ค่าใช้จ่ายในการก่อสร้างรวมทั้งสิ้น ๙๐๐,๐๐๐ บาทเศษ และในการนี้หลวงพ่อได้ช่วยออกเงินร่วมสร้างด้วย จำนวน ๒๕๐,๐๐๐ บาท

    พระเจ้าพรหมมหาราชทรงช้างประกายแก้วทำด้วยโลหะรมดำ หลวงพ่อบอกว่า ตอนนี้พระเจ้าพรหมมาอยู่วัดแล้ว เพื่อให้เข้ากับสถานที่และภาวะ จะปิดทองทั้งหมด ทั้งคณะและช้างทรงด้วย อีกไม่นานอนุสาวรีย์พระเจ้าพรหมมหาราชก็จะมีความสง่างามขึ้นอีกมากทีเดียว

    เมื่อตอนวันงานฉลองพระเจ้าพรหมฯ มีคนหนึ่งไปเขย่าติ้ว ปรากฏว่าเขย่าไม่นานติ้วหล่นลงมา ๑๐ อัน แกเลยไปแทงหวย โชคดี ถูกเลขท้าย ๒ ตัว ๐๑ คนเลยฮือฮากันใหญ่ ต่อไปคงมีคนบนให้ท่านช่วยเหลือแน่ ๆ
    หลวงพ่อจึงบอกให้ทราบล่วงหน้าก่อนว่า

    ถ้าใครจะบนก็ให้ทำตามนี้ ขอคัดเอามาจากจดหมายที่หลวงพ่อ
    เขียนถึงคุณ จีรศักดิ์ ทั้งฉบับดีกว่า เพราะมีเรื่องอื่น ๆ รวมอยู่ด้วย


    **จดหมายที่หลวงพ่อเขียนถึงคุณจีรศักดิ์ มีใจความอย่างนี้**

    "พ่อลูกชาย"

    เงินสำหรับพระเจ้าพรหมฯ ขอมอบให้ ๒๕๐,๐๐๐ บาท (สองแสนห้าหมื่นบาท) ทั้งนี้เพราะหาได้พอ คิดไว้นานแล้วว่าจะช่วยถามทีไรก็บอกว่า "ไม่ต้อง ๆ " เงินขนาดหนักอย่างนี้ไม่มีใครเขาทำได้ มีรายเดียวที่กล้าทำและก็ทำได้ ขอผลบุญนี้จงส่งผลให้ทำทุกอย่างสำเร็จไปตามความต้องการจงทุกประการตลอดไปเถิด

    เรื่องผิวคณะพระเจ้าพรหม ฯ พระท่านบอกว่า ลักษณะผิวนักรบเขาต้องอยู่นอกวัดเพราะรบกับข้าศึก เวลานี้อยู่ในวัด "คณะพระเจ้าพรหมฯ ต้องบวช" เพื่อให้เข้ากับสถานที่และภาวะที่สมควร ท่านให้ปิดทองทั้งหมด ขอให้ช่างจัดการปิดทองให้ด้วย เป็นอันว่าฉันเหมาทั้งหมด คือทั้งทองและแรงงานเป็นของช่าง ให้บอกราคามาจะได้จัดจ่ายให้เป็นงวด ๆ ตามความเป็นจริง

    การทำขอให้ระมัดระวังเรื่องความสุจริต เพราะ

    ๑. ช้าง ชอบเลือดสด

    ๒. พระเจ้าพรหม ฯ ชอบผ้าคล้อง ๒ ไหล่

    ๓. พระนางปทุมวดี (ยังไม่มีรูป) ชอบดอกไม้ ๓ สี

    อานุภาพ

    • ช้างถนัดในทางปราบอมิตร

    • พระเจ้าพรหม ปราบและมหาเสน่ห์

    • พระนางปทุมวดี ถนัดในทางลาภ

    ถ้าจะบน

    • ช้างต้องเอาเลือดสดทาปาก แต่ท่านให้ใช้อาหารที่มีเลือดหมูต้มรวมอยู่ด้วยถวายพระแทน

    • พระเจ้าพรหม ใช้ผ้าเหลือง ถวายพระแทน

    • พระนางปทุมวดี ใช้ดอกไม้ ๓ สี บูชาเธอ และถวายสังฆทาน

    เป็นอันว่า ขอให้ช่างจัดการปิดทองได้เลย แต่ก่อนปิดทองบอกฉันก่อนว่า "ราคาเท่าไร" คราวนี้อย่าให้ช่างต้องแห้งแล้งเกินไปเลย เธอจะแย่ เธอดีมากอยู่แล้ว อย่าให้ดีพังเสียเลย

    พระมหาวีระ ถาวโร
    วัดท่าซุง ๓ สิงหาคม ๒๕๒๗


    คุณจีรศักดิ์ ได้รับจดหมายฉบับนี้แล้วบอกว่า
    "ผมจะใส่กราบบูชาทุกวันเลย ปลื้มใจมาก"

    ก็น่าปลื้มใจ เพราะทุ่มเททุกอย่าง ทั้งกำลังกายและสติปัญญา กำลังทรัพย์ก็ไม่ต้องพูดถึง ควักจนหมดตัว จนหลวงพ่อสงสาร ให้ความช่วยเหลือถึง ๒๕๐,๐๐๐ บาท ในการปิดทองเป็นงานขั้นต่อไป ก็ไม่ต้องหนักใจแล้ว หลวงพ่อออกเงินทั้งหมด ทั้งค่าทองและแรงงาน "ถ้าใครจะร่วมทำบุญกับหลวงพ่อครั้งนี้อีก ก็ขอให้ส่งเงินมายังหลวงพ่อได้" หลวงพ่อได้บอกให้ญาติโยมได้ทราบครั้งหนึ่งแล้วที่บ้านสายลม เมื่อ ๔, ๕, ๖, สิงหาคม

    สำหรับพระนางปทุมวดี นั้น อดีตคือ "ท่านแม่ประภาศรี" ถึงแม้จะเป็นหญิง แต่ก็รบเก่งมาก มีอาวุธรอบตัว หลวงพ่อกำลังให้ช่างปั้นรูปท่านอยู่คงเสร็จในเร็ว ๆ นี้

    จามร


    ( ธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ ๔๕ หน้า ๘ - ๙ )
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 พฤศจิกายน 2019
  13. tee_tores

    tee_tores กะยิราเจ กะยิราเถนัง สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    19,625
    ค่าพลัง:
    +53,127
    IMG_25621110_084808.JPG
     
  14. NiponSuwan

    NiponSuwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กันยายน 2018
    โพสต์:
    446
    ค่าพลัง:
    +1,162
    DSC_8545.jpg

    DSC_8542.jpg


    • อุทัยธานี เมืองพระชนกจักรี ปลาแรดรสดี ประเพณีเทโว ส้มโอบ้านน้ำตก
    มรดกโลกห้วยขาแข้ง แหล่งต้นน้ำสะแกกรัง ตลาดนัดดังโคกระบือ •


    อนุสาวรีย์พระพินิจอักษร (พระชนกจักรี ,องค์กลาง)
    พระบรมราชานุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก
    และพระบรมราชานุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว


    ประดิษฐานเบื้องหน้าอาคารที่พักผู้ปฏิบัติธรรม วัดท่าซุง

    ****************

    ประวัติพระพินิจอักษร

    คำสอน พระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ)
    จาก หนังสือ ตายแล้วไม่สูญ…แล้วไปไหน

    พระพินิจอักษร มีนามว่า “ทองดี” เป็นสมเด็จพระราชบิดาของรัชกาลที่ ๑ ทรงประสูติในเรือฝั่งตรงข้ามกับโบสถ์เก่าวัดท่าซุง ในฐานะที่พระองค์เป็นทั้งชาวสุโขทัยและก็ชาวกรุงศรีอยุธยา และก็ยังเป็นชาวเชียงแสนด้วย ท่านเป็นคนของแผ่นดิน เพราะว่าท่านสืบเชื้อสายมาจากเชียงแสน ชาวเชียงแสนมาตั้งถิ่นฐานที่สุโขทัย ต่อมาพระราชโอรสของพระองค์ได้เป็นใหญ่ในกรุงเทพฯ เป็นอันว่าวงศ์นี้เป็นวงศ์ที่มีคุณต่อประเทศชาติอยู่มาก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ทรงเป็นแม่ทัพในการกู้ชาติ ที่มีสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชเป็นหัวหน้า ต่อมาเมื่อ สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช เถลิงราชสมบัติเป็นกษัตริย์ พระองค์ก็เป็นกำลังใหญ่ในการปราบปรามข้าศึก ต่อมาในสมัยพระองค์ทรงเป็นกษัตริย์ก็ทรงปราบปรามข้าศึก รักษาเอกราชให้ชาติไทยอยู่รอดเป็นอิสระจนกระทั่งทุกวันนี้ เวลานี้วงศ์ของท่านทองดีก็ยังครองประเทศชาติอยู่ ท่านพระพินิจอักษรท่านเป็นครูและท่านเป็นหมอด้วย สมัยก่อนคนเป็นหมอง่าย เรียกว่า “หมอยาป่า” หรือ “หมอโบราณ” ท่านมีความรู้ทางหมออยู่บ้างตามสมควร เรื่องความเป็นหมอคนโบราณถือว่ามีความสำคัญ

    คืนวันหนึ่งของปี ๒๕๑๕ เวลาประมาณ ๒๓.๐๐น.เศษ อาตมารู้สึกง่วงนอนเร็วกว่าปกติ จึงเอนกายลงนอน ได้เห็นชายคนหนึ่งรูปร่างขาวท้วม นุ่งผ้าโจงกระเบน สวมเสื้อธรรมดาแต่ยาวลงเลยชายพกประมาณ ๖ นิ้วฟุต มือขวาถือหนังสือเล่มใหญ่แนบกับตัว เห็นภาพนั้นเมื่อดับไฟมืดสนิทและไม่มีแสงสว่างจากภายนอกลอดเข้ามา ก็ทราบว่าชายที่เห็นนั้นไม่ใช่คนธรรมดา เพราะประตูใส่กลอนแล้ว หน้าต่างก็มีลูกกรงเหล็ก ตามความรู้สึกขณะนั้นบอกว่า “ชายผู้นี้คือผี” ชายที่ยืนให้เห็นนั้นท่าทางท่านสุภาพมากยืนเฉยๆ ไม่แสดงอาการผิดปกติ แต่เวลานั้นกำลังง่วงจัดอยากจะหลับท่าเดียว จึงคิดว่ามีธุระอะไรพรุ่งนี้ค่อยมาคุยกันใหม่ แต่ต้องมาก่อนง่วงนอน พอวันรุ่งขึ้นเข้านอนก่อนเวลาเพราะเกรงว่าจะง่วงและอาจผิดสัญญากับผีได้ เวลา ๒๒.๐๐ น. ก็เข้าห้องบูชาพระตามปกติ

    เมื่อบูชาพระเสร็จก็เข้านอน พอหลังถึงพื้นศีรษะถึงหมอน ก็ปรากฏภาพชายคนเมื่อวานที่ผ่านมา มายืนอยู่ข้างปลายเตียงทางด้านขวา จึงถามท่านว่า “ท่านเป็นใคร” ท่านก็ตอบว่า “ผมคือทองดีครับ” ถามท่านอีกว่า “ทองดีคือใคร” ท่านตอบว่า “ทองดีพ่อทองด้วงครับ” เมื่อท่านตอบแล้วก็คิดไม่ถึงว่าท่านทั้งสองเป็นผู้มีคุณใหญ่ต่อประเทศ และอาตมาก็ยังสำนึกในบุญคุณของท่านที่ท่านเมตตาเสียสละให้ไทยได้เป็นไทอยู่จนทุกวันนี้ ท่านจะมาแสดงตนให้เห็น จึงได้ถามท่านต่อไปว่า “ทองด้วงคือใคร” ท่านตอบว่า “ทองด้วง คือ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช” ถามท่านว่า “ที่ท่านมานี้ท่านมีความประสงค์อะไร” ท่านบอกว่า “ผมเป็นครูครับ เมื่อท่านสร้างวัดเสร็จแล้วช่วยสร้างโรงเรียนให้ผมสักหลังหนึ่ง” ก็รับปากท่านว่าถ้าไม่เกินกำลังเต็มใจสร้างให้ท่าน

    ท่านเล่าให้ฟังอีกว่า เดิมทีเดียวท่านเป็นข้าราชการที่กรุงศรีอยุธยาได้รับบรรดาศักดิ์ครั้งสุดท้าย ที่พระอักษรสุนทร ต่อมาเมื่อพม่าล้อมกรุงศรีอยุธยา ท่านพาภรรยาและบุตรคนเล็กอายุ ๗ ปีขึ้นไปพิษณุโลก ไปอยู่กับเจ้าเรืองพระฝาง (พระยาพิษณุโลก) ท่านตั้งให้เป็นพระพินิจอักษร เพราะให้ท่านเป็นครูสอนหนังสือ (หนังสือราชการ) กับพวกขุนนาง เวลาล่วงมาประมาณปีเศษ อาศัยที่คุณพระพินิจอักษรเป็นคนฉลาด มีความสามารถมาก ต่อมาขั้นสุดท้ายท่านได้รับบรรดาศักดิ์เป็น เจ้าพระยาจักรีศรีองครักษ์ แต่ไม่มีใครสนใจในบรรดาศักดิ์นี้ ที่สนใจจริงๆ ก็คือ คุณพระอักษรสุนทร เป็นบรรดาศักดิ์ที่ทางกรุงศรีอยุธยาตั้งให้ ดังนั้นในประวัติศาสตร์ของท่านจึงมีชื่อเพียง พระอักษรสุนทร ท่านบอกว่า “ผมเกิดที่แม่น้ำสะแกตรัง (ชาวบ้านเรียกสะแกกรัง) เกิดในเรือครับ เรือที่ผมคลอดจากครรภ์มารดาอยู่ตรงนี้ครับ” ท่านชี้สถานที่เรือจอดให้ทราบ

    เป็นธรรมดาของอาตมาเมื่อคุยกับผี จะเป็นผีระดับไหนก็ตาม ผีมีหลายระดับคือ นรก เปรต อสุรกาย สัมภเวสี ภูมิเทวดา อากาศเทวดา พรหม ทั้งหมดนี้เรายกยอดเรียกผีเหมือนกันหมด เพราะไม่สามารถเห็นเขาได้ตามปกติ เมื่อเขาต้องการให้เห็นเราจึงเห็น เมื่อท่านจะกลับจึงได้ถามว่า “ท่านมาขอร้องตามนี้ก็ไม่ขัดข้อง แต่อยากจะขอเหตุผลสักหน่อยว่า ถ้าท่านเป็นท่านทองดีจริง ท่านจะบอกหรือแสดงอะไรสักอย่างหนึ่งก็ได้เพื่อเป็นหลักฐานควรเชื่อถือได้” ท่านถามว่า “ไม่ไว้ใจท่านหรือ” ก็เรียนท่านว่า “ไว้ใจ แต่ขอไว้เพื่อความมั่นใจ” ท่านก็บอกว่า “วันพรุ่งนี้ทางบ้านโน้นเขาจะรื้อบ้าน (ท่านชี้ไปทางที่ท่านบอกว่าบ้านท่านเคยตั้งที่นั่น) เขาจะรื้อบ้านเขาจะได้เงินกลม ถ้าเขาได้เงินกลมจริงก็เป็นการยอมรับว่าผมคือ “ทองดี” จริง กับอีกเรื่องหนึ่งก็คือต่อจากนี้ไปไม่เกิน ๑ เดือน ทองคำที่ตระกูลผมฝังไว้ใกล้พระอุโบสถจะเลื่อนเข้ามาใต้ถุนที่คุณอยู่ จะมีเสียงดังจากทองที่เลื่อนมาไว้ชัดเจนมาก ถ้ามีเสียงทองเลื่อนจริงก็เป็นเครื่องยอมรับว่าผมคือ “ทองดี” จริง”

    พอวันรุ่งขึ้นก็มีคนนำเงินกลมมาให้ ๑๐ กว่าอัน ผู้ให้บอกว่า เจ้าของบ้านเขารื้อบ้าน ขุดดินลงไปเพื่อเอาเสาเรือนขึ้น เมื่อนำเสาขึ้นมาแล้วพบเงินกลมหนึ่งไห เจ้าของให้นำมาถวาย ต่อมาอีกไม่ถึงครึ่งเดือน คืนวันนั้นมีคนมาร่วมเจริญพระกรรมฐานกันมาก ขณะที่ทุกคนกำลังเจริญพระกรรมฐานก็ได้ยินเสียงครืนใต้ดิน ได้ยินชัดมาก เสียงนั้นเลื่อนใกล้เข้ามาพอถึงกลางตึกเสียงก็เงียบ เมื่อเลิกพระกรรมฐานแล้วต่างคนต่างก็ไปดูสถานที่ที่มีเสียง ก็ไม่เห็นมีอะไรผิดปกติ รุ่งเช้า นายดาบตระกูล เปาริก ออกไปดูบริเวณนั้นเห็นดินยุบลงนิดหน่อยแต่เป็นบริเวณกว้าง ได้เอาเหล็กแทงลงไปปรากฏว่าจมเส้นเหล็กแล้วยังไม่ถึงกันหลุม ทั้งหมดนี้จัดเป็นอภินิหารของท่านได้

    ต่อมาตั้งใจจะสร้างโรงเรียนให้ตามที่ท่านขอไว้ ได้ติดต่อทางผู้ช่วยศึกษาธิการจังหวัดสมัยนั้น เรื่องก็เงียบหายไป เมื่อหาทางสร้างโรงเรียนไม่ได้จึงสร้างศาลาการเปรียญแทนให้ชื่อว่า “โรงเรียนพระพินิจอักษร” ทั้งนี้ก็เพราะว่าศาลาก็คือโรงเรียน คำว่า “เปรียญ” แปลว่า “รู้รอบ” หรือรู้ทุกอย่างทั้งทางโลกและทางธรรม ดูเหมือนจะมีความสำคัญมากกว่าโรงเรียน ซึ่งสอนเฉพาะความรู้ปกติธรรมดา จึงมีความเห็นว่าศาลาการเปรียญมีความสำคัญมาก หลังจากนั้นได้สร้างโรงพยาบาลแม่และเด็กขึ้น จึงคิดจะสร้างรูปท่านไว้เป็นอนุสรณ์ ในฐานะที่ท่านเมตตามาหาถึงสถานที่นอน และถ้าชาวบ้านถามก็จะได้บอกว่า “ปั้นรูปต้นวงศ์จักรี เพราะว่าถ้าเรามีความเลื่อมใส มีความจงรักภักดีต่อพระราชวงศ์จักรี คือพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทุกพระองค์ตั้งแต่รัชกาลที่ ๑ ถึงรัชกาลที่ ๙ เราไหว้ต้นวงศ์จักรีองค์เดียวก็ถึงลูกหลานเหลนทั้งหมด”

    เวลาที่จะปั้นรูปท่าน รูปตัวอย่างไม่มี ก่อนอื่นปั้นรูปเล็กก่อน โดย คุณยุพดี จักษุรักษ์ เป็นผู้ปั้นรูปเล็กด้วยดินเหนียวก่อน และช่างปั้นรูปใหญ่ชื่อ นายช่างประเสริฐ แก้วมณี จบชั้นประถมปีที่ ๔ อาตมาถามท่านว่า “เอาใครเป็นแบบฉบับที่คล้ายคลึง” ท่านก็บอกว่า “เอารูปรัชกาลที่ ๖ คล้ายคลึงมาก แต่ผมมากกว่านั้น เหลนผมคนนี้ผมน้อยไปหน่อย พุงโตกว่าผมนิดหนึ่ง” ท่านเป็นคนเนื้อเต็ม ปกติท่านไว้ผมทรงดอกกระทุ่ม ท่านบอกว่า “ถ้าปั้นรูปใหญ่ท่านจะมาช่วย มีส่วนคล้ายคลึงประมาณสัก ๓๐ เปอร์เซ็นต์ก็เป็นอันว่าใช้ได้” เพราะไม่มีรูปตัวอย่างให้ดู เมื่อปั้นรูปท่านเสร็จแล้วประดิษฐานไว้ที่หน้าโรงพยาบาลแม่และเด็ก ปรากฏว่า อภินิหารรูปของท่านก็คือ คนไข้ที่รักษาโรคมาจากที่อื่น มาแล้วไม่หายก็รักษาหายได้ ถ้าคนไข้คนไหนไปจุดธูปบูชาท่านขณะที่มารักษา คนไข้คนนั้นโรคจะหายเร็วมาก เป็นที่ยอมรับนับถือจากคนไข้เป็นอันมาก

    ต่อมาเมื่อวันที่ ๑๘ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๓๐ ท่านมาเล่าให้ฟังอีกว่า เมื่อสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชยกทัพไปปราบพระฝางได้ เมื่อเจ้านายหมดวาสนาบารมี ท่านก็พาภรรยาและบุตรธิดาไปอยู่เมืองเล็กๆ ทางเหนือ อยู่อย่างคนแก่ชอบสงบ ไม่นานนักท่านก็มรณะเพราะไข้ ท่านบอกว่าท่านเป็นพรหมชั้นที่ ๗

    **************

    สรุปความจากเรื่องเล่าของพระเดชพระคุณหลวงพ่อฤาษี สองสามโพสที่ผ่านมา ท่านพระพินิจอักษร(ทองดี) ก็สืบเชื้อสายมาจาก เจ้าพระยาโกษา(ปาน) ดังบทความ

    ในสมัยรัชกาล "สมเด็จพระเจ้าเสือ" ทรงตั้งให้ "นายขุนทอง" บุตรชายคนใหญ่ของ เจ้าพระยาโกษา (ปาน) เป็นพระยาวรวงศาธิราชสนิท และท่านพระยาวรวงศาธิราชสนิทมีบุตรชายคนใหญ่ชื่อ "ทองคำ" ได้เป็น "จมื่นมหาสนิท"

    ต่อมาทรงเลื่อนให้ "จมื่นมหาสนิท" เป็น "พระยาราชนิกูล" ท่านพระยาราชนิกูลมีบุตรชายคนใหญ่ชื่อ "ทองดี" เกิดที่บ้านสะแกตรัง

    เมื่อท่านทองดีเจริญวัยแล้ว จึงได้ย้ายที่อยู่จากบ้านสะแกตรังเข้าไปรับราชการที่กรุงศรีอยุธยา ตั้งบ้านเรือนอยู่ในกำแพงพระนคร ที่ตำบลป่าตอง ใกล้วัดบรมพุทธาราม คือ "วัดกระเบื้องเคลือบ" ซึ่งเป็นวัดของ "พระเพทราชา" ทรงสร้างที่บ้านเดิมของพระองค์
     
  15. NiponSuwan

    NiponSuwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กันยายน 2018
    โพสต์:
    446
    ค่าพลัง:
    +1,162
    DSC_8574.jpg


    ปราสาททองคำและอาคารพิพิธภัณฑ์"สมบัติพ่อให้"

    นับเป็นแลนด์มาร์คแห่งใหม่ของวัดท่าซุงที่ได้รับความนิยมกันมาก มีทั้งลูกศิษย์หลวงพ่อและนักท่องเที่ยวทั่วไป นิยมมาเก็บภาพไว้เป็นที่ระลึกกัน และถ้าจำไม่ผิดเคยเห็นคนมาถ่าย pre wedding กันด้วย

    การมาเที่ยววัดท่าซุง ตามจุดต่างๆก็จะมีเวลาเปิด-เปิดที่แน่นอน ระหว่างช่วงรอเวลาเปิด ก็สามารถมาเยี่ยมชม ถ่ายรูปสวยๆตรงนี้รอเวลากันก่อนได้

    ระหว่างตัวปราสาททองคำและอาคารพิพิธภัณฑ์ เป็นลานที่จัดไว้สวยสดงดงาม ลานแห่งนี้เวลาที่ทางวัดมีงานธุดงค์ก็จะใช้เป็นสถานที่ปฏิบัติธรรม ทำวัตรสวดมนต์กัน โดยเฉพาะปราสาททองคำยามค่ำคืน จะงดงามยิ่งนักแสงไฟที่สาดส่องตัวปราสาทสีทองอร่าม ตัดกับท้องฟ้าที่มืดสนิท ขับให้ปราสาทงามเด่นราวกับวิมานบนสวรรค์ชั้นฟ้าก็มิปาน

     
  16. NiponSuwan

    NiponSuwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กันยายน 2018
    โพสต์:
    446
    ค่าพลัง:
    +1,162
    69612976_1643167502480883_746199874181005312_o.jpg


    ปราสาททองคำ(ปราสาททองกาญจนาภิเษก)

    ก่อนที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อฤาษีจะละสังขาร ได้สั่งให้หลวงพ่ออนันต์ท่านสร้างปราสาททองคำขึ้น เพื่อเป็นที่เก็บพระพุทธรูป เพราะว่ามีญาติโยมนำมาถวายมากมาย หลวงพ่อท่านไม่มีที่เก็บ จึงนำไปไว้บนฝ้าเพดาน วิหาร ศาลา กุฏิ ท่านว่าเป็นการไม่ควร พระพุทธรูปก็คือสิ่งแทนองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เปรียบเสมือนพ่อแม่ผู้มีพระคุณ ควรจะสร้างที่เก็บให้เหมาะสม ดังเรื่องที่หลวงพ่ออนันต์(อดีตเจ้าอาวาส) ท่านได้เล่าเอาไว้

    ***************

    มีวันหนึ่ง หลวงพ่อเข้านิโรธสมาบัติ ตอนนั้นท่านป่วยมาก อาตมาไปนอนเฝ้ากับพระประทีป ตอนตีสองท่านก็ตื่นขึ้นมาจะประคองท่านเข้าห้องน้ำ ท่านก็บอกว่า “วันนี้ไม่ได้นอนเลย พระพุทธเจ้ามาบอกให้เข้านิโรธสมาบัติตั้งแต่ค่ำ ต่อไปจะสร้างปราสาททองไว้เก็บพระพุทธเจ้านะ” ก็ถามว่า “หลวงพ่อครับ สร้างที่ไหนครับ” “โรงอิฐ”

    ต่อจากนั้นท่านก็มาสายลมอีก ๒ เที่ยว ก็ไม่เห็นท่านพูดเรื่องนี้ เราก็นึก เอ...ท่านจะสร้างจริงหรือเปล่าหนอ ปราสาททองนี่คงจะแพงนะ ก็เลยมาเล่าให้พระสุรจิตฟัง พระสุรจิตก็บอกว่าจริง ท่านเคยมาตรวจงานแล้วก็ชี้ไปที่โรงอิฐ บอกว่าจะสร้างที่เก็บพระพุทธรูป

    ตอนนั้นก็ไม่คิดว่าจะทำหรอก เพราะมันหนัก แต่พอไปพูดกับผู้ใหญ่ ก็มีหลายคนบอกว่า ต้องทำๆ เขาบอกแล้วก็ไป แต่ทุกข์มันอยู่ที่เรา ไอ้เราก็แบกซิ ไอ้นี่ไม่เสร็จ ไอ้นั่นไม่เสร็จ ทุกข์จังเลย ก็ขอเก็บไว้ก่อน ขอทำงานที่มันด่วนเสียก่อน เอาไว้ท้าย ๆ ถึงจะทำ พูดไปก็จะทำให้คนแบกภาระไปด้วย

    อย่างหลวงพ่อสร้างวิหาร ๑๐๐ เมตร พระก็บอกทีละหน่อย ๆ มันก็ไม่หนักก็มีงานชิ้นใหญ่ ๆ อยู่ ๒ ชิ้น คือ ปราสาททอง กับ โบสถ์ทองคำ โบสถ์ทองทำคือปิดทองคำเปลว เรื่องนี้เคยพูดกับหลวงพ่อเหมือนกัน

    “หลวงพ่อครับ ใช้โมเสกสีทองซิครับ ทนครับ ฝนตกก็ไม่ลอก” เรานึกว่าดี หลวงพ่อบอก “ฉันรู้ แต่พระพุทธเจ้าท่านไม่ยอม อานิสงส์ไม่เหมือนกันคุณ อานิสงส์บูชาด้วยทองคำ เกิดมากี่ชาติก็ไม่มีความยากจนเข็ญใจ”

    ดูตัวอย่างท่านเมณฑกเศรษฐี เอาทองคำเปลวไปติดที่ฐานส้วม แล้วอธิษฐานเกิดมาอีกชาติหนึ่งมีความร่ำรวยมาก นั่นแผ่นเดียวนะ นี่เราปิดเป็นร้อยเป็นพันเป็นหมื่นเป็นแสน แล้วก็ปิดที่โบสถ์ เป็นที่เกิดของพระ จะเป็นพระได้ต้องบวชในโบสถ์ ไปบวชกลางทุ่งนาไม่ได้ ฉะนั้นจึงมีอานิสงส์มาก สังเกตดูหลวงพ่อ พระพุทธรูปท่านจะปิดทองทุกองค์


    ที่มา: http://www.watthasung.com/wat/viewthread.php?tid=194
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 พฤศจิกายน 2019
  17. NiponSuwan

    NiponSuwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กันยายน 2018
    โพสต์:
    446
    ค่าพลัง:
    +1,162
    69940031_1644097635721203_8813498428714647552_o.jpg


    ปราสาททองคำ(ปราสาททองกาญจนาภิเษก)

    • ใครมีพระพุทธรูปอยู่ที่บ้าน จะเป็นพระอิฐ พระปูน พระทองเหลือง พระแก้วก็ดี อย่านึกว่าไหว้แล้วพระพุทธเจ้าไม่รู้ มันมีเรื่องๆ หนึ่งอยู่ที่วัด มีคนมาขอพระพุทธรูปข้างโบสถ์ที่วัด พอขอไปแล้วพระพุทธเจ้ามาบอกกับหลวงพ่อว่า “ต่อไปนี้ใครมาขอฉันไป คุณอย่าให้นะ ไอ้พวกนี้มันไม่ไหว้ฉันหรอก มันเอาไปหากิน”

    • พระพุทธเจ้าแม้จะปรินิพพานแล้ว ใครจะกราบท่าน ไหว้ท่าน ท่านรู้ สังเกตดู หลวงพ่อจะกราบพระอิฐพระปูนข้างวัดก็ช่างเถอะ เรางี้อาย ท่านกราบแบบนอบน้อม ยกมือแต่ละครั้งเหมือนกับว่าท่านไหว้พ่อไหว้แม่จริงๆ เห็นใครกราบพระไม่สวยเท่าหลวงพ่อเลย เราต้องอายเลยท่านกราบด้วยใจจริงๆ

    • พระที่วิหาร ๑๐๐ เมตร ที่เป็นพระประธานน่ะนะ เรียกว่า พระมหาลาภ เหมือนกัน เพราะว่าเวลาสร้าง หลวงพ่อเอาผงที่ทำพระคำข้าวที่พุทธาภิเษกแล้วเอาไปฉาบทา มีคราวหนึ่ง ช่างคะนองปาก ช่างเขากำลังโป๊สี เพราะหน้าท่านแตกยังไม่เรียบร้อย

    ไอ้ช่างคะนองปากบอก “นี่ ช่างเสริฐ ทำไม่ไม่ใช้กวนอิมล่ะ” พอรุ่งขึ้นอีกวัน ช่างปากบอนปากบวม หาสาเหตุไม่ได้ ก็นึกไม่ออกว่าไปทำอะไรที่ไหนมา ลูกสะใภ้ช่างชิตพูดขึ้น เลยนึกได้ว่าเมื่อวานไปล้อพระที่วิหาร ๑๐๐ เมตร เลยจุดธูปเทียนไปขอขมาแล้วก็หาย หลวงพ่อสั่งไว้เหมือนกันว่า “ถ้าชาวบ้านแถวนี้เขาเดือดร้อนเรื่องฟ้าเรื่องฝน ทำมาหากินไม่ค่อยได้ ขอให้เอาดอกไม้ธูปเทียนไปบูชา ขอด้วยความเคารพจะมีผล”

    • “นันต์ แกอย่าลืมนะว่าวัดนี่ ที่ข้าสร้างมาได้หลายร้อยล้านนี่ ข้าไม่ได้สร้างด้วยอะไรเลย สร้างด้วยกรรมฐาน แกอย่าทิ้งกรรมฐานนะ ถ้าแกทิ้งกรรมฐานเมื่อไรวัดจะพัง เพราะข้าสร้างมาข้าสร้างมาด้วยกรรมฐานนะ วัดนี้น่ะ”


    เกร็ดเรื่องเล่าจากหลวงพ่ออนันต์ อดีตเจ้าอาวาสวัดท่าซุง

    ที่มา: http://www.watthasung.com/wat/viewthread.php?tid=194
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 พฤศจิกายน 2019
  18. NiponSuwan

    NiponSuwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กันยายน 2018
    โพสต์:
    446
    ค่าพลัง:
    +1,162
    70292026_1644819695648997_3730436369411997696_o.jpg

    ปราสาททองคำ มี ๓๗ ยอด อันหมายถึงโพธิปักขิยธรรม ๓๗ ประการ

    โพธิปักขิยธรรม คือ ธรรมอันเป็นฝักฝ่ายแห่งความตรัสรู้ ประกอบด้วยธรรมะ ๗ หมวด คือ
    • สติปัฏฐาน ๔
    • สัมมัปปธาน ๔
    • อิทธิบาท ๔
    • อินทรีย์ ๕
    • พละ ๕
    • โพชฌงค์ ๗
    • มรรคมีองค์ ๘
    รวมเป็น ๓๗ จึงเรียกว่า โพธิปักขิยธรรม ๓๗


    ๑.) สติปัฏฐาน ๔ คือ การเจริญสติระลึกรู้
    ๑. กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน คือ การหมั่นคิดใคร่ครวญโดยเน้นที่เรื่องรูปธรรม
    ๒. เวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน คือ การหมั่นคิดใคร่ครวญโดยเน้นที่เรื่องนามธรรมในส่วนความรู้สึกจากสัมผัส
    ๓. จิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน คือ การหมั่นคิดใคร่ครวญโดยเน้นที่เรื่องนามธรรมในส่วนของการรับรู้
    ๔. ธรรมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน คือ การหมั่นคิดใคร่ครวญโดยเน้นทุกเรื่องทั้งรูปธรรมและนามธรรม

    ๒.) สัมมัปปธาน ๔ คือ ความเพียรพยายาม
    ๑. สังวรปธาน คือ เพียรระวังยับยั้งบาปอกุศลธรรมที่ยังไม่เกิด มิให้เกิดขึ้น
    ๒. ปหานปธาน คือ เพียรละบาปอกุศลธรรมที่เกิดขึ้นแล้ว
    ๓. ภาวนาปธาน คือ เพียรทำกุศลธรรมที่ยังไม่เกิด ให้เกิดมีขึ้น
    ๔. อนุรักขนาปธาน คือ เพียรรักษากุศลธรรมที่เกิดขึ้นแล้วให้ตั้งมั่น

    ๓.) อิทธิบาท ๔ คือ ทางแห่งความสำเร็จในกิจอันเป็นกุศ
    ๑. ฉันทะ คือ ความพอใจและเต็มใจ
    ๒. วิริยะ คือ ความเพียรพยายาม
    ๓. จิตตะ คือ ความเอาใจใส่ จิตใจจดจ่อ ไม่ปล่อยใจให้ฟุ้งซ่าน
    ๔. วิมังสา คือ ปัญญาที่พิจารณาใคร่ครวญ หาเหตุผล เพื่อแก้ปัญหา หรือพัฒนาให้ดียิ่งขึ้น

    ๔.) อินทรีย์ ๕ คือ ธรรมที่ทำหน้าที่เป็นใหญ่ในอารมณ์
    ๑. สันธินทรีย์ คือ ความศรัทธาเป็นใหญ่
    ๒. วิริยินทรีย์ คือ ความเพียรเป็นใหญ่
    ๓. สตินทรีย์ คือ สติที่ระลึกรู้ในอารมณ์ปัจจุบันเป็นใหญ่
    ๔. สมาธินทรีย์ คือ การทำจิตให้เป็นสมาธิตั้งมั่นจดจ่ออยู่ในอารมณ์กรรมฐาน
    ๕. ปัญญินทรีย์ คือ ปัญญาทำหน้าที่เป็นใหญ่ด้วยการรู้แจ้ง

    ๕.) พละ ๕ คือ ธรรมอันเป็นกำลังที่เกื้อหนุนแก่อริยมรรค
    ๑. สัทธาพละ คือ ความเชื่อ เลื่อมใส ศรัทธาที่เป็นกำลังให้อดทน และเอาชนะธรรมอันเป็นข้าศึก เช่น ตันหา
    ๒. วิริยะพละ คือ ความเพียรพยายาม เป็นกำลังให้ต่อสู้กับความขี้เกียจ
    ๓. สติพละ คือ ความระลึกได้ในอารมณ์สติปัฏฐาน อันจะเป็นกำลังให้ต้านทานความประมาทพลั้งเผลอ
    ๔. สมาธิพละ คือ ความตั้งมั่นจดจ่ออยู่ในอารมณ์กรรมฐาน ทำให้เกิดกำลังต่อสู้เอาชนะความฟุ้งซ่าน
    ๕. ปัญญาพละ คือ เป็นกำลังปัญญาที่เข้มแข็ง ซึ่งทำให้เอาชนะโมหะ คือความโง่ ความหลง

    ๖.) โพชฌงค์ ๗ คือ ธรรมที่เป็นองค์แห่งการตรัสรู้
    ๑. สติสัมโพชฌงค์ คือ ความระลึกได้ สำนึกพร้อมอยู่ ใจอยู่กับกิจ จิตอยู่กับเรื่อง
    ๒. ธัมมวิจยสัมโพชฌงค์ คือ ความเฟ้นธรรม ความสอดส่องสืบค้นธรรม
    ๓. วิริยสัมโพชฌงค์ คือ ความเพียร
    ๔. ปีติสัมโพชฌงค์ คือ ความอิ่มใจ
    ๕. ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ คือ ความสงบกายใจ
    ๖. สมาธิสัมโพชฌงค์ คือ ความมีใจตั้งมั่น จิตแน่วในอารมณ์
    ๗. อุเบกขาสัมโพชฌงค์ คือ ความมีใจเป็นกลาง เพราะเห็นตามเป็นจริง

    ๗.) มรรคมีองค์ ๘ คือ หนทางปฏิบัติที่นำไปสู่การบรรลุมรรคผลนิพพาน
    ๑. สัมมาทิฏฐิ คือ ปัญญาเห็นชอบ หมายถึงเห็นถูกตามความเป็นจริงด้วยปัญญา
    ๒. สัมมาสังกัปปะ คือ ดำริชอบ หมายถึง การใช้สมองความคิดพิจารณาแต่ในทางกุศลหรือความดีงาม
    ๓. สัมมาวาจา คือ เจรจาชอบ หมายถึงการพูดสนทนา แต่ในสิ่งที่สร้างสรรค์ดีงาม
    ๔. สัมมากัมมันตะ คือ การประพฤติดีงาม ทางกายหรือกิจกรรมทางกายทั้งปวง
    ๕. สัมมาอาชีวะ คือ การทำมาหากินอย่างสุจริตชน
    ๖. สัมมาวายามะ คือ ความอุตสาหะพยายาม ประกอบความเพียรในการกุศลกรรม
    ๗. สัมมาสติ คือ การไม่ปล่อยให้เกิดความพลั้งเผลอ จิตเลื่อนลอย ดำรงอยู่ด้วยความรู้ตัวอยู่เป็นปกติ
    ๘. สัมมาสมาธิ คือ การฝึกจิตให้ตั้งมั่น สงบ สงัด จากกิเลศ นิวรณ์อยู่เป็นปกติ
     
  19. tee_tores

    tee_tores กะยิราเจ กะยิราเถนัง สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    19,625
    ค่าพลัง:
    +53,127
    IMG_25621121_085731.JPG IMG_25621121_085718.JPG Screenshot_25621121_082632.jpg Screenshot_25621121_082413.jpg Screenshot_25621121_082445.jpg Screenshot_25621121_082525.jpg Screenshot_25621121_082539.jpg Screenshot_25621121_082640.jpg Screenshot_25621121_082649.jpg Screenshot_25621121_082656.jpg
     
  20. NiponSuwan

    NiponSuwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กันยายน 2018
    โพสต์:
    446
    ค่าพลัง:
    +1,162
    70179014_1645791802218453_9138788969561980928_o.jpg


    อาคารพิพิธภัณฑ์ "สมบัติพ่อให้"

    ใช้เป็นที่เก็บรวบรวมพระพุทธรูป คำสอน และวัตถุมงคลที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อได้สร้างไว้

    สมบัติพ่อให้ที่สำคัญที่สุดก็คือคำสอนของหลวงพ่อ ตลอดระยะเวลาหลายสิบปีที่ท่านดำรงอยู่ในสมณะเพศ ได้เมตตาพร่ำสอนวิปัสนากรรมฐานและเทศนาสั่งสอนเหล่าศิษยานุศิษย์ อย่างไม่รู้เหน็ดเหนื่อย ทั้งที่สังขารร่างกายของท่านป่วยมาก มีหมออันดับต้นๆของประเทศมาคอยรักษามากมายหลายท่าน แต่ก็เอาไม่อยู่ได้แต่เพียงรักษาอาการของท่านให้ทรงตัวเอาไว้แค่นั้น เป็นอยู่เช่นนี้หลายสิบปีที่หลวงพ่อท่านต้องทนอยู่กับการเสียดแทงของโรค เพื่อแลกกับการสั่งสอนให้ลูกหลานของท่านได้เห็นทางลัดตัดตรงสู่กระแสธรรม
    แห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า


    ***************

    อาคารพิพิธภัณฑ์"สมบัติพ่อให้"

    เป็นอาคารใหม่ที่ยังก่อสร้างไม่แล้วเสร็จ ใช้เป็นอาคารเก็บพระพุทธรูป พระเครื่องและวัตถุมงคลที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อปาน วัดบางนมโค และหลวงพ่อพระราชพรหมยานได้จัดสร้างไว้ อีกทั้งยังใช้เป็นห้องสมุดอิเล็กทรอนิกส์ ห้องประชุม/สัมมนาอีกด้วย

    พิพิธภัณฑ์สมบัติพ่อให้เป็นอาคารรูปทรงสถาปัตยกรรมแบบสุโขทัยประยุกต์ เฉพาะตัวอาคารมีพื้นที่ประมาณ ๑ ไร่ อยู่ในบริเวณป่าใหม่ ลานธรรม (ตรงข้ามปราสาททองคำและ ๒๕ ไร่) เป็นอาคาร ๓ ชั้น โดยชั้นที่ ๒ จัดสร้างเป็นห้องสมุดอิเล็กทรอนิกส์ซึ่งถือเสมือนเป็นโรงเรียนพระปริยัติธรรม และห้องประชุม/สัมมนา

    ส่วนชั้นที่ ๓ ใช้เป็นที่เก็บพระพุทธรูป พระเครื่องและวัตถุมงคลที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อปาน วัดบางนมโคและหลวงพ่อพระราชพรหมยานได้จัดสร้างไว้เพื่อเป็นอนุสรณ์แด่ลูกหลานรุ่นหลัง

    เรื่องนี้ พ.ต.อ.อรรณพ กอวัฒนา ได้กรุณาเล่าให้ฟัง เมื่อวันวิสาขบูชาที่ ๑๙ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๕๑ ไว้ว่า ในสมัยก่อนที่ยังไม่มีการจำหน่ายสังฆทานครบชุด ต้องไปเช่าบูชาพระพุทธรูปขนาดหน้าตักต่างๆ กันเพื่อถวายเป็นสังฆทาน ทำให้ที่วัดมีพระพุทธรูปสะสมมาจากการถวายสังฆทานนับเป็นหมื่นๆองค์

    ซึ่งพระเดชพระคุณหลวงพ่อท่านได้ปรารภเสมอว่าท่านไม่สบายใจเลยที่พระพุทธรูปถูกเก็บไว้ในสถานที่ที่ไม่เหมาะสม และถึงแม้จะสร้างปราสาททองคำและวิหารหลวงพ่อ ๕ พระองค์ เพื่อส่วนหนึ่งใช้เก็บพระพุทธรูปแต่ก็ยังไม่เพียงพอ จึงได้ดำริที่จะสร้างพิพิธภัณฑ์สมบัติพ่อให้ขึ้น เพื่อใช้เป็นที่เก็บพระพุทธรูป พระเครื่อง และวัตถุมงคล ที่หลวงพ่อปานและหลวงพ่อฤาษีได้สร้างไว้ที่ชั้น ๓ ของตัวอาคาร

    สำหรับชั้น ๒ ซึ่งจัดเป็นห้องสมุดอิเล็กทรอนิกส์และห้องประชุม/สัมมนานั้น พ.ต.อ. อรรณพได้เล่าให้ฟังว่า ด้วยเหตุที่วัดท่าซุงไม่มีโรงเรียนพระปริยัติธรรม ห้องสมุดอิเล็กทรอนิกส์แห่งนี้จะเปรียบเป็นเสมือนโรงเรียนพระปริยัติธรรมในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์


    ทีมา: http://www.watthasung.com/wat/viewthread.php?tid=427
     

แชร์หน้านี้

Loading...