ติดตามสถานะการณ์

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย สุกิจSukit, 8 มิถุนายน 2013.

  1. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,797
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Bank of Thailand Scholarship Students

    PSX_20200531_202001.jpg

    (May 30) Facebook ยืนยัน ไม่ลบ-ซ่อนโพสต์ของ Trump แบบเดียวกับ Twitter เพราะไม่ผิดกฎ : จากกรณี Twitter ซ่อนโพสต์ของ Donald Trump เนื่องจากผิดข้อตกลงใช้งาน จนทำให้ Trump เซ็นคำสั่งละเว้นการคุ้มครองบริการโซเชียลมีเดียทั้งหมด

    ฝั่งของ Facebook ก็มีความเคลื่อนไหว โดย Mark Zuckerberg ออกมาโพสต์แสดงจุดยืนว่าจะไม่เซ็นเซอร์โพสต์ของ Trump แบบเดียวกับที่ Twitter ทำ

    Zuckerberg ยอมรับว่าโพสต์ของ Trump อ้างถึงเหตุการณ์ความรุนแรงในอดีตจริง และมีคนไม่พอใจโพสต์นี้มาก แต่ในอีกด้าน ประชาชนก็มีสิทธิรับรู้ว่ารัฐบาลมีแผนการจะทำอะไรบ้าง (Trump โพสต์ว่าจะส่งทหาร National Guard ไปรักษาความสงบที่เมือง Minneapolis ที่มีเหตุประท้วง) และภายหลัง Trump ก็โพสต์อีกรอบ ขยายความว่าโพสต์แรกเรื่องการส่งทหารเป็น "คำเตือน" หากเหตุการณ์ควบคุมไม่ได้

    จากปัจจัยทั้งหมด Facebook ตัดสินใจว่าโพสต์ของ Trump ยังไม่ละเมิดกฎของแพลตฟอร์มเรื่องความรุนแรง และควรให้ประชาชนรับทราบ อีกทั้ง Facebook ไม่มีนโยบายแปะป้ายเตือนแบบเดียวกับ Twitter เพราะมองว่าควรมีทางเลือกแค่เพียงลบหรือไม่ลบเท่านั้น

    Zuckerberg บอกว่าส่วนตัวแล้วเขาไม่เห็นด้วยกับที่ Trump โพส์ แต่ก็เชื่อว่าประชาชนควรมีสิทธิเห็นโพสต์นี้เพื่อตัดสินใจเอาเองว่าควรเชื่ออะไร

    เว็บไซต์ The Verge อ้างข้อมูลจากโพสต์ภายในบริษัท Facebook ที่หลุดออกมา ว่านโยบายของ Facebook ที่ยืนยันว่าไม่ยุ่งเกี่ยวกับเนื้อหาที่นักการเมืองโพสต์ ส่งผลให้พนักงานของบริษัทไม่พอใจ

    ก่อนหน้านี้ พนักงาน Facebook กลุ่มหนึ่งก็เคยเข้าชื่อกันประท้วงฝ่ายบริหารต่อนโยบายนี้

    Source: blognone.com
    https://www.blognone.com/node/116651

    - Leaked posts show Facebook employees asking the company to remove Trump’s threat of violence
    https://www.theverge.com/2020/5/29/21275044/facebook-trump-tweets-employee-reaction-criticism
     
  2. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,797
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ลูกเห็บขนาดใหญ่ใน #Puglia ประเทศอิตาลี วันที่ 30 พฤษภาคม ผ่าน Rete Meteo Amatori
    FB_IMG_1590931686042.jpg
    Massive hailstorm in #Puglia ITALY, May 30. Via Rete Meteo Amatori

     
  3. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,797
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ‍♂️ #ไม่ใช่ว่าทุกการประท้วงจะต้องรุนแรง ! ผู้ประท้วงหลายร้อยคนที่เมือง Denver รัฐ Colorado ประเทศสหรัฐ ได้ประท้วงการประท้วงการเสียชีวิตของจอร์จ ฟลอยด์ โดยการนอนราบลงบนพื้นเป็นเวลา 9 นาที แทนเวลาที่ฟลอยด์โดนตำรวจกดเข่าลงที่คอ แล้วลุกขึ้นมาตะโกนว่า "I Can't Breath"

    วันนี้ทุกๆท่านอาจจะได้เห็นคลิปการประท้วงอย่างรุนแรงในเมืองต่างๆของสหรัฐ ไม่ว่าจะเป็นการจุดไฟเผาตึก การปล้นร้านค้า การประทะกับตำรวจ มากหลายคลิปแล้ว แต่ไม่ใช่ว่าทุกการประท้วงต่อการเหยียดสีผิวในสหรัฐนั้นจะต้องใช้ความรุนแรง

    ในคลิปที่เราแนบไว้ในคอมเม้นท์หรือในรูปจะเห็นได้ว่าผู้คนหลายร้อยคนในเมือง Denver รัฐ Colorado ได้นอนราบลงบนพื้นหญ้าและคอนกรีตไม่ว่ามันจะร้อนแค่ไหน และได้หยุดนิ่งเป็นเวลา 9 นาทีเท่ากับเวลาที่ฟลอยด์โดนตำรวจกดเข่าลงที่คออย่างทารุณ และสุดท้ายก็ลุกขึ้นมาตะโกนพร้อมกันว่า "ผมหายใจไม่ออก" แทนคำสุดท้ายที่ฟลอยด์ได้ใช้บอกตำรวจก่อนที่จะเสียชีวิตไปอย่างน่าสะเทือนใจ

    #ขอเป็นกำลังใจ ให้กับกลุ่มผุ้ประท้วงที่รักษาความสงบนะครับ

    แต่... อย่างไรก็ตามดูเหมือนว่าคำว่า "Social Distancing" จะเป็นที่ลืมกันไปแล้วในสหรัฐ และหลายๆฝ่ายดูจะไม่กลัวการแพรระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่คร่าชีวิตคนอเมริกันไปแล้วกว่า 1 แสนรายและกำลังกระจายตัวอยู่เรื่อยๆในปัจจุบัน

    ทางเราได้อัพเดทคลิปหรือสถานการณ์ย่อยๆต่างๆของการประท้วงที่สหรัฐ #ไว้ในคอมเม้นท์ นะครับ ทุกท่านลองกดลงไปอ่านดูได้เรื่อยๆเลย

    ⛔️ ท่านใดไม่อยากพลาดข่าวสารในตลาดจากทีมงาน แนะนำให้กด Like ที่โพสต์เรื่อยๆ หรือกดตั้งค่า “เห็นโพสต์ก่อน” หรือ See First ไว้ที่เมนูมุมขวาบนของเพจได้เลยครับ ไม่งั้นทาง Facebook จะไม่ค่อยแสดงโพสต์ของทีมเราที่อัพเดทใหม่ๆครับ

    #ทันโลกกับKP

     
  4. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,797
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ด่วน ! กลุ่มโอเปกเหมือนจะตกลงเรื่องยืดเวลาการลดกำลังการผลิตน้ำมันออกไปอีกกันได้นอกรอบแล้ว ! และอาจมีการเลื่อนประชุมในวันที่ 9 มิถุนายนนี้มาเป็นอาทิตย์นี้เลย ! หากเป็นจริง #ราคาน้ำมันอาจขึ้นได้อย่างต่อเนื่อง

    มีข่าวรายงานด่วนมาว่ากลุ่มโอเปกและพันธมิตรได้ตกลงกันในเบื้องต้นได้แล้วว่าจะยืดเวลาการลดกำลังการผลิตออกไปอีก ! เหลือแต่ว่าจะตกลงกันที่เป็นเวลา 3 เดือนหรือ 6 เดือนดี

    ในปัจจุบันนั้นทางโอเปกและพันธมิตรทั่วโลกตกลงที่จะลดกำลังการลิตรวมกันกับที่ 9.7 ล้านบาร์เรลต่อวันในเดือนพฤษภาคมและมิถุนายน ก่อนที่จะลดปริมาณการผลิตลงมาเป็น 7.7 ล้านบาร์เรลต่อวันในเดือนกรกฎาคมเป็นต้นไปจนถึงสิ้นปี เพราะคาดว่าการใช้น้ำมันจะเริ่มทยอยกลับมาแล้วจึงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องลดกำลังการผลิตไปมากกว่านี้

    แต่การที่ราคาน้ำมันนั้นกำลังดีดขึ้นกลับมาอย่างรวดเร็วนั้นทำให้กลุ่มโอเปกอย่างมาก และหลายประเทศในกลุ่มโอเปกจึงต้องการจะขยายเวลาในการลดกำลังการผลิตที่ 9.7 ล้านบาร์เรลต่อวันนี้ออกไปอีก หากยืดออกไปอีก 3 เดือนก็คือถึงเดือนกันยายน แต่หากยืดออกไปอีก 6 เดือนก็คืนจนถึงสิ้นปี

    ไม่ว่าจะยืดเวลานานเท่าไหร่แต่หากมีการตกลังกันได้และเลื่อนเวลาการประชุมจากวันที่ 9 มิถุนายนนี้มาเป็นอาทิตย์นี้จริงๆ จะเป็นผลบวกต่อตลาดน้ำมันอย่างมาก

    ทางเพจเพิ่งเขียนบทความวิเคราะห์เจาะลึกทิศทางตลาดน้ำมันไปเมื่อเย็นวันนี้ ว่านอกจากการประชุมโอเปกแล้วมีอะไรอย่างอื่นที่ต้องติดตามกันในตลาดบ้าง ลองอ่านดูได้จากลิ้งค์ในคอมเม้นท์เลยครับ

    ⛔️ ท่านใดไม่อยากพลาดข่าวสารในตลาดจากทีมงาน แนะนำให้กด Like ที่โพสต์เรื่อยๆ หรือกดตั้งค่า “เห็นโพสต์ก่อน” หรือ See First ไว้ที่เมนูมุมขวาบนของเพจได้เลยครับ ไม่งั้นทาง Facebook จะไม่ค่อยแสดงโพสต์ของทีมเราที่อัพเดทใหม่ๆครับ

    #ทันโลกกับKP #OilTraderKP

     
  5. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,797
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ราคาน้ำมันนั้นได้ค่อยๆทยอยปรับตัวสูงขึ้นมาตลอดเดือนพฤษภาคม โดยราคาน้ำมันดิบ Brent ได้ไต่ขึ้นมาประมาณ +70% จากระดับ 22 เหรียญช่วงต้นเดือนก่อนที่จะมาปิดเดือนที่ระดับ 37 เหรียญ

    โดยเหตุผลหลักๆที่ทำให้ราคาน้ำมันนั้นดีดตัวขึ้นมาก็มีอยุ่ 2 อย่างด้วยกันคือ

    1️⃣ การทยอยกลับมาผ่อนคลายนโยบาย Lockdown ของเมืองต่างๆทั่วโลกช่วยกระตุ้นให้การใช้น้ำมันดีดกลับขึ้นมาเร็วกว่าที่คาด

    2️⃣ ทางกลุ่มผู้ผลิตน้ำมันรวมพลังกันลดการผลิตได้สูงและเร็วกว่าที่คาดไว้ ! โดยภายในเพียง 1 เดือนที่เริ่มลดการผลิต อุปทานน้ำมันทั่วโลกได้หายไปแล้วกว่า 15%

    แต่คำถามที่สำคัญกว่าต่อไปนี้คือ #ราคาน้ำมันจะยังเป็นขาขึ้นอยู่ต่อไปไหม ?

    ต้องบอกก่อนว่าตลาดน้ำมันตอนนี้นั้นคาดเดาทิศทางได้ยากกว่าตลาดหุ้น เพราะตลาดหุ้นหลักๆตอนนี้นั้นกำลังขึ้นอยู่กับการระบาดของไวรัสว่าจะมีเฟสสองหรือไม่เป็นหลัก (น่าจะประมาณ 75%) ส่วนเรื่องของความตึงเครียดระหว่างสหรัฐและจีน การประท้วงในสหรัฐต่างๆที่เกิด หรือนโยบายทางการเงินต่างๆนั้นน่าจะเป็นอีก 25% ที่เหลือ

    ในขณะที่ #ราคาน้ำมันนั้นตอนนี้ตัวแปรมีมากกว่าเยอะ เพราะการระบาดของไวรัสนั้นน่าจะมีผลกระทบไม่ถึงครึ่งของตลาดน้ำมันในตอนนี้ เพราะตลาดกำลังจะเปลี่ยนโฟกัสไปที่ด้านอุปทานแทน ซึ่งน่าจะมีผลกระทบต่อราคามากกว่า 50% โดยเฉพาะทางกลุ่มโอเปกและพันธมิตรกำลังจะมีการประชุมใหญ่กันในวันที่ 9 มิถุนายนนี้

    ในการวิเคราะห์ว่ากลุ่มโอเปกและพันธมิตรจะมีนโยบายอย่างในการประชุมนั้น ยากกว่าการจะคาดเดาตัวเลขของการระบาดที่เริ่มจะนิ่งๆแล้วอยู่แล้วสูงมาก เพราะเราไม่มีทางรู้ได้เลยว่าผู้นำแต่ละประเทศนั้นวางแผนอะไรไว้บ้างและการตัดสินใจของคนเรานั้นเปลี่ยนได้ตลอดเวลา ต่างจากไวรัสที่หากพยายามควบคุมไว้เราก็พอกำหนดมันได้

    โดยเฉพาะในช่วงเดือนหลังๆที่สมาชิกทางกลุ่มโอเปกแต่ละประเทศนั้นต่างมีมุมมองที่แตกต่างกันไป จนเราเคยเห็นการเดินออกจากการประชุมกลางคันของรัสเซีย และก่อให้เกิดสงครามราคาน้ำมันอย่างคาดไม่ถึง และนี่คือสาเหตุว่าทำไม #ดัชนีความผันผวนของราคาน้ำมัน ถึงยังเทรดอยู่สูงกว่า VIX ของตลาดหุ้นอยู่ถึง 3 เท่า

    ตลาดส่วนใหญ่นั้นมองว่าโอเปกจะยืดเวลาการลดการผลิตออกไปจนถึงสิ้นปี

    ในปัจจุบันนั้นทางโอเปกและพันธมิตรทั่วโลกตกลงที่จะลดกำลังการลิตรวมกันกับที่ 9.7 ล้านบาร์เรลต่อวันในเดือนพฤษภาคมและมิถุนายน ก่อนที่จะลดปริมาณการผลิตลงมาเป็น 7.7 ล้านบาร์เรลต่อวันในเดือนกรกฎาคมเป็นต้นไปจนถึงสิ้นปี เพราะคาดว่าการใช้น้ำมันจะเริ่มทยอยกลับมาแล้วจึงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องลดกำลังการผลิตไปมากกว่านี้

    แต่ล่าสุดนั้นข่าวเริ่มออกมาหนาหูมากๆว่า การที่ราคาน้ำมันนั้นกำลังดีดขึ้นกลับมาอย่างรวดเร็วนั้นเป็นที่น่าพอใจสำหรับกลุ่มโอเปกอย่างมาก ทางพี่ใหญ่ของกลุ่มอย่างซาอุดิอาระเบียและหลายประเทศในกลุ่มโอเปกจึงต้องการจะขยายเวลาในการลดกำลังการผลิตที่ 9.7 ล้านบาร์เรลต่อวันนี้ออกไปจนถึงสิ้นปี #หากเป็นแบบนั้นจริงราคาน้ำมันจะขึ้นอย่างต่อเนื่องแน่ๆ

    เราคงไม่สามารถคาดเดาการตัดสินใจของโอเปกได้ แต่ยังมีอย่างอื่นที่เราพอวิเคราะห์ได้

    หากกลุ่มโอเปกลดกำลังการผลิตต่อไปถึงสิ้นปีนั้นราคาน้ำมันจะขึ้นแน่ๆ แต่ถ้าการประชุมมีมติที่จะคงแผนลดการผลิตเหมือนเดิมราคาน้ำมันก็จะโดนเทขายลงมาอย่างแน่นอน แต่ในการวิเคราะห์วันนี้เราจะขอถอดตัวแปรนี้ออกก่อนถึงแม้ว่ามันจะเป็นตัวแปรที่ใหญ่ที่สุดในตลาด

    แต่สิ่งนึงที่ทำให้การวิเคราะห์น้ำมันนั้นจับต้องได้คือการวิเคราะห์จากมุมการใช้น้ำมันจริงๆ

    #ตลาดน้ำมันนั้นแบ่งออกได้ เป็น 3 ส่วน

    1️⃣ ราคาน้ำมันดิบที่ขึ้นลง
    2️⃣ ราคาซื้อขายน้ำมันดิบล่วงหน้า
    3️⃣ ราคาส่วนต่างของน้ำมันดิบและน้ำมันสำเร็จรูป (ค่าการกลั่น)

    เราคงต้องทำความเข้าใจความเชื่องโยงของตลาดทั้งสามก่อนถึงจะวิเคราะห์ต่อไปได้ โดยหากจะพูดถึงความรวดเร็วของราคาที่เปลี่ยนแปลงไปจากสภาพตลาดที่ดีขึ้นนั้นเราจะไล่เรียงลำดับได้จาก 1️⃣ ไป 3️⃣

    เราจะเห็นได้ว่านับตั้งแต่การใช้เริ่มแสดงสัญญาณว่าจะกลับมา 1️⃣ ราคาน้ำมันดิบ เป็นสิ่งแรกที่พุ่งขึ้นมาก่อน เพราะตลาดนี้เป็นตลาดที่เงินทุนเข้าถึงได้เร็วที่สุด กองทุนเก็งกำไรเข้าซื้อสัญญาน้ำมันดิบ Futures ได้ พวกนักลงทุนรายย่อยต่างก็ใส่เงินเข้ามาผ่านกองทุนน้ำมันได้ ทำให้ราคานี้มีความเคลื่อนไหวได้เร็วที่สุด

    ต่อมา 2️⃣ ราคาซื้อขายน้ำมันดิบล่วงหน้า จะเป็นราคาที่สองที่ขยับเพราะเทรดเดอร์น้ำมันดิบทั่วโลกก็จ้องที่จะเก็งกำไรจากตลาดที่กำลังฟื้นกลับมา พอเห็นสัญญาณราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้นเทรดเดอร์น้ำมันดิบจึงกว้านซื้อเรือที่พร้อมส่งมอบน้ำมันในระยะสั้นเพื่อเก็งกำไร ทำให้ตอนนี้ส่วนต่างราคาล่วงหน้าที่เคยเป็น Contango ที่ลึกมากกำลังปรับตัวกลับไปเป็น Backwardation แล้ว อย่างที่ทางเพจได้วิเคราะห์ไปบ่อยๆ

    และแล้วสุดท้าย หากการใช้กลับขึ้นมาจริงๆ เราจะเห็นว่า 3️⃣ ราคาส่วนต่างของน้ำมันดิบและน้ำมันสำเร็จรูป (ค่าการกลั่น) จะเป็นสิ่งสุดท้ายที่ทยอยปรับขึ้น เพราะความต้องการใช้น้ำมันสำเร็จรูปจากปลายทาง เช่นการเดินทาง การขนส่ง การผลิตต่างๆจะทำให้ราคาน้ำมันสำเร็จรูปปรับตัวสูงขึ้น ไม่ใช่เพราะเงินทุนต่างๆในตลาดที่ไหลเข้าไป

    แต่สิ่งที่น่าสนใจในตลาดตอนนี้คือ #ค่าการกลั่นไม่ได้ปรับตัวขึ้นมาตามราคาน้ำมันดิบ หรือราคาซื้อขายน้ำมันดิบล่วงหน้า

    อันนี้เป็นจุดที่น่าเป็นห่วงว่าเงินที่ไหลเข้ามาในตลาดและการเก็งกำไรของเทรดเดอร์น้ำมันดิบนั้นจะเป็นไปตามจริงไหม ? เพราะถ้าสุดท้ายการใช้น้ำมันไม่ได้ทำให้ราคาน้ำมันสำเร็จรูปสูงขึ้นได้จริงๆ ราคาน้ำมันดิบก็จะต้องโดนเทขายลงไปใหม่

    ผ่านมา 1 เดือนแล้วที่ราคาน้ำมันดิบและราคาซื้อขายล่วงหน้ากำลังปรับตัวสูงขึ้น ตลาดน้ำมันดิบหลายตลาดกำลังจะกลับตัวเป็น Backwardation แล้ว #แต่ราคาค่าการกลั่นนั้นปรับตัวขึ้นมาน้อยมากๆ ! นี่ไม่ใช่สัญญาณที่ดีเลยครับ

    เหตุผลอาจจะเป็นไปได้สองทางคือ 1) การใช้ยังไม่ได้กลับมาเท่าที่คาดจริงๆ หรือ 2) ตลาดอาจมีสต็อกเหลือล้นมากอยู่

    แต่ไม่ว่าจะเป็นเพราะเหตุผลไหนก็ตามหากค่าการกลั่นยังไม่ดีขึ้นเรื่อยๆโรงกลั่นต่างๆก็จะต้องหยุดหรือลดการผลิตลงเพราะไม่สามารถดำเนินการได้อย่างคุ้มค่า และสุดท้ายหากโรงกลั่นไม่ซื้อน้ำมันดิบ ความมต้องการใช้น้ำมันดิบก็จะลดลง เทรดเดอร์น้ำมันดิบทั่วโลกก็ต้องขายเรือน้ำมันที่เก็งกำไรนั้นออกมา ตลาดก็จะกลับไป Contango มากขึ้นอีกครั้ง และเงินกองทุนต่างๆที่เก็งกำไรราคาน้ำมันไว้ก็จะโดนบีบให้เทขายออกมาอีกครั้งเพราะปัจจัยพื้นฐานไม่ได้ดีอย่างที่คาด

    การที่ราคาน้ำมันจะขึ้นอย่างยั่งยืนได้นั้นจะต้องมากจากการที่ค่าการกลั่นเป็นตัวนำ

    เราจะเห็นได้ว่าหากราคาน้ำมันดิบจะขึ้นจากเหตุการณ์ความไม่สงบต่างๆนั้นราคาจะทรงอยู่ได้ไม่นานเลยเพราะมันเป็นปัจจัยในระยะสั้น แต่หากราคาจะทรงอยู่ได้นานๆนั้นจะต้องเกิดจากค่าการกลั่นหรือการใช้น้ำมันปลายทางเป็นตัวดึง หรือเป็นที่รู้จักกันในคำว่า Demand Pull ถ้าเป็นแบบนี้ราคาน้ำมันก็จะอยู่ในระดับสูงได้นาน

    #สรุป - ราคาน้ำมันดิบในระยะสั้นจะยังคงขึ้นอยู่กับการประชุมโอเปกเป็นหลัก รองลงมาคือการระบาดของไวรัสและการกลับมาเปิดเมืองหรือการเดินทางระหว่างประเทศ

    แต่หากเราจะคงปัจจัยต่างๆด้านบนไว้ #ค่าการกลั่น จะเป็นตัวแปรที่สำคัญมากๆต่อการที่ราคาน้ำมันจะอยู่ในระดับสูงได้นานแค่ไหน หากภายในเดือนนี้ค่าการกลั่นยังไม่ปรับตัวสูงขึ้นอีก เราอาจจะได้เห็นการเทขายอีกครั้งถึงแม้ทางโอเปกจะพยายามพยุงราคาไว้ก็ตาม

    ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามเพจของเรานะครับ ฝากกด Like และ Share ให้แอดด้วยหากข้อมูลนี้มีประโยชน์นะครับ ขอบคุณมากๆครับ

    #ทันโลกกับKP #OilTraderKP

     
  6. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,797
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ตำรวจนิวยอร์กเหยียบคันเร่งรถเข้าชนกลุ่มผู้ประท้วงเรียกร้องความเป็นธรรมกรณีการเสียชีวิต "จอร์จ ฟลอยด์" ทำคนมะกันแห่เข้าชมคลิปหลายสิบล้านครั้ง ด้าน ปธน.ทรัมป์ ยังทวีตปกป้อง ชี้ตำรวจแค่ทำตามหน้าที่

    อ่านต่อ >https://news1live.com/detail/9630000056589
    ...........................................
    ● อีกช่องทางติดตาม NEWS1
    Line : http://nav.cx/4tvbDJ8
    Youtube : youtube.com/c/NEWS1VDO

     
  7. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,797
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ✈️ ถึงแม้ว่าหลายๆประเทศจะเริ่มเปิดเมืองกลับขึ้นมาใหม่อีกครั้ง แต่หากการบินระหว่างประเทศยังไม่สามารถกลับมาได้ใกล้เคียงเหมือนเดิม การจับจ่ายใช้สอยเพื่อกระตุ้นสภาพเศรษฐกิจก็คงยังไม่กลับมาอย่างเต็มที่ เพราะกำลังใช้จ่ายหลักๆของแต่ละประเทศโดยเฉพาะของไทยเรานั้นมาจากการท่องเที่ยวด้วย... ทำให้คำถามที่ว่า

    #การบินและการท่องเที่ยวจะกลับมาเป็นปกติได้เมื่อไหร่ ?

    เป็นคำถามที่ทุกคนกำลังรอคำตอยอยู่ในวันนี้ และทาง World Economic Forum ก็เพิ่งทำบทวิเคราะห์ถึงผลกระทบและแนวโน้มเรื่องนี้ออกมาอย่างละเอียดครับ

    #โดยมีรายละเอียดที่น่าสนใจต่างๆดังนี้ ‍✈️

    1️⃣ กำลังมีคนกว่า 100-120 ล้านคนทั่วโลกที่อาจตกงานเพราะการบินและการท่องเที่ยวยังไม่กลับมาเป็นปกติ

    เครื่องบินและโรงแรมต่างๆนั้นโดนปิดตัวหรือจอดเก็บไว้เป็นเวลา 2 เดือนแล้ว แต่สิ่งต่อไปที่กำลังตกอยู่ในอันตรายก็คือคนและอาชีพต่างๆในธุรกิจท่องเที่ยวและการบิน โดยทางองค์การท่องเที่ยวโลกหรือ World Tourism Organization (UNWTO) ได้ประเมินไว้ว่ามีคนที่เข้ากลุ่มเสี่ยงนี้อยู่สูงถึง 100-120 ล้านคนทั่วโลก

    2️⃣ การเดินทางทั่วโลกในปีนี้นั้นอาจหดตัวลงไปถึง 80% เลยทีเดียว มากกว่าที่เคยคาดการณ์ไว้อย่างมาก

    ทางองค์การท่องเที่ยวโลกเคยคาดการณ์ไว้เมื่อ 2 เดือนก่อนว่าการบินของทั่วโลกนั้นจะลดลง 30% ในปีนี้ แต่ล่าสุดได้ออกมาปรับลดการคาดการณ์ลงและมองว่าการเดินทางนั้นอาจหายไป 60-80% เป็นอย่างน้อย และตัวแปลที่สำคัญที่สุดก็คือนโยบายในการเปิดประเทศของรัฐบาลต่างๆทั่วโลกว่าจะเข้มข้นหรือผ่อนคลายแค่ไหน

    3️⃣ วิกฤตไวรัสโควิดนั้นเป็นวิกฤตที่รุนแรงที่สุดต่อการท่องเที่ยวทั่วโลกในรอบ 70 ปี !

    ภายในแค่ 3 เดือนแรกของปีนี้ เราได้มีผู้โดยสารเดินทางที่ลดลงไปมากถึง 67 ล้านคนทั่วโลกแล้ว และนี่ยังไม่นับช่วงไตรมาสที่ 2 ที่ผลกระทบจะหนักกว่าหลายเท่าจนคาดว่าจะมีการเดินทางลดลงและเสียโอกาศไปอีกมากกว่าหลายร้อยล้านคนทั่วโลกอย่างแน่นอน

    โดยเหตุผลเดียวที่ทำให้วิกฤตนี้รุนแรงที่สุดในรอบ 70 ปีนั้นเป็นเพียงเพราะทางองค์การท่องเที่ยวโลกเพิ่งเริ่มเก็บข้อมูลการเดินทางไว้ตั้งแต่ปี 1950 เท่านั้น ! แต่จะเรียกได้ว่านี่เป็น #หายนะต่อวงการท่องเที่ยวที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ เลยก็ว่าได้

    4️⃣ ทาง World Tourism Organization ได้ประเมินไว้ว่าการกลับมาของการบินนั้นจะแบ่งออกได้เป็น 3 สถานการณ์ด้วยกัน

    โดยเคสทั้งหมดนั้นหลักๆจะขึ้นอยู่กับเวลาที่รัฐบาลต่างๆพร้อมเปิดให้มีการบินระหว่างประเทศอีกครั้ง

    1) หากมีการค่อยๆเปิดเริ่มใน #เดือนกรกฎาคม - การเดินทางทั่วโลกจะหดไปเพียง -58% ในปีนี้ และจะกลับมาอยู่ที่เพียง -20% ภายในเดือนธันวาคม

    2) หากมีการค่อยๆเปิดเริ่มใน #เดือนกันยายน - การเดินทางทั่วโลกจะหดไป -70% ในปีนี้ และจะกลับมาอยู่ที่ -50% ภายในเดือนธันวาคม

    3) แต่หากการเปิดเริ่มใน #เดือนธันวาคม เลย - การเดินทางทั่วโลกจะหดไปโดยรวมถึง -78% ในปีนี้ และจะยังอยู่ที่ระดับ -80% ในช่วงสิ้นปี ไม่มีการกลับมาดีขึ้นมากนัก

    5️⃣ ความแตกต่างของเคสต่างๆนั้นจะมีมูลค่าเสียหายต่างกันถึง 1 ล้านล้านเหรียญสหรัฐเลยทีเดียว !

    โดยทางองค์การท่องเที่ยวโลกประเมินว่าจะมีความเสียหายเพิ่มขึ้นจากการกลับมาเปิดการบินในเดือนกรกฎาคมเทียบกับเดือนธันวาคมนั้นสูงถึง 0.9 - 1.2 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ จากจำนวนผู้เดินทางที่อาจต่างกันถึง 0.85 - 1.1 พันล้านคนทั่วโลก

    6️⃣ การเดินทางนั้นจะกลับมาแน่ๆ แต่อาจจะมาจากการบินในประเทศก่อน

    ทางองค์การท่องเที่ยวโลกประเมินว่าในเคสที่เป็นไปได้ที่สุดในแต่ละช่วงเวลาจะมีการบินในที่ต่างๆเพิ่มกลับขึ้นมาดังนี้ (กราฟแนบในคอมเม้นท์)

    1) ในเดือนพ.ค. - มิ.ย. เพิ่มขึ้นอีก = ในประเทศ 15% และระหว่างประเทศ 3%
    2) ในไตรมาสที่ 3 ปีนี้ เพิ่มขึ้นอีก = ในประเทศ 45% และระหว่างประเทศ 24%
    3) ในไตรมาสที่ 4 ปีนี้ เพิ่มขึ้นอีก = ในประเทศ 25% และระหว่างประเทศ 34%
    4) ในสิ้นปีหน้าทั้งปีนั้นจะเพิ่มขึ้นอีก = ในประเทศ 15% และระหว่างประเทศ 39%

    หรือแปลง่ายๆได้ว่าภายในสิ้นปีนี้ การเดินทางในประเทศทั่วโลกจะกลับมาอยู่ที่ 84% และระหว่างประเทศที่ 61% และภายในสิ้นปีหน้านั้นการเดินทางทั้งในประเทศและระหว่างประเทศทั่วโลกจะกลับมาอยู่ที่ 100% เหมือนเดิม

    7️⃣ องค์การท่องเที่ยวโลกมองว่าการกลับมาบินและท่องเที่ยวนั้น #จะกลับมาเหมือนเดิมภายในสิ้นปีหน้า

    ตัวเลขและมุมมองเหล่านี้นั้นถือว่าดีกว่านักวิเคราะห์อื่นๆ แม้แต่ทาง Warren Buffet นักลงทุนอันดับหนึ่งของโลกยังมองว่าการบินอาจจะไม่กลับมาเหมือนเดิมแล้ว หรือแม้แต่ผู้บริหารของ Boing ก็ยังมองว่าน่าจะเป็นช่วงปี 2022 หรือ 2023

    8️⃣ การเดินทางระหว่างประเทศจะเริ่มกลับมาที่ทวีปตะวันออกกลางก่อน

    องค์การท่องเที่ยวโลกมองว่าทวีปตะวันออกกลางจะเป็นทวีปแรกที่กลับมาเริ่มเดินทางก่อน และต่อมาก็เป็นทางเอเชีย และก็ต่อไปที่ทางยุโรป ส่วนแอฟริกานั้นอาจจะเป็นที่ก่อนสุดท้าย แต่ทางสหรัฐอเมริกานั้นน่าจะเป็นที่สุดท้ายแน่ๆ ที่จะมีการบินระะหว่างประเทศเกิดขึ้นอีกครั้ง

    โดยแต่ละทวีปจะมีการทยอยกลับมาบินระหว่างประเทศได้มากน้อยแค่ไหนหรือเริ่มในเดือนไหนนั้นทางเราแนบกราฟไว้ให้ในคอมเม้นท์แล้วครับ

    และนี่ก็คือภาพรวมของการคำจอบที่ว่า #การบินและการท่องเที่ยวทั่วโลกจะกลับมาเมื่อไหร่ ?

    โดยต้องบอกว่าทาง World Economic Forum และ World Tourism Organization ถือว่ามองโลกไว้ในแง่ดี (Optimism) มากๆ แต่ทางเราก็หวังว่าจะเป็นจริงเช่นนั้นเพื่อที่เศรษฐกิจของโลกและประเทศไทยจะได้กลับมาเดินหน้าอีกครั้ง แต่แน่นอนว่าต้องมากับมาตรการควบคุมที่ปลอดภัยด้วยครับ

    ⛔️ ท่านใดไม่อยากพลาดข่าวสารที่สำคัญในตลาดจากทีมงาน แนะนำให้กด Like ที่โพสต์เรื่อยๆ หรือกดตั้งค่า “เห็นโพสต์ก่อน” หรือ See First ไว้ที่เมนูมุมขวาบนของเพจได้เลยครับ ไม่งั้นทาง Facebook จะไม่ค่อยแสดงโพสต์ของทีมเราที่อัพเดทใหม่ๆครับ

    #ทันโลกกับKP

     
  8. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,797
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ⚠️ #การประท้วงเรื่องการเหยียดสีผิวในสหรัฐ ⚠️ ที่ลุกลามและรุนแรงขึ้นไปจนถึงหน้าทำเนียบขาว ที่พักและออฟฟิศของทรัมป์นั้น เป็นอีกหนึ่งหลักฐานว่าการประท้วงในครั้งนี้นั้นนไม่ใช่แค่เพียงการเรียกร้องความยุติธรรมให้ จอร์จ ฟลอยด์ อีกต่อไป !

    แต่กำลังเป็นโอกาสในการระบายความไม่พอใจต่อการบริหารงานของรัฐบาลในภาวะไวรัสโควิดระบาดครั้งใหญ่ด้วย ! หลังมีผู้คนตกงานกว่า 40 ล้านคนทั่วประเทศมีผู้ติดเชื้อมากที่สุดในโลกและกำลังเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ #ประชาชนกำลังเดือนร้อนกันไปทั่ว

    และอาจเป็นการแสดงให้ทรัมป์ทราบว่าไม่ใช่ทุกคนที่ต้องการผู้นำที่อาจเป็นผู้เหยียดสีผิวเอง

    การประท้วงนี้จะมีผลกระทบต่อผลต่อเศรษฐกิจและการเลือกตั้งของสหรัฐอย่างแน่นอน

    #ทันโลกกับKP

     
  9. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,797
    ค่าพลัง:
    +97,150
    กลายเป็นสถานการณ์ที่บานปลายจนยากเกินควบคุมแล้วสำหรับ การประท้วงในสหรัฐฯ เพื่อเรียกร้องความเป็นธรรมให้ จอร์จ ฟลอยด์ ชายผิวสีเหยื่อความรุนแรงของเจ้าหน้าที่ตำรวจในเมืองมินนิอาโปลิส
    .
    ล่าสุดม็อบเดือดกำลังลุกลามไปในกว่า 30 เมืองใหญ่ของสหรัฐฯ สถานการณ์ในหลายพื้นที่แปรเปลี่ยนเป็นการจลาจล และมีรายงานว่าเจ้าหน้าที่ถูกยิงเสียชีวิตแล้ว 1 นาย โดยกลุ่มผู้ประท้วงหลายร้อยคน ที่มารวมตัวกันในบริเวณสวนสาธารณะลาฟาแยต ด้านนอกทำเนียบขาวเมื่อช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ต่างชูถือป้ายที่มีความหมายว่า "ไม่มีความยุติธรรม ไม่มีวันสงบสุข"
    .
    การประท้วงดังกล่าว เป็นส่วนหนึ่งของกระแสความเคลื่อนไหวในสังคมที่กำลังแผ่ขยายวงกว้างอย่างน่ากลัวไปทั่วสหรัฐฯ และเป็นความคุกรุ่นที่เกิดขึ้นใกล้จะครบ 1 สัปดาห์ ประชาชนจำนวนมากได้ออกมาชุมนุมประท้วงหน้าสถานีตำรวจในเมืองมินนิอาโปลิส เพื่อเรียกร้องทวงความยุติธรรมให้กับนายจอร์จ ฟลอยด์ ชายผิวสี ที่ตกเป็นเหยื่อคนล่าสุดของการใช้ความรุนแรงเกินกว่าเหตุ โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจผิวขาว เขาเสียชีวิตหลังถูกจับกุมเมื่อวันที่ 25 พ.ค.
    .
    ซ้ำร้ายไปกว่านั้น คำพูด และท่าทีของโดนัลด์ ทรัมป์ เหมือนเป็นการสาดน้ำมันลงบนกองไฟ เมื่อเขาขยันโพสต์บนทวิตเตอร์เกี่ยวกับเรื่องราวที่เกิดขึ้น และยิ่งดูเหมือนเป็นการเหยียดหยันผู้ชุมนุม แบ่งแยก และสนับสนุนการใช้ความรุนแรงโดยผู้มีอำนาจ
    .
    สถานการณ์ประท้วงเริ่มตึงเครียด ปจนกลายเป็นเหตุรุนแรงจนเกิดจลาจล และมีผู้ฉวยโอกาสวางเพลิง เผารถ ปล้นร้านค้า จนตำรวจต้องตัดสินใจใช้กระสุนยาง และแก๊สน้ำตาสลายฝูงชน แต่แทนที่เหตุการณ์จะจบลง กลับกลายเป็นว่าการประท้วงในมินเนโซตา ได้จุดประกายให้เกิดกระแสการชุมนุมประท้วงทวงความเป็นธรรม และต่อต้านการเหยียดสีผิว ภายใต้แฮชแท็ก #JusticeForGeorgeFloyd (ทวงยุติธรรมให้จอร์จ ฟลอยด์)
    .
    ที่ตอนนี้ได้ลุกลามไปในกว่า 30 เมืองของหลายมลรัฐทั่วประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งบางแห่งเป็นเพียงการประท้วงอย่างสงบ แต่หลายแห่งก็เต็มไปด้วยความรุนแรงถึงขั้นจลาจล และดูจะไม่มีทีท่าที่จะจบลงได้ในเร็ววันนี้

    -------------------------------
    แหล่งข่าว

    https://usaviraltoday.com/2020-05-3...inst-mob-violence-33355/usa-vt-newsdesk-team/

    https://www.usatoday.com/story/news...outside-white-house-trump-florida/5293703002/

    https://www.thansettakij.com/conten...homepage_hilight&utm_medium=internal_referral
    -------------------------------
    ติดตามข้อมูลข่าวสาร รู้ไทย รู้โลก กับ Thailand Vision ได้ที่
    Facebook : https://www.facebook.com/thvi5ion
    Twitter : https://twitter.com/Thailand_vision
    Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCDeS2riffyohV9FW2QEWjHQ

     
  10. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,797
    ค่าพลัง:
    +97,150
    สำหรับใครที่ยังสงสัยว่าควรเปิดเมืองหรือไม่ ? โป๊ปฟรานซิสออกมาตอบอย่างชัดเจนแล้วว่า "#ชีวิตคนนั้นสำคัญกว่าเศรษฐกิจ"

    ในขณะที่รัฐบาลหลายประเทศกำลังถกเถียงกันอยู่ว่า ระหว่างก่อนผ่อนปรนมาตรการ Lock Down เพื่อให้เศรษฐกิจกลับมาเดินได้อีกครั้ง กับการยืดเวลาการควบคุมการระบาดของไวรัสอย่างเคร่งครัดออกไปนั้น อย่างไหนนั้นจะสำคัญกว่า ?

    ทางอิตาลีนั้นได้ค่อยๆผ่อนปรนมาตรการเรื่อยๆมาและในที่สุดวันนี้สมเด็จพระสันตะปาปาก็ได้ออกมาพบปะพูดคุยกับประชาชนเป็นครั้งแรกในรอบ 3 เดือน ! โดยวันนี้โป๊ปฟรานซิสได้กล่าวต่อหน้าผู้คนที่มาเยี่ยมจัตุรัส เซนต์ ปีเตอร์ส ซึ่งโดยปกติจะมีคนมานับวันละหลายหมื่นคน แต่วันนี้นั้นมีผู้คนอยู่เพียงเกือบพัน

    แต่สมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิส หรือโป๊ปฟรานซิสไม่ได้ติดใจอะไรที่คนไม่ได้ออกมาและได้กล่าวว่า "People more important than the economy" หรือ "แน่นอนว่า ชีวิตคนนั้นสำคัญกว่าเศรษฐกิจ"

    “Healing people, not saving (money) to help the economy (is important), healing people, who are more important than the economy,” โป๊ปฟรานซิสกล่าวต่อ หรือแปลได้ว่า "การช่วยเหลือและรักษาผู้คนมีความสำคัญกว่าการพยายามรักษาเศรษฐกิจ”

    ทุกท่านมีความเห็นอย่างไรต่อมุมมองนี้บ้างครับ ? เพราะผู้นำหลายประเทศอาจมีมุมมองที่ต่างกันอย่างสิ้นเชิง

    #ทันโลกกับKP

     
  11. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,797
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ผมหายใจไม่ออก ถึงลอนดอนแล้ว.....

    ชาวอังกฤษนับร้อยคนชุมนุมประท้วงต่อต้านการเหยียดสีผิว ในกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ

     
  12. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,797
    ค่าพลัง:
    +97,150
    สหรัฐเดือด! ม็อบจลาจล ลามทั่วสหรัฐฯ เคอร์ฟิวแล้ว 25 เมือง

    31 พ.ค.63 สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า สถานการณ์จลาจลรุนแรงในสหรัฐฯ ที่ลุกลามอย่างน้อย 30 เมืองทั่วประเทศ หลังชาวอเมริกันในเมืองมินนีแอโพลิส รัฐมินนิโซตา ลุกฮือก่อจลาจลอย่างดุเดือดด้วยความโกรธแค้นไม่พอใจเจ้าหน้าที่ตำรวจใช้ความรุนแรงเกินกว่าเหตุ

    ขณะจับกุมจอร์จ ฟลอยด์ ชายผิวสีวัย 46 ปี จนทำให้เสียชีวิตเมื่อวันจันทร์ที่ 25 พฤษภาคม ที่ผ่านมา ขณะที่ผู้ประท้วงยังต้องการให้ตำรวจที่ร่วมก่อเหตุทั้ง 4 นายที่โดนไล่ออกจากงาน และถูกตั้งข้อหาดำเนินคดีทั้งหมด ได้รับโทษตามกระบวนการยุติธรรม

    โดยขณะนี้ทางการอย่างน้อย 25 เมืองใน 16 รัฐของสหรัฐฯ ประกาศใช้มาตรการเคอร์ฟิวแล้ว เพื่อควบคุมสถานการณ์ที่ปะทุหนักตลอดทั้งสัปดาห์ และมีแนวโน้มที่จะทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น

    ด้านนายทิม วอลซ์ ผู้ว่าการรัฐมินนีโซตา ขอประชาชนไม่ออกมานอกบ้าน และลงนามในคำสั่งผู้บริหารเพื่ออนุญาตให้ใช้ทรัพยากรของรัฐที่อยู่ติดกันรวมถึงทรัพยากรจากเมืองและมณฑลใกล้เคียงมาระงับเหตุรุนแรงได้ จากที่ก่อนหน้านี้ได้ขอการสนับสนุนจากกองกำลังพิทักษ์ชาติเพื่อควบคุมเหตุการณ์ความไม่สงบในทวินซิตี้

    ส่วนที่พิตส์เบิร์ก ซึ่งเป็นพื้นที่ใช้มาตรการเคอร์ฟิวอีกแห่งหนึ่ง สำนักงานความปลอดภัยสาธารณะรายงานว่า มีเจ้าหน้าที่ตำรวจและผู้สื่อข่าวได้รับบาดเจ็บหลายคน ซึ่งทางสำนักงานยอมรับว่าไม่สามารถระบุจำนวนที่แน่ชัดได้

    และที่ฟิลาเดลเฟีย นายจิม เคนนี นายกเทศมนตรี ลงนามในคำสั่งผู้บริหารขยายเวลาบังคับใช้มาตรการเคอร์ฟิวต่อไปจนถึงเช้าวันจันทร์ ประชาชนสามารถออกมานอกบ้านก็ต่อเมื่อออกมาทำงาน มีธุระจำเป็น ไปพบแพทย์ หรือขอความช่วยเหลือจากเจ้าหน้าที่เท่านั้น

    #เพจเก็บตกตะวันออกกลาง

    https://news.cgtn.com/news/2020-05-...s-for-increasing-unrest-QVQK0xllIs/index.html

     
  13. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,797
    ค่าพลัง:
    +97,150
    สิ่งที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ มีเหตุผลมาจากอดีต /โดย ลงทุนแมน
    อียิปต์เคยเป็นดินแดนที่ยิ่งใหญ่ของโลก
    ถึงแม้วันนี้อียิปต์จะไม่ได้ยิ่งใหญ่เหมือนเดิม แต่สิ่งที่คนทั่วโลกใช้ทุกวันนี้โดยมีพื้นฐานจากอียิปต์คือ เลขฐานสิบ หรือการนับถึงสิบแล้วขึ้นหลักใหม่ไปได้เรื่อยๆไม่รู้จบ
    ลองคิดดูว่าการนับเลขไม่รู้จบ ก่อให้เกิดความก้าวหน้าทางคณิตศาตร์ และ วิศวกรรมศาสตร์ ได้มากขนาดไหน?

    กรีกเคยเป็นดินแดนที่ยิ่งใหญ่ของโลก
    ถึงแม้วันนี้ดินแดนกรีกจะกลายเป็นกรีซ แต่พื้นฐานแนวคิดการปกครองของกรีก เป็นรากฐานของประชาธิปไตยที่ประเทศส่วนใหญ่ทั่วโลกใช้กันในวันนี้
    ก็น่าคิดว่า ถ้าไม่มีนักคิดชาวกรีกในวันนั้น แนวคิดประชาธิปไตยของโลกที่ผ่านมาจะมีเส้นทางเป็นอย่างไร

    โรมันเคยเป็นดินแดนที่ยิ่งใหญ่ของโลก
    ถึงแม้วันนี้โรมันจะล่มสลายไปแล้ว แต่ดินแดนแถบคาบสมุทรอิตาลี เป็นจุดเริ่มต้นของการฟื้นฟูศิลปวิทยา ซึ่งทำให้คนทั่วโลกพัฒนาไปอย่างก้าวกระโดดหลังจากนั้น

    สเปนเคยเป็นประเทศที่ยิ่งใหญ่ของโลก
    ถึงแม้วันนี้สเปนจะไม่ได้ยิ่งใหญ่เหมือนเดิม แต่ประเทศนี้เป็นประเทศแรกในยุโรปที่ค้นพบทวีปอเมริกา และบนทวีปที่ถูกค้นพบนี้ ใครจะไปคิดว่าได้กลายเป็นต้นกำเนิดของประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่สุดของโลกในเวลานี้

    โปรตุเกสเคยเป็นประเทศที่ยิ่งใหญ่ของโลก
    ถึงแม้วันนี้โปรตุเกสจะไม่ได้ยิ่งใหญ่เหมือนเดิม แต่ประเทศนี้เคยทำสนธิสัญญาแบ่งโลกกับสเปน ทำให้ประเทศนี้ครอบครองการค้ากับฝั่งตะวันออกทั้งหมด และนั่นเป็นสาเหตุทำให้ประวัติศาสตร์ของอยุธยามีแต่คำว่าโปรตุเกสเต็มไปหมด

    เนเธอร์แลนด์เคยเป็นประเทศที่ยิ่งใหญ่ของโลก
    ถึงแม้วันนี้เนเธอร์แลนด์จะไม่ได้ยิ่งใหญ่เหมือนเดิม แต่บริษัท VOC ของเนเธอร์แลนด์ เคยเป็นบริษัทที่ยิ่งใหญ่สุดในโลก และบริษัทนี้ได้เป็นต้นแบบของโลกทุนนิยมในเวลาต่อมา
    รู้หรือไม่ว่าเมืองนิวยอร์ก ชื่อเดิมคือชื่อนิวอัมสเตอร์ดัม เพราะเมืองนี้เคยเป็นเมืองของเนเธอร์แลนด์มาก่อน

    ฝรั่งเศสเคยเป็นประเทศที่ยิ่งใหญ่ของโลก
    ถึงแม้วันนี้ฝรั่งเศสจะไม่ได้ยิ่งใหญ่สุดในโลก แต่ภาษา และวัฒนธรรมของฝรั่งเศส ได้ถูกแทรกซึมอยู่ในทุกประเทศ ไม่เว้นแม้แต่ภาษาอังกฤษที่เราต้องจำว่าเนื้อหมูจะเรียก Pork ไม่ใช่ Pig

    อังกฤษเคยเป็นประเทศที่ยิ่งใหญ่ของโลก
    ถึงแม้วันนี้อังกฤษจะไม่ได้ยิ่งใหญ่เหมือนเคย แต่ประเทศนี้เป็นต้นกำเนิดของการปฏิวัติอุตสาหกรรม ที่เร่งสปีดการพัฒนาของมนุษย์ให้เป็นความเร็วถึงขีดสุดตั้งแต่นั้นมา

    เยอรมนีเคยเป็นประเทศที่ยิ่งใหญ่ของโลก
    ถึงแม้วันนี้เยอรมนีจะไม่ได้ยิ่งใหญ่สุดในโลก แต่ประเทศนี้สามารถประดิษฐ์รถยนต์โดยใช้น้ำมันเป็นประเทศแรก และนวัตกรรมนี้ก็ถูกใช้กันเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน และคนประดิษฐ์นั้น ก็ชื่อ คาร์ล เบนซ์ และชื่อของเขาก็เป็นส่วนหนึ่งของรถหรูที่หลายคนใฝ่ฝัน เมอร์ซิเดส เบนซ์ ในปัจจุบันนั่นเอง

    สหภาพโซเวียตเคยเป็นประเทศที่ยิ่งใหญ่ของโลก
    ถึงแม้วันนี้สหภาพโซเวียตจะได้แตกประเทศออกมาแล้ว แต่ดินแดนแห่งนี้เป็นต้นกำเนิดของแนวคิดคอมมิวนิสต์ ที่มีหลายประเทศล้มเหลวเพราะปกครองด้วยแนวคิดนี้ แต่กลับมีอยู่ประเทศหนึ่งที่เอาแนวคิดนี้ไปปรับ แล้วทำให้เศรษฐกิจเติบโตอย่างรวดเร็ว

    ญี่ปุ่นเคยเป็นประเทศที่ยิ่งใหญ่ของโลก
    ถึงแม้วันนี้การเติบโตของญี่ปุ่นจะสะดุดลง แต่ประเทศนี้ได้มีบทบาทต่อวงการอุตสาหกรรมโลก และทำให้ทั่วโลกรู้ว่าชาวตะวันออกก็มีความสามารถไม่แพ้ชาวตะวันตกเช่นกัน

    สหรัฐอเมริกาเป็นประเทศที่ยิ่งใหญ่ของโลกในปัจจุบัน
    วัฒนธรรม และเทคโนโลยีของประเทศนี้ส่งผลกระทบต่อผู้คนทั่วโลก
    อย่างไรก็ตามประเทศนี้กำลังถูกท้าทายด้วยมหาอำนาจใหม่ชื่อ จีน ที่ใช้การปกครองในรูปแบบที่ไม่เหมือนใคร
    โดยมีการคาดการณ์ว่า ในอีก 5 ปี เศรษฐกิจของประเทศจีนจะก้าวข้ามสหรัฐอเมริกา

    เรากำลังอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อที่สำคัญของโลก สหรัฐอเมริกาจะยังคงความยิ่งใหญ่ต่อไปได้หรือไม่
    เราน่าจะได้รู้กันในชั่วชีวิตของเรา
    ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม ประเทศที่จะเป็นผู้ชนะในยุคถัดไป ก็คงหนีไม่พ้นการเป็นเจ้าแห่งเศรษฐกิจ และเทคโนโลยี

    ในโลกที่กำลังก้าวเข้าสู่ยุค Singularity หรือยุคที่หุ่นยนต์มีสติปัญญาที่ก้าวข้ามมนุษย์
    แต่ดูเหมือนว่ามนุษย์จะยังมีปัญหา และต่อสู้กันว่าประเทศไหนจะขึ้นมาเป็นประเทศที่ยิ่งใหญ่รายใหม่
    จนลืมคิดไปว่า ไม่ว่าจะเป็นผู้ยิ่งใหญ่แค่ไหน
    สุดท้าย มันก็จะเสื่อมลงอยู่ดี

    ความรุ่งเรือง และความร่วงโรย
    ล้วนเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าในประวัติศาตร์มนุษย์
    แต่ทุกอย่าง ต่างก็หลงเหลือร่องรอยแห่งภูมิปัญญาเอาไว้
    กลายเป็นชิ้นส่วนสำคัญที่ค่อยๆ ปะติดปะต่อจนกลายเป็นความก้าวหน้าของมนุษย์ในยุคปัจจุบัน

    สิ่งที่เป็นเราอยู่ทุกวันนี้ มีเหตุผลมาจากอดีต แทบทั้งสิ้น
    เรื่องราวที่น่าสนใจตลอดช่วงเวลาดังกล่าว ได้ถูกหลอมรวมให้เกิดหนังสือเล่มนี้
    หนังสือที่สรุปครบทุกอย่าง ทำให้เราเข้าใจภาพรวมได้ในเล่มเดียว
    หนังสือ "เศรษฐกิจโลก 1,000 ปี" พิมพ์ครั้งที่ 6
    สั่งซื้อได้ที่ (รับส่วนลด 10% จากราคาปก 350 บาท)

    Lazada : https://www.lazada.co.th/products/1000-i714570154-s1368712682.html

    Shopee : https://shopee.co.th/product/116732911/6716121161

     
  14. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,797
    ค่าพลัง:
    +97,150
    สิ่งที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ มีเหตุผลมาจากอดีต /โดย ลงทุนแมน
    อียิปต์เคยเป็นดินแดนที่ยิ่งใหญ่ของโลก
    ถึงแม้วันนี้อียิปต์จะไม่ได้ยิ่งใหญ่เหมือนเดิม แต่สิ่งที่คนทั่วโลกใช้ทุกวันนี้โดยมีพื้นฐานจากอียิปต์คือ เลขฐานสิบ หรือการนับถึงสิบแล้วขึ้นหลักใหม่ไปได้เรื่อยๆไม่รู้จบ
    ลองคิดดูว่าการนับเลขไม่รู้จบ ก่อให้เกิดความก้าวหน้าทางคณิตศาตร์ และ วิศวกรรมศาสตร์ ได้มากขนาดไหน?

    กรีกเคยเป็นดินแดนที่ยิ่งใหญ่ของโลก
    ถึงแม้วันนี้ดินแดนกรีกจะกลายเป็นกรีซ แต่พื้นฐานแนวคิดการปกครองของกรีก เป็นรากฐานของประชาธิปไตยที่ประเทศส่วนใหญ่ทั่วโลกใช้กันในวันนี้
    ก็น่าคิดว่า ถ้าไม่มีนักคิดชาวกรีกในวันนั้น แนวคิดประชาธิปไตยของโลกที่ผ่านมาจะมีเส้นทางเป็นอย่างไร

    โรมันเคยเป็นดินแดนที่ยิ่งใหญ่ของโลก
    ถึงแม้วันนี้โรมันจะล่มสลายไปแล้ว แต่ดินแดนแถบคาบสมุทรอิตาลี เป็นจุดเริ่มต้นของการฟื้นฟูศิลปวิทยา ซึ่งทำให้คนทั่วโลกพัฒนาไปอย่างก้าวกระโดดหลังจากนั้น

    สเปนเคยเป็นประเทศที่ยิ่งใหญ่ของโลก
    ถึงแม้วันนี้สเปนจะไม่ได้ยิ่งใหญ่เหมือนเดิม แต่ประเทศนี้เป็นประเทศแรกในยุโรปที่ค้นพบทวีปอเมริกา และบนทวีปที่ถูกค้นพบนี้ ใครจะไปคิดว่าได้กลายเป็นต้นกำเนิดของประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่สุดของโลกในเวลานี้

    โปรตุเกสเคยเป็นประเทศที่ยิ่งใหญ่ของโลก
    ถึงแม้วันนี้โปรตุเกสจะไม่ได้ยิ่งใหญ่เหมือนเดิม แต่ประเทศนี้เคยทำสนธิสัญญาแบ่งโลกกับสเปน ทำให้ประเทศนี้ครอบครองการค้ากับฝั่งตะวันออกทั้งหมด และนั่นเป็นสาเหตุทำให้ประวัติศาสตร์ของอยุธยามีแต่คำว่าโปรตุเกสเต็มไปหมด

    เนเธอร์แลนด์เคยเป็นประเทศที่ยิ่งใหญ่ของโลก
    ถึงแม้วันนี้เนเธอร์แลนด์จะไม่ได้ยิ่งใหญ่เหมือนเดิม แต่บริษัท VOC ของเนเธอร์แลนด์ เคยเป็นบริษัทที่ยิ่งใหญ่สุดในโลก และบริษัทนี้ได้เป็นต้นแบบของโลกทุนนิยมในเวลาต่อมา
    รู้หรือไม่ว่าเมืองนิวยอร์ก ชื่อเดิมคือชื่อนิวอัมสเตอร์ดัม เพราะเมืองนี้เคยเป็นเมืองของเนเธอร์แลนด์มาก่อน

    ฝรั่งเศสเคยเป็นประเทศที่ยิ่งใหญ่ของโลก
    ถึงแม้วันนี้ฝรั่งเศสจะไม่ได้ยิ่งใหญ่สุดในโลก แต่ภาษา และวัฒนธรรมของฝรั่งเศส ได้ถูกแทรกซึมอยู่ในทุกประเทศ ไม่เว้นแม้แต่ภาษาอังกฤษที่เราต้องจำว่าเนื้อหมูจะเรียก Pork ไม่ใช่ Pig

    อังกฤษเคยเป็นประเทศที่ยิ่งใหญ่ของโลก
    ถึงแม้วันนี้อังกฤษจะไม่ได้ยิ่งใหญ่เหมือนเคย แต่ประเทศนี้เป็นต้นกำเนิดของการปฏิวัติอุตสาหกรรม ที่เร่งสปีดการพัฒนาของมนุษย์ให้เป็นความเร็วถึงขีดสุดตั้งแต่นั้นมา

    เยอรมนีเคยเป็นประเทศที่ยิ่งใหญ่ของโลก
    ถึงแม้วันนี้เยอรมนีจะไม่ได้ยิ่งใหญ่สุดในโลก แต่ประเทศนี้สามารถประดิษฐ์รถยนต์โดยใช้น้ำมันเป็นประเทศแรก และนวัตกรรมนี้ก็ถูกใช้กันเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน และคนประดิษฐ์นั้น ก็ชื่อ คาร์ล เบนซ์ และชื่อของเขาก็เป็นส่วนหนึ่งของรถหรูที่หลายคนใฝ่ฝัน เมอร์ซิเดส เบนซ์ ในปัจจุบันนั่นเอง

    สหภาพโซเวียตเคยเป็นประเทศที่ยิ่งใหญ่ของโลก
    ถึงแม้วันนี้สหภาพโซเวียตจะได้แตกประเทศออกมาแล้ว แต่ดินแดนแห่งนี้เป็นต้นกำเนิดของแนวคิดคอมมิวนิสต์ ที่มีหลายประเทศล้มเหลวเพราะปกครองด้วยแนวคิดนี้ แต่กลับมีอยู่ประเทศหนึ่งที่เอาแนวคิดนี้ไปปรับ แล้วทำให้เศรษฐกิจเติบโตอย่างรวดเร็ว

    ญี่ปุ่นเคยเป็นประเทศที่ยิ่งใหญ่ของโลก
    ถึงแม้วันนี้การเติบโตของญี่ปุ่นจะสะดุดลง แต่ประเทศนี้ได้มีบทบาทต่อวงการอุตสาหกรรมโลก และทำให้ทั่วโลกรู้ว่าชาวตะวันออกก็มีความสามารถไม่แพ้ชาวตะวันตกเช่นกัน

    สหรัฐอเมริกาเป็นประเทศที่ยิ่งใหญ่ของโลกในปัจจุบัน
    วัฒนธรรม และเทคโนโลยีของประเทศนี้ส่งผลกระทบต่อผู้คนทั่วโลก
    อย่างไรก็ตามประเทศนี้กำลังถูกท้าทายด้วยมหาอำนาจใหม่ชื่อ จีน ที่ใช้การปกครองในรูปแบบที่ไม่เหมือนใคร
    โดยมีการคาดการณ์ว่า ในอีก 5 ปี เศรษฐกิจของประเทศจีนจะก้าวข้ามสหรัฐอเมริกา

    เรากำลังอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อที่สำคัญของโลก สหรัฐอเมริกาจะยังคงความยิ่งใหญ่ต่อไปได้หรือไม่
    เราน่าจะได้รู้กันในชั่วชีวิตของเรา
    ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม ประเทศที่จะเป็นผู้ชนะในยุคถัดไป ก็คงหนีไม่พ้นการเป็นเจ้าแห่งเศรษฐกิจ และเทคโนโลยี

    ในโลกที่กำลังก้าวเข้าสู่ยุค Singularity หรือยุคที่หุ่นยนต์มีสติปัญญาที่ก้าวข้ามมนุษย์
    แต่ดูเหมือนว่ามนุษย์จะยังมีปัญหา และต่อสู้กันว่าประเทศไหนจะขึ้นมาเป็นประเทศที่ยิ่งใหญ่รายใหม่
    จนลืมคิดไปว่า ไม่ว่าจะเป็นผู้ยิ่งใหญ่แค่ไหน
    สุดท้าย มันก็จะเสื่อมลงอยู่ดี

    ความรุ่งเรือง และความร่วงโรย
    ล้วนเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าในประวัติศาตร์มนุษย์
    แต่ทุกอย่าง ต่างก็หลงเหลือร่องรอยแห่งภูมิปัญญาเอาไว้
    กลายเป็นชิ้นส่วนสำคัญที่ค่อยๆ ปะติดปะต่อจนกลายเป็นความก้าวหน้าของมนุษย์ในยุคปัจจุบัน

    สิ่งที่เป็นเราอยู่ทุกวันนี้ มีเหตุผลมาจากอดีต แทบทั้งสิ้น
    เรื่องราวที่น่าสนใจตลอดช่วงเวลาดังกล่าว ได้ถูกหลอมรวมให้เกิดหนังสือเล่มนี้
    หนังสือที่สรุปครบทุกอย่าง ทำให้เราเข้าใจภาพรวมได้ในเล่มเดียว
    หนังสือ "เศรษฐกิจโลก 1,000 ปี" พิมพ์ครั้งที่ 6
    สั่งซื้อได้ที่ (รับส่วนลด 10% จากราคาปก 350 บาท)

    Lazada : https://www.lazada.co.th/products/1000-i714570154-s1368712682.html

    Shopee : https://shopee.co.th/product/116732911/6716121161

     
  15. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,797
    ค่าพลัง:
    +97,150
    รู้จัก "แฟนต้า" กันใช่ไหมครับ!?

    ไม่ว่าจะเป็นน้ำส้ม น้ำแดงหรือน้ำเขียว แฟนต้าก็เป็นเครื่องดื่มที่ได้รับความนิยม ขายดีไปทั่วโลก ถึงขั้นได้รับการดัดแปลงไปมากกว่า 100 รสชาติ

    ว่าแต่คุณทราบกันหรือไม่ว่า แม้แฟนต้าจะเป็นแบรนด์ย่อยของโคคาโคล่า แต่กลับมีต้นกำเนิดมาจากคู่อริในสงครามอย่างเยอรมนี

    แถมยังเกิดขึ้นจาก "ความพยายาม" ของพนักงานคนหนึ่ง ที่อยากจะสร้างโค้กขึ้นมาด้วยสูตร "มั่วๆ" เองอีกด้วย...


    [ย้อนประวัติ ก่อนจะมาเป็นแฟนต้า]

    แล้วพอเราพูดถึงเรื่องโคคาโคล่าในเยอรมนี ก็ต้องพูดถึงคุณ Max Keith

    คุณ Max เขามีชื่อเสียงในฐานะมันสมองของบริษัท เจ้าของผลงานเพิ่มยอดขายโค้กในประเทศเยอรมนี จากที่ตอนแรกขายได้เพียง 100,000 ลังในปี 1933

    (ซึ่งเป็นปีเดียวกับที่ฮิตเลอร์เริ่มเรืองอำนาจ)

    ภายในปี 1939 ผ่านไปแค่ประมาณ 6 ปี ยอดขายเพิ่มขึ้นเป็น 4,000,000 ลัง ก้าวกระโดดมาถึง 40 เท่า!!


    ความสำเร็จของคุณ Max Keith ในการพัฒนาบริษัทนั้น ถูกมองว่ามาจากปัจจัยต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น..

    - เขาขอเงินลงทุน สร้างโรงผลิตเพิ่มในช่วงภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ ในตอนที่ทุกอย่างราคาถูก กลายเป็นว่าทั้งทำให้ต้นทุนถูก และเครื่องดื่มราคาถูกนี้ก็ขายดีตามไปด้วย

    - บริษัทของเขามีกำลังผลิตสูง ในช่วงที่ตู้เย็นกำลังแพร่กระจายในยุโรปพอดี

    - เขาเป็นคนผลักดันให้โค้ก เข้าสนับสนุนกีฬาโอลิมปิกในปี 1936 จนคนรู้จักและนิยมไปทั่วประเทศ

    ทำให้ในเวลานั้น ประเทศเยอรมนี กลายเป็นตลาดผู้บริโภคโคคาโคล่าที่ใหญ่ที่สุด (ถ้าไม่นับต้นกำเนิดอย่างสหรัฐฯ)

    แถมปกติแล้วเนี่ย โค้กจะไม่ให้ผู้ผลิต ได้รับสูตรลับของตัวเองไปได้ง่ายๆ

    แต่เมื่อขายดีขนาดนั้น คุณ Max Keith เอง ก็ได้รับสิทธิที่จะผลิตส่วนประกอบลับของโค้ก ในโรงงานของตัวเองมากถึง 7 อย่าง จากทั้งหมด 9 อย่างด้วยกัน


    [สงคราม-นาซี-และน้ำผลไม้มั่วๆ]

    แต่ช่วงเวลาดีๆ ของคุณ Max Keith กลับไม่ยั่งยืนเท่าไหร่นัก

    เพราะในตอนที่สงครามโลกครั้งที่ 2 เริ่มขึ้น เขาต้องพบกับความท้าทายครั้งใหญ่ในการผลิตและขายเครื่องดื่ม

    เริ่มจากการที่โรงงานจะถูกรัฐบาลเข้ายึด ด้วยเหตุผลว่าเป็นบริษัทอเมริกัน และต้องหาเงินเข้ารัฐไปใช้ในสงคราม

    เขาก็ใช้เส้นสายในพรรคนาซี ซิกแซกให้โรงงานยังผลิตน้ำอัดลมขายต่อไปได้

    ต่อมาคือเรื่องวัตถุดิบสำหรับทำโค้ก ถูกส่งมาน้อยลงเรื่อยๆ

    แม้ในช่วงแรกของสงครามก็ดูจะไม่ร้ายแรงนัก..

    แต่หลังจากปี 1941 ที่สหรัฐฯ ประกาศเข้าร่วมรบ ความตึงเครียดของทั้งสองประเทศ ก็ทำให้วัตถุดิบที่จะผลิตน้ำอัดลมขายนั้นหายไป


    ต่อให้เป็นเครื่องดื่มที่ขายดีแค่ไหน แต่ถ้าไม่มีวัตถุดิบ ก็ไม่สามารถทำออกมาขายได้!!

    ดังนั้นคุณ Max Keith จึงแก้ปัญหาเฉพาะหน้า ด้วยการผสมเครื่องดื่มของตัวเอง โดยอาศัยส่วนประกอบลับที่เขารู้


    เขาสร้างเครื่องดื่มใหม่ขึ้นมาจากสิ่งที่เจ้าตัวเรียกว่า "เศษซากของสิ่งที่เหลือ"

    เขาใช้กากแอปเปิ้ล ที่เหลือจากการกดทำไซเดอร์

    ใช้น้ำใสๆ ที่เหลือจากการนำนมไปทำชีส

    แล้วอย่างอื่น.. เขาบอกว่าก็ลองจินตนาการ แล้วผสมมันขึ้นมาสิ

    เช่น การใช้ผลไม้อื่นๆ มาผสมกันไปแบบมั่วๆ ซึ่งก็เป็นผลไม้ที่หาได้ในประเทศ หรือนำเข้าจากชาติพันธมิตรอย่างอิตาลีในตอนนั้น

    แล้วคุณคิดว่ามันจะอร่อยเหมือนกับโค้กต้นตำรับเหรอ.. คำตอบก็คือไม่สิ!! (ฮ่าาาา)

    สินค้าของคุณ Max Keith ในเวลานั้น ออกมาเป็นน้ำขุ่นๆ สีน้ำตาลที่ค่อนข้างห่างไกลจากความอร่อย

    แต่ในเมื่อยุคนั้นน้ำหวานอัดลมหายาก ก็ยังพอขายออกได้บ้าง ถึงขั้นที่บางคนซื้อไปทำน้ำซุป เพราะมันมีความหวาน มีกลิ่นผลไม้ ซึ่งในยุคนั้นน้ำตาลก็หายากเช่นกัน

    ด้วยความที่สูตรของมัน มาจากจินตนาการ ซึ่งในภาษาเยอรมันคือคำว่า "Fantasie"

    ทำให้คุณ Max ใช้มันเป็นชื่อของสินค้าที่เขาขาย และภายหลังก็ถูกย่อลงมาเหลือจนแค่ "Fanta" อย่างในปัจจุบัน


    [จุดจบของสงคราม และการเริ่มต้นใหม่ของแฟนต้า..]

    Max พัฒนาสูตรให้เครื่องดื่มของเขาอร่อยขึ้นเรื่อยๆ

    จนในปี 1943 ตอนนั้นแฟนต้าเริ่มติดตลาด โดยขายได้มากถึง 3 ล้านลังต่อปี แต่สถานการณ์ของเยอรมนีในสงคราม กลับย่ำแย่ลงเรื่อยๆ

    นอกจากโรงงานจะเสี่ยงต่อการถูกทิ้งระเบิด จากเครื่องบินฝ่ายสัมพันธมิตรที่กระชับพื้นที่เข้ามาเรื่อยๆ

    ทางด้าน Max ที่ก่อนหน้านี้ใช้เส้นสายคนในพรรคนาซี ให้โรงงานอเมริกันยังคงเปิดทำงานได้ ก็เริ่มถูกเพ่งเล็งจากทางรัฐบาล

    เขาถูกสอบสวนโดยกระทรวงยุติธรรม และโรงงานนั้นก็อาจถูกรัฐบาลยึด เพื่อหารายได้เข้ารัฐไปใช้ในสงครามแบบเต็มกำลัง

    แต่ Max Keith ก็ยังดวงแข็ง เพราะหลังจากถูกเรียกไปสอบสวนเพียงสัปดาห์เดียว กระทรวงยุติธรรมก็ถูกทิ้งระเบิด สังหารรัฐมนตรีคนใหม่ที่เพ่งเล็งเขาเป็นพิเศษ

    ดังนั้นเรื่องสอบสวนเขาก็จบลง และได้กลับไปขายแฟนต้าต่อแบบงงๆ

    จนในอีก 3 เดือนต่อมาสงครามก็จบลง..


    ทันทีที่ทหารอเมริกันพบตัว Max Keith เขาก็แจ้งว่าตัวเองเป็นคนของโคคาโคล่า และส่งโทรเลขขอความช่วยเหลือจากบริษัทแม่ทันที

    พอดีกับที่บริษัทแม่ในสหรัฐฯ ส่งทีมวิศวกรมาช่วยซ่อมโรงงานในยุโรปทันที หลังจากฝั่งเยอรมันแพ้สงครามอยู่แล้ว

    เพราะธุรกิจก็ย่อมอยากรักษาผลประโยชน์ของตัวเอง และทำให้ทุกโรงงานกลับมาเริ่มดำเนินการผลิตตามมาตรฐานได้เร็วที่สุดอีกครั้ง

    เมื่อบริษัทแม่จึงได้รู้เรื่องราวของแฟนต้า และมองว่า Max Keith พยายามช่วยเหลือบริษัท ให้รักษายอดขายในช่วงสงครามไว้ได้

    จึงตบรางวัลอย่างงามด้วยการให้เขาขึ้นเป็นประธานของโคคาโคล่าในยุโรป

    ที่สำคัญคือ ผลงานแฟนต้าของเขา ถูกนำไปปรับปรุงสูตรให้ได้มาตรฐานยิ่งขึ้น เพื่อกลับทำตลาดแบบจริงๆ จังๆ อีกครั้งในปี 1955

    ความพยายามแบบมั่วๆ ที่มาจากความตั้งใจจริงนั้น ส่งผลให้มันกลายมาเป็นน้ำหวานยอดนิยมอีกแบรนด์หนึ่งได้สำเร็จ

    และมันก็กลายเป็นหนึ่งแบรนด์ย่อยของโคคาโคล่า ที่วางขายไปทั่วโลก มาจนถึงปัจจุบันอีกด้วย...


    -----------------------------------------

    ไม่พลาดทุกสาระน่าสนใจจาก Billion Mindset - แนวคิดพันล้าน

    กด Like และตั้งค่าติดดาว See First ไว้ด้วยนะ

    หรือติดตาม Billion Mindset ได้ในหลากหลายช่องทาง

    - เว็บไซต์ https://www.BillionMindset.com/

    - อินสตาแกรม https://www.instagram.com/billionmindset.ig/

    - ทวิตเตอร์ https://twitter.com/Billion_Twit

     
  16. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,797
    ค่าพลัง:
    +97,150
    เรือบรรทุกน้ำมันลำที่ 5 ของอิหร่าน 'Clavel' เข้าสู่น่านน้ำเวเนซุเอลาแล้ว

     
  17. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,797
    ค่าพลัง:
    +97,150
    โครงการเขื่อนกันการกัดเซาะชายฝั่งอ่าวน้อย จ.ประจวบคีรีขันธ์ ถือเป็นตัวอย่างความล้มเหลวของการสร้างกำแพงหรือเขื่อนกันคลื่นริมชายหาดของกรมโยธาธิการและผังเมือง อาจกล่าวได้ว่าเป็นมรดกบาปที่ทิ้งไว้ให้ชาวประจวบคีรีขันธ์ เนื่องจากผ่านไป 1 ปีก็เริ่มชำรุด
    .
    กำแพงกันคลื่นแบบขั้นบันไดอ่าวน้อย ยาวตลอดแนว 1.1 กิโลเมตร แบ่งออกเป็น 3 เฟส โครงการก่อสร้างเฟสที่ 1 มีระยะทาง 450 เมตร งบประมาณ 65 ล้านบาท วางแนวเหนือใต้อยู่ระหว่างเขาคั่นกระไดและเขาตาม่องล่าย ทั้งที่ชายหาดค่อนข้างมีความสมดุลในตัวเอง หากจะเกิดการเปลี่ยนแปลงเชิงกายภาพจะเป็นไปเพียงช่วงเวลาสั้นๆในฤดูมรสุมเท่านั้น
    .
    ด้านทิศใต้เป็นชุมชนและมีสะพานปลา ชาวบ้านใช้ชายหาดเพื่อการจอดเรือและเป็นท่าขึ้นลงสัตว์น้ำ มีกำแพงกันคลื่นสูง 1 เมตรของเดิมอยู่ โซนกลางของหาดเป็นพื้นที่เอกชนทั้งที่ยังรกร้างและมีการปลูกสร้างบ้านเรือนและรีสอร์ทแล้ว และส่วนเหนือสุดเป็นที่เอกชน แต่ยังรกร้างและปลายสุดเป็นวัดอ่าวน้อยซึ่งอยู่ติดกับหัวเขาคั่นกระได
    .
    อย่างไรก็ตาม ประชาชนในพื้นที่ซึ่งได้รับผลกระทบได้ยื่นฟ้องศาลปกครองเพชรบุรี และศาลมีคำสั่งกำหนดมาตรการคุ้มครองเพื่อบรรเทาทุกข์ชั่วคราวให้แก่ผู้ฟ้องคดี เมื่อวันที่ 6 ต.ค. 2559 ให้ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งหกระงับการก่อสร้างโครงการเขื่อนกันการกัดเซาะชายทะเลพื้นที่ชายฝั่งอ่าวน้อย บริเวณหมู่ที่ 2 ต.อ่าวน้อย อ.เมือง จ.ประจวบคีรีขันธ์ จนกว่าศาลจะมีคำพิพากษาหรือคำสั่งเป็นอย่างอื่น
    .
    คดีดังกล่าวนี้นายนภัส เกษมพาณิชย์ และพวกรวม 9 คน ซึ่งมีที่ดินและบ้านพักอาศัยอยู่ในบริเวณดังกล่าว ได้ยื่นฟ้องกรมโยธาธิการและผังเมือง กับพวกรวม 6 ราย ต่อศาลปกครองเพชรบุรี เป็นคดีหมายเลขดำเมื่อวันที่ 31 ส.ค. 2559 ขอให้ศาลมีคำพิพากษาให้ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งหกยกเลิกการก่อสร้างเขื่อนดังกล่าว และรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกจากชายหาด พร้อมทั้งให้ปรับสภาพพื้นที่ให้กลับคืนสภาพเดิม และขอให้ศาลมีคำสั่งกำหนดมาตรการคุ้มครองเพื่อบรรเทาทุกข์ชั่วคราวให้แก่ผู้ฟ้องคดี
    .
    ก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 24 พ.ค. 2559 สำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิได้ลงพื้นที่รับฟังและตรวจสอบข้อเท็จจริงข้อร้องเรียนการสร้างเขื่อนป้องกันการกัดเซาะชายฝั่งทะเลอ่าวน้อย จ.ประจวบคีรีขันธ์ วงเงิน 65 ล้านบาท ของกรมโยธาธิการและผังเมือง พร้อมกับระบุว่า การก่อสร้างเขื่อนกันคลื่นยาว 450 เมตร และยื่นลงทะเลประมาณ 10 เมตร จะทำให้สูญเสียระบบนิเวศ และจะยิ่งทำให้ปัญหากัดเซาะรุนแรงมากขึ้น
    .
    เมื่อวันที่ 15 มกราคม 2563 กรม ทช. โดยกองอนุรักษ์ทรัพยากรชายฝั่ง สำรวจ ติดตาม และประเมินสถานภาพชายฝั่ง จ.ประจวบคีรีขันธ์ พบว่า
    .
    1) บริเวณหาดเขากะโหลก บ้านใหม่ ม.1 ต.สามร้อยยอด อ.สามร้อยยอด อยู่ในระบบกลุ่มหาด S1 (แหลมผักเบี้ย-ปราณบุรี) ระบบหาดย่อย S1-PKN (อ่าวเขากะโหลก) พื้นที่ชายฝั่งเป็นหาดทราย ตลอดแนวชายฝั่งมีโครงสร้างเขื่อนป้องกันการกัดเซาะแบบเรียงหินใหญ่ (เขื่อนหินทิ้ง) ระยะทาง 600 เมตร และพบการกัดเซาะชายฝั่งในบริเวณทิศใต้ของเขื่อนหินทิ้ง
    .
    2) บริเวณหาดหว้าขาว บ้านทุ่งมะเม่า ต.อ่าวน้อย อ.เมือง ชายฝั่งเป็นหาดทรายอยู่ในระบบกลุ่มหาด S2 (กุยบุรี) ระบบหาดย่อย S2-PKN (กุยบุรี) ตะกอนทรายที่พบมีสีมาตรฐานตาม Munsell soil color chart คือ สีหลือง (10YR 8/6: yellow) ขนาดตะกอนปานกลาง–หยาบมาก การคัดขนาดของตะกอนไม่ดี มีความเป็นทรงกลมสูง และเม็ดตะกอนพบแบบเกือบกลมมน-กลมมน มีซากเปลือกหอย เศษหิน แร่เฟลด์สปาร์ และแร่สีเข้มปนเล็กน้อย ความลาดชันบริเวณหน้าหาดประมาณ 7º พบกำแพงกันคลื่นริมชายฝั่ง (สร้างแล้วเสร็จปลายปี 2562)
    .
    นอกจากนี้ผลการสำรวจของกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งในปี 2560 พบว่า กำแพงกันคลื่นประเภทลาดเอียง (MS) และเขื่อนหินทิ้ง, หินทิ้ง (RE) ที่อ่าวน้อย จ.ประจวบคีรีขันธ์ ชำรุด ยกเว้นกำแพงกันคลื่นประเภทตั้งตรง (VS)

    อ้างอิง:
    www.beachlover.net
    http://admincourt.go.th/admincourt/site/08news_detail.php?ids=15559
    https://www.pptvhd36.com/news/ประเด็นร้อน/27774
    https://dmcrth.dmcr.go.th/attachmen...ZG22DM7y04TyerPMjZJ00qmIZZz1CM5O0hJatrTDo7o3Q
    ขอบคุณภาพจากคุณอาร์ท ณภัทร

     
  18. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,797
    ค่าพลัง:
    +97,150
    อังกฤษตัด Huawei จากโครงการ 5G
    พร้อมตั้งกลุ่ม “Democracy 10” พัฒนาระบบเอง
    หลังถูกกดดันจากสหรัฐฯ และพรรคอนุรักษ์นิยม

    อังกฤษประกาศเจตนารมณ์ว่าจะร่วมกลุ่ม “D10” หรือ “ประชาธิปไตย 10” โดยเป็นการรวมกลุ่มประเทศ G7 ที่เป็นพันธมิตรกับสหรัฐฯ บวกกับ ออสเตรเลีย เกาหลีใต้ และอินเดีย เพื่อร่วมกันพัฒนาเทคโนโลยี 5G ขึ้นมา โดยไม่ต้องพึ่งเทคโนโลยีจากบริษัทหัวเว่ยของจีน

    ท่าทีครั้งใหม่ของรัฐบาลอังกฤษ เกิดขึ้นภายหลังการกดดันจากผู้แทนพรรคอนุรักษ์นิยม เจ้าหน้าที่ความมั่นคง และประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐฯ ที่ต้องการให้รัฐบาลอังกฤษยกเลิกแผนความร่วมมือโครงการ 5G กับบริษัท Huawei ของจีน

    เมื่อต้นปี 2020 ที่ผ่านมา บริษัท Huawei เพิ่งได้รับการยืนยันจากรัฐบาล และการรับรองของรัฐสภาอังกฤษ ให้เข้ามาพัฒนาระบบโทรคมนาคมในยุคต่อไปของอังกฤษ โดยมีเงื่อนไขว่าบริษัทดังกล่าวจะถือหุ้นในกิจการได้เพียงแค่ 35% เท่านั้น

    ขณะที่ท่าทีล่าสุดของรัฐบาลอังกฤษ กลับระบุว่าบริษัท Huawei จะถูกตัดออกจากแผน 5G ภายในปี 2023 ซึ่งถือเป็นการกลับลำครั้งใหญ่

    ด้านนักวิเคราะห์มองว่า การกลับลำของรัฐบาลอังกฤษครั้งนี้ มีความเสี่ยงสูงต่อการค้าระหว่างสองประเทศ เนื่องจากจีนถือเป็นคู่ค้ารายสำคัญของอังกฤษไม่แพ้สหรัฐฯ โดยมูลค่าการค้าขายของสองประเทศอยู่ที่ 9 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ

    #roundtablethailand
    Roundtablethailand.com

    ที่มา:
    - https://www.bbc.com/news/business-52792587
    - https://asiatimes.com/2020/05/uk-pushes-5g-club-of-nations-to-curb-huawei/
    - https://www.forbes.com/sites/alasda...backs-away-from-huawei-5g-plans/#5f89043a7c71

     
  19. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,797
    ค่าพลัง:
    +97,150
    #มอร์มูฟเป็นข่าว พื้นที่ชุมน้ำสำหรับการอนุรักษ์!!!! ล่าสุด นายพุฒิพงศ์ สุรพฤกษ์ โฆษกประจำกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม พร้อมด้วย นายประเสริฐ ศิรินภาพร รองเลขาธิการสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ร่วมให้การแถลงข่าวการขึ้นทะเบียน 'แม่น้ำสงครามตอนล่าง' จังหวัดนครพนม เป็นพื้นที่ชุ่มน้ำที่มีความสำคัญระหว่างประเทศ หรือ 'แรมซาร์ไซต์' แห่งที่ 15 ของประเทศไทย และเป็นแรมซาร์ไซต์ ลำดับที่ 2,420 ของโลก โดยมีผลอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม 2562

    ** พื้นที่ชุ่มน้ำแม่น้ำสงครามตอนล่าง จังหวัดนครพนม ที่เสนอขึ้นทะเบียนเป็นแรมซาร์ไซต์ มีขอบเขตเริ่มตั้งแต่ปากน้ำบ้านไชยบุรี ตำบลไชยบุรี อำเภอท่าอุเทน ไปจนถึงบ้านปากยาม ตำบลสามผง อำเภอศรีสงคราม ความยาวทั้งสิ้น 92 กิโลเมตร

    สำหรับความโดนเด่นและเอกลักษณ์ของพื้นที่ชุ่มน้ำแห่งนี้ มีระบบนิเวศหายากได้แก่ ป่าบุ่งป่าทามผืนใหญ่ มีความสำคัญในเชิงความหลากหลายทางชีวภาพของชนิดพันธุ์พืชและสัตว์ในระบบนิเวศ เป็นแหล่งที่อยู่อาศัยของพันธุ์ปลาน้ำจืด เป็นแหล่งประมงพื้นบ้านที่มีความสำคัญต่อความมั่นคงทางอาหารของคนในพื้นที่ ตลอดจนเป็นแหล่งอพยพเพื่อผสมพันธุ์วางไข่ของพันธุ์ปลาจากแม่น้ำโขงในช่วงฤดูน้ำหลาก พบความหลากหลายของพันธุ์ปลาอย่างน้อย 124 ชนิด พันธุ์พืช 208 ชนิด รวมทั้งมีความสำคัญในเชิงวัฒนธรรมและเศรษฐกิจ ทั้งนี้ แรมซาร์ไซต์ หรือพื้นที่ชุ่มน้ำที่มีความสำคัญระหว่างประเทศ เป็นพื้นที่ชุ่มน้ำที่เป็นตัวแทนหายากหรือมีลักษณะพิเศษเฉพาะ ซึ่งพบในเขตชีวภูมิศาสตร์ที่เหมาะสม มีความสำคัญระหว่างประเทศสำหรับการอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพ ที่เกี่ยวข้องกับชนิดพันธุ์ และชุมชนประชากรทางนิเวศของ นกน้ำ และปลา.
    ----------------------------------------------------
    อ่านต่อ : https://www.thaiquote.org/content/2...KxQk1EjPiNXQglTegQvwGvpLX5AIFsmhi8UX5TVxpohDo
     
  20. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,797
    ค่าพลัง:
    +97,150
    เมื่อคืนวันที่ 31 พ.ค.63 ได้เกิดฝนตกหนักทำให้เกิดน้ำป่าไหลหลากท่วมบ้านเรือนราษฎรและสิ่งของเสียหายที่ ต.วังนกแอ่น และ ต.บ้านกลาง อ.วังทอง
    -ม.3 ต.วังนกแอ่น อยู่ระหว่างการสำรวจ
    -ม.4 ต.วังนกแอ่น จำนวน 1 หลัง
    -ม.5 ต.วังนกแอ่น จำนวน 1 หลัง
    -ม.8 ต.วังนกแอ่น จำนวน 8 หลัง
    - ม.18 ต.วังนกแอ่น จำนวน 7 หลัง
    - ม.8 ต.บ้านกลาง จำนวน 8 หลัง
    นายบุญเหลือ บารมี นายอำเภอวังทอง ได้สั่งการให้ผู้นำท้องที่ ท้องถิ่น ที่อยู่ตอนล่างได้แจ้งเตือนประชาชน พร้อมเฝ้าระวังติดตามเพื่อเตรียมรับสถานการณ์

     

แชร์หน้านี้

Loading...