พระยาธรรมมิกราช

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย ธรรมแท้ว่าง, 13 สิงหาคม 2020.

  1. กระร่อน

    กระร่อน จิตฺเตน นียติ โลโก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 มีนาคม 2020
    โพสต์:
    8,909
    ค่าพลัง:
    +994
    ติ่งส้มอย่าบอกนะแกรกะนั่งกรรมฐาน5นาทีคือกันบ่หลับบ่นอน55
     
  2. nilakarn

    nilakarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2011
    โพสต์:
    3,606
    ค่าพลัง:
    +3,014

    สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ปฐม
    1109712325.jpg



    สมเด็จองค์ปฐม ท่านเป็น พระพุทธเจ้าพระองค์แรกของโลก ทรงพระนาม สมเด็จพระพุทธสิกขี เนื่องจากพระพุทธ เจ้า ได้ตรัสรู้แล้วมากมายนับได้แสนองค์ ฉะนั้นพระนามของพระองค์จึงซ้ำกัน โดยเฉพาะพระนามสมเด็จพระพุทธสิกขี มี ด้วยกัน 5 พระองค์ จึงได้ขนานนามของสมเด็จองค์ปฐมว่า สมเด็จพระพุทธสิกขีที่ 1 จึงนับได้ว่า พระพุทธองค์ ทรงเป็น สมเด็จองค์ปฐมบรมครู อย่างแท้จริง

    สมัยที่พระพุทธองค์ ได้ทรงอุบัติในโลกมนุษย์ ซึ่งขณะนั้น คนมีอายุขัยประมาณ 8 หมื่นปี พระพุทธองค์ทรงผนวชออกมหา ภิเนษกรมณ์ เมื่อพระชนมายุได้ 4 หมื่นปี หลังจากผนวชได้ 2 หมื่นปี จึงบรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณตรัสรู้ เป็นองค์สม เด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์แรกของโลก พระพุทธองค์ทรงโปรดเวไนยสัตว์ ประมาณ 2 หมื่นปี จึงได้เสด็จ ดับขันธ ปรินิพาน

    พระพุทธองค์ ทรงใช้เวลาอันยาวนานถึง 40 อสงไขยกัปเศษ ในการบำเพ็ญพระบารมี เพื่อแสวงหาพระโพธิญาณ ด้วยพระ องค์เองทรงใช้เวลาอันยาวนานในการบำเพ็ญพระบารมี เนื่องจากพระพุทธองค์เป็นพระพุทธเจ้าพระองค์แรก จึงไม่มีแบบ อย่างที่จะให้พระพุทธองค์ ได้ศึกษาเป็นแนวทางในการปฏิบัติเพื่อบรรลุ พระโพธิญาณ ระยะเวลาที่บำเพ็ญพระบารมี จึงใช้ ถึง 40 อสงไขยกัปเศษ

    การพบสมเด็จองค์ปฐม ครั้งแรกของพระเดชพระคุณหลวงพ่อ พระราชพรหมยาน เมื่อประมาณ พ.ศ. 2511 คืนหนึ่ง พระ เดชพระคุณหลวงพ่อกำลังสอนพระกรรมฐาน และเมื่อเสร็จจากการแนะนำ ก็ได้ทำสมาธิ ก็เกิดสิ่งที่ไม่คาดคิดมาก่อน ปรา กฏขึ้น คือเห็นพระพุทธเจ้าในปางพระนิพพานทรงยืน สองแถวยาวเหยียดไปข้างหน้าแล้ว ก็พนมมือ พระเดชพระคุณหลวง พ่อมีความรู้สึกในใจว่า บางทีอาจจะเป็น อุปาทาน เพราะว่า พระพุทธเจ้า ไม่เคย ก้มศรีษะ ให้ใคร แม้แต่ บ้านเรือน เล็กๆ หลังคา ตํ่าๆ หาก พระพุทธองค์เสด็จเข้าไป หลังคาก็จะสูงขึ้นเอง แต่เวลานี้เห็น พระพุทธเจ้ายืนพนมมือ เมื่อนึกเพียงนี้ ก็ เห็นภาพหลวงปู่ปาน ปรากฏขึ้นข้างหน้า หลวงปู่ปานท่านบอกว่า

    " คุณ..ไม่ใช่อุปาทาน ประเดี๋ยวพระพุทธเจ้าองค์ปฐมจะเสด็จมา "

    อีกประมาณ 5 นาที ปรากฏว่ามีพระพุทธเจ้าอีกองค์ รูปร่างท่านใหญ่โตมาก สูงมาก มาในรูป ของปางพระนิพพาน เดินมา ระหว่างช่องกลาง พระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ ก้มศรีษะ แสดงความเคารพ พอพระองค์ เดินไปถึง พระเดชพระคุณหลวงพ่อ ทรงตรัสว่า

    " ข้าจะนั่งที่ไหนหว่า... ในเมื่อไม่มีที่นั่ง ข้าก็เอาหัวแกเป็นแท่นก็แล้วกัน "

    พระพุทธองค์ ก็เลยนั่งบนหัว ของพระเดชพระคุณหลวงพ่อ แล้วทรงตรัสกับพระเดชพระคุณหลวงพ่อว่า

    " นับตั้งแต่บัดนี้ เป็นต้นไป ก่อนที่แกจะสอนพระกรรมฐานก็ดี จะพูดธรรมก็ดี บอกฉันก่อน ฉันจะให้พูดตอน ไหน จะให้เทศน์ตอนไหน ให้ว่าตามนั้น "

    เป็นอันว่าเมื่อใดก็ตาม ที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อเทศน์ก็ดี สอนพระกรรมฐานก็ดี สอนธรรมก็ดี พระเดชพระคุณหลวงพ่อ ไม่เคยได้พูด ตามใจคิดเลย เป็นเพราะพระพุทธองค์ ท่านดลใจ ให้พระเดชพระคุณหลวงพ่อ พูด และแนะนำธรรม ซึ่งบาง ครั้ง อาจจะไม่เป็นที่ถูกใจของทุกคน เพราะพระพุทธองค์ ท่านอาจจี้จุด เฉพาะคนใดคนหนึ่ง แต่บางคน อาจจะไม่ถูกใจก็ ได้ นี่เป็นเรื่องธรรมดา พระเดชพระคุณหลวงพ่อก็คิดว่า เมื่อพระพุทธองค์ท่านมีบุญคุณอย่างนี้ จึงคิดที่จะหล่อรูปของท่าน

    ต่อมาเมื่อ พระเดชพระคุณหลวงพ่อ ได้เจริญพระกรรมฐานแล้ว จึงได้อาราธนา สมเด็จองค์ปฐม ขอพบพระพุทธองค์ท่าน ก็ปรากฏให้เห็น ทรวดทรงสวยงามมาก หน้าของท่าน อิ่ม เหมือนรูปไข่ แก้มอิ่ม ทรงยิ้มน้อยๆ ริมฝีปาก ไม่บุ๋ม ไม่เหมือน พระพุทธเจ้าที่เขาปั้นกัน จะพบว่าช่างเขาปั้นแก้มตรงปากจะบุ๋มลงไป แล้วสมเด็จองค์ปฐม ก็แสดงรูปร่าง สมัยเป็นมนุษย์ และก็เปลี่ยนมาเป็น ปางพระนิพพาน พระเดชพระคุณหลวงพ่อ ก็ถามว่า ถ้าจะปั้นรูปของพระองค์ จะให้ปั้นแบบไหน จะให้ ปั้นปางพระนิพพานหรือมนุษย์ พระพุทธองค์บอกว่า ให้ปั้นแบบนี้ก็แล้วกัน พระพุทธองค์ทรงแสดงภาพให้ดู เป็นเหมือนกับ พระพุทธรูป และมีเรือนแก้ว แบบพระพุทธชินราช รูปที่ทรงให้ปั้น ไม่เหมือนกับ รูปจริงของท่าน แต่พระองค์ท่านต้องการ ให้ปั้น แบบที่ท่านต้องการ พระพุทธองค์ได้มาแสดงภาพ ให้พระเดชพระคุณหลวงพ่อดูถึง 3 วัน ติดๆ กัน วันละประมาณ 1 ชั่วโมง พระเดชพระคุณหลวงพ่อ ก็ได้ดูอย่างละเอียด แต่ก็คิดในใจว่า ช่างเขาปั้น แต่เขาไม่เห็นภาพ เขาจะปั้นได้ไม่ - เหมือน จึงได้ขอบารมีพระองค์ท่าน เวลาช่างปั้น ขอได้โปรดดลใจ ให้เป็นไป ตามพระพุทธประสงค์ พระองค์ท่านก็ยอมรับ


    ------------------------------------------------------
     
  3. nilakarn

    nilakarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2011
    โพสต์:
    3,606
    ค่าพลัง:
    +3,014
    คำสอนของสมเด็จองค์ปฐม


    "ดูก่อนท่านทั้งหลาย ท่านที่มาประชุมทั้งหมด จะเป็น เทวดาก็ดี นางฟ้าก็ดี พรหมก็ดี ขอทุกท่าน จงอย่าลืมความตาย นั่น หมายถึงว่า การจุติ ลืมความเป็นทิพย์เสีย อย่าเพลิดเพลิน เกินไป อย่ามีความสุขเกินไป แล ะมันจะทุกข์ทีหลัง จงดูภาพ มนุษย์ว่า มนุษย์เมืองไหนบ้างที่น่าเกิด ดินแดนไหน ที่มีความสุขไม่มีการงาน เราจะมองไม่เห็นความสุขของมนุษย์ เมือง มนุษย์มีแต่ความทุกข์ ต้องประกอบกิจการงานทุกอย่าง ต้องกระทบกระทั่งกับอารมณ์ มีความปรารถนาไม่ค่อยจะสมหวัง ทุกอย่าง ต้องใช้แรงงาน แต่ว่ามาเป็นเทวดา มาเป็นนางฟ้า ทุกอย่างหมดสิ้น นั่นหมายความ ไม่ต้องทำอะไร ทั้งหมด ร่าง กายอิ่มเป็นปกติ ร่างกายเยือกเย็นอบอุ่นไม่ต้องห่มผ้าและมีความปรารถนาสมหวัง ก็หมายความถ้าจะไปทางไหน ก็สามา รถลอยไปถึงที่นั่นได้ทันทีทันใด ความป่วยไม่มี ความแก่ไม่มี ร่างกายไม่มีการเปลี่ยนแปลง ความเป็นทิพย์อย่างนี้ท่านทั้ง หลายจงอย่ามัวเมา จงอย่ามีความเข้าใจผิดว่า เราจะอยู่ที่นี่ตลอดกาล ตลอดสมัย


    ทั้งนี้เพราะอะไรเพราะอายุเทวดาก็ดี นางฟ้าก็ดี พรหมก็ดี มีอายุจำกัดตามบุญวาสนาบารมี ถ้าหมดบุญวาสนาบารมีก็ต้อง จุติ คือตาย แต่ว่าท่านทั้งหลาย จงอย่าลืมว่า เทวดาก็ดี นางฟ้าก็ดี พรหมทั้งหมด ที่นั่งอยู่ที่นี่ทั้งหมด แม้แต่จะเป็นพระอริย เจ้า ที่ท่านเป็นพระอริยเจ้าก็มาก จงอย่าลืมว่า ทุกท่านยังมีบาปติดตัวอยู่ และการสะสมบาปมาเป็นชาติๆ ยังมีมากมาย"

    (พอพระพุทธเจ้าตรัสอย่างนี้ บรรดาท่านทั้งหลาย อาตมาก็ใช้กำลังใจ ดูร่างกายเทวดา นางฟ้ากับพรหม เห็นเงาบาปอยู่ใน หนามาก เป็นอันว่า ทุกองค์ ต่างองค์ ต่างมีบาป แต่ก็มา เป็นเทวดา เป็นนางฟ้า เป็นพรหมได้ แล้วก็ดูตัวเอง เวลานั้น ร่าง กายของตัวเอง ก็เป็นทิพย์ บาปมันก็ท่วมท้นเหมือนกัน ต่อไปองค์สมเด็จพระภควันต์ทรงตรัสว่า)

    " ภิกขุเว..ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย (เวลานั้นมีพระมาด้วยหลายองค์) และท่านทั้งหลายที่นั่งอยู่ที่นี่ทั้งหมด จงอย่าลืมว่า ทุกท่าน มีบาป ติดตัวมามากมาย อาศัยบุญเล็กน้อย ก่อนจะตาย จิตใจนึกถึงบุญก่อน จึงได้มาเกิด บนสวรรค์บ้าง มาเกิดบนพรหม บ้าง ถ้าหากว่า ท่านจุติเมื่อไร โน่น..นรก (ท่านชี้มือลงเห็นนรกไฟสว่างจ้า แดงฉานไปหมด) ท่านทั้งหลาย จะต้องพุ่งหลาว ลงนรก เพราะใช้กฎของกรรมคือบาป ชำระหนี้บาป กว่าจะมาเกิดเป็นคนก็นานหนักหนา และมาเป็นคนแล้ว ก็ไม่แน่ว่าจะ ได้กลับมาเป็นเทวดา นางฟ้า หรือ พรหมใหม่ ทั้งนี้เพราะอะไร ก็เพราะว่า เป็นคนอาจจะทำบาปใหม่ อาจลงนรกไปใหม่ก็ ได้ฉะนั้นเมื่อท่านทั้งหลายมาถึงที่นี่ มาอยู่สวรรค์ก็ดีพรหมก็ดี เป็นทางครึ่งหนึ่งของนิพพาน ระหว่างมนุษย์กับนิพพานเป็น อันว่า ท่านทั้งหลายได้ครึ่งทาง การมาได้ครึ่งทางของท่าน ท่านทั้งหลายจงดูนั่น นิพพาน "

    (ท่านยกมือชี้ขึ้น ให้ดูพระนิพพาน เวลานั้นเทวดา นางฟ้า กับพรหมทั้งหมด อาตมาก็เหมือนกัน เห็นพระนิพพาน ไสวสว่าง จ้า มีวิมานสีเดียวกันคือ สีแก้ว แพรวพราว เป็นระยับ เป็นแก้วสีขาว พระอรหันต์ทั้งหลาย ที่อยู่ที่นั่น มีความสุขขนาดไหนมี ความเข้าใจหมด รู้หมดเห็นหมด แล้วองค์สมเด็จพระบรมสุคต ก็ทรงกลับมาพูดกับเทวดากับนางฟ้าใหม่ว่า)

    " ท่านทั้งหลายจงหวังตั้งใจคิดว่า ถ้าการจุติมีคราวนี้ ถ้าบุญวาสนาบารมี ของเรานี้ สิ้นสุดลง เราจะไม่ไปเกิดเป็นมนุษย์เรา จะไม่เกิดเป็นเทวดา เราจะไม่เกิดเป็นนางฟ้า เราจะไม่ไปเกิดเป็นพรหม เราต้องการไปพระนิพพานจุดเดียว และ การไป นิพพานนี่ ท่านทั้งหลายต้องยึด อารมณ์พระนิพพาน เป็นสำคัญ สำหรับพรหมก็ดี เทวดานางฟ้าเก่าๆ ก็ดี อาตมาไม่หนัก ใจ ทั้งนี้เพราะมีความเข้าใจแล้ว ก็แสดงว่า พรหม เทวดา นางฟ้าเก่าๆ เป็นพระอริยเจ้ามาก ที่มีความเป็นห่วง ก็เป็นห่วง เทวดา นางฟ้าใหม่ๆ ที่มาเกิดใหม่ๆ จะหลงความเป็นทิพย์ นั่นหมายความ จะมีความเพลิดเพลิน ในความเป็นทิพย์ ยังมี ความรู้สึกว่าเราจะเกิดอยู่ที่นี่ตลอดไป จะไม่มีการจุติ จะไม่มีการเคลื่อน อันนี้เป็นความเห็นที่ผิด จงคิดตามนี้ เพื่อพระนิพ พาน นั่นคือ จงมีความรู้สึกว่า เราจะต้องจุติวันนี้ ไว้เสมอ และอาการของชีวิตนี่ เป็นของที่ไม่แน่นอน เราจะ ตายเมื่อไหร่ก็ ได้ ความตายเป็นของเที่ยง ความเป็นอยู่ เป็นของไม่เที่ยง

    เมื่อคิดอย่างนี้แล้ว ทุกท่านจงอย่าประมาท จงใช้ปัญญาพิจารณาความดี ของพระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ ว่าท่าน ทั้งหลายควรจะเคารพไหม ถ้าจิตใจของท่าน มีความศรัทธา มีความเคารพ ในพระพุทธเจ้า ในพระธรรม ในพระอริยสงฆ์ ก็เป็นอาการ ขั้นที่สอง ที่ท่านจะไปนิพพานได้ หลังจากนั้น ขอท่านทั้งหลาย จงทรงศีลให้บริสุทธิ์ จะเป็น ศีล 5 ก็ตาม ศีล 8 ก็ตาม กรรมบถ ศีล 10 ก็ตาม ศีล 227 ก็ตาม

    (พอท่านพูดถึงศีล 227 ก็คิดในใจว่า เทวดาจะไปบวช ที่ไหนองค์สมเด็จพระจอมไตรก็หันหน้ามาตรัสว่า)

    "ฤาษี.. เทวดา เขาไม่ต้องบวช อย่างเทวดา ชั้นยามาก็ดี ชั้นดุสิตก็ดี อย่างนี้ เขามีศีลครบถ้วน บริบูรณ์ทั้ง 227 เหมือนกับ ความเป็นพระ พรหมก็ตามก็เช่นเดียวกัน ทุกท่านอยู่ด้วย ธรรมปีติ ทุกท่านอยู่ด้วยความสุขเขาไม่อาบัติ สิ่งที่จะเป็นอาบัติ ไม่มี สิ่งที่จะเป็นบาปไม่มี "

    (แล้วท่านก็กลับ หันหน้าไปหาเทวดา นางฟ้า กับพรหมว่า)

    " ขอทุกท่านจงอย่าลืมคิดว่า เราจะเป็นผู้มีศีล ให้ตั้งเฉพาะศีล 5 ก็ดี ศีล 8 ก็ได้ ศีล 10 ก็ได้ กรรมบถ 10 ก็ได้ ศีล 227 ก็ ได้ตั้งใจไว้ว่า เราจะไม่ละเมิดศีล หลังจากนั้นจึงมีจิตใช้ปัญญาคิดว่า การเกิดเป็นเทวดาก็ดีเป็นนางฟ้าก็ดีมีสภาพไม่เที่ยง จะต้องมีการจุติเป็นวาระสุดท้ายในเมื่อการจุติเกิดขึ้น อารมณ์จะทุกข์ จงคิดไว้เสมอว่า เราจะต้องจุติ ในเมื่อเราจะต้องจุติ เราจะไม่ยอมลงอบายภูมิ เราจะไม่เกิดเป็นมนุษย์

    ท่านทั้งหลายจงดูภาพของมนุษย์ (แล้วพระองค์ก็ชี้มาที่เมืองมนุษย์) มนุษย์เต็มไปด้วยความวุ่นวายมนุษย์เต็มไปด้วยความ โสโครก มนุษย์เต็มไปด้วยความทุกข์ มนุษย์เต็มไปด้วย การงานต่างๆ มนุษย์ มีความหิว มีความกระหาย มีความอยาก มี ความต้องการไม่สิ้นสุด สิ่งทั้งหลายที่ก่อสร้างขึ้นมาแล้วจะเป็นทรัพย์สินยังไงก็ตามในเมื่อเราตายจากความเป็นมนุษย์เรา ก็หมดสิทธิ์ อย่างบางท่านเป็น พระมหากษัตริย์ อยู่ในพระราชฐานดีๆ สร้างไว้เป็นเป็นที่หวงแหนคนภายนอกเข้าไม่ได้เข้า ได้แต่คนภายใน แต่ว่าท่านทั้งหลาย เมื่อตายมาแล้ว กลับไปเกิดเป็นคน หากว่า ท่านไม่ได้เกิดในตระกูลกษัตริย์ ตามเดิม ท่านเป็นประชาชนคนภายนอก ท่านจะไม่มีสิทธิ์ เข้าเขตนั้นเลย ทั้งๆ ที่เป็นของที่ท่าน สร้างเอาไว้ ท่านทำเอาไว้ทุกอย่าง แล้วท่านจะไม่มีสิทธิ นี่ความไม่แน่นอนของความเป็นมนุษย์ มันเป็นทุกข์อย่างนี้ ถ้าเกิดเป็นคนก็ต้องหยุด ต้องเดินไปเดิน มาทำกิจการงานทั้งวัน เพื่อผลประโยชน์หน่อยเดียว คือ เงิน ถ้าไม่มีเงินก็ไม่สามารถจะมีชีวิตทรงตัวอยู่ได้ เพราะมีความ จำเป็นต้องหาเงิน (ในเมื่อท่านตรัสอย่างนี้แล้วก็บอกว่า)

    จงอย่าคิดเป็น มนุษย์ต่อไป ตัดความเป็นมนุษย์เสีย เลิกความหมาย ความเป็นมนุษย์ เห็นว่าโลกมนุษย์ เป็นทุกข์ มนุษย์มี สภาพไม่เที่ยง ไม่มีการทรงตัว มีความเกิดขึ้นและมีความเปลี่ยนแปลง มีความแก่ มีความป่วย ในการพลัดพรากจากของ รักของชอบใจ มีความตายในที่สุด และจงอย่าอยากเป็นเทวดาอยาก เป็นนางฟ้า เป็นพรหมต่อไป เพราะเทวดา นางฟ้ากับ พรหม ก็มีสภาพไม่เที่ยงเหมือนกัน

    เมื่อมีความเกิดขึ้นไนเบื้องต้น ก็มีความเปลี่ยนแปลงไปธรรมดา ก็มีความจุติไปในที่สุด ทุกคนหวังนิพพานเป็นที่ไปตั้งใจ ไว้เสมอว่า

    เราจะเป็นผู้มีศีล เราจะนับถือ พระไตรสรณคมน์ คือ พระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ แล้วก็เราจะต้องจุติในวัน ข้าง หน้า ตถาคตมีความรู้สึกว่า ท่านทั้งหลายที่เป็นเทวดานางฟ้าพรหมเก่าๆ มีความเข้าใจดีแล้ว คำว่าเข้าใจบรรดาท่านพุทธ บริษัทหมายถึงว่าเขาปฏิบัติได้นี่คือ อารมณ์พระโสดาบัน กับ อารมณ์พระอรหันต์ สำหรับเทวดานางฟ้าและพรหมใหม่ๆ จง ตั้งใจไว้เสมอว่า จงลืมความเป็นทิพย์เสีย อย่าเพลิดเพลินเกินไป อย่ามีความสุข เกินไป และ มันจะทุกข์ทีหลัง ตั้งใจคิดว่า ความสุขที่ได้มานี่ เราได้มาจากบุญเล็กน้อยเท่านั้น และบาปใหญ่ ที่ขังอยู่ที่ตัวเรา ยังมีอยู่ ถ้าเราเผลอ ไม่สร้างความ ดีใน เมื่อจุติความเป็นเทวดา หรือพรหมในภพนี้แล้ว ทุกคนจะต้องลงอบายภูมิ จงดูภาพนรกว่า ขุมไหนบ้างที่น่าอยู่น่ารักมัน ไม่ น่าอยู่ไม่น่าเกิด ดินแดนไหนที่มีความสุขไม่มีการงานเราจะมองไม่เห็นความสุขของมนุษย์ และก็ดูเทวดานางฟ้ากับพรหม มนุษย์ที่เดินเกลื่อนกล่นทุกคน อยู่ในเมืองมนุษย์ เคยเป็นเทวดาเคย เป็นนางฟ้า เคยเป็นพรหมมาแล้ว แต่ว่าท่านทั้งหลาย จงตั้งใจไว้ เฉพาะนิพพาน

    จงดูภาพพระนิพพาน ให้ชัดเจนแจ่มใสว่า ดินแดนพระนิพพาน ไม่มีที่สิ้นสุด... (เมื่อพระ องค์ตรัสเพียงเท่านี้พระองค์ก็จบ)


    จาก หนังสือธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ 139 เดือนกันยายน 2535
    เรื่อง ชวนเทวดา นางฟ้า พรหม ไปนิพพาน

    พระราชพรหมยานมหาเถระ (หลวงพ่อฤาษีวัดท่าซุง)
    [​IMG]รวบรวมโดย พล.ต.ท.นพ. สมศักดิ์ สืบสงวน จากหนังสือ ธรรมที่นำสู่ความทุกข์ (เล่ม4)
     
  4. nilakarn

    nilakarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2011
    โพสต์:
    3,606
    ค่าพลัง:
    +3,014
    หลังจากนั้นสมเด็จองค์ปฐม ทรงเมตตาตรัสสอนเรื่องกำลังใจกับอภิญญาว่า
    1. อยากได้อภิญญาไหม? (ตอบว่าอยากได้ แต่กำลังใจเจ้ามันไม่สู้) ทรงตรัสว่า ทุกอย่างต้องอาศัยกำลังใจ การจักได้อภิญญาใหญ่ ก็ต้องอาศัยกำลังใจ การจักมานิพพานก็ต้องอาศัยกำลังใจ แต่ว่าเจ้าจงอย่าสนใจอภิญญาให้มากจนเกินไป อย่าเพิ่งคิดเอากายเนื้อไปไหนๆ จงซักซ้อมเอากายใจมาพระนิพพานในชั่วขณะจิตดีกว่า[​IMG][​IMG]
    2. สนใจกับการชำระจิตให้ปลดสังโยชน์ อันเป็นหนทางพ้นทุกข์ได้ดีกว่า อภิญญาใหญ่ใหญ่จักได้หรือไม่ได้อย่าพึงสนใจ[​IMG][​IMG]
    3. เอาความขยันไปตัดสังโยชน์ดีกว่า เพราะเล่นฤทธิ์ก็จักเป็นการถ่วงการบรรลุมรรคผล อย่างวันที่พิจารณาถึงทุกข์ทั้งภายในภายนอกและภายใน ก็จัดได้ว่าพอใช้ จงหมั่นทบทวนอยู่เสมอๆ พยายามให้จิตทรงตัว พิจารณาจนยอมรับทุกข์นั้นอย่างจริงใจ[​IMG][​IMG]
    4. หลังจากนั้นก็พิจารณาถึงสมุทัย เหตุที่ทำให้เกิดทุกข์ด้วย ค่อยๆ คิดค่อยๆ ทำจิตจักยอมรับความจริงของกฏธรรมดายิ่งขึ้น พิจารณาให้สม่ำเสมอ อย่าคิดทิ้งคิดขว้าง รวดเร็วเกินไป จิตมันไม่ยอมรับ[​IMG][​IMG]
    5. โทษและทุกข์ของกาม และ กามสัญญา ต้องหมั่นคิดทบทวน ใคร่ครวญอยู่เสมอ[​IMG][​IMG]
    6. เช่นเดียวกันกับอารมณ์ปฏิฆะ ทำให้เกิดโทษและทุกข์อย่างไร ก็หมั่นคิดทบทวนเช่นกัน[​IMG][​IMG]
    7. การตัดราคะและปฏิฆะต้องตัดพร้อมๆกัน ตัวหนึ่งเบาอีกตัวหนึ่งก็ต้องเบาไปด้วย เพราะทุกข์และโทษของปฏิฆะและราคะ ล้วนทำให้ต้องมาเกิดทั้งสิ้น[​IMG][​IMG]
    8. หมั่นดูอารมณ์จิตให้ดีๆ ดูด้วยอารมณ์เบาๆ จิตจักสบาย อย่าดูด้วยอารมณ์เครียด และมีอารมณ์หดหู่ได้ง่าย ข้อนี้จึงพึงระมัดระวังให้จงหนัก[​IMG][​IMG]
    [​IMG][​IMG]
    ในวันต่อมาพระพุทธองค์ก็ทรงเมตตา ช่วยตรัสสอนต่อ[​IMG][​IMG]
    เรื่องอารมณ์หนักใจ คือความเครียดจากลืมอานาปาว่า[​IMG][​IMG]
    1.จักอยู่ที่มดก็ตาม จักทำงานประเภทใดก็ตาม ต้องกำหนดจิตจับกรรมฐานรู้อยู่ตลอดเวลา[​IMG][​IMG]
    2.พยายามทำให้เกิดความเคยชินในอารมณ์ สมถะและวิปัสสนานั้นๆ[​IMG][​IMG]
    [​IMG][​IMG]
    3.รู้ด้วยอารมณ์เบา ๆ ทำให้จิตสบายๆ เวลานี้อารมณ์จิตของเจ้ายังค่อนข้างหนักอยู่ เกาะเวทนาของร่างกายมากเกินไป เวทนาย่อมรู้แล้จงหมั่นวางจิตให้สบายอย่าไปยึกเกาะเวทนานั้นๆ[​IMG][​IMG]
    [​IMG][​IMG]
    4.และจงอย่าลืมรู้ลมให้มากๆ เพราะอานาปานุสติกรรมฐานนี้ สามารถระงับเวทนาของร่างกายได้อยู่แล้ว อย่าปล่อยจิตให้เกาะเวทนามาเกินไป เพราะอาการเวทนาจักดึงจิตให้ฟุ้งซ่าน ก็พึงยิ่งต้องรู้ลม เพราะอานาปานุสสติระงับความฟุ้งซ่านได้อย่างดี
    [​IMG][​IMG]5.อนึ่ง เป็นปกติของคนเรา เมื่อร่างกายเจ็บไข้ได้ป่วย อารมณ์วิตกจริตมันเกิดขึ้น ก็ต้องหมั่นรู้ลมให้มากขึ้น เพราะอานาปานุสสติแก้วิตกจริตได้เป็นอย่างดีเช่นกัน[​IMG][​IMG]
    [​IMG][​IMG]
    6.อนึ่ง ควรคิดพิจารณาให้จิตยอมรับกฏของธรรมดา ว่าสภาพที่แท้จริงของร่างกาย ย่อมเป็นเพื่ออาพาธ (ป่วย)เป็นธรรมดา[​IMG][​IMG]
    [​IMG][​IMG]
    7.ไม่มีร่างกายของผู้ใดที่เกิดมาแล้ว จักไม่มีโรคภัยเข้ามาเบียดเบียน ชิคัจฉา ปรมา โรคา แม้ความหิวก็ได้ชื่อว่าเป็นโรคที่เบียดเบียนอย่างยิ่ง เพราะฉะนั้นขึ้นชื่อว่ามีร่างกายย่อมหนีอาพาธไปไม่พ้น [​IMG][​IMG]
    8.เมื่อเป็นเช่นนี้จงอย่าหนี ทำจิตให้ยอมรับความเป็นจริงของร่างกาย เบื่อหน่ายร่างกายด้วยเห็นทุกข์ เห็นโทษของร่างกาย ทำจิตให้คลายกำหนัดในการอยากมีร่างกายนี้เสีย ด้วยเห็นสภาพธาตุ 4 มาประชุมกันเป็นอาการ 32 เป็นของสกปรกและไม่เที่ยง มีความเสี่อม และสลายตัวไปในที่สุด[​IMG][​IMG]
    9.เมื่อไม่อยากมีร่างกายเกิดขึ้นในอารมณืจิตแล้ว ก็จงอย่าทำอารมณืจิตให้เครียด จงปล่อยวางอารมณ์ที่หนักใจนั้นเสีย จิตจักเป็นสุข มีอารมณ์เบาได้ (ก็รับคำสั่งสอนนั้น แต่ก็ยังมีความหนักใจ เพราะวางอารมณ์เบื่อไม่ได้[​IMG][​IMG]
    10.ทรงตรัส ที่ยังวางไม่ลง เพราะจิตไร้กำลังตัดสักกายทิฏฐิ การพิจารณายังไม่ถึงที่สุด คือจิตยังยึดเกาะร่างกายอยู่เจ้าก็ต้องอาศัยรู้ลม ทำอานาปานุสสติให้จิตมีกำลัง[​IMG][​IMG]
    11.การเข้าถึงฌาน จิตจักสงบได้เป็นระยะๆ ตามที่ต้องการตราบนั้น จิตจักสงบได้เป็นระยะๆ ตามที่ต้องการตราบนั้นจิตจักมีกำลังพิจารณาร่างกายนี้ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา เราไม่มีในร่างกาย ร่างกายไม่มีในเราได้จนถึงที่สุด เมื่อนั้นจิตจักยอมรับกฎของธรรมดา และวางอารมณ์หนักใจลงได้[​IMG][​IMG]
    12.เจ้าเห็นความสำคัญของอาณาปนุสสติหรือยัง เห็นแล้วก็จงหมั่นให้มากๆ กรรมฐานทุกกอง จักเป็นผลขึ้นมาได้ ก็ด้วยอานาปานุสสตินี้ พยายามรู้ลมให้มากในระยะนี้จักอยู่ในอิริยาบถไหนก็ตาม จักทำงานอะไรอยู่ก็ตามให้จิตกำหนดรู้ลมให้มากๆ

    พระราชพรหมยานมหาเถระ (หลวงพ่อฤาษีวัดท่าซุง)
    [​IMG]รวบรวมโดย พล.ต.ท.นพ. สมศักดิ์ สืบสงวน จากหนังสือ ธรรมที่นำสู่ความทุกข์ (เล่ม4)
    หน้าที่51-54
     
  5. nilakarn

    nilakarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2011
    โพสต์:
    3,606
    ค่าพลัง:
    +3,014

    สมเด็จองค์ปฐม
    เพราะท่านเป็น พระพุทธเจ้าองค์ที่หนึ่ง
    จึงได้ตั้งชื่อ สมเด็จองค์ปฐม หรือ สมเด็จองค์ปฐมา
    ซึ่งคำว่า ปฐม หรือ ปฐมา แปลว่า ที่หนึ่ง นั่นเอง
    ซึ่ง พระไทย ใช้เรียกท่านตามคำบอกเล่าของท่าน
    ส่วนชื่อจริงของท่านเมื่อครั้งเป็น พระพุทธเจ้าองค์แรก
    ก็คือชื่อ สมเด็จพระพุทธสิกขีที่ 1 หรือ สมเด็จพระพุทธสิกขี
    มีพระชนมายุ 80 000 ปี คนสูง 5 เมตรขึ้นไป
     
  6. กระร่อน

    กระร่อน จิตฺเตน นียติ โลโก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 มีนาคม 2020
    โพสต์:
    8,909
    ค่าพลัง:
    +994
    อ้าวเราดันพิมพ์ผิดเป็นประถมจะบาปบ่นี้ผม55
     
  7. กระร่อน

    กระร่อน จิตฺเตน นียติ โลโก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 มีนาคม 2020
    โพสต์:
    8,909
    ค่าพลัง:
    +994
    ซักพักจะองค์มัธยมต้นมัธยมปลายบ่น้อ55
     
  8. กระร่อน

    กระร่อน จิตฺเตน นียติ โลโก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 มีนาคม 2020
    โพสต์:
    8,909
    ค่าพลัง:
    +994
    ภาษาไทยใช้ยากจริง
     
  9. nilakarn

    nilakarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2011
    โพสต์:
    3,606
    ค่าพลัง:
    +3,014
    ตอนนั้น ที่เค้าปฏิวัติ เพราะ เสื้อแดง และ เสื้อเหลือง
    ฆ่ากันหนักมาก จนลามไปถึงเจ้าหน้าที่ทุกสำนัก โดนยึดหมด
    จึงส่งซิกซ์ให้รัฐบาลชุดนี้ออกมาควบคุมดูแลหน่อย
    ทุกหน่วยจึงร่วมมือกันปฏิวัติ ยืนยันว่า ร่วมกันทุกหน่วยราชการ
    ไม่ใช่ ทหารตำรวจ อย่างเดียว อย่างที่คนอื่นเข้าใจ
    สรุปก็คือ การวนลูปของการปฏิวัติ จะมีได้ก็ต่อเมื่อ
    คณะหนึ่งคณะใดประท้วงแล้ว ยึดสถานที่ราชการไม่ปล่อยออก
    จะทำให้ทุกสถานที่ราชการโต้กลับ ด้วยการปฏิวัติ
    จึงเรียกว่า การปฏิวัติโดยสงบ ไม่มีกระทรวงไหนคัดค้าน
    เพราะเค้าก็เดือดร้อนเช่นกัน จึงไม่ทักท้วงหากมีการปฏิวัติ
    เพื่อจัดระเบียบม๊อบ ให้อยู่ในสถานการณ์ที่ควบคุมได้
    แต่คนที่โดนด่า ก็คือ ทหาร และ ตำรวจ ทุกครั้งไป
     
  10. nilakarn

    nilakarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2011
    โพสต์:
    3,606
    ค่าพลัง:
    +3,014
    โลกนี้ไม่เคยมีความยุติธรรมอยู่จริง
    เพราะทุกคนจะต้องเกิดตาย ตามกฏแห่งกรรม
    ทำให้ทุกคนได้รับกรรมที่ไม่เคยเท่าเทียมกัน
    และก็จะไม่เท่าเทียมกัน ทุกโลกธาตุ
    เพราะทุกคน เกิดด้วยแรง กฏแห่งฟ้า
    แต่พวกยุโรป ชอบอ้างมายาคติว่า เราเท่าเทียมกัน
    เพราะไม่รู้จัก กฏแห่งกรรม นั่นเอง
    จึงอยากจะสร้างโลกตามมายาคติ นั้น
    ไม่มองโลกตามความเป็นจริงของมัน
    โลกความจริงก็คือ ทุกคนแม้จะอยู่ในบ้านเดียวกัน
    แต่ก็ยังมีทุกข์สุขมากน้อยแตกต่างกัน
    ตามกรรมที่ตัวเองได้ทำในอดีต
     
  11. กระร่อน

    กระร่อน จิตฺเตน นียติ โลโก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 มีนาคม 2020
    โพสต์:
    8,909
    ค่าพลัง:
    +994
    การต่อสู้ด้วยความถูกต้องชอบธรรมหน้าสรรเสิรญเสมอ
     
  12. กระร่อน

    กระร่อน จิตฺเตน นียติ โลโก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 มีนาคม 2020
    โพสต์:
    8,909
    ค่าพลัง:
    +994
    มีแต่เด็กเห้อหมอออยละใช้มายาคติในการเอาชนะ
     
  13. jityim

    jityim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    3,427
    ค่าพลัง:
    +3,198
    จิตยิ้มเคยกล่าวเรื่องนี้มาหลายปีแล้วค่ะ ตั้งแต่กระทู้ "อหังการวิเศษมาร" ในห้องภัยพิบัติ และห้องพุทธภูมิ ที่ขอเชิญพระโพธิสัตว์ทั้งหลายร่วมพิสูจน์ค่ะว่า พระยาธรรมิกราช คือใคร? ตามในพระสูตร คิริมานันทสูตร ซึ่งที่จริง ก็คือ คำตอบ

    "คำสอนที่ไม่ใช่ตัวบุคคล" ที่ท่านนพกานต์กล่าวไว้นะค่ะ

    ส่วนมิกราชโพธิญาณ ที่เคยกล่าวไว้ ก็ยังคงยืนยันว่า หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ที่ทรงบรรลุธรรม แล้วมีพระอรหันต์ และพระอริยบุคคลเกิดขึ้นตามมาอีกจำนวนมาก จนเกิดยุคกึ่งพุทธกาล ที่แสงธรรมส่องลงมายังโลกอีกครา(สัจจะธรรมโลกุตระเปิด หรือ มนุษย์เข้าถึงมิติที่สูงกว่าได้ง่ายกว่าเดิม) ตามคำพุทธทำนายทุกประการ

    และแสงธรรมโลกุตระ นั่นก็คือ พระยาธรรมิกราชค่ะ

    การที่หลวงปู่มั่นตรัสรู้โพธิญาณ และการเผยแพร่ธรรมจะมีอายุศาสนาถึง 5000 ปี ก็ล้วนมาจากเหล่าศิษยานุศิษย์ที่บรรลุ และเผยแพร่ธรรมต่อ ๆมา จนมาถึงยุคปัจุบันนี้ ก็จะมีพระโพธิสัตว์ทั้งหลาย และพระอริยบุคคลหลายท่านก็สามารถรับธรรมจากพระยาธรรมิกราชได้โดยตรง และเป็นผลที่จะดำรงพระศาสนาไปจนครบ 5000 ปี ด้วยนัยยะนี้ค่ะ

    การบรรลุอาสสักขยญาณ ก็คือ การแจ้งธรรม ของพระยาธธรรมิกราช เข้าถึงพระยาธรรมิกราชได้ ซึ่งการบรรลุอาสวักขยญาณ ดั่งนัยยะของการลอยถาดทองบุคลาธิษฐานในวันตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า ต้องใช้พลังสติขนาดไหน จึงจะฝ่าคลื่นมหาสมุทร ลงสู่ห้วงนทีท้องมหาสมุทรได้

    จิตยิ้มโชคดีค่ะ ได้แจ้งในแสงธรรม และโชคดีที่ได้เจอผู้ชี้ทางออกจากเขาวงกต รู้ว่าทางนี้ต้องเดินอย่างไร มีวิธีการเดินแบบไหน เหมือนคนตาดีที่รู้ทางเดินแล้ว เหลือแต่เดินไปให้ถึงแค่นั้นเองค่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 พฤศจิกายน 2020
  14. nilakarn

    nilakarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2011
    โพสต์:
    3,606
    ค่าพลัง:
    +3,014
  15. nilakarn

    nilakarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2011
    โพสต์:
    3,606
    ค่าพลัง:
    +3,014
    ขณะที่พระส่วนมาก ยัง หลงวนอยู่ในโลก
    แต่ก็มี พระบางรูปหลุดพ้นจากโลก แล้ว
    พระมีแค่ บาตร จีวร และ คัมภีร์ ก็พอแล้ว
    สิ่งอื่นยิ่งถือ ก็ยิ่งหนัก โดยไร้ประโยชน์
    สิ่งอื่นเป็นแค่เพียงสิ่งสมมุติ แค่นั้น
    สาธุ


     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 พฤศจิกายน 2020
  16. nilakarn

    nilakarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2011
    โพสต์:
    3,606
    ค่าพลัง:
    +3,014
  17. nilakarn

    nilakarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2011
    โพสต์:
    3,606
    ค่าพลัง:
    +3,014
  18. nilakarn

    nilakarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2011
    โพสต์:
    3,606
    ค่าพลัง:
    +3,014
    นี่ขนาดท่านมารูปเดียว ยังทำได้ขนาดนี้
    ถ้า วัดธรรมกาย จัดมาสัก 1 000 รูป
    โดยไม่ต้องมีดอกไม้ คอยโปรย ตามที่เตี๊ยมกันมา
    เอาแบบเหตุการณ์สดๆ เลย จะสุดยอดขนาดไหน
    ภาพที่ออกมา ก็จะมีแต่ด้านบวก ไม่มีเสียงก่นด่า
    แล้วก็จัดเดิน ที่ต่างประเทศ ที่ตัวเองมีสาขาอยู่ด้วย
    คนในวัดแท้ๆ จะภูมิใจยิ่งกว่านี้
    วัดธรรมกาย มีศักยภาพวัดเดียวในประเทศไทย
    ที่สามารถจัดงานเดินธุดงค์ทั่วโลกได้
    โดยไม่ต้องไปปูผ้าให้ชาวบ้าน ให้เค้าเตรียมกันเอง
    วัดธรรมกายก็จะอยู่เหนือโลกทันที
    จะมีแต่คน สาธุ อนุโมทนาสาธุ
    เอาเวลามาจัด เดินธุดงค์ให้เยอะๆ
    ดีกว่า การสร้างศาสนวัตถุที่ไม่ค่อยเกิดประโยชน์
    ไม่ทำให้ใครบรรลุธรรม เปลี่ยนจากการเรียนอย่างเดียว
    มา ฝึกปฏิบัติจิตใจ คาบคู่ไปด้วย ภาพก็จะดูดีกว่านี้



     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 พฤศจิกายน 2020
  19. nilakarn

    nilakarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2011
    โพสต์:
    3,606
    ค่าพลัง:
    +3,014
  20. nilakarn

    nilakarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2011
    โพสต์:
    3,606
    ค่าพลัง:
    +3,014

แชร์หน้านี้

Loading...