เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันศุกร์ที่ ๒ กันยายน ๒๕๖๕

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 2 กันยายน 2022.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,663
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,551
    ค่าพลัง:
    +26,390
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันศุกร์ที่ ๒ กันยายน ๒๕๖๕


     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,663
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,551
    ค่าพลัง:
    +26,390
    วันนี้ตรงกับวันศุกร์ที่ ๒ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๖๕ ช่วงเช้า กระผม/อาตมภาพขออนุญาต "เจ้าของกุฏิ" เปิดประตูหน้าต่างเพื่อรับแสงแดด อีกฝ่ายหนึ่งอนุญาตให้ แต่บอกว่าอย่าเกิน ๗ โมงเช้า เพราะว่าถ้าแสงแดดแรงเกินไปแล้ว ตนเองจะรับไม่ไหว..!

    เหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่าบรรดา "ผี" ต่าง ๆ ที่พวกเราเรียกกันนั้น เป็นพลังงานฝ่ายตรงกันข้ามกับแสงแดด คือ เป็นฝ่ายมืด ซึ่งตรงข้ามกับฝ่ายสว่าง เป็นฝ่ายเย็นหรือที่ภาษาจีนเรียกว่า "หยิน" ซึ่งตรงข้ามกับฝ่ายร้อนคือ "หยาง"


    ดังนั้น..พลังงานจึงหักล้างกัน แม้ว่าจะได้รับส่วนกุศลไปจนมีอานุภาพคล้ายคลึงกับเทวดาแล้วก็ตาม ก็ยังต้องทนกับเรื่องทั้งหลายเหล่านี้อยู่ดี เพราะว่าตนเองยังอยู่ในฝ่ายเย็น เมื่อโดนกระแสร้อนของแสงอาทิตย์ ก็ต้องใช้พลังงานไปต่อต้านเป็นอย่างมาก จึงทำให้กำลังหมดลงได้ กระผม/อาตมภาพจึงต้องปิดประตูหน้าต่างก่อน ๗ โมงเช้า

    เหตุที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะว่า ตั้งแต่มาอยู่ที่กุฏิริมป่าช้าของวัดอุทยานนี้ กระผม/อาตมภาพก็ต้องคุยกับ "เจ้าของที่" ก่อน เนื่องเพราะว่าลูกหลานนำเอากระดูกบรรพบุรุษจำนวนมากมาบรรจุเอาไว้ในกุฏิแห่งนี้ จนกระทั่งในสายตาของบุคคลในวัด กุฏิหลังนี้เป็น "กุฏิผีดุ" ไม่มีใครกล้ามาอยู่อาศัย

    กระผม/อาตมภาพเองมาอยู่ใหม่ ๆ ตอนนั้นก็ยังไม่ทันเฉลียวใจ เมื่อได้ยินเสียงเคาะประตูจึงเปิดรับ ปรากฏว่าในสายตาบุคคลทั่วไป จะเห็นว่ากระผม/อาตมภาพเปิดประตูเล่น เพราะว่าไม่เห็นผู้ที่มาเคาะประตู จนกระทั่ง "ไอ้ตัวเล็ก" มาส่งเงิน แล้วเจอเหตุการณ์เคาะประตูแบบเดียวกัน กระผม/อาตมภาพบอกว่า "ไม่ต้องเปิด เขาเดินทะลุเข้ามาเองได้" อีกฝ่ายจึงทำหน้า "ปูเลี่ยน ๆ" เพราะนึกไม่ถึงว่าเจ้าของที่จะ "โหด" ได้ใจขนาดนี้ แม้กระทั่งลูกกิฟท์ (นางสาวอันตรา ลักษณะ) เมื่อมาเจอเข้าก็ยังเผลอไปเปิดประตูรับ พอไม่เห็นใครก็ออกอาการ "เหวอ" เพราะว่าเสียงเคาะดังชัดเจนมาก ๆ..!

    ตรงนี้พวกเราต้องเข้าใจว่า บรรดาผีทั้งหลายนั้นเป็นสิ่งที่เราเรียกกันไปเอง อะไรก็ตามก็อกแก็กเข้ามาแล้วมองไม่เห็น เราก็เหมาว่าเป็นผีไปหมด ตั้งแต่พระบนพระนิพพาน พรหม เทวดา นางฟ้า สัมภเวสี เปรต อสุรกาย จนกระทั่งสัตว์เดรัจฉานมีฤทธิ์ ในเมื่อสำแดงตนออกมาไม่ชัดเจน มีแต่เสียงบ้าง มีแต่กลิ่นบ้าง ก็เลยทำให้พวกเราเรียกว่าผีกันไปหมด เหมารวมตั้งแต่สูงสุดไปจนต่ำสุด

    ถ้าเป็นบุคคลที่อยู่ในระดับสูงแล้ว อย่างที่กระผม/อาตมภาพโดนที่วัดท่าซุง ท่านทั้งหลายเหล่านี้ เที่ยง ๆ ก็ปรากฏตัวหน้าตาเฉย เพราะว่ากำลังของท่านสูงพอ เรียกว่าเย็นพอจนกระทั่งไม่กลัวความร้อนจากแสงแดด และไม่กลัวไฟฟ้าจะก่อให้เกิดผลกระทบ


    ส่วนผู้ที่กำลังน้อย ไม่สามารถที่จะทำเช่นนั้นได้ โดยเฉพาะกำลังไฟฟ้าที่เราเปิดให้แสงสว่างนั้น เราอาจจะเห็นว่าแสงนิ่ง ๆ อยู่ แต่ความจริงแล้วกะพริบด้วยความถี่สูงถึงขนาด ๕๐ ครั้งต่อวินาที แรงกะพริบนั่นแหละที่จะไปก่อให้เกิดความเดือดร้อนแก่ท่านที่กำลังน้อย

    เพราะว่าเวลาที่ท่านทั้งหลายเหล่านี้จะมาพบพวกเรา ก็ต้องรวบรวมกำลังทั้งหมดที่เขามี แล้วพยายามดึงเอาธาตุ ๔ รอบตัวมาสร้างร่างหยาบให้เราเห็น กระแสไฟฟ้าที่กระพริบด้วยความถี่ ๕๐ ครั้งต่อวินาทีนั้น จะเป็นลักษณะของคลื่นที่กระแทกเป็นจังหวะ ๆ เร็วมาก ทำให้ผู้ที่กำลังน้อยไม่สามารถที่จะดึงเอาธาตุ ๔ ดิน น้ำ ไฟ ลม รอบข้างเข้ามารวมตัวกันให้เห็นได้ โดนกระแทกกระจายหมด..!

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 มิถุนายน 2023
  3. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,663
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,551
    ค่าพลัง:
    +26,390
    ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ที่พวกเราจุดไฟก็ดี เปิดไฟก็ดี เพื่อกันผีด้วยความกลัวนั้น ก็ถือว่าทำถูกในระดับหนึ่ง ก็คือกันได้เฉพาะท่านที่กำลังน้อย แต่ว่าท่านที่กำลังมากนั้น แม้เวลาเที่ยง ๆ แสงแดดสว่างเจิดจ้า ท่านก็โผล่มาหน้าตาเฉย..!

    ดังนั้น..เรื่องพวกนี้ ถ้าหากว่าเราศึกษาไปแล้ว ก็อาจจะทำให้เราเข้าใจ จนกระทั่งเห็นใจว่าผีนั้นแท้ที่จริงแล้วลำบากกว่าพวกเราหลายเท่านัก ก็อาจจะเลิกรังเกียจผี เลิกกลัวผีไปเหมือนกับกระผม/อาตมภาพก็เป็นได้

    ส่วนที่กุฏิหลังนี้นั้น นอกจากบรรดาเจ้าที่ ซึ่งลูกหลานผู้สร้างกุฏินำมาไว้ ถ้าเป็นภาษาบ้านเราก็คือ "ผีบ้านผีเรือน" หรือว่า "ผีปู่ย่าตายาย" เมื่อกระผม/อาตมภาพเข้ามาอาศัยครั้งแรก ท่านขอร้องให้ยกย้ายพระพุทธรูป
    ขึ้นให้สูงกว่า เนื่องเพราะว่าหิ้งพระนั้นอยู่ต่ำกว่ากล่องเก็บกระดูก จึงทำให้ท่านไม่สามารถที่จะอยู่อาศัยในบริเวณกล่องนั้นได้

    กระผม/อาตมภาพจึงต้องย้ายพระพุทธรูปสมเด็จองค์ปฐม ที่ทางพระครูวิโรจน์กาญจนเขต, ดร. นิมนต์มาประจำกุฏิ ให้ขึ้นไปอยู่บนหลังกล่องแทน ท่านทั้งหลายเหล่านี้จึงมีความสุขขึ้นมาได้ในระดับหนึ่ง เพราะว่าอันดับแรกเลยก็คือ ท่านเป็นเจ้าของสถานที่ ท่านมีสิทธิ์ที่จะอยู่ที่นี่ เพราะว่าลูกหลานตลอดจนอดีตเจ้าอาวาส คือหลวงพ่อศรี - พระครูนนทมงคลวิศิษฐ์ (ศรี โอภาโส) อนุญาตให้ท่านอยู่ได้

    กระผม/อาตมภาพเอง เมื่อไปที่ใดที่หนึ่งก็มักจะมีประสบการณ์เหล่านี้เสมอ มีเรื่องตลกที่อยากจะเล่าให้ฟังก็คือ มีอยู่วันหนึ่ง ทางด้านญาติโยมยกอาหารมาถวายที่กุฏิแห่งนี้ แล้วก็มีผีตามมา บอกว่า "ขอกินด้วย เห็นแล้วอดใจไม่ไหว เพราะว่ามียำกบมาด้วย"

    กระผม/อาตมภาพจึงไล่ลงไป บอกว่าให้ไปรอที่โคนไผ่ริมน้ำ เดี๋ยวจะเอาไปส่งให้ตรงนั้น กินได้..แต่ห้ามขึ้นมาที่กุฏินี้รบกวนผู้หนึ่งผู้ใดเป็นอันขาด เพราะว่าท่านทั้งหลายเหล่านี้ ต้องบอกว่าเป็นเจ้าของสถานที่เช่นกัน ก็คืออยู่รอบ ๆ บริเวณวัดนี้ โดยเฉพาะทางด้านนี้มีเยอะมาก เพราะว่าเป็นที่ตั้งของป่าช้า แล้วทำให้กระผม/อาตมภาพเกิดความเข้าใจว่า โบราณเวลาเซ่นผี ถึงต้องมี กุ้งพล่า ปลายำ เพราะว่าสิ่งทั้งหลายเหล่านี้นั้น น่าจะเป็นสิ่งที่มีรสชาติอร่อยในความรู้สึกของผี..!
     
  4. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,663
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,551
    ค่าพลัง:
    +26,390
    กระผม/อาตมภาพเองโดนผู้ใหญ่ให้ไปเชิญผีทั้งหลายมากินอาหารในวันสารทจีนเป็นปกติเกือบทุกปี ก็คือต้องไปจุดธูปอัญเชิญทั้ง ๔ ทิศ แล้วปักธูปจนกระทั่งมาถึงบริเวณที่ตั้งอาหารเอาไว้ ซึ่งภาษาจีนแต้จิ๋วเรียกว่า "ไป้ห่อเฮียตี๋" ก็คือไหว้พี่น้องอันประเสริฐ ซึ่งความจริงแล้วก็คือบรรดาผีไม่มีญาติ ซึ่งไม่มีญาติพี่น้องทำบุญให้ ไม่มีญาติพี่น้องทำหน้าที่เลี้ยงประจำปีแบบนี้ให้ ท่านทั้งหลายเหล่านี้ก็แห่กันมาเป็นพันเป็นหมื่น มารุมกันกินแบบครึกครื้นมาก..!

    ในระยะเวลาอันสมควร เมื่อท่านทั้งหลายกินเสร็จแล้ว ผู้ใหญ่ก็จะจุดประทัด เรียกว่าเป็นการ "ส่ง" ท่านทั้งหลายเหล่านี้กลับ ความจริงต่อให้ส่งหรือว่าไม่ส่ง แสงสว่างก็ดี กระแสคลื่นที่เกิดจากการระเบิดของประทัดก็ดี ตลอดจนกระทั่งความร้อนของประทัดก็ตาม ย่อมทำให้ท่านทั้งหลายเหล่านี้อยู่ในบริเวณนั้นไม่ได้อยู่แล้ว

    บางปีท่านทั้งหลายเหล่านี้ก็ต่อว่ากระผม/อาตมภาพว่า "บอกดี ๆ ก็ไปแล้ว ทำไมต้องขับไล่กันขนาดนี้" กระผม/อาตมภาพได้แต่แก้ตัวแทนผู้ใหญ่ ว่าแบบธรรมเนียมเขาปฏิบัติกันมาอย่างนี้ ท่านทั้งหลายเมื่ออิ่มแล้วก็รีบไป อย่าให้เกิดผลกระทบจากแรงประทัดก็แล้วกัน แต่ความจริงแล้วผู้ใหญ่บอกว่า บางรายติดใจไม่ยอมไปไหน เมื่ออยากกินก็รบกวนด้วยการทำให้เด็กตกใจ เป็นไข้ ต้องเอาอาหารมาเซ่นไหว้ เด็กถึงจะหายป่วยหายไข้..!

    ดังนั้น..ท่านทั้งหลายจะเห็นได้ว่าบางสิ่งบางอย่างที่โบราณทำมานั้น ความจริงสามารถขับไล่หรือว่าไล่ผีได้อยู่แล้ว เหมือนกับสมัยที่กระผม/อาตมภาพยังเด็กอยู่ เวลาที่นายพรานเจออาถรรพ์ป่า ก็จะใช้ปืนแก๊ป ต้องยืนยันว่าใช้ปืนแก๊ป ถ้าหากว่าเป็นปืนลูกซอง ก็ต้องเปิดหัวกระสุน เทเอาเม็ดกระสุนออก แล้วนำเอาข้าวสารเสกหรือว่าทรายเสกใส่เข้าไปแทน ถ้าหากว่าเป็นปืนแก๊ป ก็สามารถที่จะเททรายเสก หรือว่าข้าวสารเสกเข้าไปเลย แล้วยิงทำลายอาถรรพ์ป่านั้น ๆ

    ทรายเสกและข้าวสารเสกนั้น เป็นการเพิ่มอานุภาพของดินปืน เสียงดังตลอดจนกระทั่งคลื่นที่เกิดจากการกระแทกที่ดินปืนระเบิด ทำให้กระสุนแหวกอากาศไปนั้น สามารถขับไล่สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ได้ แต่ว่าเป็นการสร้างศัตรูเสียเปล่า ๆ
     
  5. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,663
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,551
    ค่าพลัง:
    +26,390
    ท่านทั้งหลายพยายามภาวนากรณียเมตตสูตรให้เคยชิน เมื่อถึงเวลาเราไปนอนที่ไหนก็ตาม ให้ภาวนากรณียเมตตสูตร บอกกล่าวเจ้าที่เจ้าทางว่าเรามาขออาศัยแค่ชั่วคราว กุศลบารมีอะไรที่เราสร้างมา ขอให้ท่านทั้งหลายโมทนา เราจะได้รับประโยชน์ รับความสุขเพียงใด ก็ขอให้เขาทั้งหลายเหล่านั้นได้รับด้วย

    แต่ว่าบางที่ก็ "แรง" เกินกว่าที่จะรับเรื่องดี ๆ ทั้งหลายเหล่านี้ ถ้าเป็นสถานที่เหล่านั้น กระผม/อาตมภาพจะเสกก้อนหินที่พอหาได้ในบริเวณนั้น ๘ ก้อน แล้วโยนไปทั้ง ๘ ทิศ คาถาที่เสกก็คือ คาถาอิติปิ โสฯ ๘ ทิศ เมื่อเรากำหนดได้ว่าทิศใดทิศหนึ่งอยู่ทางด้านไหน ก็จะรู้ว่าอีก ๗ ทิศเป็นอย่างไร

    เมื่อเสกก้อนหินโยนลงไปทั้ง ๘ ทิศ อธิษฐานขอให้เขาทั้งหลายเหล่านั้นไม่สามารถล่วงเข้ามาในบริเวณที่หินตก พูดง่าย ๆ ว่าสร้างเขตรัศมีเอาไว้ป้องกันตนเอง แต่ต้องอธิษฐานว่า เมื่อแดดขึ้นจัดแล้วขอให้อานุภาพเหล่านั้นสลายไป ไม่เช่นนั้นแล้วท่านทั้งหลายเหล่านั้น ไม่สามารถจะเข้ามาบริเวณนั้นได้ ก็จะต้องได้รับความเดือดร้อนไปตาม ๆ กัน

    สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ ท่านศึกษาเอาไว้ ก็พอที่จะอาศัยอยู่ในบริเวณที่ผีดุ หรือว่าป้องกันการโดนผีหลอกได้ในระดับหนึ่งทีเดียว

    สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
    วันศุกร์ที่ ๒ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๖๕
    (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...