เหตุที่บรรลุธรรม

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย I sea you, 10 พฤศจิกายน 2020.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. maokvid-1800

    maokvid-1800 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2008
    โพสต์:
    5,923
    ค่าพลัง:
    +2,262
    มะเชื่อ ลองเอา โพสแรก ไปโพส พังติ๊บ

    เชื่อป่ะ

    พอโต้ธรรมไปสักพัก ก็จะ งง กลับมาเหมือนกัน
     
  2. maokvid-1800

    maokvid-1800 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2008
    โพสต์:
    5,923
    ค่าพลัง:
    +2,262
    แป่ว

    ยัง สาระวน อยู่กับ คนนั้น คนนี้ สอนผิด อีกหรอฮับ

    อ่านปากป๋มนะ

    "อรหันตสาวก ไม่มีฐานะ สอนธรรม"

    เห็นแล้ว เข้าใจว่ายังไง

    "ยัง สาระวน อยู่กับ คนนั้น คนนี้ สอนผิด อีกหรอฮับ" อยู่เป่า

    หรือ กำหนดรู้ สัจจธรรม ไปตาม ปัจจัย

    จิก มะใช่เรา เขา
     
  3. กระร่อน

    กระร่อน จิตฺเตน นียติ โลโก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 มีนาคม 2020
    โพสต์:
    8,909
    ค่าพลัง:
    +994

    ขอเปิดเพลงแน่เด้อ
     
  4. maokvid-1800

    maokvid-1800 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2008
    โพสต์:
    5,923
    ค่าพลัง:
    +2,262
    ฮี้ ฮี้ ฮี้ ฮี้

    บทความ ที่อ้างอิง " เขมานานแทะ " ลองเอาไปให้
    พ่อแม่ครูอาจารย์อ่าน

    รับรองเลยฮับ

    ท่าน ยิ้ม แล้ว นิ่ง เลยหละ



    " เว......ฮู................... "
     
  5. maokvid-1800

    maokvid-1800 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2008
    โพสต์:
    5,923
    ค่าพลัง:
    +2,262
  6. ฟ้ากับเหว

    ฟ้ากับเหว Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 สิงหาคม 2020
    โพสต์:
    1,069
    ค่าพลัง:
    +372
    ขออนุญาตุเจ้าของกระทู้และบูรพคณาจารย์ พระอริยะสาวกทั้งหลาย อยากขอลองทำเหมือนคนอื่นบ้าง ไม่รู้จะถูกต้องตามใจทุกคนไหม แค่ขอลอง ผิดถูกอย่างไร ก็ตามแต่ใจท่านเถอะ

    ท่านผู้อ่านทั้งหลายคงเคยได้ทราบเรื่องของพระสาวกบางรูปมาแล้วว่า ท่านได้บรรลุพระอรหัตตผลในขณะที่ท่านนั่งฟังพระธรรมเทศนาเฉพาะพระพักตร์ของพระพุทธองค์นั่นเอง แล้วท่านเคยคิดบ้างไหมว่าทำไมท่านจึงสำเร็จง่ายดายนัก ท่านไม่ได้เจริญ ฌาน-สมาธิ-วิปัสสนา และมรรค ๘ บ้างหรือ

    ...น่าคิดนะ...แต่ เป็นหัวข้อคำถามให้คิด คิดอะไร ก็คิดว่า ผู้บรรลุธรรมในขณะจิตนั้น ไม่มีการเจริญ ฌาน-สามาธิ-วิปัสสนา...เหรอ?

    หากท่านตั้งใจคิดและพิจารณาด้วยใจอันเป็นธรรมแล้ว คงจะเห็นชัดด้วยใจของตนเองว่า ท่านเหล่านั้นในขณะนั้นท่านไม่ได้เจริญฌาน หรือหากบางท่านจะเคยได้เจริญฌานมาก่อนแล้วก็ตาม แต่ในขณะที่ท่านนั่งฟังพระธรรมเทศนาอยู่นั้น ท่านไม่ได้เจริญฌาน ท่านเจริญสัมมาทิฏฐิ อันมีสัมมาสมาธิเป็นรากฐาน คือดำเนินตามองค์มรรค ๘ ทีเดียว มีวิปัสสนาคือ พระไตรลักษณญาณเป็นผู้อุดหนุน

    ...ถ้าคนแยกออกว่าฌานกับสมาธิต่างกันอย่างไร ก็ดีในระดับนึง ยิ่งถ้าแยกระหว่างสมาธิปกติกับสัมมาสมาธิได้ นี่น่าจะมีลุ้น เพราะมีแต่สัมมาสมาธิที่จะใช้รากฐานของมรรคทั้งแปดในการเข้าถึงสมาธินั้น เป็นไตรสิกขา เกิดปัญญาเห็นไตรลักษณ์....

    หากจะมีความสงสัยว่าสมาธิในขณะนั้นจะมีได้อย่างไร ขอเฉลยไว้ ณ โอกาสนี้เลยว่า สมาธิ ไม่ต้องดับรูป-เสียง-กลิ่น-รส-สัมผัส เหมือนฌาน แต่สมาธิจะยึดเอาอารมณ์ทั้ง ๖ นั่นแหละมาเป็นเครื่องพิจารณาจนเห็นอารมณ์ทั้ง ๖ นั้นชัดตามเป็นจริงว่า อายตนะ ๖ มีตาเป็นต้น เป็นบ่อเกิดของอารมณ์ ๖ มีรูปเป็นต้น กิเลสจะเกิดขึ้นที่อายตนะ ๖ นี้เพราะความไม่รู้ตามเป็นจริง แล้วเข้าไปยึดอารมณ์ ๖ นั้นมาไว้เป็นของตัวจึงเดือดร้อนเป็นทุกข์

    ....นี่คือการอธิบายลักษณะของสัมมาสมาธิที่ใช้เพื่อให้เกิดปัญญาเห็นไตรลักษณ์ ถ้าหากสมาธิแบบอื่นๆ รวมไปถึงฌานทั้งที่เป็นรูปฌานหรืออรูปฌาน ไม่ใช่ฐานะที่จะเกิดปัญญาเห็นไตรลักษณ์ได้ ทุกข์ที่อ่านเห็นเป็นทุกข์ได้ในหลายระดับ หยาบก็ได้ถ้าไม่อยู่ในฌาน ละเอียดมากจนถึงขั้นไม่สามารถหยั่งรู้เพราะอยู่ในฌาน...

    ความจริงแล้ว อายตนะ ๖ ก็มีไว้สำหรับรับรู้ทำหน้าที่ของตนๆเป็นธรรมดาอยู่แล้ว อายตนะมิได้มาไหว้วอนหรือร้องขอให้ใครๆ มาหลงรักหลงชอบหรือเกลียดชังอะไร แต่ใจของเราต่างหาก แส่ไปยึดไปถือเอาอารมณ์นั้นมาเป็นตน เป็นของตน ทั้งๆที่อารมณ์เหล่านั้นก็หาได้เป็นไปตามปรารถนาไม่ มันเกิดขึ้น ณ ที่ใด มันก็ดับลง ณ ที่นั้น มันเกิดๆ ดับๆ อยู่อย่างนี้ตลอดกาล
    ....สติที่เกิดขึ้นในขณะมีสัมมาสติเท่านั้นจะเป็นผู้ทราบว่า ตนกำลังยึดถือสิ่งใดด้วยสิ่งใดและสิ้นสุดลงเมื่อใด บางทีจะเรียกว่า สติก็คือจิตก็ได้ จิตก็คือสติก็ได้ มันเกิดๆดับๆ อยู่ตลอกเวลา เท่าแต่เพียงรับรู้ให้จงได้เท่านั้น ด้วยอะไร ก็ด้วยอายตนะที่มีนั่นแหละ....

    ผู้มาพิจารณาเห็นชัดแจ้งอย่างนี้ด้วยใจด้วยปัญญาอันชอบแล้ว จิตจะไม่แส่ส่ายลังเลไปในอารมณ์นั้นๆ แล้วจะตั้งมั่นแน่แน่วอยู่ในความจริงใจว่า อายตนะทั้ง ๖ จะเป็นกิเลส และเป็นภัยก็แต่ผู้ที่ไม่เข้าใจตามเป็นจริง แล้วเข้าไปยึดถือ เอามาเป็นตนเป็นของตนเท่านั้น ผู้ที่รู้เห็นตามเป็นจริงแล้วอายตนะทั้งหลายก็จะเป็นอายตนะอยู่ตามเดิม และทำหน้าที่อยู่ตามเคย ใจก็จะไม่หลงเข้าไปยึดเอามาเป็นตนของตนเลย ที่เรียกว่าสมาธิเกิดขึ้นเพราะเอาความเห็นอันเป็นจริงในสัจจธรรมมาเป็นอารมณ์ ต่อนั้นไป หากมีผู้มาแสดงสัจจธรรมอันเนื่องมาจากอายตนะ-ขันธ์ เป็นต้น อันมีมูลฐานอันเดียวกัน ท่านผู้นั้นก็จะส่องแสงปัญญาตามรู้ตามเห็นไปตามทุกแง่ทุกมุมจนสิ้นสงสัยในธรรมนั้นๆ ที่เรียกว่าได้บรรลุธรรม

    ...เป็นบทสรุป ยกตัวอย่าง ถ้ามองเห็น...เพราะการมองเห็นทำให้ยึดมั่นถือมั่น...เพียงเพื่อละการมองเห็นด้วยการทำลายหรือโดยการละเลยย่อมไม่ใช่ทางและไม่ได้เป็นไปตามความเป็นจริงทั้งสามรูปแบบ ภวตัณหา วิภวตัณหา อัพพยากตธรรมตัณหา สติที่มีบ่อเกิดมาจากสัมมาสมาธิจึงเป็นสติรู้เป็นสัมม่าสติเข้าถึงธรรมารมณ์ทั้งหลายด้วยความเป็นจริง ไม่ใช่การมโน หรือ วิปัสสนึกเอา อุปโหลกเอา เมื่อเป็นดังนั้นแล้วก็หมดสงสัย เรียกได้ว่า ถึงกระแสพระนิพพาน....

    สมมติว่า หากท่านผู้อ่านสนใจในธรรมอยู่ ได้ไปเฝ้าฟังธรรมของพระพุทธเจ้าผู้สมบูรณ์ด้วยวิชชาฉลาดเฉียบแหลมลึกล้ำ สรรเอาแต่ถ้อยคำที่เป็นอรรถเป็นธรรมนำมาซึ่งประโยชน์ เสียงก็ไพเราะเพราะพริ้ง ตรัสคำใดออกมาก็เป็นที่น่าจับใจ พระรูปพระโฉมผิวก็ผุดผ่อง นิ่มนวลชวนให้เกิดความเลื่อมใส จรณธรรมทั้งหลายของพระองค์ไม่มีบกพร่อง ทั้งด้านน้ำพระทัยของพระองค์เล่าก็เปี่ยมไปด้วยพรหมวิหารทั้งสี่เช่นนี้แล้ว ท่านจะทำอย่างไร หากท่านไปเฝ้าพระพุทธเจ้าดังนั้นเข้าแล้วท่านจะนั่งภาวนากรรมฐาน เจริญฌานกสิณ ดับอารมณ์ภายนอก มีรูปเป็นต้น เสวยความสุขยึดเอาเอกัคคตารมณ์ชมไม่รู้อิ่มไม่รู้เบื่อ จนเกิดวิปัสสนาญาณ ๙ แล้วจึงจะเข้าถึงมรรคผลนิพพานอย่างนั้นหรือ หากท่านมัวทำเช่นนั้นอยู่ เข้าใจว่าพระพุทธเจ้าคงจะต้องเสด็จหนีก่อนเป็นแน่แต่ถ้าท่านไม่ดับอารมณ์เหล่านั้น แต่มายึดเอาอารมณ์เหล่านั้นขึ้นมาพิจารณาให้เห็นตามเป็นจริงดังแสดงมาแล้ว เมื่อพระพุทธเจ้าเป็นผู้มีจิตใจอันบริสุทธิ์ กลั่นกรองเอาธรรมที่เป็นของบริสุทธิ์มาแสดงให้ท่านผู้มีความเห็นอันบริสุทธิ์ คือสัมมาทิฏฐิและมีสัมมาสมาธิ เป็นผู้อุดหนุนนั่งฟังธรรมอยู่นั้น เมื่อถึงพร้อมเช่นนั้น ขอให้ท่านพิจารณาดูว่าจะมีอะไรเกิดตามมา เท่าที่แสดงมานี้ เข้าใจว่าท่านผู้อ่านทั้งหลาย พอจะเข้าใจเนื้อความที่ว่า ผู้นั่งฟังธรรมของพระพุทธเจ้าได้บรรลุมรรคผลนิพพานในขณะนั้นจะมี ฌาน-สมาธิ หรือไม่

    ....แสดงว่าขณะฟังธรรมไม่ต้องเข้าฌานสมาธิ แปลว่า ไม่อยู่ในฌาน อันมีองค์ทั้ง 5 มากำหนด...มันไม่ใช่ทาง อุปมาเหมือนหากการมองเห็นธรรมคือการมองเห็นพระศาสดา ย่อมไม่อาจเกิดได้ในฌานเลย ถ้านั่นคือฌานนะ.... เว้นไว้แต่นึกเอาคิดเอาว่านั่นคือฌานสมาบัติ จึงไม่เหมาะที่จะมาทำฌานขณะพิจารณาธรรม แม้จะไม่ได้อยู่ต่อหน้าพระศาสดาก็ตาม แต่ธรรมที่ปรากฏตรงหน้าว่าดั้วยอริยสัจธรรม มีขันธ์ 5 เป็นที่ตั้ง ก็เป็นธรรมที่พระศาสดาสอน สัมมาทิฏฐิและสัมมาสมาธิจึงเป็นสิ่งที่ต้องมีในการเกิดปัญญาเห็นไตรลักษณ์....


    ขอเฉลยว่า ฌานเป็นของเล็กน้อย ฌานเป็นเครื่องอยู่เครื่องเล่นของท่านผู้ที่ได้บรรลุธรรมชั้นสูงสุดแล้ว ท่านจะเจริญให้เกิดให้มีขึ้นเมื่อไรก็ได้ไม่เป็นของยาก เหมือนคนผู้มีความฉลาดเฉียบแหลมสมบูรณ์แล้ว จะทำตนเป็นคนโง่ย่อมง่ายดาย แต่ถ้าคนโง่นี่ซิ จะทำตนให้เป็นคนฉลาดเปรื่องปราดมันยากนัก ถึงจะทำได้ก็ไม่เหมือน ขอย้ำอีกว่า ถ้าหากท่านยังเห็นว่า ฌาน สมาธิเป็นอันเดียวกันอยู่แล้ว ข้อความที่แสดงมาข้างต้นนั้นก็จะไม่สามารถซึมซาบเข้าไปถึงใจของท่านได้เลย

    ....สรุปว่า ฌานเป็นที่พักผ่อน ไม่ใช่ห้องทำงาน สัมมาสมาธิ สัมมาสติ เป็นห้องทำงาน ทำเสร็จก็เก็บกวาดให้เรียบร้อย อย่าทำรก เพราะมันไม่ใช่ของพึงมีของผู้ซึ่งประกอบด้วยสิ่งทั้งสองนี้...

    อนึ่ง มติของบางท่านยึดเอาตัวหนังสือเป็นหลักว่าพระอรหันต์สุขวิปัสสกไม่มีสมถะ เจริญวิปัสสนาล้วนๆ คำว่า สมถะใครๆ ก็ทราบกันดีอยู่แล้วว่า ได้แก่ฌานหรือสมาธิ ถ้าพระสุขวิปัสสกไม่มีสมถะ มันจะไม่ขัดกันกับพระพุทธพจน์ที่ว่า ผู้เจริญสมาธิดีแล้วย่อมมีปัญญาเป็นผลเป็นอานิสงส์ใหญ่หรือ ที่ว่าผู้ที่จะถึงมรรคผลนิพพานต้องดำเนินอัฏฐังคิกมรรค มรรค ๘ ก็มีสมาธิอยู่ด้วย มรรค ๘ คือ ศีล สมาธิ ปัญญา เท่านั้น เป็นทางเอกอันจะนำสัตว์ให้ถึงซึ่งความบริสุทธิ์หมดจดจากกิเลสได้

    ....สรุปคำว่าสมถะสมาธิ ไม่ได้สื่อว่าเป็นแค่เพียง ฌาน ยังระบุถึงสมาธิที่เป็นสัมมาสมาธิด้วย หากตีความว่า สมถะ เป็นแต่แค่ฌานสมาบัติ จะเกิดความสับสน ขัดกับพระธรรม ผู้ใช้คำเหล่านี้บางท่านไม่ทราบหรือละเลยถึงความจริงว่า สมาธินั้นแตกต่างกับฌาน จึงยังให้เกิดพระขีณาสพผู้ซึ่งเรียกว่า สุขวิปัสโก เพียงแต่ท่านมิได้ใช้คำว่า ฌานสมาบัติ มาเป็นเครื่องอยู่หรือเครื่องอาศัยอันให้เกิดเป็น สัมมาสมาธิ เพราะเขามีสัมมาสติละเอียดอ่อน พร้อมด้วยสัมมาสมาธิ จึงเข้าถุงด้วยอาศัยความเป็นไปตรงๆของขันธ์ทั้งหลาย...

    ท่านผู้รู้ทั้งหลายทำไมไม่หยิบยกเอาคำเหล่านั้นขึ้นมาพิจารณาดูบ้าง หรือมิฉะนั้นก็ขอให้ลงมือปฏิบัติจนให้จิตเป็นสมถะ วางความยึดมั่นถือมั่นตัวหนังสือแล้วเกิดความรู้จากสมถะนั้น ภายหลังจึงเอาความรู้ทั้งสองอย่างนั้นมาเทียบเคียงกัน ท่านก็จะหายความสงสัยในคำสอนของพระพุทธเจ้าอย่างน่าอัศจรรย์

    ......จิตที่เป็นสมถะ ถ้าเห็นว่านั่นเป็นฌานก็ได้เป็นสัมมาสมาธิก็ได้ไม่เหมารวมว่า สมถะเป็นเพียงฌานเท่านั้น ก็จะเห็นบางสิ่งที่พระศาสดาสอนไว้ตรัสไว้ อย่างสมบูรณ์
    น้ำใสแสนใสถ้าไม่นิ่งจะเห็นตัวปลาและเม็ดทรายอยู่ใต้น้ำได้อย่างไร ใจไม่สงบจะเห็นกิเลสและอารมณ์ภายในของตนได้อย่างไร

    หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี
    ที่มา สามทัพธรรม


    ....ก็ไม่เห็นมีอะไรผิดนี่นา หรือผมลำเอียงในการตีความก็ไม่ทราบได้ ท่านก็ลองตีความกันดู เห็นเป็นอย่างไรเก็บไว้ที่ท่านเถิด...
    กราบอนุโมทนาธรรมหลวงปู่เทสก์
     
  7. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,428
    ค่าพลัง:
    +35,035
    ตาม #Rep 1 เลยครับ
    ส่วน #Rep ข้างบน ที่ คุณ ฟ้ากับเหว ยกมา ก็ขีดเส้นใต้ย้ำใจความสำคัญไว้แล้ว
    ประเด็นหลัก คือ การฟัง + ใจความสำคัญที่ #Rep ข้างบนเน้นย้ำไว้

    ส่วนตัวได้ยินพระเกจิ ท่านหนึ่ง พูดว่าบรรลุจากการฟัง
    พระเกจิอีกท่าน ก็พูดเหมือน ใจความสำคัญที่ขีดเส้นใต้เหมือนกัน


    สรุปเข้าใจง่ายๆ เจริญญาน หรือ นั่งสมาธิไม่บรรลุแน่นอน
    หรือ ขณะฟังแล้วเจริญญาน หรือ ขณะฟังแล้วนั่งสมาธิก็ไม่บรรลุแน่นอน

    แต่ฟังอย่างเดียวก็ไม่บรรลุ ถ้าไม่ใช่แบบ ที่ขีดเส้นใต้
    ตามที่ คุณ ฟ้ากับเหว ขีดเส้นใต้ย้ำข้อความไว้

    จริงๆบทความใน #Rep 1 ถือว่าดีมากๆเลยนะ..
    เพราะเน้นประเด็นสำคัญทางพุทธศาสนาเลยทีเดียว....
    ถ้ามี โหวต บทความดีเด่นแห่งปี
    ส่วนตัวยกให้ บทความ #Rep 1 เป็นบทความแห่งปีเลยครับ

    ปล.ความเห็นส่วนตัวนะครับ
     
  8. maokvid-1800

    maokvid-1800 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2008
    โพสต์:
    5,923
    ค่าพลัง:
    +2,262
    กั๊กๆๆๆๆ

    เอา พระโมคคัลลา เลิศทางฤทธิ์ ไปกินแบ... ซะแล้ว

    สมมตินะสมมติ

    บุคคลบางบุคคล เจริญธรรม บน ชาน...

    ผู้ที่เจริญธรรม บน ชาน เดียวกัน
    จะเหนกัน และ จ๊ะจ๋า กันได้

    ติ๊ง จบ
     
  9. maokvid-1800

    maokvid-1800 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2008
    โพสต์:
    5,923
    ค่าพลัง:
    +2,262
    สมมติ นะ สมมติ

    น้องพลับ นั่งหลับตาพริ้ม บน พรม
    ชั้นดี สงัดจากเสียงอันเปนข้าศึก
    มีกายไร้มหาภูตารูธ

    แต่ทว่า สัญญาไม่เสีย

    ไม่ใช่ สัตวสัญญาเสีย

    ไม่ประมาท

    ไม่ประมาท

    ไม่ประมาท

    แสงกระพริบ ยิบยับ จากสุตวาธรรมมา กระทบ


    ติ๊ง จบ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 พฤศจิกายน 2020
  10. ไม่ใช่ตัวตน

    ไม่ใช่ตัวตน Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2018
    โพสต์:
    397
    ค่าพลัง:
    +175
  11. ฟ้ากับเหว

    ฟ้ากับเหว Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 สิงหาคม 2020
    โพสต์:
    1,069
    ค่าพลัง:
    +372
    ใช่พระโมคัลลานะเถระมีฤทธิ์แต่ฤทธิ์ของพระเถระกับฤทธิ์ของคนที่ยกมากล่าวอ้างแบบนกแก้วนกขุนทองมันจะเป็นอันเดียวกันไหมนะ ยกตัวอย่างนะ ถ้าฤทธิ์ที่ว่าเรียกว่า อภิญญา ใครรู้ว่ามีอะไรบ้างก็หาเอา รู้แค่ว่าอันที่สูงสุดเรียกว่า อาสวักขยญาณ ไม่ได้เกี่ยวหรือสืบเนืองมาจาก ฌานลาภีบุคคล อันนี้จะหาอะไรมายืนยันก็หามา เพราะจะได้เห็นได้ตรงกันว่า ญาณอันประเสริฐและสูงสุดนี้คือฤทธิ์แต่ไม่ได้เกิดจากฌานสมบัติหรือที่เข้าใจไปเองว่าสมาธิเพียงลำพังเพียงลอยๆแต่อย่างใด เอะอะก็อ้างว่าต้องมีฌานแล้วจะบรรลุถึงจะบรรลุ สงสัย คงเห็นฤทธิ์ที่เกิดขึ้นตามจริงไม่ตรงกัน มันคนละฤทธิ์กันแล้วละ เพราะ ไอ้ฤทธิ์ที่กินแบล็คแคท มันก็ฤทธิ์เหมือนกัน แต่คนละเรื่องและคนละคน ควรเป็นคนที่พัฒนาต่อไปได้เมื่อรู้ว่ายังด้อยพัฒนา ไม่ใช่เหมารวมเหมาเข่ง ส้มกับแตงโมกับทุเรียน มันจะเหมือนกันได้ยังไง ว่าไหมคับคุณพี่
     
  12. ฟ้ากับเหว

    ฟ้ากับเหว Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 สิงหาคม 2020
    โพสต์:
    1,069
    ค่าพลัง:
    +372
    อันนี้ก็ต้องย้อนไปดูว่าข้อความเจ้าของกระทู้เอียงใจไปทางใด สังเกตว่า มีความเป็นพุทธมามกะสมบูรณ์ รู้จักผิดชอบชั่วดี รู้จักเผื่อแผ่ธรรม รู้จักฟังและยอมรับเหตุผลแต่ก็ยังน้อยเพราะมีความยึดมั่นตามความคิดของตนเองเป็นใหญ่เสมอ ก็ไม่แปลกนะ หลวงปู่เทสก์ กล่าวตามวาระนั้นๆ คงเพราะมีคนถาม ถูกต้องคนตอบควรมีมากกว่าหนึ่ง เพราะตอนนั้นคงเป็นอะไรที่ไปมาหาสู่กันในหมู่ผู้ปฏิบัติเพื่อพ้นทุกข์ คงไม่ใช่เพื่อแต่งหนังสือขายหรอก แต่ก็อาจเป็นผลพลอยได้ของเขาก็ได้ อันนี้โม้เอาเดาเอาหรอก แต่คิดว่าหลวงปู่กำลังตอบคำถามหรือไขข้อข้องใจให้ญาติโยมที่ศรัทธาอยู่ ตามที่เห็น ทั้งฝ่ายฤทธิ์หรืออ้างว่าต้องมีก็ให้บทสรุปลงท้ายเหมือนกัน เป็นมรรค ในมรรค ครองมรรค จึงบรรลุได้ ย้อนไปอ่านดีๆสิ อย่าเอียงจนเรือคว่ำแบบนี้สิ คนบนเรือจะพากันตายห่าหมด
     
  13. maokvid-1800

    maokvid-1800 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2008
    โพสต์:
    5,923
    ค่าพลัง:
    +2,262
  14. maokvid-1800

    maokvid-1800 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2008
    โพสต์:
    5,923
    ค่าพลัง:
    +2,262
    71NjJlhS27L._AC_UX466_.jpg

    ตาเที่ยง หรือ ไม่เที่ยง

    ไม่เที่ยง ค่าาาาาาาาาา

    ยายเที่ยง หรือ ไม่เที่ยง

    เที่ยงสิแกรรรรร์
     
  15. nilakarn

    nilakarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2011
    โพสต์:
    3,606
    ค่าพลัง:
    +3,014
    พระอริยะเจ้าสายวัดป่า
    ท่านจะ ระวังจิตใจอยู่ตลอดเวลา
    ไม่ว่าท่านจะทำอะไร ก็จะเข้าญานชั้นที่สอง อยู่เสมอ
    ดึงจิตไว้ที่กาย เกือบจะตลอดเวลา
    ยิ่งเป็น พระอรหันต์ ท่าจะเอาจิตไว้ในกายเลย
    นอกจากเวลาที่จะ สอนธรรมะ
    จิตของท่าน ก็จะโต้ตอบไปโดยปริยาย โดยไม่ต้องคิด
    ยกเรื่องปุ๊บ ตอบได้ปั๊บ บางทีคนถามยังถามไม่จบเลย
    เรียกว่า จิตท่านเร็วมาก เพียงแค่ กระพริบตา ก็จบแล้ว
    เพราะ ท่านฝึกปฏิบัติมาทั้งหมดแล้ว ฝึกมาก่อนเรา
    แค่เรา เอ่ยสภาวะใดขึ้นมา ท่านก็จะตอบได้ทันที

    เพราะฉนั้น ถ้าจะตอบว่า พระสุกกวิปัสสโก ไม่ได้ญาน
    นั้นผิด เพราะ การระวังจิตใจ ก็คือ การเข้าญานที่สอง
    หรือ ญานวิจาร นั่นเอง ท่านจะเข้าญานอ่อนไว้ ทั้งวันทั้งคืน
    ไม่ว่าจะทำ กิจธุระ ท่านก็เข้า วิปัสสนาญาน ไว้ตลอด
     
  16. nilakarn

    nilakarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2011
    โพสต์:
    3,606
    ค่าพลัง:
    +3,014

    อันนี้ เค้า ตอบแบบปฏิบัติ ก็ถูกต้องแล้ว
    แต่ถ้าจะให้ ตอบแบบปริยัติ ก็จะต้องแยกย่อยให้ชัดเจน
    ก็จะเหมือนกับ เอา พระมหาเปรียญ ไปจับผิด หลวงปู่มั่น
    และ ลูกศิษย์ของท่าน นั่นเอง

    แต่ในทางปฏิบัติ ทุกคนไม่สามารถที่จะอธิบายได้เหมือนกัน
    ผู้ฟัง ก็รับฟังได้ไม่เท่ากัน เพราะว่า ทุกคนมีภูมิธรรมต่างกัน
    แต่ ถ้าหากว่า จะเอา บาลี ไปจับ การปฏิบัติ
    ก็จะผิดทันที เพราะการปฏิบัติจิตใจของคนทั่วไป
    ไม่สามารถที่จะทำตามที่ พระพุทธเจ้า สอน
    ได้ ร้อยเปอร์เซนต์ บางคนทำได้ 1 ใน 4
    แล้ว บรรลุธรรม เป็น ชั้นโสดาบัน
    บางคนทำได้ 2 ใน 4 ก็เป็น ชั้นสกิทาคามี
    บางคน 3 ใน 4 ก็เป็น ชั้นอนาคามี
    แต่ถ้าบางคน ทำครั้งเดียว 4 ใน 4 เลย
    หรือว่า เต็มรอบในครั้งเดียว ก็จะเป็น พระอรหันต์
     
  17. nilakarn

    nilakarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2011
    โพสต์:
    3,606
    ค่าพลัง:
    +3,014
    หลวงปู่เทียน ท่านก็สอนได้ถูกต้องตรงทางแล้ว
    ท่านสอนให้มีสติอยู่กับปัจจุบัน อยู่กับ กายในกาย
    แต่ ผู้ฝึกนั่นเอง ที่มีสติอ่อนด้อย ตามไม่ทัน
    จึงทำไม่ได้อย่างที่ท่านสอน แล้วก็ไปโทษท่าน
    หาว่า ท่านสอนผิดทาง ทั้งๆที่ความจริงแล้ว
    คนฟังนั้นโง่เอง จึงไม่สามารถที่จะทำตามที่ท่านสอนได้
    จึงไม่อาจที่จะบรรลุธรรมได้ ทั้งๆที่ความจริงแล้ว
    แค่เราทำทุกวันๆ อย่างสม่ำเสมอไม่มีลดละ
    คนโง่ ก็จะบรรลุธรรมได้ ภายใน เจ็ดปี นั่นเอง
     
  18. nilakarn

    nilakarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2011
    โพสต์:
    3,606
    ค่าพลัง:
    +3,014
    หลวงปู่เทียน สอนเรื่องการดู กายในกาย
    ส่วน หลวงพ่อปราโมทย์ ปราโมชโช สอนเรื่องการดู จิตในจิต
    มันสูงชั้นกว่ากัน แต่ก็จะต้องผ่าน ชั้นกายในกาย เสียก่อน
    จึงจะไปเรียนการดูจิตได้ จะได้ไม่งงในตัวเอง
     
  19. nilakarn

    nilakarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2011
    โพสต์:
    3,606
    ค่าพลัง:
    +3,014
    มันจะเห็น แต่เรื่องจิตอย่างเดียว
    แต่ ธรรมะเรื่องอื่นๆ เช่น กายในกาย หรือ
    เวทนาในเวทนา และ ธรรมในธรรม
    ก็จะฟังไม่รู้เรื่อง เพราะไม่ได้
    มีพื้นฐานเรื่องสติปัฏฐานทั้ง 4 ด้าน อย่างเพียงพอ
    การปฏิบัติจะทำให้ไม่ต่อเนื่องกัน
     
  20. nilakarn

    nilakarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2011
    โพสต์:
    3,606
    ค่าพลัง:
    +3,014
    เราเคยเข้าไปอ่านแล้ว ให้ผ่านได้ ยังพออยู่ในหลัก
    สามารถสอนให้คนบรรลุธรรมได้ ไม่ได้เป็นมิจฉาทิฏฐิ
    มีแต่ตัวท่านเองนี่แหละ ที่บางครั้ง ยังเป็นมิจฉาทิฏฐิ เสียเอง
    บางครั้งก็สอนดี บางครั้งก็ไม่ได้เรื่อง แสดงว่า
    ใจท่านยังไม่นิ่งพอที่จะสอนธรรมะ
    ใจจึงพลิกไปพลิกมาเหมือน สายน้ำไหล
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...