เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันจันทร์ที่ ๒๖ กันยายน ๒๕๖๕

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 26 กันยายน 2022.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,545
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,539
    ค่าพลัง:
    +26,376
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันจันทร์ที่ ๒๖ กันยายน ๒๕๖๕


     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,545
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,539
    ค่าพลัง:
    +26,376
    วันนี้ตรงกับวันจันทร์ที่ ๒๖ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๖๕ ระหว่างที่พวกท่านประชุมกันเพื่อแบ่งสรรหน้าที่ในช่วงออกพรรษา ตักบาตรเทโว แล้วก็กฐิน กระผม/อาตมภาพก็มัวแต่สัมมนาออนไลน์อยู่

    คราวนี้เรื่องของการแบ่งสรรหน้าที่กัน บางอย่างที่เราไม่ถนัด ในความเป็นพระก็ต้องฟังฆราวาสเขาด้วย แต่ก็มีอยู่ประเภทหนึ่ง จะบอกว่าโง่ก็ใช่ จะบอกว่ามิจฉาทิฏฐิก็ใช่ ก็คือไปคิดว่าโยมมาสั่งให้พระทำงาน..!

    ถ้าลักษณะอย่างนั้น แปลว่าแก้ไขยากมากแล้ว เพราะว่าไม่ได้ดูที่ตัวเอง ไม่ได้แก้ไขที่ตัวเอง แต่ไปดูในลักษณะจับผิดคนอื่น ไม่ได้เตือนตนด้วยตนเองในลักษณะของ อัตตนา โจทยัตตานัง แถมยังแบกเอาอัตตาตัวตน คือสักกายทิฏฐิ แล้วก็มานะเอาไว้เต็ม ๆ ด้วยความภาคภูมิใจว่า "กูเป็นพระ ฆราวาสสั่งกูไม่ได้..!"


    ถ้าลักษณะอย่างนั้น สมัย
    ที่กระผม/อาตมภาพเป็นฆราวาส สั่งมาเยอะแล้ว เพราะกระผม/อาตมภาพถือว่าชาตินี้จะไปนิพพาน ไม่เสียเวลาไปเกิดเป็นคนใช้ใคร ๕๐๐ ชาติหรอก ดังนั้น..ตรงจุดนี้ ถ้าแก้ไขได้ก็แก้ ถ้าแก้ไม่ได้ก็เชิญแบกต่อไป เพราะว่าเรื่องอย่างนี้ ใครวางก่อนก็สบายก่อน วางไม่ได้ก็แบกต่อไปอีกหลายชาติ

    อีกส่วนหนึ่งก็คือมีงานด่วนสำคัญเข้ามา เป็นฎีกาจากวัดไร่ขิง (พระอารามหลวง) ให้กระผม/อาตมภาพไปรับทักษิณานุปทานในงานทำบุญ ๑๐๐ ปีชาตกาล พระเดชพระคุณหลวงปู่พระอุบาลีคุณูปมาจารย์ (ปัญญา อินฺทปญฺโญ) อดีตที่ปรึกษาเจ้าคณะภาค ๑๔ อดีตเจ้าอาวาสวัดไร่ขิง (พระอารามหลวง) โดยมีสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จเป็นองค์ประธาน ในฎีการะบุชัดเจนว่าต้องนำพัดยศไปด้วย

    ตรงนั้นไม่ใช่ปัญหา ปัญหาคืองานตรงกับวันที่ ๙ ตุลาคม กระผม/อาตมภาพเข้ากรรมฐานตั้งแต่วันที่ ๘ ในเมื่อเป็นเช่นนั้นวันที่ ๙ ที่ต้องไปรับทักษิณานุปทานที่วัดไร่ขิง (พระอารามหลวง) มีอยู่อย่างเดียวก็คือ ทรงอารมณ์ให้เท่ากับตอนเข้ากรรมฐาน ซึ่งไม่ใช่เรื่องยากสำหรับกระผม/อาตมภาพที่จะทำ แต่ญาติโยมที่ทำไม่ได้ หรือไม่เข้าใจก็จะไปคิดว่า กระผม/อาตมภาพเข้ากรรมฐานไม่ครบ ๓ วัน
     
  3. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,545
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,539
    ค่าพลัง:
    +26,376
    เพราะโดยปกติแล้ว ในช่วงเวลาเข้ากรรมฐาน ๓ วัน เมื่อภาวนาจนเต็มแล้ว กระผม/อาตมภาพก็ทำงานทำการอื่นไปเรื่อย ไม่ได้ไปนั่งนิ่ง ๆ ให้เสียเวลาทำมาหากิน เคยชินกับการทรงกำลังใจในขณะทำงานหรือเคลื่อนไหวมาตั้งแต่ต้นแล้ว ส่วนของพวกท่านทั้งหลาย ส่วนมากพอขยับก็หลุดจากสมาธิ กำลังใจพลอยหลุดไปด้วย จนไม่เหลืออะไรเอาไว้เลย

    ก็แปลว่าปีนี้แม้ว่าจะอยู่ในช่วงเข้ากรรมฐาน กระผม/อาตมภาพเองก็ยังจะต้องเดินทางอยู่ดี เพราะบอกแล้วว่า ถ้าเป็นเรื่องเกี่ยวข้องกับในรั้วในวังหรือเชื้อพระวงศ์ กระผม/อาตมภาพจะยกไว้พิเศษ โดยให้ความสำคัญเป็นอันดับหนึ่ง รองลงไปถึงเป็นงานคณะสงฆ์ หลังจากนั้นแล้วค่อยเป็นงานของตนเอง

    คราวนี้ตรงนี้ก็ไม่มีปัญหาในการปฏิบัติ เพียงแต่ว่าในช่วง ๒ วันที่ผ่านมา กระผม/อาตมภาพมีการสัมมนาออนไลน์บ้าง เจริญพระกรรมฐานออนไลน์บ้าง แล้วก็มีพระอาจารย์ท่านหนึ่ง มากล่าวถึงงานสารทเดือน ๑๐ โดยยืนยันกับผู้ฟังว่า สารทเดือน ๑๐ เป็นประเพณีตั้งแต่โบราณ ที่กำหนดให้มีการทำบุญให้กับผู้ตาย คำว่ายืนยันในที่นี้ก็คือ ท่านใช้คำว่า "ขั้นตอนระหว่างนั้น ผมไม่รู้ รู้อยู่อย่างเดียวว่า ถ้าทำบุญเมื่อไรก็ถึงญาติที่ตายไปแล้ว" ซึ่งกระผม/อาตมภาพขอยืนยันว่าไม่ใช่

    การทำบุญไปแล้ว ญาติที่ตายไปจะได้รับก็ต่อเมื่อ อันดับแรกเลยเป็นสัมภเวสี ก็คือผู้ที่ตายก่อนอายุขัย ยังไปรับความดีความชั่วไม่ได้ ต้องเร่ร่อนไปเรื่อย รอเวลาหมดอายุขัยความเป็นมนุษย์ ถึงจะไปตามบุญตามกรรมของตนเอง

    ประเภทที่ ๒ เป็นอสุรกาย ท่านทั้งหลายเหล่านี้กรรมเบาบางแล้ว มีสิทธิ์อนุโมทนาบุญที่คนตั้งใจอุทิศให้ได้

    ประเภทที่ ๓ ก็คือเปรตทั้ง ๑๒ จำพวกที่กรรมเบาบางลง จนสามารถอนุโมทนาบุญได้ ซึ่งเขาเรียกรวมกันว่า ปรทัตตูปชีวีเปรต คือเปรตที่ยังชีวิตอยู่ด้วยการอาศัยผู้อื่น


    นอกเหนือจากนี้ไม่ต้องเสียเวลาทำบุญไปให้ อย่างไรก็รับไม่ได้ เพราะว่าอย่างสัตว์นรกและเปรต ๑๒ จำพวกที่ยังกรรมหนักอยู่ ไม่สามารถจะโมทนาบุญได้ เหมือนกับคนโดนไล่ฆ่าไล่ฟันอยู่ จะทำอย่างไร ส่งอาหารไปจะกินได้ไหม ? หรือบรรดานักโทษที่โดนกักบริเวณ คนอื่นไม่สามารถเข้าไปในบริเวณนั้นได้ ก็ย่อมไม่สามารถที่จะส่งข้าวของหรืออาหารเข้าไปให้ได้

    ส่วนในเรื่องของสัตว์เดรัจฉานและภูมิมนุษย์นั้น ถ้าไม่ยินดีด้วย ก็ไม่สามารถที่จะรับบุญกุศลได้
     
  4. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,545
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,539
    ค่าพลัง:
    +26,376
    ส่วนที่สูงกว่านั้น ตั้งแต่ เทวดา นางฟ้า มาร พรหม ขึ้นไป ท่านสามารถอนุโมทนาได้อยู่แล้ว ถ้าหากว่าผู้ที่ล่วงลับดับขันธ์ไปอยู่ในภูมิทั้งหลายเหล่านี้ รับรู้แล้วยินดีด้วย ก็ได้อานิสงส์นั้นไป

    แต่ถ้าหากว่าเป็นพระทั้งหลายบนพระนิพพาน ไม่ว่าจะเป็นพระพุทธเจ้า เป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า เป็นพระอรหันตเจ้าก็ตาม ท่านทั้งหลายเหล่านั้นอยู่ในลักษณะของน้ำเต็มแก้ว พ้นบุญพ้นบาปไปแล้ว อุทิศไปให้ตาย ท่านก็ไม่รู้ว่าจะเอาไปทำอะไร


    ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ไม่ได้หมายความว่าท่านทั้งหลายทำบุญแล้วญาติจะได้เลย แต่บุญเป็นเรื่องจำเป็นที่ต้องทำเอาไว้ เพราะว่าคนแรกที่ได้รับคือตัวเราเอง ส่วนเราอุทิศต่อไปนั้น ญาติพี่น้องหรือผู้ที่ล่วงลับไป จะได้รับหรือไม่ได้รับเป็นเรื่องของเขา เราทำเราได้ก่อน ถ้าหากว่าผู้ตายสามารถรับได้ ก็เป็นอันว่าดีเพิ่มขึ้น แต่ถ้าผู้ตายไม่สามารถที่จะรับได้ ความดีนั้นก็ยังคงเป็นของเราอยู่ โดยเฉพาะการอุทิศส่วนกุศลให้ผู้อื่น ความดีเราไม่ได้บกพร่องไปไหน

    พระปัจเจกพุทธเจ้าท่านเปรียบเทียบให้ฟังว่า เหมือนกับเราก่อกองไฟขึ้นมา ๑ กอง แล้วอนุญาตให้คนอื่นมาต่อไฟนั้นไปใช้ ไฟของเราก็ไม่ได้ลดลง ซ้ำความสว่างยังมากขึ้นจากกองไฟของคนอื่นอีกด้วย

    ก็คือเรื่องของบุญกุศลเป็นเรื่องที่เราทำด้วยความยากลำบาก ในเมื่อสิ่งที่เราทำโดยยาก เรายังสละให้คนอื่นได้ กำลังใจที่สละออกต้องประกอบไปด้วยความเมตตากรุณาขนาดไหน ? เราจะได้บุญตรงจุดนั้น เรียกว่าปัตติทานมัย บุญที่ได้จากการอุทิศส่วนกุศลให้แก่ผู้อื่น ของตัวเองไม่ได้ลด ถึงเขาไม่ได้รับ บุญนั้นก็เป็นของเรา ถ้าเขาได้รับ บุญของเราเพิ่มขึ้น จึงเป็นเรื่องที่ต้องทำความเข้าใจให้ถูกต้อง ไม่ใช่เรื่องที่มาตีความด้วยตนเอง หากแต่ต้องเอาความเป็นจริงมาพูดกัน

    ดังนั้น..เมื่อกระผม/อาตมภาพเข้าไปร่วมฟังการบรรยายธรรม จะไปงัดข้อเขากลางงาน ก็ทำให้คนอื่นเสียหน้าเปล่า ๆ จึงได้แต่นำมาบอกกล่าวให้แก่พวกเราที่รับฟังอยู่ทั้งที่นี่และทางบ้าน จะได้เข้าใจกันให้ถูกต้อง
     
  5. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,545
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,539
    ค่าพลัง:
    +26,376
    ในเรื่องของการทำบุญทำกุศล แล้วผู้ตายได้รับหรือไม่ได้รับ คนและสัตว์ที่สามารถเห็นด้วยกันได้ ให้บอกกล่าว ถ้าเขายินดีโมทนาด้วย เขาจะได้รับ แล้วการตั้งกำลังใจอนุโมทนานั้นเป็นเรื่องที่ยากมาก เพราะว่าต้องเป็นกำลังใจที่ยินดีกับความดีของคนอื่นอย่างแท้จริง

    ดังที่กระผม/อาตมภาพเคยกล่าวมาหลายต่อหลายครั้งแล้วว่า ในปัจจุบันนี้เราอนุโมทนาบุญ แทนที่จะได้สัก ๘๐ - ๙๐ เปอร์เซ็นต์ของคนทำ เราก็อาจจะได้สัก ๕ เปอร์เซ็นต์ ๑๐ เปอร์เซ็นต์เท่านั้น เพราะว่าที่เรายกมือสาธุนั้น กำลังใจของเราไปอยู่ในลักษณะว่า "กูจะเอาของมึง" ไม่ใช่การยินดีออกจากใจจริง แต่เป็นจิตที่ประกอบไปด้วยโลภเจตนา ในเมื่อเป็นเช่นนั้น กำลังบุญที่ควรจะได้จึงลดน้อยถอยลง เพราะว่าวางกำลังใจผิด


    ฉะนั้น..เรื่องพวกนี้ต่อให้เราเข้าใจถูกแล้ว ก็ให้ดูกาลเทศะด้วย จะบอกจะตักจะเตือนคนอื่น โบราณเขาบอกว่า "ตบคนอย่าตบหน้า ด่าคนให้ด่าลับหลัง" คำว่า ด่าลับหลัง ก็คือด่ามันนั่นแหละ..! แต่ให้ด่าลับหลังคนอื่น ไม่เช่นนั้นแล้วเขาจะเสียหน้ามาก เพราะว่าเท่ากับเราไปประจานเขาในที่สาธารณะ แต่ชมคนให้ชมต่อหน้า เขาจะได้หน้า กำลังใจเขาจะดีขึ้น จะว่าไปแล้วก็เป็นเรื่องของกิเลสล้วน ๆ แต่เราก็ต้องเข้าใจว่าโลกนี้เป็นอย่างนั้นเอง


    "ชมคนให้ชมต่อหน้า ด่าคนให้ด่าลับหลัง" ตีความให้ถูกนะ ไม่ใช่ว่าลับหลังแล้วเราก็ไปด่าเขาอยู่คนเดียว..!

    สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
    วันจันทร์ที่ ๒๖ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๖๕
    (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...