สติปัฏฐานสี่ตามแนววิชชาธรรมกาย

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย นโมพุทธายะ๕, 21 สิงหาคม 2014.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,805
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,142
    ค่าพลัง:
    +70,540
    - บางคนชอบตำหนิสมถะ
    ไปตำหนิก็เท่ากับคุณเอาน้ำร้อนสาดหน้าตัวเอง
    เป็นกรรมนะ.

    ในยามต้นแห่งราตรี ทรงบรรลุบุพเพนิวาสานุสติญาณ ทรงระลึกชาติได้ เห็นสัตว์โลกตายเกิด ตายเกิด แล้วไปทุคติภูมิ นี่ เห็นนรกนะ ทุคติภูมิ ไปเกิดเป็นเปรตบ้าง สัตว์นรกบ้าง อสุรกายบ้าง สัตว์เดรัจฉานบ้าง ไปเกิดในทุคติภูมิอย่างนี้มากต่อมาก แต่กลับมาเกิดเป็นมนุษย์น้อยเหลือเกิน หรือจะกลับไปเกิดเป็นเทพยดาน้อยนัก

    พระพุทธองค์ถึงกับตรัสสอนพระภิกษุว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สัตว์โลกตายแล้วจากความเป็นมนุษย์นี่ จะได้กลับมาเกิดเป็นมนุษย์อีกน้อยนัก แต่ไปเกิดในนิรยภูมิมากต่อมากนัก ก็คือ ไปเกิดเป็นเปรต สัตว์นรก อสุรกาย สัตว์เดรัจฉาน มากต่อมาก

    ตรงนี้ เป็นวิชชาที่หนึ่ง ที่สำคัญ ที่บุคคลทั้งหลายไม่รู้บาปบุญคุณโทษตามที่เป็นจริง เพราะไม่รู้เห็นนรก ไม่รู้เห็นสวรรค์ ตามความเป็นจริง ไม่รู้เห็นการเวียนว่ายตายเกิด ก็หลงคิดว่า เรานี่สบายแล้ว ตายแล้วก็เดี๋ยวกลับมาสบายใหม่ ไม่มีทางถ้าคุณไม่ทำความดี และหลีกหนีความชั่ว

    ต้องทำความดีหลีกหนีความชั่ว เพราะความชั่วนำไปสู่นิรยภูมิ ไปเกิดในทุคติภูมิ ในภพชาติปัจจุบันก็ต้องลำบาก ลำบากในภพชาติปัจจุบันนี่แหละ กรรมมันตามสนองทุกคนแหละ แต่ว่าเรื่องกรรมตรงนี้ยังไม่พูด พูดว่าไปเกิดในทุคติภูมิ

    บุคคลที่กระทำความชั่วมากๆ ก็มีอาการเหมือนสัตว์โลกในทุคติภูมิ บางคนก็เหมือนเปรต บางคนก็เหมือนอสุรกาย บางคนก็เหมือนสัตว์เดรัจฉาน บางคนก็เหมือนสัตว์นรก ร้อนรุ่มมากมายก่ายกอง แสดงอาการต่างๆเหมือนสัตว์นรก ใช่ไหม นั่นความทุกข์นะ ตัวเองยังไม่รู้ บางคนก็หลงทำ

    ทีนี้ ต่อไป อาตมาภาพนั้นเมื่อจิตเป็นสมาธิ (นี่ ในยามกลางแห่งราตรี ทรงเจริญฌานสมาบัติถึงจตุตถฌาน) บริสุทธิ์ผ่องแผ่วไม่มีกิเลสปราศจากอุปกิเลส อ่อนควรแก่งาน ตั้งมั่นไม่หวั่นไหวอย่างนี้ ได้โน้มน้อมจิตไปเพื่อจุตูปปาตญาณ รู้อุบัติรู้จุติและอุบัติของสัตว์ทั้งหลาย และอาตมาภาพนั้นย่อมเห็นหมู่สัตว์ที่กำลังจุติและกำลังอุบัติ เลว ปราณีต มีผิวพรรณดีมี ผิวพรรณทราม ได้ดี ตกยาก ด้วยทิพพจักษุอันบริสุทธิ์ล่วงจักษุมนุษย์

    คือ เห็นกฏแห่งกรรม ญาณที่สอง ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เพราะฉะนั้น คนไทยซึ่งเป็นเมืองพุทธ พึงสำเหนียก รู้ตัวซะ ใครทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว กรรม กรรมชั่วติดตามเหมือนเกวียน ล้อเกวียนกระทบเท้าโคที่ลากเกวียนไป ฉันใดฉันนั้น แต่คนทำดีเหมือนมีเงาติดตามตัวไปทุกหนทุกแห่ง ให้ผลเป็นความเจริญสันติสุขในชีวิต กรรมชั่วหนัก กรรมดีเบา หรือเรียกว่าบุญ ก็คือธรรมชาติที่ชำระจิตใจให้ผ่องใส เพราะคนจะทำดีก็ด้วยจิตใจที่มันผ่องใสนั่นแหละ ผ่องใสจากกิเลส ใช่ไหม

    นี่ ล่วงจักษุมนุษย์ ย่อมรู้ชัดซึ่งหมู่สัตว์ผู้เป็นไปตามกรรม ด้วยประการฉะนี้ ดูก่อนราชกุมาร นี้เป็นวิชชาที่สองที่อาตมาภาพได้บรรลุแล้วในมัชฌิมยามแห่งราตรี (คือ ในยามกลางแห่งราตรี) อวิชชาถูกกำจัดแล้ว วิชชาเกิดขึ้นแล้ว ความมืดถูกกำจัดแล้ว แสงสว่างเกิดขึ้นแล้วแก่อาตมาภาพผู้ไม่ประมาท มีความเพียร มีตนส่งไปแล้ว แลอยู่ (ก็คือว่า ดำเนินไปอย่างนั้น)

    ในยามปลายแห่งราตรี อาตมาภาพนั้นเมื่อจิตเป็นสมาธิ (นี่เจริญฌานสมาบัติขั้นที่ ๔ อีกครั้งหนึ่ง) บริสุทธิ์ผ่องแผ้ว ไม่มีกิเลส ปราศจากอุปกิเลส อ่อนควรแก่งาน ตั้งมั่นไม่หวั่นไหวอยู่อย่างนั้น ได้โน้มน้อมจิตไปเพื่ออาสวักขยญาณ ได้รู้ชัดความเป็นจริงว่า นี้ทุกข์ นี้ทุกขสมุทัย นี้ทุกขนิโรธ นี้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา เหล่านี้อาสวะ เหล่านี้อาสวสมุทัย เหล่านี้อาสวนิโรธ เหล่านี้อาสวนิโรธคามินีปฏิปทา

    เอาล่ะ ตรงนี้คือ เห็นแจ้งในอริยสัจตามความเป็นจริง โดยญาณสาม สัจจญาณ กิจจญาณ กตญาณ ดังได้กล่าวมาแล้ว และก็รู้เหตุแห่งทุกข์ นั่นคือ กิเลส ตัณหา อุปาทาน กิเลสตกตะกอนนอนเนื่องในจิตสันดานอย่างไร ที่ไหน ตรงนี้นะ ผู้เจริญภาวนาถูกส่วนจะรู้จะเห็นได้ ตามรอยบาทพระพุทธองค์ จะรู้เห็นอย่างนี้ได้

    (บางคนชอบตำหนิสมถะ) ทรงใช้อยู่แล้ว คุณไปตำหนิก็เท่ากับคุณเอาน้ำร้อนสาดหน้าตัวเอง เป็นกรรมนะ

    เมื่ออาตมาภาพนั้นรู้เห็นอย่างนี้จิตก็หลุดพ้นแล้ว แม้จากกามาสวะ แม้จากภวาสวะ แม้จากอวิชชาสวะ เมื่อจิตหลุดพ้นแล้วก็มีญาณหยั่งรู้ ว่าหลุดพ้นแล้ว รู้ชัดว่าชาตินี้สิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำเสร็จแล้ว กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี ดูก่อนราชกุมาร นี้เป็นวิชชาที่สาม ที่อาตมาได้บรรลุแล้วในปัจฉิมยามแห่งราตรี อวิชชาถูกกำจัดแล้ว วิชชาเกิดขึ้นแล้ว ความมืดถูกกำจัดแล้ว แสงสว่างเกิดขึ้นแล้ว แก่อาตมาภาพผู้ไม่ประมาท มีความเพียร มีตนส่งไปแล้ว แลอยู่.

    นี่ พระพุทธเจ้าท่านยังเจริญภาวนาสมาธิ นี่อาการตรัสรู้เลย แล้วใครปฏิเสธสมาธิคุณเป็นอะไร คุณเป็นอะไร คุณจะละเว้น แล้วมาตำหนิสมาธิน่ะ ถ้าใครตำหนิสมาธิน่ะ คุณเป็นอะไร.

    ______________
    เทศนาธรรมจาก

    พระเทพญาณมงคล
    หลวงตาเสริมชัย ชยมงฺคโล
    วัดหลวงพ่อสดธรรมกายาราม
    อ.ดำเนินสะดวก
    จ.ราชบุรี
    _______________
    ที่มาจากเทศนาธรรมเรื่อง "ปฏิบัติให้เข้าถึง"
    _______________
    เพจอมตวัชรวจีหลวงป๋า.
     
  2. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,805
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,142
    ค่าพลัง:
    +70,540
     
  3. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,805
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,142
    ค่าพลัง:
    +70,540
     
  4. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,805
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,142
    ค่าพลัง:
    +70,540
    แม้แต่พระจะได้เคยไหว้บ้างหรือเปล่า ก็ไม่แน่ใจ จึงไม่มีอุปนิสัยในทางบุญกุศลติดตัวไปในสัมปรายภพ•

    มีตัวอย่างเพิ่มเติมอีกตัวอย่างหนึ่ง เพื่อให้ท่านเห็นแนวทางของการเจริญปัญญา จากการที่ได้ทั้งรู้ทั้งเห็น อันเป็นทางให้บรรเทาหรือกำจัดอาสวะ กิเลส ตัณหา อุปาทาน ซึ่งเป็นเหตุแห่งทุกข์

    ซึ่งก็เป็นได้ตัวอย่างจากประสบการณ์ของลุงจอนอีกนั่นแหละ ด้วยว่าประสบการณ์ของลุงจอนนั้น พอจะเชื่อถือได้ ในฐานะที่ลุงจอนมีบุตรสาวซึ่งถึงธรรมกาย และร่วมเจริญภาวนาธรรมด้วยกันกับลุงจอนเสมอๆ ลุงจอนก็ได้อาศัยการตรวจสอบญาณทัสนะกับบุตรสาว เพื่อให้แน่ใจอีกด้วย

    แต่อย่างไรก็ตาม เรื่องเช่นนี้ ไม่จำเป็นที่จะต้องปักใจเชื่อหรือไม่เชื่อ เพียงแต่วางใจให้เป็นกลางๆไว้ แล้วเพียรฝึกปฏิบัติธรรมนี้ต่อไป ก็จะทราบด้วยตนเอง

    เมื่อวันที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2518 ลุงจอนได้รดน้ำศพญาติคนหนึ่ง ที่วัดสะพานสูง หรือวัดธรรมาภิรตาราม บางซื่อ ผู้ตายเป็นชาวจีน อายุประมาณ 60 ปีเศษ

    เมื่อว่างจากการสนทนากับญาติมิตรแล้ว ลุงจอนก็หลับตาเจริญภาวนาตามแนววิชชาธรรมกาย เพื่อตรวจดูว่า ผู้ตายจะไปเกิดในภพภูมิใด จะได้อุทิศส่วนกุศลให้

    ก็ปรากฏเห็นว่า ผู้ตายได้ไปเกิดในทุคติภูมิ คือนรก เพราะในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ ผู้นี้ได้ติดยาเสพติด คือยาฝิ่น จนกระทั่งป่วยหนักและสิ้นชีวิตลง จึงมาเสวยวิบากกรรมในภพภูมินี้

    เมื่อลุงจอนเห็นเช่นนั้น ก็ได้ทดลองอาราธนาพระธรรมกายให้ศีลแกผู้นี้ดู เผื่อจะได้อนุโมทนารับศีล จะได้เป็นบุญหล่อเลี้ยงให้พ้นทุกข์บ้าง

    แต่ปรากฏว่า กายละเอียดของผู้ตาย ซึ่งกำลังกำลังเสวยวิบากกรรมอยู่ในนรกนั้น ไม่ได้แสดงอาการรับรู้ใดๆเลย

    ทั้งนี้เพราะ ในระหว่างที่ยังมีชีวิตอยู่ ผู้นี้ไม่เคยรู้เรื่องการบริจาคทาน สมาทานศีล หรือการเจริญภาวนาธรรมเลย แม้แต่พระจะได้เคยไหว้บ้างหรือเปล่า ก็ไม่แน่ใจ จึงไม่มีอุปนิสัยในทางบุญกุศลติดตัวไปในสัมปรายภพ คือภพหน้านี้เลย

    ต่อมา วันเสาร์ที่ 21 ของเดือนเดียวกัน ลุงจอนก็ร่วมจริญภาวนาธรรมกับบุตรสาวและแม่บ้านอย่างเคย เมื่อจิตสงัดจากนิวรณ์แล้ว ก็ได้สั่งให้บุตรสาว ใช้ญาณพระธรรมกาย ตรวจดูญาติผู้ตายดังกล่าว ว่าจะไปเกิดอยู่ในภพภูมิใด เพียงแต่แจ้งชื่อและอายุของผู้ตายให้ทราบเท่านั้น มิได้เล่าประวัติให้ฟัง และสั่งมิให้ตอบในขณะที่อยู่ในกรรมฐาน

    เมื่อเสร็จจากการเจริญภาวนาแล้ว ทุกคนก็แยกย้ายกันไปทำธุระหน้าที่ส่วนตัว

    ลุงจอนจึงไปสอบถามเรื่องที่ได้ตรวจดู ก็ได้ความตรงกันว่า ผู้ตายกำลังเสวยวิบากอยู่ในนรก

    เพราะฉะนั้น จะเห็นได้ว่าการเจริญภาวนาตามแนววิชชาธรรมกาย ช่วยให้ผู้ปฏิบัติสามารถเจริญปัญญา จากการที่ได้ทั้งรู้และทั้งเห็นอย่างนี้ จึงช่วยให้ศรัทธาเชื่อมั่นในคุณพระพุทธ คุณพระธรรม คุณพระสงฆ์ยิ่งขึ้น ใครจะว่า นรก สวรรค์ นิพพาน มีหรือไม่มี ก็ไม่หวั่นไหว แล้วก็จะไม่ขอโต้เถียงให้เสียเวลาอีกด้วย.

    ที่มา: หนังสือ พุทธภาวนาวิชชาธรรมกาย
    กรกฎาคม 2525

    " คำว่า ธรรมกาย ก็ดี ว่าพรหมกาย ก็ดี
    ว่า ธรรมภูต ก็ดี ว่าพรหมภูต ก็ดี
    เป็นชื่อของ ตถาคต "

    tnsexphdvpuu7vghlw7hv6pv6gccfrxphqvbdiwdtcad1mb-5uj1nrx7k8ogwi044hkl-_nc_ht-scontent-fcnx3-1-jpg.jpg
     
  5. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,805
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,142
    ค่าพลัง:
    +70,540
     
  6. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,805
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,142
    ค่าพลัง:
    +70,540
     
  7. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,805
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,142
    ค่าพลัง:
    +70,540
     
  8. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,805
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,142
    ค่าพลัง:
    +70,540
    69440266_1644943022309658_2251422127146139648_n-552x360.jpg

    ประสบการณ์วิชชาธรรมกาย. โดย นุชจรีย์ สุนทรวรรณ


    ผู้เขียนเป็นรองผู้อำนวยการโรงเรียนโพธิสารพิทยากร เขตตลิ่งชันกรุงเทพฯ เคยเป็นอาจารย์สอนวิชาภาษาไทยมาก่อน ต่อมาได้ผันตัวเองเป็นผู้บริหารโรงเรียน ได้มีโอกาสมาวัดปากน้ำ รู้จักหลวงพ่อวัดปากน้ำพระมงคลเทพมุนี(สด จนฺทสโร) เพราะมีเหตุการณ์สำคัญเกิดขึ้นในชีวิตเป็นเหตุการณ์ที่พลิกผันชีวิตเมื่อปีพ.ศ. 2526 ได้ลาไปศึกษาระดับปริญญาโทที่มหาวิทยาลัยศรีนครินทราวิโรฒ ประสานมิตรรุ่นนั้นมีกันเพียง 12 คน เป็นช่วงเวลาเดียวกับการพบคลื่นชีวิตช่วงปี 2526 พี่ชายคนหนึ่งที่ผู้เขียนรักมากเกิดป่วยหนักถึงขั้นสูญเสียการควบคุมสติอย่างรุนแรงพยายามทำลายชีวิตตนเอง โดยกระโดดตึกโรงพยาบาลหลายหน จำพ่อแม่พี่น้องไม่ได้ ขับถ่ายไม่รู้ตัว ช่วยตัวเองไม่ได้ แพทย์หาสาเหตุไม่พบ ทำให้ผู้เขียนทุกข์ใจอย่างยิ่งการเรียนก็หนักหนาสาหัส ต้องอ่านหนังสือมาก ต้องมีการแสดงความคิดเห็นและสัมมนากันตลอดเวลา แต่ผู้เขียนเรียนไม่รู้เรื่องเลย นั่งซึมน้ำตาใหลห่วงกังวลน่ะสงสารพี่ชาย แต่ยังโชคดีมีบุญพบเพื่อนรุ่นพี่ที่เรียนด้วยกันซึ่งผู้เขียนปลื้ม ในความดีความเก่งนับถือเหมือนพี่สาวที่สำคัญพี่เป็นกัลยาณมิตรของผู้เขียนพวกเราเรียกว่า”พี่แป๋ว” ทุกท่านที่มาทำบุญที่วัดปากน้ำจะรู้จักพี่สาวคนนี้ดี ชื่อพลตรีหญิงทัศนศรี ไตรยคุณคุณ ขณะนั้นเป็นพันตรีหญิงมีความเมตตาเอื้ออาทรมาก มาพูดคุยไต่ถามสาเหตุแห่งความสุขเศร้าปลอบโยนแล้วแนะนำให้ไปวัดปากน้ำไปขอบารมีหลวงพ่อสดวัดปากน้ำ ขอบารมีคุณน้าตรีทา เนียมขำเรียกท่านตามพี่แป๋ว ซึ่งเป็นอาจารย์สอนสมถวิปัสสนากรรมฐาน ถึงซึ่งวิชชาธรรมกายระดับสูงให้ช่วยบรรเทาปัญหาชีวิตของพี่ชาย พาไปกราบหลวงพ่อบนหอสังเวชนียมงคลเทพนิรมิต พาไปพบคุณน้าตรีธา เนียมขำ ท่านแนะนำให้ไปกราบหลวงพ่อสดไปขอบารมีให้หลวงพ่อช่วยให้ยึดมั่นใน หลวงพ่อให้รักษาศีลและหมั่นนั่งสมาธิเอาบุญทั้งหมดให้พี่ชายเพราะเขาไม่รู้เรื่องทำด้วยตัวเองไม่ได้ คุณน้าตรีธาก็จะช่วยแก้โรคให้พี่ชายด้วย ถ้ามีเวลาว่างก็ให้มันไปนั่งสมาธิบนหอขาว สถานที่นี้เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์หลวงพ่อบอกว่าเป็นศูนย์จักรพรรดิ
    แรกแรกผู้เขียนไม่แน่ใจตัวเองว่าจะทำได้หรือไม่ เพราะมีความเชื่อว่าการนั่งสมาธิปฏิบัติธรรมเป็นเรื่องของพระภิกษุเท่านั้นแต่ด้วย มีความศรัทธาในตัวพี่แป๋วเป็นทุนเดิมและเห็นความรักความปรารถนาดีจึงลองไปนั่งสมาธิที่วัดปากน้ำและส่งรูปพี่ชายที่ป่วยบอกวันเดือนปีเวลาเกิด ฝากพี่แป๋วขอให้คุณน้าตรีธาให้ช่วยอัดบุญแก้โรคภัยไข้เจ็บให้พี่ชายทั้งทั้งที่ไม่รู้ว่าจะได้ผลอย่างไร ยังไม่มีความมั่นใจ
    ช่วงนี้เองเป็นโอกาสที่ทำให้ผู้เขียนเข้าใกล้ธรรมะ ฟังเทศน์ฟังธรรมมากขึ้นได้รู้ได้ฟังได้พิจารณาคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าและหลวงพ่อวัดปากน้ำมากขึ้นได้เพิ่มสติปัญญาทีละน้อยทีละน้อยแต่ทำเป็นประจำนั่งสมาธิเสร็จไม่ได้ขออะไรให้ตัวเองตั้งความปรารถนาส่งบุญให้พี่ชายปลอดภัยหายป่วยเท่านั้น
    ผู้เขียนนั่งสมาธิครั้งแรกเมื่อปีพ.ศ. 2526 บนหอขาววัดปากน้ำฟังเสียงหลวงพ่อสด จากเทปทำตามที่ท่านสอนทุกขั้นตอนได้ง่ายดายเห็นดวงแก้วตั้งแต่วันแรกเลยไม่รู้สึกแปลกอะไร ยังไม่รู้ว่าเป็นนิมิตหรือเป็นของจริง เข้าใจว่าทุกคนก็เห็นดวงแก้วใส เหมือนที่ผู้เขียนเห็น สว่างใสขึ้นทุกวันทุกวัน นึกเมื่อไรเห็นเมื่อนั้น เห็นตลอดเวลาพึ่งมารู้ภายหลังจากที่เล่าให้พี่แป๋วฟังว่าไม่ได้เห็นกันทุกคน ผู้เขียนเอาจิตกำหนดรู้เห็นภายในได้ง่าย เร็ว ไม่ได้เอาใจส่งออกภายนอกเลย เหมือนถูกควบคุมด้วยกลไกอะไรซักอย่าง สบายสบาย สงบ นิ่ง เย็น หยุดเข้าสู่กลางของกลาง ณ ศูนย์กลางกาย ไม่เหมือนถูกบีบบังคับใดๆ ใจแตะเบาเบาพอดีพอดีไม่หนักไม่เบาเกินไป ภาวะเช่นนี้ผู้เขียนมาสังเเกตอาการได้ในภายหลัง แต่ขณะนั่งสมาธิลงตัวโดยอัตโนมัติ
    ปีพ.ศ. 2530 ผู้เขียนมีศรัทธาอย่างแรงกล้าในการนั่งสมาธิอย่างต่อเนื่องเป็นประจำทุกวัน ไปโรงเรียนตั้งแต่หกโมงเช้า ถึงแล้วเนื่องด้วยมีอาชีพครูก็ดี ทำให้มีโอกาสพาเด็กเด็กมานั่งสมาธิในห้องพระที่โรงเรียน มีเด็กหลายคนมานั่ง บางคนเห็นเพื่อนมา ก็ตามตามกันมา มีเด็กที่นับถือศาสนาอิสลามก็มานั่งด้วย เป็นผู้นำองค์การและกิจกรรมทางศาสนาเสมอมาพานักเรียนเข้าค่ายธรรมะเป็นประจำ
    ผู้เขียนนั่งสมาธิติดต่อกันตั้งแต่ปีพ.ศ. 2526 ถึง 2530 เห็นดวงแก้วทุกครั้งหารู้ไม่ว่าคนอื่นไม่ได้เห็นกันทุกคน ช่วงนั้นรักษาอุโบสถศีลเป็นปกติ ศรัทธาแรงขึ้นเพราะเห็นผลเกิดแก่พี่ชายหายป่วยอย่างอัศจรรย์ซึ่งป่วยเป็นปีถ้าใครพบเห็นตัวอาจคิดว่าเป็นผี ผอม หน้าตาไม่ใช่มนุษย์เลย เหลือแต่หนัหุ้มกระดูก แต่ด้วยบารมี”ธรรมกาย”ทำให้หายสนิท ขับรถได้ส่งผลให้คนในครอบครัวของผู้เขียนศรัทธา ผู้เขียนพาคุณพ่อพี่ชายพี่สาว มาฝึกสมาธิที่หอขาววัดปากน้ำ ผู้เขียนลืมเล่าไปว่าตอนที่พี่ชายเริ่มป่วยอาการทรุดหนักความหวังไม่มี ผู้เขียนจึงได้อธิฐานจิตกราบขอบารมี จากหลวงพ่อสดที่หอประดิษฐานสรีระของหลวงพ่อว่าขอให้พี่ชายหายป่วย ได้ฝึกสมาธิก่อนแล้วจะเอาไปตายก็ไม่ว่าเพราะพี่ชายมีลูกเล็กสามคนและชีวิตของพี่มีอาชีพเป็นทหารไม่ค่อยได้ลิ้มรสพระธรรม ดื่มเหล้าสูบบุหรี่ ผู้เขียนกราบขอพรไว้ต่อมาก็ประสบผลตามทีอธิษฐาน พี่ชายพื้นอย่างอัศจรรย์ยิ่ง จนคุณหมอที่โรงพยาบาลพระมงกุฏออกปากกับคุณแม่ว่า คุณป้าครับ ในพันคนรอดสักหนึ่งคนก็ยากครับ
    พ่อแม่พี่ๆของผู้เขียนได้พบเห็นผลแห่งการฝึกสมาธิและบารมีของหลวงพ่อสด ทำให้พี่ชายรอดชีวิตและได้บรรพชาอุปสมบทถึงสามเดือนจุดนี้ทำให้ครอบครัวเกิดศรัทธายิ่งขึ้น
    ต้นเดือนมิถุนายน 2530 ผู้เขียนรู้สึกอยากไปปฏิบัติธรรมปลีกวิเวกรักษาศีลแปดนั่งสมาธิช่วงวันเกิด 13 มิถุนายน อยากปลีกวิเวก อยู่ที่สงบตามป่าเขาหรือธรรมชาติ ทางบ้านเป็นห่วง แต่ไม่กล้าทัดทานเพราะเกรงจะบาป ผู้เขียนฟังวิทยุว่ามีวัดหลวงพ่อสดธรรมกายยารามที่จังหวัดราชบุรี ผู้เขียนจึงชวนหลานสาวเดินทางไปรักษาศีลแปดปฏิบัติธรรมที่วัดหลวงพ่อสดธรรมกายยารา 3 วัน ศุกร์-เสาร์-อาทิตย์ 12 – 15 มิถุนายน 2530 ได้ฝึกสมาธิ เช้า กลางวัน เย็น ค่ำ เกิดความมหัศจรรย์ จากเดิมเคยเห็นดวงแก้วใสที่ศูนย์กลางกายเป็นปกติ ก็เห็นซ้อนกันหลายดวงนับไม่ถ้วน ขยายใหญใสสว่างมาก ในดวงแก้วมีกายของตนเองซ้อนอยู่ ขยายใหญ่ ในกายมีดวงซ้อน สลับกันไปมา ใสสะอาด กลางดวงใสกับกลางของกลางกายเป็นจุดเดียวกัน เร็วมากถ้าจะพูดถึงดวงและกายก็ยังพูดไม่ทันเลยเพราะความเร็วสูงมาก
    ต่อมาได้เห็นกายหลายกายซ้อนดวง ดวงแก้วซ้อนดวงกาย กลางกายมีดวงขยายใหญ่ใสใส ต่อมาเห็นองค์พระเข้าใจว่าเป็นประธานนั่งขัดสมาธิธิ ผู้เขียนเห็นในศูนย์กลางกายซ้อนจากดวงแก้วใส เห็นมาถึงประมาณเอวของพระพุทธรูปหยุดแค่นั้น ไม่ตื่นเต้นตกใจเลย ไม่ดีใจ จิตนิ่งเฉยเฉยเป็นอัตโนมัติ เหมือนถูกดูแลในสัดส่วนความพอดี เห็นองค์พระครึ่งองค์ ก็หยุดแค่นั้น จึงระลึกถึงหลวงพ่อ ในจิตมีคำถาม ว่า”ลูกเป็นอะไร”ทันทีนั้น ผู้เขียนได้ยินเสียงเกิดมาจากฐานที่7 ศูนย์กลางกาย จำได้ว่าเป็นเสียงหลวงพ่อสด แต่ข้อความนี้ไม่เคยได้ยินมาก่อนข้อความนั้นเป็นเสียงว่า”อย่าดีใจเดี๋ยวจิตจะแลบ”
    ผู้เขียนสัมผัสชัดเจนมากๆจิตไม่ดีใจ ไม่ตื่นเต้น แต่สงบเย็นโดยอัตโนมัติ ทันใดจิตเห็นภาพพระพุทธรูปจากสะดือเลื่อนขึ้นไปถึงพระศียรเห็นทั้งองค์ กลางกายองค์พระ กับกลางกายเนื้อและศูนย์กลางดวงธรรมเป็นศูนย์เดียวกัน ที่แปลกผู้เขียนเห็นองค์พระหันหน้าไปทิศทางเดียวกับกายเรา เห็นด้วยทัด้านหน้า หลัง ซ้าย ขวา ส่วนบน ส่วนล่างขององค์พระเลย พอออกจากท่านั่สมาธิ พระที่สอนนำท่านก็พูดท่ามกลางความสงบ ซึ่งคนอื่นๆต่างก็ได้ยินชัดว่า “เห็นแล้วใช่ไหม”แปลกว่าพระท่านทราบได้อย่างไร จึงถามท่านว่าตัวผู้เขียนเป็นอะไร ท่านตอบว่า”คุณโยมได้ธรรมกายแล้ว”ผู้เขียนงงๆไม่ดีใจใดๆเป็นเวลาเดียวกับผู้ปฏิบัติธรรมทั้งหนุ่มสาวผู้เฒ่าที่ศาลาปฏิบัติธรรมต่างเข้ามารุมล้อมอนุโมทนา ผู้เขียนงงคิดว่า ถูกสะกดจิตถูกหลอกหรือเปล่าแต่ก็พิจารณาประมวลได้ว่า ได้ยินเสียงหลวงพ่อสดจากศูนย์กลางกายของตนเองถ้อยชัดคำและภาพองค์พระใสยังคงอยู่เสมอมา แต่ก็อดไปถามพระ คุณน้าตรีธาและแม่ชีไม่ได้ ผู้เขียนได้ไปถามพระ แม่ชี ผู้ได้ธรรมกายเพื่อยืนยันความรู้ความเห็นท่านก็ยืนยันคำตอบตรงกัน
    ความแปลกอีกประการในวันที่ผู้เขียนเห็นองค์ธรรมกายและเข้า 18 กายได้เร็วมากตอนนั้นไม่รู้จักว่า 18 กายคืออะไรยังจำได้ว่าวันนั้นที่เห็นธรรมกายเป็นวันเสาร์ที่ 13 มิถุนายน 2530 เวลา 06.15 น เป็นวันคล้ายวันเกิดของผู้เขียนพอดีตรงทั้งทางจันทรคติและสุริยคติ และเวลาตกฝากด้วย และเป็นเวลาที่ฝนตกมาเป็นครั้งแรกของฤดูฝนที่จังหวัดราชบุรี พระที่นั่นบอกว่าให้ไปต่อวิชชาที่วัดปากน้ำ ท่านต่อให้ไม่ได้แล้ว วันสุดท้ายจะกลับบ้านก็เห็นองค์พระแก้วใสขยายใหญ่มากๆ สุดตา ได้มาเล่าทั้งหมดให้คุณพ่อคุณแม่และพี่พี่ฟัง ทุกคนต่างปลื้มปิติน้ำตาไหล ตอนแรกก็กลัวว่าเค้าจะไม่เชื่อและกลัวว่าจะผิดบาปที่นำเรื่องที่รู้ได้เฉพาะตนมาเล่า เป็นการอวดอุตริหรือเปล่า พระท่านก็แนะนำว่าให้อธิฐานจิตก่อนเล่า ขณะที่เล่าเรื่องเป็นเวลาราวสองทุ่มทุกคนต่างได้ยินเสียงดังเหมือนระเบิดลงบ้าน สะเทือนไหวแรงทั้งบ้านสักพักก็หยุดไม่มีอะไรตกแตก เสียหายเลย พีๆจึงบอกผู้เขียนว่าให้รีบอุทิศบุญกุศลให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ของบ้าน ซึ่งผู้เขียนเองก่อนไปรักษศีลสามวันได้บอกกล่าวกับพระพุทธรูปประจำบ้านและเทพเทวาว่าจะไปรักษาศีลแปดปฏิบัติธรรม แล้วจะนำบุญมาฝากท่านทั้งหลาย แล้วก็ลืมคำพูดไปพอได้ยินเสียงดังสนั่นหวั่นไหวเหมือนมาเตือน จึงทราบว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์มาขอรับส่วนบุญครั้งนี้
    หลังจากนั้นพี่แป๋วได้ไปเรียนให้คุณน้าตรีธาเนียมขำ ทราบเผอิญเป็นช่วงเวลาที่ท่านไม่ค่อยว่างจึงแนะนำให้ไปต่อวิชชาธรรมกาย กับแม่ชีรัมภา โพธิ์คำฉาย ท่านได้เมตตา ต่อวิชชาธรรมกายให้จนหมดต่อจากนี้ก็เป็นเรื่องที่ผู้เขียนจะต้องปฏิบัติเองทำเองรักษาไว้เองให้เจริญและละเอียดใสเสมอ
    ได้พบสิ่งมหัศจรรย์แปลกแปลกเกิดขึ้นมากมายไม่เคยรู้มาก่อน มีอยู่คืนหนึ่งขณะนั่งสมาธิรู้ตัวทุกอย่าง ขอไปดูสวรรค์นรกก็ได้โดยตรึกระลึกถึงบารมีหลวงพ่อสด เห็นชัดเจนมาก มีสติรู้ตัวตลอดเวลา ไม่หลับไม่ฝัน
    สิ่งแปลกแปลกหลากหลายเกิดขึ้น มากผู้เขียนได้บันทึกสิ่งที่ได้พบเห็นไว้อย่างละเอียดในช่วงแรกๆ พบเห็นมากจนกลายเป็นเรื่องปกติ งานราชการก็มีมากจนต้องหยุดบันทึก
    สิ่งที่ได้เขียนให้ผู้อ่านได้ทราบนี้เป็นไปตามคำขอของ พลตรีหญิงทัศนศรี ไตรยคุณ ใจจริงแล้วไม่ค่อยอยากเขียนเกรงคนไม่เข้าใจ แต่คิดว่าโอ้อวด แต่พี่แป๋วบอกว่า เขียนเถอะ เป็นธรรมทานถวายเป็นพุทธงูชาธรรมบูชา และบูชาพระคุณของหลวงพ่อวัดปากน้ำ
    อาจารตรีธาและลูกศิษย์ของหลวงพ่อทุกคนมีความยินดีและอนุโมทนากับผู้ที่ได้วิชชาธรรมกายทุกคน เป็นการยืนยันว่าวิชชาธรรมกายที่หลวงพ่อได้พากเพียรพยายามปฏิบัติมา และนำมาสั่งสอนให้ผู้อื่นได้รู้เห็นเป็นความจริง ใครที่ตั้งใจยึดถือปฏิบัติจริงจัง ได้เห็นผลจริงทุกราย ไม่ใช่เรื่องของการเพ้อฝันหรืออยากดังใดใดทั้งสิ้น

    จากหนังสือที่ระลึกกฐินพระราชทาน วัดปากน้ำ ปี 2554


    --------------------------------
    http://dhammakaya.tv/ประสบการณ์วิชชาธรรมกาย/
     
  9. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,805
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,142
    ค่าพลัง:
    +70,540
    ✍️ "หลักธรรมะทั้งหมด เป็นธรรมะที่ครองใจทั้งนั้น เพราะว่าธรรมะเป็นเรื่องของนามธรรมจริงๆ แม้จะตรัสสอนเรื่อง รูปธรรม แต่ก็เป็นคำสอนที่จะนำไปครองใจ เอาไปเก็บไว้ในใจ ธรรมะทั้งหมดจึงเป็นธรรม ที่ครองใจ"

    ✍️คำว่า "นามธรรม" คือไม่สามารถจับต้องได้โดยอาศัยประสาทสำผัสทั้ง 5 อันประกอบไปด้วย ตา หู จมูก ลิ้น และร่างกาย เช่น ความรู้สึกต่างๆ ทุกคนเชื่อว่ามีอยู่จริง แต่ไม่สามารถจับต้องได้ นั่นคือ สิ่งที่เป็นนามธรรม

    ✍️ ด้วยเหตุนี้เอง "จิตใจ" จึงจัดอยู่ในสิ่งที่เป็นนามธรรมด้วย เพราะไม่สามารถสำผัสได้ทางประสาทสำผัสหยาบทั้ง 5 ก็ต่อเมื่อมีผู้ใด ฝึกเจริญสมาธิภาวนาจนถึงจุดๆหนึ่ง ก็จะทราบว่าจิตใจและอารมณ์ต่างๆมีอยู่จริง

    ✍️ความรัก โลภ โกรธ หลง ต่างๆอยู่ที่ไหน? ถ้าอยู่ที่ร่างกายที่เป็นรูปธรรม คงไม่ต้องห่วง เพราะว่าถ้าอยากลดสิ่งใด ก็ไปหาหมอ ให้หมอช่วยตัดออกให้หรือฉีดยารักษาให้ หรือสักวันหนึ่งก็หายไปเอง ในวันที่อายุขัยหมด ก็ต้องทิ้งร่างกาย กิเลสทั้งหมดก็ย่อมถูกทิ้งตาม

    ✍️ แต่เหตุการณ์หาเป็นเช่นนั้นไม่ เนื่องจากว่ากิเลสทั้งหลายเป็นรูปธรรม ไม่สามารถจับต้องได้ด้วยประสาทหยาบทั้ง 5 ก็เลยกลายเป็นว่าต้องใช้เครื่องมือที่เป็นรูปธรรมจัดการเช่นกัน นั่นก็คือจิตใจนั่นเอง

    ✍️ ด้วยเหตุนี้ธรรมะทั้งหมด จึงอยู่ที่จิตใจเป็นสำคัญ ผู้ใดครองธรรมะในใจไว้มาก ทำมาก ปฏิบัติมาก กิเลสก็จะค่อยๆล้มหายตายจากไปทีละนิด จนหมดไป

    แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ตรัสสอนเรื่องของรูปธรรม คือร่างกายด้วย เพราะแม้ว่ากิเลสไม่ได้อยู่ในร่างกาย แต่ร่างกายก็เป็นสิ่งที่มนุษย์หลงผิด คิดว่าเป็นตัวเรา ของเรา เมื่อมีใครมาทำให้เกิดเสื่อมเสียทางร่างกาย กิเลสในใจก็ปรุงแต่งให้มีอารมณ์รัก โลภ และโกรธ ขึ้นมา ด้วยความ "หลง" เป็นหัวหน้าใหญ่

    อีกทั้งรูปสวย เสียงเพราะ กลิ่นหอม รสอร่อย และสำผัสที่พึงพอใจ ก็เป็นผลมาจากการที่ร่างกายรับมาทั้งนั้น

    พระพุทธองค์จึงต้องแสดงความจริงของร่างกายให้เห็น เพื่อให้คนได้เข้าใจว่าแท้จริงแล้วร่างกายมันไม่เป็นเรา ไม่เป็นของเรา เราไม่มีในร่างกาย ร่างกายไม่มีในเรา สิ่งที่สำผัสได้ทั้งหมดนั้น เป็นของปลอม เป็นของไม่เที่ยง เป็นทุกข์ สุดท้ายก็สูญสลายหายไปตามกาลเวลา

    เมื่อบุคคลใดพิจารณาตาม ก็จะพบว่ารูปธรรมไม่มีอยู่จริง ตามที่ได้กล่าวไป ในเมื่อไม่มีอยู่จริง จะยึดมั่นถือมั่นว่าเป็นของเราไปเพื่ออะไร เพราะเหมือนกับการไขว่คว้าอากาศ ไขว่คว้าความว่างเปล่า ไม่ได้อะไรเลย

    เมื่อจิตใจพิจารณาจนเกิดปัญญา ก็เกิดอาการปล่อยวางในรูปธรรมทั้งหมด เหลือแต่ธรรมะที่ครองอยู่ภายในใจ

    www.watluangphorsodh.org/

    #วัดหลวงพ่อสดธรรมกายาราม
    #หลวงพ่อสด #หลวงป๋า #ธรรมกาย

    GkpFLS57UdtNebvCILs7bAKE5BSK5NC_1YlKQH_aWyoV&_nc_ohc=7r_XwUoDoqQAX-mlRp2&_nc_ht=scontent.fcnx3-1.jpg
     
  10. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,805
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,142
    ค่าพลัง:
    +70,540
     
  11. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,805
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,142
    ค่าพลัง:
    +70,540
    วิธีง่ายๆ ที่ทำให้ใจเข้าไปอยู่ในท้อง โดย หลวงตาอู๋

    26 พฤษภาคม 2562

    อาตมาเป็นคนหนึ่งที่ไม่สามารถเอาใจเข้าไปอยู่ในท้องได้เลย ตั้งแต่บวชเข้ามาก็พยายามหาวิธีที่จะเอาใจให้เข้าไปอยู่ในท้องให้ได้ ทำตามแบบที่ครูบาอาจารย์สอนคือการขึงเชือกที่ตรงบริเวณสะดือจากหน้าไปหลัง และจากซ้ายไปขวา จุดที่เส้นทั้ง 2 ตัดกันคือจุดศูนย์กลางกาย แต่อาตมาก็นึกไม่ได้หรือเห็นมันก็จะเลื่อนออกไปนอกกายเสมอ

    เคล็ดวิชชาธรรมกายที่สำคัญที่สุดก็คือการเอาใจให้ไปตั้งไว้ที่ศูนย์กลางกายนี้เอง ถ้าทำไม่ได้ก็ไปต่อไม่ได้ แต่คนเราตั้งแต่เกิดจนโตก็มองออกไปนอกตัวทุกวัน เอาใจออกนอกตัวมาทั้งชีวิต ไม่เคยต้องมองเข้ามาในตัวเลย พอมานั่งสมาธิให้เอาใจเข้าไปในท้องมันจึงทำกันไม่ได้

    ตอนนี้อาตมาพอจะรู้วิธีง่ายๆ แล้ว ทำปุ๊บได้ปั๊บเลย ใครที่ยังเอาใจไปไว้ในท้องไม่ได้ก็ทำตามขั้นตอนต่อไปนี้ได้เลย

    1. นั่งขัดสมาธิตั้งกายให้ตรง จำเป็นกฎเอาไว้เลยว่า “หน้าเชิด อกตั้ง หลังตรง” อย่านั่งก้มหน้า

    2. หลับตาแล้วเหลือกตาให้ตาไปค้างอยู่ข้างบนเหมือนคนที่กำลังจะหลับ คนเราทุกคนตอนเกิด ตอนจะหลับ ตอนจะตาย หรือตอนสปัสซั่ม ตาจะเหลือกทุกคนเพราะมันคือธรรมชาติ

    3. เอาใจนึกให้เห็นเส้นผมที่อยู่บนศีรษะ แล้วเลื่อนไปข้างหลังนึกให้เห็นเส้นผมที่อยู่ที่ท้ายทอย

    4. เอามือข้างใดข้างหนึ่งไขว้ไปไว้ที่ด้านหลังบริเวณเอว แล้วเอาเล็บมือกดตรงกระดูกสันหลังเพื่อให้เรารู้สึกว่าบริเวณเอวด้านหลังอยู่ตรงนี้

    5. เอาใจนึกเลื่อนจากด้านหลังศีรษะลงมา ค่อยๆ นึกเลื่อนลงไปที่ตรงจุดที่เราเอานิ้วกดไว้

    6. เอาใจนึกเลื่อนเข้าไปในท้องเล็กน้อยประมาณครึ่งคืบ จุดนี้แหละคือจุดศูนย์กลางกายของเรา แล้วเราก็ตั้งจุดใสเล็กๆ สว่างๆ ขึ้นมาที่ตรงจุดนี้ เอาใจไปจรดเอาไว้ นึกแช่เอาไว้ ถ้าใจมันนิ่งพอจุดนี้มันจะดึงดูดใจของเราให้เข้าไปเอง แต่ถ้ามันไม่ยอมเข้าไปเราก็ต้องนึกเอาเองว่าใจมันเข้าไปได้แล้ว จะเห็นดวงแก้วใสดวงใหม่ผุดขึ้นมา ฝึกทำบ่อยๆ ให้เคยชิน

    ง่ายมากเลยโยม อาตมาทดลองดูแล้วได้ผลดีกว่าวิธีอื่นๆ หากเรารู้เทคนิควิธีอะไรๆ มันก็ไม่ยากหรอกโยม พอเรานึกได้แล้วก็ไม่ต้องไปสนใจที่ตาว่าจะยังเหลือกอยู่หรือเปล่า เพราะใจเราไม่ได้ไปอยู่ที่ตาแล้ว ใจมันไปอยู่ที่จุดศูนย์กลางกายเรียบร้อยแล้ว


    temp_hash-661719d5d7806c6b753b80c5a65ecfca-png.png

    temp_hash-661719d5d7806c6b753b80c5a65ecfca-jpg.jpg

    temp_hash-661719d5d7806c6b753b80c5a65ecfca-gif.gif temp_hash-661719d5d7806c6b753b80c5a65ecfca-gif.gif

    temp_hash-661719d5d7806c6b753b80c5a65ecfca-jpg.jpg
     
  12. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,805
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,142
    ค่าพลัง:
    +70,540
     
  13. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,805
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,142
    ค่าพลัง:
    +70,540
     
  14. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,805
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,142
    ค่าพลัง:
    +70,540
    เรื่องเล่าจากประสบการณ์ตรงของวิทยากรวัดหลวงพ่อสดฯ


    ช่วยแม่จากมหานรก


    เรื่องที่จะกล่าวต่อไปนี้ เป็นประสบการณ์ที่เกิดขึ้นจริงของข้าพเจ้า มิได้ต้องการให้เป็นการโอ้อวด แต่มีวัตถุประสงค์ที่สำคัญยิ่ง 2 ประการ คือ



    ประการแรก เพื่อให้เป็นการแลกเปลี่ยนความรู้ประสบการณ์ที่ได้จากการปฏิบัติธรรมจริงๆ เพื่อให้ผู้อื่นที่ได้ปฏิบัติเข้าถึงและพบปัญหาแบบเดียวกันเข้าใจ สามารถแก้ไขตนเองได้ทัน เพราะบางทีปัญหาเกิดขึ้นเมื่อไม่มีครูบาอาจารย์อยู่ด้วย ถ้าตนเองไม่รู้เรื่องไม่เข้าใจ ก็อาจแก้ปัญหาไม่ถูกต้องตามแนวทาง ทำให้เกิดผลเสียหนักขึ้นได้ การทำวิชชาชั้นสูงที่ละเอียดมากๆ ต้องระวังอย่างยิ่ง ความผิดพลาดเพียงเล็กน้อย อาจทำให้เกิดผลเสียหายอย่างร้ายแรง ที่ไม่อาจแก้คืนหรือแก้คืนได้ยาก เช่น อาจพลาดแล้วถูกภาคมาร (กิเลสมาร) ยึดสุดละเอียดไป ทำให้หลง ไม่เห็นกิเลสละเอียด ทำให้กาย วาจา ใจ เบี่ยงเบนไปจากธรรมฝ่ายสัมมาทิฏฐิไปทีละน้อย จนไม่รู้สึกตัว แล้วจะถูกทำลายธาตุธรรมไปในที่สุด


    ประการที่สอง เป็นการยืนยันว่าธรรมกายเป็นของจริง ขอให้ท่านผู้อ่านทั้งหลายที่เป็นลูกศิษย์ของหลวงป๋า ทราบและมั่นใจได้เลยว่า วิชชาธรรมกายที่หลวงป๋าสอน ตามพระเดชพระคุณ หลวงพ่อวัดปากน้ำ (สด จนฺทสโร) นั้น เป็นธรรมะของจริงขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และเมื่อปฏิบัติถูกต้องแล้ว ย่อมได้ผลจริง
    ขอพวกเราจงภูมิใจเถิดว่า เรานั้นไม่เสียชาติเกิดเลย ที่ได้มาเป็นลูกหลานของหลวงป๋า เพราะการสอนของท่าน เปิดใจกว้างเสมอ ไม่เคยปิดบังวิชชา เรียกว่าเปิดกันจนหมดตัวหมดใจเลยทีเดียว แต่เฉพาะศิษย์กับครูเท่านั้นนะ ท่านถึงจะให้เห็น เพราะท่านถือว่าจำเป็นในการสอน เพื่อที่ศิษย์จะได้เข้าใจถูกต้อง ครบถ้วน ตามจริง ไม่ถือว่าเป็นการอวดอุตตริมนุสสธรรม ถือว่าเป็นการสอน
    ทุกครั้ง ในการสอนธรรมะ ข้าพเจ้าเห็นกายของท่านใสเป็นแก้ว ฉัพพรรณรังสีปกคลุมไปทั่วบริเวณลานธรรม บางครั้งเห็นมีอาสนะเป็นพญานาค 7 เศียร นั่นหมายถึงท่านเป็นธาตุธรรมที่แท้จริงขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า รัศมีที่เปล่งออกมาหมายถึงความเมตตาต่อสัตว์โลกทั้งหลาย ไม่เคยแบ่งว่าใครเป็นพระหรือมาร และข้าพเจ้าเห็นด้วยตัวเองว่า เมื่อถึงตอนแผ่เมตตาด้วยความบริสุทธิ์ใจของท่าน แม้แต่ไฟนรกยังดับ ทั่วทั้งจักรวาลมีแต่เสียงสาธุ นี่คือการสอนธรรมะในแต่ละครั้งของท่าน เพราะฉะนั้นที่วัดหลวงพ่อสดฯ ซึ่งท่านเป็นเจ้าอาวาสทำวิชชาทุกวันตลอดเวลา (เรียกว่า วิชชาเป็น) ที่นั่นจึงเป็นศูนย์รวมแห่งความศักดิ์สิทธิ์ เพราะทุกอณูของวัดหลวงพ่อสดฯ เป็นเหมือนเกล็ดเพชรระยิบระยับอยู่เต็มพื้นที่ แต่เมื่อดูด้วยตาธรรมกายแล้ว จะเห็นเป็นองค์พระมากกว่าเมล็ดทรายในท้องมหาสมุทรเสียอีก
    จากจุดเริ่มต้นในวิชชาชั้นสูง ที่หลวงป๋าเปิดใจให้กับศิษย์ซึ่งมีความรู้แค่หางอึ่ง ยังไม่ลึกซึ้งในวิชชาธรรมกายเท่าไรนัก จึงทำให้ข้าพเจ้าผู้ที่เป็นคนที่นับถือศาสนาอื่นมาก่อน เริ่มศรัทธาในศาสนาพุทธ และด้วยความเมตตาที่ท่านมีให้แก่ศิษย์ ท่านจะคอยประคับประคองในเรื่องวิชชา ไม่ให้เดินออกนอกลู่นอกทาง
    อยู่มาวันหนึ่งข้าพเจ้าเกิดสงสัยขึ้นมาว่า ทำไมทุกครั้งที่นั่งธรรมะเสร็จแล้ว แผ่เมตตา ไม่เคยเห็นพ่อแม่ ญาติพี่น้องของเราที่เสียชีวิตไปแล้วมาอนุโมทนาบุญเลย จึงกราบเรียนให้ท่านทราบ ท่านก็ให้ความกระจ่างมาว่า เขาเป็นมิจฉาทิฏฐิ ไปอยู่สุดขอบจักรวาลโน่น วิธีช่วยน่ะมี แต่การช่วยคนนอกศาสนา ไม่เหมือนกับช่วยชาวพุทธที่อยู่ในนรกนะ เพราะต้องแลกด้วยบุญบารมี (หมายถึงบุญบารมีของท่านที่สร้างมา จะต้องถูกตัดทอนลดลงไป) ฉะนั้นให้เลือกมา 1 คน จะเอาใคร ข้าพเจ้าก็ขอเลือกแม่ ท่านเริ่มทำสมาธิ ให้ข้าพเจ้าทำสมาธิตามไปด้วย ในระหว่างที่เดินวิชชาอยู่นั้น จะเห็นท่านเดินนำหน้าไปคอยอยู่แล้ว เราก็เข้ากลางตามท่านไป ความรู้สึกเวลานั้นไม่เหมือนกับนั่งสมาธิแล้ว เหมือนกับว่าเข้าไปในมิติของแดนสนธยาเลย ยิ่งเดินก็ยิ่งมืด เห็นแต่หลวงป๋าองค์เดียว เพราะรัศมีกายท่านสว่างมาก แต่บริเวณนั้นมืดหมด ในที่สุดท่านก็บอกว่า ถึงแล้วนะ ให้เรียกชื่อแม่ 3 ครั้ง ท่านว่าแม่มาแล้ว ข้าพเจ้ามองไปที่เท้าของหลวงป๋า เห็นแม่นั่งยองๆ ผิวหนังขาดวิ่น ผมเป็นกระเซิง เห็นสภาพของแม่แล้วน้ำตาไหลด้วยความสงสาร เสียงหลวงป๋าดังขึ้นทันที เข้ากลางเอาไว้ เพราะจิตเริ่มส่าย ภาพของแม่เริ่มเลือนๆ ถ้าคุมสติไม่อยู่ คงต้องเริ่มต้นกันใหม่ เข้ากลางอยู่พักหนึ่ง เมื่อใจเริ่มเป็นปกติ ท่านก็ให้เรียกแม่อีก ครั้งแรกแม่ทำท่าตกใจเมื่อเห็นข้าพเจ้า เพราะเราเป็นองค์พระอยู่ หลวงป๋าให้เรียกแล้วให้บอกว่าเราเป็นลูกชื่ออะไร เมื่อแม่จำได้ก็ร้องไห้ ขออธิบายเรื่องความจำของแม่สักนิด คนที่ตายไปแล้ว ถ้าสมัยมีชีวิตอยู่ไม่เคยฝึกสมาธิ ตายไปก็จำอะไรไม่ได้ เหมือนกับที่เราเกิดมาจากไหน เป็นอะไรมาก่อน เราก็ไม่รู้ ต้องมาฝึกสมาธิถึงจะรู้อดีตได้ แต่ที่แม่จำได้ก็เพราะหลวงป๋าคุมอยู่ตลอดเวลา ในที่สุดท่านก็ให้แม่รับไตรสรณาคมน์ โดยการให้ข้าพเจ้าเข้ากลาง แล้วถ่ายทอดเสียงของหลวงป๋าไปยังแม่ เมื่อแม่รับไตรสรณาคมน์แล้วก็กราบ 3 หน เป็นการยอมรับในบวรพระพุทธศาสนา แล้วหลวงป๋าก็ใช้ให้จักรแก้วเป็นพาหนะ ส่งแม่ไปยังสวรรค์ ก็ช่วยได้แค่ดาวดึงส์เท่านั้น เพราะบุญของแม่มีน้อย แถมยังทำบุญกับศาสนาของตัวเองโดยการฆ่าสัตว์ใหญ่ ตามความเชื่อของบรรพบุรุษว่า เมื่อตายไปจะได้ขี่วัวขี่แพะ ขึ้นสวรรค์ไม่ต้องเดินให้ลำบาก เพราะความเมตตาของหลวงป๋าในครั้งนั้น ทำให้ข้าพเจ้าซาบซึ้งในความกรุณาของท่านเป็นยิ่งนัก จะไม่มีวันลืมพระคุณของท่านได้เลยในชาตินี้ จึงขอมอบกายถวายชีวิตแด่บวรพระพุทธศาสนาตราบเท่าชีวิตจะหาไม่และทุกภพทุกชาติไป ตราบเท่าเข้าสู่พระนิพพาน



    ( มีต่อ)
     
  15. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,805
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,142
    ค่าพลัง:
    +70,540
    (ต่อ)





    ......................



    ... ท่านเคยบอกว่า จำไว้นะ เมื่อเป็นคนของหลวงพ่อแล้ว (หมายถึง หลวงพ่อสด) ท่านจะไม่ทิ้ง เพราะถ้าหลงไปตามสิ่งที่มารเขานำมาล่อ จะถูกภาคมารยึดสุดละเอียด หลังจากนั้นเขาจะให้ความสมบูรณ์ทุกอย่าง เป็นต้นว่า ทรัพย์สมบัติหรืออะไรต่อมิอะไรก็ได้ทั้งนั้น เพื่อทำให้เราหลง แต่พอหมดประโยชน์กับเขาแล้ว ทีนี้แหละ ความเดือดร้อนนานัปการจะทับทวีเป็น 10 เท่า 100 เท่าเลยทีเดียว ได้ยินเช่นนั้นแล้ว ความเชื่อมั่น ความศรัทธาต่อวิชชาธรรมกาย เปี่ยมล้นขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก ชี้ให้เห็นถึงความเอาใจใส่ของหลวงป๋าที่มีต่อศิษย์ ถ้าเราตั้งใจทำวิชชา ทีนี้ทุกครั้งที่นั่งต่อหน้าท่าน ก็ต้องระวังตัว ไม่กล้ากระดิกใจออกนอกลู่นอกทางเด็ดขาด ท่านจะพูดกับข้าพเจ้าเสมอว่า จงร่วมกันสร้างบารมี
    ท่านผู้ท่านที่รักทั้งหลาย ความลับของหลวงป๋าในธาตุธรรมขององค์ต้นของหลวงพ่อสด ยังมีอีกมากมาย ท่านที่เป็นลูกศิษย์ทั้งหลายจงรีบตักตวงวิชชาให้มากที่สุดเมื่อท่านยังมีชีวิตอยู่ อย่าให้ต้องเสียใจภายหลังเมื่อไม่มีท่านแล้ว ความเป็นธาตุธรรมที่แท้จริงนั้น เปรียบเสมือนความศักดิ์สิทธิ์ ฉะนั้นใครก็ตามที่คิดไม่ดี ทั้งกาย วาจา ใจ ต่อท่าน ขอบอกได้เลยว่า ท่านผู้นั้นเมื่อตายไป มีที่อยู่แน่นอนคือนรกภูมิ จะเป็นขุมไหนก็เลือกได้ตามสบายเลย เผลอๆ ยังไม่ทันจะตาย กรรมก็ตามทันเสียแล้ว พิสูจน์กันเอาเองก็แล้วกัน ผู้ทำวิชชาจะรู้ดีว่า อาจารย์ของเขาเป็นอย่างไร
    พูดถึงเรื่องรู้จิตรู้ใจ มีเรื่องขำๆ หลายเรื่อง จะเล่าให้ท่านผู้อ่านทราบสัก 2 เรื่อง เรื่องแรกมีอยู่ว่า ครั้งหนึ่ง ท่านเล่าถึงชีวิตฆราวาส สมัยหนุ่มๆ ท่านทำกับข้าวเก่ง ตำน้ำพริกก็เก่ง น้ำพริกใส่อะไรท่านตำอร่อยทั้งนั้น เราก็คิดในใจ เก่งจังเลย เราเป็นผู้หญิงแท้ๆ ตำเป็นแต่น้ำพริกกะปิ แต่เราก็ตำอร่อย เสียงท่านหัวเราะแล้วบอกว่า เออ น้ำพริกกะปิเอ็งอร่อย ข้าพเจ้าหยุดคิดทันที ทับทวีองค์พระอย่างเดียวเลย
    เรื่องที่สอง มีครั้งหนึ่งนั่งรถจากกรุงเทพฯ ไปวัดหลวงพ่อสดฯ กับท่าน พอรถเลี้ยวเข้าวัด พญานาคองค์ใหญ่ที่ดูแลวัดหลวงพ่อสดฯ อยู่ ก็ขึ้นมาล้อมโบสถ์ ข้าพเจ้าเห็นแล้วไม่กล้าพูด กลัวจะโดนดุ เพราะมีทั้งพระทั้งโยมเต็มรถ หลวงป๋าพูดขึ้นมาลอยๆ ว่า “ไอ้นิด พรรคพวกเขาขึ้นมาต้อนรับ” แล้วท่านก็ชี้มือไปทางโบสถ์ คนในรถเป็นงงที่อยู่ดีๆ หลวงป๋าพูดขึ้นมาลอยๆ ถามกันใหญ่ อะไรอยู่ไหน ท่านหัวเราะชอบใจ พญานาคที่ปรากฏนั้นเป็นกายละเอียด ผู้ที่ไม่มีตาในจึงไม่เห็น
    เรื่องต่างๆ ที่เล่ามา เป็นเรื่องที่ข้าพเจ้าประสบมากับตัวเองในปีแรกเท่านั้น ปัจจุบัน 10 ปีแล้วที่อยู่ในสำนักนี้มา ไม่รู้จะอธิบายเป็นคำพูดได้อย่างไร ถึงความเชื่อมั่นและศรัทธาในวิชชาธรรมกายขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อวัดปากน้ำ (สด จนฺทสโร) นำมาสอน แล้วหลวงป๋านำมามาถ่ายทอดต่อ ที่เป็นของจริง พิสูจน์ได้ แม้องค์พระธรรมกายก็สัมผัสได้
    ครั้งหนึ่ง เมื่อข้าพเจ้าทำวิชชาชั้นสูง เข้าไปในธาตุธรรมสุดละเอียด ของพระเดชพระคุณหลวงพ่อสด ได้ยินเสียงของท่านดังขึ้นมาว่า “ผู้ที่เป็นหลักสำคัญในการเผยแพร่วิชชาธรรมกายที่เป็นของจริงของแท้ในขณะนี้มีอยู่ 2 องค์ คือ ท่านเจ้าคุณพระภาวนาโกศลเถร (วีระ คณุตฺตโม) ผู้เป็นอาจารย์ของหลวงป๋า และเสริมชัย” เมื่อนำมาพิจารณาดูแล้วก็เห็นว่าเป็นจริงอย่างนั้น ดูได้จากการเผยแพร่วิชชาธรรมกายที่ถึงพร้อมด้วยเนื้อหาวิชชา ทั้งทางเอกสาร หนังสือ และนิตยสาร ทางวิทยุ ทางโทรทัศน์ และสื่ออื่นๆ จนวิชชาธรรมกายเป็นที่รู้จักกันทั่วทั้งในประเทศและต่างประเทศ เนื้อหาการสอนวิชชาธรรมกายชั้นต้น กลาง สูง ของทั้ง 2 องค์ มีความละเอียดลึกซึ้งยิ่งนัก ดังตัวอย่างที่เล่าให้ทราบข้างต้น
    ถ้าไม่ได้หลวงป๋า ผู้เขียนก็อาจหลงทาง ถูกภาคมารยึดสุดละเอียดไปแล้วก็ได้ ในปัจจุบันไม่ได้ยินว่ามีใครสอนเนื้อหาวิชชาธรรมกายชั้นสูงได้ลึกซึ้ง เปิดวิชชาเต็มที่เช่นนี้ ท่านผู้อ่านที่สงสัยสามารถพิสูจน์ได้จากคำสอนของท่านทั้งสอง แม้แต่ชาวต่างประเทศที่มาอบรมพระกัมมัฏฐานที่วัดหลวงพ่อสดธรรมกายาราม อ.ดำเนินสะดวก จ.ราชบุรี ก็สามารถปฏิบัติจนได้วิชชาธรรมกายชั้นสูง สามารถเห็นนิพพาน ภพ 3 โลกันต์ ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ว่าเป็นจริงอย่างไรได้ด้วยตนเอง ไม่ต้องหลับตาเดาผิดๆ ถูกๆ ดังนั้น เมื่อเรามีบุญวาสนาได้พบพระที่แท้ สะอาดบริสุทธิ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ที่เป็นธาตุธรรมที่แท้ของต้นธาตุต้นธรรม คือ หลวงพ่อภาวนาและหลวงป๋าของเราแล้ว จงอย่าปล่อยให้โอกาสอันงามที่จะได้ศึกษาวิชชาชั้นสูงที่ลึกซึ้งนี้หลุดไป
    สุดท้ายนี้ ขอให้ท่านผู้อ่านที่รักทั้งหลาย มีศรัทธาพร้อมด้วยปัญญา แยกแยะผิดถูกได้ถูกต้อง จงพิสูจน์ด้วยตนเอง อย่าให้น้อยหน้าชาวต่างประเทศที่อุตส่าห์ข้ามน้ำข้ามทะเลมา จนได้วิชชาธรรมกายชั้นสูงไป ธรรมะเป็นของสูง เป็นสิ่งที่มีค่ามากที่สุด จงรักษาไว้ตราบเท่าที่ชีวิตจะหาไม่ ทุกภพทุกชาติไป ตราบเท่าเข้าสู่นิพพาน ขอความสันติสุขจงบังเกิดแก่ชาวโลกทั้งหลาย จงรักกันเสมือนกับเป็นสายเลือดเดียวกัน อย่างเช่นหลวงป๋ารักเราทุกคน


    เล่าจากประสพการณ์จริงของ...




    จีราภา เศวตนันท์
    วิทยากรสถาบันพุทธภาวนาวิชชาธรรมกาย( ปัจจุบัน คือ วัดหลวงพ่อสดธรรมกายาราม อ.ดำเนินสะดวก จ.ราชบุรี)




    ( หลวงป๋า คือ พระเทพญาณมงคล เจ้าอาวาสวัดหลวงพ่อสดฯ)
     
  16. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,805
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,142
    ค่าพลัง:
    +70,540
    ในขณะนั่งสมาธิ เมื่อจิตเข้าถึงจุดที่ทำให้ตัวเรารู้สึกเบาสบาย จะเกิดความรู้สึกว่าหายใจไม่ออก รู้สึกว่าลมหายใจเบามาก ไม่ทราบว่า ปฏิบัติถูกวิธีหรือไม่ ? และมีวิธีแก้ไขอย่างไร ?


    ขณะที่จิตกำลังจะสงบได้ที่นั้น ลมหายใจจะค่อยๆ ละเอียด ค่อยๆ แผ่วไป จนเหมือนกับว่าไม่ได้หายใจ แต่ความจริงยังมี "ปราณ" คือลมละเอียดหล่อเลี้ยงอยู่ภายในร่างกายอยู่เป็นอย่างดี (อย่างโยคี ฤๅษี ที่อินเดีย เข้าฌานสมาธิ โดยไม่หายใจเลย บางคนก็เอาศีรษะฝังอยู่ในดิน ก็อยู่ได้หลายๆ ชั่วโมง ไม่ตาย ก็ด้วยเหตุผลเดียวกัน)
    เมื่อถึงจุดนี้ บางท่านก็ "ถอนจิตออก" มาจากศูนย์กลางกาย มาเกาะที่ร่างกายภายนอก แล้วรู้สึกเหมือนกับว่าตัวเองไม่ได้หายใจ จึงถอนจากสมาธิเพราะกลัวตายก็มี พยายามหายใจให้แรงขึ้น ทำให้จิตเคลื่อนจากสมาธิก็มี
    เพราะฉะนั้น ในเบื้องต้นโยมปฏิบัติมาถูกทางแล้ว จิตเริ่มสงบแล้ว แต่พยายามให้ใจหยุดนิ่งที่จุดเล็กใสกลางดวงใสที่ศูนย์กลางกายตลอด และปล่อยวางสิ่งต่างๆ รวมทั้งสังขารร่างกาย (ที่ยึดกันว่าเป็น) ของเราเสียทั้งหมด เพราะสิ่งเหล่านี้เป็นของหยาบ การจะเข้าถึงธรรมชาติละเอียดภายในนั้น ต้องละวางของหยาบภายนอกได้ (อย่างน้อยที่สุดก็คือในขณะที่นั่งสมาธิอยู่นั้น)
    ดังเช่น เมื่อเห็นดวงใสแจ่มปรากฏขึ้นแล้ว ใจก็หยุดนิ่งที่ศูนย์กลางดวงนั้น ไม่ช้าศูนย์กลางดวงนั้นจะขยายออก ดวงใหม่ต่อๆ ไปจะปรากฏขึ้นอีก
    แล้วจะเห็นกายมนุษย์ละเอียดปรากฏขึ้นมา ก็ต้องปล่อยวางหรือ "ละ" ความรู้สึกอันเนื่องด้วยกายมนุษย์หยาบ สวมความรู้สึกเข้าไปเป็นกายมนุษย์ละเอียดที่เห็นนั้น (เรียกว่า ดับหยาบไปหาละเอียด) ใจหยุดนิ่งศูนย์กลางกายนั้น จะเห็นดวงในดวงผุดขึ้นมา
    แล้วจะเห็นกายละเอียดๆ กว่าเดิม ปรากฏขึ้นมาอีก เราก็ดับหยาบไปหาละเอียดต่อไปอีก จนถึงธรรมกาย​
     
  17. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,805
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,142
    ค่าพลัง:
    +70,540
    ดับหยาบไปหาละเอียด

    ดับ คือ การทำให้หมดสิ้นไป
    หยาบ คือ ลักษณะที่ไม่เรียบ ยังไม่ได้ถูกการขัดเกลา
    ละเอียด คือ ลักษณะที่ได้ผ่านการทำให้หมดความหยาบ

    การดับหยาบไปหาละเอียดนั้น มิใช่เป็นเพียงการทำวิชชาในวิชชาธรรมกาย
    เท่านั้น ยังรวมไปถึงทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นสิ่งของไปจนถึงการทำจิตใจ
    หรือนิสัยที่หยาบกร้านให้ละเอียดไป ละเอียดไป จะต้องค่อยเป็นค่อยไป
    รู้จักสังเกตุเหตุประกอบผล ทนเอาเถิดประเสริฐนัก (คำสอนของหลวงพ่อสด)

    ทุกวันนี้นักปฏิบัติธรรมทั้งหลายที่ได้เข้ามาสำนักเพื่อปฏิบัติรรม ไม่ว่าจะเป็น
    การสวดมนต์จีน ฟังคำบรรยาย หรือการนั่งสมาธิ ต่างก็ได้เข้ามาปฏิบัติธรรม
    อย่างสม่ำเสมอ จนนับได้ว่าเป็นนิสัย นับเวลาได้ก็เป็นเดือน เป็นปีกันทุกคน
    แต่มีผู้ใดบ้างหนอที่สังเกตุตัวเองบ้างว่า เรากำลังอยู่ในขั้นตอน
    การดับหยาบไปหาละเอียด ๆ ๆ ๆ ๆ

    Master ของเราผู้มหาเมตตา มหากรุณา สั่งสอนลูกศิษย์ ขัดเกลา อบรม
    บ่มนิสัย ให้ดับหยาบไปหาละเอียด เพื่อการสำเร็จกิจทั้งทางโลกและทางธรรม
    แต่ผลการดับหยาบไปหาละเอียดของตัวเรานี้ ดับหยาบไปได้เพียงใดแล้ว
    ละเอียดขึ้นเท่าใดแล้ว เวลาและวารีไม่เคยคอยใคร

    [​IMG] นักปฏิบัติธรรมทั้งหลาย ท่านกำลังปลูกโพธิจิต
    โพธิมรรค โพธิผล อยู่รู้หรือไม่ เมื่อใดที่ท่านสามารถดับหยาบไปหาละเอียดไปเรื่อย ๆ
    จนสุดละเอียด นั่นคือต้นโพธิ ที่ Master ของเราเฝ้ารดน้ำพรวนดิน ใส่ปุ๋ย
    เพื่อให้เมล็ดโพธิ์ของท่านงอกงาม เป็นต้นโพธิ์ที่แข็งแรง
    เพื่อจะได้แผ่กิ่งก้านสาขาเป็นที่พึ่งแก่ตนเองและที่พึ่งของเหล่านกกาอื่น ๆ ต่อไป
    เมื่อเรารู้เช่นนี้แล้ว จงบำเพ็ญปฏิบัติให้สมกับที่เราตั้งใจมาปฏิบัติ
    และสมกับที่ Master ได้ตั้งใจไว้กันเถิดทุกท่าน..........

    ท่านเหน็ดเหนื่อย พวกเรารู้ พวกเราเห็น
    เธอบำเพ็ญ ฉันบำเพ็ญ ให้เร็วรี่
    อย่ามัวแต่ เจอกัน เม้าท์ทุกที
    มีอะไรดี เม้าท์ ๆ เฉาหูตาย
    ปากก็สวด จิตสงบ บ่มนิสัย
    ให้อภัย ละโลภ และโกรธหลง
    ทุกข์ภัย มาช่วยได้ ดั่งจำนงค์
    ยุคอนาตรง โปรด 3 ภพ สุขนิจจัง
    เธอจ๋าเธอ เร็ว ๆ เร่งเข้าสิ
    รีบ ๆ จี้ ตามมา อย่ามัวหลง
    ทำมรรคพูน ผลพร้อม อย่ามัวงง
    หรือทนง หลงรูปทรัพย์ ล้วนมายา
    หยุดกังขา ดับสิ้นเถิด ให้จิตใส
    ละเอียดไป กระเทาะหยาบ กิเลสผอง
    รู้เท่าทัน ปัญญาแจ่ม สติครอง
    ที่มัวหมอง ขัดเกลา มินำพา
    ที่แล้วมา แล้วแล้ว ก็แล้วไป
    แก้ตัวใหม่ อย่าเหมือนเก่า เท่านั้นหนา
    พักสวดมนต์ จิตดิ่งใส ด้วยศรัทธา
    อีกมนตรา สาธยาย คุ้มกายใจ
    ใจใสใส ใจสงบ สุขสว่าง
    คือความว่าง สุญตา อยู่หนไหน
    จิตที่ดิ่ง จิตที่สุข เป็นเช่นไร
    ละเอียดไซร้ สุขนิจจัง คือดับจริง

    ทุกท่านเอ๋ย มาดับหยาบไปหาละเอียด ๆ ๆ ใสละเอียด ๆ ๆ
    ทำจริง ทำสม่ำเสมอ ทำทุก ๆ วัน ทำทุกอิริยาบถ
    สู่เส้นชัย คือ พ้นเกิด - ตาย กันนะท่านนะ
    สาธุ สาธุ อนุโมทามิ

    [​IMG] FROM : วชิระดวงแก้ว
     
  18. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,805
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,142
    ค่าพลัง:
    +70,540
    ❓ถาม : คนกับผี ใครกลัวใครกันแน่ แต่ที่ผมฟังมา มีพระท่านบอกผมว่า ผีกลัวคน ที่ผีกลัวคนก็เพราะว่าคนเรามีดวงไฟอยู่ตรงกลางหน้าผาก และดวงไฟกลางหน้าผากเกี่ยวกับธรรมกายหรือไม่ เกี่ยวข้องกันอย่างไร ?❓

    ✅ตอบ : ผีกลัวคนหรือคนกลัวผี นี่นะเป็นคนๆ นะ แต่ส่วนใหญ่จะได้ยินว่า คนกลัวผี คนที่ถามมานี่กลัวหรือเปล่าล่ะ โยมก็ถามตัวโยมเองว่า โยมกลัวผีหรือว่าผีกลัวโยม

    ✅แต่แท้ที่จริง เรื่องเป็นอย่างนี้ คำว่า “ผี” คืออะไร ต้องถามตัวเองก่อน ถ้าผีหมายถึงสัตว์โลกอีกประเภทหนึ่ง ที่ตายแล้วไปเกิดเป็นเปรตบ้าง อสุรกายบ้าง หรือเป็นสัมภเวสี เรียกอีกอย่างหนึ่ง ที่กำลังแสวงหาที่เกิดอยู่ คือ เป็นอีกภพหนึ่ง เขาเป็นอยู่แล้วนะ พอตายแล้ว เขาก็เกิดภพนั้นแหละ เหล่านี้ด้วยอำนาจของกรรม ใจของเขามืด และเมื่อใจของเขามืด เขาก็กลัวความสว่าง นี้เป็นธรรมชาติ

    ✅เพราะฉะนั้น ถ้าใครปฏิบัติธรรม จิตหยุดนิ่งอยู่เสมอ ตรงนี้ ไม่ปรุงแต่ง หยุดนี่แหละ หรือแม้ปฏิบัติธรรม มีศีลมีธรรม เอาอย่างนี้ แต่ว่า เอาแค่ใจหยุดตามนี้ เมื่อหยุดนิ่งจิตก็สะอาดผ่องใสแล้วสว่าง ไม่ว่าโยมจะเห็นหรือไม่เห็นนะ ใจเมื่อทำไปหยุดที่ศูนย์กลางกาย ก็สว่างกว่าเดิมแหละ จะสว่างแค่สลัวๆ หรือสว่างแค่ไหนก็แล้วแต่ ก็สว่างล่ะ

    ✅แม้แต่เราเองไม่เห็น เหมือนกับพรึมๆ อยู่ ไม่ถึงกับมืดมิด ก็สว่างล่ะ ยังไงก็สว่างกว่าผีละพูดง่ายๆ คนมีศีล มีธรรม อย่างน้อยก็สว่างกว่าผี ฉะนั้น ผีก็ไม่กล้า ไม่ค่อยกล้าเข้าใกล้ เพราะเขากลัวแสงสว่าง แต่ว่าถ้าใครมีศีลมีธรรมน้อย มีการประพฤติผิดศีลผิดธรรมมาก ใจเขาก็มืด นี่ละผีเข้าใกล้ได้สะดวก

    ✅เพราะฉะนั้น ยิ่งถ้ามีวิบากกรรมกับผีด้วย อันนี้ผีสบายเลย สามารถจะผ่านเข้าใกล้ๆ ได้ หรือว่าถ้ามีเวรมีกรรมกัน ก็อาจมีอะไรๆ แสดงให้กันเห็น หรือว่าทำอะไรให้ไม่เหมาะสมก็ได้

    ✅แต่ว่าถ้าปฏิบัติธรรมให้ใจหยุดนิ่งอยู่เสมออยู่ที่ศูนย์กลาง ใจบริสุทธิ์ผ่องใส ใจสะอาดขึ้น เมื่อใจสะอาดขึ้น ก็สว่างขึ้น สว่างขึ้นโดยปกติ ผีก็ไม่ชอบความสว่าง ถ้าไม่มีเวรมีกรรมกันจริงๆ เขาก็ไม่มาเข้าใกล้

    ✅เพราะฉะนั้น วิธีการอีกอย่างหนึ่งที่จะช่วยให้สว่างมากขึ้น ต้องแผ่เมตตา แผ่เมตตาตรงกลางนั่นแหละ จงเป็นสุขเป็นสุขเถิด อย่าได้ทุกข์กายทุกข์ใจ แผ่ไปทั้งใจเรานะ ไม่ใช่สักแต่ปากว่า บางทีไม่ต้องออกเสียง อธิษฐานจิตเอา แผ่เมตตาอธิษฐานจิตเอา แต่ถ้าออกเสียงด้วย เอาละได้ประโยชน์เหมือนกัน อย่างน้อยได้เสียงเป็นเพื่อน

    ✅สวดกรณียเมตตสูตรก็ได้ หรืออะไรก็ได้ หรือสัมมาอะระหังๆๆ ก็ได้ เมื่อใจหยุดนิ่งด้วยพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ หรือและมีการแผ่เมตตาออกไป จิตก็สว่าง พวกผีก็หนีซิ จะไปอยู่อะไรล่ะ

    ✅เว้นแต่มีเวรกรรมกันจริงๆ หรือไม่เขาอาจจะมาแสดงให้เห็น นี่อีกแบบหนึ่ง แสดงให้เห็นเพื่ออะไร เพื่อขอส่วนบุญ เพราะฉะนั้น เราอุทิศส่วนบุญกุศลให้เขาแล้ว เขาก็ไป มีเท่านี้แหละ ไม่ต้องไปกลัวหรอก ผีกลัวแสงสว่าง ไม่ได้กลัวคนหรอก กลัวแสงสว่าง เพราะเขาไม่ชอบ เหมือนกับความชั่วความไม่ดี ไม่ชอบทำต่อหน้าคน ชอบทำในที่มืด นั้นแหละอย่างนั้นแหละ ฉันใดฉันนั้น

    ✅แล้วก็บอกว่า เพราะมีไฟอยู่ตรงหน้าผาก ตรงนี้ละถูกบ้างไม่ถูกบ้าง เป็นคติของพวกมหายาน หรือพวกฤาษีชีไพร ทำสมาธิไว้ที่หน้าผาก เหมือนพวกธิเบตเขาถือว่า ตาอยู่ตรงนี้ มีอีกตาหนึ่ง อยู่ที่หน้าผาก แต่ว่าเอาล่ะไม่ต้องไปคิดมาก จะอยู่ตรงไหนช่างเถอะ ถ้าเอาใจหยุดอยู่ที่ศูนย์กลางกาย แสงสว่างจะออกจากศูนย์กลางกายนะ ธมฺโม ปทีโป ธรรมเป็นเหมือนแสงสว่าง หรือแสงสว่างคือธรรม

    ✅และที่ถามอีกว่าดวงไฟกลางหน้าผากเกี่ยวกับธรรมกายหรือไม่ เกี่ยวข้องกันอย่างไร บอกแล้วอย่าไปสนใจเลย อยู่กลางหน้าผากนี่ มันผิดเรื่องผิดราว พวกฤาษีชีไพร จึงไม่ถึงนิพพานซะที เพราะไปอยู่ที่หน้าผาก..."

    ตอบปัญหาธรรม
    โดย พระเทพญาณมงคล
    (เสริมชัย ชยมงฺคโล) (หลวงป๋า)
    วัดหลวงพ่อสดธรรมกายาราม

    HjStlDvpyuNyHD49q98tdKHBDy5DiN7ywAa4QIYwTukP&_nc_ohc=DZOPpUERJlUAX9nyr6b&_nc_ht=scontent.fcnx3-1.jpg
     
  19. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,805
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,142
    ค่าพลัง:
    +70,540
    กรรมที่ให้ผลในชาติปัจจุบันหรือกรรมที่ให้ผลทันตา (ทิฐธรรมเวทนียกรรม)

    เป็นกรรมที่มีพลังอำนาจให้ผลในชาตินี้เลยทีเดียว ไม่มีแรงกรรมไปถึงชาติหน้าหรือชาติอื่นๆ มีทั้งที่ให้ผลทันตาภายในเจ็ดวัน (ปริปักกทิฐธรรมเวทนียกรรม) และหลังเจ็ดวันล่วงไปแล้ว แต่ไม่ข้ามภาพข้ามชาติคงให้ผลเฉพาะในชาตินี้เท่านั้น (อปริปักกทิฐธรรมเวทนียกรรม) ตัวอย่างเช่น

    ชายยากจนเข็ญใจคนหนึ่ง ซึ่งมีนามว่า นายมหาทุคคตะ ได้มีโอกาสถวายภัตตาหารแด่ องค์สมเด็จพระกัสสปสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อถวายเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็ได้รับผลกรรมทันตาเห็น คือ ได้กลายเป็นเศรษฐีร่ำรวยมหาศาลภายในเจ็ดวันนั่นเอง

    ชายยากจนเข็ญใจอีกคนหนึ่ง ซึ่งมีนามว่า นายปุณณะพร้อมกับภรรยาของเขา ได้มีโอกาสถวายภัตตาหารแด่องค์พระสารีบุตรมหาเถรเจ้า ซึ่งเพิ่งออกจากนิโรธสมาบัติ พอถวายเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็ได้รับผลกรรมทันตาเห็น คือ ได้กลายเป็นเศรษฐีมีสมบัติมาก เกิดความร่ำรวยมหาศาลภายในเจ็ดวัน

    ชายยากจนเข็ญใจอีกคนหนึ่ง ซึ่งมีนามว่า นายกากวฬิยะ พร้อมกับภรรยาของเขา ได้มีโอกาสถวายภัตตาหารแด่พระกัสสปสังฆเถรเจ้า ซึ่งเพิ่งออกจากนิโรธสมาบัติ พอถวายเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็ได้รับผลกรรมทันตาเห็น คือ ได้กลายเป็นเศรษฐีมีสมบัติมาก เกิดร่ำรวยมหาศาลภายในเวลาเจ็ดวัน

    เหล่านี้คือกรรมที่ให้ผลทันตาเห็นภายมในเจ็ดวันฝ่ายดี

    ส่วนกรรมที่ให้ผลทันตาเห็นภายในเจ็ดวัน ฝ่ายชั่ว ก็มีตัวอย่าง เช่น

    มานพผู้หนึ่ง ซึ่งมีนามว่า นันทะ เป็นคนไร้สติปัญญามากด้วยโมหะจริต มีจิตคิดปฏิพัทธ์รักใคร่ใน พระอุบลวรรณาเถรี ซึ่งเป็นพระอรหันต์ตัดกิเลส วันหนึ่งได้มีโอกาสเข้าไปปลุกปล้ำองค์พระอรหันต์ สำเร็จเป็น กรรมทันตาฝ่ายชั่ว ถูกธรณีสูบไปเสวยทุกข์อยู่ในนรกภายในเจ็ดวัน

    สมเด็จพระเจ้าสุปพุทธะราชาธิบดี แห่งเทวทหะนคร ซึ่งเป็นพระราชบิดรองค์เจ้าชายเทวทัตและฟ้าหญิงยโสธรา ผู้มีจิตอาฆาตพยาบาทต่อองค์สมเด็จพระบรมศาสดาจารย์เจ้า ภายหลังได้เสวยน้ำจัณฑ์จนมีพระอาการมึนเมา แล้วเข้าปิดกั้นทางโคจรบิณฑบาตรแสดงอาการไม่เคารพขับไล่สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐ สำเร็จ เป็นกรรมทันตาเห็น แล้วถูกธรณีสูบไปเสวยทุกข์อยู่ในนรก ภายในเวลาเจ็ดวัน

    กรรมที่ให้ผลในชาติปัจจุบันหลังจากเจ็ดวันล่วงไปแล้ว แต่ไม่ข้ามชาตินั้นที่กระทำแล้วในปฐมวัย บางชนิดก็อาจบันดาลให้บุคคลผู้เป็นเจ้าของกรรมนั้น ได้รับผลในปฐมวัยนั่นเอง บางชนิด

    1Cw7GbKYNZN0z48W1oR4jGQCy3MO0mVP0k4RsZ2yaYlA&_nc_ohc=kBYDy4kGfloAX_3Ycfn&_nc_ht=scontent.fcnx3-1.jpg
     
  20. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,805
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,142
    ค่าพลัง:
    +70,540
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...