เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพุธที่ ๒๕ มกราคม ๒๕๖๖

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 25 มกราคม 2023.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,394
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,530
    ค่าพลัง:
    +26,369
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพุธที่ ๒๕ มกราคม ๒๕๖๖



    picture004.png
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 27 มกราคม 2023
  2. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,394
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,530
    ค่าพลัง:
    +26,369
    วันนี้ตรงกับวันพุธที่ ๒๕ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๖๖ วันนี้กระผม/อาตมภาพมีภารกิจสำคัญก็คือ ต้องไปร่วมพิธีปิดโครงการอบรมพระสงฆ์ผู้นำหมู่บ้านรักษาศีล ๕ และพิธีเปิดการอบรมพระอุปัชฌาย์ ซึ่งเป็นรุ่นที่ตกค้างตั้งแต่พุทธศักราช ๒๕๖๓, ๒๕๖๔ และรุ่นปัจจุบันคือ ๒๕๖๕ จึงต้องเดินทางมายังวัดไร่ขิง (พระอารามหลวง)

    คราวนี้การที่มาร่วมในพิธีเปิดนั้น นอกจากมาในฐานะคณะกรรมการสอบอบรมพระอุปัชฌาย์รุ่นนี้แล้ว
    กระผม/อาตมภาพยังมาในฐานะพระสังฆาธิการเจ้าคณะปกครอง ซึ่งต้องมีหน้าที่ในการสนับสนุนการอบรม โดยเฉพาะทางคณะสงฆ์อำเภอทองผาภูมินั้น รับเป็นเจ้าภาพถวายภัตตาหารเพลแก่ผู้เข้ารับการอบรมทั้งหมด ในวันที่ ๓๑ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๖๖

    ในการอบรมพระอุปัชฌาย์นั้น แม้ว่าทางด้านมหาคณิสสรจะเข้มงวดประการใดก็ตาม ก็เป็นการเข้มงวดได้เฉพาะในการสอบอบรมเท่านั้น แต่ว่าหลังจากที่สอบผ่านไปแล้ว ก็ต้องขึ้นอยู่กับจิตสำนึกและการประพฤติปฏิบัติของผู้ที่ทำหน้าที่พระอุปัชฌาย์ทุกรูป เพราะว่าท่านทั้งหลายเหล่านั้น แม้ว่าจะผ่านการอบรมซึ่งจะเข้มงวดกวดขันขนาดไหนก็ตาม เมื่อถึงเวลาแล้ว ถ้าพ่ายแพ้ต่อ ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข ก็อาจจะอยู่ในลักษณะรับจ้างบวช ก็คือสักแต่ว่านั่งพระอุปัชฌาย์ให้ครบกฎเกณฑ์กติกาตามพระธรรมวินัย แต่ไม่ได้ทำหน้าที่ในการอบรมกุลบุตร ซึ่งตนเองต้องทำตามหน้าที่ของพระอุปัชฌาย์เลย..!

    พูดง่าย ๆ ว่า ถ้าเป็นเป็ดเป็นไก่ ก็เป็นพวกไข่แล้วทิ้ง ไม่ได้ทำหน้าที่ฟูมฟักจนกระทั่งลูกเต้าของตนเองโตมา ซึ่งแม้ว่าการฟูมฟักจนโตมา ลูกเต้าก็อาจจะมีที่นอกลู่นอกทางอยู่แล้ว แต่ในเมื่อปราศจากการฟูมฟักให้เติบโตมาในหนทางที่ถูกต้อง ก็อาจจะมีการนอกลู่นอกทางเกือบจะ ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ ดังนั้น..พระอุปัชฌาย์ ถึงแม้ว่าจะผ่านความเข้มงวดกวดขันประการใดก็ตาม สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือกำลังใจของพระอุปัชฌาย์เอง

    ในสมัยพุทธกาลนั้น องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงประทานพระบรมพุทธานุญาตเอาไว้ว่า พระเถระที่พรรษาพ้น ๑๐ รู้พระธรรมวินัยครบถ้วน อาจอบรมกุลบุตรซึ่งตนอุปสมบทให้เป็นพระภิกษุที่รู้พระธรรมวินัยและปฏิบัติตามได้ถูกต้อง ก็สามารถเป็นพระอุปัชฌาย์ให้การอุปสมบทได้ โดยพระอุปัชฌาย์รูปแรกในพระพุทธศาสนา ซึ่งให้การอุปสมบทตามวิธีที่เรียกว่า ติสรณคมนูปสัมปทานั้น ก็คือพระสารีบุตรมหาเถระ องค์อัครสาวกเบื้องขวานั่นเอง ได้ทำการบรรพชาให้แก่สามเณรราหุล ต่อมาก็ได้ให้การอุปสมบทแก่ราธพราหมณ์
     
  3. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,394
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,530
    ค่าพลัง:
    +26,369
    ต่อมาพระอุปัชฌาย์ต่าง ๆ ซึ่งได้ทำหน้าที่นั้น เมื่อสืบเนื่องมาถึงในยุคสมัยปัจจุบัน มีความย่อหย่อนลงไปมาก จึงทำให้ทางมหาเถรสมาคม ต้องกำหนดกฎเกณฑ์ว่า บุคคลที่จะเป็นพระอุปัชฌาย์ได้ ต้องผ่านการอบรมจากคณะกรรมการซึ่งกำหนดโดยมหาเถรสมาคมเท่านั้น แล้วก็ยังมีข้อกำหนดที่มีความเข้มงวดกวดขันมากขึ้น

    อย่างรุ่นของกระผม/อาตมภาพนั้น อันดับแรกเลย ต้องผ่านการอบรมในระดับอำเภอ แล้วก็มาผ่านการอบรมในสนามจังหวัด ผ่านการอบรมในสนามภาค ผ่านการอบรมในสนามหน แล้วถึงผ่านการอบรมรอบสุดท้ายระดับประเทศที่วัดสามพระยาวรวิหาร ถ้าหากว่าผ่านได้ครบถ้วนทุกระดับ จึงจะได้รับตราตั้งพระอุปัชฌาย์จากเจ้าคณะใหญ่ของตน

    ท่านทั้งหลายจะเห็นได้ว่า แม้ผ่านการอบรมที่เข้มงวดกวดขันขนาดนี้ก็ตาม ก็ยังมีพระอุปัชฌาย์ที่ละเมิดจริยาของตน ให้การอุปสมบทเพราะเห็นแก่ปัจจัยไทยธรรมอยู่ดี เรื่องทั้งหลายเหล่านี้เป็นเรื่องที่ไม่สามารถจะกำหนดตายตัวลงไปได้ ต่อให้เข้มงวดกวดขันขนาดไหน ท้ายสุดก็จะมีพวกนอกลู่นอกทางจนได้

    ถ้าหากว่าท่านทั้งหลายพิจารณาไปในสมัยพุทธกาล แม้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังทรงพระชนมชีพอยู่ ทำหน้าที่ปกครองคณะสงฆ์ โดยบัญญัติพระวินัยต่าง ๆ ออกมาให้ยึดถือและปฏิบัติ ก็ยังมีบรรดาท่านทั้งหลายที่แหกกฎแหกเกณฑ์ ไม่สนใจในเรื่องของพระธรรมวินัย โดยเป็นการที่ละเมิดทั้ง ๆ ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเป็นผู้ปกครองคณะสงฆ์อยู่..!

    ที่มีชื่อเสียงเป็นที่เลื่องลืออย่างเช่นว่า พระโลลุทายี หรือว่าพระฉัพพัคคีย์ ซึ่งประกอบไปด้วยบรรดาพระเถระต่าง ๆ ที่มีความรู้ความสามารถ แต่ว่าใช้ความรู้ความสามารถในการแหกคอกออกไป หรือว่าบรรดาพระเถระเช่นพระอุปนันทศากยบุตร ท่านทั้งหลายเหล่านี้ล้วนแต่เป็นต้นบัญญัติพระวินัยจำนวนมากต่อมากข้อด้วยกัน จนกลายเป็นที่เอือมระอาใจแก่พระเถระผู้ปกครองเป็นอย่างยิ่ง
     
  4. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,394
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,530
    ค่าพลัง:
    +26,369
    ดังนั้น..แม้ในยุคสมัยที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงพระชนมชีพอยู่ ก็ยังมีบรรดาท่านทั้งหลายแหกคอกออกไปได้จนขนาดนี้ ในยุคสมัยของเรา ซึ่งบรรดาเรื่องของศีลของธรรมในจิตในใจของบุคคลตกต่ำลงไปมาก จึงไม่ต้องสงสัยเลยว่าจะมีการแหกคอกออกไปหรือไม่ ?

    เพียงแต่ว่ากระผม/อาตมภาพนั้นได้รับการขัดเกลามาจากครูบาอาจารย์ ซึ่งก็คือพระเดชพระคุณหลวงพ่อฤๅษีฯ วัดท่าซุง ที่ท่านเข้มงวดกวดขันกับลูกศิษย์ โดยที่ตั้งความหวังเอาไว้ว่า ในเมื่อบวชเข้ามาแล้ว อย่างน้อยก็ต้องเป็นพระสุปฏิปันโน ให้ญาติโยมไหว้ได้เต็มไม้เต็มมือ ไม่เป็นผู้ที่ทำให้พระพุทธศาสนาเสียหายด้วยตนเอง

    กระผม/อาตมภาพพยายามเลียนแบบปฏิปทาของครูบาอาจารย์ ในการเข้มงวดกวดขันต่อสัทธิวิหาริกที่มาบวช โดยเฉพาะผู้ที่มาบวชที่วัดท่าขนุนนั้น ถ้าหากว่ายังไม่ถึง ๕ พรรษา จะไม่ปล่อยให้ไปอยู่ที่อื่น ท่านใดก็ตามที่ทนระเบียบวัดท่าขนุนไม่ได้ แหกคอกหนีไปก่อนได้รับอนุญาตก็จะโดนขึ้นบัญชีดำ ไม่รับกลับเข้าสังกัด ถ้าหากว่าสึกหาลาเพศไปก็ไม่รับบวชให้ใหม่ด้วย..!

    เรื่องทั้งหลายเหล่านี้นั้น พระอุปัชฌาย์อาจารย์อื่นบางทีก็บอกว่า "จะเข้มงวดกันไปถึงไหน ? สมัยนี้เรื่องพวกนี้เขาไม่ว่ากันแล้ว" แต่กระผม/อาตมภาพน้้น พยายามที่จะยึดถือตามแนวที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้วางไว้ ก็คือพระที่บวชแล้วยังไม่พ้น ๕ พรรษา พระอุปัชฌาย์อาจารย์เห็นว่ายังรู้ธรรมวินัยไม่ครบ รู้กิจวัตร วิธีวัตร อาคันตุกะวัตรไม่ครบถ้วน ก็จะไม่ปล่อยให้ได้นิสัยมุตตกะ ปล่อยให้ออกไปเผชิญโลกภายนอก

    เพราะว่าถ้าออกไปก็อาจจะสร้างความเสียหาย ทำให้พระอุปัชฌาย์อาจารย์เสียชื่อ ทำให้วัดต้องสังกัดเสียชื่อ ทำให้คณะสงฆ์เสียชื่อ และทำให้พระพุทธศาสนา ซึ่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประทานพระธรรมวินัยไว้ให้นั้นเสียหายลงไปได้

    ในส่วนนี้ต้องบอกว่าเป็นแค่การยื้อเวลาเท่านั้น ที่จะให้คณะสงฆ์ของเราเสื่อมเสียลงไปช้าที่สุดเท่าที่จะช้าได้ ซึ่งแม้แต่วันนี้ในการสัมโมทนียกถา พระเดชพระคุณพระธรรมวชิรานุวัตร, ดร. (แย้ม กิตฺตินฺธโร) เจ้าคณะภาค ๑๔ ก็ยังให้คำชมเชยต่อผู้เข้าอบรมว่า "อย่างวัดท่าขนุนมีความแม่นยำในพระธรรมวินัย จึงได้ให้มาเป็นกรรมการในการสอบอบรมพวกท่าน" เหล่านี้เป็นต้น
     
  5. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,394
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,530
    ค่าพลัง:
    +26,369
    ก็แปลว่าเรื่องที่กระผม/อาตมภาพประพฤติปฏิบัติอยู่นั้น ได้อยู่ในสายตาของเจ้าคณะปกครอง จากที่เคยเป็นแค่กรรมการสอบอบรมพระอุปัชฌาย์ในรอบอำเภอ รอบจังหวัด ตอนนี้ก็ขยับขึ้นมาเป็นกรรมการสอบพระอุปัชฌาย์ในรอบภาค ซึ่งยังไม่รู้ว่าต่อจากนี้ไปจะมีสูงไปกว่านี้หรือไม่ ? แต่ตั้งใจเอาไว้แล้วว่าจะทำหน้าที่ของตนเองให้ดีที่สุด

    ดังนั้น..บรรดาผู้เข้ารับการอบรมทั้ง ๓ รุ่น ก็คือผู้เข้าอบรมในรุ่นปี ๒๕๖๓, ๒๕๖๔ และ ๒๕๖๕ เมื่อได้รับในส่วนที่กระผม/อาตมภาพเคี่ยวเข็ญไปแล้ว ท่านทั้งหลายเหล่านี้จะสามารถนำไปใช้งานได้มากน้อยเท่าไรก็ยังไม่อาจจะรู้ได้ แต่ก็จะพยายามให้ท่านทั้งหลายเหล่านั้นได้ไปให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ การอบรมพระอุปัชฌาย์ ๓ รุ่นรวมกันแล้วเกือบ ๘๐ รูป ถ้าหากว่ามีท่านใดท่านหนึ่งนำเอาปฏิปทาแบบพระเดชพระคุณหลวงพ่อวัดท่าซุงไปใช้ได้สัก ๑ รูป กระผม/อาตมภาพก็ถือว่าคุ้มค่าต่อการทำหน้าที่แล้ว

    โดยเฉพาะทั้ง ๓ รุ่นนี้ มองไปแล้วส่วนใหญ่เป็นลูกศิษย์ที่กระผม/อาตมภาพสอนหนังสือให้ ไม่ว่าจะเป็นที่วิทยาลัยสงฆ์พุทธปัญญาศรีทวารวดี วัดไร่ขิง (พระอารามหลวง) วิทยาลัยสงฆ์สุพรรณบุรีศรีสุวรรณภูมิ วัดป่าเลไลยก์วรวิหาร ตลอดจนกระทั่งวิทยาลัยสงฆ์กาญจนบุรีศรีไพบูลย์ ที่ตำบลหนองโรง อำเภอพนมทวน จังหวัดกาญจนบุรี

    บางท่านก็เป็นเพื่อนร่วมรุ่นที่เรียนกันมาตั้งแต่สมัยประกาศนียบัตรบริหารกิจการคณะสงฆ์ ปริญญาตรี ปริญญาโท ซึ่งท่านทั้งหลายเหล่านี้ทราบดีอยู่แล้วว่า กระผม/อาตมภาพเป็นคนอย่างไร ทุกคนให้ความเกรงใจเป็นปกติ เมื่อมาซักซ้อมในการสอบอบรมให้แก่ท่านทั้งหลาย ก็หวังว่าอย่างน้อย ๆ ท่านทั้งหลายก็จะยอมรับฟังกันอยู่บ้าง

    โดยเฉพาะหลายต่อหลายท่าน ถึงขนาดมากราบฝากเนื้อฝากตัว ไม่ได้ฝากเนื้อฝากตัวในฐานะที่
    กระผม/อาตมภาพเป็นกรรมการซึ่งชี้เป็นชี้ตายได้ แต่มาฝากเนื้อฝากตัวในฐานะลูกศิษย์ที่กระผม/อาตมภาพเคยอบรมสั่งสอนมา ตอนนี้ก็ขอมาเป็นลูกศิษย์ในการอบรมพระอุปัชฌาย์อีกรอบหนึ่ง จึงเป็นเรื่องที่รู้สึกว่าไม่น่าจะต้องให้หนักใจในการทำหน้าที่ครั้งนี้

    สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
    วันพุธที่ ๒๕ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๖๖
    (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...