เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันจันทร์ที่ ๑ พฤษภาคม ๒๕๖๖

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 2 พฤษภาคม 2023.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,394
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,530
    ค่าพลัง:
    +26,369
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันจันทร์ที่ ๑ พฤษภาคม ๒๕๖๖


     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,394
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,530
    ค่าพลัง:
    +26,369
    วันนี้ตรงกับวันจันทร์ที่ ๑ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๖๖ กระผม/อาตมภาพบันทึกเสียงธรรมจากวัดท่าขนุนนี้ ที่โรงแรม Pangong Sarai แคว้นลาดัก ประเทศอินเดีย ซึ่งเขาให้พวกเราพักในกระโจมแบบมองโกล ที่เรียกว่า "เกอร์" อากาศตอนนี้ลบ ๒ องศาเซลเซียส แต่ว่าเจ้าแม่นภิสราเทวีและบรรดาเจ้าที่เจ้าทางทั้งหลาย ต่างก็รับปากไว้แล้วว่าจะหอบความชื้นมาให้มาก ๆ อากาศจะได้ไม่หนาวอย่างที่พยากรณ์เอาไว้

    สำหรับวันนี้ กระผม/อาตมภาพตื่นขึ้นมาที่โรงแรม Trikaya Hotel ตั้งแต่เช้ามืดเช่นเดิม รู้สึกอุ่นสบายมาก แม้แต่ผ้าห่มหรือว่าเตียงของทางโรงแรมก็แทบจะไม่ได้ใช้ อาศัยผ้าห่มต่างหากที่เขาให้มา ๑ ผืน กับฮีตเตอร์เครื่องหนึ่งที่เปิดเอาไว้ ก็นอนหลับสบาย ไร้กังวล

    เมื่อได้เวลาก็จัดการล้างหน้า แต่งตัว แล้วลงไปช่วยกันนั่งกดดันที่ห้องอาหารของโรงแรม เพราะว่าโดยปกติแล้ว ทางด้านโรงแรม Trikaya Hotel แห่งนี้ เขาจะเปิดให้รับประทานอาหารเช้าตอน ๘ โมง เหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่าช่วงเช้าอากาศหนาวจัดมาก ทำให้ต้องรอจนกระทั่งมีแสงแดดขึ้นก่อน คนที่นี่ถึงจะได้ขยับขยาย ทำมาหากินกันตามปกติ

    แต่เนื่องจากว่าพวกเราต้องเดินทางไกลถึง ๒๒๕ กิโลเมตร เพื่อไปยังทะเลสาบพันกอง ซึ่ง ๒๒๕ กิโลเมตรนี้ ถ้าหากว่าเป็นถนนบ้านเราก็วิ่งถึงภายใน ๒ ชั่วโมงเท่านั้น แต่ว่าที่นี่เขาจำกัดความเร็วอยู่ที่ ๔๐ กิโลเมตรต่อชั่วโมง แล้วด้วยความที่ถนนไม่ดี หลายต่อหลายตอนก็เป็นถนนลูกรัง กระโดกกระเดก เขย่าจนกระดูกกระเดี้ยวมีกี่ชิ้นแทบจะหลุดออกมาหมด ทำให้เป็นการจำกัดความเร็วไปโดยอัตโนมัติ ถึงได้ต้องใช้เวลาประมาณ ๖ ชั่วโมง

    พวกเราวิ่งกลับมาในตัวเมืองลาดัก แวะร้านขายยาเพื่อหาซื้อออกซิเจนกระป๋องสำหรับผู้ที่แพ้ที่สูง แต่กระผม/อาตมภาพบอกว่าให้ซื้อทุกคน เขามีอยู่ ๒ ขนาด คือขนาดที่กดได้ ๑๕๐ ครั้ง ราคาประมาณ ๕๕๐ รูปี แบบที่กดได้ ๒๕๐ ครั้ง ราคาประมาณ ๗๐๐ รูปี ซึ่งลูกปุ๊ก (นางสาวสุมาลี ตีรเลิศพานิช) นั้น ค่อนข้างจะประมาท บอกว่า "เอาขวดเล็กก็พอ" แถมยังไปต่อราคาเขาอีก

    กระผม/อาตมภาพบอกว่า "อย่าได้ประมาท ถ้าหากว่าอยู่ในสถานที่จำเป็นแล้ว ออกซิเจนทุกช็อตที่เราพ่นใส่ตนเองนั้น สามารถพาให้เรารอดชีวิตไปได้ เรื่องแบบนี้อย่าได้เอาชีวิตตัวเองไปต่อรองกับเงินแค่ไม่กี่สตางค์..!"
     
  3. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,394
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,530
    ค่าพลัง:
    +26,369
    เมื่อได้ออกซิเจนมาจนครบถ้วนกันทุกคนแล้ว พวกเราก็เดินทางเพื่อที่จะตรงไปทางด้านทะเลสาบพันกอง แต่ว่าถนนสายนี้สามารถวิ่งทะลุไปถึงเมืองมนาลีและเมืองธรรมศาลาในรัฐหิมาจัลประเทศ ที่องค์ดาไลลามะองค์ที่ ๑๔ ได้ไปเช่าจากประเทศอินเดีย สร้างเป็นชุมชนชาวทิเบตเอาไว้

    พวกเราจะเจอด่านตรวจเป็นระยะ ๆ ไป เหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่าแถวนี้เป็นพื้นที่อ่อนไหว เนื่องจากว่าเป็นพื้นที่คาบเกี่ยวระหว่างประเทศจีนและอินเดีย ซึ่งต่างก็เป็นประเทศมหาอำนาจ ไม่มีใครยอมใคร ทำให้ต้องตรวจตรากันเข้มงวดมาก

    แต่ว่าพวกเราไปยังไม่ทันจะเท่าไร พี่มุกดา (นางสาวมุกดา เพชรชื่นสกุล) ก็น็อกเป็นคนแรก ทั้ง ๆ ที่พื้นที่แถวนี้เพิ่งจะ ๓,๗๐๐ เมตรเศษเท่านั้น ทำให้ต้องกอดถังออกซิเจนใหญ่ซึ่งทางรถมีติดไว้ทุกคัน หายใจจนกว่าอาการจะดีขึ้นจึงได้เดินทางต่อไป ทำให้กระผม/อาตมภาพดุทุกคนว่า "การที่เราเจ็บไข้ได้ป่วยไม่ใช่เรื่องของการเสียหน้า ไม่ใช่เรื่องของการต้องรักษาภาพพจน์ ให้รีบบอกโดยเร็วที่สุด เพื่อจะได้ช่วยกันแก้ไข ไม่เช่นนั้นแล้วเรานั่นแหละ..ที่จะเป็นตัวถ่วงทีมของเราไม่ให้ไปถึงไหน"

    ระหว่างทางนั้น เราก็ผ่านสถานที่สำคัญ คือพระราชวัง Shey ซึ่งเป็นพระราชวังของมหาราชาที่ปกครองทางด้านลาดักแห่งนี้ ก่อนที่จะย้ายไปยังเมืองลาดักอย่างถาวร เรามีโปรแกรมจะแวะเที่ยวสถานที่นี้ในขากลับ แล้วต่อไปก็เป็นวัด Chemray Gompa ซึ่งดูจากสายตาเป็นที่วัดใหญ่โตมโหฬาร ประมาณหมู่บ้านใหญ่ ๆ เลย สถานที่เหล่านี้นั้นน่าสนใจมาก แต่ว่าเราไม่มีโอกาสได้แวะ เพราะว่าเราต้องรีบเดินทางไปให้เร็วที่สุด เนื่องจากไม่สามารถที่จะทราบได้ว่า อนาคตนั้นจะเป็นเช่นไร

    รถยนต์ของเราค่อย ๆ วิ่งสูงขึ้นไปตามลำดับ สถานที่ซึ่งสูงที่สุดในวันนี้ ความสูงอยู่ที่ ๕,๒๗๕ เมตร ซึ่งรถของเราสองคันก็ผลัดกันนำผลัดกันตาม เนื่องเพราะว่าถนนเป็นลูกรัง ใครอยู่ข้างหลังก็ได้กินฝุ่นกันอิ่มหน่อย..! เห็นบรรดาเจ้าหน้าที่นั้นก็มาจัดการย้ายหินถล่มออกไปบ้าง ทำการซ่อมแซมเส้นทางอยู่บ้าง

    แต่ว่าเมื่อมองไปแล้วก็ใจหาย เพราะว่าจุดสูงสุดของถนนที่สายตามองเห็นนั้น เกือบจะสูงเท่ายอดเขาหิมะอยู่แล้ว พวกเราจึงต้องสลับกันวัดออกซิเจนในเลือดว่ามีมากน้อยเท่าไร แต่ที่น่าตกใจก็คือบางคนเหลือแค่ ๔๐ กว่าเท่านั้น จึงต้องผลัดกันดมออกซิเจนถังใหญ่ จนกว่าออกซิเจนในเลือดจะมากกว่า ๘๐ เปอร์เซ็นต์จึงจะปล่อยให้ผ่านไปได้
     
  4. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,394
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,530
    ค่าพลัง:
    +26,369
    จนกระทั่งเวลาประมาณ ๑๑ โมงของทางประเทศอินเดีย พวกเราก็มาถึงจุดสูงสุดซึ่งเป็นจุดที่มีทั้งร้านกาแฟ และมีสถูปสร้างไว้เป็นเครื่องหมาย พวกเราตรงไปเข้าห้องน้ำของทางร้านกาแฟเสียก่อน เพราะว่าอั้นกันมานานมาก เนื่องจากว่าอากาศถึงขนาดลบ ๒ ลบ ๓ องศาเซลเซียส แต่เนื่องจากพวกเราอยู่ภายในรถจึงไม่ค่อยรู้สึกอะไร แต่ว่าร่างกายของเรายังคงทำหน้าที่อย่างซื่อสัตย์ เพียงแต่ว่าเมื่อลงไปแล้วก็ต้องค่อย ๆ ย่องไปต่อคิว เดินเร็วไม่ได้ เนื่องจากว่าถ้าเดินเร็วเมื่อไร เราเองก็อาจจะถึงกับล้มทั้งยืน เพราะว่าขาดออกซิเจนก็เป็นได้..!

    พวกเราแม้ว่ามือไม้หนาวไปหมด แทบจะหายใจไม่ไหว แต่ก็ยังอุตส่าห์ไปจับกลุ่มถ่ายรูปหมู่กันบริเวณหน้าสถูป แล้วทิดเฟิร์ส (นายบัณฑิต เอี่ยมตระกูล) กับทิดดอย (นายภาณุพงศ์ วังประภา) ก็ตาไว เห็นพระอาทิตย์ทรงกลด ทั้ง ๆ ที่ ฟ้าใสแจ๋วอยู่ข้างบน

    เมื่อสอบถามเจ้าแม่นภิสราเทวีแล้ว ท่านบอกว่า "ข้างบนช่วยกันแสดงออกเพื่อต้อนรับท่านลามะล็อบซัง ดอร์เจ ดรุกยุน กยัตโซ" อาตมภาพก็ได้แต่โมทนา นึกคาราวะองค์ลามะท่าน ตลอดจนกระทั่งเทิดคุณของพระรัตนตรัยไว้เหนือเศียรเหนือเกล้า แล้วพวกเราก็ขึ้นรถผลัดกันดมออกซิเจนไป ต้องช่วยกันดูแลเป็นระยะ ๆ

    จนกระทั่งเวลาผ่านไปเป็นชั่วโมงคณะของเราจึงได้หยุดลง เพื่อที่จะรับประทานอาหารที่โรงแรม โดยเข้ารับประทานอาหารเพลกันที่ โรงแรม Pangong Residency ซึ่งอยู่ที่เมืองกัสเซ่ เมื่อพวกเราเข้าไป ปรากฏว่าเขายังเตรียมอาหารไม่พร้อม เมื่อพร้อมกระผม/อาตมภาพก็ตักเอาอาหารไปนั่งฉัน กำลังจะอิ่มอยู่แล้ว มีโยมเดินมาบอกว่า อาหารนี้เป็นของนักท่องเที่ยวกลุ่มอื่น ไม่ใช่ของเรา แต่ว่าบอกช้าจนเกินไป เพราะว่ากระผม/อาตมภาพกวาดลงท้องเรียบวุธไปแล้ว..!

    เมื่อรอจนกระทั่งอาหารของเรามาถึง กระผม/อาตมภาพจึงไปตักน้ำข้าวต้มมา ๒ ถ้วย เพื่อที่จะซดเพิ่มความอบอุ่นให้แก่ร่างกาย แล้วก็เป็นปกติของทางเอ็น ซี ทัวร์ ที่เตรียมอาหารไทยมาด้วย มีทั้งกุนเชียง มีทั้งหมูรวนเค็ม เพื่อที่จะให้กินกับข้าวต้ม แต่เนื่องจากว่าอากาศเย็นจัดมาก จึงกลายเป็น "หมูหิน" ไปหมด หลังจากที่อิ่มเรียบร้อยแล้ว พวกเราก็เข้าคิวกันเข้าห้องน้ำของทางโรงแรม Pangong Residency เพราะว่าหน้าตาดูดีกว่าส้วมหลุมของร้านกาแฟ Changla Cafeteria เป็นอย่างยิ่งทีเดียว
     
  5. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,394
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,530
    ค่าพลัง:
    +26,369
    พวกเราวิ่งไปทางถนนสายลาดัก-พันกอง ซึ่งเป็นทางลูกรังสูง ๆ ต่ำ ๆ เขย่าจนกระทั่งกระดูกทุกชิ้นอยู่ที่ไหนก็รู้หมด ผ่านไปประมาณ ๔๕ นาที ปรากฏว่านาย Tsering Joldan ซึ่งเป็นพลขับนั้นได้จอดแล้วถอยหลังไปค่อนข้างจะไกล กระผม/อาตมภาพไม่อยากลงจากรถ แต่ว่าคุณลุงกระตือรือร้น ช่วยกวักมือเรียกจึงลงไป ปรากฏว่าเจอไอ้อ้วน (Himalayan Marmot) ซึ่งเป็นกระรอกดินชนิดหนึ่ง ออกมาโบกมือขออาหารอยู่ข้างทาง กระผม/อาตมภาพจึงนำเอาช็อกโกแลตและกล้วยตากแบ่งปันให้เจ้าอ้วนกิน ขณะที่ทุกคนรุมถ่ายทั้งภาพนิ่งและภาพเคลื่อนไหว

    เมื่อนักท่องเที่ยวอื่น ๆ เห็น ต่างกันต่างก็หยุดรถลงมาออกันเต็มถนนไปหมด ดูกระผม/อาตมภาพเลี้ยงจนเจ้าอ้วน0นอิ่ม เมื่ออิ่มแล้ว ขออุ้มก็เล่นตัว วิ่งไปหาคนอื่นว่ายังมีอาหารอะไรให้อีกหรือไม่ กระผม/อาตมภาพจึงได้บ๊ายบาย ได้แต่อวยพรให้หากินได้อิ่มปากอิ่มท้อง แต่ว่านี่พ้นช่วงฤดูหนาวแล้ว ก็ไม่น่าจะยากลำบากนัก แล้วพวกเราก็ขึ้นรถมาสูดออกซิเจนจนกระทั่งในสายเลือดมีเกิน ๘๐ เปอร์เซ็นต์ จึงพร้อมเดินทางเขย่ากันต่อไป

    ถนนสายที่พวกเราวิ่งไปนั้นเป็นถนนสายยุทธศาสตร์สำคัญ รัฐบาลอินเดียจึงส่งคนมาเร่งสร้าง แต่ว่าน่าสงสารที่ท่านทั้งหลายเหล่านี้ต้องมากางเต็นท์สู้ลมหนาว แต่ละคนทั้ง ๆ ที่ทำงานอยู่กลางแดดเปรี้ยง ๆ ก็ใส่ทั้งเสื้อกันหนาว เสื้อกันลม กางเกงหนาเตอะกันทุกคน แต่ว่าพวกเราก็ได้แต่อนุโมทนากับเขาทั้งหลาย แล้วก็วิ่งกันต่อไป

    บางช่วงนั้นแม่น้ำทั้งสายกลายเป็นน้ำแข็ง ทำให้นักท่องเที่ยวคณะอื่นพากันลงไปเดินเล่นและถ่ายรูปเอาไว้ แต่กระผม/อาตมภาพนั้นไม่ได้ใส่ใจ เพราะว่าเร่งจะไปให้ถึงทะเลสาบพันกองให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ จนกระทั่งเวลาประมาณบ่าย ๓ โมงครึ่ง พวกเราก็มาวิ่งอยู่บนทะเลสาบขนาดใหญ่ แต่ว่าแห้งจนเหลือเพียงพื้นทรายเท่านั้น และทางรัฐบาลอินเดียยังเอาไว้เป็นที่ปักเสา เดินสายไฟฟ้าให้แก่บ้านเมืองต่าง ๆ ทางปลายทางอีกด้วย

    เมื่อวิ่งไปจนกระทั่งเวลาประมาณบ่าย ๓ โมงครึ่ง ทะเลสาบสีฟ้าเทอร์ควอยซ์ก็ปรากฏแก่สายตา พวกเราวิ่งเลียบทะเลสาบไปไกลมาก เพราะว่าทะเลสาบพันกองนั้นมีความยาวนับร้อยกิโลเมตร สามารถแบ่งออกเป็นทะเลสาบ ๕ แห่งด้วยกัน แต่ว่าเมื่อถึงหน้าน้ำ ทุกแห่งก็จะเชื่อมเข้าหากัน และเรียกว่าทะเลสาบพันกองเหมือนกัน
     
  6. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,394
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,530
    ค่าพลัง:
    +26,369
    ไปจนกระทั่งถึงจุดชมวิวตอนเวลาประมาณ ๑๕.๔๕ น. ลุง Tsering Joldan ขออภัย..นามสกุลอาจจะอ่านผิด ก็จอดให้พวกเราถ่ายรูปในมุมที่สวยที่สุด ซึ่งเมื่อพวกเราแบ่งไปเป็นตากล้องก็ทำให้ขาดคนในคณะ หรือว่าในรูปหมู่ไป กระผม/อาตมภาพตะโกนบอกไกด์ท้องถิ่น คือนายเท็นซิน โซนัม บอกว่าให้ปีนหลังคารถตู้ ซึ่งมีบันไดอยู่ขึ้นไป เพื่อที่จะถ่ายรูปหมู่โดยที่ไม่บังทะเลสาบทางด้านหลัง แต่นายเท็นซินทำเป็นหูทวนลม..!

    กระผม/อาตมภาพจึงให้น้องเล็ก (นางสาวจิราพร ซื่อตรงต่อการ) ซึ่งทุกครั้งที่ลงจากรถ คนอื่นขึ้นรถไปแล้ว วัดออกซิเจนในเลือดก็จะอยู่ที่ ๔๐ กว่าบ้าง ๕๐ กว่าบ้าง แต่ของน้องเล็กอยู่ที่ ๙๐ กว่าเสมอ จนถูกแซวว่าน่าจะเป็นมนุษย์คนละสายพันธุ์กัน ครั้งนี้จึงให้น้องเล็กปีนหลังคาขึ้นไปถ่ายรูปหมู่ให้กับพวกเรา

    เมื่อถ่ายรูปหมู่เสร็จสรรพเรียบร้อย พวกเราก็ขึ้นรถ วิ่งต่อไป เป็นการเลียบทะเลสาบระยะยาว โดยที่ผลัดกันดมออกซิเจนไปเพื่อความไม่ประมาท แม้แต่กระผม/อาตมภาพเองก็ทำเช่นนั้น เพราะว่าถ้าหากสมองบวมขึ้นมา ก็จะกลายเป็นเรื่องใหญ่ทันที..!

    จนกระทั่งเวลา ๔ โมงเย็นของประเทศอินเดีย คุณลุง Tsering Joldan ซึ่งตอนนี้มั่นใจแล้วว่าอ่านชื่อถูกแน่นอน ก็ได้เลี้ยวรถเข้าไปบริเวณที่ถ่ายภาพได้สวยที่สุด ปรากฏว่ามีรถอยู่หลายสิบคัน มีบ้านพักลักษณะโรงแรมและเกสต์เฮ้าส์อยู่เป็นร้อย เพื่อให้พวกเราลงไปถ่ายรูปกัน ก็เป็นเรื่องแปลกที่ว่า จากที่จอดรถเดินไปจนกระทั่งถึงชายฝั่งทะเลสาบพันกองนั้น น่าจะอยู่ที่ประมาณครึ่งค่อนกิโลเมตร แต่กระผม/อาตมภาพไม่รู้สึกเหนื่อยเลย แต่เมื่อกลับมาถึงรถยนต์เป็นคนแรก ก็จัดการดมออกซิเจนเสียก่อน

    เมื่อคนอื่นตามขึ้นมา โดยเฉพาะคุณยายภัทริณ จันทรนิภาพงศ์ ซึ่งอายุ ๘๒ ปี และคุณนวลจันทร์ เพียรธรรม เจ้าของผู้ก่อตั้งเอ็น ซี ทัวร์ อายุ ๘๑ ปี เดินตามขึ้นมาแบบที่ภาษาวัยรุ่นว่า "ชิลล์มาก" จึงได้ถามว่าอายุเท่าไรแล้วจ๊ะ ? คุณนวลจันทร์บอกว่า "๑๘ เจ้าค่ะ" ส่วนคุณยายภัทริณบอกว่า "๒๘ ค่ะ" เป็นการอ่านอายุกลับหลังกันทั้งหมด แต่ก็เป็นเรื่องที่น่าอัศจรรย์มาก
     
  7. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,394
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,530
    ค่าพลัง:
    +26,369
    จนกระทั่งคุณเอ (นายฉัตตริน เพียรธรรม) กรรมการผู้จัดการบริษัทเอ็น ซี ทัวร์ ในปัจจุบันนี้ปรารภว่า "คุณแม่ก็น่าจะเป็นมนุษย์อีกสายพันธุ์หนึ่งเหมือนกับคุณน้องเล็กเช่นกัน แต่ผมไม่ได้ดีเอ็นเอของแม่มาเลย ไปที่ไหนก็ลำบาก" แต่ว่าครั้งนี้สามารถทำลายสถิติของตนเอง ที่ว่าเกิน ๒,๗๐๐ เมตร ขึ้นมาจนถึง ๕,๕๐๐ กว่าเมตร แล้วตอนนี้อยู่ที่ ๔,๐๐๐ เมตร เพราะว่าได้ทำตามคำของท่านอาจารย์บ๊ะ (พระอาจารย์ศิริชัย ชยธมฺโม) ที่ให้เคี้ยวใบฝรั่งเพื่อเพิ่มออกซิเจนในเลือด ทำให้พวกเราทุกคนไม่ได้อยู่ในอาการที่ลำบากมากนัก

    เมื่อขึ้นรถมาแล้ว พวกเราก็วิ่งต่อไปจากสถานที่นั้น ตรงไปยัง"หมู่บ้าน Maan (มาอาน)" ซึ่งกระผมเรียกให้จำขึ้นใจง่าย ๆ ว่า"หมู่บ้านหมาหลังอาน" ซึ่งอยู่ห่างออกไป ๘ กิโลเมตร เมื่อเลี้ยวเข้าไปในโรงแรมหรือรีสอร์ต ชื่อ Pangong Sarai ที่กระผม/อาตมภาพเรียกเป็นภาษาไทยว่า "โรงแรมพันกองสาหร่าย" สถานที่นี้จัดห้องพักให้เป็นเกอร์ ก็คือลักษณะกระโจมของชาวมองโกล

    เมื่อพวกเราเข้าไป ทางโรงแรมก็ต้อนรับด้วยชานมใส่มัสซาล่า ปรากฏว่าท่านผู้ที่กินไม่เป็นสละสิทธิ์ส่งมาให้ กระผม/อาตมภาพฟาดเข้าไปคนเดียว ๓ ถ้วย แล้วก็รับกุญแจจากคุณนวลจันทร์ ตรงไปยังกระโจมหมายเลข ๑๙ เมื่อเปิดประตูกระโจมออกมาก็ตกใจ เพราะว่ามีเตียงคู่หลังใหญ่ยังไม่พอ ยังมีเตียงเสริมหลังเล็กอีกด้วย ทางเจ้าหน้าที่โรงแรมบอกว่าน้ำร้อนจะมาตั้งแต่ ๖ โมงเย็น ถึง ๒ ทุ่ม ไฟฟ้าก็มาตอนนั้นเช่นกัน เพียงแต่ว่าไม่มีสัญญาณ WIFI จึงทำให้พวกเราไม่สามารถที่จะกระทำอะไรได้เลย นอกจากเข้าสู่ที่พักแต่โดยดี

    เมื่อตากลมหนาวมา ทำให้กระผม/อาตมภาพเริ่มมีขี้มูกไหลย้อย จึงได้ฉัน "ยาญี่ปุ่น" เข้าไป ป้องกันไม่ให้ตัวเองไข้จับ จัดการใส่ทั้งหมวกไหมพรม เสื้อกันลม ถุงเท้า แล้วก็มาบันทึกเสียงธรรมจากวัดท่าขนุน แต่เป็นที่น่าเสียใจว่าไม่สามารถส่งให้ท่านทั้งหลายฟังได้ในวันนี้ อย่างไรเสียถ้าพรุ่งนี้อยู่ในสถานที่พักซึ่งมีสัญญาณ WIFI แล้ว ก็จะส่งให้ท่านทั้งหลายได้ฟังกันต่อไป

    สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
    วันจันทร์ที่ ๑ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๖๖
    (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...