อยากทราบข้อแตกต่างระหว่าง สมาธิตั้งมั่นกับอารมณ์วางเฉย

อวิชชา มันจะหลอก ตลอดเวลา..

อวิชชามันจะดึงให้ออกจากสติ..

เมื่อสติหลุด ก็ เข้าภวังค์ ทันที..

"ผู้รู้" ที่ ขาด สติ ก็เป็นได้แค่ "ผู้หลงรู้"..

 

สติทางโลก พอนึกออก / แล้วสติทางธรรมเป็นแบบไหน..? ครับ

 

บอกแล้ว ให้ถามท่านธรรมชาติ เลย..


ต้องขออภัย ที่ไม่ตอบ ข้อสงสัย..

 

กิจการงานทางโลกยังมีเป้าเลยครับ
งานทางธรรมนี้
ถ้าไม่มีเป้ายิงลำบาก
มันจะหลุดทางจนกู่ไม่กลับ
ถ้าเป้าผมนั่งหลับตาอย่างน้อยวันละ5นาที10นาทีพอ55

 

งานทางธรรมะสวนทางกับกระแสทางโลก
เช่นเดียวกับขบวนรถไฟแล่นสวนกัน555

 

ผ่าง! ภาวังค์ ได้หมดเป่า. คำถามแบบนี้
ต้องถาม ขาแจม. ถึงจะเปนกอง. อาทมาต

มาถามป๋ม. จะได้คำตอบ "แนวตัดตอต่อบุพผา"

เสียเวลาไปอีกชาติ

ถ้าจะให้ มู้ว์ ตามที่เคยได้ยิน

พระท่านจะกล่าวว่า อรหันต์ไม่มี "ภวังจิต"

อภิธรรม จะกล่าวว่า. ไม่มีปัญจทวาวัชนะ
มีแต่ ฌาณจิต(ภวังคจลนะ). ตลอด

งง. เป่า

จะไม่งง. ถ้า. อ่านคำสอนหลวงปู่เทสก์
( เพราะ ท่านเปนคนบัญญัติคำแต่งใหม่
ภวังคจลนะ เข้ามาในสมัยนี้ )

สารุป. ถ้า พุทธวจนะ ตึง ตึง. ตึง ...

จะเน้นห่างไกลข้าศึก. ภ ภ ภ ภ ภ ภ
( 6 ขณะ หรือ ต้อง 7. หว่า อันนี้
อภิธรรม ลูกชิ้น. ยุ่ง ตุงนัง พิสูจน
ไม่ได้ จำไว้ไม่เสีย. -- ขาแจมจะ
แก้เองหว่ะ --- ฌาณแฌณ ไม่ควร
กลัวกุสล. แต่ต้องกำหนดฮู้ลุกเกลียว)

อ้อ ถ้าไม่ขอขาแจม. จะได้ กระโถน
ผู้เฒ่าวัดป่ามแก้ ...,....แหะแหะ น่ากลัว

 

ข้าพเจ้าขออนุโมทนาในธรรมทุกท่านด้วยความเคารพครับ

ข้าพเจ้าขออนุญาตออกความเห็นเล็กๆน้อยๆระหว่างรอคุณธรรมชาติมาตอบให้นะครับ

กายในถ้าหมายถึงกายทิพย์ ก็จะเป็นลักษณะการไปเห็นในอีกมิติหนึ่ง ถ้าเปรียบไป ตาทิพย์หรือมโนมยิทธิก็คือการมองเห็นเชียงใหม่ในทีวี แต่การถอดกายทิพย์เหมือนการไปยืนอยู่ที่เชียงใหม่เลย

มันมีทั้งประโยชน์และโทษ หากการมีฤทธิ์ใดๆเพื่อความสนุกเพลิดเพลิน เพื่อกิเลส ก็เป็นโทษ
แต่หากการมีฤทธิ์ใดๆเพื่อให้เข้าใจในธรรมต่างๆ เพื่อให้มีศรัทธามากขึ้น ก็เป็นประโยชน์

แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ไม่ว่าฤทธิ์อำนาจใดๆ หรือความรู้ใดๆ ที่เรามีหรืออาจจะมีต่อไป ให้ระลึกไว้เสมอว่า ไม่ว่าจะมีฤทธิ์มากเป็นหนึ่งใน 3 ภพ มีความรู้ที่มากกว่าผู้ใด เมื่อถึงจุดหมายปลายทางก็ต้องทิ้งไว้ทั้งหมด เปรียบเหมือนเราตายไปจากโลก ของทุกอย่างที่มีก็ต้องคืนโลกไปหมด เพราะเมื่อถึง ณ.ที่นั้นแล้ว มันไม่มีอะไรที่จะต้องใช้อีกแล้ว
(ยิ่งมีมากยิ่งยากนาน)

หากอยากถึงจริงก็ให้ปฏิบัติต่อไปอย่างแน่วแน่มั่นคงและจริงจัง หากยังโลเลเหลวไหล ห่วงนั่นพะวงนี่อยู่ก็ตายเกิดวนอยู่อย่างนี้ต่อไป(อันนี้ครูบาอาจารย์ท่านมาเตือนข้าพเจ้าครับ ขอเสริมนิดหน่อยครับ)

เอิ่ม ข้าพเจ้าขออนุญาตถามนิดนึงครับ พอมีใครทราบบ้างมั้ยครับว่า ยักษ์ที่เฝ้าประตูทางทิศประจิม ชื่อว่าอะไรครับ หาข้อมูลไม่มีครับ(ขออนุญาตนอกเรื่องครับ)

ขอให้เจริญในธรรมยิ่งๆขึ้นไปทุกท่านครับ

 

ยับ ปะ จุ๋ม

จะ พับได้ ต้อง ปะ อิ๋ม


ปล. บ่นเรื่อยเปื่อย ไม่ได้ตอบ
โจทย์อะไร

 

จิตใครจิตมัน แก้ให้กันไม่ได้
ภวังค์มันไม่ก้ำไม่เกินกันหรอก
ฟังคำพระโลด

 

แป่ว.....

งั้นต้องให้ ปิกัดจู ไว้เปนเพื่อนสังเกต

ปิกัดจู จะ สว่างวาบแล้ว ดับ

จะเข้าซ้อนกี่ชั้น ปลิ้นไป ด้วยความ
โลดโผนกี่ชั้น ก้แต้แด่ ยังไง ก็ดับ

แต่บอกก่อนนะว่า

พอตามเหนความดับ จะได้แค่ โคภู

เหมือนว่า จะไม่ช่วยให้ขนหัวตั้ง

ซึ่งพระท่าน ท่านจะเน้น ขนหัวตั้ง
น่ากลัว สลดสังเวช ....ซึ่งเปนรส
ที่ ป๋มฮู้น้อย ไม่ได้ชิม ได้แค่เออะ

 

โหลๆ
ดิจิมอนเห็นพิกัดแล้วเลี้ยวเลย...เจอกันในวัด

 

ตื่นเช้าอากาศค่อยเย็นขึ้นมาหน่อย

 

ตื่นมาเช้าๆ สิได้เห็นความเป็นไปของโลก..

ควมสงัด เฮ็ดให้ จิตใจ ผ่องใส ควรแก่การงาน..

พิจารณาโลก พิจารณาธรรม..

 

ชวนเขาเข้าวัด เน้นแนะนำการปฏิบัติ นะ..

ไม่ใช่จะชวนเขา บริจาค สละทรัพย์ แต่ถ่ายเดียว..


กระแซะ นิดๆ55555

 

ดูก่อนท่านผู้เจริญ...

นักปฏิบัตินั้นย่อม เป็นผู้รู้จักเกื้อหนุน เกื้อกูล ผู้อื่น อันไหนเป็นการชี้ทาง ก็ควรชี้บอก อันไหนเป็นประโยชน์ต่อผู้อื่น ก็ ควรลงมือทำ ด้วยความเต็มใจ บริสุทธิ์ใจ..

ควรชี้บอกทางเป็นระยะๆ ไม่ใช่จะมา คะเต คะเต ฯ อย่างเดียว..

 

ดูก่อนท่านผู้มีปัญญา..

ไม่ว่าพระว่าเณร หรือ ฆราวาส ก็เป็นเพื่อนร่วมทุกข์ ร่วมเกิดแก่เจ็บตาย ด้วยกันทั้งสิ้น..

บนโลกใบนี้ ล้วนเป็นสิ่งสมมุติ ไม่ควรยึดมั่นถือมั่น อย่ายึดติดในเครื่องแต่งกายมากนัก..

ทุกสรรพสิ่งมันไม่มีอยู่จริง เป็นเหมือนดังหมอกควัน..

 

เกิดผมcosplay เป็นพระจะบาปไม่นิครับ

 

อลัชชี..

 

+++ จริง ๆ แล้ว ใครจะตอบก็ตอบไป ไม่ต้องรอนะ ช่วงนี้ ธุระค่อนข้างแยะ
+++ เขา quote ใครก็คือ "คุย" กับผู้นั้น ตรงนี้เป็นประเพณี ที่รู้กัน

+++ ที่เรียกกันว่า "กายทิพย์" (ภาษาสักสิด) จริง ๆ มันไม่ได้ "ทิพย์" อะไรเลย
+++ มันเป็นเพียง "กายละเอียด (สุขุมรูป)" เฉย ๆ ละเอียดกว่า "กายเนื้อ" เท่านั้นเอง
+++ จะใช้ภาษาเพียงคำว่า "เป็นลักษณะการไปเห็นในอีกมิติหนึ่ง" ยังไม่ตรง
+++ ภาษาที่ตรง คือ "เป็นการไป "เป็น" ในอีกมิติหนึ่ง" มีลักษณะ "มีชีวิตอยู่" ครบ

+++ อย่าไปสับสนกับ "กายในกาย" นะ มันคนละกรณี ขี้เกียจอธิบาย มันยาว...

+++ ตาทิพย์ หรือ ทิพย์จักษุ คือ "ตัวดู มันเห็๋น" สั้น ๆ แค่นี้นะ

+++ มโนมยิทธิ ตามพระไตรปิฏก คือ การ "กำหนดรูปนิมิต จากกายตน" ตามนี้

http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/r.php?B=9&A=2516
ภิกษุนั้น ย่อมโน้มน้อมจิตไปเพื่อนิรมิตรูปอันเกิดแต่ใจ คือ นิรมิตกายอื่นจากกายนี้

+++ นิรมิตกายอื่น คือ "อีกกายหนึ่ง จากกายตน" นอกนั้น ไม่ใช่ที่ระบุใน พระไตรปิฏก
+++ ภาษาปัจจุบัณคือ Cloning ขึ้นมาอีกตัวหนึ่ง เฉพาะตรงนี้ กาย Cloning จึงเป็น กายมโนมยิทธิ
+++ เป็นเบื้องต้นของ "1 ตน 2 กาย" คุณ Supop ทำได้เมื่อไรก็จะ "เข้าใจ 1 กายเป็น Multiple Cloning ได้"
+++ แค่นี้พอนะ

+++ ตรงนี้ "ใช่" ภาษาปัจจุบัณ ตือ Teleportation เป็น "กายเดียวตนเดียว" คุณ Supop ไม่ยากนะ

+++ มันมีเรื่องเดียวแหละ คือ "เข้าใจรู้แจ้ง ว่า นี่แหละ" สร้าง/เป็น/ใช้/วาง "สักกายทิฏฐิ"
+++ ถ้าไม่ผ่านเรื่องเหล่านี้ "ด้วยตน" มันจะไปรู้เรื่อง "ความเป็นอยู่ของตน (ขาติภพ) ในกายต่าง ๆ" ไม่ได้
+++ นอกจาก Multiple Cloning ในเรื่อง กาย หยาบละเอียดต่าง ๆ แล้ว มันยังเกี่ยวกับ Environment (ภูมิ) ด้วย
+++ การทำ Teleportation ของความเป็นตน ไปมาใน Multiple Clone จะชัดเจนใน สักกายะ ได้ดี

+++ ถ้าเป็น "มโนเอาเอง" มันจะเพลิน แต่ถ้า "ทำได้จริง" พอเข้าใจรู้แจ้งแล้ว "มันย่อมวางของมันไปเอง" ตรงนี้ต่างกัน

+++ ใน google หากจะระบุถึง จาตุโลกบาลแล้ว ท้าววิรูปักษ์ รักษาโลกด้านทิศประจิมหรือทิศตะวันตก
+++ คงไม่เกี่ยวกับ "ยักษ์ที่เฝ้าประตูวัด ทางทิศประจิม" นะ มันแยะ หลายวัด วัดใครวัดมันนะ 555

+++ ถ้าคุณ Supop เจอยักษ์ตนนั้น ก็ช่วยถามด้วยนะว่า
+++ ไอ้เจ้าโควิด นี้ มันใช่เชื้อโบราณ แล้วพอโลกร้อนขึ้น
+++ มันก็เลยโผล่มาพร้อมวิวัฒนาการตัวมันให้เป็น เชื้อรุ่นใหม่ หรือเปล่านะ
+++ ถามดูเล่น ๆ เฉย ๆ ไม่มีอะไรหรอก

 

ถ้าเข้าวัดคงเกาไม่ถุกทีหน่าค้าบ ถุกทางผมคงข่มอารมให้ยุ