เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันจันทร์ที่ ๑๘ เมษายน ๒๕๖๕

เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันจันทร์ที่ ๑๘ เมษายน ๒๕๖๕

​

 

วันนี้ตรงกับวันจันทร์ที่ ๑๘ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๖๕ สถานการณ์สงครามรัสเซีย-ยูเครน ซึ่งเริ่มจากการที่ยูเครนไปทำร้ายพลเมืองเชื้อสายรัสเซียในประเทศยูเครน แถวเขตดอนบาสก์ โดยมีการลงโทษและทำร้ายอย่างป่าเถื่อน ละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างเห็นได้ชัด รัฐบาลรัสเซียได้ตักเตือนหลายครั้งแล้ว แต่ว่าทางยูเครนไม่ฟังเสียง โดยเฉพาะเมื่อยูเครนตั้งใจจะไปเข้ากับองค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ หรือว่านาโต ตรงนี้ก็จะทำให้ทางด้านนาโตซึ่งมีอเมริกาเป็นผู้ชี้นำ สามารถติดตั้งขีปนาวุธจ่อรัสเซียได้ตามที่อีกฝ่ายหนึ่งต้องการ รัสเซียจึงได้ยกกองทัพบุกเข้าไป

สงครามใหญ่เหล่านี้ เกิดขึ้นจากผลประโยชน์ล้วน ๆ ดังที่มีผู้รู้ได้กล่าวว่า สงครามแต่ละครั้งนั้น เกิดจากการ "แย่งอาหารกิน แย่งถิ่นที่อยู่ แย่งคู่สวาท แย่งอำนาจปกครอง" จนเกิดเป็นสงครามใหญ่ ๆ เล็ก ๆ เป็นบทเรียนไปทั่วโลก

แต่เนื่องจากว่าในวงจรของโลกเรานั้น จะต้องมีการลดจำนวนพลเมืองลงให้พอเพียงกับทรัพยากรที่เหลืออยู่ ดังนั้น...ถ้าหากว่าไม่มีโรคระบาดก็จะมีสงครามเกิดขึ้น ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องปกติ เรื่องนี้สามารถที่จะศึกษาวิจัย หาข้อมูลเหล่านี้ย้อนหลังไปได้เป็นร้อยเป็นพันปี

แต่ว่ามนุษย์เรามักจะไม่ได้ใส่ใจในบทเรียนทั้งหลายเหล่านี้ ไม่ได้ใช้หลักการที่ว่า "ผิดเป็นครู" เพราะว่าส่วนใหญ่แล้วก็จะโดนผลประโยชน์บังตา สิ่งหนึ่งประการใดที่จะหยิบฉวยมาเป็นของตนเองได้ ก็จะพยายามกอบโกยเข้ามา โดยที่ไม่ได้คิดถึงอกเขาอกเรา

ดังนั้น...ในโลกที่ปราศจากหลักธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงเป็นโลกของ "ปลาใหญ่กินปลาเล็ก" ในเมื่อปลาเล็กสามารถเอาตัวรอดขึ้นมาจนใหญ่ใกล้เคียงกัน หรือใหญ่เท่ากัน ก็จะมีการตอบโต้กลับ ทำให้เกิดสงครามขึ้นทั่วไป

 

ในปัจจุบันนี้ เราจะเห็นว่าอเมริกาไม่สามารถที่จะชี้นิ้วสั่งการใครได้อย่างแท้จริงแล้ว โดยเฉพาะประเทศต่าง ๆ ทางโลกตะวันออก ถ้าหากว่านับรัสเซียเข้าไปด้วย ก็จะประกอบไปด้วยจีน อินเดีย รัสเซีย ปากีสถาน เป็นต้น ประเทศทั้งหลายเหล่านี้รวมกันเข้าแล้วมีพลเมืองเกินครึ่งโลก และที่แน่ ๆ ก็คือ มีทรัพยากรโดยเฉพาะอาหารที่สามารถเลี้ยงประเทศชาติ เลี้ยงประชากรของตนเองได้ ดังนั้น...ถ้าหากว่าเปิดศึกเปิดสงครามไป ฝ่ายที่เดือดร้อนก็น่าจะเป็นฝ่ายยุโรปและอเมริกาเอง

แต่ว่าอเมริกานั้นก็ไม่กล้า "เปิดหน้าชน" อย่างแท้จริง ได้แต่ใช้องค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ ตลอดจนกระทั่งประเทศที่เดินตามก้นของตนเองออกหน้า โดยที่อเมริกาสนับสนุนอยู่อย่างลับ ๆ และการสนับสนุนเงินทองนั้น ก็เป็นการสนับสนุนอย่างชนิดที่ว่า "ตีหัวเข้าบ้าน" เพราะว่าพิมพ์เงินขึ้นมาดื้อ ๆ แล้วก็ส่งไปช่วยเหลือผู้อื่น..!
ส่วนการช่วยเหลือทางด้านอาวุธนั้น ส่วนใหญ่ก็จะจำหน่ายให้กับประเทศนั้น ๆ หรือว่าประเทศข้างเคียงที่หวาดกลัวสงคราม จนกระทั่งสร้างความร่ำรวยให้แก่เหล่าพ่อค้าอาวุธและประเทศสหรัฐอเมริกา ไปเป็นจำนวนมากต่อมากด้วยกัน

เราจะเห็นว่าแค่หลักธรรมเบื้องต้นขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็คือโลกบาลธรรม ได้แก่ หิริ การรู้จักละอายที่จะทำความชั่ว โอตัปปะ การเกรงกลัวผลของความชั่วนั้นจะมาสนองตัวเอง แต่ว่าทางโลกตะวันตก ส่วนใหญ่แล้วไม่เข้าใจหลักธรรมตรงจุดนี้ จึงทำให้ไม่สามารถที่จะนำมาใช้งานได้

โดยเฉพาะต่อให้รู้จักหลักธรรมนี้ ด้วยความที่ รัก โลภ โกรธ หลง ซึ่งเป็นกิเลสใหญ่นำหน้า มีตัณหา คือความทะยานอยากต้องการเป็นเจ้าโลกนำทาง ต้องการที่จะทำตัวเป็นพี่เบิ้มควบคุมโลก เหล่านี้เป็นต้น ก็จะเมินเฉยเสียจากหลักธรรมต่าง ๆ โดยเฉพาะเมินเฉยต่อมโนธรรม สามารถที่จะก่อสงคราม สร้างความเดือดร้อนไปทั้งโลก โดยหวังแต่ผลประโยชน์ของตนเองเท่านั้น

 

หลักการพื้นฐานอีกประการหนึ่งก็คือ ศีล ๕ ได้แก่ ละการปาณาติบาต ไม่เข่นฆ่าใคร ไม่ทำร้ายใคร ละอทินนาทาน ไม่หยิบฉวยสิ่งของ ที่เจ้าของไม่ได้ให้ ไม่ใช่ไม่พอใจประเทศไหน หรือว่าเห็นประเทศไหนอ่อนแอ แต่มีทรัพยากรมาก ก็หาข้ออ้างยกกำลังเข้าไปทำลายประเทศของเขา ยึดเอาทรัพยากรมาเป็นของตนเองดื้อ ๆ

แค่ศีล ๕ เบื้องต้นก็สามารถช่วยให้โลก หรือแต่ละประเทศชาติสงบสุขลงแล้ว แต่ว่าบรรดาชาวตะวันตกทั้งหลาย ส่วนใหญ่แล้วปราศจากศีล ๕ ปราศจากหิริโอตัปปะ เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตนเป็นใหญ่ ทำให้กิเลสนำหน้า ตัณหานำทาง ซึ่งเรื่องทั้งหลายเหล่านี้ทำให้โลกของเราเดือดร้อนวุ่นวายไปหมด

โดยเฉพาะสงครามใหญ่ที่จะเกิดขึ้นเร็ว ๆ นี้ เนื่องจากว่ามีการแบ่งฝ่าย มีการแบ่งพรรคแบ่งพวกไปเรียบร้อยแล้ว และอาศัยระยะเวลาที่รัสเซียรบกับยูเครนนั้น วางกองกำลังต่าง ๆ ในกลุ่มประเทศที่ตนเองเข้าไปมีอำนาจเหนือกว่า เตรียมพร้อมที่จะดำเนินการด้านสงคราม แต่ว่าขาดความเฉลียวใจ เพราะคิดว่าสามารถที่จะปรามจีนและอินเดียให้หยุดนิ่งอยู่กับที่ได้ ซึ่งปัจจุบันนี้ประเทศทั้งหลายทางด้านตะวันตกนั้น ไม่สามารถที่จะชี้นิ้วสั่งการประเทศทางตะวันออกได้แล้ว ประการหนึ่ง

อีกประการหนึ่งก็คือ ประเทศทางตะวันออกกลาง ที่เคยโดนข่มเหงรังแกมาโดยตลอด โดนชี้หน้าตราหน้าว่าเป็นผู้ร้ายมาโดยตลอด ประเทศทั้งหลายเหล่านี้มีเครือข่ายเล็ก ๆ ของตนเอง ซึ่งภาษาอังกฤษเรียกว่า lonely wolf ก็คือ หมาป่าเดียวดาย แทรกตัวอยู่ในประเทศต่าง ๆ ทางตะวันตกมากมายมหาศาลจนนึกไม่ถึง

บรรดาหมาป่าเดียวดายเหล่านี้ จะเป็นกองหน้าในการทำวินาศกรรมต่าง ๆ ก่อให้เกิดความห่วงหน้าพะวงหลัง และขณะเดียวกัน ถ้าหากว่าอีกฝ่ายหนึ่งเห็นว่าตนเองจะเพลี่ยงพล้ำ แล้วจำเป็นที่จะต้องพลิกเกมเพื่อให้เกิดชัยชนะขึ้นมา ก็อาจจะใช้อาวุธหนักคือนิวเคลียร์ขึ้นมาได้..!

ถ้าใช้นิวเคลียร์ขึ้นมาเมื่อไร พลเมืองต่าง ๆ ในโลกจะลดจำนวนลงไปอย่างมหาศาล ทั้งพืชและสัตว์ก็จะโดนทำลายไปด้วย เนื่องเพราะว่าอันดับแรกเลยก็คือ ตายด้วยอำนาจของนิวเคลียร์ ไม่ว่าจะเป็นการตายฉับพลันทันที หรือว่าตายด้วยโรคภัยไข้เจ็บในระยะเวลาที่ไม่นาน ประการหนึ่ง

 

ประการที่สอง รังสีความร้อนมหาศาลที่เกิดขึ้นกะทันหัน จะทำให้บรรดาน้ำแข็งต่าง ๆ ที่ปกคลุมโลกละลาย และเกิดน้ำท่วมประเทศที่อยู่ต่ำกว่าระดับน้ำทะเลปานกลางได้ ตรงจุดนี้นอกจากจะทำให้เดือดร้อนแล้ว การที่น้ำท่วมกะทันหัน ก็อาจจะทำให้มีผู้เสียชีวิตไปอีกจำนวนหนึ่ง

ประการที่สำคัญที่สุดก็คือ บรรดาฝุ่นผงต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น แล้วไปปิดบังแสงอาทิตย์ ที่เขาเรียกกันว่า "ฤดูหนาวนิวเคลียร์" ฝุ่นผงเหล่านี้เมื่อปิดบังแสงอาทิตย์ ทำให้แสงอาทิตย์ไม่สามารถส่องลงมาได้ อุณหภูมิของโลกจะลดต่ำลงอย่างรวดเร็ว ทำให้ในแต่ละพื้นที่ อุณหภูมิลดลงหลาย ๆ องศาเซลเซียส

บุคคลที่ไม่เคยชินกับความเย็นกะทันหันที่เกิดขึ้น สัตว์ทั้งหลาย พืชทั้งหลายที่ไม่เคยชินกับความเย็นของฤดูหนาวที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันแบบนี้ ก็จะเสียชีวิตลงไปอีกจำนวนมากมายมหาศาล ถ้าเกิดฤดูหนาวนิวเคลียร์ขึ้นจริง ๆ ก็ไม่ใช่เกิดระยะสั้น ๆ อย่างน้อย ๆ ก็ต้องเกิดขึ้นหลายเดือนหรือว่าอาจจะเป็นปี ตรงจุดนี้จะเป็นการลดจำนวนประชากรโลกลงไปอย่างมหาศาล

ถ้าหากว่าเราระลึกถึงบาลีที่กล่าวว่า โลกเราจะโดนทำลายด้วยไฟ โลกเราจะโดนทำลายด้วยน้ำ โลกเราจะโดนทำลายด้วยโรคภัยไข้เจ็บ และโลกเราจะโดนทำลายด้วยอาวุธ ไม่ว่าจะเรียกว่าสัตถันตรกัป โรคันตรกัป หรือว่าอะไรก็ตาม เรื่องทั้งหลายเหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นไปได้ทั้งสิ้น

สิ่งที่เราพึงจะกระทำกันก็คือ เตรียมจิตเตรียมใจของเราให้พร้อม ให้เข้มแข็ง ถึงเวลาเกิดอะไรฉุกเฉินขึ้นมา จะได้มีสติมั่นคง สามารถที่จะแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าไปได้อย่างที่ไม่ลำบากมากนัก

 

ประเทศของเราตอนนี้ยังเรียกว่าได้เปรียบ เพราะจะว่าไปแล้วก็เป็นอู่ข้าวอู่น้ำ ถ้ารัฐบาลสนับสนุนให้เร่งรัดมีผลผลิตที่มากขึ้น รู้จักค้าขายกับประเทศที่เหมาะสมซึ่งกำลังขาดแคลนข้าวปลาอาหารอยู่ ไม่ว่าจะเป็นอเมริกาหรือว่ายุโรปก็ตาม ก็จะช่วยให้บ้านเราเมืองเรามีเศรษฐกิจดีขึ้น ประชาชนมีกินมีใช้ เพียงแต่ว่าอย่าค้าขายเพลินจนกระทั่งทำให้บ้านเราขาดแคลนเสียเองเท่านั้น

ถ้าหากว่าเป็นไปในลักษณะนั้น ก็คงจะตรงกับคำที่เขาเปรียบเทียบว่า ชาวประมงจับปลาได้จำนวนมากแล้วนำไปขาย หลังจากนั้นก็เอาเงินมาซื้อปลากระป๋องเลี้ยงลูกเลี้ยงเมียของตนเอง ถ้าเกิดเหตุแบบนั้นขึ้นมา ก็ต้องบอกว่าอนาถแก่ชีวิตเป็นอย่างมาก

ท่านทั้งหลายถ้าหากว่ามีสติมั่นคง มีสมาธิที่ทรงตัว มีคุณพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง ก็ขอให้ท่านทั้งหลายมั่นใจว่า เราสามารถที่จะผ่อนเรื่องร้ายหนัก ๆ ให้เป็นเบา สามารถแก้ไขเรื่องร้ายที่เบาให้กลายเป็นหายไปได้ ด้วยบารมีของ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ พรหม เทวดาและครูบาอาจารย์ ที่คอยช่วยเหลืออยู่ ที่ปกปักรักษาเราอยู่

แต่เราต้องมีการระลึกถึงอย่างสม่ำเสมอ ไม่ใช่ไปตรงกับภาษิตจีนที่ว่า "ฉุกเฉินขึ้นมาแล้วค่อยกอดพระพุทธบาท" เพื่อวิงวอนร้องขอความช่วยเหลือ ถ้าเป็นอย่างนั้นก็ไม่มีใครสามารถที่จะช่วยได้ เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ตรัสเอาไว้ชัดเจนแล้วว่า อัตตาหิ อัตตโน นาโถ ตนแลเป็นที่พึ่งแห่งตน และอักขาตาโร ตถาคตา แม้แต่ตถาคตก็เป็นเพียงผู้บอกเท่านั้น ส่วนท่านทั้งหลายจะปฏิบัติตาม หรือว่าไม่ปฏิบัติตามนั้น ก็แล้วแต่ท่านทั้งหลายจะยังความไม่ประมาทให้ถึงพร้อมมากน้อยเพียงใด

สำหรับวันนี้ ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และเจริญพรบอกกล่าวแก่ญาติโยมทั้งหลายเอาไว้แต่เพียงเท่านี้

พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
วันจันทร์ที่ ๑๘ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๖๕
(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)