เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอาทิตย์ที่ ๑๒ มีนาคม ๒๕๖๖

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 12 มีนาคม 2023.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,394
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,530
    ค่าพลัง:
    +26,369
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอาทิตย์ที่ ๑๒ มีนาคม ๒๕๖๖


     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,394
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,530
    ค่าพลัง:
    +26,369
    วันนี้ตรงกับวันอาทิตย์ที่ ๑๒ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๖๖ กระผม/อาตมภาพเปิดเว็บไซต์วัดท่าขนุนขึ้นมาก็ "น้ำตาจิไหล..!" เพราะว่ามีดหมอหลวงพ่อกวยที่ตั้งใจเก็บไว้เองหายไปรวดเดียว ๓ เล่ม แต่ก็ไม่ว่ากัน เพราะว่าท่านทั้งหลายถือว่าเป็นผู้มีบุญ จึงสามารถที่จะได้ครอบครองของดีซึ่งกระผม/อาตมภาพใช้เวลาหลายปีกว่าที่จะเสาะหามาได้

    สำหรับวันนี้กระผม/อาตมภาพก็ยังกรำงานอยู่ที่ศูนย์ปฏิบัติธรรมประจำจังหวัดนครปฐมแห่งที่ ๒ ตำบลขุนแก้ว อำเภอนครชัยศรี จังหวัดนครปฐม ในฐานะรองประธานคณะพระวิปัสสนาจารย์ตามโครงการอบรมวิปัสสนากรรมฐานแก่เจ้าสำนักปฏิบัติธรรมประจำจังหวัด ในเขตปกครองคณะสงฆ์ภาค ๑๔ ซึ่งตอนนี้ทุกคนรู้แล้วว่าวิธีเรียกแขกของกระผม/อาตมภาพนั้นใช้ได้ผลดี

    แต่ว่าที่นึกไม่ถึงก็คือในระหว่างที่กำลังทำการเรียกแขกอยู่ ก็มีเสียงดังมาจากข้างหลังว่า "ท่านหยุดพูดสักครู่หนึ่งแล้วนั่งลงก่อนได้ไหมเจ้าคะ ?" เมื่อหันมาก็เจอคณะญาติโยม ๔ - ๕ คน ถามโยมว่า "มีธุระอะไรหรือ ?" โยมบอกว่า "มาถวายภัตตาหารแก่ผู้เข้าปฏิบัติธรรม ฟังท่านมาหลายวันแล้วรู้สึกชอบใจมาก เพราะว่าท่านสามารถที่จะนำเอาเรื่องราวหลากหลาย มาประยุกต์เข้ากับข้อธรรมคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แยกแยะและชี้แจงให้เห็นอย่างชัดเจน ง่ายต่อการที่จะปฏิบัติ"

    กระผม/อาตมภาพเองจึงต้องนั่งลงตามที่โยมขอร้อง แล้วญาติโยมทั้งหลายก็รวบรวมปัจจัยทั้งหมดถวายมา เป็นเครื่องบูชากัณฑ์เทศน์ รวมแล้ว ๒,๕๐๐ บาท ก็นับว่ากระผม/อาตมภาพสามารถพูดจนเป็นเงินเป็นทองได้เหมือนกัน..!

    ส่วนอีกเรื่องหนึ่งก็คือว่าวันนี้เห็นบรรดาท่านผู้เข้าปฏิบัติธรรมหลายท่านเริ่มท้อแล้ว เพราะว่าปฏิบัติมาอย่างหนักตั้งแต่วันแรก กระผม/อาตมภาพจึงได้เตือนท่านทั้งหลายเหล่านั้นว่า การที่เราจะฝ่าทะลุเพดานอะไรสักอย่างหนึ่ง เราจะต้องทุ่มเท เร่งรัดหนักหน่วงยิ่งขึ้นกว่าเดิม เพื่อที่จะได้ทะลุขีดจำกัด..!

    อย่างเช่นว่าถ้าร่างกายของเราจำกัดไว้แค่นี้ แล้วทุกครั้งเราก็ยอมหยุดแค่นี้ เราจะไม่มีวันก้าวหน้าได้เลย แต่ถ้าร่างกายบอกว่าจำกัดอยู่แค่นี้ ไปต่อไม่ได้แล้ว แต่เราฝืนไปต่อ ร่างกายที่มีสภาพจำ เมื่อฝืนต่อไปสัก ๒ ครั้ง ๓ ครั้ง ร่างกายก็จะเคยชินว่า ต่อไปต้องทำแค่นี้ เมื่อถึงตอนนั้นเราก็สามารถที่จะขยายเพดานศักยภาพของร่างกายให้มากขึ้นไปได้
     
  3. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,394
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,530
    ค่าพลัง:
    +26,369
    ในด้านของจิตใจก็เช่นเดียวกัน ในเมื่อเราต้องการที่จะฟันฝ่ากองกิเลสพ้นไปให้ได้ เราก็จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องทุ่มเทกำลังใจให้มากกว่าเดิม ถ้าหากว่ากำลังใจของท่านสามารถทุ่มเทได้ชนิดที่ไม่เห็นแก่ชีวิต พร้อมที่จะเอาชีวิตเข้าแลก ท่านก็สามารถที่จะทะลุข้อจำกัดของร่างกายและจิตใจไปได้ ก็แปลว่าท่านจะมีความก้าวหน้าในการปฏิบัติธรรมยิ่งขึ้น สภาพร่างกายและจิตใจมีความอดทนอดกลั้นต่อความยากลำบากยิ่งขึ้น ทำให้โอกาสที่เราจะเข้าถึงมรรคถึงผลมีมากขึ้นไปด้วย

    เหมือนอย่างกับคนสองคนชกมวยกันอยู่ ต่างคนต่างก็หมดแรงแล้ว แต่ว่าอีกคนหนึ่งยังคงกัดฟันเดินหน้าอย่างชนิดที่ไม่คิดจะถอยหลัง ก็ย่อมทำให้คู่ต่อสู้ที่หมดแรงเช่นกัน คิดว่าอีกคนยังมีกำลังเหลืออยู่ ถ้าไม่ใช่ว่าต้องถอยร่นไป ก็อาจจะถึงขนาดจะถอดใจพ่ายแพ้ไปได้เลย

    เรื่องนี้กระผม/อาตมภาพมีตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดก็คือตนเองกับพระครูแสง (ท่านพระครูธรรมธรแสงชัย กนฺตสีโล) เนื่องจากว่าเป็นพี่น้องที่คลานตามกันมา จึงทำให้ทำอะไรหลายอย่างใกล้เคียงกันหมด แต่ว่าเมื่อมาถึงในช่วงที่กระผม/อาตมภาพทุ่มเทให้กับการฝึกกรรมฐานแบบเอาเป็นเอาตาย พระครูแสงท่านกลับไปเพาะกาย มีการกินนมทีละ ๒ ลิตร กินไข่ทีละ ๑๒ ฟอง เป็นต้น ทำให้ท่านมีร่างกายที่ใหญ่โตกว่ากระผม/อาตมภาพเกือบครึ่งหนึ่ง..!

    แต่พอถึงเวลาลงนวมซ้อมมวยด้วยกันทีไร แม้ว่ากระผม/อาตมภาพโดนเจ็บแค่ไหน แต่ว่ากัดฟันเดินใส่อยู่ตลอดเวลา จนกระทั่งท้ายที่สุด พระครูแสงก็ต้องบอกว่า "ไม่เอาแล้ว ยอมแล้ว" ในลักษณะอย่างนี้นั้น ถ้าหากว่าอีกฝ่ายหนึ่งเหวี่ยงมาอีกสักหมัดสองหมัด กระผม/อาตมภาพเองนั่นแหละที่จะแพ้ เพราะว่าอีกฝ่ายหนึ่งร่างกายใหญ่โตกว่า แข็งแรงกว่า ฮุกมาทีกระผม/อาตมภาพถึงขนาดลอยทั้งตัว เพียงแต่เดินใส่แบบไม่กลัวเจ็บ ไม่กลัวตาย จึงทำให้พระครูแสงต้องถอดใจยอมแพ้ไปเอง

    เรื่องของการปฏิบัติธรรมก็เช่นกัน เราจะฝ่าทะลุขีดจำกัดของตนเอง ก้าวขึ้นไปสู่ในระดับที่สูงกว่าได้ ก็ต้องฝืนร่างกายและจิตใจ ทุ่มเทให้มากขึ้น ไม่เช่นนั้นแล้วกิเลสที่มีมายามากก็จะบอกว่า "ไม่ไหวแล้ว ไม่ไหวแล้ว" เราก็จะไปเชื่อกิเลสเสียทุกที
     
  4. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,394
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,530
    ค่าพลัง:
    +26,369
    ส่วนอีกข้อหนึ่งก็คือว่า กระผม/อาตมภาพเห็นผู้เข้าปฏิบัติธรรมส่วนใหญ่ กำลังพยายามที่จะทุ่มเทให้ได้อย่างที่กระผม/อาตมภาพบอก จึงได้ให้เคล็ดลับกับท่านทั้งหลายเหล่านั้นไปว่า ถ้าหากว่าท่านอยากพ้นจากกองทุกข์เข้าสู่พระนิพพาน ท่านจะไม่มีวันพ้นเลย เพราะว่าท่าน "อยากพ้น" ทำอย่างไรที่ท่านจะลืมความอยากนั้นเสีย แล้วตั้งหน้าตั้งตาพินิจพิจารณาข้อธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้ารู้แจ้งเห็นจริงและยอมรับตามนั้น ถึงท่านจะอยากหรือไม่อยาก ท่านก็สามารถที่จะก้าวพ้นไปได้

    โดยเฉพาะท่านทั้งหลายต้องเข้าใจความจริงอย่างหนึ่งว่า กิเลส รัก โลภ โกรธ หลง เป็นสมบัติของร่างกายนี้ ทุกคนมีอยู่อย่างครบถ้วนสมบูรณ์ เพียงแต่ว่าถ้าเราไม่ไปนึกคิดปรุงแต่ง กิเลสก็ไม่สามารถที่จะทำอันตรายแก่เราได้

    กระผม/อาตมภาพเคยเปรียบเทียบมานักต่อนักแล้วว่า เหมือนกับเราลวกก๋วยเตี๋ยวใส่น้ำเปล่า ก็ไม่มีใครอยากที่จะกิน แต่เราเปลี่ยนจากน้ำเปล่าไปเป็นน้ำซุป มีการใส่หมูสับ ใส่ตังฉ่าย ใส่ต้นหอมสับ ใส่กุ้งแห้ง ใส่ถั่วลิสงป่น ใส่พริกป่น ใส่น้ำตาล ใส่น้ำปลา ใส่น้ำส้มสายชู ยิ่งปรุงก็ยิ่งอร่อย เมื่ออร่อยเรากินแล้วก็อยากกินอีก

    ดังนั้น..ถ้าหากว่าเราไม่มีการปรุงแต่ง รัก โลภ โกรธ หลง ต่าง ๆ ก็ไม่มีรสชาติ เราเองก็จะเบื่อหน่าย ถอนจิตออกมาเองโดยอัตโนมัติ การที่เราจะไม่ปรุงแต่งก็คือ หยุดการคิดให้ได้ เพราะว่าคิดเมื่อไรก็ปรุงแต่งเมื่อนั้น

    การที่เราจะหยุดความคิดได้ ในเบื้องต้นก็คือต้องอยู่กับปัจจุบัน เพราะว่าความคิดของเรานั้น ถ้าไม่ไปในอดีตก็จะไปในอนาคต ก็จะไปยึดติดห่วงหาอาลัยกับอดีต หรือไม่ก็จะไปยึดติดด้วยการฝันเฟื่องถึงอนาคต เราต้องอยู่กับปัจจุบันด้วยสติรู้ตัวสมบูรณ์พร้อม ก็จะสามารถหยุดการปรุงแต่งทั้งปวงลงได้

    การที่เราจะมีสติ อยู่กับปัจจุบันตรงหน้าได้ ก็คือการที่เราเอาความรู้สึกทั้งหมดตามลมหายใจเข้าไป ตามลมหายใจออกมา ให้สภาพจิตอยู่แค่นี้ ก็จะไม่มีการปรุงแต่งไป รัก โลภ โกรธ หลง กิเลสทั้งหลายก็จะดับลงชั่วคราว ถ้าเราสามารถที่จะรักษากำลังใจให้ต่อเนื่องยาวนานไปได้ กิเลสไม่สามารถที่จะเกิดได้ ท้ายสุดก็จะหมดกำลัง ตายไปเอง เรียกว่าการบรรลุมรรคผลแบบเจโตวิมุติ คือใช้กำลังใจในการกดข่มกิเลสจนกระทั่งหลุดพ้นได้
     
  5. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,394
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,530
    ค่าพลัง:
    +26,369
    หรือว่าท่านทั้งหลายพินิจพิจารณาว่า ร่างกายนี้ก็ดี รัก โลภ โกรธ หลง ทั้งหลายก็ดี ก่อทุกข์ก่อโทษให้เรามานานกัปกัลป์อนันตชาติแล้ว ถ้าหากว่าเราเกิดมามีร่างกายเช่นนี้อีก เราก็ประสบกับความทุกข์ยากลำบากเช่นนี้อีก ชาติแล้วชาติเล่าไม่รู้จักจบจักสิ้น เราควรที่จะพอ ควรที่จะเข็ดได้หรือยัง ?

    ถ้าหากว่าเราพอแล้ว เราเข็ดแล้ว เราก็ไม่พึงปรารถนาการเกิดมามีร่างกายนี้อีก ไม่พึงปรารถนาการเกิดมาในโลกที่ทุกข์ยากเร่าร้อนเหล่านี้อีก เราก็ถอนกำลังใจของเราออกมาจากการยึดเกาะในร่างกายของตนเอง จากการยึดเกาะในร่างกายของคนอื่น จากการยึดเกาะในร่างกายของสัตว์อื่น จากการยึดเกาะในสรรพสิ่งทั้งปวง เราก็สามารถที่จะหลุดพ้นจากกองทุกข์เข้าสู่พระนิพพานได้

    ถ้าเป็นลักษณะนี้ เรียกว่าการบรรลุมรรคผลด้วยปัญญาวิมุติ ก็คือใช้ปัญญาพินิจพิจารณา จนสภาพจิตยอมรับซึ่งความเป็นจริงเหล่านั้น แล้วปล่อยการเกาะเกี่ยวยึดติดทั้งปวง ก็สามารถที่จะก้าวล่วงจากกองทุกข์เข้าสู่พระนิพพานได้

    นับว่าวันนี้กระผม/อาตมภาพเทให้ชนิดหมดกระเป๋า ได้แต่หวังว่าบรรดาผู้เข้าปฏิบัติธรรมงวดนี้ทั้ง ๑๑๒ รูป ตลอดจนกระทั่งบรรดาท่านทั้งหลายที่ฟังอยู่นั้น จะมีใครสามารถเข้าใจและพยายามทำตามในสิ่งที่กระผม/อาตมภาพได้บอกกล่าวไปแล้ว เพื่อที่ท่านทั้งหลายจะได้ชื่อว่าเป็นผู้ดื่มซึ่งอมตรส คือพระธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วถ้าหากว่าท่านทั้งหลายสามารถทำได้จริง ๆ ก็จะหลุดพ้นจากกองทุกข์เข้าสู่พระนิพพานได้

    สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
    วันอาทิตย์ที่ ๑๒ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๖๖
    (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...