บทความให้กำลังใจ(สิ่งที่น่ากลัวกว่าภัยพิบัติ)

ในห้อง 'จักรวาลคู่ขนาน' ตั้งกระทู้โดย supatorn, 8 พฤษภาคม 2017.

  1. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    46,869
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,043
    มีสติรู้จักหน้าที่ คลายทุกข์คลายกังวัล ฟังธรรมะตอนเช้าแนวทางชีวิต

    ธรรมะดีดี
    1,032,211 views Sep 24, 2019
     
  2. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    46,869
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,043
    t1634.jpg
     
  3. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    46,869
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,043
    จำอวดหน้าม่านชุด 2:)

    HEXON


     
  4. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    46,869
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,043
    ปล่อยวางชีวิตเก่า
    พระไพศาล วิสาโล
    คนเราย่อมมีความภาคภูมิใจในชีวิต หรือภาคภูมิใจในตัวเอง เมื่อเราทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งหรือหลายสิ่งได้เป็นอย่างดี แต่ถ้าบังเอิญวันดีคืนดีเรากลับไม่สามารถทำสิ่งที่เราเก่งได้อีกต่อไป ชีวิตจะลงเอยอย่างไร

    จานีน เช็พเพิร์ด เป็นนักวิ่งและนักปั่นจักรยาน เธอเป็นตัวแทนทีมชาติออสเตรเลียในการแข่งขันจักรยาน กีฬาโอลิมปิค เมื่อ ๓๐ ปีที่แล้ว มีอยู่วันหนึ่งขณะที่เธอกำลังซ้อมขี่จักรยานเพื่อไปแข่งโอลิมปิค ปรากฏว่ามีรถมาชนเธออย่างแรง ทำให้ร่างกายเธอยับเยิน กระดูกหัก อวัยวะภายในเสียหาย อาการเป็นตายเท่ากัน แต่เธอมีใจสู้ เธอบอกว่าเธอเลือกที่จะมีชีวิต ในภาวะเช่นนั้นมันอยู่ที่ใจว่าเลือกที่จะอยู่หรือจะตาย เธอเลือกที่จะอยู่ เธอสลบไป ๑๐ วัน ผ่าตัดสำเร็จ แม้ดีใจที่ไม่ตาย แต่ใจก็กังวลว่าจะเดิน วิ่ง และขี่จักรยานได้หรือเปล่า ลองขยับนิ้วเท้าดูก็ขยับได้ เธอดีใจมาก

    แต่พอเธอฟื้นตัวดีขึ้น หมอก็บอกว่าเธอไม่สามารถเดินได้ แม้ร่างกายส่วนล่างจะมีความรู้สึกอยู่ แต่ว่าเดินไม่ได้ ต้องนั่งรถเข็น และต้องมีท่อปัสสาวะต่อออกมาข้างนอก เธอฝันสลายเลย เพราะว่าชีวิตของเธอทุ่มเทกับการเป็นนักกีฬามาก เธอภูมิใจในร่างกายของตัวเองว่ามีความแข็งแรง ร่างกายคือตัวฉัน เป็นทั้งหมดของฉัน ร่างกายแข็งแรง มีความสามารถด้านกีฬา มันทำให้เธอภาคภูมิใจ แต่พอเธอรู้ว่าร่างกายไม่สามารถวิ่งได้ แม้แต่เดินยังเดินไม่ได้ ความคิดที่ผุดขึ้นมาตอนนั้นก็คือ ชีวิตฉันไม่เหลืออะไรแล้ว ความเป็นนักกีฬาคือสิ่งที่ฉันภูมิใจ ถ้าทำไม่ได้แล้วชีวิตฉันจะเหลืออะไร พอเธอกลับไปบ้านก็เป็นโรคซึมเศร้า เพราะรู้สึกว่าชีวิตนี้ไม่มีคุณค่า สิ่งที่ภาคภูมิใจสูญสลายไปหมดสิ้น ก็อยู่แบบซังกะตาย อยู่แบบหดหู่

    วันหนึ่งขณะที่เธอนั่งเล่นอยู่นอกบ้าน เห็นเครื่องบินบินผ่านมา ก็เกิดความคิดขึ้นมาว่า ถ้าเดินไม่ได้ ฉันก็จะบิน จึงเกิดความตั้งใจว่าอยากขับเครื่องบิน เธอไปสมัครเป็นคนขับเครื่องบิน เขาก็ไม่รับเพราะว่าเธอพิการ แต่โชคดีที่เจอครูฝึกสอนนักบินที่เข้าใจความรู้สึกของเธอ เขาพาเธอขึ้นเครื่องบิน พาเธอบินไปยังจุดที่เธอเคยประสบอุบัติเหตุ และบอกเธอว่าตรงนี้คือจุดที่เกิดอุบัติเหตุ และจากจุดนี้ไปให้เธอขับเครื่องบินเอง ปรากฏว่าเธอสามารถบังคับเครื่องบินให้บินผ่านเขาลูกนั้นได้ แล้วบินต่อไปได้อีก เธอมีความสุขมาก และพบว่าเธอสามารถมีชีวิตใหม่ได้ แม้จะขี่จักรยานไม่ได้ก็ขับเครื่องบินแทนก็แล้วกัน

    จากนั้นเธอก็พัฒนาจนกระทั่งสามารถผ่านบททดสอบหลายอย่าง จากเดิมที่เขาไม่ให้เธอขับเครื่องบิน เธอก็ขับได้ จากเดิมที่กำหนดให้เธอขับเครื่องบินได้เฉพาะบางท้องที่ เธอก็สามารถขับเครื่องบินไปได้ทั่วประเทศ ต่อมาก็ฝึกเป็นนักบินอาชีพได้ ไม่ใช่ขับเครื่องบินได้เฉย ๆ ตอนหลังเธอทำมากกว่านั้น คือกลายเป็นครูสอนนักบิน เธอมีความสุขมาก ตอนนี้เธอกลายเป็นครูที่มีลูกศิษย์ลูกหาเยอะแยะ

    เธอได้เรียนรู้ว่าร่างกายมีขีดจำกัด แต่จิตใจไม่มีขีดจำกัด แม้ว่าร่างกายจะเดินไม่ได้ วิ่งไม่ได้ แต่จิตใจของคนเราสามารถทำอะไรได้ตั้งหลายอย่าง ตอนแรกเธอผิดหวัง ใจไม่สู้ ท้อแท้ เพราะว่าร่างกายทำอะไรไม่ได้แล้ว แต่ที่จริงจิตใจยังทำอะไรได้ตั้งหลายอย่าง และเมื่อจิตใจสู้ ร่างกายก็สามารถทำอย่างอื่นได้อีก เธอเคยคิดว่าเมื่อร่างกายพิการชีวิตเธอก็จบสิ้นแล้ว แต่ที่จริงแล้วเธอยังทำอะไรได้อีกตั้งเยอะแยะ เธอบอกว่าต้องรู้จักปล่อยวางของเดิม ปล่อยวางความเป็นนักกีฬาที่เธอเคยภูมิใจ อันนั้นคือตัวตนเดิมของเธอ เธอทุกข์เพราะว่ายังยึดติดในตัวตนเดิมซึ่งมันเป็นไปไม่ได้แล้ว เธอซึมเศร้าเพราะปล่อยวางตัวตนเดิมไม่ได้ แต่พอเธอปล่อยวางมัน แล้วสร้างตัวตนใหม่ ก็กลับมามีความสุขเหมือนเดิม กลับมามีพลังชีวิตเหมือนเดิม

    บ่อยครั้งคนเราเป็นทุกข์เพราะว่ายังยึดติดของเดิม อาจจะเป็นตัวตนเดิม ทรัพย์สมบัติเดิม บ้านหลังเดิม รถคันเดิม หรือแม้แต่คนรักเก่า แต่พอปล่อยวางได้ก็พบว่าชีวิตมีความสุข มีความหวังขึ้นมาใหม่ คนเก่งมักจะหลงใหลในความสามารถของตน ยึดว่าความสามารถเหล่านี้คือตัวกู แต่เมื่อไม่สามารถทำสิ่งที่เคยทำได้ อาจเป็นเพราะเจ็บป่วย พิการ จิตก็สลายเลย ที่เป็นอย่างนี้ก็เพราะยังยึดติดกับตัวตนเก่าอยู่ บางคนภูมิใจในความเป็นคนสวย เป็นคนหล่อ เป็นนักกีฬา หรือจิตรกรที่วาดรูปได้สวยงาม แต่พอทำไม่ได้แล้วก็ซึมเศร้าไปเลย แบบนี้มีเยอะ ท้อแท้ถึงขั้นฆ่าตัวตายก็มีมาก

    ที่จริงแล้วคนเรายังสามารถสร้างชีวิตใหม่ หรือที่ภาษาสมัยใหม่เรียกว่าตัวตนใหม่ได้ แต่ก็ต้องรู้จักวางของเก่าลงไปก่อน จึงจะสร้างใหม่ขึ้นมา อย่างที่เธอบอกว่าจิตใจของคนเรานั้นไม่มีขีดจำกัด อันนี้เป็นสำนวน ที่จริงแล้วมันมีขีดจำกัด แต่มันจำกัดไม่ได้ง่าย ๆ เหมือนร่างกาย แม้ร่างกายติดอยู่ในคุก แต่จิตใจสามารถไปเที่ยวที่ไหนก็ได้ ร่างกายพิการ ขยับเขยื้อนไม่ได้ นอนติดเตียง แต่ว่าจิตใจก็ยังจินตนาการไปที่ไหนก็ได้ แม้กระทั่งเขียนหนังสือก็ยังได้ แม้ว่าจะพูดไม่ได้ ขยับปากกาไม่ได้ เคยมีคนทำมาแล้ว ประโยคหนึ่งที่เธอบอกกับผู้คนก็คือ ร่างกายไม่ใช่ตัวเรา อันนี้เป็นแง่คิดสำหรับคนป่วยด้วย บางคนเป็นมะเร็ง บางคนพิการ บางคนมีโรคร้าย ขอให้ตระหนักว่ามะเร็งไม่ใช่เรา ร่างกายที่ป่วยก็ไม่ใช่เรา

    อาตมาเคยบอกกับคนที่เป็นมะเร็งว่า คุณไม่ได้เป็นมะเร็ง คุณแค่มีมะเร็งอยู่ในตัว ถ้าคิดว่าฉันเป็นมะเร็ง แสดงว่ามะเร็งเป็นทั้งหมดของฉัน ทั้ง ๆ ที่มะเร็งอยู่ในบางส่วนของร่างกายเท่านั้น บางคนร่างกายทุพพลภาพ ก็ต้องตระหนักว่าร่างกายไม่ใช่เรา เราเป็นมากกว่านั้น การมองแบบนี้จะช่วยสร้างแรงบันดาลใจให้ผู้คนได้มาก

    เรื่องราวของจานีนชี้ให้เห็นว่าสิ่งสำคัญที่สุดของคนเราคือใจ ใจนั้นถ้าเป็นศัตรูกับเราก็ทำให้ชีวิตจมดิ่งไปเลย แต่ว่าชีวิตเราสามารถที่จะดีขึ้นได้เมื่อใจเป็นมิตร พอใจเป็นมิตรแล้ว แม้ว่าร่างกายจะเป็นอุปสรรคแค่ไหน ชีวิตจะลำบากลำบนเพียงใด ก็สามารถฟันฝ่าไปได้ และสามารถจะมีความสุขได้ในทุกสถานการณ์
    :- https://www.visalo.org/article/jitvivat256202.html
     
  5. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    46,869
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,043
    happiness-success-52.jpg
     
  6. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    46,869
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,043
    สุดยอด “เกร็ดธรรม” สั้นๆ จาก...พระไพศาล วิสาโล

    b42.gif คนสมัยนี้คิดเก่ง แต่หยุดความคิดไม่ได้ อยู่ท่ามกลางคนหมู่มากอาจจะรู้สึกวุ่นวาย ครั้งมาอยู่กับตัวเองก็อยู่ไม่ได้ เพราะใจฟุ้งมาก ถ้าเราสามารถเข้าถึงความสงบภายในใจจากการที่จิตมีสมาธิ รู้จักปล่อยวางความคิด เราก็จะอยู่กับตัวเองได้ จะเป็นมิตรกับตัวเองได้ อยู่นิ่งๆ ก็มีความสุข เพราะเราสามารถพบความสุขภายใน

    b42.gif “สันโดษ” ไม่ได้หมายถึงการอยู่คนเดียวไม่สุงสิงกับใคร และไม่ได้หมายถึงความเฉื่อยเนือยไม่กระตือรือร้น แต่คือความพอใจในสิ่งที่เรามีและยินดีในสิ่งที่เราเป็น ไม่ปรารถนาสิ่งที่อยู่ไกลตัวหรือเป็นของคนอื่น ถ้ามีสันโดษก็จะพบกับความสุขในปัจจุบันทันที

    b42.gif ความพอใจในสิ่งที่ตนมีนั้น เป็นบ่อเกิดแห่งความสุขที่ดูแคลนไม่ได้เลย

    b42.gif ขอให้ทุกคนมีชีวิตใหม่ มีใจที่ใหม่ เพราะจะได้ปลดเปลื้องอารมณ์เก่าๆ ที่หมักหมมในจิตใจ สามารถจะปล่อยให้เหตุร้ายที่ผ่านเข้ามาในชีวิตปีนี้ได้ผ่านเลยไปเหมือนสายน้ำที่มาแล้วก็ไป อย่าได้ติดค้างในใจ ขอให้ทุกคนได้สามารถชำระจิตใจให้สะอาด เพื่อให้สามารถเปิดรับความสุขที่มีอยู่ในปัจจุบันได้อย่างต่อเนื่อง

    b42.gif ชีวิตเหมือนกับการเล่นไพ่ บางครั้งเราจั่วไพ่ได้ใบที่ไม่ดีมา ป่วยการที่จะบ่นว่าทำไมฉันได้ไพ่ใบนี้มา ไม่มีประโยชน์เพราะคุณไม่สามารถเปลี่ยนไพ่ที่จั่วมาได้ สิ่งที่คุณควรทำคือเล่นไพ่ในมือให้ดีที่สุด นี่คือการยอมรับความจริง เมื่อยอมรับความจริงแล้วเราจึงจะสามารถคิดต่อไปได้ว่า ต่อแต่นี้ไปฉันจะใช้ชีวิตอย่างไร

    b42.gif การส่งจิตออกนอก เป็นตัวการแห่งความทุกข์ทั้งหลายทั้งปวง ไม่ว่าจะเป็นความทุกข์ใจ หรือการสร้างความทุกข์ให้แก่ชีวิตของตน จึงประมาทไม่ได้เรื่องการส่งจิตออกนอก ทำอย่างไรเราจะไม่เผลอส่งจิตออกนอก ก็ต้องมี “สติ” สติช่วยพาจิตมาอยู่กับปัจจุบัน อยู่กับงานที่เราทำ ดึงจิตกลับมาดูตัวเอง หันมาเห็นความโกรธ ความเกลียด ความพยาบาท รวมทั้งความอิจฉาริษยา ที่กำลังสะสมอยู่ในใจ เมื่อเห็นแล้วการปล่อยวางก็จะเกิดขึ้นตามมา ทำให้จิตโปร่งเบา ไม่ทุกข์ หลวงปู่ดูลย์จึงว่า “จิตเห็นจิต” คือ มรรค

    b42.gif โลกก้าวหน้าได้เพราะเรารู้จักเปลี่ยนปัญหาให้เป็นปัญญา
    :- http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=7&t=41871
     
  7. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    46,869
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,043
    catdog.jpg
     
  8. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    46,869
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,043
    ทุกข์ทางกาย กับ ทุกข์ทางใจ
    บทสวดมนต์ทำวัตรเช้าที่พวกเราเพิ่งสาธยายเมื่อสักครู่ หากพิจารณาดูให้ดี ก็จะพบว่า ชีวิตนั้นเต็มไปด้วยความทุกข์ เมื่อถือกำเนิดขึ้นมาก็เตรียมตัวแก่ เตรียมตัวเจ็บ เตรียมตัวตายได้เลย เพราะสภาพเหล่านี้เป็นสิ่งที่ต้องเกิดขึ้นกับทุกชีวิต


    นอกจากความทุกข์ที่เกิดจาก เกิด แก่ เจ็บ ตาย ยังมีความทุกข์อื่นอีกหลายชนิด เช่น การประสบกับสิ่งที่ไม่เป็นที่รัก การพลัดพรากจากสิ่งที่เป็นที่รัก การปรารถนาสิ่งใดแล้วไม่ได้สิ่งนั้น อาจกล่าวได้ว่าบทสวดมนต์นี้เป็นแผนที่ชีวิตที่ดีมาก หากพิจารณาอย่างลึกซึ้งก็จะช่วยให้เราเข้าใจชีวิตดีขึ้น รู้จักวางจิตวางใจต่อการดำเนินชีวิต หากเราพิจารณาบทสวดมนต์ซึ่งกล่าวถึงทุกข์ 12 อาการ เราจะพบว่า ความทุกข์ส่วนใหญ่เป็นความทุกข์ทางใจ ความทุกข์ทางกายเช่น แก่ เจ็บ และตาย ที่เหลือเป็นความทุกข์ทางใจ เช่น ความเศร้าโศก ร่ำไร รำพัน ความไม่สบายใจ ความคับแค้นใจ การประสบกับสิ่งซึ่งไม่เป็นที่รัก เหล่านี้เป็นทุกข์ทางใจ


    เมื่อเรากลับมาดูชีวิตของเราแต่ละวัน จะพบว่าความทุกข์ทางกายนั้นมีไม่มาก เช่น เจ็บ ปวด หิว ร้อน หนาว แม้กระนั้นเราก็ยังรู้สึกว่าชีวิตนี้เต็มไปด้วยความทุกข์ ที่เป็นเช่นนั้นเพราะเรามีทุกข์ทางใจมากมาย สำหรับชีวิตคนเมือง ถ้ามีทุกข์อยู่ 100 ส่วน จะเป็นทุกข์ใจอยู่ 70-80 ส่วน ถ้าเป็นเด็กในเมืองสมัยนี้ เกือบจะไม่รู้จักความทุกข์ทางกายเลย ไม่รู้จักคำว่าหิว เหนื่อย เมื่อย ร้อน เพราะเมื่อร้อนก็เปิดแอร์ ไม่รู้จักคำว่าเมื่อยเพราะมีเครื่องทุ่นแรง ไปไหนมาไหนใช้รถยนต์ ไม่ต้องเดิน ต่างกับคนรุ่นปู่ย่าตายายซึ่งพบเจอกับคำว่าปวดเมื่อยเป็นปกติ ชีวิตของคนสมัยนี้ค่อนข้างสบายทางกาย แต่กลับทุกข์ทางใจ


    ทุกข์ทางใจเกิดจากอะไร พูดแบบฟันธงก็คือทุกข์เพราะความคิด นั่งอยู่ตรงนี้สบายดี ไม่เมื่อย อากาศไม่ร้อน แต่พอเราหวนคิดถึงหนี้สิน จะสิ้นเดือนอยู่แล้วต้องหาเงินไปใช้หนี้ หรือพอนึกถึงงานวันพรุ่งนี้ เราจะรู้สึกหนักอกหนักใจขึ้นมาทันที เมื่อนึกถึงโทรศัพท์ที่ถูกขโมยเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว นึกถึงเงินที่ถูกโกงเมื่อสามวันก่อน นึกถึงคนรักที่จากไป ไม่ว่าจากเป็นหรือจากตาย นึกถึงการเลิกรา ทะเลาะเบาะแว้งกับคนรัก แค่คิดก็เป็นทุกข์ทันที ทั้งที่ในความเป็นจริง ความคิดนั้น มาแล้วก็ไป แต่เราทุกข์เพราะคิดแล้วยึด จมปลัก วางไม่ได้ 70-80 % ของความทุกข์ใจเกิดจากการยึดติดกับอดีต หรือไม่ก็กังวลกับอนาคต เราไม่ได้ทุกข์เพราะคิดเฉยๆ แต่คิดแล้วยึดเอาไว้อย่างเหนียวแน่น


    ถ้าเราวาง วางอดีต วางอนาคต จิตใจจะสบาย


    ปรุงแต่งความคิด
    บ่อยครั้งเราทุกข์เพราะยึดติดกับเรื่องที่เราปรุงแต่งขึ้นมา การปรุงแต่งเป็นเรื่องธรรมดา แต่ถ้าเรายึดเอาไว้ก็เป็นทุกข์ เช่น เครียด หรือ กลุ้มใจ บางเรื่องเป็นอนาคตที่ยังมาไม่ถึง แต่ปรุงแต่งไปต่าง ๆ นานา จนเครียด บางเรื่องก็เป็นปัจจุบัน เช่นเห็นแฟนกินอาหารกับผู้ชายในภัตตาคาร เพียงแค่เห็นไม่ทำให้เราทุกข์หรอก แต่เราทุกข์เพราะเราปรุงแต่งว่า เขานอกใจเรา เขาไม่ซื่อกับเรา
    หรือปรุงแต่งไปในทางร้าย


    มีเหตุการณ์หนึ่ง เกิดขึ้นที่ร้านอาหาร ผู้ชายกลุ่มหนึ่งนั่งรออาหารอยู่นอกร้าน ขณะที่ภรรยาเจ้าของร้านซึ่งทำหน้าที่เสิร์ฟอาหาร เดินผ่านโต๊ะของคนกลุ่มนี้ ก็เป็นจังหวะเดียวกับที่นกบินผ่านมาและขี้ใส่หัวผู้ชายคนหนึ่งในโต๊ะนั้นพอดี ผู้ชายคนนั้นเข้าใจว่า ภรรยาเจ้าของร้านถ่มน้ำลายรดหัว จึงทะเลาะกับเธอ แล้วก็ลุกลามจนกลายเป็นการทะเลาะกับเจ้าของร้านถึงขั้นจะลงไม้ลงมือ เจ้าของร้านจึงเอามีดปังตอขู่ ชายกลุ่มนี้สู้ไม่ได้ก็ล่าถอยออกไป สักพักก็กลับมาใหม่ คราวนี้เอาปืนมาด้วย เกิดการยิงกัน ปรากฏว่าภรรยาเจ้าของร้านถูกยิงตาย ชายคนนั้นถูกจับติดคุก


    เรื่องทั้งหมดนี้เกิดขึ้นเพียงเพราะนกขี้ใส่หัว แต่จะไม่เกิดเหตุร้ายเลยหากชายผู้นั้นไม่ปรุงแต่งไปว่าถูกคนถ่มน้ำลายรดหัว แต่เมื่อเขาปรุงแต่งความคิดนี้ขึ้นมาแล้วยึดมั่นว่าเป็นความจริง เขาก็โกรธและเกิดเรื่องตามมา คนจำนวนไม่น้อยได้รับผลร้ายจากการยึดติดในสิ่งที่ปรุงแต่ง เขาไม่เพียงทุกข์ใจเท่านั้น แต่ยังทุกข์กายด้วย เพราะเกิดความเครียด ความดันขึ้น จนล้มป่วยก็มีไม่น้อย


    คุณหมอประเวศ วะสี เคยเล่าให้ฟังว่า ผู้ชายคนหนึ่งตัวซีด ไม่มีแรง นอนเปลมาให้หมอตรวจ เมื่อหมอตรวจคนไข้ ซักถามอาการ ก็หันไปคุยกับหมอประจำบ้าน บอกว่า คนไข้นี้ไม่เป็นอะไรมาก ตัวซีดเพราะพยาธิปากขอ เพียงให้เหล็กก็จะหายวันหายคืน พูดเพียงเท่านี้ ปรากฏว่าคนไข้ลุกขึ้นยืนได้ทันที บอกว่า “หมอ ถ้าผมเป็นแค่นี้ก็ไม่ต้องใช้ไอ้เปลนี้แล้วล่ะ” ทำไมเรี่ยวแรงจึงกลับมา ก็เพราะรู้ว่าไม่เป็นอะไรมาก แต่ทีแรกทำไมถึงไม่มีแรงทั้ง ๆ ที่เป็นแค่พยาธิปากขอ ก็เพราะใจปรุงแต่งไปในทางร้าย เช่น นึกว่าเป็นมะเร็ง พอคิดแบบนี้ก็เลยทรุด แต่พอรู้ว่าไม่ได้เป็นอะไรมาก เรี่ยวแรงก็กลับคืนมา แท้ที่จริงความคิดว่าเราเป็นมะเร็งหรือเปล่า ใครๆ ก็คิดได้ แต่ถ้าคิดแล้วยึดเอาไว้ ไม่ยอมปล่อยวางก็จะทุกข์ทันที หมดเรี่ยวแรง เพราะใจกับกายสัมพันธ์กัน


    สมมติว่าเราไปทำงานแต่เช้า เห็นเพื่อนร่วมงานจึงทักทายเขา แต่เขาไม่ทักตอบ เดินผ่านเราไปเฉยๆ เราจะรู้สึกไม่พอใจขึ้นมาเลยใช่ไหม เพราะคิดว่าเพื่อนไม่ให้เกียรติเรา ไม่ชอบขี้หน้าเรา ไม่เป็นมิตรกับเรา ทักแล้วก็ไม่ทักตอบ เรารู้สึกเครียดจนไม่เป็นอันทำงาน บางทีกลับบ้านแล้วก็ยังนอนไม่หลับ อดคิดไม่ได้ว่าทำไมเขาทำกับเราอย่างนี้ เราอุตส่าห์ดีกับเขา เขาไปหลงเชื่อคำพูดของเจ้าหมอนั่นหรือเปล่า คิดเป็นตุเป็นตะ ทั้งที่สาเหตุที่เขาไม่ทักตอบก็เพราะเขามองไม่เห็นเรา เนื่องจากกำลังเหม่อลอยหรือมีความกังวลเพราะลูกไม่สบายเมื่อเช้า เขามีความทุกข์ใจจึงไม่ไม่ได้ทักตอบ แต่ใจเรากลับปรุงแต่งไปอีกทางหนึ่ง ปรุงแล้วก็ยึด ยึดในสิ่งที่ปรุงแต่ง ก็เลยเดือดเนื้อร้อนใจ


    ทุกข์เพราะยึด
    บางครั้งเราไม่ได้ทุกข์เพราะอดีตหรืออนาคต แต่ทุกข์ด้วยเหตุแห่งปัจจุบัน นั่งฟังธรรมอยู่ดีๆ ก็มีเสียงโทรศัพท์ในห้องดังขึ้น หรือมีเสียงมอเตอร์ไซค์ดังรบกวนเรา ทำให้หงุดหงิด ไม่พอใจ ส่วนหนึ่งเพราะเรารู้สึกว่ามันไม่ควรจะมาดังตอนนี้ ทำไมคนนั้นไม่รู้จักปิดโทรศัพท์มือถือนะ ทำไมเขาไม่ดับเครื่องมอเตอร์ไซค์นะ เราไม่ได้หงุดหงิดเพราะเสียงดังเท่านั้น แต่เราหงุดหงิดกับเจ้าของโทรศัพท์ หรือคนขับมอเตอร์ไซค์ด้วย แต่ถ้าสังเกตให้ดีจะพบว่าที่เราหงุดหงิดก็เพราะใจของเราปักลงไปที่เสียงเหล่านั้นและปรุงแต่งไม่หยุด ถ้าเพียงแต่เราสนใจคำบรรยาย เสียงนั้นก็ไม่มีความหมาย เสียงบรรยายจากไมโครโฟนย่อมดังกว่าเสียงโทรศัพท์อยู่แล้ว แต่เมื่อใจเราปักอยู่กับเสียงนั้น ก็จะรู้สึกเสียงดังขึ้นทุกที จนเกิดความหงุดหงิด เลยฟังธรรมบรรยายไม่รู้เรื่อง ไม่ปะติดปะต่อ เพราะใจพะวงอยู่กับเสียง คิดแต่ว่าเมื่อไรเขาจะปิดเสียงโทรศัพท์ หรือดับเครื่องรถเสียที แต่เมื่อเสียงยังดังอยู่ ก็เลยรู้สึกขัดอกขัดใจ ยิ่งโมโหหนักขึ้น นี่เป็นผลจากการยึดติดอีกแบบหนึ่ง ถ้าเราไม่อยากทุกข์ก็ต้องรู้จักปล่อย รู้จักวาง


    เคยมีคนถามพระนันทิยะว่าพระพุทธเจ้าสอนท่านว่าอย่างไร ท่านตอบว่า ”พระผู้มีพระภาคสอนให้ปล่อย ให้วางทั้งข้างหน้า ข้างหลัง และท่ามกลาง มิให้ติดอยู่ในอารมณ์อันเป็นอดีต อนาคตและปัจจุบัน อารมณ์ที่พอใจหรือไม่พอใจอันใดเกิดขึ้น จงปล่อยจงวางให้เป็นกอง ๆ ไว้ ณ ที่นั้น อย่านำมาเก็บไว้แบกไว้ เขาด่าว่าเราบนบก จงกองคำด่าว่านั้นไว้บนบก อย่านำติดไปในน้ำด้วย เขาด่าว่าเราในน้ำ จงกองคำด่าว่านั้นไว้ในน้ำ อย่านำติดตัวมาบนบก หรือเขาด่าว่าในเมือง จงกองไว้ในเมือง อย่านำติดตัวมาจนถึงเชตวนารามนี้”


    ท่านตอบชัดเจนมาก เราน่าจะเอาไปใช้นะ คือเมื่อถูกใครด่าว่า ก็วางคำด่าตรงนั้นเลย ไม่ต้องแบกกลับบ้าน คำสอนนี้เป็นรูปธรรมมาก ไม่ยากจนเกินไป การปล่อยวางสำคัญเพราะในชีวิตเรามีสิ่งรบกวนเยอะ ทำให้จิตใจเราวอกแวก เมื่อใจเราปักอยู่กับมัน ทำให้เราทุกข์ ไม่มีสมาธิในการทำงาน แม้เสียงนั้นจะเบา แต่ถ้าใจเราปักอยู่กับมัน เสียงนั้นก็จะมีอิทธิพลมากจนทำให้เราฟังเรื่องอื่นไม่รู้เรื่อง
     
  9. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    46,869
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,043
    (cont.)
    ติดยึดในตัวตน
    การยึดติดในตัวกูของกูเป็นพื้นฐานของความทุกข์ทั้งปวง เมื่อเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น เราไม่ได้ยินเพียงเสียงของโทรศัพท์ แต่มีการปรุงต่อไปว่า เสียงนี้รบกวนสมาธิกู มีตัวกูขึ้นมาเป็นผู้ทุกข์ เป็นผู้ได้รับผลกระทบ ตัวกูถูกปรุงแต่งขึ้นมา แล้วใจก็ยึดติดอยู่ในตัวกูที่เป็นผู้ทุกข์ ปกติแล้ว เวลาเกิดความเจ็บ ป่วย ปวด เมื่อย อาการเหล่านั้นไม่ได้เกิดขึ้นเฉยๆ แต่มีอีกสิ่งที่เกิดขึ้นซ้อนขึ้นมาทันทีคือ ความรู้สึกว่ามีตัวกู เกิดเป็นความรู้สึกว่า กูปวด กูเมื่อย นั่นเป็นเพราะตัวกู ถูกปรุงขึ้นมา เมื่อปรุงขึ้นมาแล้ว เรายังยึดเอาไว้อย่างเหนียวแน่น ไม่ปล่อย ก็จะมีเสียงร่ำร้องในใจว่า กูปวด กูรำคาญเว้ย นั่นคือ มีกูเป็นผู้รับทุกข์ เป็นเจ้าของความทุกข์ที่เกิดขึ้น


    เมื่อทำงานได้รับคำตำหนิ ไม่ใช่เพียงหูที่ได้ยินเสียง แต่เกิดเป็นความสำคัญมั่นหมาย เขาด่ากู เขาไม่ให้เกียรติกู เขาดูถูกกู กินก็คิด นอนก็คิด เขาด่ากู เขาด่ากู อันนี้เรียกว่าทุกข์เพราะยึดติดในตัวกู ของกู ซึ่งเป็นสิ่งที่ถูกปรุงแต่งขึ้นมา ชีวิตของเราแท้จริงมีแต่กายกับใจ ไม่มีตัวกู ไม่มีของกู ตัวกูเป็นสิ่งที่ใจปรุงแต่งขึ้นมาเอง แล้วก็ยึดเอาไว้ ไม่ปล่อย เมื่ออะไรก็ตามมากระทบ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ หากเกิดทุกขเวทนาก็จะเกิดความรู้สึกว่า กูทุกข์ กูปวด กูโกรธ เมื่อเศร้า ไม่ใช่เพียงความเศร้าเกิดขึ้น แต่มีความรู้สึกว่า กูเศร้า นี้คือรากเหง้าของความทุกข์ทั้งปวง


    สติ
    เป็นไปได้ไหมที่เราปวดโดยไม่มีผู้ปวด คำตอบคือเป็นไปได้ ถ้ามีสติเพียงพอ ปวด แต่ไม่มีผู้ปวด โกรธ แต่ไม่มีผู้โกรธ มีแต่ความโกรธเฉยๆ ครั้งหนึ่งมีผู้ปฏิบัติธรรมซึ่งตั้งใจมาก มาฝึกปฏิบัติที่วัดป่าสุคะโต เมื่อตั้งใจมากก็เลยเครียด วันหนึ่งจึงถามหลวงพ่อคำเขียน ว่า หลวงพ่อ ทำอย่างไรดี หนูเครียดจังเลย หลวงพ่อไม่ตอบ แต่บอกว่า เธอถามไม่ถูก ให้ถามใหม่ เธอได้สติขึ้นมาจึงถามใหม่ว่า ทำอย่างไรดี หนูเห็นความเครียดเยอะมากเลย ขอให้เราสังเกตดูว่าต่างกันไหมระหว่าง หนูเครียด กับ หนูเห็นความเครียด หนูเครียดนั้น มี ตัวหนูเป็นผู้ทุกข์ผู้เครียด แต่ถ้า เห็นความเครียด เป็นอีกอย่างหนึ่ง ความเครียดไม่ใช่ตัวหนูหรือของหนู พูดอีกอย่างคือไม่ใช่ของกู ดังนั้นความเครียดจะก่อปัญหาน้อยกว่า คนที่เห็นความเครียดจะทุกข์น้อยกว่าคนที่รู้สึกว่าฉันเครียด


    ถามว่าเห็นความเครียดได้อย่างไร เห็นได้ก็เพราะมีสติ หากไม่มีสติก็จะกอดความเครียดเอาไว้ เปรียบเสมือนคนที่เห็นกองไฟอยู่ห่างๆ ก็ไม่ค่อยรู้สึกร้อน ส่วนคนโกรธที่ไม่มีสติก็เหมือนเข้าไปอยู่กลางกองไฟหรือกอดไฟเอาไว้ จะทุกข์มากเพราะถูกความโกรธแผดเผาใจ แต่ถ้าเห็นความโกรธ เพราะมีสติ ก็จะเห็นกองไฟนั้นอยู่ห่างๆ จึงไม่ค่อยทุกข์ร้อน


    เมื่อมือถูกไฟลวก มือจะชักออก นี่คือความฉลาดของกาย แต่เมื่อโกรธ ใจจะกอดความโกรธเอาไว้ ใครด่าเรา เราจะจำได้และนึกถึงเขาบ่อย ๆ ยิ่งคิดก็ยิ่งทุกข์ มองในแง่นี้จะเห็นว่า ใจโง่กว่ากาย ชอบหาทุกข์ใส่ตัว คล้ายกับว่าเรามีเศษแก้วอยู่ในมือ เพียงแค่เราพลิกมือลงเศษแก้วก็ตก แต่เราไม่ทำ เรากลับถือเอาไว้ แถมยังกำแล้วบีบซ้ำแล้วซ้ำเล่า เศษแก้วจึงบาดมือ เสร็จแล้วเราก็ด่าเศษแก้วว่า ทำให้ฉันเจ็บ มือเป็นแผล แต่หากเราไม่กำเศษแก้ว เศษแก้วเหล่านั้นจะทำอะไรเราได้ มันก็อยู่ของมันอย่างนั้น อย่างนี้เราจะโทษเศษแก้วหรือจะโทษตัวเราดี เพียงแค่พลิกมือเศษแก้วก็ตกแล้ว แต่เราก็ไม่ทำ


    เศษแก้วก็คือคำต่อว่าของคนบางคนซึ่งผ่านไปแล้ว แต่เราไม่ยอมวาง กลับครุ่นคิดถึงคำพูดเหล่านั้น คิดแล้วคิดเล่า เราก็เลยทุกข์ เพียงแค่ปล่อยวางเท่านั้น เราก็ไม่ทุกข์ เหมือนกับเพียงแค่พลิกมือ เศษแก้วก็ตก แต่เราไม่ยอมปล่อย กลับบีบไว้ แล้วก็เจ็บ เพราะอะไร เพราะเราไม่รู้ตัว เพราะไม่มีสติ


    สติสำคัญมากช่วยให้ปล่อยวางได้เร็ว อยู่กับปัจจุบัน ไม่อาลัยในอดีต ไม่พะวงกับอนาคต บางเรื่องเรากังวลเพราะคิดเอาเองทั้งเพ เรื่องยังไม่เกิดขึ้น แต่เรานึกปรุงแต่งไปในทางลบ เช่น ถ้างานล้มเหลว ถ้าลูกสอบเข้ามหาวิทยาลัยไม่ได้ จะทำยังไงดี นึกไปก็ทุกข์ไป แต่ถ้ามีสติ เราก็จะอยู่กับความจริงในปัจจุบันได้ เงินเสียไปแล้วใจไม่เสีย ไม่อาลัยสิ่งที่เป็นอดีต ส่วนอนาคตก็ไม่กังวล ใจลอยเมื่อไหร่ก็ดึงใจกลับมา สติคือระลึกได้ ไม่ลืมตัว


    ไม่ลืมตัวคือไม่ลืมที่จะพาใจมาอยู่กับปัจจุบัน ไม่ปล่อยให้ใจจมอยู่กับอดีต หรือพะวงกับอนาคต เมื่อใจลอยนึกถึงงานพรุ่งนี้ นึกถึงหนี้สินที่จะต้องจ่ายก็จะรู้สึกหนักอกหนักใจขึ้นมาทันที แต่เมื่อระลึกได้ว่า กำลังฟังคำบรรยายอยู่ตรงนี้ สติก็จะดึงใจกลับมา ฟังธรรมบรรยาย เรื่องอื่นๆ ก็วางไว้ก่อน ทำใจให้ปกติ สติช่วยให้ปล่อยวางได้ ปล่อยวางความคิด ปล่อยอารมณ์ที่ทำให้ทุกข์


    สติมีอานิสงส์มาก ไม่เพียงช่วยให้รู้ทันความคิด รู้ทันอารมณ์ แต่ยังช่วยให้ปล่อยวางได้ เมื่อรู้แล้ววาง รู้แล้ววาง ไม่ยึดติดแม้กระทั่งความทุกข์ความเศร้าเสียใจ มีเพื่อนผู้หญิงคนหนึ่งได้รับจดหมายจากคนที่เธอแอบชอบ เนื้อหาในจดหมายฉบับนั้นไม่ได้แสดงเลยว่าเขามีจิตปฏิพัทธ์ต่อเธอ เธอจึงนั่งซึม เวลาเดียวกันเองมีเพื่อนมาหาเธอ ตะโกนเรียกอยู่หน้าบ้านเพื่อชวนเธอไปเที่ยว ทันทีที่ได้ยินเสียงเรียกเธอรู้สึกฉุนขึ้นมาทันที นึกใจใจว่า เวลาจะสุขก็ไม่สมหวัง เวลาจะทุกข์ยังมีคนมารังควาญอีก นี่แสดงว่าเธออยากจมอยู่ในความทุกข์ อันนี้เป็นเพราะไม่มีสติ เลยเห็นความเศร้าเป็นของดี


    อย่าเอาหูไปรองเกี๊ยะ
    ครั้งหนึ่งเมื่อหลวงปู่บุดดา ถาวโรอายุราว 70-80 ปี มีคนนิมนต์ท่านไปฉันเพลที่กรุงเทพ ฯ เมื่อฉันเสร็จ โยมก็อยากให้ท่านพักผ่อนเพราะอายุมากแล้ว จึงหาห้องให้ท่านจำวัดก่อนกลับสิงห์บุรี มีลูกศิษย์ลูกหามานั่งเป็นเพื่อนท่าน เวลาจะคุยกันก็กระซิบกระซาบเพราะไม่อยากให้เสียงรบกวนท่าน แต่บ้านที่ท่านพักนั้นติดกับร้านค้า เจ้าของเป็นอาซิ้มสวมเกี๊ยะไม้ เวลาขึ้นลงบันไดก็มีเสียงดังเข้ามาถึงห้องที่หลวงปู่นอนพัก บรรดาลูกศิษย์ก็ไม่พอใจ บ่นขึ้นมาว่า เดินเสียงดังไม่เกรงใจกันเลย หลวงปู่ท่านหลับตาอยู่ แต่ไม่ได้นอนหลับ เมื่อได้ยินลูกศิษย์บ่นดังนั้นท่านจึงพูดเบา ๆ ว่า “เขาเดินอยู่ดีๆ เราเอาหูไปรองเกี๊ยะเขาเอง”


    คนเราถ้าไม่มีสติ หูก็จะหาเรื่อง ที่จริงเสียงดังไม่ทำให้ทุกข์หรอก แต่ที่ทุกข์ก็เพราะใจไปยึดติดกับเสียงเหล่านั้น แถมปรุงตัวกูขึ้นมา ว่าเสียงดังรบกวนกู ก็เลยหงุดหงิดกับเสียง แต่ถ้ามีสติ ก็สักแต่ว่าได้ยิน ใจไม่ทุกข์


    สมาธิ
    นอกจากสติแล้ว สมาธิก็ช่วยให้ปล่อยวางได้เช่นกัน สมาธิในที่นี้หมายถึงการเปลี่ยนความสนใจของจิต เพื่อจดจ่อสิ่งอื่นทำให้ใจสงบ เช่นเมื่อมีเสียงดังรบกวนใจก็ดึงจิตให้หันมาจดจ่อกับลมหายใจ ช่วยให้ใจสงบขึ้น ในชีวิตประจำวันเราอาศัยสมาธิช่วยปล่อยวางความทุกข์อยู่บ่อย ๆ สังเกตไหมบางครั้งเราเล่นไพ่ตลอดทั้งคืน โดยไม่รู้สึกปวดเมื่อยเลย นั่นเป็นเพราะใจเราจดจ่ออยู่กับไพ่ แต่ถ้าฟังเทศน์แค่ 15 นาที ก็เริ่มขยับแข้งขยับขาแล้ว ที่เป็นอย่างนั้นเพราะใจไม่มีสมาธิกับคำเทศน์ ก็เลยรับรู้ความปวดเมื่อยได้ไว แต่ส่วนใหญ่มีสมาธิกับสิ่งที่ชอบ เช่น ไพ่ กีฬา หรือเสียงเพลง ถ้าไม่มีสิ่งเหล่านี้ใจก็เป็นสมาธิยาก แต่ถ้าเรารู้จักมีสมาธิกับสิ่งที่มีอยู่แล้วกับตัว เช่น ลมหายใจ หรืออิริยาบถ เราจะมีสมาธิได้ทั้งวัน เวลาเครียดหรือโมโห เราก็หันมาจดจ่อลมหายใจ ใจก็จะผ่อนคลาย สบายขึ้น


    ปัญญา
    ปัญญามีความหมายหลายระดับ ปัญญาขั้นสูงคือการเห็นอย่างแจ่มชัดว่า ตัวตนไม่มีอยู่จริง ตัวตนเป็นสิ่งที่ใจปรุงแต่งขึ้นมา เมื่อคนด่า หูได้ยิน แต่ไม่ปรุงตัวกูมารับคำด่าเหล่านั้น จนรู้สึกว่าเขาด่ากู เมื่อโกรธ เห็นความโกรธ แต่ไม่มีตัวกูไปรับความโกรธ ความทุกข์ก็ไม่อาจรบกวนจิตใจได้


    มีคนถามหลวงปู่ดูลย์ อตุโล ซึ่งลือกันว่า ท่านเป็นพระอรหันต์ เขาถามว่าหลวงปู่มีโกรธไหม ท่านว่า “มี แต่ไม่เอา” คือท่านไม่มีตัวกูที่จะไปรับความโกรธ ถ้าเป็นพวกเรา ก็จะเอาความโกรธทันที คือ มีตัวกูที่หยิบฉวยความโกรธ ตัวกูนั้นอยากฉวยอยากยึดทุกอย่าง ธรรมชาติของตัวกู คือไม่รู้จักพอ อยากได้เงิน อยากได้ชื่อเสียง อยากมีอำนาจ ไม่รู้จักจบสิ้น มีร้อยล้านก็อยากได้พันล้าน มีพันล้านก็อยากได้หมื่นล้าน เป็นหัวหน้ากองก็อยากเป็นผู้อำนวยการ อยากเป็นอธิบดี อยากเป็นปลัดกระทรวง แล้วก็ไม่รู้สึกพอสักที อยากเป็นรัฐมนตรี อยากเป็นนายก อยากเป็นนายกสองสมัย อยากเป็นนายกสามสมัย เหล่านี้คือธรรมชาติของตัวกู และไม่ใช่อยากได้เพียงยศ ทรัพย์ ชื่อเสียง อำนาจ แม้กระทั่งความโกรธ เกลียด ตัวกูก็ยังยึดเอาไว้


    หลวงปู่ดุลย์ไม่มีตัวกู เพราะท่านมีปัญญาแจ่มชัดจนรู้ว่าตัวกูไม่มีจริง จึงไม่มีตัวกูผู้โกรธ ท่านไม่ยึดเอาความโกรธมาเป็นของท่าน ไม่รับ แต่ถ้าเป็นพวกเรา เราก็รับ เรากวาดทุกอย่างมาเป็นของเราหมดตามวิสัยของตัวกู การมีปัญญาที่แลเห็นว่า ตัวกูไม่มีจริง คืออนัตตา เป็นสิ่งสำคัญมาก เพราะทำให้ความทุกข์ไม่มีที่ตั้ง เหมือนกับฝุ่นผงไม่สามารถเกาะกระจกได้ หากไม่มีกระจกให้เกาะ มีแต่ความว่างเปล่า
     
  10. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    46,869
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,043
    (cont.)
    ต๋อง ศิษย์ฉ่อย เป็นนักสนุกเกอร์อาชีพที่มีความสามารถสูงมาก เมื่ออายุ 12 ปีเขาชนะแชมป์โลกในการแข่งแบบไม่เป็นทางการ และติดอันดับหนึ่งในสามของโลกเมื่ออายุไม่ถึง 25 ปี เป็นแชมป์หลายสมัย แต่หลังจากอายุ 25 ปี ก็ตกอันดับ ไม่ติดหนึ่งในร้อยด้วยซ้ำไป ต่อมาเขาได้ลาบวช แล้วกลับมาเล่นสนุกเกอร์ใหม่ ได้เป็นแชมป์ในระดับประเทศและระดับเอเชีย สิ่งหนึ่งที่เปลี่ยนแปลงไปคือเขาทำใจได้ดีขึ้น มีคนถามว่า เขาเคยเป็นแชมป์โลกรู้สึกอย่างไรเมื่อรุ่นน้องชนะเขา เขาบอกว่า “ชีวิตมันเป็นอย่างนี้เอง ทุกอย่างมันไม่เที่ยง เมื่อก่อนเคยแทงกี่ลูกก็ลง แต่เดี๋ยวนี้ไม่ลง อ้าว ก็อายุมึงมากแล้วนี่ ก็เป็นธรรมดา จะไปออกคิวเหมือนเดิมได้ไง ถ้าทำได้ แล้วเด็กรุ่นใหม่มันจะไปรุ่งได้ไง ถ้ามึงยังอยู่ตลอดเวลาอย่างนี้” นี่เป็นปัญญาคือการเห็นความจริงของชีวิตที่หาความแน่นอนไม่ได้ เขาจึงทำใจได้ ไม่ทุกข์


    คนเก่งมักจะทุกข์ก็เพราะยึดติดถือมั่นกับชัยชนะในอดีต คิดว่าตัวเองแพ้ไม่ได้ เพราะรู้สึกว่า กูแน่ แต่เมื่อมีประสบการณ์ชีวิตก็พบว่า ชนะได้ก็แพ้ได้ มันเป็นอนิจจัง ต๋องยังพูดอีกว่า “ทุกวันนี้พอแทงลูกไม่ลงเหรอ ผมยิ้มให้กับลูกที่ผมแทงไม่ลงด้วย แล้วก็ดีใจชื่นชมคู่ต่อสู้เป็นด้วย เล่นแบบนี้เราแฮปปี้กว่า” การที่เรายอมรับความจริงว่าอะไร ๆ ก็ไม่เป็นดั่งใจ ก็ทำให้เรามีความสุขได้ อย่าง
    ต๋องแม้แทงลูกไม่ลง ก็มีความสุข และไม่ได้อิจฉาคู่ต่อสู้ อันนี้แสดงว่าเขาปล่อยวางได้เพราะมีปัญญาเห็นความจริงหรือสัจธรรมของโลก เห็นว่า ชนะ-แพ้ สรรเสริญ-นินทา เป็นของคู่กัน ไม่มีใครชนะโดยไม่แพ้เลย เช่นเดียวกับที่ไม่มีใครได้รับคำสรรเสริญ โดยไม่ถูกนินทา แม้กระทั่งพระพุทธเจ้า เมื่อเห็นความจริงนี้ก็ปล่อยวางได้เวลาเจอสิ่งที่ไม่ถูกใจหรือที่ท่านเรียกว่าอนิฏฐารมณ์ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ปัญญาจะเกิดได้ ต้องอาศัยสติ หากขาดสติก็จะไม่เห็นความจริง


    หลวงพ่อพุธ ฐานิโย ในสมัยที่ท่านเป็นพระหนุ่ม วันหนึ่งขณะที่ออกบิณฑบาต ท่านเห็นผู้หญิงกับลูกชายรอใส่บาตรจึงเดินไปรับบาตร เมื่อเข้าไปใกล้ เด็กชายวัย ๕ ขวบมองมาที่ท่านแล้วพูดว่า “มึงบ่แม่นพระดอก มึงบ่แม่นพระดอก” ท่านรู้สึกโกรธ แต่แล้วท่านก็มีสติ พอเห็นความโกรธของตนก็ได้คิดว่า “เออ จริงของมัน เราไม่ใช่พระหรอก ถ้าเราเป็นพระ เราต้องไม่โกรธซิ” เมื่อระลึกได้เช่นนี้ ท่านก็หายโกรธแล้วเดินไปรับบาตรด้วยใจปกติ การที่ท่านระงับความโกรธได้เป็นเพราะท่านฉลาดคิด เรียกว่ามีปัญญา หรือโยนิโสมนสิการ นอกจากจะไม่โกรธเด็กแล้ว ท่านยังเรียกเด็กคนนี้ว่าเป็นอาจารย์ของท่านอีกด้วย


    ต๋อง ศิษย์ฉ่อยก็พูดทำนองเดียวกัน เวลาถูกคนต่อว่าหรือวิพากษ์วิจารณ์ “เราต้องเรียกคนพวกนี้ว่าเป็นอาจารย์เลย เราต้องผ่านเขาให้ได้ เพราะถ้าเราผ่านไม่ได้ เราไม่มีสิทธิ์ประสบความสำเร็จหรอก” เล็ก วิริยประไพ เศรษฐีเจ้าของเมืองโบราณ เคยพูดว่า “วันไหนไม่ถูกตำหนิ วันนั้นอัปมงคล” คำตำหนิเป็นอัปมงคล เพราะคนร่ำรวยมักจะหลงได้ง่าย เนื่องจากมีคนป้อยออยู่เสมอ ทำให้หลงตัวลืมตนได้ง่ายว่า กูเก่ง กูเก่ง จนคิดว่าตนทำผิดไม่เป็น แต่การโดนคนตำหนิจะช่วยฉุดใจเราให้กลับมาอยู่กับความเป็นจริง เห็นตัวเองว่าไม่ใช่เทวดา การมองเห็นประโยชน์ของคำตำหนิหรือคำวิพากษ์วิจารณ์ ก็ถือว่าเป็นปัญญาอย่างหนึ่ง ซึ่งทำให้ปล่อยวาง ไม่ทุกข์เพราะคำพูดเหล่านั้น


    เราจะเห็นว่าการปล่อยวางทำได้หลายวิธี เช่น สติ สมาธิ ปัญญา และไม่ใช่เอามาใช้ในยามที่มีปัญหาหรือตกอยู่ในสถานการณ์ตั้งรับเท่านั้น ไม่ใช่ปล่อยวางเมื่อของหาย สูญเสีย แต่เรายังสามารถปล่อยวางในสถานการณ์ที่เราเป็นฝ่ายรุกก็ได้ เช่น ทำงานด้วยใจปล่อยวาง ปล่อยวางอดีตและอนาคต รวมทั้งปล่อยวางผลงาน เมื่อทำงานใจก็อยู่กับงาน ทำความเพียรให้เต็มที่ มีสุภาษิตจีนกล่าวว่า “ความพยายามอยู่ที่มนุษย์ ความสำเร็จอยู่ที่ฟ้า” สุภาษิตนี้สอนให้เราทำความเพียรอย่างเต็มที่ อย่าไปกังวลหรือห่วงความสำเร็จ เพราะนั่นเป็นเรื่องของฟ้า ไม่ได้อยู่ในอำนาจของเรา พุทธศาสนาเรียกว่า เหตุปัจจัย ความสำเร็จจะเกิดขึ้นได้เพราะมีเหตุปัจจัยมากมาย ซึ่งเราควบคุมไม่ได้ตั้งเยอะแยะ แต่สิ่งหนึ่งที่เราทำได้ก็คือทำความเพียรอย่างเต็มที่ ทำปัจจุบันให้ดีที่สุด ส่วนเรื่องผลสำเร็จนั้น เราควรปล่อยวาง นี้เรียกว่าปล่อยวางผลงาน


    เหนื่อยสองอย่าง
    มีรายการทีวีหนึ่งชื่อ “พลเมืองเด็ก” เขานำเด็ก 3 คน มาทำงานด้วยกัน เพื่อดูวิธีการแก้ปัญหาของเด็กๆ คราวหนึ่งเขาให้เด็กขนของขึ้นรถไฟ รถไฟมีตารางเวลาที่แน่นอน ดังนั้นจึงต้องรีบขน บังเอิญวันนั้นมีการถ่ายทอดสดการชกของ สมจิตร จงจอหอ เด็กผู้ชายสองคนที่อยู่ในทีมทิ้งงานไปดูถ่ายทอดสด ปล่อยให้เพื่อนซึ่งเป็นผู้หญิงขนของขึ้นรถไฟอยู่คนเดียว ผู้ดำเนินรายการถามเด็กผู้หญิงว่า รู้สึกอย่างไรที่ถูกทิ้งให้ทำงานคนเดียว เด็กผู้หญิงตอบว่า เห็นใจเพื่อนสองคนนั้นเพราะเป็นแฟนของสมจิตร จงจอหอ หนูไม่ค่อยสนใจมวยเท่าไร ไม่เป็นไรก็ให้เขาไปดูมวย ได้ฟังเช่นนี้พิธีกรจึงถามแหย่ว่า หนูไม่โกรธหรือคิดจะด่าว่าเขาหรือที่ทิ้งให้หนูทำงานคนเดียว เด็กตอบว่า “หนูขนของขึ้นรถไฟหนูก็เหนื่อยอย่างเดียว แต่ถ้าหนูโกรธเขาหนูก็เหนื่อยสองอย่าง”


    เวลาเจอสถานการณ์แบบนี้เรามักจะเหนื่อยสองอย่าง คือเหนื่อยกายและเหนื่อยใจ แต่เด็กคนนี้ฉลาดคือเลือกเหนื่อยอย่างเดียว คือเหนื่อยกาย แต่ไม่เหนื่อยใจ คือทำงานของตัวให้ดีที่สุด โดยไม่บ่นก่นด่าเพื่อน นี้คือสิ่งที่เราควรทำ เมื่อได้เวลาทำงานก็ควรทำงานของตัวให้ดีที่สุด เรื่องอื่นเดี๋ยวค่อยว่ากัน อย่ามัวทำไป บ่นไป เช่น บ่นเจ้านายว่าทำไมให้งานชิ้นนี้เรา ทำไมเพื่อนทิ้งเราไป อย่างนี้เรียกว่ายังไม่ปลอ่ยวางอดีต ขณะเดียวกันก็ควรปล่อยวางอนาคต คือไม่ต้องห่วงกังวลว่าเมื่อไรจะเสร็จ ถ้าไม่บ่นเราจะมีพลังเอาไว้ทำงานอีกเยอะเลย นอกจากนี้เราต้องปล่อยวางความคาดหวังด้วย เพราะความคาดหวังเป็นเรื่องของอนาคต


    ต๋องเคยพูดไว้ว่า เมื่อเขาจะลงแข่งขันในนัดสำคัญๆ นั้น เขาจะพูดกับตัวเองว่า “นี่คือแมตช์ที่สำคัญที่สุด แต่ขณะเดียวกันก็ต้องเล่นเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ไม่มีผลกับเรา” การคิดแบบนี้ทำให้เขาเล่นด้วยใจที่ผ่อนคลาย ซึ่งมักทำให้งานออกมาดี นักฟุตบอลระดับโลกบางครั้งเตะลูกโทษไม่เข้าก็เพราะวางใจแบบนี้ไม่ได้ เวลาคิดว่าการเตะลูกโทษลูกนี้สำคัญมาก ถ้าเตะเข้าก็ได้แชมป์ ถ้าไม่เข้าก็ซวย ถูกคนด่ารอบสนาม พอคิดแบบนี้ก็มักเตะลูกโทษไม่เข้า เพราะเกร็ง ใจไม่ปล่อยวาง


    วางจากผลของงาน
    การทำงานอย่างปล่อยวางไม่ใช่การปล่อยปละละเลย เพียงแต่เป็นการไม่คาดหวังผลสำเร็จ มีความสุขในการทำงานโดยไม่ต้องรอให้งานเสร็จก่อนแล้วจึงสุข แต่เป็นความสุขในขณะที่ทำ การปล่อยวางอย่างแท้จริง ต้องปล่อยวางแม้กระทั่งความสำเร็จ คือสำเร็จก็ไม่ดีใจมาก ไม่ยินดีมาก หากไม่สำเร็จก็ไม่เสียใจมาก ดีก็ไม่เป็นไร ไม่ดีก็ไม่เป็นไร ท่านอาจารย์พุทธทาสบอกว่า “ทำงานโดยยกผลงานให้เป็นความว่าง” ท่านแนะให้ทำเต็มที่ แต่ให้ยกผลงานเป็นของความว่าง คืออย่าไปยึดว่าเป็นของเรา ถ้าเรายึดว่า ผลงานเป็นของเรา เมื่อใครวิจารณ์งาน เราก็จะโกรธเพราะคิดว่าเขาวิจารณ์เราด้วย นั่นคือ มีตัวกูรับคำวิจารณ์นั้นเต็ม ๆ จึงเป็นทุกข์


    มีเรื่องของของหมอสองคน ซึ่งเกิดขึ้นเกือบร้อยปีมาแล้ว คนไข้เป็นเด็กเร่ร่อน อายุ 12 ปี ป่วยเป็นไข้ ถูกนำตัวมาให้หมอรักษา หมอใหญ่จึงให้หมอหนุ่มป้อนยา พอหมอหนุ่มป้อนยา ยังไม่ทันจะถึงปาก เด็กก็ปัดช้อนยาทิ้ง หมอโกรธมาก นึกในใจว่าฉันอุตส่าห์ช่วยเธอ ยังมาทำอย่างนี้อีก งั้นไม่ต้องกินยาแล้วกัน แล้วเขาก็เดินออกไป เมื่อหมอใหญ่เห็นเข้า จึงมาป้อนยาเอง เด็กก็ปัดอีกแต่หมอไม่โกรธ ในการป้อนครั้งที่สองหมอใหญ่บอกว่า ยาไม่ขมหรอก กินเถอะ เด็กก็ปัดอีก หมอก็ไม่โกรธ ป้อนยาเป็นครั้งที่สามคราวนี้ ยิ้มให้ด้วย เด็กก็ปัดอีก ยาหกเลอะเทอะ แต่หมอใหญ่ก็ไม่ล้มเลิกความตั้งใจ ครั้งที่สี่นี้นอกจากยิ้มให้ก็ยังทำท่าทำทาง อ้าปาก เพื่อให้เด็กทำตาม หมอใหญ่ยอมทำตัวเหมือนเด็ก ในที่สุดเด็กก็ยอมกินยา ความแตกต่างที่สำคัญของหมอสองคนนี้คือ อัตตา กับ เมตตา หมอหนุ่มนั้นคิดว่า กูเป็นหมอนะเว้ย แต่หมอใหญ่ นึกถึงแต่เด็ก า อยากให้เด็กหาย ในใจมีแต่เมตตา มานะหรืออัตตาจึงไม่อาจครอบงำจิตใจได้


    เบื้องหลังความเป็นมาของเด็กคนนี้ก็คือเด็กเคยผิดหวังกับผู้ใหญ่บางคนมาก่อน ถูกหลอก จึงไม่ไว้ใจใคร และไม่อยากผูกพันกับใคร เพราะกลัวว่าจะผิดหวังอีก หมอใหญ่เข้าใจปัญหาเด็กเร่ร่อน จึงรู้ว่าทำไมเด็กคนนี้จึงมีพฤติกรรมก้าวร้าวแบบนี้ ความเข้าใจหรือปัญญา ทำให้หมอใหญ่มีเมตตา ไม่ถือสาเด็ก ปล่อยวางได้ และสามารถชนะใจเด็กได้ในที่สุด


    นี้เป็นตัวอย่างว่าการทำงานอย่างปล่อยวาง โดยเฉพาะการปล่อยวางอัตตา ทำให้งานสำเร็จมากกว่า งานได้ผล คนเป็นสุข ในชีวิตของเราจะต้องเจอกับเรื่องที่มากระทบมากมาย อุปสรรคเยอะแยะ สิ่งที่จะช่วยได้คือการปล่อยวาง โดยมีพื้นฐานคือ สติ สมาธิ ปัญญา


    ....................................................................
    :- https://www.visalo.org/article/D_dhammachatBumbud06.htm
    .............. EndLineMoving.gif
     
  11. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    46,869
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,043
    e6015.gif
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 พฤศจิกายน 2022
  12. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    46,869
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,043
    AllfromMind.jpg
    " กำจัดขยะชีวิต ขยะความคิด ขยะของจิตใจ " แล้วเราจะมีความสุขมากขึ้น
    เจได [ JEDI ]03 มี.ค. 2021|
    อยากประสบความสำเร็จในชีวิตมีชีวิตที่มีความสุขกายสบายใจ " เราก็ต้องรู้จักกำจัดขยะของชีวิต "

    ขึ้นชื่อว่า " ขยะ " ถ้าเราไม่ได้มีอาชีพเก็บขยะคงไม่สนใจที่จะเก็บไว้ " ขยะความคิด ขยะอารมณ์ ขยะหัวใจ ขยะจิตใจ เศษขยะ เศษซองขนม ไฟล์ขยะในโทรศัพท์ ไฟล์ขยะในคอมพิวเตอร์ล้วนเป็นสิ่งที่เราต้องการจะกด delete ทั้งนั้น

    pexels-leonid-danilov-2768961.jpg พอเก็บไว้ก็จะเต็มโต๊ะ รกห้อง รกบ้าน ความจำในโทรศัพท์มือถือเต็มก็ใช้งานไม่ได้ บ้านรกโต๊ะรก ห้องรก " ก็ทำให้หาของที่ต้องการใช้ไม่เจอเสียเวลา เสียสุขภาพกาย เสียสุขภาพจิต "

    " ขยะชีวิตของเราก็เหมือนกัน " ขยะทางความคิด ทางอารมณ์ความรู้สึกที่ไม่ดี เราต้องรู้จัก delete เสียบ้างชีวิตจะได้เบาสบายพร้อมที่จะเปิดรับสิ่งต่าง ๆ พร้อมที่จะลงมือทำสิ่งใหม่ ๆ ได้อย่างเต็มที่

    " ขยะในชีวิตของเรา " อธิบายง่าย ๆ ก็คือ " ผู้คนหรือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับเราสิ่งที่เราเห็นหรือฟังแล้วส่งผลกระทบกับความรู้สึกของเราไปในทิศทางที่ลบ
    " ทำให้เราคิดลบ มองโลกในแง่ร้าย กลัว โกรธกังวล เศร้า เสียใจไม่มั่นใจในตัวเอง " เหตุการณ์หรือผู้คนที่นำพาเราไปสู่ " ความคิดลบ " สิ่งเหล่านี้คือขยะในชีวิตของเรา

    คนที่ประสบความสำเร็จในชีวิตทุก ๆ คนรู้จักการทิ้งขยะชีวิตด้วยกันทั้งนั้น " ปิดหู ปิดตา ปิดปาก ปิดในเรื่องที่ไม่จำเป็นที่จะต้องพูด ต้องฟัง ต้องดู "

    " ดูไปก็ไม่เกิดผลดีไม่เกิดประโยชน์กับชีวิตของเรา ฟังไปก็มีแต่จะทำให้เราคิดลบ โกรธ เศร้าใจ เสียใจ พูดไปก็มีแต่เอาเรื่องเดือดร้อนเข้ามาหาตัวเราเอง "

    คนที่ประสบความสำเร็จพวกเขาเหล่านี้ " รู้จักวิธีเลือกที่จะพูด ที่จะฟังและที่จะดู " เพื่อให้ชีวิตของพวกเขาง่ายขึ้นขยะชีวิตน้อยลง
    เมื่อขยะชีวิตน้อยลงก็จะมีสมอง มีความคิด มีปัญญาเหลือเฟือที่จะคิด เพื่อที่จะลงมือทำแต่ในเรื่องที่ดี เรื่องที่มีประโยชน์ เรื่องที่จะทำให้ตัวพวกเขาเหล่านั้นเข้าใกล้ความสำเร็จมากขึ้นเรื่อย ๆ
    ประโยชน์ของการทิ้งขยะชีวิตคือ " จะช่วยให้เราไม่เหนื่อยมากเกินความจำเป็น " ช่วยให้เวลาที่เราหลับพักผ่อนได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น เต็มที่มากขึ้น " เพราะหลับสนิทไม่ฝัน ไม่มีอะไรมากวนใจ กวนสมอง "
    ช่วยทำให้เราอารมณ์ดีขึ้นสมองโปร่งคิดอะไรก็คิดออกได้ง่าย ๆ คิดได้เร็วมีแรงเริ่มต้นใหม่ในทุก ๆ วัน " พร้อมที่จะลงมือทำอะไรใหม่ ๆ ตามที่เราคิดไว้ "

    " ลองทำเป็นไม่ได้ยินบ้าง " ในบางเรื่องที่เราฟังแล้วทำให้เราคิดลบ คิดในแง่ร้าย โกรธ เสียใจและไม่มีความสุข

    " การฟังที่ดีจะช่วยให้เราประสบความสำเร็จได้ก็จริง " แต่ต้องฟังให้เป็น " บางเรื่องอาจจะฟังแค่จับประเด็นให้ได้ก็พอรายละเอียดไม่ต้อง " แต่บางเรื่องที่ต้องฟังเพื่อให้รู้จริง เพื่อให้เข้าใจจริง ๆ " อันนี้ต้องตั้งใจฟังให้ละเอียดฟังแล้วต้องคิดตาม นึกภาพตาม "

    คนที่ประสบความสำเร็จต้องเป็นคนที่คิดในแง่บวกเท่านั้น " ดั่งข้อคิดดี ๆ ของท่านว.วชิรเมธี ที่ผมเชื่อ "
    1.) เวลาที่เราเจองานหนักให้บอกตัวเองว่า " นี่คือโอกาสในการเตรียมพร้อมสู่ความเป็นมืออาชีพ ความเป็นผู้เชี่ยวชาญ "

    2.) เวลาที่เจอปัญหาซับซ้อนให้บอกกับตัวเองว่า " นี่คือบทเรียน บททดสอบที่จะสร้างให้เรามีสติปัญญา ได้อย่างดีและเร็วที่สุด "

    3.) เวลาที่เราเจออุบัติเหตุให้บอกกับตัวเองว่า " นี่คือคำเตือนให้เราจงอย่าประมาทในการใช้ชีวิตซ้ำอีกเป็นอันขาด "
    :- https://intrend.trueid.net/article/...ล้วเราจะมีความสุขมากขึ้น-trueidintrend_210617



     
  13. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    46,869
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,043
    doityourselfonly.jpg
     
  14. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    46,869
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,043
    BrookFlowing.gif
    การอยู่กับปัจจุบันคืออะไร? และเราต้องทำอย่างไรบ้าง
    Written by
    Tiger Rattana
    หลายครั้งนะครับเวลาที่เราเกิดความกังวลใจ ไม่สบายใจ หรือทุกข์ และนำความไม่สบายใจเหล่านั้นไปพูดคุยกับคนรอบข้าง เรามักจะได้รับคำพูดว่า

    “อย่าเพิ่งคิดไปก่อนสิเรื่องมันยังไม่เกิดขึ้นเลย” หรือ “อย่ากังวลเลย อยู่กับปัจจุบัน”

    เคยสงสัยกันไหมครับว่าการอยู่กับปัจจุบันมันคืออะไรกันแน่นะ มันคือการไม่คิดถึงอดีตที่ผ่านมา และไม่คาดหวังกับอนาคตที่ยังมาไม่ถึงใช่หรือไม่? ในบทความนี้เราจะมาตอบคำถามกันว่าการอยู่กับปัจจุบันคืออะไร ดีอย่างไร และ เราต้องทำอย่างไรบ้างถึงจะอยู่กับปัจจุบันได้มากขึ้น
    การอยู่กับปัจจุบันคืออะไร?
    การอยู่กับปัจจุบันคือการที่เรารับรู้และตระหนักถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในขณะนี้ ไม่วอกแวกกับการครุ่นคิดถึงเรื่องราวหรือเหตุการณ์ในอดีตหรือกังวลไปกับอนาคตที่ยังมาไม่ถึงหรือยังไม่ได้เกิดขึ้น หรือจะพูดว่าเป็นการใส่ใจและให้สมาธิกับสิ่งที่ทำอยู่ตอนนี้ก็ได้

    นอกจากตัวอย่างที่ผมให้ไปตอนต้นบทความแล้ว คำพูดที่แสดงถึงการอยู่กับปัจจุบันได้แก่

    “อย่าเพิ่งคิดถึงเรื่องที่มันยังไม่เกิด”
    “เรื่องนั้นมันเป็นอดีตไปแล้ว อยู่กับปัจจุบันนะ”
    “มันผ่านไปแล้วนะอย่าคิดมาก ลืมๆไปเถอะ”
    “อนาคตยังมาไม่ถึง อยู่กับปัจจุบันจะได้ไม่เครียด”
    ซึ่งการอยู่กับปัจจุบันเป็นกุญแจสำคัญในการมีสุขภาพที่ดีและมีความสุข ช่วยให้เราต่อสู้กับความวิตกกังวล ลดความกังวลและความครุ่นคิด ช่วยให้เรามีเหตุผลและเชื่อมโยงกับตัวเองและทุกสิ่งรอบตัวของเราได้อย่างมีสติ
    การอยู่กับปัจจุบันกลายเป็นหัวข้อยอดนิยมในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา โดยเป็นเคล็ดลับการใช้ชีวิตที่ทันสมัยที่ได้รับการสนับสนุนจากการศึกษาทางวิทยาศาสตร์มากขึ้น (นับว่าแปลกที่ถึงแม้ว่าวิทยาศาสตร์จะก้าวไปไกลแล้ว แต่สุดท้ายมนุษย์ก็ต้องกลับมาศึกษาเรื่องที่ศาสนาพุทธสอนมาหลายร้อยปีแล้ว…ซึ่งก็คือการทำสมาธิและการตั้งสติ)

    ในหัวข้อถัดไป ผมอยากพูดถึงข้อดีของการอยู่กับปัจจุบันซักนิด เพื่อให้ทุกคนเห็นภาพมากขึ้น

    ข้อดีของการอยู่กับปัจจุบัน
    การอยู่กับปัจจุบันและการใช้ความสามารถในการมีสติไม่เพียงทำให้เรามีความสุขมากขึ้นแต่ยังช่วยให้เราจัดการกับความเจ็บปวดได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ลดความเครียดและลดผลกระทบต่อสุขภาพทั้งด้านร่างกายและจิตใจของเราและพัฒนาความสามารถในการรับมือกับอารมณ์เชิงลบ เช่นความกลัว ความโกรธ ความกังวล ได้เป็นอย่างดี
    1. สุขภาพดีขึ้น

    การลดความเครียดและความวิตกกังวลจะช่วยให้เราหลีกเลี่ยงผลกระทบด้านสุขภาพที่เกี่ยวข้อง เช่น โรคความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ และโรคอ้วน

    อย่างที่เราทราบกันดีว่าความเครียดและความวิตกกังวลเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดโรคต่าง ๆ จากการศึกษาพบว่าการอยู่กับปัจจุบันมีผลต่อการใช้ชีวิตอย่างมากทั้งในด้านสุขภาพร่างกายและในด้านจิตใจก็เช่นกัน

    2. การพัฒนาความสัมพันธ์ของเรา
    คุณเคยนั่งอยู่กับใครแล้วเหมือนอยู่คนเดียวไหมครับ? ดูเหมือนร่างกายของคน ๆ นั้นจะอยู่ข้าง ๆ คุณ แต่จิตใจกลับล่องลอยไปที่อื่น การอยู่ร่วมกับคนที่ไม่พร้อมจะใช้ช่วงเวลาเหล่านั้นกับคุณ


    แน่นอนครับก็คงไม่แตกต่างอะไรกับการที่คุณอยู่คนเเดียว การที่คุณหรือคนข้าง ๆ คุณไม่ได้อยู่กับปัจจุบัน นั่นก็หมายความว่าการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันก็เป็นเรื่องยาก ในทางกลับกันหากอยู่ร่วมกับคนที่อยู่กับปัจจุบัน ให้ความสำคัญ และโฟกัสกับคนตรงหน้า เราจะสนุกกับการอยู่กับเขา และเราสามารถสร้างความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น ด้วยการใช้ชีวิตในช่วงเวลานั้นร่วมกัน
    คุณสามารถเป็นคน ๆ นั้นที่คนอื่นชอบอยู่ด้วย เพราะพื้นฐานของมนุษย์ทุกคนอยากเป็นคนสำคัญ เมื่อคนข้าง ๆ ให้ความสำคัญและโฟกัสในการใช้เวลาร่วมกันการพัฒนาความสัมพันธ์ก็เป็นเรื่องง่าย
    3. การควบคุมตนเองที่ดีขึ้น


    การอยู่กับปัจจุบันทำให้เราสามารถควบคุมร่างกาย จิตใจ และอารมณ์ได้มากขึ้น เมื่อเราใช้ชีวิตอยู่กับปัจจุบัน ลองนึกดูว่าชีวิตของเราจะดีขึ้นแค่ไหนหากไม่ได้อยู่กับความเสียใจต่อเรื่องราวในอดีตหรือความกังวลใจกับเรื่องราวในอนาคต คุณจะมีความสงบสุขมากขึ้นและมีความสุขมากขึ้นอย่างแน่นอน

    ซึ่งการอยู่กับปัจจุบันนั้นเป็นสิ่งที่ดี (คงไม่มีใครบอกว่าเป็นสิ่งที่ไม่ดีอยู่แล้ว) แต่เราจะทำอย่างไรให้เราสามารถอยู่กับปัจจุบันได้มากขึ้น โดยสิ่งที่คนส่วนมากไม่รู้เลยก็คือการอยู๋กับปัจจุบันนั้น ‘ทำได้ง่ายกว่าที่คิด’

    ทำอย่างไรถึงจะอยู่กับปัจจุบันได้มากขึ้น





     
  15. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    46,869
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,043
    (ต่อ)
    หลายคนพูดว่า “การอยู่กับปัจจุบัน อาจพูดง่ายแต่ทำยาก” บทความนี้จะชวนทุกคนมาเริ่มต้นอยู่กับปัจจุบันได้อย่าง่ายๆกัน

    1. คิดถึงอดีตและอนาคตให้น้อยลง

    ให้ทบทวนว่าเพราะอะไรเราจึงคิดถึงแต่เรื่องนั้นวนไปวนมาไม่รู้จบ แน่นอนครับว่าคงเป็นไปไม่ได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ที่เราจะไม่คิดถึงอดีตและอนาคตเลย แต่สิ่งที่อยากชวนทุกคนมาทบทวนก็คือการคิดถึงดอีตและอนาคตด้วยวิธีที่ดีต่อสุขภาพและมีความวิตกกังวลต่ำ

    เช่น การคิดถึงอนาคตว่าวันนี้ กรมอุตุนิยมวิทยาประกาศว่าอาจมีฝนตกรุนแรงจึงคิดวางแผนเตรียมอุปกรณ์สำรองไฟไว้ก่อนหากเกิดไฟฟ้าดับ ดังนั้นการคิดถึงอนาคตด้วยวิธีที่ดีต่อสุขภาพและมีความวิตกกังวลต่ำจะทำไปเพื่อที่จะเตรียมรับมือเหตุการณ์ที่อาจจะเกิดขึ้นเท่านั้น

    สำหรับมือใหม่ สิ่งที่ผมแนะนำเลยก็คือ ‘การหยุดเพื่อหายใจ’ ซึ่งก็เป็นวิธีง่ายๆที่ผมค้นพบว่าทำให้ตัวเอง ‘หงุดคิดเรื่องที่ไม่จำเป็นได้ดี’ นอกจากนั้นแล้ว เรายังสามารถหาตัวช่วยอื่น อย่างการหาเพื่อนมาช่วยเตือนสติ หรือการตั้งให้มือถือแจ้งเตือนนานๆทีเพื่อให้เราหยุดทำอะไรบางอย่าง เช่น หยุดเพื่อทำสมาธิ หรือ หยุดเพื่อตระหนักถึงความสุขเล็กน้อยรอบตัวบ้าง

    2. สังเกตตัวเองอย่างมีสติ

    หาก ‘สติ’ เป็นสิ่งที่ยังตับต้องได้ยาก เราก็สามรถเริ่มจากการจดจ่อกับ ‘กิจวัตรประจำวัน’ เพื่อเสริมสร้างการรับรู้ช่วงเวลาปัจจุบัน ซึ่งเราสามารถเริ่มต้นด้วยการดำเนินตามกิจวัตร ‘ การสังเกตตัวเอง’
    ขณะที่คุณนั่งหรือนอนลงบนเตียง หายใจเข้าลึก ๆ และมีสติสักสองสามครั้ง สังเกตวิธีที่ลมหายใจเข้าและออกจากนั้นสังเกตตัวเองโดยให้มุ่งความสนใจไปที่ส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกายในแต่ละครั้ง สังเกตว่าบริเวณนั้นรู้สึกอย่างไรและสังเกตความรู้สึกที่คุณกำลังประสบอยู่หลังจากจดจ่ออยู่ครู่หนึ่ง

    ให้เริ่มต้นที่ปลายเท้าของคุณแล้วเลื่อนขึ้นไปยังส่วนถัดไปของร่างกาย เช่น หลังจากที่คุณสังเกตที่ปลายนิ้วเท้าแล้ว คุณเปลี่ยนโฟกัสไปที่เท้า จากนั้นจึงเป็นข้อเท้า และน่องตามลำดับ

    กิจกรรมนี้ไม่เพียงแต่เป็นวิธีการที่ดีในการทำให้คุณอยู่ในสภาพที่มีสติทันที แต่ยังช่วยให้คุณสังเกตได้ว่าร่างกายของคุณมีความรู้สึกแตกต่างไปจากปกติหรือไม่ คุณอาจได้รับบาดเจ็บหรือเจ็บป่วยที่โดยปกติคุณจะไม่สังเกตเห็นเพียงแค่ใช้เวลาไม่กี่นาทีในแต่ละเช้าวันใหม่เพื่อสแกนร่างกายของคุณ
    การสำรวจร่างกายง่าย ๆ แบบนี้เป็นวิธีที่ดีในการทำให้ตัวเองมีสติและสัมผัสกับร่างกาย การทำเช่นนี้ในตอนเช้ายังสามารถช่วยให้คุณเริ่มต้นวันใหม่ได้อย่างดี

    3. เขียนไดอารี่ในตอนเช้า

    ใช้เวลาสักครู่ในตอนเช้าก่อนที่คุณจะออกไปทำงานหรือไปโรงเรียนเพื่อนำสมุดบันทึกของคุณออกมาเขียนสิ่งที่คุณจะทำในวันนี้ หรือเขียนอะไรก็ได้ที่มันอยู่ในหัวของคุณ ซึ่งจะมากเท่าไหร่ก็ได้ที่คุณรู้สึกอยากเขียน การจดบันทึกสิ่งต่าง ๆ ลงไปในสมุดสามารถทำให้หัวของคุณปลอดโปร่งและช่วยให้คุณเริ่มต้นวันใหม่ได้อย่างมีสติ

    การเขียน ‘เป้าหมายของคุณออกมา’ และ สอบถามตัวเองทุกวันว่า ‘เป้าหมายนี้สำเร็จมากแค่ไหน’ ก็เป็นหนึ่งในวิธืที่ทำให้เรา ‘จับต้องปัจจุบัน’ ได้มากขึ้น

    ‘เป้าหมาย’ เป็นวิธีการที่ยอดเยี่ยมที่ไม่เพียงทำให้คุณมีโอกาสทำตามเป้าหมายได้มากขึ้นเท่านั้นแต่ยังช่วยให้คุณมีสติมากขึ้นด้วยการฝึกการมองเห็นภาพของการบรรลุเป้าหมายไม่เพียงช่วยให้คุณปรับปรุงสมาธิและสติได้ดีขึ้นเท่านั้นแต่ยังช่วยลดความเครียด ปรับปรุงประสิทธิภาพการทำงาน เพิ่มความพร้อมและแรงจูงใจที่คุณอาจต้องใช้เพื่อทำทุกอย่างในรายการให้สำเร็จ

    4. เดินชมธรรมชาติอย่างมีสติ

    การใช้ประโยชน์จากความงดงามตามธรรมชาติรอบตัวเราเป็นอีกวิธีหนึ่งที่ดีในการปลูกฝังสติให้มากขึ้น

    ในช่วงแรกอาจจะมองว่ามันไร้สาระ เสียเวลา แต่ในครั้งต่อไปคุณจะรู้สึกว่ามันจำเป็น การเดินไม่ว่าจะเป็นการเดินทางรอบตึกหรือเดินเล่นในจุดที่สวยงามตามธรรมชาติ (เห็นได้ง่ายๆก็คือเมื่อคนเราอายุมากขึ้น เราจะรักธรรมชาติเหมือนกัน)

    สิ่งที่คุณต้องทำคือใช้ประสาทสัมผัสทั้งหมดของคุณและรับรู้ถึงสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งรอบตัวคุณและภายในตัวคุณ ตั้งใจกับการรับรู้ของคุณ สังเกตว่าเท้าของคุณกระทบพื้นในแต่ละก้าวดูทุกสิ่งรอบตัวคุณเปิดหูของคุณกับเสียงทั้งหมดที่อยู่รอบตัวคุณรู้สึกว่าหายใจเข้าและหายใจออกแต่ละครั้งและโดยทั่วไปเพียงแค่ตระหนักถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในแต่ละช่วงเวลา

    กิจกรรมนี้ไม่เพียงช่วยให้คุณเชื่อมต่อกับตัวตนที่แท้จริงของคุณเท่านั้นแต่ยังช่วยเชื่อมโยงคุณกับสภาพแวดล้อมของคุณ และช่วยเพิ่มการรับรู้ถึงความงามที่อยู่รอบตัว กิจกรรมง่าย ๆ แต่ประโยชน์มากมายเพราะจะทำให้ความเครียดลดลง สุขภาพหัวใจดีขึ้น อารมณ์ดีขึ้น และก็อาจถือว่าเป็นการออกกำลังกายได้สบาย ๆ เพียงครั้งเดียว!

    5. ทบทวนวันของคุณอย่างมีสติ

    อาจเป็นเรื่องง่ายที่เราจะรู้สึกเหนื่อยและหมดแรงในตอนท้ายของวันแล้วปล่อยให้สิ่งต่างๆหลุดลอยไป
    ลองใช้เวลาสักครู่เพื่อทบทวนวันของคุณในตอนท้ายของวัน โดยลองนึกย้อนไปเริ่มต้นตั้งแต่เช้าที่ผ่านมาของคุณไปจนถึงปัจจุบัน
    ลองคิดดูว่ามันทำให้คุณรู้สึกอย่างไร อย่าลืมจดบันทึกเหตุการณ์ที่น่าจดจำเป็นพิเศษเพื่อช่วยเก็บความทรงจำและอารมณ์ของคุณในขณะนั้น

    แน่นอนว่าการปฏิบัติตามแนวทางเหล่านี้พูดง่ายกว่าทำ แต่การฝึกฝนจะทำให้ทุกอย่างง่ายขึ้น !

    จุดสำคัญคืออย่าปล่อยให้ตัวเองจมอยู่กับความคิดเกี่ยวกับอดีตหรืออนาคตนานเกินไป เมื่อเรารู้ตัวและอยู่กับปัจจุบันเราไม่จำเป็นต้องกังวลเกี่ยวกับการจมอยู่กับความคิดในอดีตหรือความกังวลเกี่ยวกับอนาคตของเรา เราสามารถทบทวนอดีตของเราและคาดการณ์สิ่งที่จะเกิดขึ้นโดยไม่สูญเสียตัวเราเอง

    สุดท้ายนี้ ผมคิดว่า ‘การอยู่กับปัจจุบัน’ ในความหมายของหลายๆคนอาจจะไม่เหมือนกันซะทีเดียว อย่างไรก็ตาม ผมก็คิดว่าการหาความสุขจากการไม่จดจ่อกับเรื่องในอดีตหรือกังวลกับเรื่องในอนาคตมากเกินไปก็เป็นสิ่งสำคัญที่มนุษย์ทุกคนควรที่จะฝึกไว้ เพราะฉะนั้น ผมขอให้ทุกคนมีความสุขกับการเรียนรู้ที่จะอยู่กับปัจจุบันมากๆนะครับ
    ขอบฅุณที่มา :- https://faithandbacon.com/stay-in-present/
     
  16. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    46,869
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,043

    HappyNy.jpg
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 31 มกราคม 2023
  17. nilakarn

    nilakarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2011
    โพสต์:
    3,611
    ค่าพลัง:
    +3,015
    ช่วยกันเผยแพร่หน่อยนะ ธรรมะ สายตรงของ พระพุทธเจ้า






     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 มกราคม 2023
  18. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    46,869
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,043
    Pothisatava.gif
     
  19. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    46,869
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,043
    boon1.jpg
     
  20. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    46,869
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,043
    DSD02.jpg
     

แชร์หน้านี้

Loading...